ฉบับที่ 183 เท่าทันแคลอรี่กับ Scannerd Plus

อากาศร้อนอบอ้าวต่อเนื่องแบบนี้ หลายคนคงดับกระหายคลายร้อนด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ โดยเฉพาะน้ำอัดลม น่าจะเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่จะเลือกหยิบมาบริโภค  ไม่ใช่เพียงแต่แค่น้ำอัดลมเท่านั้น แต่เครื่องดื่มจำพวกที่ให้น้ำตาลเป็นหลักหลายประเภทมักจะถูกเลือกหยิบมาช่วยคลายร้อนด้วยเช่นกัน  ผู้เขียนก็ดื่มน้ำบ่อยมาก แต่ไม่ค่อยเน้นดื่มน้ำเปล่า รอบโต๊ะทำงานจะมีแต่น้ำที่มีรสหวานทั้งนั้น  ดื่มน้ำหวานๆ แล้วชื่นใจดีจริงๆ สุดท้ายผลที่ตามมาก็คือร่างกายบริโภคน้ำตาลมากเกินไป แถมมาด้วยแคลอรี่มาพุ่งกระฉูด น้ำหนักมีตัวเลขที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำอย่างไรดีล่ะคะ!!   ปรับการบริโภคด่วนค่ะ...แต่การลดการบริโภคน้ำหวานๆ ช่างยากเหลือเกิน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องหาเครื่องมือมาช่วยในการควบคุมปริมาณน้ำตาลและแคลอรี่ที่จะบริโภคในแต่ละวัน นั่นคือ แอพพลิเคชั่น Scannerd Plus ภายในแอพพลิเคชั่น Scannerd Plus จะมีข้อมูลเครื่องดื่มต่างๆ ที่สามารถบอกปริมาณแคลอรี่  ปริมาณน้ำตาล ปริมาณโซเดียม และปริมาณไขมัน โดยเพียงนำสินค้ามาสแกนด้วยแอพพลิเคชั่น ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสินค้านั้นจะขึ้นมาปรากฏ ในแต่ละวันจะบริโภคกี่ชนิดก็ได้ เพียงแค่สแกนและเก็บเป็นข้อมูลไว้  แอพพลิเคชั่นจะคำนวณปริมาณแคลอรี่  ปริมาณน้ำตาล ปริมาณโซเดียม และปริมาณไขมันที่ได้บริโภคไปแล้ว พร้อมทั้งบอกปริมาณที่ผู้บริโภคควรได้รับต่อวันไว้ เช่น ปริมาณแคลอรี่ไม่ควรเกิน 2,000 แคลอรี่ต่อวัน ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน  ปริมาณโซเดียมไม่ควรเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน และปริมาณไขมันไม่ควรเกิน 13 ช้อนชาต่อวัน ในส่วนของแคลอรี่ ถ้ามีการบริโภคในปริมาณที่มากกว่า 2,000 แคลอรี่ต่อวัน แอพพลิเคชั่นจะแนะนำการเผาผลาญส่วนเกิน โดยคิดปริมาณที่ต้องเผาผลาญเป็นนาที ซึ่งมีวิธีการเผาผลาญ 3 รูปแบบ ได้แก่ การวิ่ง การเดิน และการขี่จักรยาน นอกจากการคำนวณในแต่ละวันแล้ว แอพพลิเคชั่น Scannerd Plus ยังเก็บสถิติโดยรวมได้  ทั้งในเรื่องการบอกสถิติการดื่มในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี  ดื่มอะไรมากที่สุด   ครั้งล่าสุดดื่มอะไร จากการตรวจวัดโดยใช้แอพพลิเคชั่น  ทำให้ผู้เขียนได้ทราบตัวเลขปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป  จึงต้องขอกลับมาดูแลตัวเองด้วยการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสักนิด อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ ขอแนะนำว่าบริโภคน้ำเปล่าดีที่สุดค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 182 เครื่องพิมพ์ all-in-one

สำหรับใครที่อยากมีเครื่องพิมพ์สำหรับพิมพ์งานนำเสนอที่ต้องใช้สี สแกนหรือทำสำเนาเอกสาร หรือสั่งพิมพ์รูปถ่ายจากไฟล์ออกมาติดฝาบ้านโดยไม่หวั่นต่อค่าหมึกหรือค่ากระดาษ ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลการทดสอบเครื่องพิมพ์แบบออล-อิน-วัน มาฝาก องค์กรผู้บริโภคของออสเตรเลียและองค์กรทดสอบระหว่างประเทศได้ทำการทดสอบเครื่องพิมพ์ประเภทนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเนื้อที่อันจำกัดเราจึงขอเสนอเพียง 22 รุ่นที่ได้คะแนนรวมมากกว่า 70 คะแนน ทีมงานให้คะแนนเครื่องพิมพ์เหล่านี้จากคุณภาพงานพิมพ์ สแกน ทำสำเนา รวมถึงการใช้งานและการเชื่อมต่อกับเครือข่ายด้วย พลิกหน้าต่อไปเพื่อดูเครื่องพิมพ์ที่คุณสนใจ ย้ำอีกครั้งว่าคุณต้องมั่นใจว่าจะใช้มันอย่างคุ้มค่า เพราะถ้าทิ้งไว้นานโดยไม่ใช้ หัวฉีดอาจอุดตัน เป็นภาระให้คุณต้องยกไปซ่อมอีก เช่นเคยเราพบว่าของดีที่สุดไม่จำเป็นต้องแพงที่สุด การทดสอบครั้งนี้พบว่าสามรุ่นที่ได้คะแนนสูงสุดมีสนนราคาตั้งแต่ 3,000 ไปจนถึง 14,590 บาท -------------------------------------------------------------------------------คะแนนรวม 100 แต้มแบ่งออกเป็น คุณภาพงานพิมพ์และเวลาที่ใช้* (ร้อยละ 45) การสแกน (ร้อยละ 15) การทำสำเนา (ร้อยละ 15) ความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 20) และการเชื่อมต่อ (ร้อยละ 5)------------------------------------------------------------------------------- คุณภาพงานพิมพ์ วัดจากการสั่งพิมพ์เอกสารข้อความขาวดำ ตารางแสดงสี บนกระดาษธรรมดา และเอกสารที่มีข้อความและภาพประกอบสี และรูปถ่ายความละเอียดสูง (ขนาดภาพ 8x10 นิ้ว) บนกระดาษคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังดูความทนทานต่อความชื้นด้วยการใช้ปากกาไฮไลท์ป้ายบนเอกสาร และใช้น้ำหยดลงบนภาพถ่ายหลัง 24 ชั่วโมง                                                                 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 182 ผู้บริโภคกับความตกลง TPP 3 ผลกระทบที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

ความลุ่มๆ ดอนๆ ของเศรษฐกิจไทยและการติดหล่มประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เป็นตัวเร่งให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนไทยต้องหันมาผลักดันการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือทีพีพี (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement: TPP) ข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้ มีมูลค่าเท่ากับร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือจีดีพีของโลก ครอบคลุมประเทศต่างๆ สองฟากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวจักรสำคัญ ปัจจุบันมีสมาชิก 12 ประเทศคือสหรัฐฯ ญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย บรูไน ชิลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ และเวียดนาม และยังมีประเทศที่ให้ความสนใจจะเข้าร่วมอีก 5 ประเทศ คือ โคลอมเบีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และไต้หวัน ขณะที่สหรัฐอเมริกา หัวเรือใหญ่ผู้ผลักดันข้อตกลงนี้ก็เป็นตลาดขนาดใหญ่ของไทย จึงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะทำเฉยกับรถไฟผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้า โดยไม่มีไทยอยู่บนขบวนรถ ฟากฝั่งภาคธุรกิจเอกชนแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการให้ไทยเข้าร่วม ส่วนฟากรัฐบาลนั้น แม้จะมีความสนใจ แต่ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ เนื่องจากเนื้อหาในข้อตกลงมีบางส่วนที่อาจสร้างความเสียหายในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเศรษฐกิจ เช่น การสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม เป็นต้น บนจุดยืนของผู้บริโภค ทีพีพีเหมือนจะเป็นประเด็นระดับรัฐ ระดับโลกที่ห่างไกล ทว่า เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว แรงกระแทกจากทีพีพีอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องยาและอาหารซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับเราทุกคน ทั้งยังรวมถึงการแทรกแซงอำนาจในการออกนโยบายต่างๆ ของรัฐ ที่สุดท้ายแล้วจะกระทบกับการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และรถไฟผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจขบวนนี้อาจจะนำมาซึ่งหายนะอีกมหาศาลเท่าใดยังคาดการณ์ไม่ได้   ยา : ผูกขาดไม่สิ้นสุด ยาน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เพราะส่งผลกระทบวงกว้างและเป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของผู้คน รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าประเด็นหลักๆ ที่อยู่ในทีพีพีประกอบด้วยการผูกขาดข้อมูลยา (Data Exclusivity) ซึ่งจะบังคับให้องค์การอาหารและยา (อย.) ที่รับหน้าที่ขึ้นทะเบียนยาจะต้องยินยอมให้ยาใหม่ที่ขึ้นทะเบียนในไทยผูกขาดข้อมูลความลับทางการค้า 5 ปี หรือ 8 ปี นี่ย่อมเท่ากับการกีดกันบริษัทที่ผลิตยาชื่อสามัญซึ่งมีราคาถูกกว่าไม่ให้สามารถขึ้นทะเบียนยาและเข้าสู่ตลาดได้หรือเข้าสู่ตลาดช้าลง ประเด็นต่อมาคือเรื่องข้อบ่งใช้ ในทีพีพีอนุญาตให้สามารถจดสิทธิบัตรการใช้ใหม่ของสารเก่าได้ หมายถึงยาตัวเก่าที่มีอยู่เดิม เช่น แอสไพรินที่ต่อมารู้ว่าเมื่อรับประทานไปนานๆ จะทำให้เม็ดเลือดจางลง จึงสามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจได้ เมื่อพบข้อบ่งใช้ใหม่ ทีพีพีระบุว่าต้องยินยอมให้จดสิทธิบัตร กับอีกประเด็นที่มาคู่กันคือวิธีการใหม่ของการใช้สารเก่า ยกตัวอย่างเช่นเพราะเด็กรับประทานยายาก จึงดัดแปลงยาแก้ปวดสำหรับเด็กที่ใช้ทานเป็นแปะหน้าผากหรือแปะที่ผิวหนังเพื่อให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนัง ลักษณะนี้ก็สามารถจดสิทธิบัตรได้ ทั้งที่ทั้งสองกรณีนี้ไม่มีการประดิษฐ์คิดค้นใหม่เลย นี่ย่อมเท่ากับเป็นการยืดอายุการผูกขาดผ่านสิทธิบัตรออกไปไม่สิ้นสุดหรือที่เรียกว่า Evergreening Patent ทำให้ยามีราคาแพงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อเรียกร้องให้ยืดอายุสิทธิบัตรออกไปอีก 5 ปีหรือการที่ระบุให้ อย. ต้องทำหน้าที่เป็นตำรวจแทนเจ้าของสิทธิ์ นั่นคือถ้ามียาชื่อสามัญเดียวกันจะมาขึ้นทะเบียน อย. ต้องแจ้งให้เจ้าของสิทธิ์รู้โดยละเอียด ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ อย. โดยไม่จำเป็น “ผลการศึกษาพบว่า ถ้าให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 5 ปี เราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 8 หมื่นกว่าล้านบาทต่อปี ขณะที่ถ้าเรายืดอายุสิทธิบัตรไป 5 ปี ในปีที่ 5 เราจะเสียไป 2 หมื่นกว่าล้านบาทต่อปี ทำไมการขยายอายุจึงมีมูลค่าน้อยกว่าการผูกขาดข้อมูลยา เพราะการผูกขาดข้อมูลยา ถ้าเกิดขึ้น มันจะเกิดวันนี้เลย แต่การยืดอายุสิทธิบัตรนั้น พอยาจะหมดมันก็ยืดไป มันจึงใช้เวลา แต่พอสุดท้ายปลายทาง การผูกขาดข้อมูลยาในปีที่ 30 ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนกว่าล้านบาทต่อปี ขณะที่การขยายอายุสิทธิบัตรจะเป็น 6 แสนกว่าล้านบาทต่อปี เนื่องจากพอขยายอายุไปเรื่อยๆ ทุกยาก็ขยายอายุหมด ดังนั้น ค่าใช้จ่ายด้านยาก็จะสูงขึ้น เพราะยาไม่หมดอายุสักที” เป็นภาระทางงบประมาณจำนวนมหาศาลต่อระบบหลักประกันสุขภาพในที่สุด   จีเอ็มโอ: โจรสลัดชีวภาพจีเอ็มโอหรือสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรมเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจับตา ก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายอนุญาตให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอได้ แต่ก็ถูกภาคประชาชนกดดันจนต้องล้มเลิกไป มีการตั้งข้อสังเกตว่าการผลักดันกฎหมายจีเอ็มโอที่ผ่านมาสอดรับกับความต้องการในทีพีพี หากไทยเข้าร่วมทีพีพี เราจะถูกเรียกร้องให้เข้าร่วมยูปอฟ 1991 (The International Union for the Protection of New Varieties of Plants: UPOV) หรือสหภาพเพื่อคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ให้สิทธิบริษัทหรือนักปรับปรุงพันธุ์สามารถผูดขาดพันธุ์พืชทุกชนิดเป็นเวลา 20 ปี และไม่อนุญาตให้เก็บพันธุ์ไปปลูกต่อ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี อธิบายว่า “สมมติว่าถ้าเกษตรกรนำพันธุ์ข้าวโพดของบริษัทแห่งหนึ่งมาปรับปรุงพันธุ์ต่อ ทางบริษัทก็จะอธิบายว่ามันเป็นอนุพันธุ์ของพันธุ์พืชใหม่ของเขา และการคุ้มครองพันธุ์พืชจะไม่ใช่แค่ส่วนขยายพันธุ์เท่านั้น ถ้าคุณเอาเมล็ดไปปลูกแล้วให้ผลผลิตขึ้นมาก็ถือว่าละเมิด เขาสามารถตามไปยึดผลผลิตได้ อันนี้เองที่คนบอกว่ายูปอฟ 91 ก็คือกฎหมายสิทธิบัตรที่ขยายมาสู่พืช ซึ่งจะทำให้ราคาเมล็ดพันธุ์แพงขึ้นสองถึงหกเท่าตัว” ประเด็นที่ 2 คือการขยายสิทธิบัตรไปสู่สิ่งมีชีวิต โดยในรายละเอียดของตัวบทยังเรียกร้องให้ขยายความไปสู่การจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ในดีเอ็นเอหรือหน่วยพันธุกรรม ประเด็นที่ 3 คือการเรียกร้องให้ไทยเข้าร่วมในสนธิสัญญาบูดาเปสต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดสิทธิบัตรจุลินทรีย์ให้เป็นไปโดยง่าย ซึ่งคำว่าจดสิทธิบัตรจุลินทรีย์นี้ยังสามารถขยายความไปสู่การจดสิทธิบัตรดีเอ็นเอ หมายความว่ากินความรวมไปถึงหน่วยพันธุกรรมของมนุษย์ด้วย ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของสังคมไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ วิฑูรย์ กล่าวว่า “ถ้าสรุปก็คือมันทำลายกลไกการคุ้มครองพันธุ์พืชท้องถิ่นของประเทศอย่างร้ายแรง และเอื้ออำนวยให้เกิดโจรสลัดชีวภาพ ปัจจุบัน โลกนี้มีกติการะหว่างประเทศอันหนึ่งชื่อว่าอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศทั่วโลกทุกประเทศเป็นสมาชิก ยกเว้นประเทศเดียวคืออเมริกา อนุสัญญานี้บอกว่าใครก็ตามที่เอาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ไปใช้ประโยชน์ เอาไปปรับปรุงพันธุ์ คุณต้องขออนุญาตเจ้าของทรัพยากร ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ ไปใช้ฟรีไม่ได้ ซึ่งกฎหมายไทยเขียนรองรับไว้หมดแล้ว แต่ภายใต้ทีพีพีบอกว่าถ้าคุณเข้ายูปอฟ 91 คุณต้องแก้กฎหมายพันธุ์พืช ปี 2542 ซึ่งพูดถึงหลักการแบ่งปันผลประโยชน์เอาไว้” เพิ่มตัวเลขผลกระทบ   การคุ้มครองการลงทุน: อำนาจรัฐที่สาบสูญประเด็นสุดท้าย ว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุน ฟังแล้วเหมือนเป็นเรื่องห่างไกลตัวที่สุด แต่ผลกระทบอาจครอบคลุมวงกว้างมากกว่า เพราะอะไร? กล่าวโดยรวบรัดได้ว่า หากประเทศไทยเข้าร่วมทีพีพี ไทยจะต้องดูแลนักลงทุนต่างประเทศเฉกเช่นเดียวกับนักลงทุนในประเทศ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ แต่จุดเป็นจุดตายของเรื่องนี้คือ นักลงทุนต่างประเทศที่มาลงทุนในไทยสามารถฟ้องร้องรัฐบาลไทยได้ หากพวกเขาเห็นว่าการดำเนินนโยบาย มาตรการ หรือการออกกฎหมายของรัฐกระทบต่อผลกำไรจากการลงทุน ประเด็นนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการปกป้องคุ้มครองประชาชนในประเทศ เช่น กรณีออสเตรเลียที่ออกนโยบายบังคับให้ซองบุหรี่จะต้องไม่มีตราสินค้าและออกแบบให้ไม่ดึงดูด เพื่อต้องการลดปริมาณการสูบบุหรี่ในประเทศที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่รัฐบาลออสเตรเลียกลับถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกฟ้องร้องผ่านกลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนหรือไอเอสดีเอส (Investor-State Dispute Settlement: ISDS) ภายใต้หลักการคุ้มครองการลงทุน โดยการฟ้องนี้ไม่ใช่การฟ้องต่อศาลยุติธรรมภายในประเทศ แต่เป็นการฟ้องผ่านอนุญาโตตุลาการที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเลือก ผลชี้ขาดออกมาเช่นไร คู่กรณีจะต้องปฏิบัติตามนั้นและไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ สิ่งนี้ย่อมเท่ากับจำกัดอำนาจอธิปไตยของรัฐไทยที่จะดำเนินนโยบายใดๆ เพื่อดูแลประชาชนภายในประเทศ เพราะหากนโยบายดังกล่าวถูกนักลงทุนมองว่าจะก่อผลกระทบ การฟ้องร้องผ่านกลไกไอเอสดีเอสย่อมส่งผลให้นโยบายนั้นชะงักงัน หรือทำให้รัฐบาลต้องคอยเกรงอกเกรงใจนักลงทุนต่างประเทศ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล จากเอฟทีเอ ว็อทช์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “เมื่อก่อนมักจะมีคนบอกว่าบทการลงทุนดูแลนักลงทุนดีกว่าคนในชาติ ซึ่งผิดหลักการปฏิบัติที่เท่าเทียมในข้อตกลงเขตการค้าเสรี ในเมื่อบอกว่าต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แต่ทำไมจึงดูแลนักลงทุนดีกว่า ในทีพีพีครั้งนี้เลยเขียนชัดๆ เลยว่าการดูแลนักลงทุนต่างชาติดีกว่าคนในชาติ ไม่ถือว่าขัดกับหลักการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แปลว่าต่อจากนี้คุณไม่ต้องดูแลคนในชาติก็ได้ ถ้าคุณบอกว่าเดิมต้องเอาร่างกฎหมายมารับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต่อแต่นี้ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก็ได้ แต่ต้องรับฟังความคิดเห็นของนักลงทุนต่างชาติ “ยกตัวอย่างเรื่องการลงทุนที่เป็นรูปธรรมแล้วกัน ที่เราห่วงมากอย่างป่าไม้ ที่ดิน เหมืองแร่ ประปา ไฟฟ้า ก๊าซ พวกนี้จะมีข้อกำหนดแบบหนึ่งเลยที่เมื่อก่อนเราไม่เคยมีในฉบับอื่นๆ แต่เคยได้ยินว่ามีวิธีการเขียนแบบนี้อยู่ มันเรียกว่า Umbrella Cause หมายถึงเขียนเป็นร่ม คือถ้าต่อจากนี้ทำสัมปทานกับรัฐ แล้วเขียนกติกาต่างๆ ไว้น้อยกว่าในทีพีพี ให้ถือว่าสัมปทานนั้นถือกติกาเท่ากับทีพีพีโดยอัตโนมัติทันที และสามารถฟ้องรัฐผ่านกลไกไอเอสดีเอสได้เช่นกัน” .......... ขณะที่สหรัฐฯ ผ่านบทบาทของสภาธุรกิจอเมริกัน-อาเซียนก็โน้มน้าวให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมทีพีพี ล่าสุด ญี่ปุ่นก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ส่งเทียบเชิญชวน แม้ว่ารัฐบาลไทยจะแสดงท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ขอศึกษาผลกระทบรอบด้านก่อน แต่ความพยายามปรับแก้กฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายจีเอ็มโอ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา หรือกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กลับมีทิศทางสอดคล้องกับทีพีพีโดยบังเอิญเป็นความบังเอิญจริงๆ หรือไม่ ผู้บริโภคต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิดต่อไป ----------------------------------------------------------------ความเคลื่อนไหวของสภาธุรกิจอเมริกันฯทีพีพีมีความเคลื่อนไหวคึกคักเป็นพิเศษตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่หากติดตามอย่างต่อเนื่องจะพบว่า ประเด็นนี้ค่อยๆ เพิ่มกระแสขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ 27 กรกฎาคม 2558 เมื่อกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2558 โดยสถานการณ์ค้ามนุษย์ของไทยยังอยู่ในระดับเทียร์ 3 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งหมายถึงไทยยังดำเนินการไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ และไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหา ขณะที่คิวบา อุซเบกิซสถาน และมาเลเซียได้รับการเลื่อนขึ้นจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 ซึ่งหมายถึงประเทศที่สมควรได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษแม้จะปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำได้ไม่ครบถ้วน แต่ถือว่ามีความพยายาม จุดสังเกตที่ทำให้รายงานชิ้นนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงคือ กฎหมายของสหรัฐฯ ห้ามมิให้รัฐบาลของตนทำข้อตกลงกับประเทศใดๆ ที่ถูกจัดอันดับอยู่ในเทียร์ 3 และมาเลเซียก็คือหนึ่งในสมาชิกของTPP ที่กำลังจะมีการลงนามข้อตกลงนี้หลังจากรายงานฉบับดังกล่าวออกมา หลังจากนั้นเพียง 10 วัน สภาธุรกิจอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council: USABC) นำโดยอเล็กซานเดอร์ ซี เฟลด์แมน ประธาน USABC พร้อมผู้แทนจาก 29 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น แอบบ็อตต์, ไมโครซอฟต์, อีไล ลิลลี่, ฟิลิปส์ มอร์ริส, มอนซานโต้ เป็นต้น ได้เข้าพบอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือในประเด็นว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในวันที่ 6 สิงหาคม ต่อด้วยการเข้าพบจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนของบริษัทจากสหรัฐฯ โดยมีอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมหารือด้วย วันที่ 7 สิงหาคม USABC เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ การลงทุน โร้ดแม็ปการปฏิรูปการเมือง และ ‘ทีพีพี’ จะเห็นได้ว่าท่าทีของสหรัฐฯ ในประเด็นทีพีพีต่อประเทศไทย น่าจะมีการวางจังหวะก้าวเอาไว้แล้ว ทุกอย่างจึงสอดรับกันเช่นนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 182 ปดิวรัดา : ความหมายของภรรยาก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ

มนุษย์ไม่เคยกำหนดความหมายของสิ่งใดๆ ไว้เพียงชุดเดียว แต่เรามักให้นิยามความหมายของสิ่งต่างๆ ไว้มากมายกว่าหนึ่งชุดนิยามเสมอ เพียงแต่ว่าเรามักจะมีข้อตกลงร่วมกันว่า ความหมายชุดใดจะกลายเป็นนิยามหลักที่คนทั่วไปในสังคมยอมรับ และข้อตกลงของนิยามดังกล่าว ก็จะมีผลมากำหนดความคิดและการกระทำของคนในสังคมนั้นในที่สุด เช่นเดียวกับนิยามของคำว่า “ภรรยา” หรือ “ความเป็นเมีย” นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้กำหนด และกำหนดความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ในท่ามกลางความเป็นจริงของภรรยาที่มากมายหลายประเภทนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพเมีย(หลวง)อย่าง “นพนภา” ในละครโทรทัศน์เรื่อง “แรงเงา” ที่ทั้งขี้หึงและระรานผู้หญิงคนอื่นของสามี จนถึงภาพของผู้หญิงขี้เมาอย่าง “ลำยอง” เมียที่ทอดทิ้งทั้งสามีและไม่สนใจดูแลลูกๆ เลย ในละครเรื่อง “ทองเนื้อเก้า” แต่ทว่า เมื่อไม่นานมานี้ เราก็ยังได้เห็นภาพที่ผิดแผกแตกต่าง แต่ถือเป็นอุดมคติของหญิงสาวแบบ “ริน ระพี” ภรรยาที่ดีแสนดีของ “ปลัดศรัณย์” แห่งละครเรื่อง “ปดิวรัดา” ละครเรื่องนี้เริ่มต้นจากเสียงพูดของนางเอกริน ระพี ที่ให้นิยามว่า “ปดิวรัดา หมายถึงภรรยาผู้ซื่อสัตย์และภักดีต่อสามี” โดยเปิดฉากย้อนยุคพีเรียดไปเมื่อปี พ.ศ. 2502 หรือสองปีก่อนที่สังคมไทยจะรู้จักกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ซึ่งประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2504 ที่ผู้ใหญ่ลีได้ตีกลองประชุมจนลือลั่น ในห้วงก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯนั้น ริน ระพี ซึ่งมีฐานะเป็นลูกเลี้ยงของ “ท่านเจ้าคุณบำรุงประชากิจ” และ “เพ็ญแข” ตัดสินใจทดแทนบุญคุณของพ่อแม่บุญธรรม ด้วยการแต่งงานกับศรัณย์ชายหนุ่มที่เธอไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน แถมเขายังเคยบอบช้ำกับความรักครั้งเก่ากับ “ดวงสวาท” ผู้หญิงที่ปฏิเสธเขา เพื่อไปแต่งงานกับ “คุณชายนริศ” เพียงเพราะชื่อเสียงเกียรติยศและความมุ่งหวังในทรัพย์สินเงินทองมากกว่า   แม้ลึกๆ รินจะหวั่นใจกับสภาพที่ต้องแต่งงานคลุมถุงชนกับศรัณย์ แต่เธอก็กล่าวกับบิดามารดาบุญธรรมว่า “ชีวิตที่นำด้วยอารมณ์ อารมณ์จะพาไปขึ้นสวรรค์ พาไปลงนรก เป็นได้ทั้งสองทาง แต่ชีวิตที่นำด้วยหน้าที่ หน้าที่ความรับผิดชอบจะพาไปทิศทางเดียว คือพาไปสู่สิ่งที่ดีงาม...หน้าที่ของเด็กที่แม่เอามาทิ้งอย่างรินมีเพียงอย่างเดียวคือ ตอบแทนพระคุณท่านทั้งสอง” ด้วยยึดมั่นที่จะทำ “หน้าที่” และมี “ความรับผิดชอบ” ในฐานะภรรยาที่ดี รินจึงเก็บกระเป๋าไปเป็นคุณนายปลัดในจังหวัดทางภาคใต้ และยอมที่จะเผชิญบททดสอบมากมายที่เธอไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต สำหรับบททดสอบแรกสุดนั้น ก็คือสามีอย่างศรัณย์ที่คอยกลั่นแกล้งริน เพราะรู้ความจริงว่าเธอแอบสวมรอยมาเป็นบุตรีแท้ๆ ของท่านเจ้าคุณบำรุงประชากิจ เพื่อคลุมถุงชนแต่งงานกับเขา ศรัณย์จึงหมางเมิน และกระทำต่อเธอประหนึ่งเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านแต่อย่างใด แต่เพราะยึดหลักที่ว่า “เป็นเมียเราต้องอดทน” ประหนึ่งนางสีดาที่เดินลุยไฟพิสูจน์คุณงามความดีของตน รินจึงยืนหยัดที่จะลุยไฟพิสูจน์คุณงามความดีแห่งความเป็นศรีภรรยาไม่แตกต่างกัน เพราะ “หน้าที่” เป็นหัวใจหลักของความเป็นภรรยา รินจึงทำหน้าที่ดูแลบ้านเรือนให้เรียบร้อยไร้ที่ติ สำรับอาหารคาวหวานและฝีมือทำน้ำพริกลงเรือก็ปรุงได้รสเลิศถูกปาก และเสื้อผ้าของสามีก็ถูกซักรีดอบร่ำน้ำปรุงจนหอมกรุ่นชื่นใจ ความเป็นเบญจกัลยาณีและเสน่ห์ปลายจวักของเธอค่อยๆ มัดใจศรัณย์จนเริ่มคลายความเย็นชา กลับกลายมาเป็นความรู้สึกพึงใจกับผู้หญิงที่เขาเคยตั้งแง่เอาไว้ตั้งแต่แรก นอกจากบททดสอบจากปลัดหนุ่มผู้เป็นสามีแล้ว รินยังต้องปรับตัวให้เข้ากับดินแดนชนบท ที่ในยุคก่อนแผนพัฒนาฯนั้นช่างเต็มไปด้วยภยันตราย เพราะมีกลุ่มโจร “เสือขาว” ออกอาละวาดปล้นสะดมทรัพย์สินชาวบ้าน แต่ที่เหนือไปกว่ากลุ่มโจรนั้น รินก็ยังต้องถูกทดสอบความอดทนจากดวงสวาท หญิงคนรักเก่าที่ย้อนกลับมาขอคืนดีกับปลัดศรัณย์อีกครั้งหนึ่งด้วย แต่กระนั้น ด้วยธีมหลักของละครที่ยืนยันอยู่ตลอดว่า “ภรรยาที่ดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” การทำหน้าที่เป็น “ภรรยาที่ซื่อสัตย์และภักดี” และยืนเคียงข้างสามีอย่างไม่กลัวอันตรายใดๆ ก็ได้รับการพิสูจน์และกลายเป็น “รางวัลแด่คนช่างฝัน” ที่เป็นสุขของรินในตอนจบเรื่อง และในขณะเดียวกัน เป็นเพราะนิยามของ “ภรรยา” อาจไม่ได้มีแค่คำนิยามว่าเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อสามีเท่านั้น ละครจึงได้สร้างภาพภรรยาในแบบอื่นๆ อีกสามคนขึ้นมาเทียบเคียงกับตัวละครอย่างริน ดวงสวาทเป็นภาพเมียแบบแรก ที่แม้จะแต่งงานออกเรือนไปกับคุณชายนริศ แต่เพราะไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี บทลงโทษของเธอก็คือชีวิตที่ตกต่ำลง และการตัดสินใจฆ่าตัวตายของสามีที่ยอมรับสภาพความล้มเหลวในชีวิตคู่ของเขาไม่ได้ ส่วนภรรยาแบบที่สองก็คือ “บราลี” ที่ไม่ใช่ความภักดี แต่เป็นความลุ่มหลงสามีอย่าง “พณิช” ที่แม้จะคอร์รัปชั่นโกงกิน เธอเองกลับมิได้ห้ามปรามขัดขวางเขา จนถูกสามีทอดทิ้งไปในตอนท้ายที่สุดของเรื่อง หรือภรรยาแบบที่สามก็คือ “นิ่ม” ที่เลือกเป็นเมียโจรอย่าง “เสือบาง” ก็ภักดีต่อผัวจนยอมทรยศพ่อแม่และทุกๆ คน และท้ายสุดก็ต้องตายตกไปตามกันกับผัวโจรของตน บทลงโทษเชิงสัญลักษณ์ที่มีต่อดวงสวาท บราลี และนิ่ม ก็ไม่ต่างจากการขับเน้นให้เห็นว่า ในท่ามกลางภาพของเมียหลายๆ แบบในสังคมไทยยุคก่อนก้าวสู่ความทันสมัย แต่ความหมายของเมียที่เปรียบเป็น “เพชรงามน้ำหนึ่ง” ซึ่งสังคมยอมรับ ก็ยังต้องเป็นเฉพาะภรรยาที่ซื่อสัตย์ ภักดี และส่งเสริมให้ชีวิตสามีดำเนินไปในทางที่ดีงามเท่านั้น จากโลกสัญลักษณ์ของละคร เมื่อย้อนกลับมามองดูรอบตัวในปัจจุบัน ภายใต้กระแสที่ผู้หญิงไทยจำนวนมากได้ออกไปก้าวหน้าโลดแล่นในโลกกว้างเกินกว่าแค่ในปริมณฑลของบ้านและชีวิตครอบครัว แต่ความหมายของ “ปดิวรัดา” แบบริน ระพี ก็ยังถูกผูกเอาไว้กับ “หน้าที่” ของอิตถีเพศที่ต้อง “ซื่อสัตย์และภักดีต่อสามี” ซึ่งเผลอๆ อาจจะไม่ใช่นิยามชุดแรกๆ ที่ภรรยายุคนี้จะบอกกับตนเองเท่าใดนัก คำถามที่น่าสงสัยยิ่งก็คือ แล้วเหตุไฉนโลกสัญลักษณ์จึงยังเลือกเก็บภาพอุดมคติของภรรยาก่อนแผนฯ มาเป็นกระจกสะท้อนให้ผู้หญิงหลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯได้เสพและชื่นชมกันเยี่ยงนี้หนอ?

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 182 สบายอารมณ์กับแอพพลิเคชั่น JOOX

อากาศร้อนๆ แบบนี้ เดินทางไปไหนมาไหนก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย แถมต้องมาเจอบรรยากาศรถติดหรือต้องนั่งรถเป็นเวลานานๆ ท่ามกลางอากาศอบอ้าว ฉบับนี้ผู้เขียนจึงขอแนะนำแอพพลิเคชั่นเย็นๆ คลายความร้อนและความหงุดหงิดได้บ้างสักเล็กน้อย   แอพพลิเคชั่น JOOX เป็นแอพพลิเคชั่นที่รวมบทเพลงทั้งไทยสากล ลูกทุ่ง เพลงสากล โดยสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ที่ www.joox.co.th  ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และระบบปฏิบัติการ iOS   เมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นลงในสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว เริ่มด้วยการลงทะเบียน ซึ่งอาจจะลงทะเบียนโดยใช้การเชื่อมต่อกับ facebook ของตนเองหรือลงทะเบียนใหม่ก็ได้ โดยภายในแอพพลิเคชั่นจะถูกแบ่งออกเป็น 3 หน้า ได้แก่ หน้าหลักที่จะช่วยบอกรายละเอียดเพลงโปรดและเพลงที่เล่นล่าสุดว่ามีอะไรบ้าง  หน้าเนื้อหาเพลงที่ถูกจัดเรียงเป็นหมวดหมู่เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน และหน้าที่รวบรวมเพลงโดยแบ่งเป็นประเภทของเพลง   ในหน้าเนื้อหาเพลงจัดเป็นประเภทตามหมวดหมู่ที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ การเลือกเพลงจากชื่อศิลปิน การเลือกเพลงจากเพลย์ลิสต์ อย่างเช่น เพลงป็อป เพลงลูกทุ่ง เพลงเพื่อชีวิต เพลงอินดี้ เพลงอะคูสติก เพลงรัก เพลงร็อค เป็นต้น การเลือกเพลงจากความต้องการดูมิวสิควีดิโอในเพลงนั้น แต่ถ้าเลือกเพลงโดยไม่ผ่านหมวดดูมิวสิควีดิโอ จะสามารถสังเกตว่าเพลงนั้นมีมิวสิควีดิโอหรือไม่ ให้ดูสัญลักษณ์ MV ด้านหลังชื่อเพลง   ทั้งนี้แอพพลิเคชั่นยังมีการรวบรวมชาร์ตเพลงฮิต มีทั้งเพลงไทย เพลงสากล เพลงจีน เพลงลูกทุ่ง เพื่อให้ติดตามและได้รู้ว่าเพลงใดในช่วงนี้ฮิตติดชาร์ตอยู่บ้าง แม้กระทั่งเพลงออกใหม่ก็สามารถฟังได้ที่แอพพลิเคชั่นนี้เช่นกัน   ความพิเศษของแอพพลิเคชั่นนี้คือ จะสามารถดาวน์โหลดเพลงที่ชื่นชอบมาไว้ที่เครื่องสมาร์ทโฟนได้แทบทุกเพลง ยกเว้นเพลงที่มีสัญลักษณ์ VIP ปรากฏอยู่หลังชื่อเพลง จะไม่สามารถดาวน์โหลดได้ ซึ่งการดาวน์โหลดเพลงจะช่วยทำให้ช่วงที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตสามารถฟังเพลงที่ดาวน์โหลดได้ไม่ติดขัด   บอกได้เลยว่าแอพพลิเคชั่น JOOX ช่วยให้สบายอารมณ์ในการเดินทาง หรือยามว่างได้อย่างมาก จริงๆ นะคะ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 182 รู้จัก “เครดิตลิมิต” ชีวิต 4G จ่ายไม่เกินร้อย

ข่าวดีของผู้ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนก็คือ คุณสามารถควบคุมค่าใช้บริการได้โดยการกำหนดวงเงินค่าใช้บริการ เครดิตลิมิต (Credit Limit) โดยแจ้งกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ว่าต้องการจำกัดวงเงินค่าบริการไว้ไม่ให้เกินกี่บาท ดังนั้นค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่า sms หรือบางคนอาจจะมีค่าบริการจากการซื้อแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เรียกเก็บมาในบิล รวมแล้วจะต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ โทรศัพท์มือถือ Smart Phone เดี๋ยวนี้ ทำอะไรได้มากมาย นอกจากเป็นโทรศัพท์ เอาไว้ติดต่อ โทรออก-รับสายแล้ว ยังใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ท่องเว็บไซต์ เล่นเกมส์ ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ พูดคุยติดต่อสื่อสารกับผู้คนผ่าน Social Network หรือจะช็อปปิ้งซื้อของออนไลน์ก็สามารถทำได้ไม่ยาก จะดูหนัง ฟังเพลง ก็มีให้เลือกจนตาลาย หลายคนใช้แล้วก็ติดใจ เพราะมันทำให้ชีวิตมีสีสัน สะดวกสบาย และสนุกสนาน แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า “โลกนี้ไม่มีอะไร ฟรี” ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย บางคนได้รับบิลค่าโทรศัพท์แล้วแทบจะเป็นลม เพราะถูกเรียกเก็บค่าบริการอินเทอร์เน็ตหลายพัน หลายหมื่น หรือบางรายโดนกันไปเป็นแสนบาท ก็เคยมีมาแล้ว   ปัญหาทำนองนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจ้าโทรศัพท์ Smart Phone รุ่นใหม่ๆ นี่แหละ ด้วยความที่มันฉลาดแสนรู้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อคอยอัพเดท App ต่างๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ คนที่มีเพื่อนในโซเชียลเยอะๆ เดี๋ยวคนโน้นอัพรูปขึ้นเฟซบุ๊ค เดี๋ยวคนนี้แชร์คลิปมาในไลน์ เผลอแปล๊บเดียวใช้อินเทอร์เน็ตหมดแล้ว ซึ่งการใช้งานส่วนที่เกินจากแพ็คเกจที่สมัครไว้นี่ ถ้าไม่ได้ซื้อแบบเหมาจ่าย Unlimited บริษัทมือถือจะคิดค่าบริการตามปริมาณข้อมูลที่ใช้งาน ราคาประมาณ 1 -2 บาท/MB ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละค่าย และเป็นแนวโน้มของแพ็คเกจ 4G ที่เราจะไม่ค่อยเห็นโปรโมชั่นเหมาจ่าย Unlimited เพราะโครงข่ายไม่เพียงพอที่จะรองรับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่มีพฤติกรรมต่อเน็ตทิ้งไว้ตลอดเวลา โปรโมชั่นของ 4G จึงมักจะกำหนดปริมาณข้อมูลที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้ เช่น จ่าย 488 บาท เล่นเน็ตได้ 10 GB ส่วนเกินจากนี้คิดตามจริงเป็น MB ตามปริมาณ ซึ่งจะแตกต่างจากลักษณะโปรโมชั่นของ 3 G ที่ผ่านมา ที่เมื่อใช้เกินจะปรับลดความเร็วลงแต่ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม ใครที่ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงิน ปัญหาก็อาจจะไม่หนักมาก เพราะพอหมดเงินที่เติมไว้ โทรศัพท์มันก็ตัดบริการไปเอง แต่คนที่ใช้แบบรายเดือนจะเสี่ยงหน่อย เพราะค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นตามการใช้งานของคุณ ซึ่งบอกไว้เลยว่า มือถือ 4G นี่ ยิ่งเน็ตแรงเท่าไร โอกาสที่ค่าบริการจะพุ่งก็มีมากเท่านั้น เพราะยิ่งโหลดไว ผู้บริโภคก็ยิ่งเพลิน ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย อย่างดู youtube นี่ เมื่อคำนวณออกมาจะใช้เน็ตประมาณ 1.5 MB/นาที ถ้าค่าบริการ MB ละ 1 บาท ดู 1 ชั่วโมง ก็ต้องจ่าย 90 บาท แล้วเดี๋ยวนี้คนเราจ้องหน้าจอมือถือวันละกี่ชั่วโมงก็ลองนึกดูแล้วกันครับ ข่าวดีของผู้ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนก็คือ คุณสามารถควบคุมค่าใช้บริการได้โดยการกำหนดวงเงินค่าใช้บริการ เครดิตลิมิต (Credit Limit) โดยแจ้งกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ว่าต้องการจำกัดวงเงินค่าบริการไว้ไม่ให้เกินกี่บาท ดังนั้นค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่า smsหรือบางคนอาจจะมีค่าบริการจากการซื้อแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เรียกเก็บมาในบิล รวมแล้วจะต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ เมื่อค่าใช้จ่ายใกล้เต็มวงเงินบริษัทจะโทรศัพท์ หรือ sms มาแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า และเมื่อมีค่าใช้จ่ายเกินบริษัทก็จะระงับบริการชั่วคราวเอาไว้ก่อน เพื่อมิให้เกิดค่าใช้จ่ายเกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ แต่หากวันดีคืนดีเกิดมีค่าใช้จ่ายเกินมา คุณก็สามารถร้องเรียนกับสำนักงาน กสทช. ได้ ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมได้เคยมีมติให้บริษัทมือถือคิดค่าบริการกับผู้ร้องเรียนได้เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินกว่าวงเงินที่จำกัดไว้ จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่สมัย 2G แล้ว เพียงแต่ที่ต้องหยิบมาเล่าให้ฟังอีกครั้งก็เพราะในยุค 4G นี้ โอกาสเกิดปัญหา Bill Shock จากค่าบริการอินเทอร์เน็ตมันจะมีมากกว่า และความเสียหายจะร้ายแรงกว่า ดังนั้นลองหยิบใบแจ้งค่าใช้บริการของคุณมาตรวจสอบดูสิว่า ได้ระบุจำกัดวงเงินค่าใช้บริการไว้ตรงกับที่คุณแจ้งหรือไม่ เพราะเคยมีกรณีที่ผู้บริโภคจำได้ว่ากำหนดวงเงินค่าบริการไว้แค่ไม่กี่ร้อยบาท แต่ถูกเรียกเก็บค่าบริการเป็นพันบาท สอบถามไปจึงได้ความว่า บริษัทเห็นว่าเป็นลูกค้าชั้นดี จึงปรับเพิ่มวงเงินค่าบริการให้โดยพละการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ปัจจุบัน บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแต่ละราย กำหนดเงื่อนไขของเครดิตลิมิตไว้แตกต่างกัน บางค่ายไม่รวมค่าบริการตามแพ็คเกจที่สมัครไว้ เช่น ค่าบริการตามแพ็คเกจ 488 บาท เครดิตลิมิตไว้ 1,000 บาทแบบนี้บริษัทก็จะมีสิทธิคิดค่าบริการได้ในวงเงินไม่เกิน 488 + 1,000 บาท ไม่ใช่ 1,000 บาทถ้วนตามที่เราเข้าใจทั่วไป แต่ส่วนที่เหมือนกันเกือบทุกค่ายก็คือ เครดิตลิมิต นี้จะไม่รวมค่าบริการข้ามแดนอัตโนมัติระหว่างประเทศ (International Roaming) ดังนั้น ลองศึกษาเงื่อนไขจากผู้ใช้บริการของคุณ แล้วกำหนดวงเงินค่าใช้บริการให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์ของคุณ รับรองว่าคุณจะไม่กระเป๋าฉีกเพราะค่าโทร ค่าเน็ตแน่นอน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 182 กิน อยู่ คือ อย่างอเมริกัน

ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านวิชาการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพนั้น รัฐบาลมักสร้างข้อแนะนำในการบริโภคอาหาร (Dietary Guidelines) เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านโภชนาการและสุขภาพซึ่งรวมถึงผู้วางนโยบายตลอดจนบุคลากรในวงการการศึกษานำไปเผยแพร่ (แบบที่เข้าใจง่าย ๆ) สู่ประชาชน โดยหวังว่าเมื่อคำแนะนำเหล่านี้ถูกถ่ายทอดถึงประชาชน แล้วประชาชนเชื่อจนทำตามจริง ๆ ประโยชน์จะกลับสู่รัฐโดยตรงเป็นมูลค่ามหาศาล ในการที่ไม่ต้องจ่ายเงินสนับสนุนการรักษาพยาบาลประชาชนที่ป่วยเป็นโรคที่ป้องกันได้   จากเว็บ www.hhs.gov/about/budget/fy2015/budget-in-brief ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณประจำปีของสหรัฐอเมริกานั้นพบว่า จากงบประมาณทั้งหมดในปี 2015 ที่ผ่านไปแล้วซึ่งมีตัวเลขเท่ากับ $1,010 Billion dollars (1,010,000,000,000 ดอลลาร์อเมริกัน) นั้น ร้อยละ 33 ถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Medicaid) ที่ให้แก่กระทรวงด้านสาธารณสุขคือ Department of Health and Human Services ซึ่งทำงานทั้งด้านการบริการ วิจัย และอื่น ๆ ปัจจุบันคนอเมริกันมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่ไม่ติดต่อค่อนข้างสูง โดยปรากฏการนี้เป็นแบบต่อเนื่องทุกปี (www.cdc.gov/nchs/hus/healthrisk.htm) โรคที่ว่าคือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง (เนื่องจากกินอาหารมันมาก) ความดันโลหิตสูง ติดยาเสพติด สุขภาวะเลวเนื่องจากขาดการออกกำลังกาย และน้ำหนักเกิน ด้วยข้อมูลลักษณะนี้จึงทำให้รัฐบาลจำต้องสร้างข้อเสนอแนะในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนทุก 5 ปี โดยแอบตั้งความหวังว่าคนอเมริกันจะเชื่อ เหมือนอย่างที่กรมอนามัยบ้านเราหวังว่าคนไทยจะขยับตัววันละเยอะๆ เพื่อลดพุง เมื่อราวปลายปี 2015 คณะกรรมการของผู้สร้างข้อแนะนำการบริโภคอาหารสำหรับคนอเมริกันซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ส่งรายงานให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาในวันที่ 7 มกราคม 2016 ข้อแนะนำดังกล่าวก็ได้ถูกพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่แก่บุคลากรของรัฐและเป้าหมายที่เหมาะสม พร้อมทั้งจำหน่ายแก่ผู้สนใจ ส่วนผู้ที่ไม่ประสงค์จะซื้อแต่ประสงค์จะอ่าน สามารถอ่านฟรีได้ที่ http://health.gov/dietaryguidelines/2015/guidelines/full/   ในข้อแนะนำใหม่(ซึ่งปรับปรุงจากของเก่า) นี้ คณะกรรมการผู้สร้างยังคงแนะนำให้คนอเมริกันเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านการปรุงแบบสลับซับซ้อนทางอุตสาหกรรม (ซึ่งใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการผลิตหลากหลายชนิด) รวมทั้งลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและบริโภคแป้งที่ถูกป่นเป็นผง (ซึ่งคงไม่พ้นขนมปัง) แต่ให้หันไปกินอาหารที่มีพืชผักเป็นหลัก ซึ่งคณะกรรมการใช้ศัพท์ว่า plant-based foods (เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชทั้งเมล็ด ถั่วเปลือกอ่อน ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่าง ๆ) อีกทั้งคนอเมริกันควรกินอาหารมีพลังงานรวมต่ำ และกินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในลักษณะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น ไม่ปล่อยก๊าซที่ทำให้โลกร้อน ใช้น้ำ ดินและพลังงานต่ำ (กรณีเนื้อสัตว์นี้คงลำบากมากสำหรับคนอเมริกัน เพราะระบบผลิตของฟาร์มใหญ่ในสหรัฐฯนั้นล้วนแต่ไม่เป็นไปตามที่กำหนดแทบทั้งสิ้น) นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยว่า ในกรณีเนื้อสัตว์ที่กินควรเป็นเนื้อที่ไม่แดงนัก(ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากสัตว์ปีกและปลา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นเนื้อขาวคือ อกไก่ ในขณะที่ส่วนน่องและสะโพกไก่น่าจะจัดว่าเป็นเนื้อแดง ซึ่งสังเกตได้หลังการต้มเนื้อเหล่านี้จะเห็นสีแดง) เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า เนื้อแดงนั้นเพิ่มความเสี่ยงในภาพรวมของการเป็นมะเร็ง เนื้อจากอวัยวะของสัตว์ที่มีสีออกแดงนั้น เป็นเพราะอวัยวะนั้นมีการใช้กล้ามเนื้อทำงานสูง จึงมีสารชีวเคมีที่เรียกว่า มัยโอกลอบิน (myoglobin) ในความเข้มข้นสูง สารชีวเคมีนี้ช่วยในการนำออกซิเจนมาใช้ในการสันดาปสร้างพลังงานให้กล้ามเนื้อนั้น แต่ข้อเสียที่เกิดจากการมีมัยโอกลอบินสูงคือ สารชีวเคมีนี้มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ(ทำนองเดียวกับฮีโมกลอบินในเลือด) จึงทำให้ผู้ที่กินเนื้อแดงได้เหล็กสูง เหล็กนั้นเป็นธาตุโลหะที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่เพิ่มความเสี่ยงในการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ตามหลักการทางเคมีที่เรียกว่า Fenton reaction(ซึ่งหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก Wikipedia) ประเด็นซึ่งเป็นที่ฮือฮาในข้อแนะนำใหม่นี้คือ ยกเลิกคำแนะนำให้จำกัดปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหาร ทั้งนี้เพราะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สรุปว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการกินโคเลสเตอรอลจากอาหารทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะร่างกายของแต่ละคนต้องการโคเลสเตอรอลในระดับหนึ่ง ซึ่งตามปรกติต้องสร้างขึ้นมาเองเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการได้โคเลสเตอรอลจากอาหารในประมาณที่ปรกติคนทั่วไปที่กินเพื่ออยู่นั้นจึงไม่น่ากังวลอะไร โคเลสเตอรอลนั้นเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ เป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินดี สร้างเกลือน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก เป็นต้น ดังนั้นถ้ากินอาหารที่ไม่ได้มีไขมันสูงเกินปรกติแล้ว ประมาณโคเลสเตอรอลในอาหารจะไปช่วยลดการสร้างเองของร่างกาย ยกเว้นกรณีผู้ที่มีทัศนคติ อยู่เพื่อกิน ที่ไขว่คว้าหาอาหารไขมันสูงมาก (เช่น ขาหมูพะโล้ ขาหมูเยอรมัน หรืออาหารอื่นที่มันมากๆ) มากินจนโคเลสเตอรอลสูงเกินความต้องการของร่างกาย พฤติกรรมลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันตรายที่เกี่ยวกับหัวใจเพิ่มขึ้น และอันตรายจะมากขึ้นถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือใช้แรงงานประจำวัน คำแนะนำในการกินเพื่อสุขภาพดีของคนอเมริกันที่คณะกรรมการย้ำแล้วย้ำอีกทุกครั้งที่มีการเสนอทุก 5 ปีคือ ไม่กินเค็ม ซึ่งเป็นลดการได้รับธาตุโซเดียมซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อไตและทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ที่สำคัญนอกจากความเค็มแล้วยังก็ต้องเลี่ยงหวาน(มากเกินไป) ด้วย ข้อแนะนำที่ต้องขอให้ลดการกินเค็มคงเป็นเพราะ คนอเมริกันนั้นเสพติดมันฝรั่งทอดอย่างหนัก เนื่องจากเป็นอาหารที่ยิ่งกินยิ่งมัน และถ้าได้กินแกล้มเบียร์ในวันที่ได้ดูอเมริกันฟุตบอลทางโทรทัศน์แล้ว ไม่หมดถุงยักษ์เป็นไม่หยุด ส่วนความหวานนั้นเป็นที่รู้กันว่า ขนมและเครื่องดื่มที่ทำในสหรัฐฯนั้นออกหวานนำ ซึ่งต่างจากขนมที่ทำในฝั่งยุโรปที่มีความมันนำและไม่หวานนัก(แต่ก็ทำให้ลงพุงได้เช่นกัน) สำหรับประเด็นของการดื่มกาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มหลักในมื้ออาหารของคนอเมริกันนั้น ข้อแนะนำกล่าวว่า การดื่มเพียง 3 ถึง 5 ถ้วย ต่อวันซึ่งทำให้ได้แคฟฟีอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่ม แต่มีประเด็นหนึ่งที่คณะกรรมการเตือนไว้คือ ไม่พึงเติมสารอาหารที่ทำให้กาแฟนั้นมีแคลอรีสูง เช่น ครีม นม หรือน้ำตาล ดังนั้นข้อแนะนำนี้จึงใช้ยากยกกำลังสองกับคนไทยเพราะหนุ่มสาวชาวไทยปัจจุบันได้กลายเป็นผู้เสพติดกาแฟเข้มข้นทั้งหวานทั้งมันไปแล้ว สังเกตจากการสั่งกาแฟแต่ละครั้งมักเป็นแก้วใหญ่ขนาดเกือบครึ่งลิตรเสียทุกคราว คณะกรรมการผู้ทำข้อแนะนำได้เอ่ยถึงน้ำตาลเทียมชนิดหนึ่งซึ่งขายมากที่สุดในโลกของผู้จำเป็นต้องใช้ว่า น่าจะปลอดภัยในการบริโภค แต่ก็ขอกั๊กไว้ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ดังนั้นขอให้ผู้บริโภคเผื่อใจไว้บ้าง เผื่อวันหนึ่งในอนาคตอาจมีข้อมูลด้านร้ายเกี่ยวกับน้ำตาลเทียมชนิดนี้ออกมา ก็จะได้ไม่ตกใจมากนัก สำหรับกรณีความหวานที่มาจากน้ำตาลนั้น ข้อแนะนำกล่าวว่า ควรลดลงและไม่ควรแทนที่ด้วยน้ำตาลเทียม และที่แนะนำสุดหัวใจก็คือ ถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำเปล่าในมื้ออาหารแทนน้ำหวานต่างๆ เรื่องนี้น่าสนับสนุนมากเมื่อกินอาหารที่บ้าน แต่ในกรณีที่กินอาหารนอกบ้านหลายคนอาจมีความรู้สึก(คล้ายผู้เขียน) ว่า เราขาดทุนเมื่อต้องดื่มน้ำเปล่าตามร้านอาหารซึ่งราคาเกือบหรือเท่าน้ำอัดลม (ซึ่งอร่อยและแก้เลี่ยนอาหารมันบางอย่างที่ขอแอบกินนิดหน่อย) ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือ ข้อแนะนำนี้ได้รวมไปถึงการงด (หรือลด) เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ที่ชาวโลกเป็นทาสอยู่ ซึ่งสามารถคาดการได้ว่า ข้อแนะนำสุดท้ายนี้คงไม่ได้ผลแน่ในประเทศไทย…ถ้าไม่ใช้ ม.44  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 181 อตีตา : ประวัติศาสตร์ชาตินิยมในประชาคมอาเซียน

“ประวัติศาสตร์” คืออะไร สำคัญอย่างไร และทำไมตั้งแต่เรายังเด็ก จึงถูกโรงเรียนบังคับให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันด้วย     นิยามของประวัติศาสตร์นั้น ดูจะตั้งอยู่บนทางสองแพร่งของความหมาย โดยในทางแพร่งแรกได้แก่นิยามของกลุ่มนักคิดที่เชื่อว่า ประวัติศาสตร์คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และเพราะอดีตนั้นมีอยู่จริงๆ หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์จึงเป็นการขุดค้นให้เห็นว่า ข้อเท็จจริงและการใช้ชีวิตของผู้คนในอดีตเป็นเยี่ยงไร     ส่วนในทางอีกแพร่งหนึ่งนั้น กลับอธิบายว่า ประวัติศาสตร์เป็นบทสนทนาระหว่าง “คนในปัจจุบัน” กับ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต” หรือกล่าวแบบชิคๆ กิ๊บเก๋ว่า ประวัติศาสตร์มีสถานะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ “based on a true story” เท่านั้น     และเพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าจากเรื่องจริง ข้อเท็จจริงจากอดีตจึงอาจจะมีอยู่บ้างในระดับหนึ่ง (หรือในบางครั้งก็อาจไม่มีข้อเท็จจริงบ้างเลยด้วยซ้ำ!!!) และนักประวัติศาสตร์ก็คือผู้ที่สร้างเรื่องเล่าที่คนปัจจุบันกำลังสนทนา รับรู้ และตีความเพื่อบอกเล่าเก้าสิบถึงเหตุการณ์ในอดีตสู่บุคคลอื่น     ทัศนะต่อประวัติศาสตร์แบบทางแพร่งที่สองนี้เอง ที่ดูจะเหมาะกับการทำความเข้าใจบรรดาเรื่องแต่งที่ “based on a true story” อย่างละครพีเรียดและละครแนวอิงประวัติศาสตร์ อันหมายรวมถึงละครโทรทัศน์เรื่อง “อตีตา” ที่ฝ่ากระแสประชาคมอาเซียนด้วยการย้อนภาพสงครามไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในช่วงศึกคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง     ภายใต้นิยามที่ว่า ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาที่คนปัจจุบันมีต่ออดีตของตนเอง ละคร “อตีตา” จึงวางพล็อตเรื่องให้เกิดการซ้อนทับในมิติของเวลาระหว่างอดีตกาลกับปัจจุบันกาล โดยให้ตัวละครในอดีตได้มาสัมผัสชีวิตที่ผันเปลี่ยนไปของผู้คนในปัจจุบัน และให้ตัวละครอนุชนยุคปัจจุบันได้ย้อนกลับไปสัมผัสบทเรียนชีวิตของบรรพชนรุ่นก่อน     หากลึกๆ แล้วมนุษย์เชื่อว่า จังหวะเวลาของอดีตกับปัจจุบันจะมีวงโคจรมาบรรจบกันได้ “เมืองใจ” หนึ่งในวีรชนบ้านบางระจันในยุคกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ก้าวผ่านมิติของเวลา 200 กว่าปีมาสู่ห้วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเพราะมีมิสชั่น (ที่ดูจะอิมพอสสิเบิ้ล) ในการตามหาปืนใหญ่เพื่อไปใช้รบกับ “ข้าศึก” ทำให้เมืองใจมีเหตุบังเอิญทะลุมิติเวลา จนมาพบกับ “ศิโรตม์” หนุ่มหัวสมัยใหม่ทายาทเจ้าของบริษัทออร์แกไนเซอร์ใหญ่ของเมืองไทย     แม้จะก้าวข้ามเวลามาสู่ยุคกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับเมืองใจแล้ว ความทันสมัยสะดวกสบายนั้นไม่อาจยั่วยวนล่อใจให้เขาดื่มด่ำหลงใหลไปได้ เหมือนกับที่เมืองใจเคยกล่าวว่า “เมืองสวรรค์ อะไรก็ดี อยู่สบาย จะกินก็ไม่ต้องออกไปหว่านไถเอง เสกมาได้ทั้งนั้น ผู้คนก็หามีใครเป็นศัตรูกันไม่ หากใจข้า กลับหาความสุขมิได้เลย...”     เพราะความสะดวกสบายทันสมัยไม่อาจแทนที่จิตสำนึกรักชาติยิ่งชีพของชาวบ้านบางระจันได้เลย เมืองใจจึงยังคงเพียรปฏิบัติการตามล่าหาปืนใหญ่ เพื่อเอาไปกอบกู้บ้านเมืองและรบทานข้าศึกศัตรู     และเพราะประวัติศาสตร์เป็นบทสนทนาระหว่างกันของอดีตกับปัจจุบัน เมื่อเมืองใจก้าวข้ามประตูกาลเวลามาด้วยสำนึกรักชาติยิ่งชีพ อีกด้านหนึ่งละครก็ผูกเรื่องให้ศิโรตม์ต้องมีอันหลุดทะลุมิติเวลา กลับไปสู่ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยายุคสมัยเดียวกับที่เมืองใจและวีรชนบ้านบางระจันกรำศึกสงครามอยู่     อาจด้วยเพราะต้องการโหนกระแสที่รัฐร่วมสมัยชวนคนไทยร้องเพลงว่า “บ้านเมืองจะเดินต่อไป จะมีหวังได้เพราะสามัคคี” สายตาที่ศิโรตม์สัมผัสภาพวีรกรรมของตัวละครต่างๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเมืองใจ หรือขุนพลผู้นำศึกบ้านบางระจันทั้งหลาย ไปจนถึง “จันกะพ้อ” และ “กาหลง” สองสาวพี่น้อง ที่ทุกคนต่างฮึกเหิมด้วยความรักชาติ ทำให้คนยุคปัจจุบันอย่างศิโรตม์สามารถหลอมหล่อสำนึกความรักชาติของตนเข้ากับวีรชนบ้านบางระจันได้ในที่สุด     แม้ว่าศิโรตม์ (รวมทั้งคนปัจจุบันทั่วไปที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยากันมาตั้งแต่เด็ก) จะรับรู้บทสรุปสุดท้ายของศึกบางระจันว่า จบลงด้วยโศกนาฏกรรมและการเสียสละชีวิตเพื่อรักษาอธิปไตยแห่งสยามประเทศ แต่ฉากจบแบบนี้ก็คือ การขีดเส้นใต้ย้ำเตือนให้คนยุคนี้ตระหนักในสำนึกชาตินิยมที่ละครนำเสนอสืบเนื่องให้เห็นตั้งแต่ยุคบรรพชน     แต่ที่น่าสนเท่ห์ใจยิ่งเห็นจะเป็นว่า เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ “based on a true story” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คำถามก็คือ “a true story” ที่ประวัติศาสตร์แบบ “อตีตา” เขียนขึ้นมาหรือ “based on” นั้น เป็นมุมมองจากสายตาแบบใด     ในกรณีนี้ หากเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านสายตาแบบ “ชาตินิยม” ที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครเมืองใจ มาสู่คนร่วมสมัยแบบศิโรตม์ คำว่า “ชาติ” หรือ “ความรักชาติ” เยี่ยงนี้ จึงเป็นรูปธรรมที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้สร้างประวัติศาสตร์ชาตินิยมก็น่าจะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองบางอย่างกำหนดอยู่เบื้องหลัง     และที่แน่ๆ การสร้างชาติหรือเขียนประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบที่สังคมไทยทำกันอยู่เนืองๆ ก็มักจะใช้การแบ่ง “เรา” และ “เขา” ออกจากกัน ไปจนถึงการสร้าง “เขา” ให้เป็นตัวละครศัตรูร่วมของ “เรา” ขึ้นมา เพื่อให้สำนึกของ “เรา” มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงหนึ่งเดียวไปโดยปริยาย     ภายใต้ประวัติศาสตร์ชาตินิยมเช่นนี้ บทสนทนากับอดีตของศิโรตม์กับคนทั่วไป จึงเลือกย้อนกลับไปยังช่วงสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีตะเข็บชายแดนติดกับเมืองไทย และกลายเป็นเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้แต่กับยุคกระแสอาเซียนภิวัตน์ ที่ไปที่ไหนหรือทำอะไร ใครๆ ก็ต้องกล่าวขานกันถึงแต่การรวมตัวของชาติต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่ทว่าประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบ “อตีตา” และตัวละครเมืองใจกับศิโรตม์ก็มิได้เลือนหายไปเลย     หลังศึกบางระจันจบลงด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของหลากหลายตัวละคร คำถามที่ชวนสงสัยก็คือ แล้ววิสัยทัศน์อาเซียนแบบ “One Vision, One Identity, One Community” กับสำนึกลึกๆ ที่ยังคงแบ่ง “เรา” และ “เขา” ในประวัติศาสตร์ชาตินิยม จะหาจุดลงตัวมาบรรจบลงได้ ณ ตำแหน่งแห่งที่แบบใดกันหนอ         

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 181 โลกนี้..มีน้ำให้ใช้ไม่มาก

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปีนี้คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า น้ำไม่ได้มีมากพอที่เราจะนำมาสาดเล่นหรือปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ ไม่ว่าจะที่ใดในโลกน้ำเป็นทรัพยากรที่ต้องถนอมใช้ ถึงบางคนจะรู้สึกว่าตนเองมีเงินจ่ายเพื่อซื้อน้ำ จ่ายค่าน้ำ แต่เราคงไม่เห็นแก่ตัวกันขนาดที่จะมองดูน้ำสะอาดไหลทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย ในขณะที่บางพื้นที่โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมต้องยืนดูพืชผลของตนแห้งตายคาพื้นดิน     การใช้น้ำของคนไทย ซึ่งแบ่งออกเป็นน้ำดื่มและน้ำใช้ ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2555 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แหล่งน้ำใช้ของครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ (ร้อยละ78.9) ใช้น้ำประปา ส่วนน้ำดื่ม ส่วนใหญ่(ร้อยละ 64.0) เป็นน้ำประปาเช่นกัน โดยการนำน้ำประปามาผ่านกรรมวิธีทำให้สะอาดพร้อมดื่มเป็นน้ำบรรจุขวดหรือตู้ น้ำหยอดเหรียญ(ร้อยละ 40.9) และวิธีการอื่นๆ (ร้อยละ 23.1) เช่น ต้ม กรอง เป็นต้น กระบวนการผลิตและการใช้น้ำทุกขั้นตอนก่อให้เกิดต้นทุน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้ก็คือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้น้ำของครัวเรือนนั่นเอง ผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้น้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำประปา(ไม่รวมค่าใช้จ่ายน้ำดื่ม) สูงขึ้น จากเฉลี่ยเดือนละ 86 บาทในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 135 บาทในปี 2555 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเพราะน้ำประปาทุกหยดมีต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนที่มองไม่เห็น คือการแย่งน้ำจากภาคส่วนอื่นๆ มาใช้ การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและช่วยกันประหยัดจึงไม่ใช่เรื่องทำกันเล่นๆ อีกต่อไป     แนวทางการประหยัดน้ำภาคครัวเรือน    1.ประหยัดน้ำที่ไหลจากก๊อก ปิดก๊อก/วาล์วน้ำขณะที่คุณแปรงฟัน โกนหนวด ล้างมือ แล้วก็ปิดก๊อกน้ำเวลาที่คุณอาบจากฝักบัวด้วยเช่นกัน โดยเปิดน้ำให้ตัวเปียกก่อน จากนั้นค่อยปิดน้ำตอนที่คุณถูสบู่ สระผม แล้วก็เปิดน้ำอีกครั้งให้พอชำระล้างร่างกายจนสะอาด รู้ไหมว่า การปล่อยน้ำไหลขณะแปรงฟัน จะเสียน้ำไปประมาณ 4 แกลลอนหรือ 14.8 ลิตร ต่อนาที( 1 แกลลอนเท่ากับ 3.7 ลิตร โดยประมาณ)     การล้างจาน ล้างผักผลไม้ ควรรองน้ำในภาชนะแทนการปล่อยน้ำไหล และน้ำส่วนที่ยังสะอาดอยู่ ก็สามารถนำไปทำประโยชน์อย่างอื่น เช่น รดน้ำต้นไม้หรือล้างบริเวณพื้นที่สกปรกได้     2.ตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำในบ้าน โดยการปิดก๊อกทุกตัวแล้วเช็คมาตรวัดว่ายังขยับหรือไม่ ถ้าพบว่ามาตรหมุน แสดงว่าอาจมีจุดที่รั่วไหลต้องรีบซ่อมแซม อาจเป็นที่ชักโครก หรือท่อประปาบริเวณที่มองไม่เห็น รู้ไหมว่า น้ำ 1 หยดในทุกวินาที จะรวมกันได้ถึง 5 แกลลอนต่อวัน หรือ 18.5 ลิตร     3.ถ้าทำได้ควรเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นแบบประหยัดน้ำ เช่น ติดตั้งหัวฝักบัวและก๊อกแบบประหยัดน้ำ (Low-flow) หรือปากกรองก๊อกน้ำ อุปกรณ์ที่ใหม่และดีจะช่วยรักษาระดับแรงดันและความแรงของการไหลโดยที่ใช้น้ำเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์แบบธรรมดาทั่วไป หรือปรับไปใช้โถสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ สามารถกดล้างให้สะอาดได้โดยใช้น้ำเพียง 6 ลิตรหรือต่ำกว่านั้น หรือเปลี่ยนเครื่องซักผ้าจากแบบฝาบน เป็นแบบฝาหน้าจะประหยัดน้ำได้มากกว่า     4.เรียนรู้การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ให้ถูกต้อง จะช่วยประหยัดน้ำได้ เช่น ไม่ใช้ชักโครกเป็นที่ทิ้งขยะ ทิชชู่ก็ควรทิ้งลงถังขยะไม่ทิ้งลงในโถ การทำให้โถชักโครกสะอาดแต่ละครั้งต้องใช้น้ำมากถึง 9 ลิตร ถ้ากด 1 ครั้งไม่สะอาดคุณก็ต้องเสียน้ำเพิ่มขึ้นอีกในการกดเพื่อทำความสะอาดซ้ำ     การซักผ้าด้วยเครื่อง ควรใช้เครื่องซักผ้าให้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ควรรอจนกว่าจะมีผ้าเต็มถังก่อนที่คุณจะซัก และเวลาที่ซักผ้าก็อย่าลืมใช้โหมดประหยัดพลังงานเพราะการซักแบบนี้จะช่วยให้คุณประหยัดได้ทั้งน้ำและไฟฟ้า     5.ลดกิจกรรมการใช้น้ำ เช่น ลดเวลาการอาบน้ำลง ซักผ้าไม่บ่อยเกินไป การอาบน้ำน้อยกว่า 5 นาที จะประหยัดน้ำได้มากกว่า 1000 แกลลอนหรือ 3700 ลิตรต่อเดือน  วิธีนี้จะสัมพันธ์กับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น ไม่ทำให้เสื้อผ้าสกปรกมาก ไม่ใส่เสื้อผ้ามากชิ้น เป็นต้น หรือการสนับสนุนพืชผักอินทรีย์ก็ช่วยให้ไม่ต้องล้างผักผลไม้โดยใช้น้ำจำนวนมากๆ 6.รวบรวมน้ำที่ยังสะอาดอยู่ไปใช้ในกิจกรรมอื่น เช่น น้ำเหลือจากล้างผัก ผลไม้ น้ำแข็งที่ละลายค้างในกระติกหรือน้ำจากการละลายน้ำแข็งในตู้เย็น นำไปใช้รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น ล้างรถได้  ทั้งนี้อาจเลือกใช้สบู่และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่เป็นอันตรายต่อต้นไม้ หากคุณต้องการรองน้ำเก็บไว้ใช้ในการทำสวน     และถ้าทำได้ควรนำแนวทางการประหยัดน้ำภาคครัวเรือนไปปฏิบัติในองค์กรที่ท่านทำงานอยู่ด้วย จะช่วยให้เราทุกคนมีน้ำสะอาดใช้กันไปได้นานๆ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 181 ไขความลับ 5 ข้อของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

ประเทศไทยยามนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความหดหู่ เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคหดหาย ร้านรวงต่าง ๆ ก็พลอยห่อเหี่ยวตามไปด้วย เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองขาดสภาพคล่อง หลายคนเริ่มต้องมองหาแหล่งเงินกู้ เอาไว้สำรองในภาวะฉุกเฉิน คนที่มีแก้วแหวนเงินทองของมีค่า ที่พอจะขายหรือจำนำเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็ดิ้นรนกันไป แต่ทรัพย์สินอย่างรถยนต์นั้น เป็นของชิ้นใหญ่ที่ไม่ได้ซื้อง่ายขายคล่องเหมือนทองคำ มิหนำซ้ำสำหรับบางคน รถยนต์ คือ เครื่องมือประกอบอาชีพ ขายไปแล้วก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ถ้ามีหนทางเปลี่ยนรถเป็นเงินสด เพื่อมาแก้ปัญหาความขัดสนเฉพาะหน้าไปก่อนได้ก็คงดี “ต้องการเงินสด รถคุณกู้ได้ อนุมัติไว ไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน แถมยังมีรถขับเหมือนเดิม”    โอ้โห !!! อะไรมันจะวิเศษอย่างนี้ หลายคนคงนึกในใจเวลาที่ได้ยินโฆษณาประเภท รถแลกเงิน เงินติดล้อ คาร์ฟอร์แคช ฯลฯ แหม มันดีเลิศประเสริฐศรี จนอยากจะขับรถไปกู้เงินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ช้าก่อน วันนี้ ผมมีความลับ 5 ข้อ ของสินเชื่อประเภทนี้ มาบอกให้คุณรู้ ก่อนตัดสินใจไปกู้เงิน ความลับข้อที่ 1 ธุรกิจสินเชื่อ หรือ เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “ธุรกิจปล่อยเงินกู้” ประเภทรถแลกเงินนั้น มีชื่อจริงอย่างเป็นทางการว่า “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” เพราะเจ้าหนี้จะเก็บแค่สมุดจดทะเบียนรถไว้เป็นหลักประกัน โดยไม่ได้ยึดรถไว้ ลูกหนี้จึงยังคงมีรถขับตามปกติ ความลับข้อที่ 2 คนที่จะขอสินเชื่อกลุ่มนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของรถในเล่มทะเบียน จะเป็นรถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์ก็กู้ได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่ยังผ่อนไม่หมด รถติดไฟแนนซ์เจ้าหนี้จะไม่ให้กู้     ความลับข้อที่ 3 การจำนำทะเบียนแบบโอนเล่ม แบบนี้คนที่มาขอสินเชื่อจะต้องทำสัญญาขายรถยนต์ของตนเองให้กับเจ้าหนี้ในราคาที่ตกลงกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดของรถรุ่นนั้น ๆ ที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป เมื่อเซ็นสัญญาซื้อขายและโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถในเอกสารเล่มทะเบียนเรียบร้อย  เจ้าหนี้ก็จะเอารถที่เราเพิ่งขายไปนั่นแหละ มาให้ลูกหนี้ทำสัญญาเช่าซื้ออีกครั้งหนึ่ง กำหนดให้ผ่อนกี่งวด บวกดอกเบี้ยร้อยละเท่าไรก็ว่ากันไป ถ้าชำระครบ เจ้าหนี้ก็จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์กลับมาเป็นของลูกหนี้     ดังนั้น ในระหว่างการผ่อนหนี้จำนำทะเบียนแบบโอนเล่ม คุณต้องรู้ว่า คุณไม่ใช่เจ้าของรถคันนั้นอีกต่อไปแล้ว (แม้ที่ผ่านมาคุณจะผ่อนรถคันนั้นหมดไปแล้วก็ตาม) ตอนนี้คุณเป็นแค่ผู้เช่าซื้อ ดังนั้น ถ้าขาดส่งค่าเช่าซื้อ 2 งวดเมื่อไร เจ้าหนี้ก็มีสิทธิมายึดรถไปได้ และที่สำคัญ ห้ามเอารถคันนี้ไปขายต่อเด็ดขาด เพราะอาจจะถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ได้     ความลับข้อที่ 4 การจำนำทะเบียนแบบโอนลอย  แบบนี้จะไม่มีการทำสัญญาเช่าซื้อ แต่เจ้าหนี้จะให้ลูกหนี้ทำสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขายรถยนต์แบบโอนลอยแทน คือเซ็นเอกสารสัญญาซื้อขาย เอกสารการโอนต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนพร้อมโอนทะเบียนแล้ว เพียงแต่เจ้าหนี้ยังไม่แจ้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของในสมุดจดทะเบียน ซึ่งตามกฎหมายสัญญาซื้อขายนี้ เมื่อจ่ายเงินกันแล้วก็ถือว่าสมบูรณ์ กรรมสิทธ์ในรถเป็นของผู้ซื้อ (เจ้าหนี้) แล้ว แม้ว่าชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียนยังเป็นชื่อของลูกหนี้ก็ตาม เพราะสมุดจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ ความลับข้อที่ 5 สรุปว่าแม้ชื่อธุรกิจประเภทนี้จะเรียกว่า สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ แต่นิติกรรมสัญญาที่คุณทำกับเจ้าหนี้จริง ๆ แล้ว ถ้าเรียกกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ คุณทำสัญญาขายรถของคุณให้เจ้าหนี้ แล้วเจ้าหนี้ก็เอารถนั้นแหละมาเป็นหลักประกัน ถ้าเกิดเบี้ยวหนี้ขึ้นมาเขาก็ยึดรถคันนั้นได้เลย นี่คือเหตุผลเบื้องหลังว่า ทำไมเจ้าหนี้ สินเชื่อประเภทนี้จึง อนุมัติไว ไม่ต้องการคนค้ำประกัน เพราะ เจ้าหนี้มีความเสี่ยงน้อย แม้จะยึดแค่เล่มทะเบียนไว้ แต่จริง ๆ แล้วเขาได้กรรมสิทธิ์ในรถของลูกหนี้ไปแล้วทั้งคันต่างหาก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point