ฉบับที่ 270 จัดการหัวเข่า-ข้อศอกดำด้านอย่างไรดี?

        ปัญหาผิวกายที่กวนใจสุดๆ ของหลายคน นอกจากเรื่องผิวแห้งคล้ำเสียหรือริ้วรอยจากแผลต่างๆ  อีกเรื่องก็คงเป็น “ข้อศอกกับหัวเข่า ดำและด้าน” ใช่ไหม ปัญหาสุดคลาสสิกของเหล่าคนที่ชอบผิวสวยสว่าง การมีข้อศอกและหัวเข่าดำด้านคงทำให้หงุดหงิดเป็นแน่         เนื่องจากเป็นจุดของข้อต่อ การมีผิวหนังบริเวณดังกล่าวดำด้านสาเหตุมักจะเกิดจากการเสียดสีบ่อยๆ เช่น การเท้าโต๊ะ วางแขนในการนั่ง นอน หรือนั่งคุกเข่าบ่อยๆ และบางคนก็อาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดอีกด้วย         ดังนั้นหากเป็นสาเหตุที่พฤติกรรม เช่น การเท้าโต๊ะหรือคุกเข่าบ่อยๆ ก็อาจจะหลีกเลี่ยงการทำสิ่งนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีกับบริเวณข้อศอกและเข่าได้  หรือสามารถดูแลได้ตามวิธีดังนี้         ·     ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มผลัดเซลล์ผิวช่วย เช่น กลุ่ม AHA BHA ได้แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดการระคายเคืองหรือผิวอักเสบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีที่เข้มกว่าเดิมได้ และอีกตัวเลือก คือ พวกกลุ่ม Whitening ก็ช่วยได้เหมือนกัน        ·     อีกวิธีคือการสครับผิวบริเวณข้อศอกและหัวเข่า เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่ก็ไม่ควรสครับโดยการขัดและถูแรงๆ จนเกินไป 1 อาทิตย์ใช้แค่ 2-3 ครั้งพอ         ·     ส่วนจะซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ได้ที่ไหนแล้วไม่เป็นอันตราย สามารถเลือกซื้อได้ตามร้านค้าที่น่าเชื่อถือในห้างสรรพสินค้าทั่วไปได้เลย ใครที่จะใช้พวกครีมผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสม AHA BHA ก็ควรเลือกเน้นสูตรที่อ่อนโยนต่อผิวเป็นหลักได้ยิ่งดี ใครที่ชอบสครับก็เลือกที่เป็นส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติ เช่น มะขาม ขมิ้น เป็นต้น  นอกจากนี้ ไม่ซื้อตามออนไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ยกตัวอย่าง เช่น ร้านที่โฆษณาสินค้าเกินจริง เคลมการเห็นผลไว 3 วัน 7 วัน เห็นผล หรือถ้าจะสั่งออนไลน์จริงๆ ก็ควรสั่งกับ Account official ของร้านค้าเท่านั้น         ·     ที่สำคัญอย่าลืมเช็กรายละเอียดก่อนซื้อ คือ เลขจดแจ้งของ อย. และมีการเขียนส่วนผสมในฉลากให้ชัดเจน มีชื่อผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุให้ครบถ้วน         อย่างไรก็ตาม ฉลาดซื้อแนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรส์เซอร์เป็นตัวช่วยร่วมด้วย เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในส่วนของข้อศอกและหัวเข่า เพราะว่าข้อศอกและหัวเข่าด้านนั้นคงมีอาการแห้งร่วมด้วย การบำรุงผิวด้วยการเติมความชุ่มชื้นประกอบกับผลัดเซลล์ผิวไปด้วยจะช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดีขึ้นได้           ทั้งนี้ การเลือกมอยเจอร์ไรส์เซอร์ก็ควรเลือกที่เหมาะกับตัวเอง งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม พาราเบนหรือแอลกอฮอล์ ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้กลุ่มสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองไปด้วย เพราะอย่าลืมว่าบางคนก็มีผิวที่บอบบาง ซึ่งอาจทำให้มีอาการแพ้และผิวบริเวณนั้นมีอาการหนักกว่าเดิมได้ แต่หากใครที่ใช้กลุ่มที่มีน้ำหอมแล้วไม่แพ้ก็สามารถใช้ต่อไปได้ปกติค่ะ         กรณีข้อศอก เข่า ดำด้านในผู้ที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษากับแพทย์ผิวหนังโดยตรง พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลให้ละเอียดว่ารักษาหรือใช้ยาอะไรอยู่บ้าง เพื่อให้แพทย์รู้สาเหตุและรักษาได้อย่างตรงจุด         ทิ้งท้ายสิ่งที่ต้องระวังที่สุด คือ การหาข้อมูลการรักษาโรคในออนไลน์แล้วมีการให้ใช้ส่วนผสม ต่างๆ (ซึ่งไม่มีการพิสูจน์อย่างเป็นวิชาการ) มาทาที่ผิว บางอย่างถ้าไม่ศึกษาให้ดีก็อาจเป็นอันตรายได้ และจะยิ่งมีผลร้ายทำให้ต้องเสียทั้งสุขภาพและเงินทองจึงต้องระมัดระวังอ้างอิง :        https://hellokhunmor.com | ข้อศอกด้าน สาเหตุ การดูแลและการป้องกัน        https://th.theasianparent.com | ศอกด้านแค่ไหนก็เอาอยู่! วิธีแก้ข้อศอกด้าน ศอกดำ กู้ศอกคล้ำให้กลับมาขาวเนียน        https://youtu.be/uAGnNtlmkM0?si=l_NZXKbjeXoZIrdJ | "แก้หัวเข่าดำ ทำได้ไม่ยาก" คุยกับหมออัจจิมา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 269 สระผมอย่างไร? ให้ไม่เสี่ยงปัญหาหนังศีรษะ

        ฉลาดซื้อ คิดว่ามีหลายคนที่เจอปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะ ทั้งรังแค เชื้อรา หรือแม้แต่ปัญหาผมร่วง ซึ่งสาเหตุก็คงมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเกิดจากโรคประจำตัว พันธุกรรมหรืออื่นๆ แต่อย่างหนึ่งที่เราน่าจะรู้กันอยู่แล้วหรือบางคนก็อาจลืมไป ก็คือ พฤติกรรม “การสระผม” ของเรานี้ล่ะที่เป็นสาเหตุ ขั้นตอนสระผมให้สะอาด ป้องกันปัญหาบนหนังศีรษะ        ·     หนังศีรษะของเราโดยปกติมักมีเหงื่อ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ สะสมอยู่แล้ว  ดังนั้นควรที่จะทำความสะอาดสระผมเป็นประจำ เช่น  2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่แนะนำให้สระบ่อยจนเกินไป ทั้งนี้ บางคนที่มีหนังศีรษะที่มันง่าย อาจจะเปลี่ยนเป็นสระวันเว้นวันได้ ขึ้นอยู่ที่สภาพหนังศรีษะของแต่ละบุคคล        ·     สิ่งที่ควรทำก่อนสระผม คือ การล้างผมด้วยน้ำสะอาดก่อนให้ทั่วหัว ไม่ควรใช้น้ำอุ่น ควรใช้แค่น้ำอุณหภูมิปกติทั่วไป หลังจากนั้นบีบแชมพูลงไป แต่พยายามอย่าบีบยาสระผมให้ลงไปที่หนังศีรษะจนเกินไป  ส่วนใครที่ใช้ครีมนวดผมก็ควรจะใช้บริเวณกลางหัวถึงปลายผมพอ        ·     ไม่เกาหนังศีรษะเวลาสระผมแรงๆ เพราะอาจเกิดแผลและระคายเคือง ใครที่ชอบเกาแรงๆ เพราะชอบหรือผ่อนคลายก็ควรงดเลย        ·     เมื่อสระผมเสร็จแล้วควรจะมีการเป่าให้แห้ง หากสระผมก่อนนอน อย่านอนในขณะที่ผมยังไม่แห้งเด็ดขาด เพื่อป้องกันหนังศีรษะอับชื้น และไม่เป่าผมด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจนเกินไป        ·     การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูสระผมก็เกี่ยวด้วยเช่นกัน เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรเลือกยาสระผมที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคือง หลีกเลี่ยงส่วนผสมพวกพาราเบน พทาเลต ซัลเฟต หรือกลุ่มซิลิโคน         สำหรับคนที่มีปัญหาหนังศีรษะ เช่น รังแค ควรเลือกแชมพูสระผมที่เน้นเรื่องการลดปัญหานั้นๆ ที่มีขายอยู่ตามตลาดมากกว่าแชมพูทั่วไป หากไม่หายควรไปพบแพทย์ นอกจากนี้ใครที่มีอาการแพ้ยาสระผมอย่างรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีเช่นกัน และเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามคือ การใช้ผ้าขนหนูร่วมกับผู้อื่น ทางที่ดีอย่าใช้ร่วมกับคนอื่น และผ้าขนหนูเช็ดตัวกับเช็ดผมก็ควรใช้แยกกันไปไปเลยดีกว่า อุปกรณ์หวีผมก็ดูแลทำความสะอาดให้ดี ไม่ปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมไว้นาน         อีกเรื่องช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าฝนที่ร้อนชื้น อบอ้าว ดังนั้นหลายคนคงพบปัญหาฝนตกจนเปียกไปทั้งตัวกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะที่เมื่อเปียกและปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้เป็นหวัดหรือเกิดการอับชื้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น เชื้อรา ดังนั้นช่วงหน้าฝนควรดูแลหนังศรีษะเบื้องต้น ซึ่งมาฝากดังนี้         เมื่อหนังศีรษะเปียกฝนควรสระผมทันทีที่ทำได้ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่เรามองไม่เห็นที่มาพร้อมกับฝนออก เช่น พวกกลุ่มเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ ที่อาจทำให้ไม่สบายเป็นหวัดได้ และควรเป่าให้แห้งสนิท ห้ามนอนในระหว่างที่ผมยังไม่แห้งดี กรณีที่เราไม่สามารถสระผมได้ทันที ก็อาจจะซับผมและเป่าพัดลมให้แห้งไว้ก่อนได้เพื่อขจัดความอับชื้นออกไป  ข้อมูลจาก :  https://hellokhunmor.com : วิธีสระผมที่ถูกต้อง เพื่อผมแข็งแรงสุขภาพดี ทำอย่างไรhttps://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1130https://www.springnews.co.th/news/583062https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/question-healthy-in-the-rain-wash-the-hair/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 268 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนศัลยกรรมเพิ่มความสวย

        ปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเปิดใหม่มากมาย แถมราคาในการผ่าตัดบางคลินิกก็ถูกแสนถูก ล่อตาล่อใจผู้บริโภคกันสุดๆ  แต่ว่าราคาถูกที่ว่านั้น..ถ้าเจอที่ดีก็ถือว่าโชคดีไป เจอไม่ดีก็อาจจะได้หมอเถื่อนมาทำหน้าเราแทน จากหน้าสวยก็จะกลายเป็นหน้าพัง  อย่างกระแสข่าวเรื่องจับหมอปลอมตามคลินิกเสริมความงามก็มีมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เต็มโลกออนไลน์         แม้ว่า ฉลาดซื้อ จะรู้อยู่ว่าหลายคนที่ต้องการศัลยกรรมใบหน้าคงรู้กันอยู่แล้วว่าการทำหัตถการประเภทนี้ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าความเสี่ยงที่เราเอาไปแลก มันคือความผิดพลาดจากทางคลินิกที่มักง่าย ไม่ได้มาตรฐานมันก็คงไม่คุ้มเสี่ยงใช่ไหม ดังนั้น ฉลาดซื้อ ก็อยากให้ทุกคนที่กำลังตัดสินใจจะไปทำศัลยกรรม ลองมาพิจารณาข้อมูลที่ควรเช็กกันก่อนเข้าใช้บริการคลินิกเสริมความงาม เช็กก่อนศัลยกรรมเพื่อความปลอดภัย        ·     อย่างแรกที่ต้องเช็คเลย คือ การตรวจเช็กใบอนุญาตสถานพยาบาล 11 หลัก อันนี้สำหรับตรวจสอบว่าคลินิกที่ให้บริการเป็นคลินิกเถื่อนหรือไม่ ซึ่งก่อนเข้ารับบริการควรสังเกตว่ามีติดไว้หน้าคลินิกเพื่อให้ผู้ที่เข้ารับบริการนั้น สามารถตรวจเช็กได้อย่างสะดวก เช็กได้ที่ https://hosp.hss.moph.go.th/ หรือ http://privatehospital.hss.moph.go.th         ·     ตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ โดยต้องมีติดอยู่หน้าที่เข้าบริการอย่างชัดเจน  ต้องมีภาพถ่ายของแพทย์ ชื่อ-นามสกุล  สาขาและเลขที่ใบอนุญาตของผู้ให้บริการ และสามารถ                นำไปเช็กได้ที่ https://checkmd.tmc.or.th/ หรือโทรสอบถามแพทย์สภาโดยตรง        ·     ทำการเช็กภาพถ่ายที่ติดอยู่หน้าห้องกับผู้ที่ทำหัตถการให้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ หากไม่ใช่ ให้หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำหัตถการด้วย ไม่ต้องเกรงใจคลินิกเพราะเราต้องปลอดภัยไว้ก่อน        ·     เวลาเข้าคลินิกเพื่อทำศัลยกรรมต่างๆ อีกเรื่องที่ต้องระวัง คือ อุปกรณ์ ยา ซิลิโคน ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ ซึ่งต้องมี อย. รับรอง ยกตัวอย่าง คลินิกถูกกฎหมายส่วนมาก เมื่อทำหัตถการจะเปิดตัวยาให้เราดูอย่างชัดเจนก่อนเริ่มฉีด เมื่อเสร็จก็จะให้กล่องตัวยากลับบ้าน ซึ่งเราควรจะเลือกคลินิกที่เมื่อเราเข้ารับบริการนั้น ทางคลินิกสามารถเปิดข้อมูลตัวยาที่จะฉีดให้เราดูได้อย่างชัดเจน ไม่ปกปิดข้อมูล        ·     หากทำหัตถการที่จะต้องวางยาสลบ  คลินิกควรต้องมีวิสัญญีแพทย์อันนี้สำคัญ เผื่อกรณีคนไข้มีอาการแพ้ยาสลบ หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ทั้งนี้ ควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์รองรับในกรณีฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัย        ·     การรับผิดชอบของคลินิกกรณีหากเราเกิดความเสียหายต่อการรักษาของแพทย์ในคลินิก จะมีแนวทางในการชดเชยเยียวยาอย่างไร        ·     คลินิกสะอาดมีสุขอนามัยอนามัยหรือไม่  และก่อนเข้าบริการควรไปสำรวจที่ตั้งของคลินิกที่ต้องการเข้ารับบริการก่อนว่ามีอยู่จริง         ทั้งนี้  เราควรที่จะต้องสอบถามแพทย์เพื่อให้ตรวจเช็กความพร้อมของร่างกายเราด้วย และตัวเราเองควรบอกข้อมูลกับแพทย์ให้ครบถ้วน เช่น แพ้ยาอะไร มีโรคประจำตัวอะไร พร้อมกับสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน พยายามอย่าเชื่อรีวิวโฆษณาในโลกออนไลน์หรือโปรโมชันราคาถูกจนเกินไป         อีกเรื่องที่ต้องเตือนคือ หมอกระเป๋า แน่นอนว่าไม่มีความปลอดภัย ผู้บริโภคบางคนอาจจะคิดว่าฟิลเลอร์แท้ โบท๊อกซ์แท้ฉีดยังไงก็คงไม่เป็นไร แต่จริงๆ มีความเสี่ยงมาก เพราะใบหน้าของเรามีทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทมากมาย  ดังนั้นการทำหัตถการควรต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น        นอกจากนี้ หากผู้บริโภคพบเจอสถานประกอบพยาบาลเถื่อนเบื้องต้นสามารถร้องเรียนได้ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สายด่วน 1426 หรือ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ โทรศัพท์ 02 5918844  ข้อมูลจาก  https://www.hfocus.org/content/2021/10/23328https://ffcthailand.org/case/65https://www.springnews.co.th/blogs/spring-life/819276

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 267 แพ้ต่างหู ดูแลอย่างไรดี

        มีใครชอบใส่ต่างหูบ้าง ยังปกติดีใช่ไหม ถ้าเกิดผิดปกติหรือมีอาการแพ้ เราจะทำอย่างไรดีนะ         เครื่องประดับที่นิยมกันมากๆ ต่างหูติดอันดับแน่นอน แล้วก็ใส่กันหลายแบบหลายวัสดุ อาการแพ้ (ใครไม่เคยแพ้ขอปรบมือให้) สาเหตุหลักก็เกิดจากวัสดุที่นำมาผลิตต่างหู โดยเฉพาะต่างหูราคาไม่แพง ต่างหูแฟชั่นที่ใช้วัสดุพวกโลหะนิกเกิล ซึ่งระคายเคืองผิวหนังได้มากที่สุด หรืออีกสาเหตุก็อาจจะเกิดจากการที่เราไปเจาะต่างหูแล้วทางร้านทำได้ไม่สะอาด ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อได้         ฉลาดซื้อมีวิธีแนะนำสำหรับคนที่อยากเจาะต่างหูครั้งแรก ดังนี้        ·     หากเราเจาะหูครั้งแรกควรที่จะเลือกร้านที่สะอาด ไว้ใจได้ อาจจะศึกษาหาร้านได้จากการรีวิว อีกอย่างควรจะเลือกร้านที่มีขั้นตอนทำความสะอาดอุปกรณ์ในการเจาะหูฆ่าเชื้อได้เป็นอย่างดี        ·     ทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัยแน่นอน คือ  เจาะหูที่โรงพยาบาลกับแพทย์ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่า ร้านธรรมดาตามห้างเคาน์เตอร์ แต่คุณภาพการดูแลและขั้นตอนการเจาะนั้น ปลอดภัยแน่นอน        ·     อาจจะเน้นไปที่ร้านที่ใช้อุปกรณ์ในการทำ 1 ครั้ง/คน และทำการเปลี่ยนใหม่ให้คนต่อไป หากจะใช้ร้านที่ใช้ปืนเจาะหู ก็ควรดูให้ดี เพราะปืนเจาะหูที่ใช้ต้องได้รับการฆ่าเชื้อ เนื่องจากเป็นปืนเจาะอาจไม่ได้ทำการเปลี่ยน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายเช่นติดเชื้อได้ อาการอย่างไรเรียกว่าแพ้ต่างหู        หลังจากที่เราเจาะหูเรียบร้อยแล้ว หากเรามีอาการบวมแดงเล็กๆ น้อยๆ ในระยะเวลา 3-6 วัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติ อันนี้ไม่ต้องกังวลใจไป แต่หากว่าถ้าเริ่มผ่านมาหลายวันเกินไป แต่แผลยังไม่แห้งยังมีอาการบวมแดงมากกว่าเดิม พร้อมทั้ง มีอาการ เช่น เลือดออก หนองหรือสะเด็ดแผล ต่างหูติดไปกับแผลที่เจาะ รวมทั้งมีอาการไข้ขึ้นเพิ่มเติมมากกว่า 37 องศาเซลเซียลนั้น ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินว่าเกิดจากการติดเชื้อหรือไม่ ทำอย่างไร ไม่ให้เสี่ยงติดเชื้อได้         1. ล้างมือทุกครั้งก่อนเอามือไปสัมผัสบริเวณที่เจาะหู  และควรล้างด้วยสบู่ให้สะอาด        2. ไม่นำมือไปจับที่หู หรือหมุนที่ต่างหูบ่อยๆ เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบได้        3. ทำความสะอาดรอบที่เจาะหูด้วยการใช้น้ำเกลือ และใช้อุปกรณ์ในการล้างคือสำลี เพื่อเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง         สุดท้ายนี้ ถ้าเจาะหูมาแล้ว ไม่ควรถอดต่างหูก่อน 6-8 สัปดาห์แรก ควรรอให้แผลแห้งก่อน แต่ในระหว่างนี้ควรทำตามคำแนะนำข้างต้น ข้อ 1-3 ด้วยเพื่อป้องกัน เนื่องจากการถอดต่างหู เข้าๆ ออกๆ ก็เป็นต้นเหตุอีกอย่างหนึ่งให้หูหรือแผลอักเสบได้เช่นกัน         ทั้งนี้ คนที่แพ้ต่างหู เช่น พวกโลหะนิกเกิลก่อนเลือกต่างหูตามร้านควรสอบถามร้านค้าเพื่อความแน่ใจ จะได้หลีกเลี่ยงลดความเสี่ยง  อีกทางเลือก คือ สวมใส่เฉพาะต่างหูที่เป็นโลหะที่ทำจาก “เครื่องมือทางการแพทย์” แทน ซึ่งต่างหูรูปแบบนี้บางอันอาจจะมีนิกเกิล เจือปนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ยังคงปลอดภัยอยู่ ถ้ายังแพ้อยู่อีกแนะนำให้ใส่ต่างหูไทเทเนียมแทน         ที่สำคัญงดการสวมใส่ต่างหูแฟชั่น เนื่องจากต่างหูแฟชั่นนั้นเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีสารนิกเกิลมากน้อยแค่ไหนเป็นส่วนประกอบ ดั้งนั้นการหลีกเลี่ยงหรืองดไปเลยดีที่สุด         นอกจากแพ้ต่างหูจนติดเชื้อ สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างคือ แผลเป็นคีลอยด์ เพราะอาจจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายรุนแรงมากนัก แต่ส่งผลเสียต่อบุคลิกภายนอกและความมั่นใจได้ อีกอย่างแผลเป็นคีลอยด์สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ จนอาจทำให้รูปร่างใบหูของเราผิดแปลกไปจากเดิมได้         อ้างอิง แพ้ต่างหู..น่ากลัว รายการ สามัญประจำบ้าน ep.88 https://youtu.be/9iAWeRKvZ3E        เรื่อง เจาะหู เรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจ https://www.pobpad.com/          เรื่อง เจาะหูเพื่อความปัง ระวังพังเพราะคีลอยด์ https://www.phyathai.com/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 266 ล้างหน้าให้สะอาดต้องทำแบบนี้

        ใบหน้าของคนเราคือส่วนที่สำคัญ หน้าตาที่หมองย่อมลดทอนบุคลิกภาพ การมีผิวหน้าที่สดใส สะอาด เกลี้ยงเกลา ไม่หมองคล้ำ ไร้สิว จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ทว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุบ้าคลั่งของปีนี้  ใบหน้าฉ่ำวาวด้วยเหงื่อเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ และไม่เพียงแสงแดดที่ร้อนสุดๆ ของประเทศไทยแล้ว อีกอย่างที่พบว่าทำร้ายผิวหน้าไม่ต่างกัน ก็คือมลพิษทางอากาศอย่างฝุ่น PM 2.5 ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ผิวของเรามีอาการผดผื่นหรือสิวขึ้นบริเวณใบหน้าได้         ดังนั้นมาดูแลตัวเองกันเถอะ ง่ายที่สุดเลยคือ การล้างหน้าให้สะอาดค่ะ จะทำให้สะอาดอย่างไรมาดูกัน         วิธีล้างหน้าให้สะอาด         ก่อนล้างหน้าควรล้างมือให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ก่อนนำผลิตภัณฑ์ล้างหน้าบีบหรือเทใส่ฝ่ามือขยี้เบาๆ และนำเนื้อผลิตภัณฑ์นวดไปที่ผิวหน้าสักประมาณ 15 นาที โดยเฉพาะตามแนวรูขุมขน ล้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ออกให้หมดด้วยน้ำสะอาด ย้ำว่าล้างออกให้หมดจริงๆ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกออกไป ซับผิวหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือด้วยกระดาษเช็ดหน้า อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งไปเองหรือหากใครที่เลือกใช้ผ้าขนหนูเช็ดก็ควรจะแยกเป็นผ้าสำหรับเช็ดหน้าเพียงอย่างเดียวไม่ควรใช้ร่วมกับการเช็ดตามร่างกาย         หลังจากล้างหน้า ควรทาครีมบำรุงพวกมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื่นกับผิวหน้า และในระหว่างวันอาจเสริมด้วยการทาโลชั่นหรือครีมกันแดดที่มี SPF 50+ แม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม         ก่อนจะล้างหน้าให้สะอาดควรรู้เรื่องนี้        1. ก่อนล้างหน้าเราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้าของเราด้วย สังเกตว่าผิวหน้าเราเป็นแบบไหน ผิวมัน ผิวแห้ง หรือ ผิวผสม เพราะหากเราใช้ไม่ถูกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอาจทำให้ก่อเกิดสิวได้ หรือ ใครที่เป็นสิวอาจเป็นมากขึ้นกว่าเดิม        2. ล้างหน้าด้วยอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่นนิดหน่อย แต่ไม่ควรล้างด้วยน้ำร้อนจัด        3. ไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป อย่างมากควรล้างแค่ 2 ครั้งต่อวัน ช่วงเช้า-เย็นก็พอ และไม่ควรใช้พวกสบู่ที่อาบน้ำหรือล้างมือ เนื่องจากอาจจะทำให้ผิวนั้นแห้งตึงจนเกินไป        4. พวกเม็ดสครับต่างๆ หากใครที่เป็นสิวรุนแรงควรหลีกเลี่ยง            ใครที่แต่งหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางก่อนล้างหน้า เช่น พวกคลีนซิ่ง ซึ่งมีหลากหลายแบบแต่สิ่งที่ต้องดูเพื่อจะได้ไม่แพ้คือ เน้นเลือกที่ปราศจากแอลกอฮอล์ พาราเบน หรือน้ำหอม ส่วนใครที่เป็นสิวอุดตันบ่อยๆ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงคลีนซิ่งแบบเนื้อน้ำมัน ส่วนใครที่ไม่ได้แต่งหน้าแต่พบว่าล้างหน้าปกติแล้วยังรู้สึกว่าไม่พอ ก็สามารถใช้คลีนซิ่งทำความสะอาดหน้าได้ด้วยเช่นกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ค่อยจำเป็นนัก         ส่วนของการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในออนไลน์ก็อย่าลืมดูฉลากที่เกี่ยวกับพวกส่วนผสมด้วย เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้จากส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการจดแจ้งใบอนุญาตจาก อย. เท่านั้น          อ้างอิงhttps://si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1379https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/PM-2-5-caused-of-Acne

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 265 อย่าเสี่ยงจัดฟันเถื่อน

        บางคนรู้ว่าเสี่ยงแต่เพราะความอยากสวยก็เลยขอยอมเสี่ยง โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะมีผลเสียหายตามมาอย่างไรบ้าง  กระแสจัดฟันแฟชั่นนั้นแม้ที่ผ่านมาจะมีการออกข่าวเตือนภัยกันมากมายหลายปีถึงผลเสียและอันตรายเกี่ยวกับการจัดฟันแฟชั่นทั้งในโลกออนไลน์และตามสื่อต่างๆ แต่เชื่อหรือไม่ ปัจจุบันยังคงพบว่ามีหลายคนหลงเข้าไปจัดฟันแฟชั่นอยู่ เหตุที่การจัดฟันแฟชั่นนั้นที่ดึงดูดผู้คนได้ หลักๆ คงเป็นเพราะราคาบริการที่ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับการจัดฟันโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อมีคนจำนวนมากยอมเสี่ยง   ข่าวเกี่ยวกับผู้ที่เสียหายจนบางครั้งยากจะเยียวยาจึงเกิดเป็นข่าวอยู่เสมอๆ เช่นกัน ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมานี้เอง พบว่ามีผู้เสียหายรายหนึ่งไปจัดฟันแฟชั่นเพราะความอยากสวยโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง สุดท้ายฟันหลุดเป็นแผง         ครั้งนี้จึงอยากเตือนให้หลายคนรู้ถึงผลเสียและอันตรายของการจัดฟันแฟชั่นซ้ำอีกครั้ง (หรืออีกหลายครั้ง)  ความเสี่ยงอันตรายจากการจัดฟัน        -   สารอันตรายดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จากอุปกรณ์ที่นำมาติดไม่มีคุณภาพ ซึ่งอาจปนเปื้อนสารจำพวก  ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท สารหนู หรือสนิมที่เกิดจากลวดทำฟันได้        -   เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทำฟัน  ไม่ได้มีการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี  เมื่อนำมาจัดฟัน อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อและอาการแพ้หรืออักเสบจากอุปกรณ์และเครื่องมือได้          -   เกิดอาการเหงือกบวม แผลในช่องปากได้ จากอุปกรณ์ลวดที่ใช้จัดฟัน โดยลวดที่ใช้ก็คือลวดธรรมดาทั่วไป อาจทิ่มแทงเหงือกและกดเหงือกได้        -   ฟันผิดรูปไปจากเดิม หรือฟันล้ม ในกรณีนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจจะต้องทำการรักษาเช่นใส่ฟันปลอมไปตลอด ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นสูงกว่าการจัดฟันแฟชั่นแน่นอน        -   ฟันผุ เนื่องจากการนำลวดหรือลูกปัดสีๆ ไปติดตามฟันจะทำให้การทำความสะอาดเศษอาหารในช่องปากนั้นยากขึ้น ร้านแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยงเข้าไปจัดฟัน         แนะนำว่าร้านที่ควรหลีกเลี่ยงเลย คือร้านที่มีการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น มีราคาในการทำแต่ละครั้งเพียงแค่ 500-1000 บาท ซึ่งถูกกว่าคลินิกทันตกรรมโดยทั่วไป แถมบางรายไม่มีหน้าร้านแต่รับจัดฟันตามสถานที่ (คล้ายหมอกระเป๋า) และไม่มีใบประกอบวิชาชีพจริง จัดฟันจำเป็นไหม         หากเรามีสุขภาพฟันที่ดีและทันตแพทย์ตรวจเช็คให้แล้วว่าฟันของเราไม่มีปัญหาอะไร แพทย์ที่ดีจะไม่เสนอให้เราจัดฟัน (ไม่ทำให้) ดังนั้นอย่าเลือกที่จะไปจัดฟันแฟชั่น (จัดฟันเถื่อน) เพื่อความสวยงามเด็ดขาด เพราะการทำหัตถกรรมลักษณะนี้ ต้องทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ถ้าไม่ได้ทำหัตถกรรมโดยทันตแพทย์ อาจจะเกิดความเสี่ยงจากเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดฟัน เพราะฉะนั้นหากแพทย์ไม่แนะนำให้จัดฟัน เนื่องจากมีสุขภาพฟันที่ดีอยู่แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสุดๆ อยู่แล้ว จงมั่นใจและหมั่นรักษาความสะอาดของฟันให้มีสุขภาพดีดีกว่าทำไปเพียงเพราะเป็นแฟชั่นซึ่งอาจส่งผลเสียได้ในอนาคต............ข้อมูลอ้างอิง :  https://www.pobpad.com/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/fake-braces-trendhttps://www.youtube.com/watch?v=2bUiG8dIN-8

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 264 นอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี?

        “การนอนหลับให้เต็มอิ่ม” เป็นเรื่องทั่วไปที่คิดว่าเราทุกคนต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากการหลับให้เต็มอิ่ม ก็เหมือนกับการที่ร่างกายของเราจะได้พักผ่อนหรือชาร์ตพลังชีวิตให้เต็มที่ หลังจากที่เราได้ใช้ร่างกายปฏิบัติกิจวัตรประจำวันมาตลอดเวลาหลายชั่วโมง          ทว่าในปัจจุบันหลายคนที่ต้องการการพักผ่อนด้วยการนอนหลับนั้นกลับไม่สามารถนอนได้อย่างเต็มอิ่มหรือที่เรียกว่า เกิดภาวะโรคนอนไม่หลับ ซึ่งส่งผลทำให้ร่างกายนั้นรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลาและตามมาด้วยความเสี่ยงของอาการป่วยอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าส่งผลต่อ “ความสวยงาม” โดยตรงไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ ที่ซูบหมอง รอยคล้ำใต้ตา หรือแม้แต่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลให้มีอาการนอนไม่หลับ        อาการนอนไม่หลับอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้        1. ภาวะความเครียด วิตกกังวล หรืออาจมีปัญหาทางด้านสภาวะจิตใจ หากเป็นภาวะนี้และไม่สามารถหาสาเหตุได้ ควรที่จะปรึกษานักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุและรักษาให้ตรงจุด        2. สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น เสียงดังรอบๆ ตัว ซึ่งรบกวนการนอนบางคนอาจอาศัยอยู่ในละแวกที่มีการจราจรตลอดเวลา สถานที่ก่อสร้าง หรือเสียงทีวี เสียงนอนกรนของคนข้างตัว รวมถึงเรื่องของปัญหาแสงไฟที่รบกวนการนอน เหตุนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการนอนไม่หลับ        3. พฤติกรรมก่อนนอน เช่น ดื่มกาแฟ ชา(ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน) แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาบางชนิดก็มีผลต่อการนอนอีกด้วย เนื่องจากบางคนอาจต้องใช้ยาในการรักษาโรคของตนเอง ทั้งนี้ อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้แตกต่างกันไปแล้วแต่ละบุคคล เราควรนอนกี่ชั่วโมงเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่        โดยปกติทั่วไปมนุษย์เราหากเป็นผู้ใหญ่(วัยทำงาน) ควรที่จะได้พักผ่อน 7-9 ชั่วโมง ถึงจะเรียกได้ว่าพักผ่อนเต็มที่ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุควรพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง ในส่วนของวัยรุ่น 8-10 ชั่วโมง อาการนอนไม่หลับนานเท่าไหร่ถึงจะต้องพบแพทย์        หากเริ่มมีอาการนอนไม่หลับนานติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์ และเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน เช่น ไม่มีสมาธิ มีปัญหาด้านความจำ ความกังวล ภาวะเครียด หรือส่งผลกระทบกับร่างกาย จนมีอาการป่วยเพิ่มโดยสาเหตุจากการนอนหลับไม่เพียงพอ ก็ควรที่จะไปปรึกษาแพทย์ได้ทันที การรับมือกับปัญหาการนอนไม่หลับ        ·     ควรปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวที่ก่อให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับ พยายามทำให้ห้องนอนนั้นมีความสงบ แสงสว่างน้อยที่สุดปิดโคมไฟ (สีของแสงก็อาจเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้า โดยเฉพาะจากโทรศัพท์มือถือ) และผ้าม่านควรปิดให้สนิทเพื่อไม่ให้แสงส่องผ่านเข้ามาได้ ในส่วนของเสียงก็ควรรบกวนน้อยที่สุด หากใครอยู่ในพื้นที่มีการจราจรไม่สามารถหลีกเลี่ยงเสียงดังได้ ก็อาจจะต้องใช้ตัวช่วยอื่นๆ การใช้อุปกรณ์เสริมที่ครอบหูลดเสียงแบบที่ใส่แล้วเราหลับได้อย่างสบาย หากยังไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ก็อาจจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางออกได้ถูกวิธี        ·     เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น งดการดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน หรืองดแอลกอฮอล์ต่างๆ รวมถึงการสูบบุหรี่อีกด้วย และปรับเป็นการออกกำลังกาย 4-6 ชั่วโมง ก่อนนอนจะดีมาก พร้อมกับพยายามปรับอุณหภูมิห้องให้พอดี        ·     เวลาการนอนก็ควรที่จะปรับให้เหมาะสม เช่น เข้านอนเวลาเดิมเหมือนกันทุกคืนเพื่อให้ร่างกายได้ปรับเปลี่ยนและจำเวลาการนอนได้เอง        ·     งดเล่นมือถือ สัก 1 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะส่วนมากหน้าจอมือถือจะมีแสงสีฟ้าที่มีผลต่อสารเมลาโทนิน(สารควบคุมการหลับการตื่น) ทำให้มีผลนอนไม่หลับได้        ·     อาจใช้กลิ่นเป็นตัวช่วยได้เพื่อผ่อนคลายในการนอน เช่น เทียนหอมอโรม่า กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นคาโมมายล์ หรือเลือกตามชอบเป็นต้น ข้อมูลอ้างอิงอยากนอน แต่นอนไม่หลับ ใช่อาการป่วยทางจิตหรือไม่? | โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital              9 เทคนิค...เอาชนะการนอนไม่หลับ - Phyathai Hospitalhttps://www.rajavithi.go.th/rj/?p=4122นอนไม่หลับ แก้ได้... เริ่มจากตัวเรา – รามา แชนแนล (mahidol.ac.th)https://www.hfocus.org/content/2018/04/15690

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 การดูแลป้องกันปัญหาสิว

        “สิว” ตัวการที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจ ไม่ว่าจะหนุ่มหรือสาวเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นมักจะมีปัญหาสิวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด ทำให้หลายคนพยายามจะหาวิธีการรักษาให้สิวนั้นหายไปโดยไว จนบางครั้งก็อาจจะไปหลงใช้ครีมเถื่อน ทำให้มีอาการหนักขึ้นกว่าเดิมได้ จึงต้องระมัดระวังไม่หลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงเหล่านั้น        ก่อนจะแก้ไขปัญหาควรต้องมองที่ปัจจัยการเกิดของสิวกันก่อนซึ่งสิวนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย บางคนก็เกิดจาก ฮอร์โมนของร่างกายหรืออาจเกิดจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น ผลข้างเคียงจากการใช้ครีม โลชั่น ยา เครื่องสำอาง รวมถึงสุขอนามัยและอาหารการกินด้วย         ประเภทสิว มีอยู่หลายแบบ โดยหลักๆ ก็จะมี “สิวที่อักเสบ” และ “ไม่อักเสบ” สิวที่ไม่อักเสบส่วนมากจะเป็นสิวหัวปิด จะมีทั้ง สิวอุดตันหัวขาวและหัวดำ  ในส่วนสิวอักเสบนั้น มักจะเป็นตุ่มแดง สิวหัวช้าง หรือสิวที่เป็นตุ่มหนอง         ดูแลผิวหน้าป้องกันการเกิดสิว        ·     การรักษาความสะอาดเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรใส่ใจ ล้างหน้าเพียงวันละไม่เกิน 2 ครั้ง ไม่ขัดถูที่ผิวหน้าแรงๆ  หากใครที่แต่งหน้าควรล้างเครื่องสำอางออกก่อน โดยใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกคลีนซิ่ง เช็ดเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนล้างหน้า ซึ่งถ้าใครเป็นคนที่มีผิวอ่อนแอระคายเคืองง่ายก็ควรที่จะเลือกใช้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมเป็นส่วนผสม และทำความสะอาดเครื่องใช้ที่ต้องสัมผัสกับใบหน้าทั้งหมด        ·     ในกรณีที่มีสิวขึ้นบนผิวหน้าเพื่อไม่ให้อาการแย่ไปยิ่งกว่าเดิม  ควรต้องงดการใช้มือไปสัมผัสที่บริเวณสิวเพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบและลุกลามไปยิ่งกว่าเดิม รวมถึง ไม่บีบ แคะ แกะ เกา        ·     วิธีอื่น ๆ ที่ช่วยเสริม เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่เครียด และรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พวกผักผลไม้และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัดได้ยิ่งดีการรักษา        หากป้องกันแล้วยังเกิดปัญหาสิว คุณต้องใจเย็นเพราะการรักษาต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่งกว่าจะหาย ซึ่งการรักษาที่ก็มีทั้งแบบทายาหรือแบบรับประทาน ซึ่งจะขึ้นอยู่ที่ความเหมาะสมประเภทของสิวที่แพทย์จะประเมิน         การใช้ยาทาในการรักษาสิวนั้น ก็จะมียาปฏิชีวนะ ที่จะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียโดยต้องใช้ร่วมกับยากลุ่ม benzoyl peroxide เพื่อไม่ให้ดื้อยา ซึ่งตัวนี้จะช่วยลดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบได้  หรือสามารถใช้ยาในกลุ่มวิตามินเอได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยาประเภททาเฉพาะที่มักจะมีผลข้างเคียง เช่น การระคายเคือง แห้งหรือลอก ไหม้  ถ้ามีอาการดังกล่าวก็ควรที่จะหยุดใช้ ในกรณีของคนที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง อาจต้องใช้ยารับประทานกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ซึ่งควรที่จะรับประทานในการดูแลของแพทย์เท่าเพราะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงเยอะ         อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้หญิงหลายคนเป็นสิวที่เกิดจาก “อาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่” (PCOS) เยอะขึ้น เช่น สิวขึ้น และมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีฮอร์โมนเพศชายเยอะ ขนดก หน้ามัน ผมร่วง ดังนั้นหากลองสังเกตตัวเองแล้วมีแนวโน้มจะเป็นสิวจากสาเหตุดังนี้ ควรไปพบแพทย์เฉพาะด้านเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง เพราะสิวดังกล่าวรักษาด้วยวิธีเบื้องต้นอาจจะไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นได้         นอกจากนี้  ผิวหน้าเรานั้นบอบบางและเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ หากสิวขึ้นและต้องการหาวิธีรักษาก็ควรที่จะศึกษาก่อนหรือพบแพทย์ไปเลย  ผู้บริโภคพยายามอย่าตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ในออนไลน์ที่มีการโฆษณาเกินจริงว่าใช้แล้วดี 3-7 วัน เพื่อลดความเสี่ยงได้ครีมเถื่อน เนื่องจากการดูแลรักษาให้ถูกวิธีแม้จะช้าหรือใช้ระยะเวลานานไม่ทันใจ ยังไงก็ดีกว่าแน่นอน           อ้างอิง : https://www.sukumvithospital.com/healthcontent.php?id=194https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2019/know-about-acnehttps://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=781https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1274

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 262 กำจัดกลิ่นตัวอย่างไรดี?

        “กลิ่นตัว” เปรียบเสมือนตัวร้าย ที่มักทำให้หลายคนเสียความมั่นใจและเสียบุคลิก เพราะบางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวจนทำให้กลิ่นของตัวเราเองดันไปรบกวนคนรอบข้าง แถมยิ่งสภาพอากาศบ้านเราค่อนข้างที่จะร้อน ชื้นและอบอ้าว ยิ่งทำให้เหงื่อบริเวณรักแร้มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัว ฉลาดซื้อเข้าใจว่าปัญหานี้มันกวนใจแค่ไหน จึงอยากแนะนำวิธีการดูแลทำความสะอาดยังไงให้ไม่มีกลิ่นตัว ดังนี้         การดูแลความสะอาดให้ไม่มีกลิ่นตัว        ไม่อยากมีกลิ่นตัวก็ต้องดูแลความสุขอนามัยให้ดี โดยเฉพาะในส่วนของใต้วงแขน ซึ่งคือจุดที่เกิดก่อให้เกิดกลิ่นตัวโดยง่าย หรือข้อพับตามร่างกายของเราด้วยเช่นกัน        1. ขั้นตอนแรกที่ควรทำ คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดับกลิ่นใต้วงแขนตามท้องตลาด เช่น โรลออน สเปรย์ดับกลิ่น โดยส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่พบว่ามีสารช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสารลดเหงื่อ รวมถึงน้ำหอมที่ช่วยกลบกลิ่นอีกด้วย        -  หากแพ้น้ำหอมควรอ่านฉลากในส่วนผสมและหลีกเลี่ยงทันที          -  ถ้าแพ้โรลออนหรือสเปรย์ อาจจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อแป้ง หรือสารส้มดับกลิ่นสุดเบสิคของบ้านเราแทน        -  ใครที่มีเหงื่อเยอะหรือคิดว่าสาเหตุหลักๆ มาจากเหงื่อนี้ล่ะ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีอะลูมิเนียม คลอไรด์        2. การอาบน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรอาบวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สบู่ที่เน้นฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และควรเน้นทำความสะอาดที่บริเวณใต้วงแขนหรือตามข้อพับ จุดอับต่างๆ บริเวณร่างกาย เพราะยิ่งร่างกายสะอาดแบคทีเรียก็ลดลงการเกิดกลิ่นก็จะน้อยลงตามด้วย        3. ปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารการกินก็มีส่วนช่วยได้ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หอม หรือพวกอาหารรสจัด        4. หากวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ดีขึ้น อาจจะต้องลองใช้วิธีการฉีดโบท็อกซ์ใต้วงแขนเพื่อลดเหงื่อให้น้อยลงได้ โดยส่วนมากโบท็อกซ์ดังกล่าวจะอยู่ได้แค่ประมาณ 6-8 เดือน ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติ และการใช้วิธีนี้ควรที่จะปรึกษาแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของเราเอง ใครที่อยากเข้าคลินิกเสริมความงามเพื่อฉีดโบท็อกซ์ ก็ควรเช็กสถานประกอบการให้ดีว่าได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ และแพทย์ที่ให้บริการได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจริงๆ        5. ในส่วนของคนที่ได้ลองหาวิธีมาทำทุกรูปแบบแล้ว แต่ยังพบว่ายังคงมีกลิ่นตัวอยู่ ควรพบแพทย์เพื่อรักษา หาสาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากอะไร ส่วนมากแพทย์จะให้ยาทาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือยากินถ้าอาการไม่ดีขึ้นอาจจะต้องผ่าตัดต่อมกลิ่น        6. ควรกำจัดขนใต้วงแขนเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย และสวมเสื้อผ้าที่สะอาดอยู่เสมอ ไม่ควรสวมเสื้อผ้าซ้ำที่ไม่ได้ซักทำความสะอาด         หลายคนอาจจะมีปัญหาเรื่องกลิ่นตัวติดเสื้อผ้า โดยเฉพาะจุดที่อยู่ใต้วงแขน หากจะนำมาใส่ก็จะมีกลิ่นเหม็นมาเรื่อยๆ ไม่หายไปสักที เบื้องต้นอาจจะทำความสะอาดเสื้อตัวนั้นด้วยน้ำส้มสายชู 2-3 ช้อน แช่น้ำทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วนำไปซัก หรือใช้เบกกิ้งโซดาเป็นตัวช่วยโดยนำมาผสมกับน้ำอุ่นให้ข้นแล้วป้ายทิ้งไว้ที่บริเวณนั้นทิ้งไว้สัก 30 นาที แล้วน้ำมาซักตามปกติ แต่ถ้าลองทำวิธีนี้แล้วกลิ่นไม่จางหาย อาจจะลองใช้วิธีอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ได้ แต่ก็ควรระมัดระวังในส่วนผสมของสารเคมีอีกด้วย         อ้างอิง : Mahidol Channel มหิดล แชนแนล | 4 วิธีรักษากลิ่นตัวเหม็น https://youtu.be/1qG4lUUgOXI        กลิ่นตัวคืออะไรและจัดการได้อย่างไร - พบแพทย์ (pobpad.com)        กลิ่นตัว เรื่องใหญ่ใกล้ตัว - Phyathai Hospital        7 เคล็ดวิธีแก้กลิ่นตัวติดเสื้อและเสื้อผ้าเหม็นเหงื่อ | Cleanipedia

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 261 ฝีในจุดซ่อนเร้น

        ถ้าถามว่าบริเวณใดของร่างกายผู้หญิงที่หลายคนค่อนข้างกังวล คงไม่พ้นจุดซ่อนเร้นเนื่องจากเป็นจุดที่บอบบางและไม่สะดวกในการขอคำปรึกษากับผู้อื่น สวยอย่างฉลาดเราเคยกล่าวถึงปัญหาเรื่องกลิ่นไปครั้งหนึ่ง ก็มีผู้สงสัยต่อไปอีกว่า แล้วหากกรณีติดเชื้อจนเกิดฝีที่บริเวณดังกล่าวต้องทำอย่างไรหรือจะป้องกันอย่างไรดี                   “ฝีที่อวัยวะเพศ” หรือเรียกอีกอย่างว่า ฝีต่อมบาร์โธลิน โดยปกตินั้นส่วนมากมักเกิดจากการที่ต่อมบาร์โธลินของเราอักเสบบริเวณปากช่องคลอด อาจเกิดจากที่ต่อมบาร์โธลินที่ปกติมีหน้าที่คอยผลิตสารหล่อลื่นเกิดการอุดตัน หรือสาเหตุอื่นๆ จนก่อให้เกิดถุงน้ำเล็กๆ ขึ้นมาก  ซึ่งในระยะแรกอาจจะยังไม่มีอาการอะไรที่แน่ชัดให้ได้สังเกตถึงความผิดปกติของตนเอง         สังเกตอาการอย่างไร         ส่วนมากอาการทั่วไปคือ  บวมในบริเวณที่เป็นก้อนและบริเวณปากช่องคลอดข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง นอกจากนี้ในขณะเคลื่อนไหวตัว เช่น เดิน วิ่ง นั่ง จะรู้สึกไม่สบายตัวได้ หากมีอาการมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น เช่น มีไข้หนาวสั่นร่วมด้วย มีหนองไหลออกมา เจ็บปวดบริเวณก้อนที่ขึ้นมาบริเวณช่องคลอด เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือเคลื่อนไหวตัวลำบาก อาจเกิดจากการที่บริเวณฝีที่อวัยวะเพศนั้นติดเชื้อ ดังนั้นหากมีอาการนี้ควรเข้าไปพบแพทย์ทันที (อย่าอายจนปล่อยให้ลุกลาม)         ปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเป็นฝีบริเวณจุดซ่อนเร้น         ความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดฝีบริเวณอวัยวะเพศนั้น อาจมีสาเหตุดังนี้        -        ไม่ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์        -        มีสิ่งหมักหมมบริเวณปากช่องคลอด เช่น เหงื่อ เมือก หรือปัสสาวะ        -        มีอาการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ อาจเกิดจากการเสียดสี        -        ชอบสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นเกินหรือชุดชั้นในนั้นๆ มีความอับชื้นจนก่อให้เกิดสิ่งหมักหมมได้        -        อาจจะเคยผ่าตัดช่องคลอดหรือบริเวณแคมช่องคลอดอีกด้วย         การป้องกันเบื้องต้นโดยทั่วไป         เนื่องจากการเกิดฝีที่บริเวณอวัยวะเพศนั้นสามารถเกิดจากหลายปัจจัยความเสี่ยง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าว ควรเริ่มตั้งแต่รักษาความสะอาดหลีกเลี่ยงปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ เช่น        -        สวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เพื่อป้องกันฝีอย่างเดียวแต่การสวมถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคที่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อีกด้วยซึ่งเป็นข้อดี        -        ไม่ควรสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้ไม่มีการระบาย และไม่ควรใส่ชุดชั้นในที่อับชื้นอีกด้วย เพราะอาจจะก่อให้เกิดสิ่งหมักหมม        -        ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นสม่ำเสมอแต่ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีน้ำหอมเป็นส่วนผสม หรือพวกสบู่ธรรมดาที่ใช้กับผิวกายเนื่องจากอาจทำให้บริเวณจุดซ่อนเร้นที่มีความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติอยู่แล้วเสียสมดุล เพราะโดยส่วนมากสบู่บางชนิดอาจมีสารลดแรงตึงผิวที่มากเกินไป        -        ไม่สวนล้างช่องคลอดล้างเพียงแค่บริเวณด้านนอกเท่านั้น และหลังเข้าห้องน้ำอย่าลืมใช้ทิชชู่ซับ เพื่อลดความอับชื้น ห้ามเช็ดจากด้านหลังไปสู่ด้านหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากช่องทวารหนักอีกด้วย        -        สุดท้ายอาจพิจารณาเรื่องการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี         ทั้งนี้ หากมีอาการฝีที่อวัยวะเพศแล้วการรักษาเบื้องต้น คือ แช่น้ำอุ่นหรือประคบอุ่น อาจจะทำวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้บริเวณถุงน้ำก้อนๆ บริเวณช่องคลอดนั้นเริ่มแห้งขึ้น และหากมีอาการปวดก็สามารถรับประทานแก้ปวดประเภทพาราเซตามอลได้ แต่หากไม่ดีขึ้นการเข้าไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกทางนั้นดีที่สุดอ้างอิงฝีที่อวัยเพศหญิง สาเหตุ อาการ การรักษา - Hello Khunmorhttps://www.petcharavejhospital.com/en/Article/article_detail/Bartholin-Cyst-A-Cyst-Coming-Out%20-Vulvaถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน (Bartholin's Cyst) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา - พบแพทย์ (pobpad.com)

อ่านเพิ่มเติม >