ฉบับที่ 178 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนธันวาคม 2558“ฉลาดซื้อ” เป็นเจ้าภาพการประชุมองค์กรทดสอบระหว่างประเทศมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและนิตยสารฉลาดซื้อได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมร่วมกันในเรื่องของการทดสอบสินค้าและบริการต่างๆ ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2558 โดยในการประชุมครั้งนี้มีองค์กรผู้บริโภคจาก 7 ประเทศเข้าร่วมประชุม ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลี ฮ่องกง จีน  ไทย และองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (ICRT, International Consumer Research Testing) จากประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคมที่ผ่านมา     โดยในการประชุมครั้งนี้แต่ละองค์กรได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการทดสอบสินค้าและบริการต่างๆ ของแต่ละประเทศ ว่าในรอบปีที่ผ่านมาแต่ละประเทศประสบความสำเร็จ รวมทั้งต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้างในเรื่องการทดสอบ และผลทดสอบที่ได้มีการนำไปเผยแพร่และให้กับผู้บริโภคได้ใช้ประโยชน์อย่างไรกันบ้าง ซึ่งสำหรับประเทศไทยเราผลทดสอบทั้งหมดก็ได้ถูกนำเสนออยู่ในนิตสารฉลาดซื้อของเรานั่นเอง โดยในที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเน้นเรื่องการยกระดับความปลอดภัยของรถยนต์ที่จำหน่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เป็นมาตรฐานทัดเทียมกับประเทศในยุโรป     แฟนๆ ฉลาดซื้อก็สามารถติดตามผลการทดสอบสินค้าและบริการต่างๆ ทั้งในประเทศที่ฉลาดซื้อร่วมทดสอบกับทีมเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค และผลทดสอบในระดับสากลโดย ICRT ได้ที่นิตยสารฉลาดซื้อเช่นเดิม   ผิดสัญญา!!? ใกล้ครบ 1 ปี BTS ต้องมีลิฟท์ให้ผู้พิการ แต่ยังไร้ความคืบหน้าหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสต้องดำเนินการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการอย่าง ลิฟท์โดยสาร ให้ครอบคลุมทุกสถานีภายใน 1 ปี ซึ่งคำสั่งศาลมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 58 ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบกำหนด แต่เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 58 ที่ผ่านมา ภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ (T4A) ร่วมกับตัวแทนคนพิการจากหน่วยงานต่างๆ นำโดย คุณมานิตย์ อินทร์พิมพ์ ประธานคณะติดตามระบบรางภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ ลงสำรวจความคืบหน้าการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณรอบสถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์ พบว่ายังไม่มีความคืบหน้าในการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเท่าที่ควร ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจของเครือข่ายฯ พบว่ายังมีอีก 13 สถานีที่กำลังดำเนินการก่อสร้างลิฟท์ ได้แก่ สถานีทองหล่อ นานา พญาไท พร้อมพงษ์ พระโขนง ราชเทวี สนามกีฬา สนามเป้า สะพานควาย สุรศักด์ อนุเสาวรีชัยฯ อารีย์ และเอกมัย รวมทั้งยังมีอีก 8 สถานีที่ยังไม่เอื้อต่อคนพิการ ได้แก่ สถานีช่องนนทรี ชิดลม บางหว้า เพลินจิต ราชดำริ ศาลาแดง สะพานตากสิน และอ่อนนุช ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มว่าอาจจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการได้ไม่เสร็จตรงตามเวลาที่กำหนด ซึ่งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้อย่าง กองขนส่ง สํานักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินงานล่าช้าว่าเกิดจากระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ระบบสื่อสารต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง ต้องมีการประสานจัดการก่อนซึ่งต้องใช้เวลานาน อย่าหลงเชื่อเครื่องตรวจสุขภาพ “ควอนตั้ม”อย.เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อโฆษณาเครื่องตรวจสุขภาพ “ควอนตั้ม” หรือ Quantum Resonance Magnetic Analyzer (QRMA) ที่อวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถตรวจวินิจฉัยโรคและตรวจร่างกายเบื้องต้นได้กว่า 40 รายการ โดยมีการอ้างว่าเครื่องนี้สามารถวิเคราะห์ไฟฟ้าที่ไหลเวียนในร่างกาย แล้วนำมาเทียบเคียงกับค่าเฉลี่ยของคนปกติที่สามารถบ่งชี้ความผิดปกติของร่างกายได้อย่างแม่นยำ อย. ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้วพบว่าเครื่องตรวจสุขภาพดังกล่าวไม่เคยมีการขออนุญาตนำเข้าหรือจำหน่าย นอกจากนี้มีข้อสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ในลักษณะดังกล่าวจะถูกนำเสนอพร้อมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการค้าของผู้จำหน่ายในรูปแบบธุรกิจการขายตรงการตรวจสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและตรงตามความเป็นจริงที่สุดนั้น ควรดำเนินการตรวจวินิจฉัยโรคโดยแพทย์จากสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น คัดค้าน พ.ร.บ.จีเอ็มโอเครือข่ายภาคประชาชน กลุ่มเกษตรกรรม นักวิชาการ กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ รวมตัวกันคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการส่งเสริมให้มีการทำเกษตรจีเอ็มโอในประเทศไทย อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ในธรรมชาติ ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ กระทบต่อการเกษตรอินทรีย์ และอาจเกิดการผู้ขาดเมล็ดพันธุ์โดยบรรษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่เจ้า สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรพื้นบ้านในประเทศ นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี เรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการส่งร่างกฎหมายจีเอ็มโอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายดังกล่าว โดยให้มีตัวแทนจากกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากจีเอ็มโอ ตัวแทนจากเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านเกษตรอินทรีย์ องค์การคุ้มครองผู้บริโภค นักวิชาการด้านกฎหมายที่ติดตามเรื่องนี้ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการปรับปรุงร่างกฎหมายด้วย โดยการพิจารณากฎหมายต้องคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ และความเสียหายที่อาจจะเกิดกับพันธุ์พืชในประเทศ โดยจากนี้จะต้องมีการออกกฏหมายให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของจีเอ็มโอต้องแสดงฉลากให้ผู้บริโภคทราบเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยล่าสุดรัฐบาลได้สั่งให้ยกเลิกการพิจารณา พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพแล้ว เจ็บป่วยฉุกเฉินยังมีปัญหาสิทธิเรื่องการรักษาพยาบาลยังคงเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ต้องมีการปฏิรูปอย่างรวดเร็ว เพื่อคนไทยทุกคนจะได้มีสิทธิได้รับการรักษพยาบาลที่เท่าเทียมทั่วถึงและมาตรฐานเดียวกันทุกคน     ล่าสุดในงานเสวนาเรื่อง “สภาผู้บริโภคประเด็นบริการสุขภาพและสรุปบทเรียนการมีส่วนร่วมพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ กรณีเข้ารับการบริการฉุกเฉิน” ที่จัดขึ้นโดยคณะอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน ด้านบริการสุขภาพ โดยในเวทีได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้สิทธิในเรื่องการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะกับกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ที่ยังพบปัญหาการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ การถูกเรียกเก็บเงินก่อนการรักษา และการคิดค่ารักษาพยาบาลในราคาแพง ในเวทีได้มีการเสนอผลวิจัยเรื่องค่าใช้จ่ายกรณีรับบริการสุขภาพ โดยรวบรวมเรื่องร้องเรียนจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและหน่วยรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน (หน่วยรับเรื่องร้องเรียน 50(5))ในช่วงปี 2558 ศึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและญาติ จากการถูกเรียกเก็บค่ารักษาจากโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามสิทธิ ในกรณีที่ใช้บริการฉุกเฉินตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน จากผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินกรณีเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลเอกชนหรือสถาพยาบาลนอกสิทธิ สามารถเบิกเงินคืนได้ในจำนวนเงินที่น้อยมาก ยกตัวอย่างโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเรียกเก็บค่ารักษาจากผู้ป่วย 3 แสนบาท แต่สามารถเบิกคืนได้เพียง 10,500 บาท ไม่ถึง 5% ของค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยในใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลไม่มีการแจกแจงรายละเอียดเรื่องค่าบริการต่างๆ นอกจากนี้ยังพบผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ด้านคุณภาพมาตรฐานการรักษา บางรายต้องกลับมารักษาซ้ำในโรคเดิมหรือเสียชีวิต ผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ได้รับการคุ้มครอง ช่วยเหลือ เยียวยา อย่างที่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เจ็บป่วยฉุกเฉิน บางครั้งผู้ป่วยไม่มีโอกาสที่จะเลือกใช้เฉพาะสถานพยาบาลตามสิทธิหรือสถานพยาบาลของรัฐ จำเป็นต้องเลือกใช้บริการสถานพยาบาลที่พร้อมและอยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจเป็นสถานพยาบาลของเอกชน ดังนั้งหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องนี้ต้องมีมาตรการที่ทำให้สถานพยาบาลเอกชนให้การรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินที่ใช้สิทธิอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม คำนึงถึงการรักษาพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นค่อยดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 เลิกสนับสนุนอาหารจีเอ็มโอ

การรณรงค์คัดค้าน(หยุด)การปล่อยผีจีเอ็มโอภายใต้กฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพ ทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีประกาศชัดแจ้งว่า ท่านไม่ได้ต้องการให้ปลูกจีเอ็มโอในประเทศ และได้มีมติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๒ ให้ส่งกฎหมายฉบับนี้คืนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ แต่ต้องบอกว่า ใครมีโอกาสอ่านกฎหมายฉบับนี้คงเห็นได้ชัดว่า กฎหมายฉบับนี้อนุญาตให้พืชจีเอ็มโอมีโอกาสปลูกทดลองในระดับไร่นาและปลูกเพื่อการค้า ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันอนุญาตให้ทดลองในแปลงที่ปิด เพราะไม่ต้องการให้ปนเปื้อนในพืชดังเดิมและไม่ให้ปลูกเพื่อการค้า จุดเปลี่ยนจีเอ็มโอ มีความสำคัญต่อการผลิตและความมั่นคงอาหารของประเทศ หลายคนบอกว่า ผู้บริโภคไม่เดือดร้อนนะ เพราะยังมีทางเลือกจะเลือกกินหรือไม่กินจีเอ็มโอก็ได้ หากคิดสั้นๆ ก็คงจะถูกต้อง เพราะในช่วงแรกที่พืชท้องถิ่นยังไม่ถูกทำลายหรือปนเปื้อน กลายพันธุ์ ก็ยังมีทางเลือกเหมือนในปัจจุบัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีเพียงข้าวโพดจีเอ็มโอ คงจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ปนเปื้อน ข้ามสายพันธุ์ ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดข้าวก่ำ ข้าวโพดแปดแถวโพธาราม ข้าวโพดเทียน ข้าวโพดตักหงาย ก็จะหายไป หรือแม้แต่ข้าวโพดจีเอ็มโอที่ทุ่มตลาดแจกเมล็ดพันธุ์ฟรี ตอนนั้นผู้บริโภคอย่างเราก็ไม่มีทางเลือกในการบริโภคกันแล้ว เหมือนที่ส้มแสนอร่อยของเมืองไทยหายไป ต้องรอปลูกอีกหลายปีกว่าจะได้ทานกันอีกรอบ แต่จีเอ็มโอมาแล้ว น่าจะกลับตัวยากกว่าข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทยจีนแน่นอน ทำให้เห็นการลงแขกจากกลุ่มคนที่หลากหลายออกมาช่วยกัน บางคนหิ้วตระกร้าผัก อุ้มห่าน นำอาหารอินทรีย์มาประชัน และเสนอให้เห็นทางออกของเมืองไทยท่ามกลางสายตาคับแคบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ต้องพูดถึงความไม่ปลอดภัยอาหารจีเอ็มโอที่ไม่มีใครกล้ารับประกัน นักวิทยาศาสตร์ยังเถียงกันไม่จบจนทุกวันนี้ หลักป้องกันไว้ก่อนย่อมปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค มาตรการเบื้องต้นที่ต้องทำทันที คงเป็นการปรับปรุงมาตรการฉลากที่ไม่ทันปัญหาอาหารจีเอ็มโอ ที่อยู่ในเมืองไทย โดยต้องกำหนดให้ฉลากอาหารครอบคลุมอาหารทุกชนิด นอกเหนือถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด ควรรวมอาหารและผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอที่มีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่ง มะละกอ แป้งมันสำปะหลัง แป้งสาลี มะเขือเทศ แซลมอน และต้องให้มีฉลากหากตรวจพบโปรตีนที่เป็นผลจากการดัดแปรพันธุกรรม ปัญหาตัวเล็กของฉลากจีเอ็มโอ ควรให้มีรูปสัญญลักษณ์จีเอ็มโอที่เห็นได้ง่ายชัดเจนในฉลากเช่นเดียวกับฉลากในประเทศบราซิลที่มีสัญญลักษณ์ตัวอักษรที(T)ในรูปสามเหลี่ยมสีเหลือง ส่วนอาหารของบริษัทใดในกลุ่มนี้ ที่ไม่มีจีเอ็มโอก็ควรอนุญาตให้สามารถแจ้งบนฉลากเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกได้เช่นกัน และสนับสนุนกันให้ชัดเจนเพื่อรักษาความหลากหลายและความมั่นคงของอาหาร พลังของผู้บริโภคสำคัญ ช่วยกันแสดงให้ผู้ประกอบการเห็นว่าพลังในการไม่ซื้อของเราสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการผลิตและจำหน่ายพืชจีเอ็มโอในประเทศไทย ฉลาดซื้อจะอาสาเป็นแกนกลางในการเปิดเผยสินค้าที่ใช้วัตถุดิบและปนเปื้อนจีเอ็มโอในอนาคต

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 แก้กฎหมายซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด คุ้มครองผู้ซื้อบ้านและคอนโดมือ 2 ไม่ต้องจ่ายหนี้ส่วนกลาง

นี่คงเป็นข่าวดี สำหรับคนที่สนใจซื้อบ้านจัดสรรหรืออาคารชุดผ่านช่องทางการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี ที่จะมีกฎหมายคุ้มครองคนซื้อบ้านจัดสรรหรืออาคารชุดให้ได้รับความเป็นธรรมจากการขายทอดตลาดดียิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาความสนใจของผู้บริโภคที่จะซื้อบ้านจัดสรรหรืออาคารชุดในตลาดดังกล่าวไม่ค่อยมีเท่าที่ควร เพราะเจอปัญหาที่ผู้ประมูลจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายหนี้ส่วนกลาง ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นความผิดของผู้ประมูล แต่เนื่องจากลูกหนี้เดิมค้างชำระค่าส่วนกลางบวกกับดอกเบี้ยปรับที่เพิ่มขึ้น จนอาจจะมากพอๆ กับราคาประมูลขายห้องชุด ทำให้ไม่คุ้มค่ากับการซื้อขาย กรมบังคับคดี ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปลดล็อกภาระผู้ซื้อห้องชุด ในที่สุดก็มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความแพ่ง แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 29) พ.ศ.2558 ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 เพิ่มเติม มาตรา 309 จัตวา ว่าด้วยการซื้อห้องชุดและบ้านจัดสรรจากการขายทอดตลาด ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 และเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น จึงขอสรุปโดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ผู้ที่ประมูลซื้อที่อยู่อาศัย ประเภทอาคารชุด และ ที่ดินจัดสรร จากการขายทอดตลาดไม่ต้องรับภาระชำระหนี้ค่าส่วนกลางที่เจ้าของห้องเก่าค้างชำระไว้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ ก่อนขายทอดตลาดเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีที่จะต้องบอกกล่าวแก่ นิติบุคคลอาคารชุดหรือนิติบุคคลบ้านจัดสรร แล้วแต่กรณี เพื่อให้แจ้งหนี้สินค่าส่วนกลางที่ค้างชำระ ภายใน 30 วันนับแต่ได้รับแจ้ง เพื่อออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ 2. เมื่อขายทอดตลาดแล้ว กรมบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปชำระหนี้คงค้าง เพื่อให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้กับเจ้าของใหม่ได้ต่อไป โดยผู้ซื้อไม่ต้องใช้หนังสือรับรองการปลอดหนี้   3. กรณีที่ นิติบุคคลฯ แจ้งว่าไม่มีหนี้ค้างค่าส่วนกลาง หรือ ไม่แจ้งภายใน 30 วันนับแต่ได้รับแจ้ง ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อโดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองการปลอดหนี้ หรือในกรณีบ้านจัดสรร หากยังไม่มีการตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดการโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อ 4. ขั้นตอนหลังจากนั้น เมื่อกรมบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ได้แล้ว ก็ให้นำเงินมาชำระให้นิติบุคคลฯ ก่อนสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ โดยกรณีที่ดินจัดสรรแปลงนั้น ๆ ถูกระงับการโอนไว้เนื่องจากค้างหนี้ค่าส่วนกลาง ให้ถือเป็นอันยกเลิก โดยการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว มีเหตุผลที่มาสำคัญเกี่ยวกับการบังคับคดีที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยังมีข้อขัดข้อง ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม เกิดกระบวนการโอนทรัพย์สินมีทะเบียนหรือเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าว ที่สะดวกรวดเร็ว และเพื่อเป็นการคุ้มครองให้ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาด ไม่ต้องรับผิดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ก่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากความรับผิดดังกล่าวเป็นของเจ้าของเดิม และเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายไปแล้ว ทำให้แนวคำพิพากษาของศาลเดิมที่ ได้วางบรรทัดฐานไว้ให้ ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดจะต้องรับผิดในหนี้ค่าส่วนกลางทั้งต้นเงินและค่าปรับที่เจ้าของเดิมค้างชำระจึงต้องเปลี่ยนแปลงไป ดังเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8711/2554 หลักเกณฑ์การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้นกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการทั่วไปโดยไม่มีข้อยกเว้น จึงย่อมนำมาใช้บังคับแก่กรณีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดอันเนื่องมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลด้วย มิใช่ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่เจ้าของห้องชุดเป็นผู้ขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด หนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายแม้เจ้าของร่วมผู้เป็นเจ้าของห้องชุดมีหน้าที่ต้องร่วมกันชำระตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18 กฎหมายมิได้ห้ามบุคคลอื่นชำระหนี้ดังกล่าวแทนเจ้าของห้องชุด ทั้งโดยสภาพห้องชุดเป็นอาคารที่ใช้สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันของคนจำนวนมาก บทกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดเป็นข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้อยู่อาศัยเพื่อประโยชน์แก่การอยู่อาศัยร่วมกันโดยปกติสุข เจ้าของร่วมจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าปรับตามบทกฎหมายและข้อบังคับเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อห้องชุดต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของร่วมเดิม และต้องถือว่าค่าปรับอันเกิดจากการผิดนัดชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่โจทก์ต้องรับผิดชอบด้วย ข้อบังคับของจำเลยที่ 1 คิดค่าปรับอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ของจำนวนเงินที่ค้างชำระนั้นมีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนซึ่งจำเลยที่ 1 กำหนดไว้ล่วงหน้าเมื่อเจ้าของร่วมไม่ชำระให้ถูกต้องสมควร เป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ทั้งเป็นเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ทางได้เสียของคู่ความ เห็นสมควรกำหนดให้อัตราร้อยละ 12 ต่อปี หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่เจ้าของห้องชุดพิพาทคนเดิมค้างชำระแก่จำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดได้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 แล้ว หนี้เป็นอันระงับสิ้นไป แต่โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตอบแทนเช่นกัน เพราะโจทก์ประสงค์จะนำหนังสือนี้ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอจดทะเบียนโอนห้องชุดมาเป็นของตนตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 29 การที่จำเลยที่ 1 ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้จึงก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะโอนห้องชุดได้ จึงเป็นการกระทำนิติกรรมฝ่ายเดียวของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 149 ดังนั้น ในการบังคับชำระหนี้หากสภาพหนี้ไม่เปิดช่องศาลชอบที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาได้ตาม ป.พ.พ. 213 วรรคสอง ดังนั้น คำพิพากษาข้างต้น จึงไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานในเรื่องความรับผิดของผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดอีกต่อไป ซึ่งต่อจากนี้ไป ( หลังวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 ) ผู้บริโภคที่ซื้ออาคารชุดหรือบ้านจัดสรรจากการขายทอดตลาด ไม่ต้องกังวลกับหนี้ค่าส่วนกลางอีกต่อไปแล้ว และสามารถซื้อได้โดยไม่ต้องมีหนังสือรับรองการปลอดหนี้    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 เมืองไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

    อันดับ 3 ของโลก ส่งออกอาหารทะเลมากสุด แต่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนมากสุด ประเทศไทยส่งออกอาหารทะเลมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและนอร์เวย์ อุตสาหกรรมประมงสร้างรายให้ประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 5,400 ล้านเหรียญ ผลพลอยได้คือ เรามีชื่อติดอันดับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับเขาด้วย อุตสาหกรรมประมงไทยต้องอาศัยแรงงานอย่างน้อย 300,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยสภาพการทำงานที่ค่อนข้างเลวร้ายจึงทำให้มี “ตำแหน่งงานว่าง” ปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 ตำแหน่ง กระบวนการสรรหาบุคลากรผ่านกระบวนการค้ามนุษย์จึงเกิดขึ้น องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนต่างก็ออกมาสนับสนุนสหรัฐฯ ที่จัดประเทศไทยไว้ในกลุ่มประเทศที่ยังจัดการเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ปลายปีนี้ก็มีลุ้นว่าเราจะได้ใบแดงจากสหภาพยุโรป (ลูกค้ารายใหญ่ที่นำเข้าอาหารทะเลจากไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 700 ล้านยูโร หรือประมาณ 27,000 ล้านบาทในปี 2557) หรือไม่ ระหว่างนี้ผู้บริโภคก็มีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ด้วยการตั้งคำถามให้มากเรื่องที่มาของอาหารทะเล   อันดับ 2 ของโลก อุบัติเหตุบนท้องถนน จากการเก็บสถิติอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลกในปี 2557 ของสถาบันวิจัยด้านคมนาคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในอัตราส่วนประชากร 100,000 คนต่อปี ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดในโลก คือ นามิเบีย 45/100,000 คน ประเทศไทย 44/100,000 คน ส่วนประเทศที่มีผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนนน้อยที่สุดคือ มัลดีฟท์ 2/100,000 คนเท่านั้น โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 18/100,000 คน ยืนยันซ้ำโดยทางการไทย กรมการขนส่งทางบก ระบุอัตราการตายที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เฉลี่ยวันละ 25 คน หรือชั่วโมงละ 1 คน โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากรถตู้โดยสารสาธารณะ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสาธารณะรวม 45 ราย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมคนขับถึง 41 ราย และที่เหลือเกิดจากสาเหตุสภาพรถ จำนวน 4 ราย ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุน่าตกใจนี้ มีงานวิจัยพบสาเหตุ 3 ประการ คือ พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวดพอ และความปลอดภัยของถนนไม่ได้มาตรฐานปีใหม่นี้ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยทุกคน   อันดับ 3 ของโลก ใช้น้ำอย่างสิ้นเปลืองข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเพื่อประชาชนระบุว่า ประเทศไทยเราถูก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ยกให้เป็นประเทศที่ใช้น้ำในกระบวนการผลิตต่างๆ ในปริมาณมาก พร้อมทั้งสร้างผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “Water Footprint” ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าในภาคการผลิตของประเทศไทยเรายังใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่รู้คุณค่า!!! โดยประเทศไทยมีค่าเฉลี่ย Water Footprint อยู่ที่ 2,223 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี มากเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่ สหรัฐอเมริกา และ อิตาลี โดยค่าเฉลี่ยของ Water Footprint ของโลกอยู่ที่ 1,243 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี ไทยเรายังมีความรู้เรื่อง Water Footprint ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตภาคเกษตรกรรมที่มีค่าเฉลี่ย Water Footprint สูงถึง 2,131 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี เนื่องจากเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ส่งออกสินค้าเกษตรมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนเรื่องการใช้น้ำในภาคคัวเรือนทั่วไป คนไทยเราก็ทำสถิติใช้น้ำเปลืองด้วยเช่นกัน การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค พบว่าในปี 2557 คนไทยใช้น้ำเฉลี่ยมากถึง 119 ลิตรต่อวันต่อคน เพิ่มจากปี 2555 ที่มีใช้น้ำเฉลี่ยต่อวันต่อคนอยู่ที่ 48 ลิตร สูงขึ้นเกินกว่าเท่าตัว สถิติการใช้น้ำของคนไทย จัดเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากประเทศ สิงคโปร์ที่ 165 ลิตรต่อวันต่อคนและฟิลิปปินส์ 164 ลิตรต่อวันต่อคน ขณะที่ชาวโลก สหรัฐอเมริกามีอัตราการใช้น้ำเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกที่ 575 ลิตรต่อคนต่อวัน รองลงมาคือ ออสเตรเลีย 493 ลิตรต่อคนต่อวัน และ ญี่ปุ่น 374 ลิตรต่อคนต่อวัน   อันดับ 5 ของโลก ใช้สารเคมีทางการเกษตรมากปี 2554 ประเทศไทยเราเคยถูกจัดอันดับอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการใช้สารเคมีทางการเกษตรมากที่สุดในโลก โดยธนาคารโลก (World Bank) องค์การทางการเงินระหว่างประเทศ ได้จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่ใช้สารเคมีทางการเกษตรสูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ที่ปริมาณ 0.86 กิโลกรัมต่อพื้นที่เกษตร 10,000 ตารางเมตร เป็นรองแค่ ฝรั่งเศส เวียดนาม สเปน และบราซิล (ถ้านำมาวางเรียงกันแล้วจะสูงเท่ากับตึกใบหยก 2 หรือที่ความสูงประมาณ 304 เมตร) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานตัวเลขปริมาณและมูลค่าการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทยในปี 2557 มีตัวเลขการนำเข้าทั้งหมดรวม 134,377 ตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 19,357 ล้านบาท ส่วนปี 2558 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ได้มีการสรุปตัวเลขการนำเข้าล่าสุดถึงเดือน มิ.ย. พบว่ามีการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรไปแล้วจำนวน 96,871 ตัน คิดเป็นมูลค่า 12,453 ล้านบาท การใช้สารเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนมากส่งผลต่อสุขภาพ ไม่เฉพาะแค่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเกษตรกรด้วย ข้อมูลจากสำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารเคมีกําจัดศัตรูพืชเฉลี่ยปีละ 1,734 ราย และในปี 2557 ได้มีการตรวจเลือดเกษตรกรจำนวน 317,051 ราย พบว่ามีเกษตร 107,820 ราย หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ที่มีผลตรวจเลือดอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย อันดับ 6 ของโลก ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากทะเลไทยขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามติดอันดับโลก ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติต้องมาสัมผัส แต่ทะเลไทยกำลังจะเปลี่ยนไป น้ำทะเลที่เคยสวยใส สัตว์ทะเลน้อยใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ อาจจะไม่มีให้เราได้ชื่นชมอีก เพราะทะเลไทยกำลังจะถูกทำลายด้วย “ขยะพลาสติก” สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังอย่าง CNN ได้นำรายงานของ www.sciencemag.org ที่มีชื่อว่า “ขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งลงสู่ทะเล” (Plastic waste inputs from land into the ocean) มาเผยแพร่ โดยพบว่าในปี 2010 มีพลาสติกมากถึง 275 ล้านเมตริกตัน (1 เมตริกตัน = 1,000 กิโลกรัม) ที่ถูกผลิตและใช้ในประเทศที่มีพื้นที่ติดกับทะเลจำนวน 192 ประเทศทั่วโลก โดยในจำนวนนี้น่าจะมีขยะพลาสติกราว 4.8 – 12.7 ล้านเมตริกตันที่ถูกทิ้งลงทะเล ประเทศไทยเราถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 6 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดของโลก โดยในแต่ละปีเราทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากถึง 1.03 ล้านเมตริกตัน ประเทศที่มีการทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดคือ จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้พลาสติกสูงที่สุดของโลกด้วย โดยจีนทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลที่ปริมาณ 8.82 ล้านเมตริกตันต่อปี อันดับ 2 อินโดนีเซีย 3.22 ล้านเมตริกตัน, อันดับ 3 ฟิลิปปินส์ 1.88 ล้านเมตริกตัน, อันดับ 4 เวียดนาม 1.83 ล้านเมตริกตัน และ อันดับ 5 ศรีลังกา 1.59 ล้านเมตริกตัน ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในปี 2015 มีการเก็บขยะจากทะเลและชายฝั่งเป็นจำนวน 5,363.50 กิโลกรัม โดยประเภทของขยะที่พบมากที่สุดคือ ถุงพลาสติก จำนวน 12,971 ชิ้น คิดเป็น 28.21% รองลงมาก็ยังเป็นขยะในกลุ่มพลาสติกอย่าง หลอด, ฝาขวด, ขวดน้ำพลาสติก   ตั้งแต่พลาสติกถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงยุค 90 ว่ากันว่า ขยะพลาสติกชิ้นแรกก็ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้ย่อยสลายหายไปไหน   ละเมิดลิขสิทธิ์ติดอันดับโลกไทยแลนด์ไม่น้อยหน้าใครเรื่องการเป็นแหล่งซื้อหาสินค้า “ทำเหมือน” คุณภาพเยี่ยม ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ และแทบจะในทุกแหล่งจับจ่าย ตั้งแต่ริมทางเท้าไปจนถึงห้างสรรพสินค้าห้องแอร์ นักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาบางคนก็อดใจไม่ไหว ต้องซื้อสินค้าเหล่านี้ติดไม้ติดมือกลับบ้านไป ปีนี้สหรัฐฯ ยังคงจัดให้เราอยู่ในกลุ่มประเทศ PWL (Priority Watch List) หรือ กลุ่มประเทศที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องสินค้าปลอมที่ใช้โลโก้ลิขสิทธิ์ การใช้โลโก้ที่เลียนแบบต้นฉบับ ไปจนถึงการใช้ซอฟท์แวร์ไม่จดทะเบียน สหรัฐฯ ระบุว่าไทยเป็นตลาดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ขนาดใหญ่ ที่จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้จริงจังขึ้น แต่สินค้าปลอมนี้ดูไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง แม้จะมีการตรวจจับและนำมาทำลายให้เห็นกันบ่อยครั้ง “ผู้ประกอบการ” นิยมนำเข้าสินค้าเหล่านี้จากจีน เกาหลี และไต้หวัน กันมากขึ้น โดยนำเข้ามาทางเรือหรือทางรถผ่านชายแดนลาวและกัมพูชา ที่สำคัญ การค้าในแหล่งท่องเที่ยวดูเหมือนจะดีวันดีคืน ถึงขั้นที่ต้องนำเข้า “พนักงานขาย” จากประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษด้วย   เจนวายไทย ติดอันดับติดโทรศัพท์มือถือมากสุดในเอเชียการสำรวจพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ท 60,000 คน ใน 50 ประเทศทั่วโลกโดยบริษัทวิจัยการตลาด TNS พบว่า คนไทยเจนวาย (คนที่อายุระหว่าง 16 – 30 ปี) เป็นกลุ่มคนที่ติดโทรศัพท์มือถือมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยสถิติ 4.2 ชั่วโมงต่อวัน คนมาเลเซียและสิงคโปร์ใช้วันละ 3.8 และ 3.4 ชั่วโมง ตามลำดับ แม้แต่ฮ่องกงก็ยังมีอัตราใช้เพียงวันละ 2.8 ชั่วโมง ส่วนผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่นนั้นใช้วันละ 1.6 ชั่วโมงเท่านั้น นี่เรามาเหนือประเทศผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่างจีน (3.9 ชั่วโมง) และประเทศที่ต้นสังกัดของไอโฟนอย่างอเมริกา (3.1 ชั่วโมง) ได้อย่างไร (อัตราเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 3.2 ชั่วโมง) ไม่อยากจะคุยว่าคนไทยถือโทรศัพท์กันคนละ 1.4 เครื่อง (คนอเมริกันและคนจีนมีมือถือคนละ 0.91 และ 0.77 เครื่อง ตามลำดับ) นอกจากนี้ข้อมูลปี 2556 ระบุว่าร้อยละ 56 ของการใช้อินเตอร์เน็ทในเมืองไทยเป็นการเข้าผ่านโทรศัพท์มือถือ สูงกว่าในสหรัฐฯและจีนด้วย (ร้อยละ 40 และร้อยละ 34 ตามลำดับ)   โรงพยาบาลเอกชนไทยดีติดอันดับโลก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เคยถูกจัดอันดับเป็นสถานพยาบาลติด 1 ใน 10 ของสถานพยาบาลทั่วโลกที่มีมาตรฐานระดับสากลที่ชาวต่างชาตินิยมมาใช้บริการ ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนได้รับการยอมรับในระดับโลก แต่ในบ้านเราก็พบการร้องเรียนเรื่องค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชนที่แพงเกินจริง จนเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ได้ล่ารายชื่อจำนวนถึง 33,000 ราย เพื่อยื่นต่อรัฐบาลให้ตั้งคณะกรรมการควบคุมราคาค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน ผลการศึกษามาตรฐานค่ารักษาพยาบาลของสถานพยาบาล โดยกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พบว่าค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาลเอกชนสูงกว่าค่ารักษาในโรงพยาบาลรัฐเกินกว่า 60 % ยกตัวอย่าง โรคหลอดเลือดหัวใจ ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 139,000 บาท ส่วนในโรงพยาบาลเอกชนจะอยู่ที่ 370,000 บาท โรคหวัด ค่าใช้จ่ายในการรักษากับโรงพยาบาลรัฐจะอยู่ที่ 781 บาท แต่ถ้าเป็นในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังจะอยู่ที่ 3,069 บาท สูงกว่ากันเกือบ 4 เท่า ว่าไปแล้ว ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็เข้าใจดีว่า ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชนย่อมสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ และยอมรับว่า โรงพยาบาลเอกชน ก็คือธุรกิจประเภทหนึ่งที่จะต้องมีการหาผลกำไร มีการลงทุน (ยิ่งโรงพยาบาลเอกชนที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่มีหุ้นเกือบเท่าตัว) แต่การตั้งราคาควรมีความเป็นธรรมและเหมาะสมหรือไม่ หรือว่ามุ่งแต่จะรักษาคนต่างชาติเงินหนา โดยไม่สนใจผู้บริโภคคนไทย กระทรวงสาธารณสุขรับแล้วว่าจะดูแลในเรื่องนี้ ต้องติดตามดูกันต่อไป   อันดับ 1 ของอาเซียน ดื่มสุราสูงสุดองค์การอนามัยโลก ปี 2557 เผยว่า ประเทศไทยบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน มีการดื่มเฉลี่ย 7.1 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนอันดับรองลงมาคือประเทศลาวและฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ตามข้อมูลจากศูนย์การศึกษาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(CAS) ภูมิภาคในประเทศไทยที่มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 40 ของประเทศ ในขณะที่อันดับสอง คือภาคเหนือ ร้อยละ 23 ส่วนในกรุงเทพฯ คิดเป็นร้อยละ 8 ในทางเดียวกันกับข้อมูลข้างต้น สำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ในปี 2557 จำนวนผู้ดื่มสุราในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 32 หรือประมาณ 17 ล้านคน อยู่ในช่วงอายุกลุ่มวัยทำงาน 25 - 59 ปี มากที่สุด ซึ่งผู้ชายมีอัตราการดื่มสุรามากกว่าผู้หญิง ประมาณ 4 เท่า โดยสุราที่นิยมเป็นอันดับหนึ่งคือ เบียร์ ทั้งนี้สำหรับ 3 สาเหตุหลัก ในการดื่มแอลกอฮอล์คือ เพื่อเข้าสังคมหรือการสังสรรค์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 41.9 รองลงมาคือ ทำตามอย่างเพื่อนหรือเพื่อชวนดื่ม คิดเป็นร้อยละ 27.3 และอันดับสุดท้ายคือ อยากทดลองดื่ม ร้อยละ 24.4   ต่ำสุดในอาเซียน เลี้ยงลูกด้วยนมแม่แม้ผลศึกษาวิจัยหลายชิ้นจะชี้ให้เห็นประโยชน์ของนมแม่ ในการพัฒนาสมองหรือภูมิคุ้มกันของทารกให้เพิ่มขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้นมผงเสริม แต่สถิติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของทารกก็ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยจากผลการสำรวจขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ในปี 2557 พบว่า มีคุณแม่คนไทยเพียงร้อยละ 16 เท่านั้นที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งต่ำกว่าระดับมาตรฐานโลกที่ตั้งไว้ร้อยละ 50 นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากอิทธิพลของการโฆษณานมผงต่างๆ   อันดับสองในอาเซียน แม่วัยรุ่นน่าตกใจไหม? ไทยเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนที่มีแม่วัยรุ่น (อายุ 15-19 ปี) มากที่สุด โดยอ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า ในปี 2556 การตั้งครรภ์ของผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 20 ปีทั่วโลก ประเทศไทยมีจำนวนสูงถึง 74 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นอันดับ 2 รองจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ของวัยรุ่นพบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากใช้วิธีคุมกำเนิดไม่ถูกต้อง หรือไม่ใช้วิธีป้องกันเนื่องจากขาดความรู้นั่นเอง   ข้อมูลเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส์ และนิตยสารมาร์เก็ตติ้งเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก http://www.dlt.go.th/th/ และข้อมูลสถิติจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน http://deepblue.lib.umich.edu/handle/2027.42/102731http://englishnews.thaipbs.or.th/infographic/alcohol-consumption-thailand และสำนักงานสถิติแห่งชาติ http://service.nso.go.th/nso/web/survey/surveylist.htmlhttp://thaibreastfeeding.org/page.php?id=29 / http://www.hiso.or.th/hiso5/healthy/news2.php?names=06&news_id=8286 / http://www.ipu.org/splz-e/vientiane14/malnutrition.pdf / http://www.ictsilpakorn.com/ictmedia/detail.php?news_id=296#.VmE8fXYrLIU  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 พาย

พาย เป็นขนมอบในกลุ่มที่เรียกว่า เพสตรี(Pastry) อันได้แก่ พาย ทาร์ต (tart) คิช(quiche) ครีมพัฟหรือที่เราเรียกกันว่า เอแคลร์(éclair) พายนั้นต่างจากขนมปัง แม้มีส่วนผสมหลักคือ แป้ง น้ำตาล นม เนยและไข่ เหมือนกัน แต่พายและขนมอบในกลุ่มเพสตรีจะมีไขมันมากกว่า ทั้งนี้เพื่อให้ไขมันไปตัดกลูเตนที่อยู่ในแป้งสาลีให้สั้นลงเนื้อขนมพายจึงมีความร่วนกรอบเมื่ออบสุก ต่างจากเนื้อขนมปังที่จะเหนียวนุ่ม พายดั้งเดิมแล้วมีมาแต่ยุคกรีกโบราณและแพร่หลายต่อมาในยุโรปตอนเหนือและตอนกลาง นายอลัน เดวิดสัน ผู้แต่งหนังสือ The Penguin Companion to Food บอกเราว่า คำนี้อาจย่อมาจาก แม็กพาย(magpie) ซึ่งเป็นนกชนิดหนึ่งที่ชอบสะสมสิ่งของต่างๆ เช่นเดียวกับไส้ในของพายที่เดิมนั้นจะทำจากเนื้อสัตว์หลากหลายชนิดผสมในน้ำซอส โดยมีแป้งเนื้อหนาหุ้มแทนหม้อเพื่ออบไส้ในให้สุก ว่ากันว่า เปลือกพายชนิดเดิมๆ นั้นหนาระดับกินกันแต่ไส้ข้างใน ส่วนเปลือกทิ้งไปเพราะกัดไม่เข้า ต่อมาภายหลังแป้งพายได้รับการพัฒนาสูตรจนทำให้บางกรอบกินอร่อย และเริ่มนิยมทำไส้ด้วยผลไม้รับประทานเป็นอาหารว่าง ซึ่งพายที่นิยมกันมากได้แก่ พายแอปเปิล อันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอเมริกา(แต่สูตรดั้งเดิมมาจากอังกฤษนะจ๊ะ)    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 ไม่ตกเทรนด์กับ Line TV

วันหยุดยาวแบบนี้ ใครบ้างคะที่ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ผู้เขียนขอยกมือขึ้นคนแรกเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปเที่ยวนะคะ แต่ขอเก็บไว้ไปตอนปีใหม่ทีเดียวดีกว่า แต่ เอ๋!! แล้วจะทำไรดีนะ งั้นผู้เขียนขอแนะนำแอพพลิเคชั่นสำหรับผู้อ่านที่ชื่นชอบดูซีรีย์ (series) เบื้องต้นขออธิบายคำว่า ซีรีย์ (series) กันก่อนนะคะ ซีรีย์ (series) หมายถึง ชุด ซึ่งในที่นี้จะพูดถึงละครชุด รายการชุด การ์ตูนชุด นั่นคือละคร รายการ หรือการ์ตูนที่มีจำนวนหลายตอนนั่นเอง อย่างเช่น เรื่องรักนะเป็ดโง่ เรื่องเป็นต่อ การ์ตูนโคนัน เป็นต้น แอพพลิเคชั่นดังกล่าวก็คือ Line TV ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นของ Line โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองผู้ชมที่ต้องการดู ไม่ว่าจะเป็นซีรี่ย์ไทย ซี่รี่ย์เกาหลี หรือชมละครโทรทัศน์ พร้อมรายการวาไรตี้ มิวสิควิดีโอ การ์ตูน และรายการพิเศษ ภายในแอพพลิเคชั่น Line TV ได้รวมเรื่องที่ไม่สามารถดูได้ที่อื่นมาลงไว้ให้ที่นี่ รีบหยิบสมาร์ทโฟนและเตรียมอินเตอร์เน็ตไว้ให้พร้อม ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Line TV กันเลยค่ะ หรือผู้อ่านคนใดไม่สะดวกดูในสมาร์ทโฟนก็สามารถดูในรูปแบบเว็บไซต์ในคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน โดยรูปแบบเว็บไซต์ ใช้ชื่อว่า https://tv.line.me ซึ่งทั้งสองรูปแบบจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันที่มีลักษณะใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน จึงทำให้ผู้ใช้ไม่เกิดความสับสน   การใช้บริการ Line TV เพียงมีชื่อบัญชี Line เท่านั้นก็สามารถเชื่อมต่อ log in ได้ทันที ภายในโปรแกรมจะแบ่งเป็นหมวดที่ช่วยแยกประเภทของรายการโทรทัศน์ที่จะดู ผู้อ่านสามารถเลือกดูผลงานที่แบ่งไว้ตามหมวด ทั้งหมวดละคร หมวดบันเทิง และหมวดเพลง หรือสามารถเลือกดูในหมวดแนะนำ ซึ่งจะนำรายการที่น่าสนใจและมีผู้ชมเป็นจำนวนมาก มาแนะนำให้เลือกชม เมื่อผู้อ่านได้เลือกชมรายการใดใน Line TV รายการเหล่านั้นก็จะถูกจัดเก็บเป็นประวัติการชม นอกจากนี้ถ้าผู้อ่านมีหลายรายการที่อยากดู แต่ยังไม่มีเวลาเพียงพอที่จะดูได้ในขณะนั้น ผู้อ่านสามารถจัดเก็บรายการต่างๆ ไว้ในหมวดดูภายหลังได้ Line TV ยังเอาใจแฟนคลับละคร รายการ วาไรตี้ หรือซีรีย์ใดๆ โดยผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถสมัครเป็นแฟนคลับแชนแนลที่ชอบ ซึ่งจะทำให้แฟนคลับทราบถึงความเคลื่อนไหวของละคร รายการ วาไรตี้ หรือซีรีย์นั้นๆ ได้ตลอดเวลา หยุดยาวนี้ไม่เหงาแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 รู้เท่าทันการดื่มน้ำด่าง

การดื่มน้ำด่างเพื่อสุขภาพและรักษาโรคนั้นเคยโด่งดังอย่างมากในต่างประเทศ และได้ขยายตัวมาเมืองไทยเมื่อสามสี่ปีก่อน จนมีแพทย์ นักหนังสือพิมพ์ และผู้มีชื่อเสียงในไทยจำนวนมากสนับสนุนและจำหน่ายเครื่องทำน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ หรือน้ำไอออนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บางกลุ่มก็ให้นำขี้เถ้ามาแช่ในน้ำและกรองเอาน้ำมาดื่มก็มี ปัจจุบันก็ยังมีกระแสการส่งเสริมให้ดื่มน้ำด่างกันอย่างกว้างขวาง เรามารู้เท่าทันน้ำด่างกันดีกว่า น้ำด่างหรือน้ำไอออนที่ส่งเสริม ก็คือน้ำที่ทำให้มีสภาพเป็นด่างด้วยเครื่องไอออนไนเซอร์ ซึ่งมีขายกันทั่วไป ราคาหลักหมื่น เครื่องนี้จะเปลี่ยนส่วนประกอบทางเคมีของน้ำ ทำให้น้ำเป็นด่าง น้ำดื่มปรกติมีค่ากรดด่างเป็น 7 แต่น้ำด่างมีค่ากรดด่างเป็น 8 หรือ 9 เลือดของเรามีค่ากรดด่าง 7.35-7.45 ซึ่งเป็นด่างเล็กน้อย ฝ่ายที่สนับสนุนและธุรกิจจำหน่ายเครื่องทำน้ำด่างกล่าวอ้างว่า น้ำด่างเป็นน้ำที่มีชีวิต มีพลังในการหล่อเลี้ยงร่างกายเหมือนพืชผักที่สด ดูดซึมได้ดีกว่าน้ำทั่วไป และทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์เสื่อม ดังนั้น จึงมีการกล่าวอ้างถึงประโยชน์ของน้ำด่างไว้มากมาย ตั้งแต่ o รักษาโรคหรืออาการที่เกิดจากภาวะเป็นกรดมาก เช่น ข้ออักเสบ มะเร็ง เบาหวานo เนื่องจากมีเกลือแร่ในน้ำด่าง ช่วยให้กระดูกดูดซึมเกลือแร่เหล่านี้และนำไปใช้ ทำให้กระดูกบางตัวช้าลงo โมเลกุลของน้ำด่างจะเล็กกว่าน้ำทั่วไป ทำให้ดูดซึมเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้เร็วกว่า และช่วยขับสารพิษและกรดออกจากเซลล์ได้ดีขึ้นo กระทรวงสาธารณสุขไทยเคยทำการวิจัยน้ำไอออนยี่ห้อหนึ่งที่ขายในเมืองไทย โดยนำมาใช้กับผู้ป่วยเอดส์ในปี พ.ศ.2554 และอ้างว่าทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการทบทวนการศึกษาทางวิชาการใน Cochrane Library จากเอกสารทั้งสิ้น 907,144 บทความ ไม่พบว่ามีบทความการทบทวนน้ำด่างเกี่ยวกับหัวข้อประโยชน์ต่อสุขภาพดังกล่าว และใน PubMed ก็ไม่พบการทบทวนเกี่ยวกับหัวข้อนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งแสดงว่า ยังไม่มีการวิจัยที่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้พอว่า น้ำด่างมีประโยชน์ต่อสุขภาพดังที่กล่าวอ้างมา เมื่อประมวลความเห็นในเว็บไซต์ต่างๆ ที่เห็นค้านการกล่าวอ้างประโยชน์ของน้ำด่าง มีดังนี้o น้ำด่างช่วยรักษาโรคเรื้อรังนั้น หลักฐานทางการแพทย์ยังอ่อน เพราะร่างกายควบคุมภาวะกรดด่างอย่างเข้มงวด และอวัยวะแต่ละส่วนต้องการภาวะกรดด่างแตกต่างกัน นอกจากนี้เมื่อร่างกายเกิดภาวะเสียสมดุล ร่างกายจะปรับสมดุลทันที เช่น ถ้าเลือดเป็นกรด ร่างกายจะหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป เป็นต้นo น้ำด่างทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นนั้น ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เพราะการที่น้ำด่างอาจเพิ่มความเป็นด่างกับร่างกาย แต่ไม่แน่ชัดว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้น ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างควรหลีกเลี่ยงการกินเกลือแร่ที่มากเกินไปo น้ำด่างจะขัดขวางการลดการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ นั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกลับทำให้ลดการต้านทานการป้องกันการติดเชื้อo ประเด็นสำคัญคือราคา เพราะส่วนใหญ่ถูกชักชวนให้ซื้อเครื่องที่มีราคาแพง ความจริงเราสามารถหยดหรือหยอดสารที่ทำให้เป็นด่างหรือซื้อน้ำเกลือแร่ที่เป็นด่าง ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนน้ำด่างที่ทำจากเครื่องและมีประโยชน์เหมือนกัน   สรุปคือ ยังขาดหลักฐานทางการแพทย์ที่จะยืนยันประโยชน์ของการดื่มน้ำด่างว่าดีต่อสุขภาพ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 ขนตาสั้น - บาง ทำอย่างไรดี

“ขนตา” นอกจากจะมีความสำคัญในการป้องกันฝุ่นละออง หรือเหงื่อไม่ให้ทำอันตรายต่อดวงตาแล้ว ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ หลายคน เพราะคนที่ขนยาวงอนยามกะพริบตา ดุจผีเสื้อยามกระพือปีกบินนั้น ย่อมเป็นที่สะดุดตา ชวนหลงใหล อย่างไรก็ตามความยาวของขนตาขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์เป็นหลัก คนที่ขนตาสั้นหรือบางจึงต้องสรรหาวิธีในการเพิ่มขนาดของขนตา เช่น ติดขนตาปลอม ปัดมาสคาร่า หรือต่อขนตากึ่งถาวร แต่วิธีต่างๆ เหล่านั้นจะปลอดภัยมากแค่ไหน เราคงต้องลองมาชั่งน้ำหนักความเสี่ยงกันดูค่ะ มารู้จักขนตาตามธรรมชาติกันสักนิดปกติเราจะมีขนตาบนมากกว่าขนตาล่างประมาณ 2 เท่า หรือ 120 ต่อ 80 เส้น ซึ่งขนตาก็เหมือนกับเส้นผมที่มีการหลุดร่วงทุกวัน และจะยิ่งชะลอการเจริญเติบโตเมื่อเราอายุมากขึ้น นอกจากนี้ก็มักจะมีสีแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ อย่างไรก็ตามแม้กรรมพันธุ์จะทำให้ความยาวของขนตาเราไม่เท่ากัน แต่คนที่มีขนตาบาง สั้น หรือแหว่งจริงๆ ก็ยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้มีผลเสียอะไรต่อการดำเนินชีวิต สารพัดวิธีเพื่อขนตายาวปัจจุบันหากเราต้องการเพิ่มความหนายาวของขนตาก็สามารถทำได้ ด้วยวิธีที่กึ่งถาวรและไม่ถาวรดังนี้ 1. การปัดมาสคาร่าและการติดขนตาปลอมวิธีการนี้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะเป็นการใช้เครื่องสำอางที่สามารถล้างออกได้ ทำให้ผลข้างเคียงน้อย แต่หากเราเผลอใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ หรือล้างเครื่องสำอางเหล่านั้นไม่สะอาด ก็สามารถทำให้รูขุมขนบริเวณดวงตาอุดตัน เปลือกตาอักเสบและขนตาจริงหลุดร่วงได้ หรืออาจเกิดอาการอื่นๆ ที่เรารู้จักกันดีอย่างตากุ้งยิงได้เช่นกัน   นอกจากนี้การใช้กาวติดขนตาปลอมก็สามารถทำให้แพ้ได้ เพราะในสารประกอบของกาวติดขนตา มีหลายชนิดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกาวติดวัสดุอื่นๆ เช่น ไม้ พลาสติก ซึ่งนายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ให้ความเห็นไว้ว่า กาวที่ใช้ต่อขนตาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการอักเสบระคายเคืองที่ผิวเป็นตุ่มพุพองเล็กๆ และเป็นหนองได้ ดังนั้นจึงควรใช้กาวติดขนตาแต่พอดีและเว้นระยะการใช้บ้าง เพราะทุกครั้งที่เราถอดขนตาปลอมออก จะทำให้ขนตาจริงของเราหลุดร่วงมาด้วย และควรป้องกันการแพ้เบื้องต้นด้วยการใช้สินค้าที่ได้รับมาตรฐาน อย. 2. การต่อขนตาปลอม การต่อขนตาเป็นเพิ่มความยาวและหนาที่ไม่ถาวร โดยเป็นการนำวัสดุต่างๆ เช่น เส้นใยสังเคราะห์ เส้นไหม ขนสัตว์ (ขนมิ้งค์ ขนม้า) หรือเส้นผม ต่อเข้ากับขนตาจริงในรูขนตาของเรา มีข้อดีคือทำให้เราขนตายาวตั้งแต่ตื่นนอนและดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแต่ละคน อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ก็สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า เช่น ตาบวมแดงอักเสบ เพราะติดเชื้อจากกาวหรือวัสดุที่นำมาต่อ หรือเปลือกตาอักเสบ เพราะมีการสะสมของเชื้อโรคบริเวณแผงขนตา ซึ่งหากเราขยี้ตาจนทำให้วัสดุหลุดเข้าไปในดวงตา ก็อาจทำให้เป็นแผลและติดเชื้อที่กระจกตาดำได้ หรือตามความเห็นของนายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า ไอระเหยของกาวอาจทำให้แสบตาจนถึงขั้นตาอักเสบและทำให้ต่อมขนตาฝ่อ ส่งผลให้ขนตาหยุดงอกใหม่ หรือหยุดการเจริญเติบโตทันที นอกจากนี้ พญ.กุลกานต์ อมรพัฒนา แพทย์ด้านศัลยกรรมปลูกถ่ายรากผม ก็ได้ให้ความเห็นต่อการต่อขนตาด้วยเส้นผมของตนเองว่า วิธีการนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก เนื่องจากสภาพเส้นผมจะมีความยาวไม่จำกัด จึงต้องหมั่นตัดเล็มปลายขนตาเสมอ ทั้งยังมีต่อมเหงื่อที่เยอะกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบกลายเป็นสิว หรือมีรังแค เช่นเดียวกับบนหนังศีรษะได้ 3. การใช้เซรั่มบำรุงขนตา วิธีการนี้สาวๆ ฝั่งอเมริกาเป็นคนนำกระแสมาสู่บ้านเรา เพราะเคยมีการรีวิวไว้อย่างมากมายว่า ใช้แล้วทำให้ขนตาดูหนา ยาวและดกดำขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตามกระแสดังกล่าวก็ได้เริ่มซาลงไป เมื่อบางคนใช้แล้วเกิดอาการข้างเคียง เช่น คัน ตาแดง เปลือกตาคล้ำ หรือม่านตาเปลี่ยนสี เพราะได้มีการตรวจสอบแล้วว่า เซรั่มนั้นมีส่วนผสมของสาร Bimatoprost ที่ใช้เป็นยาสำหรับรักษาโรคต้อหิน ซึ่งสามารถส่งผลแทรกซ้อนให้ขนตาของผู้ใช้ยาวและหนาขึ้นได้ ผู้ผลิตยาหลายรายจึงดึงสารที่ใช้ในยารักษาต้อหินดังกล่าว มาเป็นส่วนผสมของเซรั่มขนตายาวนั่นเอง ทำให้ภายหลังองค์การอาหารและยาของอเมริกา หรือ FDA ก็ได้ออกมาตรวจสอบ รวมทั้งควบคุมเซรั่มบำรุงขนตายาว และอนุมัติให้ขายได้เฉพาะบางยี่ห้อเท่านั้น โดยแนะนำให้ผู้บริโภคใช้เมื่ออยู่ในดุลพินิจของแพทย์อีกด้วย เพิ่มขนตาให้ปลอดภัยอย่างไรดีแม้หลายวิธีจะมีความเสี่ยงมากน้อยต่างกัน แต่อาการแพ้ต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะตัวบุคคล (คนอื่นใช้แล้วไม่แพ้ แต่เราใช้แล้วอาจจะแพ้) และวิธีการใช้ด้วยเช่นกัน ซึ่งควรมีความระมัดระวังเรื่องความสะอาดเป็นหลัก นอกจากนี้ก็ควรบำรุงขนตาให้แข็งแรงด้วยวิธีธรรมชาติ อย่างการรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิคสูงอย่าง ตับ ผักใบเขียว หรือยีสต์ในนมเปรี้ยว หรือธาตุสังกะสีในอาหารทะเล ถั่ว นมและไข่ เป็นต้น   ข้อมูลอ้างอิง : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0207.pdf คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล /สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุขhttp://pr.moph.go.th/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=36401  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 มาออกกำลังกาย ไหงแอบแฝงมาขายของ

สองสามปีนี้กระแสออกกำลังกายเป็นที่สนใจของผู้คน มองไปทางไหนก็เห็นคนมาออกกำลังกาย ทั้งเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ เล่นกีฬาต่างๆ มากมายเต็มไปหมด ในฐานะที่อยู่ในแวดวงสาธารณสุข ก็อดดีใจที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น แต่บางทีสิ่งที่ต้องระวังมันก็แอบแฝงมาในสังคมของคนที่ใส่ใจสุขภาพเหล่านี้ ผมไปสถานที่ออกกำลังกายแห่งหนึ่ง มีคนเอาแผ่นพับโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพมาให้ดู พร้อมถามว่า “ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มันดีจริงหรือไม่ เพราะเห็นคนที่มาออกกำลังกายเขาบอกว่าเขากินแล้วดี ตอนนี้เขายังชักชวนคนอื่นๆ ที่นี่ให้ซื้อไปกินเลย ที่ถามเพราะขวดละสองพันกว่าบาท รายได้ก็ไม่มาก เลยลังเลที่จะซื้อมากิน” ผมรับแผ่นพับโฆษณามาดู ในแผ่นพับบอกยี่ห้อผลิตภัณฑ์ ระบุว่าเป็นเครื่องดื่ม แอนตี้ออกซิเด้นท์ จากซุปเปอร์ฟรุ้ทและเบอร์รี่เข้มข้น มีรูปภาพผลไม้หลายชนิด เช่น มากิเบอร์รี่ อาร์ติโช้ค โกจิเบอร์รี่ แครนเบอรณี่ สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ องุ่นแดง แอปเปิ้ล ฯลฯ พร้อมข้อความโฆษณาว่า “เห็นผลจริงในคน เลือดสะอาด ตับแข็งแรง กำจัดสารพิษเร็วและมากกว่าถึง 3 เท่า ช่วยลดสารพิษในเลือดถึง 51% เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเซลล์และตับ 246% ยืนยันผลลัพธ์ปกป้องตับเพิ่มขึ้น 14%” นอกจากนี้ยังมีภาพผู้ที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มาบรรยายถึงผลในการรักษาทั้ง ภูมิแพ้ ปอดอักเสบ มะเร็งตับ เบาหวานความดัน ลดคลอเลสเตอรอล กรดไหลย้อน มีบุตรยาก ทีแรกผมก็คิดว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ คงเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วๆ ไป ที่มักมีคนมาแอบอ้างโฆษณา แต่พอไปค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่าผลิตภัณฑ์นี้นำเข้ามาจากไต้หวัน โดยบริษัทที่จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคชื่อดัง และมีคนเคยตั้งกระทู้สอบถามในเว็ปพันทิพ แล้ว ที่น่าสังเกตคือ ในเว็ปนั้นมีคนแฉภาพ ข้อความบนฉลากอย่างชัดเจนว่า “เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน” “ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค” (แต่ทำไมในแผ่นพับที่เผยแพร่ตามสถานที่ออกกำลังกายสาธารณะ กลับไปคนละทางเลย นอกจากนี้ยังนำเสนอพร้อมภาพว่าเด็ก และผู้หญิงมีครรภ์ก็ยังรับประทานได้) ที่แนบเนียน คือแม้จะเป็นแผ่นพับโฆษณาผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน แต่ในแผ่นพับที่แจก ไม่มีข้อความหรือภาพเกี่ยวข้องกับบริษัทที่นำเข้าเลย เลยสรุปไม่ได้ว่า บริษัทนำเข้าชื่อดังนี้ จะมีส่วนรู้เห็นแอบโฆษณาขายของแบบกันตัวเอง เผื่อมีเรื่องจะได้สาวไม่ถึงต้นตอ หรือมีใครที่รับมาจำหน่าย ลงทุนทำแผ่นพับเสียเอง ยิ่งไปสืบค้นเพิ่มเติม ในแง่ประสิทธิภาพต่างๆ ตามที่อวดอ้างนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ามีประสิทธิภาพจริงตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ อันที่จริงมันก็สอดคล้องกับ ข้อความบนฉลากที่ระบุว่า “ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค” อยู่แล้ว (แต่ไม่สอดคล้องกับโฆษณาในแผ่นพับ) ไหนๆ ก็หันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการออกกำลังกายกันแล้ว หันมาใส่ใจในการบริโภคอาหาร ผักผลไม้ ที่สะอาดมีประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วย แคนี้สุขภาพก็ดีขึ้นแล้ว อย่าไปเสียเงินแพงๆ กับสิ่งที่ไม่ใช่ยารักษาโรคเลยครับ เดี๋ยวจะเสียทั้งสุขภาพ เสียทั้งเงิน จนเครียดไปอีกเปล่าๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 เหลี่ยมไฟแนนซ์

“เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนาในน้ำมีปลาในนามีข้าว” แต่ผู้บริโภคไทยกลับไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างที่ควรจะเป็น เพราะผู้บริหารประเทศไทย ไม่เคยสนใจคนไทยด้วยกัน “ต้องรอให้ต่างชาติมาให้ใบแดงใบเหลือง” ถึงจะหูตาเหลือกลุกขึ้นมาแก้ไข แต่ถ้าเป็นความเดือดร้อนของคนไทยก้นไม่ร้อน “รอไปก่อนนะ”ชี้กันชัดๆ ดังเรื่องต่อไปนี้ วินัย(นามสมมุติ) มาหารือว่า เมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว เขาได้ตัดสินใจเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์มา 1 คัน โดยตกลงผ่อนชำระเดือนละ 2,350 บาท เป็นเวลา 24 เดือน วินัยเล่าต่อว่าเขาผ่อนตรงตามสัญญา มาแล้ว 6 งวด(เหลือ 18 งวด) อยู่ๆ ก็ได้รับหนังสือจากไฟแนนซ์ ที่เขาผ่อนรถอยู่ เปิดอ่านก็พบว่า ทางบริษัทเสนอโปรโมชั่นใหม่ ให้กับเขา โดยมีข้อความสำคัญที่เสนอมา คือชื่นชมที่เขาผ่อนตรงตามสัญญา บริษัทเห็นว่าเพื่อเป็นการลดภาระในการชำระค่างวดลงบ้างในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี บริษัทยินดีเสนอทางเลือกในการปรับเปลี่ยนสัญญาเพื่อเป็นการลดภาระในการจ่ายค่างวดของผู้เช่าซื้อดังกล่าวลง จากเดิมที่เคยจ่ายเดือนละ 2,350 บาท ปรับลดลงเป็นเดือนละ 2,069 บาท โดยเงื่อนไขใหม่ระบุชัดเจนว่าผ่อนงวดละ 2,060 บาท โดยผ่อนต่อจากสัญญาเช่าซื้อเดิมที่ชำระไว้แล้วต่อไปอีก 27 งวด วินัยบอกอีกว่า ถ้าดูเผินๆ ก็จะมองได้ว่า เป็นความปรารถนาดีของบริษัทที่มีต่อลูกค้าชั้นดีอย่างเขา แต่เท่าที่อ่านและวิเคราะห์โปรโมชั่นนี้ แยกแยะเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทไฟแนนซ์ได้ดังนี้ 1. โปรโมชั่นนี้จะเลือกเฉพาะลูกค้าที่จ่ายค่างวดตรงเวลา ซึ่งบริษัทเห็นว่ามีกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายแน่นอน 2. โปรโมชั่นนี้ เป็นลักษณะโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้ผ่อนชำระเข้าใจได้ว่า ตนเองจะจ่ายเงินน้อยลง 3. โปรโมชั่นนี้ เสนอมาอย่างหว่านแห หากผู้เช่าซื้อไม่เท่าทันก็จะกลายเป็นเหยื่อทันที เพราะผลจริงๆ หลังจาก บวก ลบ คูณ หาร แล้ว จะยิ่งเห็นชัดเจนว่าข้อเสนอนั้นไม่ใช่ความหวังดี แต่เป็นข้อเสนอแบบ”ลับ ลวง พราง” เป็นเล่ห์เหลี่ยมของบริษัท เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้เช่าซื้อ ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดูง่ายๆ คือเอายอดที่ต้องผ่อนเดิมเดือนละ 2,350 บาท มาคูณค่างวดที่เหลืออีก 18 เดือน เขาจะจ่ายเงินอีกเพียง 42,300 บาท แล้วก็ลองเอาตัวเลขที่บริษัทเสนอมาให้ผ่อนเดือนละ 2,069 บาท มาคูณ 27 เดือน ผู้เช่าซื้อต้องจ่ายอีก 55,863 บาท ซึ่งมีส่วนต่างที่ผู้เช่าซื้อต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 13,563 บาท เห็นชัดๆ ว่าหากผู้เช่าซื้อหลงเชื่อ ทำตามข้อเสนอของบริษัท ผู้เช่าซื้อเป็นเพียงเหยื่อ ผู้ได้ประโยชน์คือบริษัทเรื่องนี้เป็นแค่ประเด็นตัวอย่าง ที่สามารถชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภค ของประเทศไทย “อ่อนแอ ไร้การควบคุม” จริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >