ฉบับที่ 96 บัตรเครดิตปลอมและถูกลัก

รู้กฎหมายกับทนายอาสาsmbuyer@hotmail.com กรณีที่มีบุคคลอื่นทำปลอมบัตรเครดิตหรือลักบัตรเครดิต เช่น เป็นการลักหรือโจรกรรมข้อมูลจากบัตรเครดิตในขณะมีการใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ โดยผู้ขโมยข้อมูลเป็นพนักงานของร้านค้าหรือสถานบริการ หรือข้อมูลถูกขโมยจากเครื่องมืออิเล็กโทรนิกส์ที่คนร้ายลักลอบติดตั้งไว้บริเวณด้านบนของเครื่อง เอ ที เอ็ม (มีการถ่ายภาพหรือบันทึกข้อมูล ขณะมีการใช้บัตรเครดิตนั้นกดรหัสประกอบบัตรเครดิตเบิกถอนเงินจากเครื่อง เอ ที เอ็ม) ซึ่งเจ้าของบัตรเครดิตไม่ทราบเรื่อง หรือขโมยจากข้อมูลที่ธนาคารหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตเก็บรักษาไว้ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ แล้วนำข้อมูลนั้นมาทำบัตรเครดิตปลอม แล้วมีการนำบัตรปลอมนั้นออกไปซื้อสินค้าและบริการต่างๆ รวมทั้งการเบิกถอนเงินจากเครื่อง เอ ที เอ็ม ซึ่งกรณีที่สองนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า สมาชิกหรือเจ้าของบัตรเครดิตที่ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมให้มีการทำบัตรเครดิตปลอม ไม่ต้องรับผิดใช้เงินที่ธนาคารหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตได้ออกทดรองไปก่อน จากการใช้บัตรเครดิตปลอมของบุคคลอื่น เพราะธนาคารหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตจะต้องจัดทำบัตรเครดิตและจัดเก็บข้อมูลเป็นความลับ ให้ยากต่อการถูกลักหรือโจรกรรมข้อมูลไปได้ เว้นแต่เจ้าของบัตรเครดิตมีส่วนรู้เห็นให้บุคคลอื่นทำบัตรเครดิตปลอมขึ้นมา แล้วมีการนำบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งเบิกถอนเงินสดจากเครื่อง เอ ที เอ็ม เจ้าของบัตรเครดิตนั้นต้องรับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากสมาชิกบัตรเครดิตได้รับใบแจ้งยอดหนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตเป็นรายเดือนจากธนาคารหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตแล้ว ถ้าตรวจสอบใบแจ้งยอดหนี้แล้วเห็นว่าตนมิได้ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการรายใด รวมทั้งการเบิกถอนเงินสดจากเครื่อง เอ ที เอ็ม ก็ต้องรีบแจ้งและทักท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรไปทันที เพื่อธนาคารหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตจะได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อยกเลิกบัตรเครดิตใบดังกล่าว แล้วออกบัตรเครดิตใหม่ให้แทนต่อไป  สำหรับกรณีบัตรเครดิตถูกคนร้ายลักไปแล้วนำไปใช้นั้น มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยล่าสุด ซึ่งมีความน่าสนใจดังนี้  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2840/2550 ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ระบุว่า บัตรเครดิตนี้ธนาคารได้ออกให้และสงวนไว้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ถือบัตรยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตไปให้บุคคลอื่นใช้ ดังนั้นในกรณีที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ที่ออกให้แก่จำเลยไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าเป็นการใช้บัตรเครดิตซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติและ/หรือเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ต่อเมื่อจำเลยได้ยินยอม อนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงดังกล่าวข้างต้น การที่บัตรเครดิตของจำเลยถูกคนร้ายลักไปย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยมิได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ ถ้าบัตรเครดิตถูกขโมยไปใช้ เราก็ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่เราไม่ได้ก่อขึ้นครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 ยาต้านความชรามีจริงหรือ

สวยอย่างฉลาด ฉบับที่ 93รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com ริ้วรอยบนหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และถุงใต้ตาบนใบหน้าคือสัญลักษณ์ของคนมีอายุ นอกจากนั้นยังพบริ้วรอยตามผิวหนังลำตัว มือ แขน ขา และตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด ความร้อน อากาศทั้งที่แห้งและร้อนชื้น ยาต้านความชรา เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกหา ในต่างประเทศ มีการวิจัยพบว่าร่างกายของคนเรา ตอนที่เป็นเด็กจะมีฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตซึ่งเรียกว่า โกรทฮอร์โมน (Human Growth Hormone) เมื่ออายุเราสูงวัยขึ้นเป็นอายุ 60 ฮอร์โมนชนิดนี้จะลดลงเหลือเพียง 20% ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนยาน กล้ามเนื้อเหลว ไขมันลงพุง ความสดใสหรือกระปรี้กระเปร่าหดหาย ความเครียดความกังวลเข้าแทนที่ ผิวหนังซีด กระดูกบาง นอนไม่หลับ ฯลฯ ทางการแพทย์มีการฉีดฮอร์โมนชนิดนี้แก่คนไข้ที่มีปัญหาโกรทฮอร์โมนบกพร่อง ผลก็คือร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่น ผิวหนังเต่งตึง อารมณ์แจ่มใส เฉกเช่นหนุ่มสาว อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะนำโกรทฮอร์โมนมาเป็นยาต้านความชราในคนที่ร่างกายไม่เป็นโรคนั้น มีโทษมากกว่าคุณ เพราะจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย เช่น ทำให้เกิดโรคเบาหวาน มะเร็งลำไส้ ฯลฯ ยาชนิดนี้ในปัจจุบันจะมีการผลิตออกมาเป็นเม็ด สะดวกสำหรับการกิน จะพบโฆษณาตามอินเตอร์เนท ยาชนิดนี้ถูกจัดประเภทเป็นยาควบคุม ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับเป็นยาต้านความชรา แม้แต่คลินิกแพทย์ที่จ่ายยาชนิดนี้ให้คนไข้ด้วยวัตถุประสงค์ของการชะลอวัย ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ถึงแม้ไม่ได้รับยานี้โดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าหากเราต้องการให้ร่างกายได้รับโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ให้ร่างกายและจิตใจเป็นหนุ่มเป็นสาว เราสามารถช่วยตัวเราเองได้โดยการจัดโปรแกรมสำหรับกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอง คือ ต้องเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ เช่น 1.ให้เวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อนที่มากเพียงพอทุกวันอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 2. เลิกกินอาหารจานด่วน อาหารขยะที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ไขมันและแป้ง รวมทั้งให้เลิกพฤติกรรมการชอบซื้อและกินอาหารกล่องสำเร็จรูป อาหารถุง หรืออาหารแช่แข็งจากซูเปอร์มาร์เก็ต 3. ออกกำลังกายให้มากเพียงพอ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงเพื่อตามแฟชั่น4. เลิกเหล้าหรือแอลกอฮอล และบุหรี่ 5. พยายามเลิกกินยาสารพัดชนิดมากมายโดยไม่มีเหตุอันจำเป็น เพราะยาเหล่านั้นคือเคมีทั้งหลายที่จะทำลายตับไตและตับอ่อนเราได้ 6. ลดความเครียดจากภาระงานในแต่ละวันด้วยวิธีต่างๆ ตามแต่ความชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ พบว่าผู้ที่สามารถควบคุมตนเองให้เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถบังคับตนเองให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะเห็นผลชัดเจนเพียงไม่กี่เดือนว่า ผิวพรรณเต่งตึง สภาพจิตใจสดใส ไม่หดหู่ ระบบขับถ่ายดี สุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโกรทฮอร์โมนเองโดยไม่ต้องกินยาหรือฉีดยาเข้าสู่กระแสเลือด ไม่ต้องพึ่งเข็มฉีดยา และไม่มีความเสี่ยงกับการเอาสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย คนเราไม่สามารถที่จะเพียงแต่คิดอยากสาวและไม่อยากแก่ด้วยการไปพบแพทย์ที่คลินิก ให้แพทย์จ่ายยา ฉีดยา ลอกหน้าให้ใส หรือดึงหน้าให้ตึงหรืออื่นๆ เพราะถ้าสภาพจิตใจไม่ได้ดีขึ้นด้วย ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายและจิตใจไม่สมดุล นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า คนที่สุขภาพแข็งแรง คือผู้ที่อยู่ในโปรแกรมของการชะลอวัย โดยอัตโนมัติ หรือมีวิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติที่ช่วยทำให้มีอายุยืนยาวอยู่แล้ว ผิดจากชาวตะวันตกในประเทศที่เจริญมากๆ เช่น อเมริกา จะพบว่าชาวอเมริกันทุกวันนี้จะเรียกได้ว่าอยู่ในโปรแกรม “เร่งความชราภาพ” ไม่ใช่ชะลอความชราภาพ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงหรือผัดผ่อนการออกกำลังกาย กินอาหารจานด่วนและอาหารขยะเป็นประจำ กินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลปริมาณมาก บางคนอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่ทำงานมากเกินพอดี มีเวลาพักผ่อนน้อยเกินไป เกิดความเครียด แต่พยายามดูแลตนเองด้วยการกินวิตามินและอาหารเสริมเป็นกำมือเพราะคิดว่าจะช่วยชะลอวัยได้ ความจริงพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการดำเนินชีวิตที่อยู่ในโปรแกรม ‘เร่งความชราภาพ’ โดยไม่รู้ตัว ทุกท่านลองพิจารณาตนเองดูว่า ท่านอยู่ในโปรแกรมแบบไหน เร่งให้ตัวเองแก่เร็ว หรือไม่? แต่ยังพยายามถามหาและเรียกร้องเทคโนโลยีของการชะลอความแก่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 น่าอนาถ นมจีน

ของฝากจากอินเตอร์เน็ต93รศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล บทเรียนเรื่องเกี่ยวกับเมลามีนในนมนั้นสอนให้รู้ว่า น่าจะมีการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบการหาปริมาณโปรตีนในตัวอย่างอาหารกันใหม่ได้แล้ว เพราะวิธีการที่วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนโดยการหาปริมาณไนโตรเจนด้วยวิธีการทางเคมี แล้วนำค่าที่ได้มีคูณกับตัวเลขที่เป็น Factor เฉพาะ เพื่อเปลี่ยนค่าเป็นปริมาณโปรตีนนั้น เป็นตัวก่อปัญหาดังกล่าวได้กว่าท่านผู้อ่านจะได้อ่านบทความนี้ หลายท่านคงอร่อยไปกับเมลามีนไปหลายยกแล้ว เพราะปัญหานี้มันไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เกิดมานาน 3-4 ปีแล้ว และเป็นการแสดงถึงความเลวร้ายของอุตสาหกรรมอาหารจีนที่มีพฤติกรรมซึ่งในทางอุตสาหกรรมอาหารใช้คำว่า Adulteration คำว่า Adulteration นั้นเป็นคำที่ใช้ในทางกฎหมายอาหารของฝรั่ง ครั้งแรกที่ผู้เขียนพบคำนี้ตอนเรียนหนังสือก็งงว่า เอ!! อาหารมันไปเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่มันโป๊หรือเปล่านะ เพราะคำว่า Adult only หรือ Adult movie มันเป็นสิ่งที่นักท่องเว็บคงพอทราบว่ามันคืออะไร แต่เมื่อเปิดพจนานุกรมจึงทราบว่ามันมีความหมายว่า เป็นการปลอมปนอาหาร เช่น การเติมใยอาหารหรือโปรตีนที่แยกจากถั่วเหลืองใส่ลงในไส้กรอกเพื่อลดปริมาณเนื้อสัตว์ แล้วแต่งสี รส กลิ่นให้คล้ายกับมีเนื้อสัตว์เยอะ ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกับที่โรงงานนมของจีนทำ คือ การ adulterate นมโดยใช้เมลามีนเป็นตัวตบตา การตบตาผู้บริโภคด้วยเมลามีนในนมนั้นทำได้เนื่องจาก เมลามีนเป็นสารเคมีที่มีจำนวนอะตอมของไนโตรเจนหลายอะตอมใน 1 โมเลกุล ดังนั้นโรงงานนมของจีนจึงสามารถเติมน้ำในนมให้เจือจาง แล้วเติมเมลามีนลงไป เวลาทำการวิเคราะห์ว่านมได้มาตรฐานหรือไม่ด้วยการตรวจวัดว่ามีไนโตรเจนในนมเท่าใด ก็จะพบว่ามีไนโตรเจนในปริมาณที่อยู่ในมาตรฐาน แล้วก็เข้าใจว่าเป็นไนโตรเจนที่เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโนที่รวมตัวเป็นโปรตีนต่างๆ ในนม ลักษณะความเข้าใจผิดในเรื่องปริมาณไนโตรเจนว่า เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณโปรตีนนั้น เกิดได้ไม่ยากสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนทางด้านการวิเคราะห์อาหาร จึงทำให้หลายคนเข้าใจผิดเมื่อดูผลการวิเคราะห์ปริมาณไนโตรเจนในตัวอย่างพืชแล้วพบว่าสูง ก็ไปแปลความว่าพืชหลายชนิดมีโปรตีนสูง เพราะทั้งที่ความจริงแล้วไนโตรเจนในพืชซึ่งเรียกว่า non-protein nitrogen นั้นเป็นองค์ประกอบทางเคมีของสารเคมีธรรมชาติอีกมากมาย บทเรียนเรื่องเกี่ยวกับเมลามีนในนมนั้นสอนให้รู้ว่า น่าจะมีการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบการหาปริมาณโปรตีนในตัวอย่างอาหารกันใหม่ได้แล้ว เพราะวิธีการที่วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนโดยการหาปริมาณไนโตรเจนด้วยวิธีการทางเคมี แล้วนำค่าที่ได้มีคูณกับตัวเลขที่เป็น Factor เฉพาะ เพื่อเปลี่ยนค่าเป็นปริมาณโปรตีนนั้น เป็นตัวก่อปัญหาดังกล่าวได้ นอกจากความผิดพลาดในเรื่องการทำให้ผู้ตรวจสอบอาหารเข้าใจผิดแล้ว ยังมีข่าวที่แสดงความผิดพลาดในการทำความเข้าใจกับผู้บริโภคโดยบางหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ในประเด็นที่เกี่ยวกับการดื่มนมด้วย โดยมีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งในไทยได้ลงข่าวว่า สหภาพยุโรปได้ยอมให้ผู้บริโภคสามารถได้รับการปนเปื้อนของเมลามีนในนมได้ในระดับ 0.5 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เพราะเมื่อคำนวณแล้ว พบว่าจะต้องดื่มนมมากถึง 1,000 ลิตร ต่อวันถึงจะเป็นอันตราย ข้อความดังกล่าวนี้เป็นจริงในทางทฤษฎีเกี่ยวกับการกำหนดปริมาณสารพิษที่ยอมให้ปนเปื้อนในอาหาร ทั้งนี้เพราะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปหลายประเทศเป็นผู้ผลิตอาหารนม และในการผลิตนมก็ต้องปลูกหญ้าให้วัวกิน ซึ่งหญ้าเหล่านี้อาจมีการปนเปื้อนของเมลามีนได้ เพราะเมลามีนนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนจากสารกำจัดศัตรูพืชชื่อ ไซโรมาซีน (cyromazine) ซึ่งถือว่าเป็นการปนเปื้อนตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับผู้ผลิต (แต่ผู้บริโภคมีสิทธิเลี่ยงได้คือ ไปซื้อนมจากทวีปอื่นที่ไม่ได้ใช้สารกำจัดศัตรูพืชชนิดนี้) ความจริงแล้วค่า 0.5 มก./น้ำหนักตัวเป็น กก./วัน ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับ Tolerable daily intake (TDI) ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ตัวเลข TDI นั้น คือปริมาณสารพิษที่ผู้บริโภคได้รับต่อวันแล้วไม่น่าเป็นอันตราย ซึ่งคำนวณได้จากผลการประเมินความเสี่ยงในสัตว์ทดลอง ดังนั้นค่าที่กำหนดไม่เกิน 0.5 มก./น้ำหนักตัวเป็น กก./วัน ไม่น่าจะอันตราย เพราะเมลามีนมีค่าความเป็นพิษเฉียบพลันต่ำมากและขับออกจากร่างกายสัตว์ทดลอง (อาจรวมถึงคน) เร็ว แต่ในการทดสอบระยะยาวความเป็นพิษในสัตว์ทดลองสูงขึ้น ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะสัตว์ทดลองที่ใช้ในการศึกษาทางพิษวิทยานั้นเป็นสัตว์ทดลองที่สุขภาพดีคือ Healthy young adult สภาพความเป็นอยู่ควบคุมให้ดีที่สุด ดังนั้นผลการศึกษานั้นจึงอาจเปลี่ยนแปลงเลวร้ายลงถ้าผู้รับสารพิษเป็นเด็กเล็กซึ่งมีระบบต่างๆ ภายในร่างกายยังพัฒนาไม่เต็มที่ หรือแม้ในคนป่วยและคนชราก็เช่นเดียวกัน จึงถือว่าเป็นการพยายามทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ว่า ปริมาณที่ได้รับตามที่ องค์การอนามัยโลกแนะนำนี้ไม่มีปัญหา ทั้งที่คนไทยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงในเรื่องนี้เลย เพราะเราสามารถผลิตนมของเราได้เอง (แต่มีข้อแม้ว่า คนผลิตนมของเราต้องไม่เลียนแบบคนจีนด้วยนะครับ) ในประเด็นที่กำหนดว่าต้องดื่มนมถึง 1,000 ลิตรถึงจะเป็นอันตราย หมายถึงว่านมนั้นมีเมลามีน ในระดับต่ำ ก็เป็นการมองความเป็นพิษของเมลามีนเพียงชนิดเดียว ไม่ได้มองว่าเมลามีนนั้นสามารถรวมตัวกับสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันคือ กรดไซยานูริค (cyanuric acid) ได้เป็น เมลามีนไซยานูเรต ซึ่งตกตะกอนได้ดีเช่นกันในไต กรดไซยานูริคนั้นมักมีการปนเปื้อนพร้อมๆ กับ เมลามีนที่มีเกรดต่ำ ที่สำคัญอีกประการคือ เมลามีนอาจรวมตัวกับ กรดยูริก (uric acid) แล้วตกตะกอนที่ไตได้เช่นกัน กรดยูริกนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ของกรดนิวคลิอิก (nucleic acid) ซึ่งพบได้ในคนที่ชอบบริโภคเครื่องในสัตว์ หรืออาหารที่ค่าของกรดนิวคลิอิกสูง เช่น สาหร่ายสีเขียวอัดเม็ด โดยสรุปแล้วถ้าสามารถควบคุมไม่ให้อาหารมีเมลามีนปนเปื้อนได้ เราก็ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไตได้ (ปัจจุบันอัตราการป่วยด้วยโรคไตของคนไทยสูงขึ้นมาก) ปัญหาที่เด็กจีนตายไปสี่คนนั้น เป็นเพราะในนมที่ปนเปื้อนเมลามีนมีระดับการปนเปื้อนสูงมาก และคงไม่ได้ปนเปื้อนแต่เมลามีนอย่างเดียว องค์การอนามัยโลกได้คำนวณว่า นมของบริษัท Sanlu ที่ทำให้เด็กตายนั้นมีการปนเปื้อนเมลามีนสูง และได้กล่าวว่า ค่า TDI ที่กำหนดไว้ 0.5 มก. ต่อ น้ำหนักตัว 1 กก. นั้น แปลได้ว่า คนที่มีน้ำหนักตัว 50 กก. มีความสามารถจะทนการรับสารพิษได้ถึง 25 มก.ของเมลามีนต่อวัน ข้อมูลดังกล่าวมาจากเอกสารชื่อ Melamine and Cyanuric acid: Toxicity, Preliminary Risk Assessment and Guidance on Levels in Food ลงวันที่ 25 September 2008 ซึ่งเข้าไป download ได้ที่ http://www.who.int/foodsafety/fs_management/Melamine.pdf ดังนั้นการดื่มนมวันละ 1 ลิตร ก็จะถึงค่านี้ได้ถ้านมนั้นมีการปนเปื้อนที่ความเข้มข้น 25 มก. ต่อลิตร ค่า TDI 0.5 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดนั้นจึงเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง เพราะเมื่อพิจารณาถึงเด็กหนักราว 5 กก. ค่าความทนต่อเมลามีนก็คงจะเป็นราว 2.5 มก. ต่อวัน ปริมาณดังกล่าวนี้ถึงได้ไม่ยากถ้าดื่มนมราว 750 มล. (ซึ่งเป็นปริมาตรที่มักจะแนะนำให้ใช้เมื่อมีการชงนม) ที่มีการปนเปื้อนในระดับ 3.3 มก. ต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้านมของบริษัท Sanlu ที่เมื่อนำไปละลายน้ำแล้ว จะได้น้ำนมที่มีความเข้มข้นของเมลามีนถึง 350 มก. ต่อ ลิตร (ซึ่งเป็นการละลายนมตามวิธีการทั่วไป) ซึ่งหมายความว่าในนมผงมีการปนเปื้อนถึง 2500 มก. ต่อ 1 กก. นมผง บทเรียนเรื่องเมลามีนนี้ จะทำให้ประเทศจีนตกต่ำอย่างมากในเรื่องสินค้าอาหาร ทั้งที่ความจริงแล้วก็เป็นมานาน โดยดูจากตัวอย่างพืชผักผลไม้ที่จีนถมลงมาในประเทศไทย หลังการทำสัญญาไม่เก็บภาษีกัน สินค้าพืชผักเหล่านี้ที่น่าจะมีการปนเปื้อนของสารเคมีค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าตรวจสอบก็น่าจะพบปริมาณเกลือไนเตรท (nitrate salt) ที่เป็นปุ๋ยเคมี สารพวกไนเตรท นี้สามารถเปลี่ยนเป็นไนไตรท (nitrite salt) ได้ในปากเราแล้วลงไปทำปฏิกิริยากับสารเคมีในอาหารหลายชนิดได้เป็นสารก่อมะเร็ง ในระหว่างการย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร อย่างไรก็ตามผู้บริโภคคงไม่ต้องตระหนกมากนักเพราะเราก็คงไม่ได้ตรวจสอบเท่าใด เนื่องจากอ้างว่าขาดงบประมาณและขาดกำลังคน ซึ่งมันขาดมานานตั้งแต่เมื่อ 30 ปี มาแล้วที่เราเริ่มมีพระราชบัญญัติอาหาร และคงขาดไปเรื่อย ๆ เพราะเงินต้องเอาไปทำ Megaproject ผู้เขียนจึงไม่แนะนำให้ท่านผู้อ่านบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากจีน โดยเฉพาะที่มีการขายตามตลาดนัดคาราวานต่างๆ เช่นเดียวกับนักกีฬาสหรัฐที่เอาอาหารไปกินเองตอนโอลิมปิคที่ปักกิ่ง ปัญหาในลักษณะที่เกิดในจีนก็อย่านึกว่าจะไม่เกิดในไทย ทั้งนี้เพราะแม้แต่ปัญหาการใช้สารกระตุ้นเนื้อแดงในหมูคือ ยากลุ่ม beta-agonist เราก็ยังแก้ไม่ได้ มีปัญหาทั้งทางกฎหมาย การตรวจสอบ และบุคลากร ดังนั้นถ้าหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบด้านอาหารทั้งระดับท้องถิ่นและระดับที่สูงขึ้นไปเกิดฟิตขึ้นมาตรวจสอบอาหารที่คนไทยกินเยอะ เอาแค่ 10 % ของรายการอาหารที่เรากินสูงสุด ก็อาจพบสารพิษมากมาย จนอาจไม่มีอะไรให้กินเลยด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้น อาหารเจ ก็จะขายได้ทั้งปีแน่นอน ล่าสุดเมื่อกำลังเขียนบทความนี้จะเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็ออกมาประกาศว่า ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์นม และผลิตภัณฑ์ขนมที่มีนมเข้าไปเกี่ยว มีการปนเปื้อนของเมลามีนเสียแล้ว ทั้งที่อาจไม่ได้ใช้นมจากจีน คำถามคือ แล้วมันมาจากไหน หรือว่าถึงเวลาที่ควรมองหานมพืชแทนนมสัตว์ คือ ใช้กะทิในการผลิตสินค้าที่เคยใช้นมแทนนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 -หมึกแดงหลีกไป...หมึกดำมาแว๊วววว

ภก.ภาณุโชติ ทองยังnuchote@hotmail.comสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ในฉลาดซื้อฉบับก่อนๆ ผมได้เล่าว่าแผนกของผม ได้ออกรณรงค์ตรวจสอบเครื่องสำอางในท้องตลาด เพื่อเฝ้าระวังว่ามีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ อาศัยดูละครเรื่องคมแฝกบ่อยๆ (ฮา) จึงได้วางแผนออกปฎิบัติการ กระจายกำลังแบบป่าล้อมตลาด เพื่อครอบคลุมเป้าหมายพื้นที่เทศบาล เน้นกลุ่มหลัก คือร้านเสริมสวย และได้เก็บครีมทาหน้าขาวจากร้านต่างๆ มาตรวจสอบจนทราบผล และได้เล่าไปแล้ว มาตรการต่อจากนั้น ก็มีการวางแผนส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปแจ้งผลโดยตรงกับทางร้าน เพื่อสอบถามแหล่งที่มาของครีมที่พบสารอันตรายปนเปื้อน โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสำนักงานเทศบาลเมืองฯ รับเป็นเถ้าแก่คนกลางในการนัดเจรจา และเพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการ จึงได้เน้นการสร้างความเข้าใจและชักชวนผู้ประกอบการเข้ามาเป็นพวกเฝ้าระวังให้กับรัฐ แทนที่จะเป็นพวกที่ต้องคอยหลบหนีเนื่องจากกระทำผิด และเนื่องจากว่าผมมีพรสวรรค์ทั้งการพูดเกลี้ยกล่อม และการสอดรู้สอดเห็นจึงได้รับบทบาทดังกล่าว (ฮา) จากการพูดคุย ผมเลยได้ข้อมูลแปลกๆ มาเล่าสู่กันฟัง หนูรู้แต่หนูก็ใช้ผู้ประกอบการรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า “ครีมที่ตรวจเจอน่ะ หนูไม่ได้ใช้กับลูกค้าหรอกค่ะ เพราะปกติแล้วหนูจะใช้เครื่องสำอางดีๆ ที่ปลอดภัยมียี่ห้อกับลูกค้า เพราะหนูกลัวลูกค้าได้รับอันตราย แต่ตลับนี้ หนูซื้อมาใช้เองค่ะ เพราะหนูใช้แค่ไม่กี่ครั้ง หน้ามันข๊าวขาวทันใจดีแท้ค่ะ แถมก็ไม่เห็นด่างแบบในรูปของ อย.เลย แต่เพื่อความชัวร์ หนูก็ใช้ห่างๆ นะคะ“ โถ หนูครับ จะไม่ให้มันขาวเด้งแบบตื่นตาตื่นใจได้ยังไง ก็มันเจอทั้งสารไฮโดรควิโนน (ที่ทำให้หน้าด่างถาวร) และสารปรอทแอมโมเนีย (ที่ทำให้ไตพัง) คราวนี้พออธิบายถึงอันตรายให้ว่า ของพวกนี้มันไม่ใช่ทาปุ๊บหน้าพังปั๊บ แต่มันจะด่างถาวรแบบไม่คาดฝัน กลับคืนมาขาวไม่ได้ และยังจะมีผลต่อไตด้วย คราวนี้น้องเธอเลยชักแหยงๆ บอกว่า “พี่ขา หนูน่ะดูแต่รูปหน้าด่างที่ อย.ทำโฆษณา แต่ใช้ก็ยังไม่ด่างสักที หนูก็เลยคิดว่าไม่เท่าไหร่ คราวนี้ไม่เอาแล้วค่ะ อ้อ....หนูฝากพี่ไปบอก อย.ด้วย ทำสื่อให้ แรงๆ ไปเลย อย่ามาเน้นแค่หน้าด่าง บอกแรงๆ ไปเลยว่า ไตพัง ลูกพิการอะไรทำนองนี้ล่ะค่ะ” หมึกแดงหลีกไป...หมึกดำมาแว๊ววววอีกรายให้ข้อมูลว่า ตอนนี้มีการแอบใช้น้ำยาหมึกดำเพื่อเสริมความงาม โดยน้ำยาชนิดนี้หากใช้เพื่อให้หน้าขาวต้องทาให้ทั่วใบหน้า ราคาทาครั้งละ 5,000 บาท แต่ถ้าจะให้ขาวทั้งตัวหัวจนเท้า จะเสียครั้งละ 10,000 บาท โดยความขาวสวยดังฝันนั้นจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นต้องมาทาใหม่ (อะไรมันจะขาวแพงขนาดนี้) “แต่พี่รู้มั้ยคะ น้ำยามันคงกัดได้แรงนะ หนูสังเกตเห็นตามแขนของคนที่ทา มีรอยเล็บเป็นทางๆ ทีแรกหนูนึกว่าเขาโดนหมาแมวตะกุย ที่ไหนได้ เขาบอกว่า ไม่ใช่เล็บหมาหรอกค่ะ เล็บดิฉันเอง ก็มันคันก็เลยต้องเกา” ผมเดาเอาว่าน้ำยาชนิดนี้มันคงเป็นน้ำกรดอ่อนๆ น่ะครับ การเอาน้ำกรดมาทา มันก็อันตรายพอสมควร จับพลัดจับผลูไม่ดี เป็นแผลติดเชื้อจะยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้คนอยากสวยเหล่านี้ ชาติที่แล้วเคยไปทำกรรมเวรอะไรไว้ ชาตินี้จึงต้องมาหาเรื่องเสี่ยงและทรมานเข้าตัวแบบนี้ เรื่องเครื่องสำอางที่อันตรายมันมีอะไรใหม่ๆ แผลงๆ ออกมาเรื่อยๆ นะครับ ตราบที่คนเรายังรักสวยรักงาม ยังไงใครมีข้อมูลอะไร ก็ช่วยๆ กันบอกต่อๆ เพื่อช่วยกันเฝ้าระวังด้วยนะครับ อานิสงค์ที่ทำจะได้ช่วยให้ชาติหน้าเกิดมางามยิ่งขึ้นกว่าชาตินี้ครับผม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 กระแสต่างแดน

โดย ศศิวรรณ ปริญญาตร สิทธิของโจ๋กิมจิเออนะ จะมีใครคิดบ้างว่าแต่ละวันที่เด็กๆ หิ้วกระเป๋าหรือแบกเป้ไปโรงเรียนนั้น พวกเขาต้องถูกละเมิดสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็มี สส.ควอน ยอง กิล จากพรรคแรงงานประชาธิปไตยของเกาหลีใต้นี่แหละที่คิด วันก่อนแกก็เพิ่งจะเสนอ พรบ.การศึกษา ฉบับแก้ไข เพื่อส่งเสริมการพิทักษ์สิทธิตามรัฐธรรมนูญของเด็กนักเรียนประถมและมัธยมต้น เนื่องในโอกาส “วันนักเรียนแห่งชาติ” ที่จัดกันมาแล้ว 78 ครั้งนั่นเองคาดว่าถ้าพรบ. ฉบับใหม่นี้ผ่านการพิจารณา โจ๋เกาหลีคงได้มีเฮ สส.ควอนบอกว่าถึงเวลาแล้วที่โรงเรียนจะต้องหยุดการละเมิดสิทธิของเด็กๆ โดยใช้การศึกษาบังหน้า โรงเรียนต้องให้สิทธิกับนักเรียนในการเลือกทรงผมที่พวกเขาชอบ ต้องไม่นัดให้เด็กมาเรียนนอกเวลาปกติเช่น เช้าหรือดึกเกินไป ต้องไม่ใช้วิธีรุนแรงในการลงโทษนักเรียน และที่สำคัญ ต้องไม่มาเปิดกระเป๋า เปิดเป้ตรวจค้นสมบัติส่วนตัวด้วย อ้อ! ลืมบอกไปว่า กฎหมายดังกล่าวยังกำหนดไว้ว่าเด็กๆ จะต้องได้รับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวันอีกด้วย คุณควอนยืนยันว่า สิ่งที่โรงเรียนควรจะใส่ใจและส่งเสริมให้กับเด็กๆ ได้มี คือความคิดสร้างสรรค์และการรู้จักเรียนรู้ที่จะมีวินัยในตนเองมากกว่า โจ๋ไทยอ่านข่าวนี้แล้ว คงอยากได้ สส.แบบนี้บ้างสินะ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ รับสมัครนักแอบถ่าย ... รายได้ดีต่อไปช่องทางหารายได้เพิ่มเติมสำหรับนักเรียน นักศึกษา แม่บ้าน หรือคุณตาคุณยายวัยเกษียณ ที่ประเทศเกาหลี คือ การรับจ็อบเป็นปาปาราซซี่ แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ไปแอบถ่ายว่าใครกิ๊กใครที่ไหนหรอกนะ เขาทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานรัฐ คอยหาหลักฐานเอาไว้มัดตัวผู้กระทำผิด เช่น คนที่สูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ พวกที่ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง หรือเจ้าของร้านที่แอบแจกถุงหิ้วให้ลูกค้าฟรีๆ (ตามกฎหมายเกาหลี เค้าให้คิดเงินค่าถุงด้วย) ค่าตอบแทนจากงานนี้น่าสนใจทีเดียว หลังพวกเขาส่งหลักฐานให้ทางการ เช่นภาพตอนกระทำผิด พร้อมกับข้อมูลที่จะช่วยให้สืบหาตัวผู้กระทำผิดได้ (เช่นหมายเลขทะเบียนรถ) ไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง พวกเขาจะได้ “เงินรางวัลนำจับ” อย่างต่ำ 50,000 วอน หรือประมาณ 12,000 บาท (รายได้ดีมากๆ) แต่ค่าตอบแทนนี้จะแปรผันตามความร้ายแรงของความผิดที่กระทำด้วย เด็กนักเรียนคนหนึ่งบอกว่า “เขามีรายได้ถึง 8 ล้านวอน หรือประมาณ 196,000 บาท จากการทำงานแอบถ่ายเป็นเวลาสองสัปดาห์” (โอ้ ...มีคนทำผิดมากมายจนเด็กเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ จะดีใจดีมั้ยเนี่ย) ที่สำคัญ งานนี้เป็นที่นิยมมากถึงกับมีโรงเรียนที่เปิดอบรมคอร์สสำหรับปาปาราซซี่โดยเฉพาะ ค่าเล่าเรียนสำหรับแต่ละคอร์ส (ใช้เวลาประมาณ 3 – 7 วัน) ก็ประมาณ 350,000 วอน (ประมาณ 8,500 บาท) โดยโรงเรียนจะสอนให้รู้จักเทคนิควิธีการถ่ายแบบซ่อนกล้องและการตัดต่อภาพเพื่อการนำเสนอเพื่อการดำเนินคดีด้วย ข่าวบอกว่าทางการเกาหลีใต้ไม่อยากจะใช้งบประมาณของรัฐมาจ่ายเหล่าปาปาราซซี่มากนัก ก็เลยคิดจะลดค่าตอบแทนลง แต่จริงๆ แล้วเขาคงแอบหวังให้อาชีพนี้สูญพันธ์ไปในที่สุด เพราะไม่มีใครทำผิดกฎหมายอีกต่อไป ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   ผู้ดีอังกฤษสิ้นหนทางทำกิน?ขณะนี้ประเทศอังกฤษกำลังพบกับความยากจนชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นชนชั้นบัตรเดบิต บัตรเงิน บัตรทอง หรือบัตรแพลตตินั่ม เจมี่ โอลิเวอร์ พ่อครัวหนุ่มชื่อดังที่หลายคนเคยเห็นแกมาทำกับข้าวให้เราดูทางช่องเคเบิ้ลทีวี กล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพในรัฐสภาอังกฤษว่า นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยที่มีสถิติว่า ประชากรอังกฤษที่มีความสามารถในการทำกับข้าวกินเองได้นั้นมีอยู่เป็นจำนวนน้อยมากๆ โดยทั่วไปในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอยและการทำมาหากินฝืดเคือง ผู้คนก็จะต้องพยายามตัดลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ลงรวมถึงค่าอาหารด้วย เชฟเจมี่แกบอกว่า สมัยก่อนครอบครัวอังกฤษยังรู้จักทำอาหารที่ดี มีประโยชน์กินแม้จะต้องเผชิญกับงบที่จำกัด แต่ในปัจจุบันสิ่งที่คนอังกฤษนิยมทำเพื่อประหยัดเงิน หาใช่การทำกับข้าวกินเองที่บ้านไม่ ทางเลือกในยามทุนต่ำของคนอังกฤษทั้งคนที่มีฐานะและคนที่รายได้น้อย คือการพึ่งพาอาหารฟาสต์ฟู้ด อันเนื่องมาจากความเคยชินกับความสำเร็จรูป และความสะดวกสบายนั่นเอง แต่หากได้ลองทบทวนกันจริงๆ แล้ว ทางเลือกนี้ไม่ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายของครอบครัวลดลงเลย สิ่งที่คุณพ่อครัวคนดังกล่าวต้องการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ คือการที่คนในประเทศหันมาเรียนรู้วิธีการทำอาหาร และหันมาพึ่งตนเองให้มากขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ จอแบน ราคาไม่แบนคุณคงสังเกตแล้วว่า ราคาของจอภาพที่ใช้ในโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือได้ลดลงฮวบฮาบในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่เชื่อหรือไม่ ว่าที่ลดนั้นมันยังลดได้ไม่เร็วพอ ทั้งนี้เพราะกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเขาได้สืบพบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผู้ผลิตหลายๆ เจ้า ผนึกกำลังกันตรึงราคาของจอแอลซีดีเอาไว้ให้นานที่สุด ทั้งๆ ที่ราคาควรลดได้ตั้งนานแล้ว แอลจี จากเกาหลี ชาร์ปจากญี่ปุ่น และบริษัทหลอดภาพชุงวาจากไต้หวัน รับสารภาพว่า พวกเขาได้มีส่วนร่วมในกระบวนการที่ดึงราคาจอแอลซีดีไว้ และตอนนี้โดนศาลสั่งปรับทั้งหมด 585 ล้านเหรียญ (ประมาณสองหมื่นกว่าล้านบาท) ไปเรียบร้อย โดยแอลจีบริษัทเดียวก็โดนปรับไป 400 ล้านเหรียญ (ประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านบาท) แล้ว ตามข่าวบอกว่า เงินค่าปรับดังกล่าวยังไม่สะท้อนถึงความเสียหายต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกานั้น บริษัทอาจโดนปรับเป็นสองเท่าของรายได้ที่มาจากการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย แต่ตัวเลขที่ออกมานั้นเป็นตัวเลขที่ผ่านการเจรจาต่อรองแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามขณะนี้การสอบสวนก็ยังดำเนินการต่อไปทั้งใน ยุโรป จีน และเกาหลีใต้ด้วยเช่นกันซึ่งมูลค่าความเสียหายทั่วโลกก็น่าจะสูงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว ข้อมูลการตลาดระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาจอแอลซีดี ขนาด 15 นิ้วสำหรับโน้ตบุ๊ค นั้นลดลงจากประมาณ 3,400 บาท ลงมาเป็น 2,200 บาท หรือจอโทรทัศน์ขนาด 32 นิ้ว ก็ลดลงจาก 11,200 เป็น 7,800 บาท ถามว่า ราคาจอลดลงแล้วเป็นไง อ้าวเรื่องนี้สำคัญนะคุณ เพราะเงินที่เราจ่ายไปเพื่อซื้อโน้ตบุ๊คนั้น เป็นค่าจอภาพเสียร่วม 10-20% เชียวนะเออ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เราต้องพึ่งมันแล้วพี่น้องพี่น้องครับ ... ในที่สุดเราก็มีทางออกสำหรับปัญหาอาหารขาดแคลนในอนาคตแล้ว นักวิทยาศาสตร์เขาคิดไปคิดมาก็พบว่าที่แท้ทางแก้ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็นมันนั่นเอง ผู้รู้บอกว่า “มันฝรั่งหรือโปเตโต้” นี่แหละ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในฐานะอาหารหลักของประชากรในประเทศที่กำลังพัฒนาแทนที่ข้าวหรือข้าวสาลี ที่มักจะมีราคาผันผวนอย่างรุนแรงตามกลไกตลาด รัฐบาลของหลายๆประเทศ อย่างเช่น จีน เปรู และมาลาวี ได้เริ่มรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาปลูกและบริโภคมันฝรั่งกันมากขึ้น ประเทศจีนนั้นมีผลผลิตมันฝรั่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 จากปี 2548 จนถึง 2550 โดยการรณรงค์ให้มันฝรั่งเป็นหนทางช่วยให้หายจน ส่วนที่เปรูนั้นประธานาธิบดี อลัน การ์เซีย ได้ออกมาประกาศชักชวนให้ประชาชนหันมาช่วยกันกินขนมปังที่ทำจากมันฝรั่งกันให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้มันฝรั่งดูเหมือนจะเป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันเฉพาะในโลกตะวันตกเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันจีนและอินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคมันฝรั่งมากเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสามของโลกแล้ว ว่ากันว่าองค์การสหประชาชาติ เคยคิดจะประกาศให้ปี 2551 เป็น “ปีมันฝรั่ง” แต่ไม่มีใครรับไอเดียนี้ไปทำต่อ เพราะตอนนั้นราคาข้าวยังไม่พุ่งขึ้นเป็นสองเท่า (ว่ากันว่าสหประชาชาติเองก็ต้องการเงินเพิ่มอีก 500 ล้านเหรียญ เพื่อเตรียมไว้ซื้อข้าวที่ราคาแพงขึ้น) เหตุที่ต้องพึ่งมัน ก็เพราะว่ามันฝรั่งนั้นมีข้อดีอันเนื่องมาจากข้อเสียของมันนั่นเอง เพราะมันฝรั่งมีปัญหาเรื่องระยะเวลาจำกัดในการขนส่ง มันจึงไม่เป็นสินค้ายอดฮิตในตลาดการเงินระดับนานาชาติ ทำให้ราคาของมันยากแก่การเก็งกำไร จึงทำให้ราคาไม่ผันผวนขึ้นลงมากนัก มันฝรั่งเป็นแหล่งสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุอย่างสังกะสีและเหล็ก แถมยังใช้พลังงานและน้ำในการปลูกน้อยกว่าข้าวสาลี ที่สำคัญปลูกที่ไหนก็ได้ แล้วเก็บเกี่ยวได้เลยภายในสามเดือนอีกด้วย เยี่ยมไปเลยล่ะทีนี้ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ระวังยาผสมอาหารเสริมอย. สหรัฐออกมาเตือนผู้บริโภคว่า ผลิตภัณฑ์ยาผสมอาหารเสริมของไบเออร์ ที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้ผล ยาดังกล่าวจึงยังถือเป็นยาเถื่อนอยู่ในขณะนี้ ผลิตภัณฑ์สองตัวที่ยังไม่ได้รับอนุญาตได้แก่ Bayer Aspirin with Heart Advantage และ Bayer Women’s Low Dose Aspirin + Calcium ตอนนี้ทางการยังไม่ได้สั่งให้เก็บผลิตภัณฑ์ทั้งสองออกจากชั้น แต่เตือนให้ไบเออร์รีบดำเนินการขออนุญาตโดยด่วนหรือไม่ก็ต้องหยุดขายก่อนที่จะถูกดำเนินคดี แต่ทางบริษัทยืนยันว่า ตนเองมีสิทธิที่จะขายยาดังกล่าว แล้วก็ขอยืนยันสรรพคุณที่อ้างไว้ในโฆษณาหรือที่ข้างกล่องด้วย ไบเออร์อ้างว่าได้แจ้งในโฆษณาแล้วว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาแอสไพรินผสมอาหารเสริมดังกล่าว และผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีประโยชน์ต่อหัวใจก็ได้แจ้งแก่ผู้บริโภคแล้วว่าไม่สามารถใช้แทนยาลดโคเลสเตอรอลได้ แต่เรื่องจริงคือ ผลิตภัณฑ์ตัวที่ว่ากลับแจ้งไว้ที่กล่องว่า ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล ในขณะที่อีกตัวหนึ่งที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงก็อ้างว่าช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และป้องกันโรคกระดูกผุ ทางอย.สหรัฐฯ ยืนยันชัดเจนว่า ไบเออร์ฝ่าฝืนนโยบายของทางการ และข้อความเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนในจุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์ และยังไม่มีข้อมูลว่าเมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายใดๆ หรือไม่ ตามกฎหมายสหรัฐนั้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างวิตามินหรือสมุนไพรนั้นสามารถขายในท้องตลาดได้เลยโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าปลอดภัย หรือใช้ได้ผล แต่การนำเอาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมารวมกับยาที่ได้รับการรับรองแล้ว หมายความว่าต้องมีการส่งตรวจอีกครั้งหนึ่ง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 กระแสในประเทศ

17 ตุลาคม 2551 สธ.โวยมีคนแอบใช้นมผลิตอาหารสัตว์ทำ "เบเกอรี่" จี้ คลัง-เกษตรฯ ส่งตรวจซ้ำ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอความร่วมมือให้ด่านศุลกากรทั่วประเทศตรวจสอบการนำเข้านมจากประเทศจีน ที่แจ้งวัตถุประสงค์เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของ อย.ประจำด่านอาหารและยา เพื่อสุ่มตรวจนมที่มีการนำเข้าทุกลอตซ้ำ เนื่องจากพบว่า มีการนำนมดังกล่าวมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์จากนม ที่คนนำมาบริโภค เช่น เบเกอรี่ต่างๆ อย.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ประจำด่านอาหารและยาทั่วประเทศ ประสานกับเจ้าหน้าที่ของด่านศุลกากรและด่านปศุสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์จากนมต่างประเทศ โดยเฉพาะของจีนอย่างเข้มงวด และให้รอผลการตรวจหากการปนเปื้อนสารเมลามีนจากกรมวิทย์ฯ ก่อนที่จะนำสินค้าออกจากด่านทั้ง 32 ด่าน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 22 ตุลาคม 2551“หยินจี้หวง” ยาสมุนไพรทำเด็กจีนตาย ไม่พบในไทย ข่าวกระทรวงสาธารณสุขจีน สั่งให้โรงพยาบาลทั่วประเทศงดการใช้ยา “หยินจี้หวง” ที่ใช้รักษาโรคตับและโรคดีซ่านในทารก ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร ดอกพุด และต้นสายน้ำผึ้ง ผลิตโดยบริษัท ไทฮั่ง ฟาร์มาซูติคอล เนื่องจากทำให้ทารกเสียชีวิตแล้ว 1 ราย และป่วยอีก 3 รายนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยได้เร่งตรวจสอบเป็นการด่วนแล้วพบว่า ไม่มียาดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และไม่มีการผลิตหรือนำเข้ายาสมุนไพรจีน ที่มีส่วนประกอบของดอกพุดและต้นสายน้ำผึ้งในตำรับอื่นเข้าในประเทศไทยอีกด้วย ขอให้ประชาชนไทยมั่นใจได้ “สำหรับประชาชนที่นิยมใช้สมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วย แนะนำให้ซื้อจากร้านขายยาสมุนไพรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ถ้าเป็นยาแผนโบราณหรือยาสำเร็จรูป ต้องสังเกตว่ามีเลขทะเบียนตำรับยา หากพบข้อน่าสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อ อย.จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบต่อไป” นักโภชนาการหนุนดื่มนมแม่ เลี่ยงเมลามีน นางสุจิต สาลีพัน นักโภชนาการ 8 กรมอนามัย กล่าวว่า การพบการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์นม นมผง อาหาร ขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของนมนั้น อาจทำให้ผู้ปกครองห่วงใยบุตรหลาน และอาจหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน หรือระมัดระวังจนทำให้ร่างกายของเด็กขาดโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งความจริงผู้ปกครองควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้มาเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยนมแม่แทน เพราะในน้ำนมแม่มีโปรตีน แร่ธาตุ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่านมวัวและนมอื่นๆ ทั้งยังส่งผลให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายแข็งแรง มีไอคิว อีคิวดี และเป็นการเสริมสร้างใยรักจากแม่สู่ลูกด้วยการสัมผัส ซึ่งเด็กสามารถดื่มนมแม่ได้ถึงอายุ 2 ขวบ และหากแม่ต้องเดินทางไปทำงาน ในปัจจุบันก็มีถุงเก็บน้ำนมที่แม่สามารถปั๊มเก็บไว้ให้ลูกดื่มได้ และยังอาจเสริมด้วยผลไม้บด เช่น กล้วยน้ำว้าบด เป็นต้น 29 ตุลาคม 2551ทั่วโลกร่วมร่างกฎคุมบุหรี่เถื่อน ห้ามดิวตี้ฟรีขายบุหรี่ปลอดภาษี รายงานจากการประชุมของสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคตินและยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สมาชิกสมาคม 160 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันหารือในประเด็น การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยห้ามขายบุหรี่ปลอดภาษี โดยเฉพาะในร้านสินค้าปลอดภาษีของสนามบินต่างๆ ที่สามารถขายบุหรี่ได้แต่ต้องเป็นบุหรี่ที่จัดเก็บภาษีแล้วเท่านั้น เนื่องจากช่องทางนี้เป็นสาเหตุสำคัญในการมีบุหรี่เถื่อนเล็ดลอดออกมาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังห้ามโฆษณาขายบุหรี่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่ 100% จึงสามารถลดการสูบบุหรี่ได้เต็มที่ โดยเรื่องดังกล่าวนี้ยังจะต้องมีการประชุมอีก 2-3 ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเด็นเหล่านี้บรรจุในกฎหมายของประเทศสมาชิกอนุสัญญาฯ มาก่อน 30 ตุลาคม 2551“อัมมาร” เซ็งนักการเมืองหัวหดไม่เก็บภาษี รพ.เอกชนที่ทุ่มรักษาชาวต่างชาติเต็มที่ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า กรณีที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแนวคิดจะเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันมาตรการการจัดเก็บภาษีสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการรักษาโรคกับชาวต่างชาตินั้น ตนเองได้เสนอแนวคิดในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมานานแล้ว และสนับสนุนให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ 100% ซึ่งในทางปฏิบัติยังไม่มีการจัดเก็บภาษีนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงยังเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญ“แม้ สปสช.จะเล็งเห็นถึงความสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายของภาครัฐได้สำเร็จ เพราะ สปสช.ไม่มีอำนาจเพียงพอ เรื่องนี้จะต้องใช้อำนาจของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล เป็นเจ้าภาพดำเนินการเท่านั้น แต่ขณะนี้เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดเก็บภาษี นักการเมืองก็หัวหด ไม่มีใครใจถึงกล้าทำสักคน ขณะนี้จึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หากจะนำไปบังคับใช้จริง จะต้องมีการศึกษาผลกระทบทั้งข้อดี เสีย และอัตราการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเพียงพอ” ดร.อัมมาร กล่าว“เมดิเคิลฮับ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพทย์ในระบบราชการถูกซื้อตัวไปอยู่ภาคเอกชนที่มีรายได้จาการรักษาชาวต่างชาติเป็นมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งจากข้อมูลสถานพยาบาลเอกชนกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้บริการรักษาชาวต่างชาติเมื่อปี 2550 พบว่า มีชาวต่างชาติมารักษาโรคในประเทศไทย ประมาณ 1.5 ล้านบาท มีรายได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท” ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง หัวหน้าโครงการติดตามประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทีดีอาร์ไอ กล่าว กิน “ปลา” ต้านเบาหวาน คนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น จนต้องรณรงค์เพื่อลดปัญหาดังกล่าวกันขนานใหญ่ ล่าสุดมีการรณรงค์ “กินปลาไร้พุงต้านโรคเบาหวาน” ขึ้นเนื่องใน “วันเบาหวานโลก” 14 พ.ย. 2551 นี้ ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า องค์การอนามัยโลกได้มีการประเมินว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกอย่างน้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 300 ล้านคน ในอีก 17 ปีข้างหน้า และจากการสำรวจในไทยที่ผ่านมาพบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการชี้ให้เห็นด้วยว่า โรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายสูงกว่าโรคเอดส์ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์นั้นเสียชีวิตเพียง 3 ล้านคนต่อปี “เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นคนที่ออกแรง หรือออกกำลังกายน้อยเกินไป อีกทั้งในปัจจุบันนี้ยังพบมากในเด็ก ซึ่งเป็นการกินอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง และวิธีหนึ่งที่จะสามารถลดปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน คือการหันมาส่งเสริมการกินอาหารแบบไทยโดยการเน้นการบริโภคปลาให้มากขึ้น เพราะปลานั้นเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีราคาถูก ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้” พญ.ชนิกาอธิบายด้าน นพ.ฆนัท ครุธกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเสริมว่า ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืด หรือปลาน้ำเค็มก็มีคุณค่าไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ปลาน้ำเค็มนั้นจะมีไอโอดีนสูง แต่ก็จะมีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารตกค้างในทะเลอย่าง สารปรอท สารตะกั่ว ดื่ม “กาแฟ” ไม่ทำให้ผอมเพรียว ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า การดื่มกาแฟแล้วจะทำให้รูปร่างผอมเพรียว ซึ่งต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่ากาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมาก โดยหวังว่าจะให้ร่างกายผอม หุ่นดีนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้ แทนที่จะผอม เพราะกาเฟอีนจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ“เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย อาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก นอกจากนี้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวัน 2 แก้วต่อวัน ก็อาจมีผลเสียกับร่างกายได้ เพราะหากร่างกายได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้” นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้บริโภคตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ต้านการละเมิดสิทธิของธุรกิจโทรคมนาคม4 พ.ย.51 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคจับมือสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดตัวศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน กรุงเทพมหานคร รวมกว่า 31 ศูนย์ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้ารับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมบางรายยังมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบลูกค้า โดยเฉพาะการกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของซิมแบบเติมเงิน รวมทั้งการเก็บค่าต่อสัญญาณใหม่ 107 บาท นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะหยุดการเอาเปรียบของธุรกิจโทรคมนาคมได้อย่างไร” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการดังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคในหลายๆ ปัญหาที่พบมาก คือการถูกเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการใช้ซิมฟรีที่ได้รับแจกมา การใช้ซิมแบบเติมเงินแต่ถูกกำหนดวันหมดอายุการใช้งานต้องเติมเงินเพิ่มทั้งๆ ที่มีเงินเหลืออยู่ อีกปัญหาที่มีการร้องเรียนมาโดยตลอดคือ กรณีลูกค้าขอเปิดใช้งานโทรศัพท์หลังโดนระงับสัญญาณเพราะค้างชำระค่าบริการ แทนที่ผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับตามอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดแต่กลับใช้วิธีเรียกเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณใหม่ ในอัตรา 107 บาทตายตัว และบางเจ้าก็เรียกเก็บในอัตรา 214 บาท ซึ่งเป็นการขัดกับข้อกำหนดในเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ที่ห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการนอกเหนือหรือเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) กำหนด แต่ในทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิในเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อลูกค้าร้องเรียนหรือขอให้มีการยกเว้นก็จะมีการคืนเงินในส่วนนี้ให้ และเป็นการให้เฉพาะรายไม่ใช่ทุกรายเสมอไป “ในขณะนี้แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและห้ามคิดค่าโทรในการร้องเรียน แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเต็มที่จากผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ จึงถือเป็นหน้าที่ของ สบท. ที่นอกจากจะมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของตนเองแล้ว ยังจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนรวมตัวกันเพื่อปกป้องพิทักษ์สิทธิของตนเอง การจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิภาคประชาชนจะช่วยทำให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักในสิทธิของตนเองได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ด้าน รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า จากปัญหาหลากหลายที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนจัดตั้ง “ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนในกิจการโทรคมนาคม” ขึ้น โดยจะเริ่มต้นในเขต กรุงเทพมหานครเป็นลำดับแรก โดยจะมีทั้งหมด 31 ศูนย์ มีพื้นที่ให้บริการประชาชนครอบคลุมทุกเขตของกรุงเทพมหานคร โดยมีศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นองค์กรประสานงานกลาง โดยปัญหาเร่งด่วนที่วางเป้าว่าจะต้องมีข้อยุติภายในปีนี้คือ การกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน และการคิดค่าต่อสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ที่ไม่ใช่ลักษณะของการคิดค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องทำไม่ได้กับผู้บริโภคทุกรายไม่ใช่รายที่มีการร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 - รางวัลผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยม ยอดแย่

บทบรรณาธิการ / รางวัลผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยม ยอดแย่โดย สารี อ๋องสมหวัง ความพยายามของหลายกลุ่มที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ชัดเจนในสังคมที่ต้องการเห็นความคืบหน้าของการแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิชาการที่เสนอให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก กลุ่มสมานฉันท์ที่ต้องการใช้การเจรจาเพื่อหาทางออก กลุ่มผู้ไม่เอาสงครามกลางเมืองที่ได้สะท้อนมูลเหตุสำคัญทางการเมืองที่รอวันปะทุของสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นเหตุแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเดินหน้าต่อสู้และไม่ยอมรับการตัดสินของศาลจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร คุณภาพ จริยธรรม ภาวะตกต่ำของนักการเมืองที่กลุ่มคนดูหมดความอดทน การเคลื่อนตัวของกลุ่มคัดค้านทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย สื่อสารมวลชนของรัฐที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ วิทยุชุมชน เอเอสทีวี ความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐในการบริหารจัดการ ไม่มีการกำกับดูแล ไม่มีการบริหารจัดการ  ได้แต่มีความหวังว่าเมื่อหนังสือฉลาดซื้อถึงมือผู้อ่าน คงไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายจากความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้อีก ฉลาดซื้อได้ริเริ่มโครงการให้ผู้บริโภคและองค์กรผู้บริโภค ร่วมตัดสินและโหวตให้คะแนนกับผลิตภัณฑ์ บริการ โฆษณา ยอดเยี่ยมและยอดแย่ หลักเกณฑ์ในการส่งรายชื่อก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ใครคิดว่าในรอบปีที่ผ่านมา (2551) ถูกบริษัทไหนละเมิดสิทธิมากที่สุด และบริษัทที่ดูดีที่สุดในสายตาของเราทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งโฆษณาชิ้นไหนที่ชื่นชอบและดูแย่ที่สุดในสายตาคุณ แต่มีเกณฑ์สำคัญต้องเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีวางขายทั่วประเทศ และโฆษณาเฉพาะโทรทัศน์เท่านั้น หวังว่าสมาชิกจะช่วยกันส่งชื่อกันเข้ามาให้มากนะคะ ถึงแม้ ช่วงนี้ข่าวสารอื่นๆ ที่สำคัญมักจะถูกให้ความสำคัญน้อย ไม่จะเป็นปัญหาด้านสังคมหรือเศรษฐกิจ เพราะแม้แต่วิกฤตการเงินซึ่งเกิดขึ้นเกือบทั่วโลก ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่าเป็นปัญหามากนักในประเทศไทย สืบเนื่องจากปัญหาการเมืองยึดครองพื้นที่สาธารณะเป็นเวลานาน หรือเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าหากทำอะไรช่วงนี้ก็คงจะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ ดังนั้นการใช้สิทธิโหวตครั้งนี้มีความหมาย เพราะการเป็นการลงคะแนนทางตรงให้กับผู้ประกอบการ เหมือนกับประชาธิปไตยที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และต้องมีความหวังกับการเมืองทางตรงของภาคประชาชนที่ต้องทำให้มีเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางความอับจนของการเมืองตัวแทน แต่ต้องบอกว่าห้ามโหวตการเมืองยอดแย่กันเข้ามานะ(ฮา)

อ่านเพิ่มเติม >

กับดักอาหารเช้าซีเรียลเด็กไทยได้แต่เกลือและน้ำตาล

ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 92 เปิดเผยข้อมูลอาหารเช้าสำเร็จรูปซีเรียลทั้งประเทศไทยและต่างประเทศว่ามี ปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงตรงกันข้ามกับโฆษณาที่ทำให้เชื่อว่าอาหารเช้าเหล่านั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง แนะห้ามทำการตลาดผ่านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม Consumerthai - 24 ต.ค.51 วารสารฉลาดซื้อ จัดแถลงข่าวผลการสำรวจ อาหารเช้าสำเร็จรูปซีเรียล ฉบับประจำเดือนตุลาคม ที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหาร วารสารฉลาดซื้อ  กล่าว่า “ผลิตภัณฑ์อาหารเช้าซีเรียลที่ “ฉลาดซื้อ” และองค์กรผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumers Research and Testing) อีกกว่า 30 องค์กรจากทั่วโลกส่งเข้าร่วมทดสอบนั้น เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเช้าสำหรับเด็ก ที่พบเห็นได้ตามซุปเปอร์มาร์เกตทั่วไปและเป็นยี่ห้อที่ทำตลาดอย่างแพร่หลาย มีผลการการทดสอบโดยรวมเป็นที่น่าตกใจ เพราะ อาหารเช้าซีเรียลของประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงเกินไป ตรงกันข้ามกับโฆษณาที่ผู้ผลิตมักทำให้เราเชื่อว่าอาหารเช้าเหล่านั้นมีคุณ ค่าทางอาหารสูงและทำให้เด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเรียน ได้เริ่มวันใหม่ๆอย่างแข็งแรงสดใส” นอก จากนี้ บรรณาธิการบริหาร วารสารฉลาดซื้อกล่าวเสริมว่า จากผลการทดสอบดังกล่าวทำให้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมาองค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) ออกมาเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงในระดับนานาชาติในการควบคุมการทำการตลาด สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพของเด็ก จะได้ปลอดภัยจากการทำการตลาดของอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง ว่า การห้ามโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทางวิทยุและโทรทัศน์ระหว่างเวลา 6 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม อีกทั้งห้ามทำการตลาดผ่านสื่อ อย่างเว็บไซต์ การสร้างเครือข่ายทางสังคม และการส่งข้อความทางโทรศัพท์ ห้ามทำการตลาดในเขตโรงเรียน  เลิกแจกของแถม ของเล่น ของสะสม เพื่อการดึงดูดความสนใจของเด็ก และห้ามใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง ตัวการ์ตูน หรือการจัดการแข่งขัน หรือชิงโชคต่างๆ เพื่อการส่งเสริมการขายโดย 7 ตัวอย่างจากประเทศไทยที่ “ฉลาดซื้อ” ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเช้าซีเรียลสำหรับเด็กไปทดสอบนั้นได้ผลการทดสอบ ดังนี้  อาหารเช้าซีเรียลที่มีปริมาณน้ำตาลสูงที่สุดเรียงตามลำดับได้แก่  เคลล็อกส์ ฟรอสตี้ส์  เนสเล่ สโนวเฟลกส์  และเคลล็อกส์ โคโค่ ป๊อปส์  อาหารเช้าซีเรียลที่มีปริมาณโซเดียมมากที่สุดเรียงตามลำดับได้แก่  เนสเล่ คุกกี้ คริสพ์  เคลล็อกส์ โคโค่ ป๊อปส์ และเคลล็อกส์ ฟรอสตี้ส์  อาหารเช้าซีเรียลที่มีปริมาณไขมันสูงที่สุดคือ แฟมิเลีย สวิส ชอคโก บิทส์ ส่วนผลการทดสอบในระดับนานาชาติ  จากตัวอย่างอาหารเช้าซีเรียลที่ส่งเข้าทดสอบโดยองค์กรผู้บริโภคจาก 32 ประเทศ พบข้อสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมีจำหน่ายในประเทศใดล้วนแล้วแต่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่ สูงมากจนน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็ก     นอกจากนี้องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) ยังพบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีการโฆษณาและทำการตลาดอย่างแพร่หลาย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและผู้ปกครอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่สร้างความเชื่อถือแก่ผู้ปกครองว่าผลิตภัณฑ์ เหล่านี้ดีต่อสุขภาพ ตัวอย่าง ปริมาณน้ำตาลใน เคลล็อกส์ ฟร้อสตีส์ แสดงตามประเทศ หลายๆ ตัวอย่างมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าโดนัทเคลือบน้ำตาล หรือไอศกรีมด้วยซ้ำ ส่วนปริมาณเกลือใน เคลล็อกส์ ไรซ์ คริสปีส์ของฮ่องกง และ เนสเล่ ช็อคคาพิคส์ ของอาร์เจนติน่านั้นอยู่ในระดับสูงเท่ากับน้ำทะเล** 32 ประเทศที่ส่งผลิตภัณฑ์อาหารเช้าเข้าร่วมทดสอบได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม บราซิล ชิลี สาธารณรัฐเชค เดนมาร์ค ฟิจิ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ไอร์แลนด์ อิตาลี เคนยา มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เปรู โปแลนด์ โปรตุเกส รัสเซีย สโลเวเนีย สเปน เกาหลีใต้ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกา และประเทศไทย** องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) มีสมาชิก 220 องค์กร จาก 115 ประเทศทั่วโลกต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ชนิษฎา วิริยะประสาท โทรศัพท์ 0-2248-3737 ต่อ 311 หรือ 0-81712-9987

อ่านเพิ่มเติม >

ฉลาดซื้อ ขอเชิญสมาชิกร่วมงาน กรีนแฟร์

ฉลาดซื้อ ขอเชิญสมาชิกร่วมงาน กรีนแฟร์ ’08เรียนรู้ วิธีการผลิตและใช้ชีวิตอย่างเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภคและโลกของเรา ในงานแสดงผลิตภัณฑ์อินทรีย์และผลผลิตตลาดสีเขียวชุมชน Green Fair’s 08 พบบูธหนังสือเพื่อผู้บริโภค”ฉลาดซื้อ”ณ ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  วันที่ 4 – 7 ธันวาคม นี้ เวลา 10.00 – 20.00 น.ลงทะเบียนรับของชำร่วยเก๋ไก๋ ได้ที่บูธฯฟรีทุกท่านจากแนวคิดของ การสร้างเส้นทางสู่ “การตลาดสีเขียวที่เป็นจริง” อันเป็นแนวทางที่ต้องการสร้างระบบตลาดหรือการค้าที่เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันทั้งผู้ผลิต ร้านค้าและผู้บริโภค โดยมีแนวทางร่วมกันคือ ความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตอาหารตามแบบวิธีดั้งเดิมและด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการเร่งรัดให้ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด แต่สามารถรักษาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตได้โดยใช้วิธีการทางชีวภาพ การพัฒนาวิธีการทางธรรมชาติที่คงคุณภาพโดยให้ทั้งรสชาติ คุณค่าอาหาร และความปลอดภัย ที่ปราศจากสารปนเปื้อนในอาหารและสารเคมีปรุงแต่ง ระบบการผลิตเช่นนี้นอกจากจะช่วยรักษาความหลากหลายของพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ และสิ่งแวดล้อมของชุมชนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบการผลิต – ซื้อ – ขาย ของท้องถิ่น เพื่อให้ชาวบ้านพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน จาก ความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตดังกล่าวนำมาสู่การสร้างการตลาดสีเขียว ผ่านรูปแบบร้านกรีนที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกัน และกัน สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจกับผู้บริโภคเรื่องการผลิตที่เป็นมิตรกับสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เส้นทางสู่ตลาดสีเขียวจึงควรดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติและการ พัฒนาที่ยึดหลักความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การเดินทางของเส้นทางตลาดสีเขียวจึงผลักดันให้เกิด“เครือข่ายตลาดสีเขียว ”ขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงและขยายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิต, ผู้บริโภคในรูปแบบการตลาดสีเขียวและส่งเสริมสนับสนุนสินค้า, ผลิตภัณฑ์, บริการทั้งจากผู้ประกอบการสีเขียวและชุมชน อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการกระตุ้นจิตสำนึกและส่งเสริมความรู้ความเข้าใจต่อ การบริโภคที่ยั่งยืนก่อให้เกิดการรวมกลุ่มผู้บริโภคสีเขียว เครือข่าย ตลาดสีเขียวร่วมกับบริษัทสวนเงินมีมา  และองค์กรต่างๆ จึงร่วมกันจัดงานเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดแบบใหม่ที่ เน้นมิติสังคม  สิ่งแวดล้อม  และการอยู่รอดอย่างยั่งยืนของผู้ผลิต ผู้ประกอบการตลาด และผู้บริโภค  โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดความเข้า ใจในการบริโภคสินค้าปลอดสารพิษที่มีการผลิตที่รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสำนึกจิตอาสาในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้เกิดสำนึกที่ดีในการช่วยเหลือสังคมผ่านการบริโภคสินค้าชุมชน และสร้างความเข้าใจต่อปัญหาการผลิตซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  โดยใช้งานกรีนแฟร์ซึ่งจะเป็นเครื่องมือ  สร้างจุดนัดพบระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการตลาด และผู้บริโภค โดยงานนี้จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในระหว่างวันที่ 4 - 7 ธันวาคม 2551 มีวัตถุประสงค์และรูปแบบการจัดงานดังนี้วัตถุประสงค์1. เปิด โอกาสให้ผู้บริโภคและนักศึกษาได้เป็นอาสาสมัครเพื่อฝึกฝนการทำงานร่วมกับ ชุมชน และมีส่วนในการรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน2. สร้าง Green generation green volunteer  กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีหัวใจของความเป็น ตลาดสีเขียวและอาสาสมัครที่ที่คำนึงถึงการบริโภคที่ยั่งยืนทั้งได้เรียนรู้ และเชื่อมโยงวิถี, วัฒนธรรมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม3. เพื่อรณรงค์ ส่งเสริม และให้ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดการบริโภคสินค้าเกษตรอินทร์  สินค้าที่ปลอด GMO และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม4. เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์จากผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการผลิต    ขนาดเล็กและขนาดกลาง5. กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนักในความสำคัญของการส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์อินทรีย์ สินค้าจากชุมชน และผู้ผลิตขนาดเล็กขนาดกลาง6. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบร้านกรีนให้ได้มีโอกาสพบปะกับผู้บริโภค และสร้างสายสัมพันธ์ด้านสมาชิกที่เหนียวแน่นเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ต่อไปอย่าพลาดนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >