ฉบับที่ 93 กระแสในประเทศ

17 ตุลาคม 2551 สธ.โวยมีคนแอบใช้นมผลิตอาหารสัตว์ทำ "เบเกอรี่" จี้ คลัง-เกษตรฯ ส่งตรวจซ้ำ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอความร่วมมือให้ด่านศุลกากรทั่วประเทศตรวจสอบการนำเข้านมจากประเทศจีน ที่แจ้งวัตถุประสงค์เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของ อย.ประจำด่านอาหารและยา เพื่อสุ่มตรวจนมที่มีการนำเข้าทุกลอตซ้ำ เนื่องจากพบว่า มีการนำนมดังกล่าวมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์จากนม ที่คนนำมาบริโภค เช่น เบเกอรี่ต่างๆ อย.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ประจำด่านอาหารและยาทั่วประเทศ ประสานกับเจ้าหน้าที่ของด่านศุลกากรและด่านปศุสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์จากนมต่างประเทศ โดยเฉพาะของจีนอย่างเข้มงวด และให้รอผลการตรวจหากการปนเปื้อนสารเมลามีนจากกรมวิทย์ฯ ก่อนที่จะนำสินค้าออกจากด่านทั้ง 32 ด่าน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 22 ตุลาคม 2551“หยินจี้หวง” ยาสมุนไพรทำเด็กจีนตาย ไม่พบในไทย ข่าวกระทรวงสาธารณสุขจีน สั่งให้โรงพยาบาลทั่วประเทศงดการใช้ยา “หยินจี้หวง” ที่ใช้รักษาโรคตับและโรคดีซ่านในทารก ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร ดอกพุด และต้นสายน้ำผึ้ง ผลิตโดยบริษัท ไทฮั่ง ฟาร์มาซูติคอล เนื่องจากทำให้ทารกเสียชีวิตแล้ว 1 ราย และป่วยอีก 3 รายนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยได้เร่งตรวจสอบเป็นการด่วนแล้วพบว่า ไม่มียาดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และไม่มีการผลิตหรือนำเข้ายาสมุนไพรจีน ที่มีส่วนประกอบของดอกพุดและต้นสายน้ำผึ้งในตำรับอื่นเข้าในประเทศไทยอีกด้วย ขอให้ประชาชนไทยมั่นใจได้ “สำหรับประชาชนที่นิยมใช้สมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วย แนะนำให้ซื้อจากร้านขายยาสมุนไพรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ถ้าเป็นยาแผนโบราณหรือยาสำเร็จรูป ต้องสังเกตว่ามีเลขทะเบียนตำรับยา หากพบข้อน่าสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อ อย.จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบต่อไป” นักโภชนาการหนุนดื่มนมแม่ เลี่ยงเมลามีน นางสุจิต สาลีพัน นักโภชนาการ 8 กรมอนามัย กล่าวว่า การพบการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์นม นมผง อาหาร ขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของนมนั้น อาจทำให้ผู้ปกครองห่วงใยบุตรหลาน และอาจหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน หรือระมัดระวังจนทำให้ร่างกายของเด็กขาดโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งความจริงผู้ปกครองควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้มาเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยนมแม่แทน เพราะในน้ำนมแม่มีโปรตีน แร่ธาตุ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่านมวัวและนมอื่นๆ ทั้งยังส่งผลให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายแข็งแรง มีไอคิว อีคิวดี และเป็นการเสริมสร้างใยรักจากแม่สู่ลูกด้วยการสัมผัส ซึ่งเด็กสามารถดื่มนมแม่ได้ถึงอายุ 2 ขวบ และหากแม่ต้องเดินทางไปทำงาน ในปัจจุบันก็มีถุงเก็บน้ำนมที่แม่สามารถปั๊มเก็บไว้ให้ลูกดื่มได้ และยังอาจเสริมด้วยผลไม้บด เช่น กล้วยน้ำว้าบด เป็นต้น 29 ตุลาคม 2551ทั่วโลกร่วมร่างกฎคุมบุหรี่เถื่อน ห้ามดิวตี้ฟรีขายบุหรี่ปลอดภาษี รายงานจากการประชุมของสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคตินและยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สมาชิกสมาคม 160 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันหารือในประเด็น การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยห้ามขายบุหรี่ปลอดภาษี โดยเฉพาะในร้านสินค้าปลอดภาษีของสนามบินต่างๆ ที่สามารถขายบุหรี่ได้แต่ต้องเป็นบุหรี่ที่จัดเก็บภาษีแล้วเท่านั้น เนื่องจากช่องทางนี้เป็นสาเหตุสำคัญในการมีบุหรี่เถื่อนเล็ดลอดออกมาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังห้ามโฆษณาขายบุหรี่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่ 100% จึงสามารถลดการสูบบุหรี่ได้เต็มที่ โดยเรื่องดังกล่าวนี้ยังจะต้องมีการประชุมอีก 2-3 ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเด็นเหล่านี้บรรจุในกฎหมายของประเทศสมาชิกอนุสัญญาฯ มาก่อน 30 ตุลาคม 2551“อัมมาร” เซ็งนักการเมืองหัวหดไม่เก็บภาษี รพ.เอกชนที่ทุ่มรักษาชาวต่างชาติเต็มที่ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า กรณีที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแนวคิดจะเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันมาตรการการจัดเก็บภาษีสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการรักษาโรคกับชาวต่างชาตินั้น ตนเองได้เสนอแนวคิดในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมานานแล้ว และสนับสนุนให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ 100% ซึ่งในทางปฏิบัติยังไม่มีการจัดเก็บภาษีนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงยังเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญ“แม้ สปสช.จะเล็งเห็นถึงความสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายของภาครัฐได้สำเร็จ เพราะ สปสช.ไม่มีอำนาจเพียงพอ เรื่องนี้จะต้องใช้อำนาจของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล เป็นเจ้าภาพดำเนินการเท่านั้น แต่ขณะนี้เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดเก็บภาษี นักการเมืองก็หัวหด ไม่มีใครใจถึงกล้าทำสักคน ขณะนี้จึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หากจะนำไปบังคับใช้จริง จะต้องมีการศึกษาผลกระทบทั้งข้อดี เสีย และอัตราการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเพียงพอ” ดร.อัมมาร กล่าว“เมดิเคิลฮับ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพทย์ในระบบราชการถูกซื้อตัวไปอยู่ภาคเอกชนที่มีรายได้จาการรักษาชาวต่างชาติเป็นมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งจากข้อมูลสถานพยาบาลเอกชนกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้บริการรักษาชาวต่างชาติเมื่อปี 2550 พบว่า มีชาวต่างชาติมารักษาโรคในประเทศไทย ประมาณ 1.5 ล้านบาท มีรายได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท” ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง หัวหน้าโครงการติดตามประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทีดีอาร์ไอ กล่าว กิน “ปลา” ต้านเบาหวาน คนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น จนต้องรณรงค์เพื่อลดปัญหาดังกล่าวกันขนานใหญ่ ล่าสุดมีการรณรงค์ “กินปลาไร้พุงต้านโรคเบาหวาน” ขึ้นเนื่องใน “วันเบาหวานโลก” 14 พ.ย. 2551 นี้ ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า องค์การอนามัยโลกได้มีการประเมินว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกอย่างน้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 300 ล้านคน ในอีก 17 ปีข้างหน้า และจากการสำรวจในไทยที่ผ่านมาพบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการชี้ให้เห็นด้วยว่า โรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายสูงกว่าโรคเอดส์ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์นั้นเสียชีวิตเพียง 3 ล้านคนต่อปี “เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นคนที่ออกแรง หรือออกกำลังกายน้อยเกินไป อีกทั้งในปัจจุบันนี้ยังพบมากในเด็ก ซึ่งเป็นการกินอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง และวิธีหนึ่งที่จะสามารถลดปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน คือการหันมาส่งเสริมการกินอาหารแบบไทยโดยการเน้นการบริโภคปลาให้มากขึ้น เพราะปลานั้นเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีราคาถูก ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้” พญ.ชนิกาอธิบายด้าน นพ.ฆนัท ครุธกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเสริมว่า ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืด หรือปลาน้ำเค็มก็มีคุณค่าไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ปลาน้ำเค็มนั้นจะมีไอโอดีนสูง แต่ก็จะมีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารตกค้างในทะเลอย่าง สารปรอท สารตะกั่ว ดื่ม “กาแฟ” ไม่ทำให้ผอมเพรียว ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า การดื่มกาแฟแล้วจะทำให้รูปร่างผอมเพรียว ซึ่งต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่ากาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมาก โดยหวังว่าจะให้ร่างกายผอม หุ่นดีนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้ แทนที่จะผอม เพราะกาเฟอีนจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ“เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย อาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก นอกจากนี้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวัน 2 แก้วต่อวัน ก็อาจมีผลเสียกับร่างกายได้ เพราะหากร่างกายได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้” นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้บริโภคตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ต้านการละเมิดสิทธิของธุรกิจโทรคมนาคม4 พ.