ฉบับที่ 187 เนื้อแปรรูป เนื้อแดงและมะเร็ง

ข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์หลายฉบับในเดือนตุลาคม 2015 ที่ WHO หรือองค์การอนามัยโลก เตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการกินเบคอน ไส้กรอก แฮม เนื้อแดง ก่อความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง นั้นเป็นเรื่องไม่น่าประหลาดใจ เพราะช่วงเวลาใดที่ข่าวเกี่ยวกับ “คาว” ในสังคมและการเมืองน้อยลง การคั่นรายการด้วยข่าวแบบนี้ของสื่อมวลชนมักเกิดขึ้นเสมอเนื้อข่าวนั้นกล่าวว่า ไส้กรอก เบคอน แฮม ซึ่งเป็นอาหารโปรดตอนเช้าของใครหลายๆ คนในโลกนี้ มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่องค์การอนามัยโลกต้องจัดอันดับให้อาหารเนื้อสัตว์แปรรูปนี้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของสาเหตุที่ก่อมะเร็งในมนุษย์ โดยสมาชิกในกลุ่มเดียวอีกสี่ชนิดคือ บุหรี่ แอลกอฮอล์ แร่ใยหิน และสารหนูรายงานข่าวกล่าวอีกว่า อาหารเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งลำไส้ ประมาณว่าถ้ากินไส้กรอก เบคอน แฮมทุกวัน แม้วันละแค่ 50 กรัม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ถึง 18%ประเด็นที่มีการรายงานแถมคือ ข่าวที่ว่าเนื้อแดงไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะหรือเนื้อหมู ก็ถูกจัดอันดับว่า มีส่วนในการก่อมะเร็ง ทำให้เป็นมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ผลวิจัยนี้ทำให้บรรดาเจ้าของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์แปรรูปต้องออกโรงปฏิเสธอีกแล้วครับท่าน แถมยังเอาสถิติมาเทียบกันระหว่างจำนวนคนเสียชีวิตเพราะกินเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน และคนที่เสียชีวิตเพราะบุหรี่และ/หรือเหล้าว่า คนที่เป็นมะเร็งเพราะกินเนื้อสัตว์แปรรูปนั้นคำนวณ (ตามวิธีของระบาดวิทยา) ได้ปีละสามหมื่นกว่าคน ในขณะที่คนที่ตายด้วยมะเร็งเพราะสูบบุหรี่นั้นคำนวณได้มากถึงปีละกว่าล้านคน อีกทั้งคนที่ตายเพราะเหล้านั้นมีราวปีละหกแสนคนอย่างไรก็ดีในรายงานของ WHO นั้นไม่ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่า ให้เลิกกินเนื้อแดงหรือเนื้อสัตว์แปรรูปเสียทีเดียว เพราะเนื้อสัตว์ยังเป็นแหล่งของโปรตีนที่มีกรดอะมิโนครบ ให้วิตามินบีต่างๆ เช่น บี 2, 6, 12 ฯลฯ และให้แร่ธาตุสำคัญเช่น สังกะสี แมกนีเซียม แมงกานีส ฯลฯ  โดยธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายดีกว่าเหล็กจากพืช WHO ได้เน้นให้กินเนื้อสัตว์ที่ได้จากปลาและเพิ่มสลัดเข้าไปในเมนูที่มีเนื้อสัตว์แปรรูปเนื้อสัตว์แปรรูปในทางพิษวิทยาในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับการเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของอาหารประเภทเนื้อหมักและเนื้อแดงนั้น เป็นเรื่องที่นักพิษวิทยาสนใจและทำการศึกษากันมานานกว่าห้าสิบปีแล้ว เพียงแต่ต้องรอให้หลักฐานทางระบาดวิทยาชัดเจนก่อน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภครายงานข่าวที่เป็นภาษาไทยมักไม่ให้รายละเอียดทางวิชาการในระดับลึกกล่าวคือ อาหารเนื้อสัตว์หมักนั้นเป็นปัจจัยต่อการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งได้สองแนวทางคือ การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารสารก่อมะเร็งกลุ่มที่อยู่ในอาหารเนื้อสัตว์หมักที่สำคัญคือ สารพิษกลุ่มไนโตรโซซึ่งมีสมาชิกที่ WHO กังวลคือ  สารกลุ่มไนโตรซามีนซึ่งมีการกล่าวถึงในข่าวที่เกี่ยวกับสารพิษในอาหารมานานกว่าสามสิบปีแล้ว โดยมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารพิษนี้ถูกตับเปลี่ยนโครงสร้างจากที่ไม่มีพิษให้เริ่มมีพิษที่ไปออกฤทธิ์กับเซลล์ลำไส้ใหญ่ดังนั้นในการป้องกันอันตรายจากสารพิษชนิดนี้วิธีหนึ่งที่นักวิชาการแนะต่อผู้บริโภคคือ การกินผักผลไม้ให้มากในแต่ละมื้ออาหาร(อาหารครึ่งหนึ่ง ผักผลไม้ครึ่งหนึ่ง) เพื่อให้ได้ใยอาหารไปช่วยลดอันตรายของสารพิษต่อเซลล์ลำไส้ใหญ่ด้วยการปรับเปลี่ยนสภาวะกรด-ด่างของลำไส้ใหญ่ให้เป็นกลาง ซึ่งไม่เหมาะต่อการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งที่อาจถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นเนื่องจากสารพิษหรือเกิดเองตามพันธุกรรม นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านการเลี้ยงเซลล์พบว่า เซลล์มะเร็งนั้นเจริญได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่เป็นด่าง สภาวะนี้เกิดเป็นปรกติในลำไส้ใหญ่ของคนที่กินเนื้อสัตว์มากแต่มีผักผลไม้น้อย ด้วยหลักที่ว่า กรดอะมิโนที่ได้จากเนื้อสัตว์นั้นมีจุดหมายปลายทางก่อนออกจากร่างกายเราคือ การกลายเป็นแอมโมเนียซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างแก่ ในขณะที่เซลล์มะเร็งนั้นเป็นเซลล์ที่ใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นแหล่งให้พลังงานโดยมีขยะออกมาในรูปของกรดแลคติก กรดนี้เมื่อถูกขับออกจากเซลล์จะทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นกรด ดังนั้นความเป็นด่างของแอมโมเนียจึงสามารถสะเทินฤทธิ์กรดของกรดแลคติกทำให้เซลล์มะเร็งอยู่ได้ (อาหารเลี้ยงเซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่จึงต้องมีฤทธิ์เป็นด่างตลอดเวลา)เมื่อเรากินผักผลไม้นั้นสิ่งที่ได้แน่นอนคือ ใยอาหาร ซึ่งบางส่วนเป็น พรีไบโอติก หรืออาหารของแบคทีเรียกลุ่มแลคโตแบซิลัสซึ่งเราเรียกง่ายๆ ว่า โปรไบโอติก แบคทีเรียกลุ่มนี้ขับถ่ายกรดแลคติกออกมาจากเซลล์ซึ่งสามารถไปสะเทินแอมโมเนีย(ที่มาจากการกินโปรตีน) ในลำไส้ใหญ่ ทำให้ความเป็นกรด-ด่างของลำไส้ใหญ่ออกไปทางกลางๆ ซึ่งเซลล์มะเร็ง(ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการกระตุ้นของสารพิษจากอาหารเนื้อหมัก) ไม่ชอบจึงไม่เพิ่มจำนวน หลักการดังกล่าวที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังนี้จึงเป็นคำอธิบายเพื่อให้ทางเลือกเพื่อลดความเสี่ยงแก่ผู้บริโภคที่นิยมกินอาหารเนื้อหมักต่าง ๆสำหรับประเด็นว่าอาหารเนื้อหมักเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะนั้น เกิดขึ้นเพราะในอาหารกลุ่มนี้จะต้องมีดิวประสิว(ซึ่งมักเป็นเกลือไนไตรท nitrite) ตกค้างอยู่เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารพิษที่สร้างโดยแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม บอททูลินัม ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ แต่ข้อเสียของการมีดินประสิวตกค้างในเนื้อหมักนั้นมีเช่นกันดินประสิวชนิดเกลือไนไตรทนั้น เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรดระหว่างการย่อยอาหารเป็นสารที่มีความว่องไวทางปฏิกิริยาเคมีมาก สามารถเปลี่ยนให้สารเคมีในอาหารหลายชนิดกลายเป็นสารก่อกลายพันธุ์ ซึ่งหลายชนิดก่อมะเร็งกระเพาะอาหารได้ หลักฐานทางระบาดวิทยาเคยบอกว่า คนญี่ปุ่นซึ่งกินอาหารมีเกลือไนไตรทสูงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารถ้าไม่กินผักและผลไม้ให้พอดังที่กล่าวแล้วว่าผักผลไม้นั้นให้ใยอาหาร ซึ่งใยอาหารหลายชนิดนอกจากช่วยปรับความเป็นกรด-ด่างของลำไส้ใหญ่แล้วยังมีคุณสมบัติในการจับกับเกลือไนไตรทไม่ให้แสดงความเป็นพิษ อีกทั้งผักผลไม้นั้นยังให้สารต้านออกซิเดชั่นซึ่งขัดขวางปฏิกิริยาเคมีระหว่างเกลือไนไตรทกับสารเคมีในอาหารส่งผลให้ไม่เกิดสารก่อมะเร็ง ข้อมูลลักษณะนี้ได้มีการยืนยันในห้องปฏิการทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพทั่วโลกสำหรับกรณีของเนื้อแดงเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งหลายอวัยวะนั้น มาจากสมมุติฐานว่า เนื้อแดงนั้นประกอบด้วยเซลล์ที่มีโปรตีนมัยโอกลอบินสูง (โปรตีนนี้มีอะตอมเหล็กเป็นองค์ประกอบและทำหน้าที่รับออกซิเจนที่พามาตามเส้นเลือดโดยโปรตีนอีกชนิดคือ ฮีโมกลอบิน เข้าสู่เซลล์) ดังนั้นเมื่อเซลล์ของเนื้อสัตว์ถูกร่างกายมนุษย์ย่อยในทางเดินอาหารอะตอมเหล็กย่อมถูกปล่อยออกมาแล้วถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วจึงถูกโปรตีนพาหะชื่อ เฟอร์ไรติน พาไปยังอวัยวะที่ต้องการเหล็ก แต่ในกรณีที่อะตอมเหล็กที่ถูกดูดซึมมีมากกว่าที่ร่างกายต้องการ โอกาสที่ผู้บริโภคจะได้อะตอมเหล็กอิสระ ซึ่งสามารถกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ของผู้บริโภคจะสูงขึ้นอนุมูลอิสระนั้นมีความสามารถในการทำให้ดีเอ็นเอเกิดความผิดปรกติ ซึ่งนำไปสู่การกลายพันธุ์ที่อาจส่งผลไปถึงการเป็นมะเร็ง ด้วยเหตุนี้ผักผลไม้จึงเป็นทางแก้เพราะเป็นแหล่งให้สารต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันความเสียหายของดีเอ็นเอในเซลล์โดยสรุปแล้ว แม้ว่าอาหารเนื้อสัตว์ทั้งที่ถูกแปรรูปและเป็นเนื้อแดง อาจส่งเสริมการเกิดมะเร็งในบางอวัยวะก็ตาม การลดความเสี่ยงนั้นย่อมทำได้ด้วยการกินผักและผลไม้ให้มากพอบทความโดย  รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 มาขัดผิวแบบรักษ์โลกกันเถอะ

หากเราต้องการทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก เชื่อว่าสาวๆ หลายคนเลือกใช้การขัดผิวเป็นตัวช่วย ซึ่งนอกจากจะช่วยทำความสะอาดแล้ว การขัดผิวยังสามารถทำให้ผิวเนียนหรือกระจ่างใสขึ้นได้ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวมีมากมาย ซึ่งเราควรเลือกอย่างไร ลองมาดูกัน­ มารู้จักการขัดผิวกันก่อนการขัดผิวหรือสครับ (scrub) เป็นการขัดหรือถูผิวหนังชั้นนอกสุดหรือชั้นหนังกำพร้า ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อทำความสะอาด และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหรือขี้ไคลให้หลุดออกได้เร็วขึ้นการขัดผิวมีกี่แบบผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวสามารถแบ่งได้เป็น สูตรเคมีและสูตรธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองแบบสามารถขัดผิวให้สะอาดได้เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันดังนี้สูตรเคมี สำหรับสูตรนี้จะเป็นการใช้เม็ดสครับที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี โดยส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดพลาสติกหรือพลาสติกเคลือบ เรียกว่า เม็ดบีดหรือไมโครบีด (Micro bead) ซึ่งจะมีหลายขนาดตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดมาก และมีคุณสมบัติในการขัดหรือทำความสะอาดคราบน้ำมัน รวมทั้งสิ่งสกปรกบนผิวและฟันได้เป็นอย่างดี ทำให้ถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ด้วย เช่น สบู่ ครีมอาบน้ำหรือยาสีฟันอย่างไรก็ตามเม็ดบีดประเภทนี้ สามารถสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก (ตั้งแต่ 10 ไมครอน หรือ 0.00039 นิ้ว – 1 มิลลิเมตร หรือ 0.039 นิ้ว) ทำให้หลังการชะล้างสามารถไหลไปตามท่อระบายน้ำสู่แม่น้ำลำคลอง โดยไม่ถูกกรองจากการบำบัดสิ่งปฏิกูลและไม่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ ซึ่งนำไปสู่มลภาวะทางน้ำและเกิดการปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ทำให้หลายประเทศ เช่น รัฐอิลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศห้ามการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่มีไมโครบีดส์เป็นส่วนประกอบและการเสนอให้แบนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทั้งประเทศภายในปี 2561 นอกจากนี้ทางบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่อย่างลอรีอัล หรือจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก็ตื่นตัวและให้ความร่วมมือด้วยการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นอย่างเกลือทะเลแทนด้านผู้บริโภคอย่างเราก็สามารถร่วมมือได้ ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนประกอบของไมโครบีดส์ หรือชื่ออื่นๆ ของมัน เช่น โพลีเอทิลีน (Polyethylene: PE) โพลีโพรพิลีน (Polypropylene: PP) โพลีเอทิลีนเทเรพทาเลต (Polyethylene terephthalate: PET) โพลีเมทิลเมทาไครเลต (Polymethyl methacrylate: PMMA) หรืออาจหันมาเลือกสครับที่ทำจากธรรมชาติแทน เพราะนอกจากจะสวยแบบได้อนุรักษ์โลกด้วยแล้ว ยังทำให้เกิดการระคายต่อผิวได้น้อยกว่าสูตรเคมีอีกด้วยสูตรธรรมชาติ สำหรับสูตรขัดผิวแบบธรรมชาติ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวน้อย โดยเม็ดสครับมักจะมีรูปร่างที่ไม่แน่นอนและขนาดค่อนข้างหยาบ ซึ่งมักทำจากเมล็ดของพืช เช่น ข้าวโอ๊ต เมล็ดแอปริคอท หรือของไทยอย่างเกลือและมะขามเปียก แนะวิธีขัดผิวให้เกิดประโยชน์แม้การขัดผิวจะเป็นวิธีที่ดีในการเร่งขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะเกิดขึ้นช้าลง ซึ่งทำให้ผิวหนังมีชั้นขี้ไคลหนาขึ้น และอาจเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกได้ แต่การขัดผิวที่ผิดวิธีก็เป็นการทำลายผิวหนังได้เช่นกัน โดยสามารถทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และไปนำสู่อาการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้ง่าย ดังนั้นวิธีการขัดผิวที่เหมาะสม คือไม่ควรขัดผิวทุกวัน โดยควรขัดแค่อาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว เพื่อป้องกันการสูญเสียชั้นน้ำมัน และการระคายเคืองผิวหนังหลีกเลี่ยงการขัดผิวบริเวณที่เป็นสิวหรือเป็นแผล เพื่อป้องกันการอักเสบที่เพิ่มมากขึ้นเลือกอุปกรณ์ขัดที่มีความอ่อนนุ่ม และลูบไล้บนผิวหนังที่เปียกแล้วเบาๆหลังขัดผิวเสร็จเรียบร้อยควรทาครีมบำรุง เพื่อทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ตรวจขี้ตา ตรวจขี้หู แล้วดูโรค

ข่าวการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพหลอกลวงชาวบ้านมีออกมาเรื่อยๆ  ส่วนใหญ่ผู้ขายเกือบทั้งหมดมักจะสร้างความน่าเชื่อถือ โดยอ้างอิงผลการศึกษาวิจัยจากสถาบันต่างๆ อ้างผิดอ้างถูก จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเหยื่อมักจะระทวยหลงเชื่อไปแล้ว เพราะไม่ค่อยมีใครตรวจสอบล่าสุดผมได้รับข่าวจากน้องเภสัชกร โรงพยาบาลวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เล่าให้ฟังว่า  ได้ทราบข่าวผ่านทางไลน์ของ อสม.ในพื้นที่ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งอ้างว่ามาจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง นำสมุนไพรมาหยอดตาชาวบ้าน และจะวินิจฉัยโรคจากขี้ตาที่ไหลออกมาหลังจากหยอดตา(สงสัยเป็นทฤษฎีขี้ตาศาสตร์) เมื่อน้องเภสัชกรท่านนี้พร้อมทีมงาน ลงไปติดตามตรวจสอบก็พบว่า คนกลุ่มนี้กำลังหยอดหูชาวบ้าน(สงสัยจะใช้วิชาขี้หูศาสตร์ ทำนายโรคจากขี้หูอีก) จึงได้สั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว และพาตัวไปดำเนินการตามกฎหมายที่สถานีตำรวจจากข้อมูลที่ได้ฟังมา คนกลุ่มนี้อ้างว่าตนเองมาจากทีมวิจัยสมุนไพรของศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยั่งยืน  ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน  ได้เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาเยี่ยมญาติที่ป่วยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้  จึงอยากนำสินค้ามาแนะนำให้เพื่อเป็นการทำบุญตามโครงการวิจัย(มีการอ้างบุญซะด้วย) พวกตนจึงขอให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสาย ให้ชาวบ้านที่มีปัญหาเรื่อง หู ตา คอ จมูก เบาหวาน ภูมิแพ้ ความดัน นำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อตรวจสุขภาพฟรี (กวาดต้อนมาซะหลายโรคยังกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่)จากการตรวจสอบพบว่า มีของกลางเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจีน 4 ชนิด มีราคาตั้งแต่ 500 – 3,600 บาท  โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแสดงเลข อย. หมายถึงมีการขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร แต่เมื่อพิจารณาข้อความบนฉลาก พบว่าใช้ข้อความเชิงโอ้อวด เช่น “เหมาะสำหรับสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีที่ต้องการสมรรถนะของร่างกายที่ดีเยี่ยม” นอกจากนี้บางผลิตภัณฑ์ยังแสดงฉลากไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย หรือบางผลิตภัณฑ์ก็มีการแสดงชื่อเว็บไซต์บนฉลากด้วย แต่เมื่อตรวจสอบกลับไปก็ไม่พบหน้าเว็บดังกล่าว  แต่พบว่าเคยชื่อของเว็บเคยใช้เป็นชื่อของกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำยากำเนิดโฟมผลิตคอนกรีตมวลเบาซะเนี๊ย (ไปกันใหญ่แล้วพี่น้อง) จนมีชาวบ้านหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวหลายราย(อ้าว!ไหนบอกว่ามาเยี่ยมญาติและทำบุญ ไหงกลายเป็นทำการค้าไปได้)เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ แสดงให้เห็นถึงกลวิธีต่างๆ ในการหลอกลวงผู้บริโภค เช่น  การขายที่มักจะอ้างผลการศึกษาวิจัย ของสถาบันต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ   หรือ การสร้างความน่าเชื่อถือประกอบการขาย โดยมีการกระทำบางอย่าง เช่น การตรวจสุขภาพ (ดูขี้ตาดูขี้หูก็เอา) แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือการลุกขึ้นมาจัดการโดยเครือข่าย อสม. โดยใช้ไลน์เป็นเครื่องมือแจ้งข่าวจากการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สินค้าที่ไม่ปลอดภัยในชุมชน  นับเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อให้ผู้บริโภคในที่ต่างๆใช้เป็นแบบอย่างในการร่วมเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 เพื่อนบ้านเป็นโรงงานส่งเสียงดัง หรือเลี้ยงสุกรมีกลิ่นเหม็น

เพื่อนบ้านเป็นโรงงานส่งเสียงดัง หรือเลี้ยงสุกรมีกลิ่นเหม็นเราจะคุ้มครองสิทธิตนเองอย่างไรเมื่อพูดถึงการคุ้มครองสิทธิด้านที่อยู่อาศัยของตนเอง เพื่อให้ได้อยู่ในที่อยู่อาศัยหรือสิ่งแวดล้อมที่ดี ถือเป็นสิทธิผู้บริโภคสากลที่สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ของเรา  และกฎหมายไทยเราก็มีการเขียนเรื่องนี้ไว้ว่า ใครก็ตามจะใช้สิทธิ หากทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดือดร้อนเกินไปกว่าปกติ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น มีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อจัดการความเดือดร้อน ทั้งนี้ไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทนเพื่อให้เห็นภาพชัด ก็ขอยกตัวอย่างคดีหนึ่ง โจทก์เป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง และบังเอิญเพื่อนบ้านเปิดฟาร์มเลี้ยงสุกร อยู่ไปอยู่มาดูแลไม่ดี เพราะต่อมาได้เลี้ยงสุกรมากขึ้นจึงได้ใช้ผ้าพลาสติกคลุมคอกสุกรแล้วใช้พัดลมดูดเอากลิ่นเหม็นสิ่งปฏิลออกจากคอกสุกรส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นรบกวนสุขภาพและอนามัยของโจทก์ เขาทนไม่ไหว ก็ไปฟ้องคดี ให้เพื่อนบ้านกำจัดสิ่งเน่าเหม็น และย้ายที่เลี้ยงไปที่อื่น  ศาลก็ตัดสิน โดยใช้หลักกฎหมายดังกล่าว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2555 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่  8309/2548คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2555ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1337 บัญญัติไว้ในกรณีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดใช้สิทธิของตนจนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่น เสียง แสงสว่าง หรือมลภาวะใดๆเกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะทนได้ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นมีสิทธิกระทำการเพื่อป้องกันความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป อันเป็นการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนจากกลิ่น เสียง แสงสว่าง หรือมลภาวะนั้นให้มีสุขลักษณะที่ดิน โดยคำฟ้องของ ผ.มีคำขอให้ ฉ.กำจัดสิ่งปฏิกูลที่รบกวนสุขภาพอนามัยของ ผ.ด้วย แสดงให้เห็นว่าการขจัดความเดือนร้อนที่ ผ.ได้รับอาจทำได้โดยวิธีอื่น หาใช้ต้องขับไล่ ฉ.ตามฎีกาของ ผ. ดังนั้น ที่ ผ.ฎีกาขอให้ขับไล่ ฉ.ให้ขนย้ายสุกรไปเลี้ยงให้ห่างไกลจากบ้านของ ผ.จึงเป็นวิธีการที่เกินกว่าความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผ.ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า อบต.ออกข้อบัญญัติอย่างไร รวมทั้งไม่นำสืบว่า ฉ.ฝ่าฝืนข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างไร คำขอของ ผ.ที่ให้ ฉ.กำจัดสิ่งเน่าเหม็นอันเกิดจากมูลสุกรเป็นคำขอที่ไม่ชัดเจนพอที่จะบังคับให้ ฉ.ปฏิบัติได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เจตนารมณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1337 เป็นคนละปัญหากับการดำเนินการของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะเข้าแก้ไข คำขอของ ผ.ไม่มีความหมายกว้างเกินไปและไม่ชัดเจนพอที่ ฉ.จะปฏิบัติได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ผ. ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ ฉ.กำจัดสิ่งปฎิกูลเน่าเหม็นอันเกิดสจากมูลสุกรที่ ฉ.เลี้ยงไว้คำพิพากษาที่ 8309/2548การประกอบกิจการของจำเลยทั้งสองก่อให้เกิดเสียงดังและส่งกลิ่นเหม็นรบกวนสิทธิที่จะอยู่อาศัยในเคหะสถานของโจทก์ทั้งสองโดยปกติสุข โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหาย หรือเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไป ได้แก่ การดำเนินการให้จำเลยทั้งสองหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดเสียงดังและส่งกลิ่นเหม็นหรือหาวิธีป้องกันมิให้เกิดเสียงดังและส่งกลิ่นเหม็นอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ทั้งสองเมื่อศาลมีคำพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดเสียงดังและพ่นสีส่งกลิ่นเหม็นสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว หากจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล โจทก์ทั้งสองชอบที่จะให้บังคับคดีได้ ซึ่งย่อมทำให้ความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดังและกลิ่นเหม็นนั้นระงับสิ้นไป ไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์อีกต่อไปการตั้งโรงงานของจำเลยทั้งสอง แม้จะเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และสมควรจะย้ายไปตั้งในนิคมอุตสาหกรรมตามที่โจทก์อ้างมา ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำผิดต่อรัฐ พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับและดูแลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองย้ายโรงงานไปอยู่ที่อื่นค่าใช้จ่ายในการป้องกันเสียงดังและระงับกลิ่นเหม็น อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในบ้านโจทก์ทั้งสอง ค่าใช้จ่ายในการกู้เงินมาสร้างบ้านอีกหนึ่งหลัง และค่าใช้จ่ายที่ต้องจ้างคนเฝ้าบ้านนั้น มิใช่ผลธรรมดาที่เกิดจากเหตุกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสอง แต่เป็นความเสียหายที่ไกลเกินเหตุ ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ประสิทธิภาพ “โลชั่นและสเปรย์ฉีดกันยุง”

คำเปรียบเปรยที่ว่า “ยุงร้ายกว่าเสือ” นั้นไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด อย่าได้ปรามาสเห็นยุงตัวเล็กกระจิริดแค่ใช้ 2 มือตบก็จบชีวิต แต่ยุงตัวเล็กๆ พิษสงเหลือร้ายทำคนตายหลายสิบรายต่อปี!!! เพราะยุงเป็นพาหะนำโรคติดต่อร้ายแรง ทั้ง ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย โรคชิคุนกุนยา หรือแม้แต่ โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ที่กำลังเป็นข่าวว่าระบาดในหลายประเทศ ในประเทศไทยเองก็มีผู้ป่วยแล้วหลายรายข้อมูลจากสำนักควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเฉพาะในปี 2559 จนถึงเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 พบว่ามีคนไทยเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกแล้วจำนวน 31 คน และมีผู้ป่วยสะสมจำนวน 38,031 ราย ส่วนโรคไข้มาลาเรีย ข้อมูลตั้งแต่มกราคม-สิงหาคม 2559 มีผู้ป่วยรวมทั้งหมด 11,144 ราย (เป็นคนไทย 8,531 ราย และชาวต่างชาติ 2,613 ราย) สำหรับโรคชิคุนกุนยา หรือ ไข้ปวดข้อยุงลาย ในปี 2559 ข้อมูลจนถึงเดือนสิงหาคม มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 13 ราย แต่ยังน้อยกว่าปีที่แล้วที่รวมทั้งปีมีผู้ป่วยทั้งหมด 25 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต การหาวิธีป้องกันและกำจัดยุงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราทุกคนควรทำ ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับปกป้องเราจากยุงหลายเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยาจุดกันยุงแบบขด หรือ ยาฉีดไล่ยุง ที่พบเห็นมีใช้กันอยู่ตามบ้านเรือนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ไล่ยุงแบบใหม่ๆ ที่เริ่มนิยมใช้กันมากขึ้นอย่าง โลชั่นทากันยุง และ สเปรย์ฉีดกันยุง ซึ่งถ้าไปเดินดูตามซูเปอร์มาเก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อเลือกใช้ ฉลาดซื้อ ฉบับนี้เลยขออาสารวบรวม โลชั่นทากันยุง และ สเปรย์ฉีดกันยุง ยี่ห้อต่างๆ มาลองดูกันสิว่าแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติในการไล่ยุงและมีส่วนประกอบที่ใช้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผลที่ได้จากการสำรวจ-ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโลชั่นทากันยุง จากทั้งหมด 8 ตัว มีถึง 6 ตัวอย่าง ที่ใช้สารเคมี ดีอีอีที DEET ซึ่งเป็นสารเคมียอดนิยมในผลิตภัณฑ์ป้องกันยุง เป็นส่วนประกอบสำคัญ มีเพียงแค่ 1 ตัวอย่างเท่านั้นที่ใช้สารที่สกัดจากธรรมชาติ คือยี่ห้อ เบลล์ ที่ใช้ น้ำมันตะไคร้หอม Citronella oil เป็นส่วนประกอบ-ต่างจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสเปรย์ฉีดกันยุง ที่มีการใช้สารเคมีสกัดจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบมากกว่า โดยจากตัวอย่างผลิตภัณฑ์สเปรย์ฉีดกันยุงทั้งหมด 7 ตัวอย่าง มีถึง 5 ตัวอย่างที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ทั้ง  น้ำมันตะไคร้หอม Citronella oil และ น้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัส Eucalyptus Oil-ระยะเวลาในการป้องกันยุงของผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นทากันยุง เฉลี่ยอยู่ที่ 6 - 7 ชั่วโมง ขณะที่ผลิตภัณฑ์ชนิดสเปรย์ฉีดกันยุงระยะเวลาในการป้องกันยุงตามที่แจ้งบนฉลากเฉลี่ยอยู่ที่ 2 - 3 ชั่วโมง มีเพียง 2 จาก 7 ตัวอย่างที่มีระยะเวลาในการป้องกันยุงอยู่ที่ 7 ชั่วโมง คือ ยี่ห้อ Mos Away ที่มีส่วนผสมเป็นสารเคมี ดีอีอีที DEET และยี่ห้อ POKPOK ป๊อกป๊อก ที่มีส่วนประกอบเป็นสารสกัดจากธรรมชาติอย่าง น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพร Citronella Oil-จากการเปรียบเทียบพบว่า ส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็นสารเคมีหรือสารที่สกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยมากกว่า ไม่มีผลต่อระยะเวลาในการป้องกันยุง เพราะส่วนประกอบทั้ง 2 ประเภทต่างก็มีระยะเวลาในการป้องกันยุงสูงสุดที่ 7 ชั่วโมงเท่ากัน-ผลิตภัณฑ์ชนิดที่ใช้สำหรับเด็กเล็ก ใช้ติดตามเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ห้ามติดโดยตรงลงบนผิวหนังของเด็กโดยเด็ดขาด เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงชนิดอื่นๆ ห้ามใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือ 4 ปี ตามแต่ข้อกำหนดของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปิดกันยุงสำหรับเด็กทั้ง 2 ตัวอย่าง ต่างก็ใช้ส่วนประกอบที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติทั้ง 2 ตัวอย่าง-คำแนะนำในการเลือกซื้อ ควรเปรียบเทียบข้อมูลเรื่องของประสิทธิภาพในการป้องกันยุง ปริมาณ และ ราคา เลือกตามความเหมาะสม ส่วนเรื่องของส่วนประกอบ ไมว่าจะเป็นชนิดที่ใช้สารเคมีหรือใช้สารสกัดจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบต่างก็ต้องใช้ตามคำแนะนำและคำเตือนที่ระบุไว้บนฉลากอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน แต่ส่วนประกอบที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติแน่นอนว่ามีความปลอดภัยมากกว่า ผู้ใช้เสี่ยงต่อการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังน้อยกว่าข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ของผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุงผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมี (เช่น ดีอีอีที (DEET) และ เอทิล บิวทิลอะซีทิลอะมิโนโพรไพโอเนต (Ethyl Butylacetylaminopropionate)) ที่จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ต้องมีการแสดงเลขทะเบียน อย.วอส. (วัตถุอันตรายที่ใช้ในทางสาธารณสุข) บนฉลากผลิตภัณฑ์ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมของสารที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น citronella oil หรือน้ำมันตะไคร้หอมเป็นสารสำคัญ ซึ่งจัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ตามพระราชบัญญัตวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการแจ้งข้อเท็จจริงต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และต้องมีการแสดงเลขที่รับแจ้งบนฉลาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ใช้ส่วนประกอบของ citronella oil ควรมีประสิทธิภาพในการออกฤทธ์ไล่ยุงลายบ้านได้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง มีฤทธิ์ไปรบกวนกลไกการรับรู้กลิ่นของยุง ทำให้ยุงไม่บินมาดูดเลือดบนผิวหนังของเรา แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ในการฆ่ายุงแต่อย่างใด.ผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบสำคัญ เวลาใช้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำและคำเตือนบนฉลากอย่างเคร่งครัด ป้องกันการเกิดอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ฉลากของผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง ต้องมีการแสดงฉลากที่ให้ข้อมูลสำคัญครบถ้วนตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดังนี้ 1.ประโยชน์ 2.วิธีเก็บรักษา 3.คำเตือนในการใช้ 4.อาการเกิดพิษ และ 5.วิธีแก้พิษเบื้องต้น นอกเหนือข้อมูลชื่อและชนิดสินค้า ที่อยู่ผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย และวัน เดือน ปี ที่ผลิต ใช้ผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุงอย่างไรให้ปลอดภัย-ควรใช้ผลิตภัณฑ์เมื่อมีความต้องการใช้เพื่อป้องกันยุงเท่านั้น-ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงประเภทแป้งและโลชั่น ห้ามนำไปทาแทนแป้งและโลชั่นสำหรับทาผิวทั่วไปโดยเด็ดขาด-ก่อนใช้ควรทาหรือพ่นที่ข้อพับแขนดูก่อน เพื่อดูว่าเรามีอาการแพ้ต่อผลิตภัณฑ์ดังกล่าหรือไม่ หากมีอาการแพ้ควรหยุดใช้ทันที-การทาหรือฉีดสเปรย์กันยุง ควรเน้นทาและฉีดให้ทั่วบริเวณผิวหนังที่อยู่ภายนอกเสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องทาและฉีดให้หนาเกินไป เพราะไม่ได้ช่วยให้ประสิทธิภาพในการป้องกันยุงเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด-ไม่ควรใช้ทาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน เช่น บริเวณใกล้ตา ริมฝีปาก เปลือกตา รักแร้ หรือทาบริเวณที่เป็นแผล เพราะอาการแพ้หรือระคายเคืองได้-หลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ควรล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร-ควรเก็บผลิตภัณฑ์ในที่มิดชิด ห่างจากเด็ก อาหาร และสัตว์เลี้ยง-หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยน้ำมันตะไคร้หอม ควรปิดฝาให้สนิท อย่าให้ถูกแสงแดด อย่าวางใกล้เปลวไฟหรือความร้อน-อ่านฉลากก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำและคำเตือนบนฉลาก ทั้งเพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันยุง-ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงส่วนใหญ่ ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 หรือ 4 ปี ขึ้นกับชนิดและปริมาณสารออกฤทธิ์ในแต่ละผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงประเภทอื่นๆยาจุดกันยุงแบบขดเป็นผลิตภัณฑ์กันยุงที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาถูก หาซื้อง่าย สารเคมีที่ใช้ในยาจุดกันยุงแบบขดเป็นสารในกลุ่ม ไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการกำจัดแมลงทั้งในทางสาธารณสุขและทางการเกษตร สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตยาจุดกันยุงแบบขด ประกอบด้วย ผงขี้เลื่อย ผงกะลาบด ผลแป้งที่ได้จากมันสำปะหลัง ฤทธิ์ของยาจุดกันยุงคือส่งกลิ่นและควันออกไปไล่ยุงไม่ให้เขามาใกล้ในพื้นที่ที่จุดยากันยุงไว้ ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่ายุงยาฉีดกันยุงเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์กันยุงที่นิยมใช้ตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ฆ่าหรือไล่แมลงได้หลากหลายไม่ใช่แค่เฉพาะยุงเท่านั้น สารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นสารในกลุ่ม ไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) เช่นกัน การใช้ยาฉีดกันยุงหรือไล่แมลงในบ้าน ควรเลือกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะจะมีการแบ่งการใช้ไว้สำหรับแมลงที่บินเท่านั้น เช่น ยุง แมลงวัน กับแบบที่ใช้ได้เอนกประสงค์แต่เน้นไปที่แมลงที่อาศัยอยู่ตามพื้น เช่น มด ปลวก แมลงสาบ เพราะละอองของชนิดที่ฉีดได้อเนกประสงค์จะมีขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ทำให้ตัวสารไม่ได้ลอยในอากาศได้ทั้งหมด ประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงบินจึงมีน้อยกว่าไม้ตียุงไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดฮิตที่หลายคนนิยมใช้จัดการยุง ซึ่งเมื่อไม่นานนี้คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกประกาศให้ไม้ตียุงไฟฟ้าเป็นสินค้าควบคุมฉลาก ต้องมีการระบุเรื่องของคำแนะนำในการใช้งาน คำเตือน ชื่อ-ที่อยู่ผู้ผลิต ดังนั้นต่อไปนี้ถ้าใครจะซื้อหาไม้ตียุงไฟฟ้ามาใช้ต้องเลือกที่มีข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนชัดเจน เพื่อความปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเกินจริง

หากเราตัดสินใจเช่าซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามที่ตกลงกันไว้ ทางออกที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้บริษัทยึดรถคันดังกล่าวไปขายทอดตลาด และเราก็รอชำระหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องกลับถูกเรียกร้องให้ชำระหนี้เท่ากับราคาขายทอดตลาด ซึ่งเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเราลองมาดูกัน   เมื่อปี 2549 คุณสุชัยเช่าซื้อรถยนต์มือหนึ่งยี่ห้อ Honda รุ่น Accord ในราคาเกือบ 2 ล้านบาท จากบริษัทแห่งหนึ่ง โดยตกลงแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 60 เดือน หลังผ่อนชำระไปได้ 17 งวดก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ค้างชำระติดกันเป็นเวลาหลายเดือน จึงตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งให้ธนาคารมารับรถคืนไป โดยคิดว่าคงมีการนำรถไปขายทอดตลาด และให้ชำระหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลังผ่านไป 8 ปีกลับมีหมายศาลมาที่บ้านว่า เขาเป็นหนี้รถยนต์คันดังกล่าวอยู่กว่า 7 แสนบาท ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นราคาที่เกินจริง เนื่องจากไม่มีการแจ้งก่อนหน้านี้ว่ารถคันดังกล่าวขายได้ราคาเท่าไร ทำให้คุณสุชัยส่งเรื่องมาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายแนวทางการแก้ไขปัญหาทนายความของศูนย์พิทักษ์สิทธิช่วยทำคดีนี้ให้คุณสุชัย เพราะเมื่อตรวจสอบย้อนหลังพบว่า ทางธนาคารหรือผู้ให้เช่าซื้อ ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวขายทอดตลาดไปแล้ว ทั้งยังอ้างว่าได้ราคากว่า 7 แสนบาท แต่ทางบริษัทกลับมาเรียกร้องเอาเงินจำนวนดังกล่าวกับคุณสุชัยอีก อย่างไรก็ตามเมื่อฟ้องร้องคดีในศาลก็ได้รับข้อยุติว่า บริษัทไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดแจ้งว่า ทางธนาคารได้รับรถยนต์คันดังกล่าวคืนจากผู้ร้องเมื่อใด และขณะนั้นรถยนต์มีสภาพทรุดโทรมหรือได้รับความเสียหายเท่าใด ดังนั้นราคาขายทอดตลาดรถยนต์คันเช่าซื้อที่บริษัทอ้างจึงมีน้ำหนักน้อย ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าราคาเช่าซื้อที่ขาดเป็นจำนวนตามที่ฟ้องนอกจากนี้เบี้ยปรับตกลงไว้ ถือเป็นการกำหนดความรับผิดล่วงหน้าในลักษณะทำนองเบี้ยปรับ จึงเห็นว่าราคาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องมีการคิดราคาบวกด้วยผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่ราคาทรัพย์ที่แท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้รับค่าเช่าซื้อบางส่วนกับราคาขายรถยนต์คันนี้แล้ว จึงกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้เพียง 50,000 บาท โดยคำนวณจากราคาที่ผู้ร้องได้ชำระไปแล้ว รวมราคาที่บริษัทอ้างว่าขายทอดตลาดได้ นำไปหักลบจากราคารถยนต์ในขณะที่ทำสัญญา พร้อมให้จ่ายดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ตามหลักตามกฎหมายสัญญาเช่าซื้อ กำหนดเรื่องการคืนรถยนต์ไว้ว่า เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถยนต์คันดังกล่าวกลับคืนไปแล้ว ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน ผู้ร้องไม่ต้องชดใช้ค่างวดรถตามสัญญาแล้ว โดยเมื่อมีการนำรถขายทอดตลาด ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้เช่าซื้อทราบไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อได้ตามจำนวนหนี้คงค้างตามสัญญา หากนำรถขายได้ราคาน้อยกว่าหนี้ที่ค้าง ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดชอบส่วนที่ขาดเฉพาะในกรณีที่เจ้าของได้ขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสม ซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่ไม่ได้กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับภาระสูงเกินกว่าที่ควร นอกจากนี้สำหรับใครที่ต้องการคืนรถไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ควรเก็บหลักฐานสำคัญไว้ด้วย ดังนี้ รูปถ่ายสภาพรถหลายๆ มุม ใบประเมินราคารถว่าในขณะนั้นหากขายทอดตลาดจะได้ราคาประมาณเท่าไร รวมทั้งเอกสารการส่งรถคืน เนื่องจากจะได้มีหลักฐานยืนยันหากเกิดกรณีฟ้องร้องขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ไม่พอใจหลังเซ็นสัญญา

สิ่งสำคัญก่อนตกลงเซ็นชื่อลงในสัญญาใดๆ คือ เราต้องรู้และเข้าใจรายละเอียดต่างๆ ของสัญญานั้น เพราะบางทีคู่สัญญาของเราก็ไม่ได้บอกทุกรายละเอียดที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งจะมีผลผูกพันทางกฎหมายกับเรา และอาจทำให้เรารู้สึกภายหลังว่าสัญญาดังกล่าวไม่มีความเป็นธรรม หรือรู้อย่างนี้ไม่เซ็นชื่อไปก็ดี ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณสมศรีได้ดูโฆษณาทางโทรทัศน์เกี่ยวกับการนวดแผนไทย โดยศูนย์บริการนวดแผนไทยแห่งหนึ่ง ซึ่งโฆษณาว่าช่วยรักษาโรคให้ดีขึ้นได้ เธอจึงโทรศัพท์ไปสอบถามรายละเอียดต่างๆ แต่ศูนย์บริการแนะนำว่าให้มาตรวจอาการดูก่อน จึงสามารถวินิจฉัยการรักษารวมทั้งค่าใช้จ่ายได้ ทำให้เธอและคุณแม่เดินทางไปที่ศูนย์ดังกล่าว ภายหลังการวินิจฉัยด้วยเครื่องมือต่างๆ แพทย์ก็แจ้งว่าเธอควรรักษาอาการเข่าเสื่อม บ่าแข็งและตะคริว เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงไปมากกว่านี้ ส่วนคุณแม่ที่เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นก็ควรทำการรักษาด้วยการนวดบำบัด เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้พิการได้ ทั้งนี้สำหรับค่าใช้จ่ายจะคิดราคาเป็นคอร์สรักษา 10 ครั้ง 65,000 บาท โดยแบ่งจ่ายล่วงหน้า 55,000 บาทก่อนได้ หลังได้รับทราบรายละเอียดดังกล่าว คุณสมศรีก็ตัดสินใจตกลงเข้ารับบริการ และทำการรักษาในครั้งแรก ซึ่งเมื่อรักษาเสร็จพนักงานก็นำเอกสารมาให้เซ็นเพิ่มเติม โดยแจ้งว่าเป็นส่วนของการรับทราบผลการรักษา และยอดค้างชำระ อย่างไรก็ตามปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเธอรู้สึกว่าพนักงานเร่งรัดให้เธอรีบเซ็นชื่อและไม่ให้ใบเสร็จรับเงิน รวมทั้งไม่ให้สำเนาของเอกสารดังกล่าว วันรุ่งขึ้นเธอจึงโทรศัพท์ไปสอบถามถึงเอกสารที่ได้เซ็นชื่อไป โดยขอให้พนักงานถ่ายรูปข้อความในเอกสารส่งมาให้ดู และเมื่อได้อ่านเอกสารดังกล่าวแล้วก็รู้สึกว่าข้อสัญญาเอาเปรียบมากเกินไป เช่น หากทำผิดสัญญาจะต้องเสียค่าปรับและโดนฟ้องคดีอาญา นอกจากนี้ยังตะหนักว่าค่าบริการของที่นี่แพงกว่าที่อื่นที่เคยใช้บริการมา เธอจึงต้องการยกเลิกสัญญาดังกล่าวและขอเงินคืนในส่วนที่ยังไม่ได้ใช้บริการแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิช่วยผู้ร้องตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา และสอบถามถึงข้อเท็จจริงก่อนการตกลงทำสัญญาดังกล่าว ซึ่งพบว่าผู้ร้องรับทราบรายละเอียดต่างๆ ก่อนเซ็นชื่อแล้ว เช่น ราคาหรือจำนวนครั้งที่สามารถใช้บริการได้ เพียงแต่เธอไม่พอใจที่พนักงานเร่งรัดให้เซ็นเอกสาร โดยไม่แนะนำให้อ่านรายละเอียดก่อน หรือไม่แจ้งข้อผูกมัดต่างๆ รวมทั้งเรื่องค่าบริการที่เพิ่งตระหนักได้ภายหลังว่าแพงเกินไป เมื่อเทียบกับที่อื่นที่เคยใช้บริการมา จากกรณีนี้หากผู้ร้องต้องการยกเลิกสัญญา พบว่าเป็นไปได้ยากเพราะเธอรับทราบรายละเอียดของการเข้ารับบริการและพึงพอใจก่อนตัดสินใจเซ็นชื่อแล้ว ซึ่งแม้ภายหลังศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ แล้วพบว่าค่าบริการของที่นี่แพงกว่าที่อื่นก็ไม่สามารถบอกเลิกได้ อย่างไรก็ตามศูนย์พิทักษ์สิทธิได้แนะนำให้ผู้ร้องไปเจรจาต่อรองกับแพทย์ที่ทำการรักษาให้ก่อน โดยหากเห็นว่าค่าบริการแพงเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นที่เคยรักษาในวิธีการอย่างเดียวกันมาก็ควรขอต่อรองราคา ซึ่งนับว่าโชคดีที่ทางศูนย์บริการยินยอมลดให้ 10,000 บาท และทางผู้ร้องก็พอใจและยินดีใช้บริการต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของสัญญาที่ผู้ร้องรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เช่น การกำหนดให้เสียค่าปรับและโดนฟ้องคดีอาญาหากทำผิดสัญญานั้น จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้ใช้บริการจะถูกฟ้องร้อง หากทำผิดข้อตกลงในสัญญาที่กำหนดไว้ แต่หากถูกฟ้องแล้วก็ต้องมาตรวจสอบว่า สัญญาดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคเกินไปจริงหรือไม่ โดยหากพิสูจน์ได้ว่าเอาเปรียบเกินสมควรจริง ตามกฎหมายก็จะบังคับให้ชดใช้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี หรือตีความในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายที่ไม่ได้เป็นผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูปนั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 คืนตั๋วโดยสารไม่ได้

เหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างการซื้อตั๋วโดยสารแล้ว ไม่สามารถเดินทางตามกำหนดเวลาที่จองไว้ได้ ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบางคนอาจแก้ปัญหาด้วยการเลื่อนเวลาการเดินทาง หรือนำบัตรโดยสารไปคืน โดยทำตามเงื่อนไขต่างๆ ตามที่แต่ละบริษัทกำหนดไว้ อย่างไรก็ตามหากเราพบว่าไม่สามารถคืนตั๋วได้ตามเงื่อนไข ควรทำอย่างไรดีคุณสุชาติซื้อบัตรโดยสารของบริษัท สมบัติทัวร์ จำกัด โดยกำหนดเดินทางจากกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ต่อมาภายหลังเขาต้องเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดอื่นกะทันหัน จึงไปเปลี่ยนตั๋วเดินทางเป็นขากลับจากเชียงใหม่แทน(เชียงใหม่ – กรุงเทพฯ) ซึ่งพนักงานก็เปลี่ยนให้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเขาพบว่าตนเองไม่สามารถเดินทางกลับภายในระยะเวลาที่จองตั๋วไปแล้วได้ จึงตัดสินใจยกเลิกการจองตั๋วดังกล่าวและไปขอเงินคืน ซึ่งเขาทราบเงื่อนไขของการคืนตั๋วอยู่แล้วว่า ต้องนำตั๋วโดยสารมาคืนล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชม. และจะได้เงินคืนไม่เต็มจำนวน โดยต้องโดนหักค่าธรรมเนียม 10% จากราคาตั๋วนั้นๆ อย่างไรก็ตามแม้เขาจะทำตามเงื่อนไขการคืนตั๋ว พนักงานกลับปฏิเสธการคืนบัตรโดยสารดังกล่าวและแจ้งว่ามีวิธีเดียวที่จะได้เงินคืนคือ ให้นำมาฝากขาย ซึ่งหากมีคนมาซื้อก็จะแจ้งให้มารับเงินจำนวนดังกล่าวไป ทำให้ผู้ร้องรู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรม จึงส่งเรื่องมาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ช่วยทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรถึงกรมการขนส่งทางบกและบริษัทฯ เพื่อให้ชี้แจงปัญหาดังกล่าวและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยภายหลังทางบริษัทฯ ได้แจ้งกลับมาว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของพนักงาน ซึ่งได้เรียกมาอบรมแล้วและพร้อมคืนเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในตั๋วโดยสารให้ ด้านผู้ร้องก็ยินดีกับข้อเสนอดังกล่าวและได้รับเงินคืนเรียบร้อยทั้งนี้สำหรับใครที่ใช้บริการกับบริษัทดังกล่าว โดยซื้อตั๋วโดยสารไปแล้วแต่พบว่าไม่สามารถเดินทางตามกำหนดเวลาที่ซื้อไว้ได้ สามารถขอเลื่อนกำหนดการเดินทาง รวมทั้งขอยกเลิก/คืนตั๋วโดยสารได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของบริษัท โดยมีเงื่อนไขในการยกเลิก คือ นำสำเนาบัตรประชาชนมาติดต่อด้วยตนเอง หรือเขียนมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทน ก่อนเวลาเดินทางที่ระบุไว้ในบัตรโดยสารล่วงหน้า ซึ่งหากเป็นกรณีเดินทางจากต้นทางกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ต้องล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และหากเป็นจังหวัดอื่นต้องล่วงหน้าอย่างน้อย 5 ชั่วโมง พร้อมเสียค่าธรรมเนียมการยกเลิก 10% จากราคาค่าโดยสาร หรือในกรณีที่ต้องการเลื่อนวันเดินทาง และ/หรือเปลี่ยนแปลงการเดินทางสามารถทำได้ฟรี 1 ครั้ง ซึ่งต้องมาติดต่อเหมือนในกรณีการยกเลิกตั๋ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 นมเสื่อมคุณภาพก่อนวันหมดอายุ

วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้าดังกล่าวยังคงมีคุณภาพหรือไม่ และจะเสื่อมสภาพเมื่อใด อย่างไรก็ตามใช่ว่าเราจะมั่นใจเช่นนั้นได้เสมอไป ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้ที่พบปัญหาสินค้าเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุคุณพรพรรณซื้อนมจืดยี่ห้อไทยเดนมาร์ค จากห้างท๊อป ซุปเปอร์มาร์เก็ต ขนาด 200 มล. จำนวน 1 ลัง ราคา 315 บาท มาให้หลานชายรับประทาน ซึ่งเธอได้ตรวจสอบ ว/ด/ป ที่หมดอายุข้างกล่องแล้วว่าอีกหลายเดือนกว่าจะครบกำหนด อย่างไรก็ตามหลังนำมาเทใส่ขวดนมให้หลานรับประทาน กลับพบว่านมดังกล่าวมีลักษณะจับตัวเป็นก้อนคล้ายนมบูด เมื่อตรวจสอบกล่องอื่นๆ ก็พบว่ามีลักษณะคล้ายกัน เธอจึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอคำปรึกษา โดยต้องการให้บริษัทเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องส่งหลักฐานประกอบการร้องเรียนมาเพิ่มเติม คือ สำเนาใบเสร็จรับเงิน รวมทั้งรูปถ่ายลักษณะผิดปกติของนมดังกล่าว พร้อมส่งตัวอย่างของสินค้าให้ผู้ผลิตนำไปตรวจวิเคราะห์คุณภาพ ซึ่งภายหลังการตรวจสอบโดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคกลางพบว่า ผลการวิเคราะห์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการเสื่อมคุณภาพเฉพาะกล่อง ซึ่งมีสาเหตุจากกระบวนการผลิต การเก็บรักษาหรือการขนส่งทั้งนี้ทางบริษัทจึงแจ้งว่าจะเพิ่มความเข้มงวดในกระบวนการผลิต ตรวจสอบคุณภาพการขนส่งโดยปฏิบัติตามระบบคุณภาพ มาตรฐาน GMP HACCP ISO และ HALAL อย่างเคร่งครัด เพื่อปรังปรุงพัฒนาให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น และหากผู้บริโภคพบผลิตภัณฑ์ที่กล่องบุบหรือชำรุดสามารถส่งคืนที่ อ.ส.ค. ให้ดำเนินการเปลี่ยนใหม่ได้ นอกจากนี้ก็ได้ชดเชยให้ผู้ร้องเป็นผลิตภัณฑ์นมจำนวน 5 ลัง ด้านผู้ร้องยินดีรับข้อเสนอและไม่ติดใจปัญหาแล้วจึงยุติการร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ปฏิเสธการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต

เมื่อเราซื้อสินค้าหรือบริการด้วยการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตไปแล้ว แต่พบว่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่พนักงานขายแจ้งไว้หรือมีการชำรุดบกพร่อง มีวิธีที่ดีกว่าการทำใจยอมรับคือ การปฏิเสธชำระเงินกับบัตรเครดิตนั้น ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณสมใจถูกชักชวนให้เข้ารับบริการคอร์สนวดหน้า จากสถาบันเสริมความงามแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนแรกเธอได้ปฏิเสธไป เพราะรู้ว่าตนเองเป็นคนผิวแพ้ง่าย แต่พนักงานกลับยืนยันว่าการนวดหน้าดังกล่าว จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้แน่นอน รวมทั้งตอนนี้จัดโปรโมชั่นให้ทดลองทำฟรีได้ 1 ครั้ง เมื่อถูกชักจูงใจเช่นนี้เธอจึงตกลงสมัครเข้าคอร์สดังกล่าว ซึ่งสามารถเข้ารับบริการได้ 10 ครั้ง ในราคา 50,000 บาทและชำระเงินผ่านบัตรเครดิต อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเข้ารับบริการทดลองนวดหน้าฟรี กลับพบว่ามีอาการคันรอบๆ ใบหน้าและดวงตา จนต้องขอให้พนักงานหยุดให้บริการ และไม่นานก็มีผื่นขึ้นที่ใบหน้าของเธอ รวมทั้งมีอาการคันมากขึ้น ทำให้ต้องรับประทานยาแก้แพ้ เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ คุณสมใจจึงไม่ต้องการกลับไปใช้บริการที่สถาบันเสริมความงามนั้นอีก เพราะเชื่อว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการนวดหน้า เธอจึงส่งจดหมายไปยังสถาบันเสริมความงาม เพื่อขอยกเลิกสัญญาการเข้ารับบริการ และโทรศัพท์ไปที่บริษัทบัตรเครดิตที่ได้ชำระเงินไป เพื่อขอระงับการชำระเงิน ซึ่งพนักงานก็แจ้งว่าสามารถทำได้ โดยให้ส่งเอกสารปฏิเสธการชำระเงินมาทางแฟกซ์ แม้เธอจะโล่งใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว แต่กลับพบว่ามีบิลแจ้งยอดให้ชำระเงินค่าคอร์สดังกล่าว และเมื่อโทรศัพท์ไปสอบถามก็ได้รับคำตอบว่า การยกเลิกสัญญาต้องให้ทางร้านเป็นผู้บอกเลิกเอง อย่างไรก็ตามคุณสมใจก็ไม่ยินยอมชำระค่าบริการดังกล่าว และส่งเรื่องมาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหา  เบื้องต้นศูนย์ฯ ช่วยเป็นตัวกลางการเจรจา ระหว่างผู้ร้องให้เจรจากับสถาบันเสริมความงามดังกล่าว ซึ่งผู้ร้องต้องการให้บริษัทคืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ทางบริษัทปฏิเสธการคืนเงิน โดยยื่นข้อเสนอให้แทน คือ 1. สามารถโอนย้ายสิทธิให้ผู้อื่นได้ หรือ 2. เปลี่ยนแปลงคอร์สเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และ 3. หากต้องการยกเลิกคอร์สจะถูกหักเงินร้อยละ 70 ของราคาคอร์ส ตามสัญญาที่ระบุไว้ อย่างไรก็ตามผู้ร้องไม่ต้องการข้อเสนอใดๆ เพราะเธอได้บอกเลิกสัญญาการใช้บริการไปแล้ว ด้านบริษัทจึงขอเก็บข้อเสนอผู้ร้องกลับไปพิจารณาอีกครั้ง ถัดมาศูนย์ฯ ได้แนะนำให้ผู้ร้องทำหนังสือปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นลายลักษณ์อักษร ไปยังบริษัทบัตรเครดิต เนื่องจากตามกฎหมาย ผู้บริโภคมีสิทธิขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือบริการ ภายในเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่สั่งซื้อหรือขอรับบริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่มีการส่งมอบสินค้าหรือบริการ ซึ่งถ้าบริโภคพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้รับสินค้าหรือไม่ได้รับบริการ หรือได้รับแต่ไม่ตรงตามจุดประสงค์ ไม่ครบถ้วนหรือชำรุดบกพร่อง อย่างไรก็ตามทางบริษัทบัตรเครติตยังคงติดตามทวงหนี้อยู่ และที่สุดก็มีการฟ้องดำเนินคดีกับผู้ร้อง ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายด้วยการเป็นทนายความให้ และภายหลังศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องไป ทั้งนี้สำหรับใครที่ต้องการปฏิเสธการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ควรทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเลิกสัญญา โดยส่งเป็นจดหมายลงทะเบียนตอบรับไปยังบริษัทดาวน์โหลดเอกสารตัวอย่างบอกเลิกสัญญา คลิกที่นี่

อ่านเพิ่มเติม >