“การนอนหลับให้เต็มอิ่ม” เป็นเรื่องทั่วไปที่คิดว่าเราทุกคนต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากการหลับให้เต็มอิ่ม ก็เหมือนกับการที่ร่างกายของเราจะได้พักผ่อนหรือชาร์ตพลังชีวิตให้เต็มที่ หลังจากที่เราได้ใช้ร่างกายปฏิบัติกิจวัตรประจำวันมาตลอดเวลาหลายชั่วโมง ทว่าในปัจจุบันหลายคนที่ต้องการการพักผ่อนด้วยการนอนหลับนั้นกลับไม่สามารถนอนได้อย่างเต็มอิ่มหรือที่เรียกว่า เกิดภาวะโรคนอนไม่หลับ ซึ่งส่งผลทำให้ร่างกายนั้นรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลาและตามมาด้วยความเสี่ยงของอาการป่วยอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าส่งผลต่อ “ความสวยงาม” โดยตรงไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ ที่ซูบหมอง รอยคล้ำใต้ตา หรือแม้แต่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลให้มีอาการนอนไม่หลับ อาการนอนไม่หลับอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้ 1. ภาวะความเครียด วิตกกังวล หรืออาจมีปัญหาทางด้านสภาวะจิตใจ หากเป็นภาวะนี้และไม่สามารถหาสาเหตุได้ ควรที่จะปรึกษานักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุและรักษาให้ตรงจุด 2. สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น เสียงดังรอบๆ ตัว ซึ่งรบกวนการนอนบางคนอาจอาศัยอยู่ในละแวกที่มีการจราจรตลอดเวลา สถานที่ก่อสร้าง หรือเสียงทีวี เสียงนอนกรนของคนข้างตัว รวมถึงเรื่องของปัญหาแสงไฟที่รบกวนการนอน เหตุนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการนอนไม่หลับ 3. พฤติกรรมก่อนนอน เช่น ดื่มกาแฟ ชา(ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน) แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาบางชนิดก็มีผลต่อการนอนอีกด้วย เนื่องจากบางคนอาจต้องใช้ยาในการรักษาโรคของตนเอง ทั้งนี้ อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้แตกต่างกันไปแล้วแต่ละบุคคล เราควรนอนกี่ชั่วโมงเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่ โดยปกติทั่วไปมนุษย์เราหากเป็นผู้ใหญ่(วัยทำงาน) ควรที่จะได้พักผ่อน 7-9 ชั่วโมง ถึงจะเรียกได้ว่าพักผ่อนเต็มที่ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุควรพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง ในส่วนของวัยรุ่น 8-10 ชั่วโมง อาการนอนไม่หลับนานเท่าไหร่ถึงจะต้องพบแพทย์ หากเริ่มมีอาการนอนไม่หลับนานติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์ และเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน เช่น ไม่มีสมาธิ มีปัญหาด้านความจำ ความกังวล ภาวะเครียด หรือส่งผลกระทบกับร่างกาย จนมีอาการป่วยเพิ่มโดยสาเหตุจากการนอนหลับไม่เพียงพอ ก็ควรที่จะไปปรึกษาแพทย์ได้ทันที การรับมือกับปัญหาการนอนไม่หลับ · ควรปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวที่ก่อให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับ พยายามทำให้ห้องนอนนั้นมีความสงบ แสงสว่างน้อยที่สุดปิดโคมไฟ (สีของแสงก็อาจเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้า โดยเฉพาะจากโทรศัพท์มือถือ) และผ้าม่านควรปิดให้สนิทเพื่อไม่ให้แสงส่องผ่านเข้ามาได้ ในส่วนของเสียงก็ควรรบกวนน้อยที่สุด หากใครอยู่ในพื้นที่มีการจราจรไม่สามารถหลีกเลี่ยงเสียงดังได้ ก็อาจจะต้องใช้ตัวช่วยอื่นๆ การใช้อุปกรณ์เสริมที่ครอบหูลดเสียงแบบที่ใส่แล้วเราหลับได้อย่างสบาย หากยังไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ก็อาจจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางออกได้ถูกวิธี · เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น งดการดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน หรืองดแอลกอฮอล์ต่างๆ รวมถึงการสูบบุหรี่อีกด้วย และปรับเป็นการออกกำลังกาย 4-6 ชั่วโมง ก่อนนอนจะดีมาก พร้อมกับพยายามปรับอุณหภูมิห้องให้พอดี · เวลาการนอนก็ควรที่จะปรับให้เหมาะสม เช่น เข้านอนเวลาเดิมเหมือนกันทุกคืนเพื่อให้ร่างกายได้ปรับเปลี่ยนและจำเวลาการนอนได้เอง · งดเล่นมือถือ สัก 1 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะส่วนมากหน้าจอมือถือจะมีแสงสีฟ้าที่มีผลต่อสารเมลาโทนิน(สารควบคุมการหลับการตื่น) ทำให้มีผลนอนไม่หลับได้ · อาจใช้กลิ่นเป็นตัวช่วยได้เพื่อผ่อนคลายในการนอน เช่น เทียนหอมอโรม่า กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นคาโมมายล์ หรือเลือกตามชอบเป็นต้น ข้อมูลอ้างอิงอยากนอน แต่นอนไม่หลับ ใช่อาการป่วยทางจิตหรือไม่? | โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital 9 เทคนิค...เอาชนะการนอนไม่หลับ - Phyathai Hospitalhttps://www.rajavithi.go.th/rj/?p=4122นอนไม่หลับ แก้ได้... เริ่มจากตัวเรา – รามา แชนแนล (mahidol.ac.th)https://www.hfocus.org/content/2018/04/15690
อ่านเพิ่มเติม >“สิว” ตัวการที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจ ไม่ว่าจะหนุ่มหรือสาวเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นมักจะมีปัญหาสิวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด ทำให้หลายคนพยายามจะหาวิธีการรักษาให้สิวนั้นหายไปโดยไว จนบางครั้งก็อาจจะไปหลงใช้ครีมเถื่อน ทำให้มีอาการหนักขึ้นกว่าเดิมได้ จึงต้องระมัดระวังไม่หลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงเหล่านั้น ก่อนจะแก้ไขปัญหาควรต้องมองที่ปัจจัยการเกิดของสิวกันก่อนซึ่งสิวนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย บางคนก็เกิดจาก ฮอร์โมนของร่างกายหรืออาจเกิดจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น ผลข้างเคียงจากการใช้ครีม โลชั่น ยา เครื่องสำอาง รวมถึงสุขอนามัยและอาหารการกินด้วย ประเภทสิว มีอยู่หลายแบบ โดยหลักๆ ก็จะมี “สิวที่อักเสบ” และ “ไม่อักเสบ” สิวที่ไม่อักเสบส่วนมากจะเป็นสิวหัวปิด จะมีทั้ง สิวอุดตันหัวขาวและหัวดำ ในส่วนสิวอักเสบนั้น มักจะเป็นตุ่มแดง สิวหัวช้าง หรือสิวที่เป็นตุ่มหนอง ดูแลผิวหน้าป้องกันการเกิดสิว · การรักษาความสะอาดเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรใส่ใจ ล้างหน้าเพียงวันละไม่เกิน 2 ครั้ง ไม่ขัดถูที่ผิวหน้าแรงๆ หากใครที่แต่งหน้าควรล้างเครื่องสำอางออกก่อน โดยใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกคลีนซิ่ง เช็ดเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนล้างหน้า ซึ่งถ้าใครเป็นคนที่มีผิวอ่อนแอระคายเคืองง่ายก็ควรที่จะเลือกใช้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมเป็นส่วนผสม และทำความสะอาดเครื่องใช้ที่ต้องสัมผัสกับใบหน้าทั้งหมด · ในกรณีที่มีสิวขึ้นบนผิวหน้าเพื่อไม่ให้อาการแย่ไปยิ่งกว่าเดิม ควรต้องงดการใช้มือไปสัมผัสที่บริเวณสิวเพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบและลุกลามไปยิ่งกว่าเดิม รวมถึง ไม่บีบ แคะ แกะ เกา · วิธีอื่น ๆ ที่ช่วยเสริม เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่เครียด และรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พวกผักผลไม้และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัดได้ยิ่งดีการรักษา หากป้องกันแล้วยังเกิดปัญหาสิว คุณต้องใจเย็นเพราะการรักษาต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่งกว่าจะหาย ซึ่งการรักษาที่ก็มีทั้งแบบทายาหรือแบบรับประทาน ซึ่งจะขึ้นอยู่ที่ความเหมาะสมประเภทของสิวที่แพทย์จะประเมิน การใช้ยาทาในการรักษาสิวนั้น ก็จะมียาปฏิชีวนะ ที่จะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียโดยต้องใช้ร่วมกับยากลุ่ม benzoyl peroxide เพื่อไม่ให้ดื้อยา ซึ่งตัวนี้จะช่วยลดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบได้ หรือสามารถใช้ยาในกลุ่มวิตามินเอได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยาประเภททาเฉพาะที่มักจะมีผลข้างเคียง เช่น การระคายเคือง แห้งหรือลอก ไหม้ ถ้ามีอาการดังกล่าวก็ควรที่จะหยุดใช้ ในกรณีของคนที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง อาจต้องใช้ยารับประทานกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ซึ่งควรที่จะรับประทานในการดูแลของแพทย์เท่าเพราะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงเยอะ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้หญิงหลายคนเป็นสิวที่เกิดจาก “อาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่” (PCOS) เยอะขึ้น เช่น สิวขึ้น และมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีฮอร์โมนเพศชายเยอะ ขนดก หน้ามัน ผมร่วง ดังนั้นหากลองสังเกตตัวเองแล้วมีแนวโน้มจะเป็นสิวจากสาเหตุดังนี้ ควรไปพบแพทย์เฉพาะด้านเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง เพราะสิวดังกล่าวรักษาด้วยวิธีเบื้องต้นอาจจะไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ ผิวหน้าเรานั้นบอบบางและเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ หากสิวขึ้นและต้องการหาวิธีรักษาก็ควรที่จะศึกษาก่อนหรือพบแพทย์ไปเลย ผู้บริโภคพยายามอย่าตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ในออนไลน์ที่มีการโฆษณาเกินจริงว่าใช้แล้วดี 3-7 วัน เพื่อลดความเสี่ยงได้ครีมเถื่อน เนื่องจากการดูแลรักษาให้ถูกวิธีแม้จะช้าหรือใช้ระยะเวลานานไม่ทันใจ ยังไงก็ดีกว่าแน่นอน อ้างอิง : https://www.sukumvithospital.com/healthcontent.php?id=194https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2019/know-about-acnehttps://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=781https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1274
อ่านเพิ่มเติม >“กลิ่นตัว” เปรียบเสมือนตัวร้าย ที่มักทำให้หลายคนเสียความมั่นใจและเสียบุคลิก เพราะบางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวจนทำให้กลิ่นของตัวเราเองดันไปรบกวนคนรอบข้าง แถมยิ่งสภาพอากาศบ้านเราค่อนข้างที่จะร้อน ชื้นและอบอ้าว ยิ่งทำให้เหงื่อบริเวณรักแร้มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัว ฉลาดซื้อเข้าใจว่าปัญหานี้มันกวนใจแค่ไหน จึงอยากแนะนำวิธีการดูแลทำความสะอาดยังไงให้ไม่มีกลิ่นตัว ดังนี้ การดูแลความสะอาดให้ไม่มีกลิ่นตัว ไม่อยากมีกลิ่นตัวก็ต้องดูแลความสุขอนามัยให้ดี โดยเฉพาะในส่วนของใต้วงแขน ซึ่งคือจุดที่เกิดก่อให้เกิดกลิ่นตัวโดยง่าย หรือข้อพับตามร่างกายของเราด้วยเช่นกัน 1. ขั้นตอนแรกที่ควรทำ คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดับกลิ่นใต้วงแขนตามท้องตลาด เช่น โรลออน สเปรย์ดับกลิ่น โดยส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่พบว่ามีสารช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสารลดเหงื่อ รวมถึงน้ำหอมที่ช่วยกลบกลิ่นอีกด้วย - หากแพ้น้ำหอมควรอ่านฉลากในส่วนผสมและหลีกเลี่ยงทันที - ถ้าแพ้โรลออนหรือสเปรย์ อาจจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อแป้ง หรือสารส้มดับกลิ่นสุดเบสิคของบ้านเราแทน - ใครที่มีเหงื่อเยอะหรือคิดว่าสาเหตุหลักๆ มาจากเหงื่อนี้ล่ะ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีอะลูมิเนียม คลอไรด์ 2. การอาบน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรอาบวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สบู่ที่เน้นฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และควรเน้นทำความสะอาดที่บริเวณใต้วงแขนหรือตามข้อพับ จุดอับต่างๆ บริเวณร่างกาย เพราะยิ่งร่างกายสะอาดแบคทีเรียก็ลดลงการเกิดกลิ่นก็จะน้อยลงตามด้วย 3. ปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารการกินก็มีส่วนช่วยได้ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หอม หรือพวกอาหารรสจัด 4. หากวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ดีขึ้น อาจจะต้องลองใช้วิธีการฉีดโบท็อกซ์ใต้วงแขนเพื่อลดเหงื่อให้น้อยลงได้ โดยส่วนมากโบท็อกซ์ดังกล่าวจะอยู่ได้แค่ประมาณ 6-8 เดือน ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติ และการใช้วิธีนี้ควรที่จะปรึกษาแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของเราเอง ใครที่อยากเข้าคลินิกเสริมความงามเพื่อฉีดโบท็อกซ์ ก็ควรเช็กสถานประกอบการให้ดีว่าได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ และแพทย์ที่ให้บริการได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจริงๆ 5. ในส่วนของคนที่ได้ลองหาวิธีมาทำทุกรูปแบบแล้ว แต่ยังพบว่ายังคงมีกลิ่นตัวอยู่ ควรพบแพทย์เพื่อรักษา หาสาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากอะไร ส่วนมากแพทย์จะให้ยาทาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือยากินถ้าอาการไม่ดีขึ้นอาจจะต้องผ่าตัดต่อมกลิ่น 6. ควรกำจัดขนใต้วงแขนเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย และสวมเสื้อผ้าที่สะอาดอยู่เสมอ ไม่ควรสวมเสื้อผ้าซ้ำที่ไม่ได้ซักทำความสะอาด หลายคนอาจจะมีปัญหาเรื่องกลิ่นตัวติดเสื้อผ้า โดยเฉพาะจุดที่อยู่ใต้วงแขน หากจะนำมาใส่ก็จะมีกลิ่นเหม็นมาเรื่อยๆ ไม่หายไปสักที เบื้องต้นอาจจะทำความสะอาดเสื้อตัวนั้นด้วยน้ำส้มสายชู 2-3 ช้อน แช่น้ำทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วนำไปซัก หรือใช้เบกกิ้งโซดาเป็นตัวช่วยโดยนำมาผสมกับน้ำอุ่นให้ข้นแล้วป้ายทิ้งไว้ที่บริเวณนั้นทิ้งไว้สัก 30 นาที แล้วน้ำมาซักตามปกติ แต่ถ้าลองทำวิธีนี้แล้วกลิ่นไม่จางหาย อาจจะลองใช้วิธีอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ได้ แต่ก็ควรระมัดระวังในส่วนผสมของสารเคมีอีกด้วย อ้างอิง : Mahidol Channel มหิดล แชนแนล | 4 วิธีรักษากลิ่นตัวเหม็น https://youtu.be/1qG4lUUgOXI กลิ่นตัวคืออะไรและจัดการได้อย่างไร - พบแพทย์ (pobpad.com) กลิ่นตัว เรื่องใหญ่ใกล้ตัว - Phyathai Hospital 7 เคล็ดวิธีแก้กลิ่นตัวติดเสื้อและเสื้อผ้าเหม็นเหงื่อ | Cleanipedia
อ่านเพิ่มเติม >ถ้าถามว่าบริเวณใดของร่างกายผู้หญิงที่หลายคนค่อนข้างกังวล คงไม่พ้นจุดซ่อนเร้นเนื่องจากเป็นจุดที่บอบบางและไม่สะดวกในการขอคำปรึกษากับผู้อื่น สวยอย่างฉลาดเราเคยกล่าวถึงปัญหาเรื่องกลิ่นไปครั้งหนึ่ง ก็มีผู้สงสัยต่อไปอีกว่า แล้วหากกรณีติดเชื้อจนเกิดฝีที่บริเวณดังกล่าวต้องทำอย่างไรหรือจะป้องกันอย่างไรดี “ฝีที่อวัยวะเพศ” หรือเรียกอีกอย่างว่า ฝีต่อมบาร์โธลิน โดยปกตินั้นส่วนมากมักเกิดจากการที่ต่อมบาร์โธลินของเราอักเสบบริเวณปากช่องคลอด อาจเกิดจากที่ต่อมบาร์โธลินที่ปกติมีหน้าที่คอยผลิตสารหล่อลื่นเกิดการอุดตัน หรือสาเหตุอื่นๆ จนก่อให้เกิดถุงน้ำเล็กๆ ขึ้นมาก ซึ่งในระยะแรกอาจจะยังไม่มีอาการอะไรที่แน่ชัดให้ได้สังเกตถึงความผิดปกติของตนเอง สังเกตอาการอย่างไร ส่วนมากอาการทั่วไปคือ บวมในบริเวณที่เป็นก้อนและบริเวณปากช่องคลอดข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง นอกจากนี้ในขณะเคลื่อนไหวตัว เช่น เดิน วิ่ง นั่ง จะรู้สึกไม่สบายตัวได้ หากมีอาการมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น เช่น มีไข้หนาวสั่นร่วมด้วย มีหนองไหลออกมา เจ็บปวดบริเวณก้อนที่ขึ้นมาบริเวณช่องคลอด เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือเคลื่อนไหวตัวลำบาก อาจเกิดจากการที่บริเวณฝีที่อวัยวะเพศนั้นติดเชื้อ ดังนั้นหากมีอาการนี้ควรเข้าไปพบแพทย์ทันที (อย่าอายจนปล่อยให้ลุกลาม) ปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเป็นฝีบริเวณจุดซ่อนเร้น ความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดฝีบริเวณอวัยวะเพศนั้น อาจมีสาเหตุดังนี้ - ไม่ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ - มีสิ่งหมักหมมบริเวณปากช่องคลอด เช่น เหงื่อ เมือก หรือปัสสาวะ - มีอาการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ อาจเกิดจากการเสียดสี - ชอบสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นเกินหรือชุดชั้นในนั้นๆ มีความอับชื้นจนก่อให้เกิดสิ่งหมักหมมได้ - อาจจะเคยผ่าตัดช่องคลอดหรือบริเวณแคมช่องคลอดอีกด้วย การป้องกันเบื้องต้นโดยทั่วไป เนื่องจากการเกิดฝีที่บริเวณอวัยวะเพศนั้นสามารถเกิดจากหลายปัจจัยความเสี่ยง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าว ควรเริ่มตั้งแต่รักษาความสะอาดหลีกเลี่ยงปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ เช่น - สวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เพื่อป้องกันฝีอย่างเดียวแต่การสวมถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคที่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อีกด้วยซึ่งเป็นข้อดี - ไม่ควรสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้ไม่มีการระบาย และไม่ควรใส่ชุดชั้นในที่อับชื้นอีกด้วย เพราะอาจจะก่อให้เกิดสิ่งหมักหมม - ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นสม่ำเสมอแต่ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีน้ำหอมเป็นส่วนผสม หรือพวกสบู่ธรรมดาที่ใช้กับผิวกายเนื่องจากอาจทำให้บริเวณจุดซ่อนเร้นที่มีความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติอยู่แล้วเสียสมดุล เพราะโดยส่วนมากสบู่บางชนิดอาจมีสารลดแรงตึงผิวที่มากเกินไป - ไม่สวนล้างช่องคลอดล้างเพียงแค่บริเวณด้านนอกเท่านั้น และหลังเข้าห้องน้ำอย่าลืมใช้ทิชชู่ซับ เพื่อลดความอับชื้น ห้ามเช็ดจากด้านหลังไปสู่ด้านหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากช่องทวารหนักอีกด้วย - สุดท้ายอาจพิจารณาเรื่องการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ หากมีอาการฝีที่อวัยวะเพศแล้วการรักษาเบื้องต้น คือ แช่น้ำอุ่นหรือประคบอุ่น อาจจะทำวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้บริเวณถุงน้ำก้อนๆ บริเวณช่องคลอดนั้นเริ่มแห้งขึ้น และหากมีอาการปวดก็สามารถรับประทานแก้ปวดประเภทพาราเซตามอลได้ แต่หากไม่ดีขึ้นการเข้าไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกทางนั้นดีที่สุดอ้างอิงฝีที่อวัยเพศหญิง สาเหตุ อาการ การรักษา - Hello Khunmorhttps://www.petcharavejhospital.com/en/Article/article_detail/Bartholin-Cyst-A-Cyst-Coming-Out%20-Vulvaถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน (Bartholin's Cyst) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา - พบแพทย์ (pobpad.com)
อ่านเพิ่มเติม >เริ่มเข้าช่วงเดือนแห่งความหนาวกันอีกรอบ (ช่วงเวลาหนาวแต่อากาศไม่หนาว) หลายคนคงหนีไม่พ้นปัญหาสุดคลาสสิกผิวแห้ง แตก ผิวหน้าลอกเป็นขุย รวมถึงริมฝีปากที่แตกแห้งน่ารำคาญ ริมฝีปากบางคนถึงขั้นสามารถดึงลอกผิวที่ปากออกมาได้เป็นแผ่นๆ ริมฝีปากหากไม่ดูแลก็สร้างความผิดหวังหรือลดทอนความสง่างามของบุคลิกได้ การดูแลริมฝีปากควรเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรให้ความใส่ใจและดูแลเป็นประจำ ถึงแม้ว่าช่วงสถานการณ์โควิดจะทำให้เราใส่หน้ากากอนามัยจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับริมฝีปากมากนัก แต่การดูแลให้มีสุขภาพดีไม่แห้งแตกคงจะดีมากกว่าปกปิดไปเรื่อยๆ ฉลาดซื้อจึงมีวิธีดูแลรืมฝีปากง่ายๆ มาฝาก สาเหตุริมฝีปากแห้ง หลักๆ ก็คือสภาพอากาศที่ความชื้นในอากาศลดน้อยลง หรืออากาศเย็นขึ้นทำให้ร่างกายผิวของเรานั้นมีการสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าปกติ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงสมดุลของผิวหนัง ทำให้ผิวแตกแห้งได้ง่ายกว่าปกติ วิธีดูแลริมฝีปากไม่ให้แห้งแตก · แบบง่าย คือการบำรุงด้วยความชุ่มชื้น เช่น ลิปมัน ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียม ขี้ผึ้ง หรือลิปมันปกติที่มีค่าการป้องกันแดดได้ เพราะแสงแดดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุเช่นกัน และควรที่จะทาเป็นประจำ เช้า ระหว่างวัน และก่อนนอน แม้จะไม่ใช่หน้าหนาวก็ตาม เพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา · การดื่มน้ำบ่อยๆ ให้เพียงพอ 8-10 แก้วเป็นประจำ · ระมัดระมัดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาริมฝีปาก เช่น พวกที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายอย่างลิปสติกที่มีน้ำหอมเป็นส่วนประกอบเป็นต้น ดังนั้นก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ควรอ่านฉลากเช็กให้ละเอียด · หากเกิดอาการที่ไม่ใช้แค่แห้งแตก ลอกเป็นขุย แต่เป็นอาการแพ้คัน ให้สังเกตว่าอาจจะเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อย่างพวก ยาสีฟัน หรือลิปสติกที่มีส่วนประกอบที่ทำให้ระคายเคือง ดังนั้นควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยนั้นทันที · ในกรณีสงสัยว่าจะแพ้จากสารเคมีอื่นจริงๆ ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโดยทำ patch test ทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง · สิ่งที่ไม่ควรทำหากริมฝีปากแตกแห้ง คือ การใช้น้ำลายเลียที่ปากนั้นเอง เพราะหากสังเกตดีๆ คนที่เคยทำจะพบว่าเหมือนริมฝีปากเรานั้นมีอาการที่แห้งแตกยิ่งกว่าเดิม ทั้งนี้ นอกจากการเลียริมฝีปากแล้วก็ห้ามทำพฤติกรรม เช่น กัดริมฝีปากเนื่องจากเวลาเราปากแห้ง ต่อมา ถ้าไม่มีการบำรุงหรือให้ความชุ่มชื่นแก่ริมฝีปากมากพอก็จะก่อให้เกิดการแตกและบางคนก็อาจจะกัดผิวที่แตกลอกออกมา รวมถึงการใช้มือแกะหรือเกาอีกด้วย จนทำให้เกิดแผลที่ริมฝีปากเล็กๆ ได้ ที่ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะริมฝีปากเป็นสิ่งที่บอบบางพอสมควรหากเกิดแผลแล้วอาจจะก่อให้ติดเชื้อได้ด้วย ที่สำคัญลิปสติกหรือลิปบาล์มแบบกระปุกก็ไม่ควรที่จะใช้ร่วมกับผู้อื่นด้วยเหมือนกัน อีกเรื่องที่ฉลาดซื้ออยากให้ระวังคือพวกลิปสติกปลอม เพราะก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ริมฝีปากพังได้ เกิดการระคายเคือง พุพอง แสบคัน ลอก จากสารเคมีที่ไม่รู้ว่าใส่อะไรเข้าไปบ้างและตรวจสอบได้ยาก ซึ่งน่ากลัวกว่าการที่ปากเราแห้งแตกจากอากาศหนาวอีกนะคะ ข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81 https://www.pobpad.com/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81-%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B9%89 https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=961
อ่านเพิ่มเติม >ปกติจุดซ่อนเร้นหรือบริเวณอวัยวะเพศหญิง อันเป็นพื้นที่บอบบางนั้น หากดูแลทำความสะอาดไม่ดีอาจก่อโรคได้ ที่พบบ่อยคือ การเป็นตกขาวที่เกิดได้จากหลายสาเหตุแตกต่างกันไป ตกขาวนอกจากจะทำให้มีอาการแสบหรือคันแล้ว เรื่องกลิ่นก็เป็นเรื่องน่ากังวลใจสำหรับผู้หญิงที่ทำให้เสียความมั่นใจได้ ดังนั้นการเป็นผู้หญิงนอกจากสวยแล้วต้องสะอาดด้วย ตกขาวแบบปกติและไม่ปกติ · ตกขาว เป็นสารคัดหลั่งที่ร่างกายขับออกมาตามปกติของผู้หญิงในวัยเจริญเติบโต ซึ่ง ตกขาวแบบปกตินั้น จะมีลักษณะขาวใส ไม่มีกลิ่นและไม่อันตราย โดยไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย · แต่หากเป็น ตกขาวไม่ปกติ จะมีลักษณะดังนี้ สีจะออกเหลืองเขียวอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ หรืออาจมีตกขาวสีเทาได้อีกด้วย ถ้าเป็นสีน้ำตาลต้องระวังเป็นพิเศษและต้องได้รับการตรวจให้ละเอียดเพราะมีความเสี่ยงของโรคมะเร็งปากมดลูก · ตกขาวที่ต้องเพิ่มการสังเกตมากกว่าปกติคือ ตกขาวสีออกขาวหรือเหลืองอ่อนๆ เนื่องจากคุณผู้หญิงอาจมองว่าตกขาวดังกล่าวเป็นตกขาวปกติ แต่ถ้ามีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการคัน แสบ หรือมีกลิ่นเหม็น สาเหตุอาจเพราะติดเชื้อรา · และควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการตกขาวมามากกว่าปกติหรือเป็นก้อนเหนียวๆ เหมือนแป้งเปียกหรือไม่ เพราะอาจเป็นอาการผิดปกติด้วยเช่น สีตกขาวทั้งหมดที่กล่าวมานั้นหากมีอาการ คัน มีกลิ่นออกมาจากช่องคลอด เจ็บ แสบบริเวณช่องคลอดรวมถึงเวลาปัสสาวะและอาการอื่นๆ ที่มากกว่านี้ ถือว่าเป็นอาการผิดปกติให้รีบไปพบสูตรีนารีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดและทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ วิธีการดูแลจุดซ่อนเร้นเบื้องต้นเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดตกขาวติดเชื้อหรือมีกลิ่นเหม็นควรทำอย่างไรบ้างไปดูกัน การสวมกางเกงใน เบื้องต้นเราควรเลือกกางเกงในที่ไม่รัดแน่นจนเกินไปให้เลือกกางเกงในที่ใส่สบาย เนื้อผ้าเป็นชนิดที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ไม่ควรใส่กางเกงในที่มีความอับชื้นหรือเปียก การดูแลในช่วงมีประจำเดือน ไม่ควรใส่ผ้าอนามัยติดต่อกันนานจนเกินไป ควรเปลี่ยนทุก 2-3 ชั่วโมง บางคนอาจจะชอบใส่ผ้าอนามัยแผ่นบางเล็กๆ ที่ไว้ใช้ซึมซับตกขาว ก็ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เช่นกัน เพราะผ้าอนามัยก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการหมักหมมจนก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ปัจจุบันมีการนำถ้วยอนามัยมาใช้ ในส่วนของถ้วยอนามัยควรทำความสะอาดโดยใช้ความร้อนฆ่าเชื้อ 3-5 นาที เพื่อป้องกันสิ่งสกปรก การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือสบู่ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมสารเคมีและน้ำหอมต่างๆ หลังทำความสะอาดแล้วควรใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้าสะอาดซับให้แห้งก่อนสวมใส่กางเกงใน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนั้นก่อนเลือกใช้ต้องตรวจสอบก่อนว่ามีเลขที่ใบรับแจ้ง (เลขทะเบียนที่ออกโดย อย.) ถูกต้อง ลดความชื้นหลังเข้าห้องน้ำ หากเข้าห้องน้ำหลังทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าเสร็จควรใช้ทิชชู่เช็ดเพื่อซับน้ำลดความชื้น ก่อนสวมกางเกงในโดยเช็ดจากตรงจุดซ่อนเร้นไปที่ทวารหนัก ห้ามเช็ดสวนขึ้นมา กรณีมีเพศสัมพันธ์ กรณีมีเพศสัมพันธ์ให้สวมถุงยางทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด อ้างอิง : ตกขาว เรื่องที่ผู้หญิงเราควรรู้ https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/june-2020/leukorrhea#whatตกขาว ภาวะที่คุณผู้หญิงไม่ควรมองข้ามhttps://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7/https://www.pobpad.com/%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7
อ่านเพิ่มเติม >ฉบับที่แล้วฉลาดซื้อมีวิธีการจัดการกับปัญหากลิ่นของเสื้อผ้าเหม็นอับ มาฉบับนี้ขอต่อเนื่องด้วยวิธีจัดการกับปัญหาเสื้อผ้าสีขาวที่มักโดนสีจากเสื้อสีอื่นๆ ตกใส่มาฝากกันบ้าง ส่วนใหญ่ปัญหาสีตกใส่ผ้าขาวนั้น สาเหตุมักเกิดจากเวลาที่เราซักผ้าอาจจะลืมแยกผ้าสี ผ้าขาว แล้วนำผ้าทั้งหมดไปแช่และซักรวมกัน ดังนั้นการป้องกันย่อมดีกว่าการคอยแก้ไข การป้องกันเบื้องต้น มีดังนี้ 1.เราควรแยกผ้าสีออกจากผ้าขาวทุกครั้งทำเป็นประจำเพื่อให้ติดเป็นนิสัยยิ่งดี เพราะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันผ้าสีตกใส่ 2. หากซื้อเสื้อผ้ามาใหม่และเป็นเสื้อผ้าสี ให้ลองนำผ้าจุ่มน้ำให้เปียกหมาดๆ และถูที่บริเวณเสื้อ หากมีติดออกมาแสดงว่าต้องรีบนำผ้าแยกออกจากเสื้อผ้าตัวอื่นๆ 3.หากทำตามแบบที่ 2 แล้วยังไม่ชัดเจนให้เอาเสื้อผ้ามาลองแช่น้ำไว้ก่อนเพื่อดูว่าเสื้อผ้าตัวนั้นสีตกหรือไม่ ถ้าตกก็ควรแยกออกจากเสื้อผ้าตัวอื่นๆ เช่นกัน 4. นำเสื้อผ้าสีสดตัวที่ทดลองแช่น้ำแล้วพบว่าสีตกมาแช่ใส่น้ำที่ผสมเกลือทะเลหรือเกลือสมุทร ทิ้งไว้สัก 6 ชั่วโมงหรือข้ามคืน หลังจากนั้นนำไปซักเพื่อใช้งานตามปกติ ทั้งนี้ หากทำตามวิธีดังกล่าวแล้วพบว่าไม่ได้ผลในส่วนของผ้าสีนั้น อาจจะต้องเพิ่มปริมาณเกลือมากขึ้น ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรแยกซักเดี่ยวๆ ไปเลย แต่ไม่ว่าเราจะมีวิธีป้องกันยังไง ยังไงคนเราก็อาจพลาดกันได้อาจจะลืมบ้างอะไรบ้าง นำเสื้อผ้าสี ผ้าขาวไปปั่นรวมกันในเครื่องซักผ้าจนสีตกใส่ ก็ลองมาดูวิธีการต่อไปนี้ วิธีแรก คือ ถ้าเป็นผ้าขาวที่เพิ่งถูกสีอื่นตกใส่หมาดๆ อาจจะใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าขาวตามท้องตลาดเป็นอย่างแรกผสมกับผงซักฟอกแล้วแช่ผ้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วลองดูว่าดีขึ้นไหม วิธีที่สอง ตั้งหม้อใส่น้ำบนเตาไฟ ต้มให้เดือดจากนั้นใส่ผ้าที่สีตกใส่ลงไป แล้วตามด้วยน้ำส้มสายชู สักประมาณให้ได้กลิ่นฉุนนิดๆ ทิ้งไว้สักพักจนสีที่ตกใส่จางลงจนออกหมดจด จึงนำออกจากหม้อ และแช่น้ำเย็นพักไว้แล้วนำมาซักใช้ได้ตามปกติ การใช้วิธีนี้หลังจากซักแล้วอาจจะยังคงมีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดอยู่จางๆ บ้าง ไม่ต้องกังวลใจไปว่ากลิ่นจะติดไว้ตลอดไป เมื่อซักไปเรื่อยๆ กลิ่นก็จะจางหายไปเอง วิธีที่สาม นำผงซักฟอก น้ำส้มสายชู น้ำยาซักผ้าขาว ผสมเข้าด้วยกันจากนั้นทาไปบริเวณเสื้อผ้าที่เปื้อน จากนั้นขยี้ที่บริเวณที่เปื้อนและทิ้งไว้ซักพักประมาณ 15-20 นาที หรือมากกว่านั้นก็ได้ หลังจากนั้นนำมาซักและใช้งานได้ปกติ ทั้งนี้ วิธีต่างๆ ข้างต้น ควรต้องระวังเกี่ยวกับเนื้อผ้าด้วย เนื่องจากลักษณะผ้าบางชนิดอาจจะไม่เหมาะสำหรับใช้น้ำร้อนในการซัก ให้มั่นสังเกตตรงป้ายเสื้อไว้ เพราะมีสัญลักษณ์สำหรับวิธีการใช้ที่ถูกต้อง และเพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าเสียหายมากกว่าเดิม นอกจากนี้ ต้องระวังเรื่องส่วนผสมแปลกๆ ที่นำมามิกซ์กันด้วย เพราะบางอย่างอาจสั่งซื้อมาตามอินเทอร์เน็ตเพื่อความสะดวกสบาย แต่ผลิตภัณฑ์นั้นอาจไม่ได้มาตรฐานหรือมีสารเคมีที่ห้ามผสมรวมกับสารอื่นๆ ดังนั้น ควรอ่านฉลากก่อนใช้เพื่อความปลอดภัย ข้อมูลจาก สุดยอดแม่บ้าน : ป้องกันเสื้อผ้าสีตก https://www.youtube.com/watch?v=SEADSA7qyzohttps://www.cleanipedia.com/thhttps://homeguru.homepro.co.th/6-ways-to-restore-fading-clothes/
อ่านเพิ่มเติม >ฤดูฝน คือฤดูแห่งความชื้นและเฉอะแฉะ หลายคนที่ต้องเดินทางบ่อยอาจจะไม่ชอบกันสักเท่าไรกับฤดูกาลนี้ เพราะเสี่ยงเจอน้ำท่วมจากฝนตกหนัก น้ำรอการระบายและเสี่ยงเปียกฝนไปทั้งตัวจนเป็นหวัดอีกต่างหาก สำคัญ...หลายคนคงจะมีปัญหากับเรื่องเสื้อผ้าเหม็นอับกันอีกด้วย เนื่องจากการตากผ้าที่บางครั้งเสื้อผ้ายังไม่ทันแห้งดีฝนก็กระหน่ำตกลงมาจนทำให้เสื้อผ้าแห้งไม่สนิท ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นอับชื้น ซึ่งหากสวมใส่แค่เสียบุคลิกไม่พอยังอาจเสี่ยงจะเป็นโรคผิวหนังอีกด้วย สวยอย่างฉลาดคราวนี้จึงมีวิธีแก้ปัญหาเสื้อผ้าเหม็นอับมาแนะนำ เพื่อให้การสวมใส่เสื้อผ้าในช่วงหน้าฝนนี้ ปราศจากกลิ่นเหม็นอับกวนใจ พฤติกรรมที่ส่งผลให้เสื้อผ้ามีกลิ่นเหม็นอับ นอกจากอากาศชื้นของฤดูฝนที่ทำให้เสื้อผ้าเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ยังมีเรื่องของพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องของเราด้วย ได้แก่ 1. เสื้อผ้ายังไม่แห้งดีหรือยังคงชื้นอยู่ แต่เก็บพับเข้าตู้ทันที 2. ตากเสื้อผ้าในที่ร่มอากาศไม่ถ่ายเท (ก็กลัวเปียกฝนนั่นแหละ) 3. เสื้อผ้าเปียกชื้นกลับไม่นำมาตากหรือผึ่งให้แห้งก่อน แต่ใส่รวมไว้ในตะกร้าผ้าจนเหม็นอับ ซึ่งเสี่ยงมีเชื้อรา 4. ซักผ้าที่มีลักษณะเนื้อผ้าหนาแล้วนำขึ้นตากทันทีโดยไม่บิดน้ำออกก่อน 5. ไม่เคยทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเลยหรือทำก็น้อยมาก วิธีป้องกันและแก้กลิ่นเหม็นอับจากเสื้อผ้า · ไม่ควรพับเก็บเสื้อผ้าที่มีความชื้นเข้าตู้ทันที ควรเก็บเข้าตู้เฉพาะเสื้อผ้าที่แห้งสนิทเท่านั้น แน่นอนว่าปกติคงไม่มีใครที่พับผ้าเปียกชื้นเข้าตู้ แต่บางทีรีบร้อนไม่รู้ว่ามีเสื้อผ้าตัวไหนบางที่อาจมีส่วนที่ไม่แห้งสนิท ดังนั้นควรเช็กแต่ละตัวให้ดีก่อนเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า · ควรตากผ้าในที่มีแดดและรับลม มีอากาศถ่ายเทมากๆ และตากผ้าให้มีระยะห่างกันไม่ใกล้หรือติดกันมากเกินไป · หากตากฝนมาจนเสื้อผ้าเปียกชื้น ควรที่ถอดออกและนำไปตากให้แห้งก่อน หรือควรนำไปซักทันที เพื่อป้องกันเชื้อราและป้องกันผ้าไม่ให้เหม็นอับ ห้ามนำไปใส่ตะกร้าและปล่อยทิ้งเอาไว้หลายวัน · การซักผ้าที่มีลักษณะหนาๆ ควรที่จะมีการอบผ้าก่อนตาก · เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่มีตัวช่วยลดกลิ่นอับของเสื้อผ้า ซึ่งปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ · เครื่องซักผ้ามักเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลายๆ คนมองข้าม เพราะถ้าหากไม่ทำความสะอาดเลยก็เป็นสาเหตุก่อให้เสื้อผ้าของเราเหม็นอับได้เช่นกัน ดังนั้น ควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าสม่ำเสมอ โดยใช้ผงทำความสะอาดเครื่องซักผ้าที่มีขายในร้านค้าทั่วไปโดยเฉพาะ หรือถ้าหากไม่มีสามารถใช้ เบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู แอมโมเนียแทนได้ ถ้าพบว่าเสื้อผ้าของเรานั้นได้เหม็นอับแล้ว วิธีแก้มีดังนี้ ใช้น้ำส้มสายชูลดกลิ่นอับโดยใช้สัก 2-3 ถ้วยผสมกับน้ำและแช่ผ้าไว้ก่อนซัก 1 ชั่วโมง และซักด้วยผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มตามปกติ หรืออาจจะซักผ้าตามปกติหลังจากนั้นนำไปต้มในน้ำเดือดสัก 15 นาทีหรือมากกว่านั้น ทั้งนี้สามารถใช้น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมของโซเดียมไฮโปคลอไรด์ได้ในกรณีเป็นผ้าขาว ส่วนข้อควรระวังในการใช้น้ำยาซักผ้าขาวคือ ไม่ควรแช่ผ้าลินิน ฝ้าย เรยอน นานจนเกินไป นอกจากนี้เบกกิ้งโซดาก็ช่วยได้เช่นกัน หากพบว่าเสื้อผ้าตัวเองนั้นมีกลิ่นเหม็นอับ ก็ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าตัวนั้นเพราะอาจทำร้ายคนข้างๆ จากกลิ่นไม่พึงประสงค์และยังอาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคผิวหนัง เช่น เชื้อรา กลากเกลื้อน หรืออาการคันต่างๆ อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม >แม้ผ่านมาหลายปีแล้วจะมีทั้งข่าวจับขบวนการขายครีมที่ผสมสารอันตรายของทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมามากมาย รวมถึงการออกมาเตือนแล้วเตือนอีก เรื่องของผลกระทบของการใช้ครีมหน้าขาว หรือเรียกอีกอย่างว่า “ครีมกวน” ที่มีส่วนผสมสารอันตรายต่างๆ ที่สวยได้สักพัก เลิกใช้หน้าพังทันทีก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีมาให้เห็นอีกอยู่เป็นพักๆ ไม่หายจากไปง่ายๆ ในหลายแพลตฟอร์มออนไลน์ ล่าสุดก็ยังมีการรีวิวครีมหน้าขาวอันตรายพวกนี้ ที่สำคัญคือยังมีคนหลงเชื่อและสนใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้อยู่ ฉลาดซื้อจึงอยากแนะนำวิธีระวัง “ครีมหน้าขาวที่อันตราย” เพื่อย้ำเตือนกันอีกสักครั้งให้ทุกคนที่กำลังคิดจะลองใช้ สารอันตรายจากครีมหน้าขาว ครีมหน้าขาวส่วนมากจะเน้นการโฆษณาหรือรีวิวว่าใช้แล้วหน้าใส ขาวไวมาก ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ผลิตจะนำสารที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอางเช่น สารปรอท สารสเตียรอยด์ ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ มาเป็นส่วนผสม เนื่องจากสารเคมีดังกล่าวนี้มีฤกธิ์ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงทำให้ผิวขาวเร็ว เรียกว่า 3-7 วันเห็นผล แต่ผลข้างเคียงหรืออันตรายทำให้ผิวพังก็ไวเช่นกัน ผลข้างเคียง ขาวเร็วแบบไม่ปลอดภัย ลักษณะอาการเป็นอย่างไรบ้าง มาดูกัน สารปรอท ทำให้มีอาการแพ้ ผื่นแดง ผิวบางลงและคล้ำลงอย่างรวดเร็ว ไตอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ สารไฮโดรควิโนน ผิวหนังระคายเคืองผิวคล้ำมากขึ้น เกิดฝ้าถาวรและอาจมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง กรดวิตามินเอ ระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น แสบร้อนรุนแรง หน้าแดง แพ้แสงแดด ไวต่อแสง รวมถึงเป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์อีกด้วย สารสเตียรอยด์ มีผื่นแพ้ สิวผด ผิวบางจนเกิดผิวแตกราย เป็นต้น ทั้งนี้ ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างผลเสียที่ตามมาเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังคงมีอาการอีกหลายรูปแบบซึ่งเกิดขึ้นไปแล้วแต่ละบุคคลเพราะผิวหนังและร่างกายในแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลือกซื้อครีมอย่างปลอดภัย - ก่อนซื้อครีมควรสังเกตรายละเอียดว่าในส่วนผสมของครีมมีอะไรบ้าง - อย่าเชื่อคำโฆษณาที่มีการอวดอ้างผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างแบบไม่น่าเป็นไปได้ - หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีฉลาก ไม่มี วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต ไม่แสดงรายชื่อผู้ผลิต ไม่ควรเสี่ยงซื้อมาใช้ สำคัญควรดูว่ามีเลขที่ใบรับแจ้งของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) หรือไม่ การตรวจเช็กเลขจดแจ้งของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) สามารถตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ดังนี้ https://www.fda.moph.go.th/ - ในส่วนของลักษณะครีมหน้าขาวที่พบได้บ่อยจะเป็นรูปแบบตลับหรือกระปุกพลาสติกดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีฉลาก หรือขายเป็นถุงกิโลและมีเนื้อครีมที่สีเข้ม เช่น ที่พบบ่อยคือสีเขียว หรือเหลือง อย่าซื้อมาใช้ - หากซื้อมาแล้วและไม่มั่นใจที่จะใช้ก็สามารถหาซื้อที่ตรวจสารอันตรายต่างๆ มาลองตรวจดูเพื่อเช็กความชัวร์ได้ สุดท้ายแล้วหากพบว่า ตนเองหลงไปใช้ครีมที่มีสารอันตรายเข้าแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ หยุดใช้ครีมทันที ไม่ควรใช้ต่อ และถ้าพบอาการผิดปกติที่ใบหน้าควรเข้าไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรักษาอาการเบื้องต้นทันที ไม่ควรรักษาเองเนื่องจากหากรักษาไม่ถูกวิธีหรือถูกจุดอาการอาจจะหนักมากกว่าเดิมได้
อ่านเพิ่มเติม >ใครมีปัญหาผิวหนังแตกลาย อย่าเพิ่งเครียดกันนะคะ “ฉลาดซื้อ” เรามีวิธีป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธีมาฝาก ธรรมดาผิวแตกลายมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง(การขยายตัว) อย่างรวดเร็วที่พบได้บ่อย ส่วนมากมักมาจากการตั้งครรภ์ การลดหรือเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ซึ่งรอยแตกลายที่เกิดจากสาเหตุที่กล่าวมานั้น ถือว่าเป็นเหมือนเรื่องธรรมชาติปกติของร่างกายถึงจะไม่สามารถรักษาให้กลับมาผิวเหมือนเดิม100% ได้แต่ก็พอมีวิธีดูแลเพื่อให้รอยจางลงได้ แต่ที่มีอีกบางสาเหตุที่น่ากังวัลกว่า คือการใช้ครีมหรือโลชั่นที่อวดอ้างโฆษณาว่าทาแล้วดี ขาวเร็วขาวใสภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นครีมที่ทำให้ผิวขาวจริง เพราะการใส่สารอันตรายเข้าไปผสม เช่น สารสเตียรอยด์ สารปรอทหรือสารอันตรายอื่นๆ ซึ่งเมื่อใช้ไปสักพักผิวจะแตกลายจนน่ากลัวอย่างที่เคยเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน (อ่านจากฉลาดซื้อย้อนหลังได้เลย) ซึ่งหากรอยแตกเกิดจากสาเหตุนี้สิ่งที่ควรทำคือ หยุดใช้ครีมนั้นทันที และพบแพทย์เพื่อรักษาด่วน รอยแตกลายสีแดงและสีขาว รอยแตกลายมักเกิดจากการยืดและหดตัวอย่างรวดเร็วของของผิวหนัง ซึ่งหากรอยแตกลายที่เกิดขึ้นบริเวณร่างกายมีลักษณะสีแดง แปลว่ารอยแตกลายนั้นอยู่ในระยะเริ่มแรกและสามารถรักษาให้จางลงได้เร็วกว่ารอยแตกสีขาว ในส่วนของรอยแตกสีขาวจะเกิดหลังจากมีรอยแตกสีแดงที่เริ่มจางจนกลายมาเป็นสีขาวจะรักษาได้ยากกว่าสีแดง แต่ก็สามารถรักษาให้จางลงมาได้เช่นกัน ความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผิวแตกลาย - ผู้ที่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะหากมีอายุยังน้อย - การที่มีน้ำหนักเพิ่มและลดลงอย่างรวดเร็วจนเกินไป - การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว - การเจริญเติบโตของร่างกายในช่วงวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว - ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และเข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอก การดูแลรักษาผิวแตกลาย การดูแลรักษารอยแตกลายเบื้องต้นอย่างแรกที่สำคัญคือ - การใช้มอยเจอร์ไรส์เซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวที่แตกลาย แม้มอยเจอร์ไรส์เซอร์จะไม่ได้ช่วยให้รอยแตกลายหายขาดหรือจางลงโดยตรง แต่สามารถช่วยให้ผิวบริเวณที่แตกนั้นมีความชุ่มชื้นผิวไม่แห้งและดูดีขึ้นจากเดิม - การใช้ครีมที่มีส่วนผสมวิตามินเอทาบนบริเวณที่แตกลายเพื่อให้รอยแตกลายนั้นจางลง หรือใช้ยา กลุ่ม Tretinoin แต่ถ้าเลือกใช้กรดวิตามินเอไม่ควรใช้สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เพราะกรดวิตามินเอ อาจส่งผลให้ทารกในครรภ์เสี่ยงต่ออันตรายได้ - ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมลดรอยแตกลายที่วางขายตามตลาดได้ แต่ก่อนซื้อควรศึกษาหาข้อมูลของผลิตภัณฑ์นั้นให้ดีเพื่อไม่ให้เสี่ยงเจอผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารอันตราย และควรเช็กให้ดี ไม่ควรเชื่อครีมที่มีการโฆษณาว่าหายเร็วหายไว้ภายใน 3-7 วัน เป็นต้น - ใช้เลเซอร์เป็นตัวช่วยในการรักษา รู้กันดีว่ารอยแตกลายนั้นไม่สามารถรักษาให้หายกลับมาเหมือนผิวเดิม 100% แต่ยังไงการเลเซอร์คือวิธีรักษาอีกทางหนึ่งที่ได้ผลดี โดยเฉพาะเริ่มแรกของรอยแตกลายที่มีลักษณะสีแดง ตัวอย่างเลเซอร์ เช่น Fractional CO2 Laser , Fractional RF , Fine Scan Laser , Vbeam laser หรืออื่นๆ ทั้งนี้การเลือกใช้เลเซอร์ในการรักษาอยู่ที่แพทย์ประเมินว่าสภาพผิวรอยแตกลายของเราว่าเหมาะกับเลเซอร์รูปแบบไหน อย่างที่กล่าวตอนแรก ผิวแตกลายคงไม่มีใครอยากให้เกิดถึงแม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติมากก็ตาม ดังนั้นการหาทางป้องกันด้วยการควบคุมภาวะเสี่ยงจะช่วยได้มาก เช่น ไม่ลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนักเร็วเกินไป กรณีการตั้งครรภ์คุณแม่ควรหมั่นใช้ครีมหรือมอยเจอร์ไรส์เซอร์ที่มีเนื้อครีมเข้มข้น ทาผิวบริเวณหน้าท้องสม่ำเสมอ ส่วนใครจะเลือกรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ถ้าเข้าใช้บริการที่คลินิกอย่าลืมตรวจสอบสถานที่ประกอบการและผู้ให้บริการว่ามีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ ตรวจสอบใบอนุญาตว่าผู้ที่ทำการรักษาใช้แพทย์จริงหรือไม่ สามารถตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์ https://checkmd.tmc.or.th/ (เว็บไซต์ตรวจสอบรายชื่อแพทย์จากฐานข้อมูลแพทย์สภา) ส่วนการใช้ครีมหรือโลชั่นที่อวดอ้างสรรพคุณเว่อร์วัง อย่าลองใช้เลยนะคะ ปัญหาไม่จบแน่ๆอ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?v=JKwCpOZJmTwhttps://www.thaihealth.or.th/blog/myblog/topic/1269/https://hellokhunmor.com/สุขภาพผิว/การดูแลและทำความสะอาดผิว/รอยแตกลาย-สาเหตุ-การรักษา/
อ่านเพิ่มเติม >