ฉบับที่ 190 พัชราภา เวลเคอร์ “หมอลืมของไว้ในแก้มฉัน”

คุณพัชราภา เวลเคอร์ เข้ารับการผ่าตัดกรามจากคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยสาเหตุที่เธอเลือกใช้บริการคลินิกแห่งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียง ได้รับการรีวิวจากผู้ใช้ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินจากประเทศเยอรมันกลับบ้านเกิด เพื่อมาทำศัลยกรรมดังกล่าว หลังผ่าตัดเสร็จและมาพักฟื้นที่กรุงเทพฯ เธอพบว่าแผลที่ผ่าตัดเป็นหนองอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้จะมีอาการดีขึ้น แต่เธอยังปวดแผลจึงต้องย้อนกลับไปที่คลินิกเดิม เพื่อให้แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้ตรวจรักษา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และเมื่อเธอจำต้องเดินทางกลับประเทศเยอรมนี ก็พบว่าอาการยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แพทย์ที่เยอรมนี บอกกับเธอหลังการเอ็กซ์เรย์ว่า มีเศษกระดูกชิ้นเล็กติดค้างอยู่ตรงบริเวณที่แผลอักเสบ และเมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวออก ก็ยังพบผ้าก๊อซถูกทิ้งไว้ที่บริเวณแผลผ่าตัดอีกด้วย!ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้กับคุณ คุณจะทำอย่างไรฉลาดซื้อนัดพบกับคุณพัชราภา ซึ่งได้เล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตอนนั้นที่ไปทำเป็นเคส(คนไข้) สุดท้ายของวันนั้น เนื่องเพราะลูกค้าเขาเยอะมาก เราไปกับลูกสาวเพราะเขาก็อยากไปเหลาคางด้วยเช่นกัน กรณีของเรา คุณหมอที่คลินิกนั้นก็แนะนำให้เสริมคางด้วยเพื่อจะได้ดูสวยขึ้นอีก ซึ่งเราก็ตกลง แต่เราให้คิวลูกสาวทำก่อนเผื่อลูกเจ็บปวดแผลเราจะได้ดูแลได้ เราสองคนจึงเป็นลูกค้าสองคนสุดท้ายของวันนั้น ลูกสาวเข้าไปเวลาประมาณ 2 หรือ 3 ทุ่มไม่แน่ใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ออกมาบอกว่าของลูกสาวเราเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ทันได้เห็นว่าลูกเป็นอย่างไรเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราเข้าไปในห้องผ่าตัด ตอนนั้นจึงเห็นว่า ห้องผ่าขนาดมันเล็กนิดเดียว ตามความเข้าใจของเราเอง เราเข้าใจว่าเขาต้องให้เราเอ็กซเรย์หรือพิจารณารูปหน้าอะไรของเราก่อน แต่เขาไม่ได้เอ็กซเรย์แต่ให้ยาน่าจะเป็นยาสลบฉีดเข้าไปแล้วเราก็หลับไปเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนโดนทุบที่หน้าฝั่งซ้ายแรงมากประมาณ 5 ครั้งแล้วเหมือนยาสลบมันจะหมดฤทธิ์แล้วเราก็รู้สึกปวดขึ้นมาถึงหูเลย แล้วเขาก็บอกว่าเสร็จหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปนอนที่ห้องพักฟื้น ตอนนั้นก็มาสังเกตว่าทำไมถึงมีสำลีอยู่ในจมูก จังหวะเดียวกับมีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า “หมอต่อปลายจมูกให้หน่อยหนึ่ง” จมูกจะได้โด่งสวย ซึ่งอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง สักพักลูกสาวจึงเดินมาหาบอกว่า ตอนแม่อยู่ในห้องผ่าตัดมีคุณหมอเดินมาบอกว่าต่อปลายจมูกให้แม่นิดหนึ่งนะ เราเลยได้ปลายจมูกนี้มาโดยที่ไม่ได้ตกลงว่าให้ทำให้ กรณีของลูกสาวตอนก่อนทำเธอยังอายุไม่ครบ 20 ปี เราต้องเซ็นยินยอมให้ทำ แต่ต่อปลายจมูกให้เราทำไมแค่ไปบอกลูกสาวให้รับทราบ ไม่บอกเรา สุดท้ายคืนนั้นก็นอนพักฟื้นที่นั่น 1 คืน นอนยาวไปตั้งแต่ 4 ทุ่มคืนนั้นจนออกจากคลินิกตอนเย็นของอีกวัน ซึ่งก็ไม่ได้เจอคุณหมออีกเลยหลังจากผ่าเสร็จ ในตอนเย็นเราได้เจ้าของคลินิกขับรถมาส่งที่สนามบินเพราะตรงนั้นเรียกรถลำบากมันเข้าไปในซอยเป็นสวน พอเรากลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกปวดแผล ปวดมาก แล้วที่ครอบหน้าที่เขาให้มามันจะมีลักษณะเหมือนสเตย์เราก็ใช้ไม่ได้เลยเพราะปวดมาก บวมตลอด เราก็รู้สึกว่าข้างนี้(ข้างซ้าย) มันไม่มีหนอง แต่อีกข้างมันอักเสบ มันมีหนอง ปวดมากจนครบ 6 วันทนไม่ไหวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ที่พักในกรุงเทพฯ หมอที่นั่นเขาก็กดหนองออกให้แล้วก็ฉีดยาฆ่าเชื้อตลอดทุก 4 – 6 ชั่วโมง ก็อยู่ได้ 1 วัน 1 คืน อาการทุเลาลงแต่เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชนมันก็แพง เราก็โทรไปหาที่คลินิกที่เชียงรายบอกว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ ต้องนอนโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเยอะ เขาก็ทนเรารบเร้าไม่ไหวก็บอกว่าจะให้เราไปนอนที่เชียงรายให้คุณหมอดูอาการไหม เราก็รีบเลยพอเขายอมให้เราไปนอน ซึ่งเราก็โทรติดต่อเขาตลอดเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวก็หาย หนองหมดก็หายแล้วเขาก็ไม่ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ให้เราเลย หมดไปประมาณ 2 กว่าหมื่นบาท พอเรากลับไปหาหมอที่คลินิกที่ผ่าตัดศัลยกรรมให้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะดูแลเราเลย คือ คลินิกเปิดวันอาทิตย์แต่เราไปวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ไม่แน่ใจก็ต้องไปนอนรอจนถึงวันอาทิตย์ พอถึงวันอาทิตย์คลินิกเปิด 9 โมงเขาก็ยังไม่เรียกเราไปทำแผล ผู้ช่วยคุณหมอเดินมาบอกว่าวันนั้นมีผ่าตัด 30 เคสกว่าจะเรียกไปกดหนองก็บ่าย 3 โมงแล้ว เราต้องกลับมานอนต่อที่บ้านพักแล้วเขาถึงมาเรียกไปอีกทีตอนตี 4 เพื่อเจาะเอาหนองออกพร้อมกับบอกว่าหนองหมดก็หายแล้ว เราก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านในวันถัดไป ซึ่งตอนนั้นพอกดหนองออกไปมันก็หายปวดจริง แต่พอกลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีหนองมาอีกจนเราจำเป็นต้องเดินทางกลับไปเยอรมนี ไปได้แค่ 2 วัน มีหนองออกมาทุกชั่วโมงเลยจากรูที่เขาเจาะเอาหนองออกให้ เรากดหนองออกเองได้ทุกชั่วโมง ผ้ารัดหน้าหรือสเตย์ก็ยังใส่ไม่ได้เพราะแผลอักเสบตลอด จนต้องไปโรงพยาบาลที่เมืองที่เราอยู่ ซึ่งเขาเอาใจใส่เราดี ครั้งแรกที่ไปเอ็กซเรย์ไม่เจออะไรเลยเจอแต่รอยตัดกระดูก ซึ่งเขาบอกว่าตัดเยอะไป เขาก็พยายามหาสาเหตุให้รู้ให้ได้ว่าที่มันอักเสบเป็นเพราะอะไร ก็ต้องเข้าเครื่องสแกนแบบพิเศษ จึงเจอว่ามีเศษกระดูกชิ้นขนาดเท่าเมล็ดฟักทองได้ค้างอยู่ ขนาดแผลอักเสบที่วัดได้ประมาณ 13 ซม. หมอที่นั่นบอกว่า ต้องเอาเนื้อตรงนี้ออก ส่วนที่อักเสบต้องขูดเนื้อเน่าออกให้หมด เราก็ต้องให้แฟนเซ็นยินยอมให้ผ่าตัด ซึ่งที่นี่เขาก็เห็นว่ากระดูกข้างซ้ายมันหักเหมือนตรงมุมมันร้าวแล้วตรงช่วงระหว่างแก้มมันหัก เขาก็เลยให้ล็อคฟันไว้โดยใช้ลวดมัดล็อคไว้ทั้งบนและล่าง เป็นผลให้กินอะไรไม่ได้เลยต้องให้อาหารผ่านสายยางตลอด ต้องให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อทุก 4 ชั่วโมง นอนอยู่ถึง 3 คืนเพื่อรอให้อาการคงที่ พอได้ผ่าตัดเขาก็ตัดลวดออก แต่พอเสร็จก็โดนล็อคใหม่อีก ตอนนั้นผ่าเสร็จไปได้ 1 วันคุณหมอก็ถือกระป๋อง 1 ใบมาให้แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่เอาออกมา เป็นเศษกระดูกประมาณ 3 – 4 ชิ้นแล้วก็ผ้าก็อซ ที่มันอักเสบไม่หายก็เพราะว่า ผ้าก็อซที่มันปนอยู่กับกระดูกทำให้กดหนองเท่าไรก็ไม่หมดเพราะผ้ามันซับอยู่ คุณหมอที่รักษาบอกว่าจริงๆ แล้วไม่อยากให้เห็น แต่นี่เป็นสิ่งผิดพลาดที่เราได้รับมาเขาถึงอยากให้เห็นว่ามันคืออะไร ความรู้สึกตอนนั้น คือไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้นี่มันค้างอยู่ในหน้าเราเป็นเดือน ตั้งแต่ทำมา 7 กันยายน 2558 จนไปผ่าตัดที่เยอรมัน 23 ตุลาคม ระยะเวลาเป็นเดือน เราต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เยอรมันอีกเป็นอาทิตย์ถึงได้กลับบ้าน แต่ต้องใส่อุปกรณ์ที่ล็อคปากต่อไปอีก 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดไปดูเรื่อยๆ ตอนนั้นหน้าเราเริ่มยุบไม่อักเสบแล้ว แต่ความรู้สึกมันเหมือนเราไม่มีริมฝีปาก มันรู้สึกชาตลอด แล้วเวลาพูดเยอะหรือต้องขยับปากมากๆ ปากมันจะเบี้ยว เวลากินอะไรก็จะมีอาหารไหลย้อยลงมา เวลาพูดเยอะก็เหมือนบังคับไม่ได้เพราะมันไม่รู้สึก สังเกตได้ว่าหน้าตรงที่ผ่าตัดนั้นมันยุบไป เพราะเราโดนขูดเนื้อเสียออกไป พอเย็บแผลตรงนั้นมันก็ไม่มีเนื้อหน้าเลยดูเบี้ยว ก็รอมาเป็นปีเนื้อมันก็ไม่ขึ้นมา”นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับเธอเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2558 เมื่อฉลาดซื้อได้รับข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์สิทธิ ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเธอมาขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือ เราขอสัมภาษณ์เธอ เธอบอกยินดีที่จะเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมเราถามเธอต่อเรื่องอาการบาดเจ็บและผลจากรูปหน้าที่เสียหายว่ามีทางรักษาไหม เธอบอกว่า“เคยปรึกษาคุณหมอที่เยอรมันแค่เรื่องหน้าชาๆ เพราะเขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ได้มากเพราะปากเราชาอยู่แล้วเดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ และริมฝีปากกับคางส่วนนี้เส้นประสาทมันเยอะ ถ้าจะรักษาแผลเป็นตรงนั้นก็ต้องผ่าแถวๆ นั้นซึ่งมันก็เสี่ยง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้หน้าด้านซ้าย เวลาที่เอานิ้วกดลงไปมันยังรู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นไปถึงหูเลย เราก็คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ช่วงนั้นเขาต่อกระดูกให้คือเขาล็อคเพื่อให้กระดูกมันสมานกัน ซึ่งกระดูกมันสมานกันจริง แต่มันไม่ได้เข้ากับรูปหน้าเดิมเพราะอีกข้างที่มีผ้าก็อซค้างอยู่ ก็โดนตัดเหมือนกันแต่ว่าไม่เป็นอะไร ตอนนี้กลายเป็นว่าหน้าเรายุบข้างหนึ่ง ป่องข้างหนึ่ง และริมฝีปากก็ไม่มีความรู้สึกทุกวันนี้อาการยังเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นเลย เวลากินอาหารรสเผ็ด หวาน เค็มหรืออะไรก็ตาม มันก็จะชาอยู่แบบนี้แต่ว่าเราได้รสชาติอาหารจากลิ้นแต่ความเผ็ดจนแสบปากนั้นไม่มีความรู้สึก อาการเหมือนโดนหนังยางมารัดปากไว้ตลอดเวลา เวลากินอาหารแฟนก็ต้องคอยบอกเวลามีอะไรติดอยู่ที่ปากเพราะเราไม่รู้สึกว่ามันติดปากอยู่ ทำให้ตอนนี้ถ้ากินข้าวนอกบ้านเวลาตักอาหารเข้าปาก 1 คำก็เช็ดปาก 1 ครั้ง เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เสียความรู้สึกเพราะว่าผลข้างเคียงเยอะ เราเชื่อว่า เกิดจากหมอที่ผ่าตัดให้เรา รับเคสมากเกินไป เหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเราเป็นเคสสุดท้าย เป็นไปได้ว่า หมออาจจะอยากรีบกลับบ้านเลยไม่ได้ดูให้รอบคอบมันถึงมีผลข้างเคียงถึงขนาดนี้”การเรียกร้องสิทธิเธอได้พยายามหาทางที่จะให้คลินิกรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ผิดพลาด จึงได้ประสานไปที่เจ้าของคลินิก “ตอนแรกก็โทรไปคุยกับหลานของเจ้าของคลินิกว่า เราเป็นแบบนี้ๆ นะต้องเข้ารักษาใน รพ. นี้ๆ ค่าใช้จ่ายก็เยอะแล้วผ่ามาเจอแบบนี้ๆ นะ เราก็เล่าให้เขาฟังไปและบอกว่าอยากให้ทางคุณหมอรับผิดชอบ หลานเจ้าของคลินิกบอกว่าเขาตัดสินใจให้ไม่ได้ เราก็งงว่า ทำไมคุณไม่ไปถามกับหมอล่ะ ว่าจะรับผิดชอบอะไรเราไหม ตั้งแต่นั้นพอถามไปทีไรก็เงียบ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยมาพึ่งมูลนิธิฯ ว่าพอมีกฎหมายอะไรช่วยเราได้บ้าง” หลังจากผ่านการเจรจากับตัวแทนของคลินิกไปหนึ่งครั้ง ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “ตัวแทนเขาบอกว่า ช่วยค่ารักษาพยาบาลได้แค่ค่ารักษาตัวที่เยอรมัน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่นี่จิปาถะทั้งหลายเขาไม่พูดถึง และบอกว่ามารักษากับเขา เขาจะทำหน้าให้สวยที่สุด ทำให้ดีที่สุดแล้วแถมทำให้เพิ่มอีก 1 คนพาเพื่อนมาทำได้เลยแถมให้ 1 หน้าจะพาใครไปทำก็ได้ แล้วเราจะกล้าทำไหมในเมื่อปากเรายังชาอยู่เลยยังแก้ไขไม่ได้เลย คุณแก้ตรงนี้ให้เราได้ไหม” พอฉลาดซื้อถามถึงเรื่องแพทย์ที่ผ่าตัดให้ว่าเคยได้พูดคุยกันไหม คุณพัชราภาตอบว่า ไม่เจอเลย ทราบแต่ว่าปัจจุบันหมอคนนี้ก็ยังผ่าตัดอยู่เหมือนเดิม สำหรับการเจรจาครั้งที่สอง กำหนดไว้เป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ก็ขอเอาใจช่วยคุณพัชราภาให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 กระแสต่างแดน

ขอแชร์เรื่องร้อนข้อมูลมหาศาลจากกิจกรรมออนไลน์ของเราไม่ได้ถูกเก็บในก้อนเมฆอย่างที่เราเรียกกัน จริงๆ แล้วมันอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเจ้าต่างๆ อาจเป็นห้องเล็กๆ หรืออาคารขนาด 15 สนามฟุตบอลที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ และมันบริโภคร้อยละ 3 ของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยลีดส์ ในอังกฤษระบุว่าการแชะ แชร์ ช้อปและอื่นๆ บนอุปกรณ์สื่อสารของเราจะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 300 เท่าอีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จึงต้องรีบทำตัวให้ “เขียว” เช่น Facebook เลือกสร้างศูนย์ข้อมูลไว้ทางตอนเหนือของสวีเดน 70 ไมล์จากวงแหวนอาร์กติกเพื่อลดความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ (แต่ก็ยังต้องใช้พัดลมยักษ์ช่วยถึง 500 ตัว) ในขณะที่ค่าย Ericsson ส่งลมร้อนที่เกิดขึ้นไปให้ความอบอุ่นกับผู้คนในเมืองเคอโดนูมี ทางตอนใต้ของฟินแลนด์ด้าน Google และ Apple เริ่มหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google ที่มีแผนจะใช้พลังงานสะอาดในศูนย์ข้อมูลทั้งหมดของบริษัทภายในปี 2017ขอคืนด้วยคนเยอรมันรักการดื่มกาแฟไม่แพ้ชาติใดในโลก มีผู้คนถึงร้อยละ 70 ที่นิยมซื้อกาแฟใส่แก้วไปทานนอกร้าน ทำให้สถิติการใช้แก้วกระดาษของเขาอยู่ที่ชั่วโมงละ 320,000 ใบ หรือปีละ 3,000 ล้านใบ ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 83,000 ตัน และเนื่องจากเยอรมนีเคร่งครัดเรื่องความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหาร ผู้ผลิตจึงไม่นิยมนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ จึงมีต้นไม้ถูกตัดปีละ 43,000 ต้น สมาคมพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเยอรมนีบอกว่าถ้ากาแฟ “ทูโก” จะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ก็ควรมีแก้วกาแฟแบบใช้ซ้ำไว้เป็นทางเลือกบ้าง โปรเจค “ไฟร์บูร์กคัพ” เริ่มขึ้นในเดือนที่ผ่านมาและมีทีท่าว่าจะไปได้สวย ขณะนี้มีผู้ประกอบการร้านกาแฟเข้าร่วม 56 ราย และมีแก้วกาแฟที่ล้างแล้วใช้ซ้ำได้ถึง 400 ครั้งหมุนเวียนอยู่ในเมือง 15,000 แก้ว (แต่แมคโดนัลด์และสตาร์บัคส์ ไม่ร่วมด้วยเพราะไม่ต้องการใช้แก้วที่ไม่มีสัญลักษณ์แบรนด์ตัวเอง)ผู้ซื้อจ่ายค่ามัดจำแก้ว 1 ยูโร (38 บาท) ไปพร้อมค่ากาแฟ เมื่อดื่มหมดแล้วก็นำแก้วไปขอรับเงินคืนจากสาขาใดก็ได้ของร้านดังกล่าว เจ้าของร้าน Cafe Aspekt บอกว่าขณะนี้ร้อยละ 30 ของลูกค้าเปลี่ยนมาใช้ “ไฟร์บูร์กคัพ” แล้วแอปหมูๆชาวโฮจิมินห์มีตัวช่วยในการเลือกซื้อเนื้อหมูในตลาดสดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม เป็นมา ผู้บริโภคจะสามารถโหลดแอปจาก www.te-food.com ลงในสมาร์ตโฟนเพื่อใช้สแกนข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์ ฟาร์มเลี้ยง โรงฆ่า ไปจนถึงตลาดที่จำหน่าย จากตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่ที่เนื้อหมูได้ขณะนี้มีฟาร์มประมาณ 1,000 แห่ง โรงฆ่า 11 โรง และตลาดอีก 60 แห่งสนใจเข้าร่วมโครงการนำร่อง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐที่ดูแลด้านอุตสาหกรรมและการค้า การเกษตร การพัฒนาชนบท และเทคโนโลยี งานนี้เขารับประกันว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเข้าถึงเนื้อหมูคุณภาพได้ เพราะตลาดขายส่งสองแห่งที่ร่วมโครงการ(ตลาดบินเตียนและตลาดฮกมน) ก็เป็นแหล่งจำหน่ายเนื้อหมูถึงร้อยละ 80 แล้วโครงการฉบับเต็มจะเริ่มในเดือนมีนาคมปีหน้า และจะขยายต่อไปยังเนื้อสัตว์ชนิดอื่น รวมถึงผัก และผลไม้ เพราะถึงเวลาแล้วที่เทคโนโลยีต้องช่วยให้เรากินดีอยู่ดีหนี้เหนือระบบแพลตฟอร์มการกู้ยืมเงินออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมมากในหมู่หนุ่มสาวชาวจีน เพราะเจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถตกลงเรื่องจำนวนเงิน การค้ำประกัน และดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องพบเจอกัน การหาเงินกู้มันจะสะดวกสบายอะไรปานนั้น แต่มันอาจต้องแลกมาด้วยความอับอาย ในปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีรูปนู้ดของสาวๆ จำนวนมากถูกแชร์ออกมาในอินเตอร์เน็ต ผู้หญิงในรูปก็คือบรรดาลูกหนี้ที่ค้างจ่าย และคนที่นำรูปมาเผยแพร่ก็คือเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหดนั่นเอง เจ้าหนี้และลูกหนี้เป็นผู้ใช้บริการเว็บไซต์ Jiedaibao ซึ่งออกตัวว่าไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงข้อตกลงระหว่างผู้ใช้บริการได้ เจ้าหนี้กลุ่มนี้ (ซึ่งปล่อยกู้ให้กับนักศึกษาโดยเฉพาะ) เลือกใช้หลักประกันเป็นรูปถ่ายหวิวของลูกหนี้ขณะถือบัตรประจำตัว และลูกหนี้ซึ่งเป็นนักศึกษาหญิงอายุระหว่าง 19 – 23 ปีก็ยินยอมให้เผยแพร่ได้หากชำระเงินไม่ตรงเวลาพร้อมหรือยังเมื่อโดนัลด์ ทรัมพ์บอกว่าเขาจะฟื้นอุตสาหกรรมสิ่งทอในสหรัฐและนำเม็ดเงินกลับมาเข้ากระเป๋าคนอเมริกัน ในการหาเสียงที่กรีนส์โบโร ในอริโซนา(อดีตฐานการผลิตสิ่งทอของสหรัฐฯ) ... หลายฝ่ายเกิดความสงสัยโรงงานผลิตเสื้อผ้าขนาดใหญ่ในอเมริกาปิดกิจการไปหมดแล้วในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพราะแบรนด์แฟชั่นต่างๆ ย้ายไปใช้โรงงานในประเทศจีนกันหมด คนอเมริกันเองก็คุ้นชินและคาดหวังเสื้อผ้าคุณภาพดีราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศกันหมดแล้ว ปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 2 ของเสื้อผ้าเท่านั้นที่ผลิตในอเมริกา ร้อยละ 20 นำเข้าจากเม็กซิโก ที่เหลือก็มาจากแถวใกล้ๆ บ้านเรานี่เองแม้แต่แบรนด์เสื้อผ้า IVANKA TRUMP มูลค่า 135 ล้านเหรียญของลูกสาวเขาเองก็ใช้ฐานการผลิตในจีนและเวียดนาม ก่อนจะโน้มน้าวใครให้หันกลับมาสร้างงานให้คนอเมริกัน ทรัมพ์คงต้องคุยกับลูกสาวตัวเองก่อน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนธันวาคม 2559“ขนมควันทะลัก” กินได้แต่ต้องระวัง!!!“ขนมควันทะลัก” ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์ โดยหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ขนมชนิดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไอศกรีมแล้วมีการนำ “ไนโตรเจนเหลว” มาเทใส่ทำให้เกิดควันลอยกระจายขึ้นมา เมื่อตักขนมเข้าไปในปากก็จะเกิดควันลอยออกมา มีกระแสข่าวลือตามว่า ไนโตรเจนเหลวที่นำมาผสมในอาหาร เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะส่งผลเสียต่อร่างกาย รุนแรงถึงขั้นทำให้กระเพาะทะลุนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ออกมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ โดยอธิบายว่า ก๊าซไนโตรเจน เป็นก๊าซที่มีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว แต่เมื่อนำมาบีบอัดด้วยแรงดันสูงทำให้ก๊าซชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวและมีอุณหภูมิติดลบถึง 196 องศาเซลเซียส เมื่อนำมาเทใส่ในอาหาร เช่น ไอศกรีม เจลลี่ หรือ ค็อกเทล จะทำให้เกิดเป็นควันลอยขึ้นมา ซึ่งการรับประทานไม่ได้ส่งผลรุนแรงต่อร่างกายถึงขั้นทำให้กระเพาะทะลุตามที่มีการแชร์กัน แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานขณะที่ควันยังอยู่ในอาหาร เพราะอาจทำให้เกิดแผลในช่องปาก ไม่ควรสูดดม และสัมผัสกับไนโตรเจนเหลวโดยตรงเพราะอาจทำให้ผิวหนังที่สัมผัสเกิดรอยแผลหรือรอยไหม้ได้ใช้แอพฯในมือถือเช็คมาตรฐานรถฉุกเฉินรถพยาบาลหรือรถกู้ชีพฉุกเฉิน ถือเป็นหน่วยแรกที่ทำหน้าที่ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บในเบื้องต้นก่อนที่จะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป แต่ที่ผ่านมาก็มีเรื่องร้องเรียนถึงมาตรฐานของรถพยาบาลเข้ามายังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งรถพยาบาลฉุกเฉินทุกคันจะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานจาก สพฉ. ก่อนจึงจะสามารถนำมาใช้เพื่อวิ่งรับ-ส่งผู้ป่วยล่าสุด สพฉ.ได้จัดทำแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือที่มีชื่อว่า “EMS Certified” เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบว่ารถพยาบาลหรือรถกู้ชีพฉุกเฉินคันไหนที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วบ้าง โดยสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้ 1. ถ่ายรูป คิวอาร์โค้ด ของรถปฏิบัติการฉุกเฉินหรือรถกู้ชีพฉุกเฉิน เพื่อนำมาสแกนในแอพพลิเคชั่น ว่าได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก สพฉ. หรือไม่ และ 2. ตรวจสอบได้โดยการพิมพ์เลขทะเบียนรถ แล้วเลือกชื่อจังหวัดของรถคันนั้น ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่ารถปฏิบัติการฉุกเฉินหรือรถกู้ชีพฉุกเฉินคันดังกล่าวผ่านมาตรฐานหรือไม่ที่ผ่านมา สพฉ. ได้จัดให้มีการขึ้นทะเบียนและตรวจมาตรฐานรถกู้ชีพและรถพยาบาลเป็นประจำทุกปี โดยรถที่จะผ่านการรับรองมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน จะต้องเป็นรถตู้หรือรถกระบะบรรทุก ที่มีหลังคาสูงเพียงพอที่จะทำการฟื้นคืนชีพ (CPR) ได้สะดวก ภายนอกต้องมีการติดข้อความชื่อหน่วยปฏิบัติการ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 แสดงตราสัญลักษณ์ของ สพฉ. และจะต้องติดแถบสะท้อนแสงด้านข้างรถตลอดแนว ส่วนภายในรถก็ต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น อาทิ เฝือกคอชนิดแข็ง เฝือกดามแขน ขา มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลและทำแผลพื้นฐาน นอกจากนี้ต้องมีอุปกรณ์กู้ภัยเบื้องต้น เช่น ขวานขนาดใหญ่ เชือกคล้องตัว อุปกรณ์ยึดเหนี่ยว กรรไกรตัดเหล็กขนาดใหญ่ อุปกรณ์ดับเพลิงสพฉ.ให้ข้อมูลเสริมว่า มีรถปฏิบัติการกู้ชีพฉุกเฉินที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว 8,704 คัน จากทั้งหมด 12,242 คัน ใน 77 จังหวัด หรือคิดเป็นร้อยละ 71 ยังมีบ้างในบางจังหวัดที่ยังไม่ได้ดำเนินการรับรอง แต่กำลังเร่งดำเนินการรับรองให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดโดยผู้ที่ลักลอบติดสัญญาณไซเรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรถปฏิบัติการฉุกเฉิน จะมีความผิด ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 มีโทษปรับ 500 บาท และหากตรวจพบจะต้องทำการยึดอุปกรณ์ไฟวับวาบ แต่หากมีการติดตั้งและเปิดสัญญาณไฟจะมีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับกรมอนามัยชู “พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดนมผง” ส่งเสริมการบริโภคนมแม่กรมอนามัย ยืนยัน “พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผงเพื่อปกป้องเด็กไทย” เป็นประโยชน์ต่อแม่และทารก ช่วยส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะการให้เด็กรับประทานนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดต่อเนื่องจนถึงอายุ 2 ขวบเป็นอย่างน้อย ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ดีต่อสุขภาพของทั้งแม่และเด็ก นมผงเป็นเพียงทางเลือกสำหรับแม่ที่มีปัญหาเรื่องผลิตน้ำนมนพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าว “ข้อเท็จจริง ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผงเพื่อปกป้องเด็กไทย” โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กไทยได้ดื่มนมแม่เพิ่มมากขึ้น และป้องกันการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่ผิดจริยธรรม เหตุที่ต้องห้ามการโฆษณาและการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ปี นั้น เพราะปัจจุบัน พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 มีประกาศห้ามโฆษณานมสูตร 1 และสูตร 2 จนถึงอายุ 3 ปีอยู่แล้ว แม้จะมีความพยายามจากสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก ที่ยื่นจดหมายถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรียกร้องให้การควบคุมการส่งเสริมการตลาดของอาหารสำหรับทารกและเด็กหรือเพียงสูตรสำหรับเด็กอายุ 1 ปีเท่านั้นนพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และอดีตประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจนมผงออกนมมาหลายสูตรให้มีอายุที่คร่อมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย โดยปัจจุบันมีนมอยู่ 4 สูตร คือ สูตร 1 สำหรับทารกอายุ 0 - 12 เดือน สูตร 2 สำหรับ อายุ 6 เดือน - 3 ปี สูตร 3 สำหรับอายุ 1 ปีขึ้นไป และคนในครอบครัว และสูตร 4 สำหรับเด็กและทุกคนในครอบครัว โดยปัจจุบันห้ามโฆษณานมสูตร 1 และสูตร 2 ส่วนนมสูตร 3 โฆษณาได้ แต่ห้ามใช้เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นโฆษณาที่พยายามส่งเสริมให้เด็กเล็กหันมากินนมผงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตลาดแบบลดแลกแจกแถม การเพิ่มสารอาหารต่างๆ ลงไป รวมทั้งการสื่อเรื่องราวที่ให้ความรู้สึกว่าเด็กที่กินนมผงจะมีความรู้ความฉลาดและร่าเริงกว่าเด็กทั่วไปข้าราชการค้านย้ายสิทธิรักษาพยาบาลให้บริษัทประกันจากการที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะโอนย้ายระบบสิทธิดูแลค่ารักษาพยาบาลข้าราชการจากเดิมที่รัฐเป็นผู้ดูแล ไปให้บริษัทประกันเอกชนเข้ามาบริหารงานทั้งหมดแทน โดยให้เหตุผลว่าจะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการรั่วไหลของงบประมาณ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากข้าราชการที่เกรงว่าการให้บริษัทประกันดูแลจะมองแต่เรื่องของผลกำไร ขาดทุน เป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้ข้าราชการไม่ได้รับการดูแลตามสิทธิที่ตัวเองควรได้รับอย่างเต็มที่โดย เครือข่ายปฏิรูประบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (คสร.) ได้แถลงคัดค้านกรณีดังกล่าว นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การโอนสิทธิไปให้บริษัทประกันเอกชนบริหารอาจจะเกิดปัญหาในเรื่องการใช้สิทธิ เหมือนที่เกิดขึ้นกับ พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถยนต์ พ.ศ.2535 ซึ่งให้บริษัทเอกชนมาบริหารกว่าร้อยละ 40 ซึ่งบ่อยครั้งที่เมื่อมีผู้ประสบภัยมาขอรับการเยียวยา มักจะพบปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเงินชดเชยที่ทำได้ยาก มีความล่าช้า มีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องมีการแจ้งความ ต้องมีบันทึกประจำวัน ผู้ประสบภัยจากรถหลายคนต้องเลี่ยงไปใช้สิทธิด้านอื่นทั้งจากสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิข้าราชการ หรือสิทธิประกันสังคม ที่มีขั้นตอนการเบิกจ่ายที่สะดวกกว่าปัจจุบันเงินที่ดูแลระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท/ปี แน่นอนว่าเมื่อโอนย้ายไปให้บริษัทเอกชนดูแล งบประมาณจะต้องลดลงทันทีเพราะบริษัทจะกันเงินส่วนหนึ่งเป็นค่าบริหารจัดการ 10-25% ซึ่งเชื่อว่าน่าจะกระทบต้องการดูแลเรื่องสิทธิค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการไม่มากก็น้อย เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ค้นหาคำตอบ ‘วัคซีน HVP’ ปลอดภัยหรือไม่? คุ้มค่าหรือไม่?

ร้อยละ 12 ของผู้หญิงทั่วโลกเป็นมะเร็งปากมดลูก 470,000 ราย คือ ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี 233,000 ราย คือ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ และร้อยละ 83 ของผู้ป่วยทั้งหมดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาในประเทศไทย ความรุนแรงของสถานการณ์มะเร็งปากมดลูกไม่ได้น้อยหน้าระดับโลก มันเป็นโรคภัยที่พบในผู้หญิงไทยบ่อยเป็นอันดับ 2 แต่คร่าชีวิตหญิงไทยสูงเป็นอันดับ 1 ในปี 2551 พบว่าอัตราการเป็นมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงไทยเท่ากับ 16.7 ต่อประชากร 100,000 คน เท่ากับว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่ 6,000 ราย และเสียชีวิตกว่า 2,000 รายต่อปี คุณค่าชีวิตที่สูญเสียประเมินค่าไม่ได้ ขณะที่มูลค่าของราคาที่ต้องจ่ายไปกับโรคนี้ก็มหาศาล ปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผล ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถ้าโรคอยู่ในระยะลุกลามแปลว่าอะไร? แปลว่าถ้าตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ผู้หญิงไทยมีความรู้และยินยอมสละเวลาไปตรวจกันมากแค่ไหนด้วยตัวเลขที่น่าพรั่นพรึง หน่วยงานด้านสาธารณสุขของไทยจึงมองหาหนทางลดความสูญเสียจากมะเร็งปากมดลูก วัคซีน HPV เป็นหนึ่งในคำตอบที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้พฤษภาคม 2559 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดชนิดวัคซีนและตารางการให้วัคซีนที่เหมาะสมสำหรับประชากรไทย มีมติเห็นชอบแนะนำให้นำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยเร็ว เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง และเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ก็มีมติเห็นชอบและให้บรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยถือเป็นวัคซีนตัวที่ 11 ในรอบ 17 ปีแต่ก่อนหน้านั้น กรุงเทพมหานครได้ริเริ่มโครงการให้บริการวัคซีนป้องกันเอชพีวีในโรงเรียนสังกัด กทม. ไปก่อนแล้วตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 โดยมีเด็กนักเรียนหญิงระดับประถมศึกษาปีที่ 5 ในสังกัดกรุงเทพมหานครได้รับวัคซีน HPV ร้อยละ 98 สำหรับปีการศึกษา 2559 กรุงเทพฯ ได้ดำเนินโครงการไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 มีนักเรียนหญิงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในสังกัดที่ได้รับบริการวัคซีนจำนวน 16,468 คนการใช้วัคซีน HVP ติดตามมาด้วยคำถามเรื่องความปลอดภัย จากกระแสข่าวการฟ้องร้องในประเทศญี่ปุ่น เพราะพบว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนเกิดอาการอัมพาตอ่อนแรงและชัก กับอีกด้าน คือ ความคุ้มค่าของวัคซีนว่าราคาที่งบประมาณรัฐต้องจ่ายไปคุ้มกับสิ่งที่ได้คืนมาหรือไม่‘ฉลาดซื้อ’ ฉบับนี้จะไปค้นหาคำตอบสำหรับ 2 คำถามนี้องค์การอนามัยโลกรับรองวัคซีน HPV ปลอดภัยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถูกใช้เป็นกรณีตัวอย่างประเด็นผลกระทบจากวัคซีน HPV เพราะมันถูกรัฐบาลประกาศให้ถูกรวมอยู่ในโปรแกรมฉีดวัคซีนพื้นฐานเพียง 3 เดือนเท่านั้น คือ เมษายน-มิถุนายน 2556 จากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็เพิกถอนคำแนะนำ เนื่องจากมีรายงานและการร้องเรียนว่า มีผู้ได้รับผลกระทบหลังฉีดวัคซีนเข้าไป และช่วงกลางปีที่ผ่านมาผู้หญิงชาวญี่ปุ่น 64 คน ยื่นฟ้องรัฐบาลและผู้ผลิตวัคซีน HPV หลังได้รับผลข้างเคียงเป็นเงินคนละ 15 ล้านเยน และค่าเสียหายจะเพิ่มขึ้นอีกตามอาการข้างเคียงที่อาจปรากฏในภายหลังนี่เองที่ทำให้ภาคประชาสังคมและเอ็นจีโอไทยเฝ้าดูด้วยความวิตก นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพหรือไฮแทป (Health Intervention and Technology Assessment Program: HITAP) และอีกสถานะหนึ่ง คือ กรรมการด้านวิจัยและพัฒนาวัคซีนขององค์การอนามัยโลก ในฐานะนักพัฒนานโยบายและนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ให้ข้อมูลกับเราว่า“ณ ข้อมูลปัจจุบันที่เป็นหลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อถือ พบว่า ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนไม่มีความปลอดภัย”ทวนอีกรอบ ‘ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีน HPV ไม่มีความปลอดภัย’ เราสอบถามกลับด้วยคำถามลักษณะเดียวกันว่า แล้วมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้หรือไม่ว่า ‘ปลอดภัย’ นพ.ยศ ตอบว่า“โดยหลักการยาหรือวัคซีนทุกตัวจะให้บอกว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้ แน่นอน ทุกคนยอมรับว่าวัคซีนตัวนี้เมื่อฉีดไปแล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรงเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย แต่ถึงกับบอกว่าไม่ปลอดภัยและไม่ควรใช้ มันยังสรุปแบบนั้นไม่ได้ เพราะอาการไม่พึงประสงค์ส่วนใหญ่ที่เจอคือหน้ามืด เป็นลม วิงเวียน และพบเจอทั่วโลก และอาจมีอาการเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งก็เป็นอาการทั่วไปของวัคซีน“แต่วัคซีนตัวนี้ยังไม่เจอผลข้างเคียงรุนแรง ถ้าจะสื่อสารกับประชาชนก็ต้องบอกว่า ณ ปัจจุบันนี้ 10 กว่าปีผ่านมาที่วัคซีนยังอยู่ในท้องตลาด ในทางวิทยาศาสตร์เรายังไม่สามารถสรุปได้ว่าวัคซีนไม่ปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะเจอผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก”สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น นพ.ยศ อธิบายว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมความเชื่อในการต่อต้านวัคซีนที่ฝังอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาค่อนข้างนานแล้ว คนญี่ปุ่นจึงมักมีความรู้สึกกับวัคซีนในแง่ลบ เคยมีปัญหาวัคซีนหลายตัวในญี่ปุ่นที่คนขาดความเชื่อถือ เมื่อเกิดเรื่องกับวัคซันตัวใหม่อย่าง HPV ทำให้กระแสจุดติดได้ง่าย เพราะมีกลุ่มเอ็นจีโอและภาคประชาสังคมกลุ่มหนึ่งเฉพาะที่คอยต่อต้านวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนตัวไหนกลุ่มนี้ก็จะระแวงไว้ก่อน และทำให้การฟ้องร้องกรณีผลกระทบจากวัคซีนในญี่ปุ่นทำได้ง่าย เนื่องจากมีกลุ่มและระบบสนับสนุนจำนวนมาก“ที่ผมได้อ่านจากเอกสารวิชาการที่ตีพิมพ์ มีการสอบสวนโดยการไปดูเวชระเบียนของคนญี่ปุ่นที่มีปัญหาข้างเคียง ก็เจอว่ายังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นผลจากวัคซีน”นอกจากนี้ นพ.ยศ ยังได้ระบุว่า ปัจจุบันนี้ จุดยืนขององค์การอนามัยโลกถือว่าวัคซีนตัวนี้มีความปลอดภัยอย่างไรก็ตาม การที่จะรู้ว่ายาหรือวัคซีนตัวหนึ่งมีผลกระทบรุนแรงหรือไม่ ต้องอาศัยเวลายี่สิบถึงสามสี่ปีเป็นเครื่องพิสูจน์ นพ.ยศ แนะนำว่า หากประเทศไทยจะนำวัคซีน HPV มาใช้ ในแง่ความปลอดภัยไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล แต่ก็ไม่ควรฝากชีวิตประชาชนไทยกับข้อมูลของต่างประเทศ รัฐบาลจึงควรสร้างระบบติดตามความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนเชิงรุกที่เป็นข้อมูลของคนไทยวัคซีน HPV คุ้มค่า แต่ไม่คุ้มทุนเรื่องความปลอดภัยดูเหมือนจะเคลียร์แล้ว(ในระดับหนึ่ง) ส่วนคุ้มค่าหรือไม่ ต้องค้นหาคำตอบกันต่อโดยปกติแล้ว การจะบอกว่าการใช้เงินกับสิ่งใด คุ้มค่าหรือไม่ต้องมีสิ่งเปรียบเทียบ อดีตที่ผ่านมามีการศึกษาความคุ้มค่าของวัคซีน HPV อยู่หลายครั้ง ซึ่งบางครั้งก็เป็นการศึกษาโดยบริษัทยา เปรียบเทียบระหว่างฉีดกับไม่ฉีดวัคซีนและไม่ทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ก็แน่นอนว่าด้วยลักษณะการเปรียบเทียบเช่นนี้ การฉีดวัคซีน HPV ย่อมคุ้มค่ากว่าแต่ของไฮแทป ศึกษาโดยเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรองเพื่อป้องกัน 3 วิธีที่เป็นที่นิยมและยอมรับในปัจจุบัน คือหนึ่ง-การทำ Pap Smear ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลายในไทย โดยทำการตรวจภายในและป้ายเซลล์จากมดลูกป้ายสไลด์และส่งตรวจ วิธีนี้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว สอง-Wisual Inspection with Acetic acid หรือ VIA เป็นการใช้น้ำส้มสายชูป้ายปากมดลูกเพื่อดูว่ามีจุดสีขาวปรากฏขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามี ก็ใช้ความเย็นจี้ทำลายเซลล์ที่เริ่มผิดปกติตั้งแต่เริ่มต้น และสุดท้าย-เป็นวิธีการตรวจที่เรียกว่า HPV DNA Test คือการนำเซลล์ปากมดลูกไปตรวจอย่างละเอียดในระดับพันธุกรรม ซึ่ง นพ.ยศ กล่าวว่า ทั้ง 3 วิธีนี้คุ้มทุนมากกว่าการฉีดวัคซีน แต่วัคซีนมีความคุ้มค่ากว่า สรุปคือวัคซีน HPV คุ้มค่า แต่ไม่คุ้มทุนอ่านถึงตรงนี้ คงเริ่มสับสนชีวิต นพ.ยศ อธิบายว่า “คุ้มค่าแปลว่า คุณยอมจ่ายของแพงกว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์มากกว่า วัคซีน HPV มีประโยชน์มากกว่าการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกชนิด แต่แพงกว่า คำถามคือเมื่อมันดีกว่า แพงกว่า แล้วเมื่อไหร่จะคุ้ม ประเทศไทยได้ทำการศึกษาจนได้เกณฑ์ว่า ยาและวัคซีนจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อใช้เงินไม่เกิน 160,000 บาทต่อ 1 ปีสุขภาวะ เพราะใช้เงินจำนวนนี้จะทำให้คนไทยอายุยืนยาวขึ้นอย่างสมบูรณ์ 1 ปีถือว่าคุ้ม เช่น ออกยาใหม่ อยากรู้ว่ายาใหม่คุ้มหรือไม่ ก็นำมาเทียบกับยาเดิม ถ้ายาใหม่ทำให้อายุคนไข้ยืนขึ้น 1 ปีและเป็น 1 ปีที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง เช่น เป็นโรคมะเร็ง คุณภาพชีวิตไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ สมมติว่าแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไป อายุยืนขึ้น 1 ปีเท่ากับ 0.5 ปีสุขภาวะ ถ้าอายุยืนขึ้นแบบนี้ 2 ปีจึงจะเท่ากับ 1 ปีสุขภาวะ ถ้าใช้เงินไม่เกิน 160,000 บาททำให้อายุยืนขึ้น 2 ปีแบบที่มีคุณภาพชีวิตแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับคุ้มค่าในประเทศไทย ข้อมูลนี้มีประโยชน์ใช้เปรียบเทียบยากับทุกตัวได้ถ้าเทียบวัคซีนตัวนี้เทียบว่าแพงกว่าและดีกว่า อยู่ภายใต้ 160,000 บาทต่อปีสุขภาวะหรือไม่ ใช่ คือคุ้มค่าแล้ว แต่ไม่คุ้มทุนเป็นอย่างไร เนื่องจากวัคซีนอ้างว่าเมื่อฉีดวันนี้สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกในอนาคต แปลว่าในอนาคตเราต้องประหยัดเงินได้จากการรักษาโรคมะเร็ง แสดงว่าเรานำเงินที่ต้องจ่ายในอนาคตเพื่อรักษาโรคมะเร็งมาซื้อวัคซีนวันนี้ โดยที่เราไม่ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น อย่างนี้ถือว่าคุ้มทุน แต่ ณ ราคาวันนี้ที่บริษัทเสนอให้ยังถือว่าไม่คุ้มทุน”ราคาวัคซีนที่บริษัทยาเสนอให้กับรัฐบาลตอนนี้คือ 375 บาทต่อเข็ม โดยจะต้องฉีด 3 เข็ม ซึ่งยังเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุน แต่ราคาที่คุ้มทุนคือ 300 บาท เรื่องเกิดขึ้นขณะที่ทั้งฝ่ายเราและบริษัทยากำลังต่อรองราคากันอยู่นั้น รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งกลับพูดในที่สาธารณะว่า ประเทศไทยต้องใช้วัคซีน HPV แน่นอน และนั่นทำให้การต่อรองราคาจบลงด้วยราคา 375 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุน“อาจจะเกิดการสับสนเวลาที่แพทย์หรือบริษัทยาบอกว่า โรคมะเร็งรักษาทีเป็นแสน แล้วทำไมการฉีดยาเข็มละ 375 บาทจึงไม่คุ้มทุน คำตอบคือสมมติว่าคนไทยทั้งประเทศป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ย 12 คนต่อ 100,000 คน ฉีดวัคซีนไปแสนคน เท่ากับคุณป้องกันไม่ให้ป่วยแค่ 12 คนเท่านั้น เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นมะเร็ง เราทำวิจัยและทั่วโลกก็ยืนยันเหมือนกัน ถ้าเราฉีดให้ทุกคน แล้วนำเวลาของอายุที่ยืนยาวขึ้นของคนไทยโดยเฉลี่ยหลังได้รับการฉีดวัคซีน อายุจะยืนยาวขึ้นเฉลี่ยแค่ 5-7 วันเท่านั้น ที่น้อยเพราะบางคนไม่ได้อายุยืนยาวขึ้น เนื่องจากไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดทั้งชีวิตเขาก็ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูกอยู่แล้ว”เราแลกเปลี่ยนถกเถียงกับ นพ.ยศ ว่า แต่ถ้านับค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาส ค่าเดินทาง ที่ผู้หญิงจะต้องเดินทางไปตรวจคัดกรองด้วย 3 วิธีข้างต้นทุกๆ 5 ปี การฉีดวัคซีน HPV ก็ยังไม่ถือว่าคุ้มค่าและคุ้มทุนกว่าอย่างนั้นหรือ?“การฉีดสะดวกกว่า ไม่ต้องเสียเวลา เสียโอกาส แต่ผมอธิบายแบบนี้ สิ่งที่เรากลัวกันอยู่คือวัคซีนป้องกันได้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ทั่วโลกจึงแนะนำว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้วก็ต้องทำ 3 วิธีนี้เหมือนเดิมมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งชนิดที่ค่อยๆ เป็น ใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการลุกลามจนกระทั่งรักษาไม่ได้ ดังนั้น จึงมีการแนะนำให้ตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 5 ปี ถ้าผู้หญิงไทยทุกคนทำ วัคซีนไม่จำเป็น แถมการตรวจยังดีกว่าด้วย เพราะป้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ประเด็นคือทุกวันนี้ผู้หญิงไทยไปตรวจกัน 60-70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พอเอาวัคซีนมาฉีดก็ป้องกันได้เหมือนเดิมคือ 60-70 เปอร์เซ็นต์ เพราะวัคซีนไม่ได้ป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคุณจะปล่อยคนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ให้เป็นมะเร็งโดยที่ไม่รักษา”คำอธิบายของ นพ.ยศ น่าจะทำให้เข้าใจได้แล้วว่า วัคซีน HPV คุ้มค่าแต่ไม่คุ้มทุนอย่างไร.........ปัจจุบัน วัคซีน HPV เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่าจะได้รับการบรรจุเข้าไปอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์หรือไม่ทิ้งท้ายตรงนี้ว่า ตอนวัคซีน HPV เข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ต้นทุนเพียงเข็มละ 90 บาทเท่านั้น แต่ราคาที่ขายคือ 5,000 บาทต่อเข็ม“เราต่อ 300 ยังไม่อยากลดราคา เพราะกลัวเสียราคา” นพ.ยศ กล่าว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 ดวงใจพิสุทธิ์ : สิทธิแห่ง “ผ้าขาว” ที่กำลังถูกล่วงละเมิด

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้นิยามคำว่า “เด็ก” เอาไว้ว่า หมายถึง “คนที่มีอายุยังน้อย” ความหมายตามนิยามดังกล่าวอาจดูเป็นกลางๆ และง่ายต่อความเข้าใจก็จริง แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว การรับรู้ความหมายของ “เด็ก” ในทัศนะของคนทั่วไปก็มีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้นแม้จะเป็น “คนที่มีอายุยังน้อย” แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจให้นิยามของ “เด็ก” แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น “เด็กคือผ้าขาว” หรือ “เด็กคือความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา” หรือ “เด็กคือตัวแทนของธรรมชาติ” หรือ “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า”อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กอาจมีสถานภาพประหนึ่ง “ผ้าขาว” หรือเป็นภาพแห่ง “ความบริสุทธิ์” แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว นิยามอีกชุดหนึ่งของเด็กก็คือ กลุ่มคนในสังคมที่ถูกกระทำและล่วงละเมิดสิทธิมากที่สุด และข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือ พื้นที่ที่สิทธิของเด็กถูกคุกคามอย่างเข้มข้นที่สุดก็หนีไม่พ้นพื้นที่ของครอบครัวนั่นเอง“ดวงใจพิสุทธิ์” ดูจะเป็นละครเล็กๆ แต่ร่วมสมัย ที่ฉายภาพความหมายของเด็กในฐานะ “ผ้าขาว” ซึ่งกำลังถูกล่วงละเมิดสิทธิในลักษณะดังกล่าวเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนเนื้อเรื่องของละครอาจจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวละครเด็กผู้ “ไร้เดียงสา” ก็จริง หากแต่โครงที่ผูกเป็นเรื่องราวไว้นั้นกลับดู “เดียงสา” ยิ่งนัก โดยได้นำเสนอภาพชีวิตตัวละครเด็กชายเด็กหญิงคือ “ลูกหมี” และ “ปุ๊คกี้” ที่เรื่องราวช่วงแรกๆ มีการตัดภาพสลับกันไปมา ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองคนจะโคจรมาพบและเป็นเพื่อนที่คอยดูแลกันและกันในช่วงหลังในส่วนของลูกหมีนั้น เนื่องจากพ่อและแม่ของเด็กชายจอมซนมีภารกิจต้องไปรั้งตำแหน่งงานสถานทูตไทยในต่างประเทศ ลูกหมีจึงได้มาอยู่ในความดูแลของ “ชินานาง” และ “ชนนี” ผู้มีศักดิ์เป็นคุณอาและคุณย่า แม้ว่าจะมีแง่งอนงัดข้อกันบ้างระหว่างอากับหลานที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่เพราะด้วยความรักความอบอุ่นที่ทั้งคุณอาและคุณย่าต่างมอบให้อย่างเต็มที่ ลูกหมีจึงถูกฉายภาพให้เป็นตัวละครเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่แม้จะไม่ใช่อุดมคติแบบ “พ่อแม่ลูก” แต่ก็สามารถเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขตัดสลับกับภาพที่ตรงกันข้ามของปุ๊คกี้ ที่แม้ตอนแรกจะเติบโตมาอย่างมีความสุข เพราะได้รับความรักความดูแลจาก “ภาวนา” ผู้เป็นคุณย่าและเป็นเศรษฐินีประจำจังหวัดสงขลา แต่เพราะ “ชลีกร” ป้าสะใภ้มีความโลภและอิจฉาที่ภาวนาไม่ค่อยแบ่งปันความรักมาให้กับลูกๆ ของเธอบ้าง อคติที่ครอบงำชลีกรทำให้เธอวางแผนให้พ่อแม่ของปุ๊คกี้ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต และฆาตกรรมคุณย่าภาวนาในเวลาถัดมาเมื่อขาดผู้เลี้ยงดูที่รักและเอาใจใส่ตั้งแต่พ่อแม่จนมาถึงคุณย่า จาก “ผ้าขาว” ที่เคยถูกมองว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ปุ๊คกี้จึงถูกทารุณกรรมจากป้าสะใภ้ทั้งต่อกาย วาจา และจิตใจอย่างต่อเนื่องภาพฉากที่ชลีกรเอาขนมทั้งกล่องยัดใส่ปากเด็กน้อย หรือภาพฉากการข่มขู่และทำร้ายปุ๊คกี้อีกมากมายลับหลัง “สาวิตร” คุณลุงแท้ๆ ของเธอ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงว่า ความรุนแรงเชิงกายภาพและความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่มีต่อเด็กๆ ในสังคมไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักเกิดและสืบเนื่องอยู่ในสถาบันครอบครัวที่ใกล้ชิดกับชีวิตของเด็กมากที่สุดนั่นเองความรุนแรงเชิงโครงสร้างดังกล่าวนี้ แม้จะมีป้าสะใภ้อย่างชลีกรเป็นจำเลยหมายเลขหนึ่งของเรื่องราวก็ตาม แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่ตัวคุณลุงสาวิตร หรือคุณอาแท้ๆ อย่าง “ลดามณี” เอง ก็ตกเป็นจำเลยผู้กระทำและล่วงละเมิดสิทธิของเด็กไม่แตกต่างกัน ในขณะที่สาวิตรเป็นคนที่เอาแต่บ้างาน จึงเพียงแต่สนใจแค่สอบถามความเป็นอยู่ของปุ๊คกี้จากชลีกรไปวันๆ เพื่อให้ตนเองได้สบายใจและดูดีว่าเป็นคุณลุงแสนดีผู้ปฏิบัติภารกิจดูแลหลานสาวตัวน้อยไปแล้ว ในส่วนของลดามณีเองก็ทำตัวใส่ใจรักใคร่หลานสาว เพียงเพราะต้องการใช้เด็กน้อยเป็นเครื่องมือและเป็นสะพานเชื่อมให้เธอได้ใกล้ชิดกับ “หัฏฐ์” พระเอกของเรื่องเท่านั้น หลังจากบุคลิกภาพของปุ๊คกี้เปลี่ยนแปลงจากเด็กน้อยโลกสวย มาเป็นเด็กที่เก็บกดและหวาดกลัวต่อโลกรอบตัว ชลีกรก็วางแผนหาทางผลักดันให้ปุ๊คกี้ไปอยู่ในความดูแลของหัฏฐ์และ “หทัย” ผู้เป็นน้าแท้ๆ ที่กรุงเทพแทน เพื่อเธอจะได้ยึดครองบ้านและมรดกทั้งหมดของภาวนาได้ในที่สุด เมื่อปุ๊คกี้มาอยู่กับหัฏฐ์ที่รั้วบ้านติดกันกับบ้านลูกหมีและชินานาง ก็เข้าตำราที่ร้องเป็นเพลงว่า “บ้านก็ปลูกติดกัน ปลูกติดกันพอดี เปิดหน้าต่างทุกที ทุกทีหน้าเราก็ชนกัน” เพราะฉะนั้น เด็กน้อยสองคนที่จุดเริ่มต้นให้มีเหตุต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ไม่แตกต่างกัน ก็โคจรมาเจอและสานต่อมิตรภาพระหว่างกัน จนในที่สุดบาดแผลในจิตใจของปุ๊คกี้ก็ค่อยๆ ได้รับการเยียวยาจากคนรอบข้างและเพื่อนในวัยเดียวกันเชื่อกันว่า เด็กๆ เป็นกลุ่มสังคมที่มีวัฒนธรรมและสร้างพื้นที่การสื่อสารบางอย่างในแบบของพวกเขาเองขึ้นมา ดังนั้น เมื่อปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กเกิดเนื่องมาแต่ผู้ใหญ่ในครอบครัวของตน ความลับข้อนี้ของปุ๊คกี้จึงถูกสื่อสารถ่ายทอดมายังลูกหมีในฐานะมิตรสหายที่อยู่ในกลุ่มพื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรมเดียวกันในฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องที่แม้ปุ๊คกี้จะถูกอำนาจของชลีกรคุกคามจนหวาดกลัวและไม่กล้าเป็นพยานในศาล เพราะรับรู้การฆาตกรรมในครัวเรือนของตน แต่ความลับดังกล่าวก็ถูกเปิดเผยออกมาโดยมิตรแท้ที่เด็กหญิงวางใจที่สุดอย่างลูกหมี จนในที่สุดก็เป็นแรงผลักให้ปุ๊คกี้เกิดความกล้าที่จะพูดความจริงทั้งหมดที่ไม่เคยบอกให้กับบรรดาตัวละครผู้ใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งเด็กหญิงแทบจะหมดความไว้เนื้อเชื่อใจไปแล้วความเข้าอกเข้าใจที่ลูกหมีกับปุ๊คกี้สานสัมพันธ์กันไว้นี้ ไม่เพียงแต่จะมีผลานิสงส์ให้หัฏฐ์กับชินานางได้มาตกหลุมรักกันจริงตามขนบของท้องเรื่องละครเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนให้เห็นพลังของเด็กที่แม้จะมีอำนาจน้อย แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิแห่งตนซึ่งกำลังถูกละเมิดคุกคามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแม้ว่าเด็กๆ จะถูกนิยามว่า “มีอายุยังน้อย” แต่พวกเขาและเธอก็มีสถานะเป็น “คน” ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ดังนั้น เด็กๆ อย่างลูกหมีและปุ๊คกี้ จึงมี “สิทธิ” และ “ความชอบธรรม” ที่จะเรียกร้องให้ทุกคนเคารพศักดิ์ศรีตัวตน และหมุนฟันเฟืองเล็กๆ เหล่านี้ให้มี “ดวงใจพิสุทธิ์” และเป็นอนาคตของสังคมระดับใหญ่ต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 สุขพอที่พ่อสอน

“...การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย...”“...ความพอเพียงนี้ ก็แปลว่า ความพอประมาณและความมีเหตุผล พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ...”พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะนำมาบอกต่อผู้อ่านให้รู้และน้อมนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อนำมาเป็นคติเตือนใจให้มีความพอดีและเพียงพอนอกจากพระราชดำรัสที่ยกมาบางส่วนนี้แล้ว ผู้อ่านสามารถเข้าถึงพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่คัดตัดตอนมาเผยแพร่ลงในแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า “สุขพอที่พ่อสอน”แอพพลิเคชั่น “สุขพอที่พ่อสอน” นี้ เกิดขึ้นจากสำนักราชเลขาธิการ ร่วมกับ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทมาเผยแพร่ โดยพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทจะมีทั้งหมด 9 เรื่อง ได้แก่ การศึกษา การพัฒนา ความพอเพียง รู้จักสามัคคี ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ประโยชน์ส่วนรวม คุณธรรมจริยธรรม ความสุขและความปรารถนาดี และความยุติธรรมภายในแอพพลิเคชั่นจะมีอยู่ 5 หมวด ดังนี้ หมวดพระราชดำรัส หมวดพระบรมฉายาลักษณ์ หมวดเลือกข้อความ หมวดส่งต่อ และหมวดข้อมูล ซึ่งในทั้ง 5 หมวดนี้จะมีความเกี่ยวเนื่องกับ 9 เรื่องตามที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยจะมีความแตกต่างกันไป ก็คือ หมวดพระราชดำรัส จะเป็นหมวดที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถเลือกพระราชดำรัสที่ต้องการตามเรื่อง 9 เรื่อง หมวดนี้เป็นหมวดที่สำคัญ เนื่องจากผู้ใช้แอพพลิเคชั่นต้องเลือกเรื่องที่อยู่ภายในหมวดนี้ก่อน แล้วจึงไปอ่านพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทในหมวดอื่นที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องที่ได้เลือกไว้หมวดพระบรมฉายาลักษณ์ จะเป็นภาพพระกรณียกิจในอิริยาบถต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นเลือกโดยอิงจากภาพพระกรณียกิจเหล่านั้น สำหรับหมวดเลือกข้อความ จะแบ่งตามข้อความพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท เพื่อให้สะดวกในการหาพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ต้องการ หมวดส่งต่อ เป็นหมวดที่ใช้เมื่อผู้ใช้แอพพลิเคชั่นได้เข้าไปดูพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ต้องการภายในหมวดพระราชดำรัส หมวดพระบรมฉายาลักษณ์ และหมวดเลือกข้อความ โดยมีความต้องการที่จะเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊ค หรือส่งต่อไปยังเมล หรือต้องการบันทึกพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทนั้นไว้ ให้กดมาที่หมวดนี้ และหมวดสุดท้ายเป็นหมวดข้อมูล จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำแอพพลิเคชั่นนี้พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ภายในแอพพลิเคชั่นนี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยควรน้อมนำไปปฏิบัติกันโดยทั่วหน้า เพื่อให้การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นไปตามคำว่า “สุขพอที่พ่อสอน”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 การเลือกซื้อรถเข็นเด็ก

เมื่อทราบข่าวจากคุณภรรยาว่าจะมีสมาชิกใหม่ในบ้าน หลายครอบครัวก็ต้องมาวางแผนในการที่จะต้องซื้อของเพื่อใช้ในการเลี้ยงเด็กทารก รถเข็นเด็กเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้เพื่อพาเด็กทารกร่วมเดินทางไปกับพ่อแม่ด้วย ดังนั้นการเลือกซื้อรถเข็นเด็กจำเป็นต้องมีข้อมูลและแนวทางเบื้องต้นในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อสิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกซื้อรถเข็นเด็กทั่วไป ได้แก่ 1 ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน โดยก่อนซื้อควรทดสอบรถเข็นก่อนว่าสามารถนำรถเข็นเด็กขึ้นรถของเราได้หรือไม่2 ในกรณีที่ต้องใช้รถเข็นบ่อยๆ ก็ควรเลือกรถเข็นเด็กที่มีน้ำหนักเบา 3 ควรเลือกซื้อรถเข็นเด็กที่สามารถใช้งานได้จนเด็กมีอายุสามขวบ ในระหว่างที่อายุไม่เกิน 6 เดือน การใช้เปลเคลื่อนที่แบบถอดประกอบได้(carry car seat) ติดตั้งในรถยนต์ได้จะเหมาะสมกว่า เปลเคลื่อนที่สามารถใช้กับเด็กที่มีน้ำหนักตัวไม่เกิน 15 กิโลกรัม4 ความสูงของพนักพิงหลังไม่ควรต่ำกว่า 50 เซนติเมตร เพราะจะช่วยประคอง คอและศีรษะของเด็กได้ดี5 ล้อของรถเข็น ในกรณีที่ต้องใช้รถเข็นบนพื้นที่ขรุขระ ควรเลือกล้อที่มีขนาดใหญ่ แบบสี่ล้อแต่ถ้าใช้รถเข็นบนพื้นราบเรียบ ก็ควรเลือกล้อขนาดเล็กที่ล้อหน้าสามารถหมุนได้6 ในกรณีที่เลือกใช้ของมือสอง ซึ่งมักจะซื้อขายทางออนไลน์(ซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไป) ดังนั้นควรตรวจสอบสภาพของรถเข็นเด็ก เช่น ตรวจสอบว่ามีรอยแตก หรือชำรุด บกพร่องหรือไม่ ห้ามล้อ เข็มขัดนิรภัย ยังทำงานดีอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ควรพิจารณาเรื่องอะไหล่ เพราะในกรณีที่ชิ้นส่วนชำรุดก็สามารถหามาเปลี่ยนได้ง่าย7 สารเคมีอันตรายในกลุ่ม polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHC), Phthalate, Chlorparaffine, Organophosphor compound, Organozine compound, Phenolic compound, และ Formaldehyde สำหรับประเด็นเรื่องสารเคมีอันตรายที่แฝงมาในชิ้นส่วนของรถเข็นเด็ก ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำมาจากพลาสติก เป็นเรื่องที่ยากในการตรวจสอบและพิสูจน์ในเมืองไทย ขณะที่ในต่างประเทศจะมีการตรวจสอบสารเคมีสม่ำเสมอเพื่อแจ้งเตือนพ่อแม่ และผู้ผลิตเพื่อนำไปปรับปรุงสินค้าให้ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น สำหรับคนที่สนใจในเรื่องสารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ของเด็กทารก ก็สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนของเว็บไซต์ กรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ของอียู http://ec.europa.eu/consumers/consumers_safety/safety_products/rapex/alerts/main/?event=main.listNotifications ได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 บอกเลิก (บริการโทรคมนาคม) อย่างไรให้ได้ผล (ตอนที่ 3)

บริการโทรคมนาคม มือถือ อินเทอร์เน็ต ทุกวันนี้ สมัครง่ายแต่เลิกยาก เพราะทุกบริษัทมัวแต่แข่งกัน หาลูกค้า จนอาจลืมใส่ใจพัฒนาคุณภาพบริการให้เพียงพอกับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น หลายคนอยากยกเลิกบริการที่ใช้อยู่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะบริษัทจะมีข้ออ้างสารพัดที่จะปฏิเสธ ไม่ให้เรายกเลิกบริการได้ง่าย ๆ ซึ่งผมได้แนะนำวิธีรับมือไว้ 2 ตอนแล้ว สรุปสั้น ๆ อีกครั้ง ก็คือ คุณสามารถยกเลิกบริการโทรคมนาคมได้ โดยการทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งให้บริษัทรับรู้ จะส่งจดหมาย แฟกซ์ หรือ อีเมล์ ก็ได้ทั้งนั้น แค่แจ้งแล้วจบเลย สำหรับคนที่ใช้แบบรายเดือน (Post Paid) เมื่อจะยกเลิกบริการ จะมีประเด็นเรื่องการคิดค่าบริการเดือนสุดท้ายที่ต้องดูให้ดี เพราะรายการส่งเสริมการขายทุกวันนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นแพ็คเกจแบบเหมาจ่ายรายเดือน เช่น จ่าย 540 บาท โทรฟรีได้ 550 นาที และเล่นเน็ตได้ไม่อั้น ค่าโทรส่วนเกินคิดนาทีละ 1.50 บาท ถ้าคุณจะยกเลิกบริการในระหว่างที่ยังไม่ครบรอบบิล คำถามคือ คุณจะต้องจ่ายค่าบริการเต็มจำนวนไหม โดยหลักทั่วไป คำตอบ คือ จ่ายตามสัดส่วนการใช้งานจริง ไม่ต้องจ่ายเต็มแพ็คเกจ เช่น ถ้ายกเลิกบริการตอนครึ่งเดือน ก็จ่ายแค่ครึ่งเดียว 270 บาท แต่ในชีวิตจริง มันอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากเสียเปรียบบริษัท พอรู้ว่าจะกลางเดือนนี้จะยกเลิกบริการ ก็เลยใช้สิทธิโทรเต็มที่ โทรไป 540 นาที แต่ปรากฏว่าโดนบริษัทคิดค่าบริการเพิ่ม โดยอ้างว่าใช้บริการครึ่งเดือน บริษัทก็ลดค่าบริการให้ครึ่งหนึ่งแล้ว แต่สิทธิในการใช้บริการโทรฟรีก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่งเช่นกัน จึงเหลือสิทธิโทรฟรีแค่ 275 นาที ดังนั้น ส่วนที่เกินไป 265 นาที จะต้องจ่ายในอัตรานาทีละ 1.50 บาท ต้องจ่ายเพิ่มอีก 397.50 บาทสรุปว่า ลูกค้าใช้แพ็คเกจ 540 บาท/เดือน แต่พอยกเลิกบริการระหว่างรอบบิล กลายเป็นว่าต้องจ่ายเงิน 667.50 บาท ซึ่งแพงกว่าแพ็คเกจที่ใช้งานเต็มเดือนซะอีก งานนี้จึงมีการร้องเรียนว่าบริษัทคิดค่าบริการเกิน เขาควรจ่ายแค่ 270 บาทเท่านั้น เพราะยังโทรไม่เกินแพ็คเกจเลย ซึ่งบริษัทก็โต้แย้งว่า ถ้าจ่ายค่าบริการแค่ครึ่งเดียวแต่ใช้สิทธิเต็มที่ขนาดนี้เขาก็เสียเปรียบเหมือนกันตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเรื่องจริงนะครับ ซึ่งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนในลักษณะนี้ว่า บริษัทมีสิทธิปรับลดระยะเวลาการโทรฟรี และคิดค่าบริการแบบเฉลี่ยตามสัดส่วนวันที่มีการใช้งานจริง (คือ มีสิทธิคิดค่าบริการแค่ 270 บาท และลดสิทธิโทรฟรีเหลือแค่ 275 นาที) แต่ในกรณีนี้ บริษัทจะคิดค่าบริการในส่วนที่เกินจากสิทธิโทรฟรีโดยเฉลี่ยในอัตรา 1.50 บาท/นาที ไม่ได้ เพราะผู้ร้องเรียนมิได้ใช้สิทธิโทรฟรีเกินจากแพ็คเกจ (ผู้ร้องเรียนใช้โทรศัพท์ไป 540 นาที เกินจากสิทธิโดยเฉลี่ยไป 265 นาที แต่ไม่เกินสิทธิตามแพ็คเกจทั้งหมด 550 นาที) ค่าโทรในส่วนที่เกินสิทธิการใช้งานโดยเฉลี่ย จะต้องคิดในอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย คือ คิดตามราคาที่แท้จริงของบริการที่มีการใช้งาน สำหรับแพ็คเกจที่รวมทั้งค่าโทรและค่าเน็ตไว้ด้วยกัน ก็ต้องแยกแยะว่าค่าบริการแต่ละประเภท คิดอัตราเท่าไร ซึ่งอาจจะซับซ้อนหน่อยแต่สามารถทำได้ครับ โดยสรุป ตามตัวอย่างที่ยกมา อัตราค่าโทรในแพ็คเกจจะอยู่ที่ประมาณ 0.23 /นาที ดังนั้นส่วนที่เกินมาจากสิทธิโดยเฉลี่ย 265 นาที จะต้องคิดในอัตรานาทีละ 0.23 บาท ซึ่งเป็นเงินแค่ 60.95 บาท สรุปว่า ผู้บริโภคต้องจ่าย 270 + 60.95 = 330.95 บาท แต่บริษัทคิดเงินไป 667.50 บาท ก็ต้องคืนส่วนต่างให้ผู้บริโภคส่วนใครที่ใช้บริการแบบเติมเงิน (Pre Paid) เมื่อยกเลิกบริการก็จะไม่ต้องวุ่นวายกับการคิดคำนวณค่าบริการเดือนสุดท้าย แต่อย่าลืมตรวจสอบว่ามีเงินคงเหลือในระบบหรือไม่ ซึ่งถ้ามีเงินเหลือ คุณสามารถขอคืนจากผู้ให้บริการได้นะครับ เพราะเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรองไว้ ในข้อ 34 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 “เมื่อสัญญาเลิกกัน ในกรณีที่ผู้ให้บริการมีเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการต้องคืนเงินนั้นให้แก่ผู้ใช้บริการ ในการคืนเงินดังกล่าว เมื่อผู้ให้บริการได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้ใช้บริการหรือเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ใช้บริการอย่างถูกต้องแล้ว ให้ผู้ให้บริการคืนเงินภายในสามสิบวันนับแต่วันเลิกสัญญาทั้งนี้ การคืนเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ อาจคืนด้วยเงินสด เช็ค หรือนำเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ใช้บริการ หรือตามวิธีการที่ผู้ใช้บริการได้แจ้งความประสงค์ไว้ กรณีผู้ให้บริการไม่สามารถคืนเงินค้างชำระให้แก่ผู้ใช้บริการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดผู้ให้บริการจะต้องชำระค่าเสียประโยชน์ในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้บริการคิดจากผู้ใช้บริการกรณีผู้ใช้บริการผิดนัดไม่ชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการแก่ผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิผู้ใช้บริการที่จะเรียกค่าเสียหายอย่างอื่น” ก็เป็นอันว่า ถ้าทำตามคำแนะนำทั้ง 3 ตอนที่ผ่านมา ก็รับรองว่า ท่านผู้อ่านจะสามารถยกเลิกบริการโทรคมนาคมได้แบบ Happy Ending แน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 รู้เท่าทันการกินฉี่

การดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อเป็นการบำบัดโรคนั้น เคยเกิดกระแสนิยมในสังคมไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน โดยเฉพาะในสายการแพทย์ทางเลือกและในสายของผู้ปฏิบัติธรรม ต่อมาลดความนิยมลง แต่ยังมีการปฏิบัติกันในหมู่นักปฏิบัติธรรมและผู้รักสุขภาพบางกลุ่ม ในบางช่วงก็เกิดกระแสนิยมเป็นครั้งคราว เหตุที่การดื่มน้ำปัสสาวะไม่ก่อกระแสรุนแรงเหมือนผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ นั้น อาจเป็นเพราะ ทุกคนเป็นเจ้าของน้ำปัสสาวะ ไม่ต้องซื้อขาย จึงไม่มีกระแสธุรกิจที่จะมาขายน้ำปัสสาวะอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เรามารู้เท่าทันน้ำปัสสาวะกันดีกว่าความเป็นมาการดื่มหรือการใช้น้ำปัสสาวะของคนหรือของสัตว์เพื่อการบำบัดโรคนั้นมีการใช้กันทั่วโลกมานานกว่าพันปี ในพระธรรมวินัย กำหนดแนวทางยังชีพหรือนิสัย 4 ให้ภิกษุฉันน้ำมูตเน่า(น้ำปัสสาวะ) มีหลักฐานการจารึกในอิยิปต์โบราณ กรีก โรม คัมภีร์โยคะของอินเดีย ตำราการแพทย์จีน ดังนั้นการดื่ม การใช้น้ำปัสสาวะจึงเป็นภูมิปัญญาของมนุษยชาติที่เก่าแก่หลายพันปีบทความในวารสาร Nephrology เดือน พ.ค. - มิ.ย. 2011 เขียนว่า ผู้คนที่ใช้น้ำปัสสาวะเชื่อว่า น้ำปัสสาวะไม่เป็นของเสียของร่างกาย แต่เป็นสิ่งที่กลั่นจากเลือดและมีสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ถูกเรียกเป็น “ทองคำจากเลือด” และ “ยาอายุวัฒนะ” การดื่มน้ำปัสสาวะมีที่มาจากวัฒนธรรมอินเดีย และมีการใช้มานานหลายศตวรรษและหลายวัฒนธรรมบทบรรณาธิการในวารสาร Pan Afr. Med J. เผยแพร่ ออนไลน์ 25 พค. 2010 เขียนว่า จากการค้นหาเกี่ยวกับ “การดื่มน้ำปัสสาวะ” ในกูเกิ้ลเกือบ 100,000 รายการและในวิดีทัศน์ 150 รายการ ยืนยันว่า “การดื่มน้ำปัสสาวะ ยังคงเป็นที่นิยมและกลับมานิยมในทุกวันนี้”ในน้ำปัสสาวะมีของล้ำค่าอะไรบ้างน้ำปัสสาวะส่วนใหญ่เป็นน้ำ มียูเรีย (25g/d), กรดยูริก (1g/d), ครีเอตินีน (1.5g), แร่ธาตุต่างๆ (10g/d ส่วนใหญ่เป็น เกลือโซเดียม), ฟอสเฟตและกรดอินทรีย์ (3g/d) , มีโปรตีนเล็กน้อย (40-80 mg/d, ส่วนใหญ่เป็นอัลบูมิน, ฮอร์โมนเล็กน้อย, กลูโคส และวิตามินที่ละลายน้ำน้ำปัสสาวะจะบริสุทธิ์ ปราศจากเชื้อโรคเมื่อเกิดขึ้นในไต แต่เมื่อปล่อยออกจากร่างกายแล้วมักจะมีการปนเปื้อนเชื้อโรคมีการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรคอะไรในบทความ Nephrology ปี 1999 เขียนว่า มีการดื่มน้ำปัสสาวะในตอนเช้าเพื่อเป็นการรักษาโรคจำนวนมาก เช่น การติดเชื้อจากไวรัสหรือแบคทีเรีย อาการที่เกิดขึ้นระหว่างวันแรกๆ ที่ดื่มน้ำปัสสาวะ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ใจสั่น ท้องเสีย หรือไข้ สารสำคัญจำนวนมากในปัสสาวะได้แก่ ยูเรีย กรดยูริก ไซโตไคน์ (เป็นโปรตีนหรือไกลโคโปรตีนที่มีขนาดเล็ก สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น) ฮอร์โมน มีการใช้น้ำปัสสาวะกับภายนอก ได้แก่ การชโลม การทา การประคบก้อนเนื้องอก การอาบน้ำปัสสาวะ หรือแช่เท้าในน้ำปัสสาวะ การหยอดตา หยอดหู และทำความสะอาดแผล จาการค้นหาการทบทวนการใช้น้ำปัสสาวะในการบำบัดจากวารสารวิชาการต่างๆ ไม่พบว่ามีการทบทวนประสิทธิผลของการใช้น้ำปัสสาวะต่อร่างกายสรุป การดื่มและใช้น้ำปัสสาวะเป็นภูมิปัญญาเก่าแก่มานานหลายพันปี ใช้กันทั่วโลก ผู้คนเชื่อว่าทำให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืน รักษาโรคได้ มีความเห็นตรงกันว่า ให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเอง ควรเป็นน้ำปัสสาวะในตอนเช้าหลังตื่นนอน ไม่ควรดื่มทั้งวันหรือดื่มแทนน้ำอย่างไรก็ตาม ยังไม่พบการทบทวนทางวิชาการที่น่าเชื่อถือ ทั้งในแง่ประโยชน์ในการบำบัดโรค หรือโทษระยะยาวจากการดื่มน้ำปัสสาวะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 เลี่ยงมะเร็งอย่างไร ตอนที่ 1: ต้นเหตุ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ World Cancer Research Fund (WCRF) ได้ให้ข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของมนุษย์ได้แก่ อาหารการกิน(พฤติกรรมการบริโภค) น้ำหนักตัวของประชาชน และการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้แรง (physical activity) ดังนั้นในฉลาดซื้อฉบับนี้ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำข้อมูลส่วนที่เรียกว่า Continuous Update Project (CUP) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการทบทวนผลจากการทำโครงการของผู้เชี่ยวชาญของ WCRF ในการวิเคราะห์ว่า ปัจจัยทั้งสามที่กล่าวข้างต้นนั้นมีผลต่อความเสี่ยงและการอยู่รอดของประชาชนเนื่องจากมะเร็งเพียงใด ดังต่อไปนี้ภาวะน้ำหนักเกินหรือความอ้วน (Overweight or Obese) เป็นภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ เต้านม ถุงน้ำดี ไต ตับ หลอดอาหาร รังไข่ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก และมดลูก ทั้งนี้เพราะภาวะน้ำหนักเกินหรือความอ้วนนั้นส่วนใหญ่เป็นผลที่เกิดจากการกินอาหารที่มีไขมันและ/หรือแป้งมากเกินไป มีข้อสันนิษฐานว่า การเปลี่ยนแป้งไปเป็นพลังงานนั้น ต้องมีการส่งผ่านอิเล็คตรอนในไมโตคอนเดรียของเซลล์ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นมากๆ ความผิดพลาดที่น่ากลัวคือ การเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ต่างๆ ดังนั้นนักกีฬาหรือผู้ใช้กำลังกายสูงๆ จึงจำเป็นต้องกินอาหารที่มีสารต้านอนุมุลอิสระในปริมาณที่เพียงพอ อาหารหมักเกลือ (Salt-preserved foods) ทั้งผักหรือเนื้อสัตว์นั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร ข้อมูลนี้มีการกล่าวถึงในแวดวงวิชาการเกี่ยวกับมะเร็งนานพอควรแล้ว เป็นการอาศัยหลักฐานจากการศึกษาทางระบาดวิทยาของชาติทางเอเชียตะวันออกคือ ญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอาหารหมักเกลือ (ได้มีการวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่าเกลือที่ใช้ในการหมักนั้นมีสารประกอบเกลือไนไตร์ทสูง)สารหนูในน้ำดื่ม (Arsenic in drinking water) ปัญหานี้เกิดจากการปนเปื้อนสารหนูทั้งจากของเสียทางอุตสาหกรรมและที่ปนเปื้อนจากธรรมชาติ ข้อมูลทางวิชาการกล่าวว่า สารหนูเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง กระเพาะปัสสาวะ ปอด และผิวหนัง สำหรับบ้านเราแล้วเหมืองแร่ดีบุกที่ร้างแล้วในบางจังหวัดแถวภาคใต้เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำ ซึ่งผู้บริโภคพืชผักผลไม้ที่มีการปนเปื้อนของสารพิษนี้มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังหรือไข้ดำ เครื่องดื่มอัลกอฮอล (Alcoholic drinks) เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งทางเดินอาหารส่วนล่าง (colorectum คือทางเดินอาหารส่วนลำไส้ใหญ่ต่อกับไส้ตรงถึงทวารหนัก) เต้านม ตับ ปากและคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ประเด็นที่น่าสนใจคือ เครื่องดื่มอัลกอฮอลนั้นเป็นสารเสพติดที่เมื่อเริ่มดื่มแล้วมักต้องเพิ่มปริมาณจนผู้ดื่มมีอาการพิษสุราเรื้อรัง อีกทั้งอัลกอฮอลนั้นเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูงกว่าแป้งแต่ต่ำกว่าไขมัน ดังนั้นผู้ที่ดื่มหนักย่อมอิ่มพลังงาน จนไม่สนใจกินผักและผลไม้ จึงขาดสารอาหารสำคัญหลายชนิด ซึ่งมีความสำคัญในการต้านสารพิษที่ร่างกายได้รับจากอาหารที่ใช้แกล้มเหล้าเบต้าแคโรตีนในรูปอาหารเสริม (Beta-carotene supplements) มีผลการศึกษาทางระบาดวิทยากล่าวว่า สารอาหารนี้เมื่อกินเป็นอาหารเสริมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดในคนที่สูบบุหรี่ ทั้งที่เบต้าแคโรตีนนั้นถูกระบุว่า มีความปลอดภัยต่อมนุษย์ที่กินสารอาหารนี้จากอาหารธรรมชาติ เช่น ฟักทอง ใบตำลึง มะละกอสุก มะม่วงสุก ฯลฯ ซึ่งปริมาณอาหารที่กินแบบปรกตินั้น เป็นตัวกำหนดปริมาณเบต้าแคโรตีนที่ร่างกายได้รับไม่ให้สูงเกินจนก่ออันตรายที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ตามสมมุติฐานที่มีการเสนอไว้เครื่องดื่มมาเต (maté) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มในลักษณะเดียวกับชา ซึ่งชงจากใบพืชพื้นเมืองชื่อ Yerba-Mate(Ilex paraguariensis) ในอเมริกาใต้ พืชชนิดนี้ขึ้นได้ดีตามที่ราบลุ่มแม่น้ำในอาร์เจนตินา บราซิล อุรุกวัย และปารากวัย ในการชงเป็นเครื่องดื่มนั้นนิยมนำใบและกิ่งใส่ลงในน้ำร้อนแบบเดียวกับการชงชา ปรากฏว่าการดื่มเครื่องดื่มนี้เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งหลอดอาหาร(esophagus) ของชาวลาตินอเมริกาในอเมริกาใต้ ซึ่งก็เป็นไปในทำนองเดียวกับการข้อมูลที่ทราบกันดีว่า น้ำชาและกาแฟที่ร้อนมาก ๆ มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารดังที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศไปแล้ว อีกทั้ง International Agency for Research on Cancer (IARC) ได้จัดเครื่องดื่มมาเตให้อยู่ในประเภทของสารก่อมะเร็งชั้น น่าจะก่อมะเร็งในมนุษย์ (probably carcinogenic to humans) ปลาเค็มหมักแบบกวางตุ้ง (cantonese style salted fish) ซึ่งเป็นอาหารหมักที่เค็มแบบสุดๆ เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลังโพรงจมูก (nasopharynx) มีผู้กล่าวว่า ปลาเค็มในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นอาหารสำหรับคนจนในประเทศจีน ซึ่งต้องการกินข้าวได้เยอะโดยกินกับข้าวน้อย ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่า พฤติกรรมการกินแบบนี้ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วนจึงมีร่างกายไม่แข็งแรงอาหารเนื้อหมัก (processed meat) ที่คนไทยรู้จักดีคือ แฮม เบคอน ไส้กรอกซาลามี เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินอาหารส่วนล่างและกระเพาะอาหาร ประเด็นดังกล่าวนี้องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเตือนผู้บริโภคทั้งโลกแล้ว ดังนั้นการลดความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งของอาหารเนื้อหมักแบบฝรั่ง(และกุนเชียงของคนจีน) นั้น จึงทำได้ด้วยการกินอาหารประเภทนี้พร้อมผัก ผลไม้และเครื่องเทศ เพื่อให้ได้รับใยอาหารและสารพฤกษเคมีพร้อมกันซึ่งช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เนื้อแดง (Red meat) เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาระบุว่า เนื้อแดงเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินอาหารส่วนล่าง โดยมีสมมุติฐานกล่าวว่า เนื้อแดงซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวสูงนั้นมีโมเลกุลของเหล็ก(องค์ประกอบของโปรตีนมัยโอกลอบิน) สูงกว่าเนื้อขาว จึงมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระชนิด ไฮดรอกซิลฟรีแรดิคอล ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้ดีเอ็นเอของเซลล์กลายพันธุ์จนถึงกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ นักพิษวิทยามักแนะนำให้กินเนื้อแดงแต่พอควรและกินกับผักและผลไม้ต่างๆ เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพออาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (high glycemic load) อาหารประเภทนี้เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งที่มดลูก คำเตือนนี้อาจเนื่องจากสมมุติฐานว่า ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นนั้นมักกระตุ้นการสร้างไขมันให้สูงขึ้นโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีเอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนที่มักเกิดเพิ่มมากขึ้นกว่าปรกติในสตรีที่อยู่ในสภาวะอ้วน ประเด็นที่น่ากังวลคือ ฮอร์โมนนี้ถูกจัดว่าเป็น สารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเองในร่างกายมนุษย์ โดยหน่วยงานทางพิษวิทยาที่ชื่อ National Toxicology Program ของสหรัฐอเมริกาอะฟลาทอกซิน (aflatoxins) เป็นสารพิษจากเชื้อราที่ปนเปื้อนบนธัญพืช เครื่องเทศ ถั่วลิสง ถั่วพิตาชิโอ ถั่วบราซิล ข้าวโพด ข้าวเจ้า ข้าวฟ่าง พริกแห้ง พริกไทย ผลไม้แห้งต่างๆ และอีกมากมายแม้แต่กัญชาตากแห้งก็ไม่พ้น สารพิษนี้เป็นสารก่อมะเร็งตามธรรมชาติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ซึ่งรู้กันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ปัญหาของอะฟลาทอกซินนั้นเกิดมานานแล้วและจะยังดำรงตลอดไปจนกว่าโลกนี้สลายเนื่องจากเป็นเรื่องยากมากที่จะถั่วลิสงที่ถูกกะเทาะเอาเปลือกออกแล้วปลอดสารพิษนี้นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตซึ่งยังตั้งสมมุติฐานไม่ได้คือ ความสูง (Height) นั้นมีข้อมูลทางระบาดวิทยาระบุว่า คนที่สูงมากกว่าคนอื่นเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทางเดินอาหารส่วนล่าง เต้านม ไต รังไข่ ตับอ่อน และต่อมลูกหมาก มากกว่าคนที่เตี้ยกว่า และการมีน้ำหนักแรกเกิดมากเกินไป (Greater birth weight) เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมในเด็กที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ สำหรับในเดือนหน้าจะเป็นตอนที่สองซึ่ง World Cancer Research Fund จะให้ข้อเสนอแนะในการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งสำรหับประชาชนทั่วไป

อ่านเพิ่มเติม >