ย.51 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคจับมือสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดตัวศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน กรุงเทพมหานคร รวมกว่า 31 ศูนย์ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้ารับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมบางรายยังมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบลูกค้า โดยเฉพาะการกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของซิมแบบเติมเงิน รวมทั้งการเก็บค่าต่อสัญญาณใหม่ 107 บาท นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะหยุดการเอาเปรียบของธุรกิจโทรคมนาคมได้อย่างไร” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการดังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคในหลายๆ ปัญหาที่พบมาก คือการถูกเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการใช้ซิมฟรีที่ได้รับแจกมา การใช้ซิมแบบเติมเงินแต่ถูกกำหนดวันหมดอายุการใช้งานต้องเติมเงินเพิ่มทั้งๆ ที่มีเงินเหลืออยู่ อีกปัญหาที่มีการร้องเรียนมาโดยตลอดคือ กรณีลูกค้าขอเปิดใช้งานโทรศัพท์หลังโดนระงับสัญญาณเพราะค้างชำระค่าบริการ แทนที่ผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับตามอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดแต่กลับใช้วิธีเรียกเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณใหม่ ในอัตรา 107 บาทตายตัว และบางเจ้าก็เรียกเก็บในอัตรา 214 บาท ซึ่งเป็นการขัดกับข้อกำหนดในเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ที่ห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการนอกเหนือหรือเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) กำหนด แต่ในทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิในเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อลูกค้าร้องเรียนหรือขอให้มีการยกเว้นก็จะมีการคืนเงินในส่วนนี้ให้ และเป็นการให้เฉพาะรายไม่ใช่ทุกรายเสมอไป “ในขณะนี้แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและห้ามคิดค่าโทรในการร้องเรียน แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเต็มที่จากผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ จึงถือเป็นหน้าที่ของ สบท. ที่นอกจากจะมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของตนเองแล้ว ยังจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนรวมตัวกันเพื่อปกป้องพิทักษ์สิทธิของตนเอง การจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิภาคประชาชนจะช่วยทำให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักในสิทธิของตนเองได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ด้าน รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า จากปัญหาหลากหลายที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนจัดตั้ง “ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนในกิจการโทรคมนาคม” ขึ้น โดยจะเริ่มต้นในเขต กรุงเทพมหานครเป็นลำดับแรก โดยจะมีทั้งหมด 31 ศูนย์ มีพื้นที่ให้บริการประชาชนครอบคลุมทุกเขตของกรุงเทพมหานคร โดยมีศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นองค์กรประสานงานกลาง โดยปัญหาเร่งด่วนที่วางเป้าว่าจะต้องมีข้อยุติภายในปีนี้คือ การกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน และการคิดค่าต่อสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ที่ไม่ใช่ลักษณะของการคิดค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องทำไม่ได้กับผู้บริโภคทุกรายไม่ใช่รายที่มีการร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 - รางวัลผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยม ยอดแย่

บทบรรณาธิการ / รางวัลผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยม ยอดแย่โดย สารี อ๋องสมหวัง ความพยายามของหลายกลุ่มที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ชัดเจนในสังคมที่ต้องการเห็นความคืบหน้าของการแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิชาการที่เสนอให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก กลุ่มสมานฉันท์ที่ต้องการใช้การเจรจาเพื่อหาทางออก กลุ่มผู้ไม่เอาสงครามกลางเมืองที่ได้สะท้อนมูลเหตุสำคัญทางการเมืองที่รอวันปะทุของสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นเหตุแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเดินหน้าต่อสู้และไม่ยอมรับการตัดสินของศาลจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร คุณภาพ จริยธรรม ภาวะตกต่ำของนักการเมืองที่กลุ่มคนดูหมดความอดทน การเคลื่อนตัวของกลุ่มคัดค้านทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย สื่อสารมวลชนของรัฐที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ วิทยุชุมชน เอเอสทีวี ความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐในการบริหารจัดการ ไม่มีการกำกับดูแล ไม่มีการบริหารจัดการ  ได้แต่มีความหวังว่าเมื่อหนังสือฉลาดซื้อถึงมือผู้อ่าน คงไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายจากความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้อีก ฉลาดซื้อได้ริเริ่มโครงการให้ผู้บริโภคและองค์กรผู้บริโภค ร่วมตัดสินและโหวตให้คะแนนกับผลิตภัณฑ์ บริการ โฆษณา ยอดเยี่ยมและยอดแย่ หลักเกณฑ์ในการส่งรายชื่อก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ใครคิดว่าในรอบปีที่ผ่านมา (2551) ถูกบริษัทไหนละเมิดสิทธิมากที่สุด และบริษัทที่ดูดีที่สุดในสายตาของเราทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งโฆษณาชิ้นไหนที่ชื่นชอบและดูแย่ที่สุดในสายตาคุณ แต่มีเกณฑ์สำคัญต้องเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีวางขายทั่วประเทศ และโฆษณาเฉพาะโทรทัศน์เท่านั้น หวังว่าสมาชิกจะช่วยกันส่งชื่อกันเข้ามาให้มากนะคะ ถึงแม้ ช่วงนี้ข่าวสารอื่นๆ ที่สำคัญมักจะถูกให้ความสำคัญน้อย ไม่จะเป็นปัญหาด้านสังคมหรือเศรษฐกิจ เพราะแม้แต่วิกฤตการเงินซึ่งเกิดขึ้นเกือบทั่วโลก ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่าเป็นปัญหามากนักในประเทศไทย สืบเนื่องจากปัญหาการเมืองยึดครองพื้นที่สาธารณะเป็นเวลานาน หรือเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าหากทำอะไรช่วงนี้ก็คงจะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ ดังนั้นการใช้สิทธิโหวตครั้งนี้มีความหมาย เพราะการเป็นการลงคะแนนทางตรงให้กับผู้ประกอบการ เหมือนกับประชาธิปไตยที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และต้องมีความหวังกับการเมืองทางตรงของภาคประชาชนที่ต้องทำให้มีเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางความอับจนของการเมืองตัวแทน แต่ต้องบอกว่าห้ามโหวตการเมืองยอดแย่กันเข้ามานะ(ฮา)

อ่านเพิ่มเติม >

กับดักอาหารเช้าซีเรียลเด็กไทยได้แต่เกลือและน้ำตาล

ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 92 เปิดเผยข้อมูลอาหารเช้าสำเร็จรูปซีเรียลทั้งประเทศไทยและต่างประเทศว่ามี ปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงตรงกันข้ามกับโฆษณาที่ทำให้เชื่อว่าอาหารเช้าเหล่านั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง แนะห้ามทำการตลาดผ่านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม Consumerthai - 24 ต.ค.51 วารสารฉลาดซื้อ จัดแถลงข่าวผลการสำรวจ อาหารเช้าสำเร็จรูปซีเรียล ฉบับประจำเดือนตุลาคม ที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหาร วารสารฉลาดซื้อ  กล่าว่า “ผลิตภัณฑ์อาหารเช้าซีเรียลที่ “ฉลาดซื้อ” และองค์กรผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumers Research and Testing) อีกกว่า 30 องค์กรจากทั่วโลกส่งเข้าร่วมทดสอบนั้น เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเช้าสำหรับเด็ก ที่พบเห็นได้ตามซุปเปอร์มาร์เกตทั่วไปและเป็นยี่ห้อที่ทำตลาดอย่างแพร่หลาย มีผลการการทดสอบโดยรวมเป็นที่น่าตกใจ เพราะ อาหารเช้าซีเรียลของประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงเกินไป ตรงกันข้ามกับโฆษณาที่ผู้ผลิตมักทำให้เราเชื่อว่าอาหารเช้าเหล่านั้นมีคุณ ค่าทางอาหารสูงและทำให้เด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเรียน ได้เริ่มวันใหม่ๆอย่างแข็งแรงสดใส” นอก จากนี้ บรรณาธิการบริหาร วารสารฉลาดซื้อกล่าวเสริมว่า จากผลการทดสอบดังกล่าวทำให้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมาองค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) ออกมาเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงในระดับนานาชาติในการควบคุมการทำการตลาด สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพของเด็ก จะได้ปลอดภัยจากการทำการตลาดของอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง ว่า การห้ามโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทางวิทยุและโทรทัศน์ระหว่างเวลา 6 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม อีกทั้งห้ามทำการตลาดผ่านสื่อ อย่างเว็บไซต์ การสร้างเครือข่ายทางสังคม และการส่งข้อความทางโทรศัพท์ ห้ามทำการตลาดในเขตโรงเรียน  เลิกแจกของแถม ของเล่น ของสะสม เพื่อการดึงดูดความสนใจของเด็ก และห้ามใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง ตัวการ์ตูน หรือการจัดการแข่งขัน หรือชิงโชคต่างๆ เพื่อการส่งเสริมการขายโดย 7 ตัวอย่างจากประเทศไทยที่ “ฉลาดซื้อ” ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเช้าซีเรียลสำหรับเด็กไปทดสอบนั้นได้ผลการทดสอบ ดังนี้  อาหารเช้าซีเรียลที่มีปริมาณน้ำตาลสูงที่สุดเรียงตามลำดับได้แก่  เคลล็อกส์ ฟรอสตี้ส์  เนสเล่ สโนวเฟลกส์  และเคลล็อกส์ โคโค่ ป๊อปส์  อาหารเช้าซีเรียลที่มีปริมาณโซเดียมมากที่สุดเรียงตามลำดับได้แก่  เนสเล่ คุกกี้ คริสพ์  เคลล็อกส์ โคโค่ ป๊อปส์ และเคลล็อกส์ ฟรอสตี้ส์  อาหารเช้าซีเรียลที่มีปริมาณไขมันสูงที่สุดคือ แฟมิเลีย สวิส ชอคโก บิทส์ ส่วนผลการทดสอบในระดับนานาชาติ  จากตัวอย่างอาหารเช้าซีเรียลที่ส่งเข้าทดสอบโดยองค์กรผู้บริโภคจาก 32 ประเทศ พบข้อสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมีจำหน่ายในประเทศใดล้วนแล้วแต่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่ สูงมากจนน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็ก     นอกจากนี้องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) ยังพบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีการโฆษณาและทำการตลาดอย่างแพร่หลาย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและผู้ปกครอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่สร้างความเชื่อถือแก่ผู้ปกครองว่าผลิตภัณฑ์ เหล่านี้ดีต่อสุขภาพ ตัวอย่าง ปริมาณน้ำตาลใน เคลล็อกส์ ฟร้อสตีส์ แสดงตามประเทศ หลายๆ ตัวอย่างมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าโดนัทเคลือบน้ำตาล หรือไอศกรีมด้วยซ้ำ ส่วนปริมาณเกลือใน เคลล็อกส์ ไรซ์ คริสปีส์ของฮ่องกง และ เนสเล่ ช็อคคาพิคส์ ของอาร์เจนติน่านั้นอยู่ในระดับสูงเท่ากับน้ำทะเล** 32 ประเทศที่ส่งผลิตภัณฑ์อาหารเช้าเข้าร่วมทดสอบได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม บราซิล ชิลี สาธารณรัฐเชค เดนมาร์ค ฟิจิ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ไอร์แลนด์ อิตาลี เคนยา มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เปรู โปแลนด์ โปรตุเกส รัสเซีย สโลเวเนีย สเปน เกาหลีใต้ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกา และประเทศไทย** องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) มีสมาชิก 220 องค์กร จาก 115 ประเทศทั่วโลกต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ชนิษฎา วิริยะประสาท โทรศัพท์ 0-2248-3737 ต่อ 311 หรือ 0-81712-9987

อ่านเพิ่มเติม >

ฉลาดซื้อ ขอเชิญสมาชิกร่วมงาน กรีนแฟร์

ฉลาดซื้อ ขอเชิญสมาชิกร่วมงาน กรีนแฟร์ ’08เรียนรู้ วิธีการผลิตและใช้ชีวิตอย่างเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภคและโลกของเรา ในงานแสดงผลิตภัณฑ์อินทรีย์และผลผลิตตลาดสีเขียวชุมชน Green Fair’s 08 พบบูธหนังสือเพื่อผู้บริโภค”ฉลาดซื้อ”ณ ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  วันที่ 4 – 7 ธันวาคม นี้ เวลา 10.00 – 20.00 น.ลงทะเบียนรับของชำร่วยเก๋ไก๋ ได้ที่บูธฯฟรีทุกท่านจากแนวคิดของ การสร้างเส้นทางสู่ “การตลาดสีเขียวที่เป็นจริง” อันเป็นแนวทางที่ต้องการสร้างระบบตลาดหรือการค้าที่เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันทั้งผู้ผลิต ร้านค้าและผู้บริโภค โดยมีแนวทางร่วมกันคือ ความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตอาหารตามแบบวิธีดั้งเดิมและด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการเร่งรัดให้ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด แต่สามารถรักษาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตได้โดยใช้วิธีการทางชีวภาพ การพัฒนาวิธีการทางธรรมชาติที่คงคุณภาพโดยให้ทั้งรสชาติ คุณค่าอาหาร และความปลอดภัย ที่ปราศจากสารปนเปื้อนในอาหารและสารเคมีปรุงแต่ง ระบบการผลิตเช่นนี้นอกจากจะช่วยรักษาความหลากหลายของพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ และสิ่งแวดล้อมของชุมชนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบการผลิต – ซื้อ – ขาย ของท้องถิ่น เพื่อให้ชาวบ้านพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน จาก ความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตดังกล่าวนำมาสู่การสร้างการตลาดสีเขียว ผ่านรูปแบบร้านกรีนที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกัน และกัน สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจกับผู้บริโภคเรื่องการผลิตที่เป็นมิตรกับสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เส้นทางสู่ตลาดสีเขียวจึงควรดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติและการ พัฒนาที่ยึดหลักความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การเดินทางของเส้นทางตลาดสีเขียวจึงผลักดันให้เกิด“เครือข่ายตลาดสีเขียว ”ขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงและขยายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิต, ผู้บริโภคในรูปแบบการตลาดสีเขียวและส่งเสริมสนับสนุนสินค้า, ผลิตภัณฑ์, บริการทั้งจากผู้ประกอบการสีเขียวและชุมชน อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการกระตุ้นจิตสำนึกและส่งเสริมความรู้ความเข้าใจต่อ การบริโภคที่ยั่งยืนก่อให้เกิดการรวมกลุ่มผู้บริโภคสีเขียว เครือข่าย ตลาดสีเขียวร่วมกับบริษัทสวนเงินมีมา  และองค์กรต่างๆ จึงร่วมกันจัดงานเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดแบบใหม่ที่ เน้นมิติสังคม  สิ่งแวดล้อม  และการอยู่รอดอย่างยั่งยืนของผู้ผลิต ผู้ประกอบการตลาด และผู้บริโภค  โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดความเข้า ใจในการบริโภคสินค้าปลอดสารพิษที่มีการผลิตที่รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสำนึกจิตอาสาในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้เกิดสำนึกที่ดีในการช่วยเหลือสังคมผ่านการบริโภคสินค้าชุมชน และสร้างความเข้าใจต่อปัญหาการผลิตซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  โดยใช้งานกรีนแฟร์ซึ่งจะเป็นเครื่องมือ  สร้างจุดนัดพบระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการตลาด และผู้บริโภค โดยงานนี้จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในระหว่างวันที่ 4 - 7 ธันวาคม 2551 มีวัตถุประสงค์และรูปแบบการจัดงานดังนี้วัตถุประสงค์1. เปิด โอกาสให้ผู้บริโภคและนักศึกษาได้เป็นอาสาสมัครเพื่อฝึกฝนการทำงานร่วมกับ ชุมชน และมีส่วนในการรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน2. สร้าง Green generation green volunteer  กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีหัวใจของความเป็น ตลาดสีเขียวและอาสาสมัครที่ที่คำนึงถึงการบริโภคที่ยั่งยืนทั้งได้เรียนรู้ และเชื่อมโยงวิถี, วัฒนธรรมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม3. เพื่อรณรงค์ ส่งเสริม และให้ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดการบริโภคสินค้าเกษตรอินทร์  สินค้าที่ปลอด GMO และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม4. เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์จากผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการผลิต    ขนาดเล็กและขนาดกลาง5. กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนักในความสำคัญของการส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์อินทรีย์ สินค้าจากชุมชน และผู้ผลิตขนาดเล็กขนาดกลาง6. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบร้านกรีนให้ได้มีโอกาสพบปะกับผู้บริโภค และสร้างสายสัมพันธ์ด้านสมาชิกที่เหนียวแน่นเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ต่อไปอย่าพลาดนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >