ฉบับที่ 190 เลือกซอสพริกให้อร่อยปลอดภัย

หลายคนติดใจในรสชาติของซอสพริก เพราะสามารถนำไปรับประทานคู่กับอาหารประเภททอดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไข่เจียว ไส้กรอก ไก่ทอดหรือมันฝรั่งทอด แต่บางครั้งอาจลืมไปว่าซอสพริกไม่ได้มีแค่พริกเป็นส่วนประกอบเท่านั้น แต่ยังมีน้ำตาล - เกลือผสมอยู่ด้วย เพื่อทำให้รสชาติถูกปากยิ่งขึ้น ซึ่งหากยี่ห้อไหนผสมน้ำตาลหรือเกลือสูงก็สามารถทำให้ผู้ที่รับประทานซอสเหล่านั้นเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ได้ ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงเอาใจคนชอบซอสพริก ด้วยการเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลและโซเดียมในฉลาก ว่ายี่ห้อไหนจะหวาน – เค็มมากน้อยกว่ากัน ส่วนผลการทดสอบสารกันบูดของซอสพริก เราจะเอามาฝากในฉบับถัดๆ ไป ใครเป็นแฟนซอสชมผลเปรียบเทียบกันได้เลย  สรุปจากการเปรียบเทียบฉลากซอสพริก16 ตัวอย่าง พบว่า- ยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด คือ จิ้มแจ่มและยัวร์-เชฟ มีน้ำตาล 5 กรัม/หน่วยบริโภค และยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยที่สุดคือ สามภูเขาและม้าบิน มีน้ำตาล 1 กรัม/หน่วยบริโภค- ยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมมากที่สุด คือ ยัวร์-เชฟ มีโซเดียม 620 มิลลิกรัม/หน่วยบริโภค และยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมน้อยที่สุดคือ สามภูเขา มีโซเดียม 105 มิลลิกรัม/หน่วยบริโภค- มี 5 ยี่ห้อที่ไม่สามารถตรวจสอบปริมาณน้ำตาล - เกลือได้ เพราะไม่มีฉลากโภชนาการ ได้แก่ คิงส์คิทเช่น ไฮคิว เด็กสมบูรณ์ สุขุมและพันท้ายนรสิงห์ - ยี่ห้อที่มีราคาต่อหน่วยแพงที่สุดคือ แม่ประนอม ซอสพริกศรีราชา เผ็ดมาก 15 บาท/น้ำหนัก 100 กรัม - ยี่ห้อที่มีราคาต่อหน่วยถูกที่สุดคือ ไฮคิว ซอสพริกศรีราชา และ เทสโก้ เอฟเวอรี่ เดย์ แวลู ซอสพริกเผ็ดกลาง 4 บาท/น้ำหนัก 100 กรัมข้อสังเกต- จากตัวอย่างซอสพริกที่นำมาตรวจสอบฉลากโภชนาการ 11 ยี่ห้อพบว่า มีปริมาณน้ำตาล – โซเดียมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3 กรัมและ 250 มิลลิกรัม/หน่วยบริโภค 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม) ตามลำดับ ซึ่งตามที่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำไว้ว่าใน 1 วันเราควรได้รับปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม (6 ช้อนชา) และโซเดียมสูงสุดไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือคิดเป็นเกลือป่นประมาณ 6 กรัม (1 ช้อนชา) ทำให้เราสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย แต่อย่าลืมว่าเรายังต้องรับประทานอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะอาหารประเภททอด เคียงกับซอสพริกด้วย จึงไม่ควรมองข้ามเรื่องไขมันและพลังงานที่ร่างกายจะได้รับลักษณะซอสพริกที่ดี 1. มีสีสดตามธรรมชาติของส่วนประกอบ มีกลิ่นรสดี2. มีความละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ข้นหรือเหลวเกินไป3. ภาชนะบรรจุต้องปิดสนิท 4. ฉลาก ต้องมีรายละเอียดดังนี้ ชื่ออาหาร เลขทะเบียนอาหาร ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต น้ำหนักสุทธิ วัน/เดือน/ปี ที่ผลิตหรือหมดอายุ ชนิดส่วนประกอบและวัตถุเจือปน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ระยะเวลารับประกันสินค้า (ไม่) เป็นธรรม

บางครั้งระยะเวลาการรับประกันสินค้าก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างร้านค้ากับผู้โภค ซึ่งมักสร้างปัญหาได้หากผู้บริโภครู้สึกว่าระยะเวลารับประกันสินค้าดังกล่าวไม่มีความเป็นธรรม ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้คุณสุชัยนำคอมพิวเตอร์ไปซ่อมที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ เนื่องจากการ์ดจอเสีย โดยหลังซ่อมเสร็จเรียบร้อยทางร้านแจ้งว่าจะรับประกันงานซ่อมให้ 3 เดือน ซึ่งเมื่อใกล้วันหมดอายุการรับประกัน (เหลืออีก 5 วัน) เขาพบว่าคอมพิวเตอร์เสียอีกครั้ง จึงนำกลับไปซ่อมที่ร้านเดิม โดยหลังซ่อมเสร็จเรียบร้อยทางร้านแจ้งว่าจะรับประกันงานซ่อมให้อีก แต่รับประกันเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงทำให้ผู้ร้องสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่ และส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ชี้แจงว่าในกรณีการรับประกันสินค้าการซ่อมสินค้าของร้านค้าทั่วไป หากสินค้าชำรุดในขณะที่ยังอยู่ในระยะเวลาการรับประกัน ทางร้านก็ต้องซ่อมให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ในกรณีของผู้ร้องที่นำคอมพิวเตอร์ไปซ่อมอีกครั้งเพราะการ์ดจอเสีย โดยอีก 5 วันจะหมดระยะเวลาการรับประกันสินค้า ต้องพิจารณาว่าทางร้านซ่อมแซมให้อย่างไร ซึ่งหากเป็นการซ่อมการ์ดจออันเดิมจากครั้งแรก สามารถนับเวลาการรับประกันต่อจากเดิมที่เคยตกลงกันไว้ได้ แต่หากเป็นการเปลี่ยนการ์ดจอให้ใหม่ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการรับประกันใหม่เช่นกัน เนื่องจากอะไหล่ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีอายุการใช้งานที่จำกัดนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 อาหารหมดอายุ

แม้เราจะเคยเสนอประเด็นเรื่องอาหารหมดอายุมาแล้วหลายครั้ง แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ดังเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคทั้ง 2 รายนี้กรณีที่หนึ่ง โยเกิร์ตหมดอายุเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณปาริชาติ เธอได้ซื้อโยเกิร์ตยี่ห้อหนึ่งจำนวน 2 แพ็ค จากห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ในราคาที่ลดกระหน่ำเหลือเพียงแพ็คละ 7.50 บาท แต่ด้วยความเร่งรีบจึงทำให้เธอลืมตรวจสอบ ว/ด/ป หมดอายุของสินค้าดังกล่าว ซึ่งภายหลังนำมารับประทานจึงพบว่าสินค้าทั้ง 2 แพ็ค หมดอายุไปแล้ว ทำให้เธอส่งเรื่องมาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ โดยต้องการให้ห้างสรรพสินค้าดังกล่าวรับผิดชอบที่นำอาหารหมดอายุมาวางจำหน่ายแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีนี้สามารถอ้างอิงตาม พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง การจำหน่ายอาหารหมดอายุได้ว่า เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 29 ซึ่งถือได้ว่าการจำหน่ายอาหารหมดอายุ เป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค และบทลงโทษอยู่ในมาตรา 61 ระบุว่ามีโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับศูนย์ฯ จึงแนะนำให้ผู้ร้องเตรียมเอกสารประกอบการร้องเรียน ได้แก่ ใบเสร็จรับเงิน รูปถ่ายผลิตภัณฑ์ – ตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้หากมีอาการผิดปกติกับร่างกาย เช่น ท้องเสีย อาเจียน สามารถไปพบแพทย์และขอใบรับรองแพทย์มาเป็นหลักฐานเพิ่มเติมได้ และศูนย์ฯ จะช่วยทำหนังสือร้องเรียนไปยังห้างสรรพสินค้าดังกล่าว เพื่อให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยตามข้อเสนอของผู้ร้อง ซึ่งภายหลังการเจรจาได้มีเสนอชดเชยผู้ร้องเป็นจำนวนเงิน 4,000 บาท ซึ่งผู้ร้องยินดีและขอยุติการร้องเรียนกรณีที่สอง เบียร์หมดอายุเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณสมชาย เขาซื้อเบียร์ต่างประเทศ จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งระบุวันที่ผลิตว่าปี 2015 อย่างไรก็ตามภายหลังซื้อมาดื่ม เขาพบว่ามีอาการปวดท้องและท้องเสีย และเมื่อมาค้นหาข้อมูลเรื่องวันหมดอายุของเบียร์ก็พบว่า โดยปกติเบียร์ต่างประเทศจะมีอายุได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ทำให้เขาคาดว่าเบียร์ดังกล่าวน่าจะหมดอายุไปแล้ว และเป็นสาเหตุของอาการท้องเสียที่เกิดขึ้น จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องโทรศัพท์ไปสอบถามยังบริษัทผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวก่อนว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ร้องซื้อมามีอายุการบริโภคเท่าไร และหมดอายุไปแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าหมดอายุแล้วจริง แต่มีการนำสินค้ามาจำหน่ายจะเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 กรณีจำหน่ายอาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค หรือหากพบว่าอาหารยังไม่หมดอายุแต่เสื่อมสภาพแล้วก็สามารถฟ้องร้องได้เช่นกัน โดยมีโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งผู้ร้องสามารถส่งหลักฐานประกอบการร้องเรียน เช่น ข้อมูลเอกสารผลิตภัณฑ์ ใบรับรองแพทย์ บันทึกประจำวัน มาให้ทางศูนย์ฯ ช่วยเหลือได้ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องไม่ต้องการฟ้องร้องต่อ จึงขอยุติการร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 เสี่ยงอันตรายขณะลงรถเมล์

หลายคนที่ต้องโดยสารรถเมล์ อาจเคยเจอปัญหาเมื่อถึงป้ายที่ต้องการจะลงแล้วรถเมล์ไม่ยอมจอดรถให้สนิท ซึ่งสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากผู้โดยสารก้าวขาลงไม่ทันขณะที่รถเมล์ออกตัวไป ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ควรทำอย่างไร ลองไปดูกันคุณสุชาติและครอบครัวโดยสารรถเมล์สาย 81 จากต้นสายเชิงสะพานปิ่นเกล้า ไปลงป้ายก่อนถึงห้างสรรพสินค้าซีคอนบางแค อย่างไรก็ตามเมื่อถึงป้ายที่ต้องการก็พบว่ามีคนลงจำนวนมาก ซึ่งในขณะที่เขากำลังก้าวลงจากรถ คนขับรถเมล์ก็ออกรถไปเลย แม้คนที่อยู่บนรถจะช่วยกันบอกว่าคนยังลงไม่หมด แต่คนขับและกระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ได้สนใจและขับรถออกไป ซึ่งแม้ครั้งนี้เขาจะลงรถได้อย่างปลอดภัย แต่ก็กังวลว่าหากรถเมล์คันดังกล่าวยังทำพฤติกรรมเช่นนี้ต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ โดยอยากให้ทาง ขสมก. มีการตรวจสอบ ตักเตือนหรือลงโทษการกระทำของคนขับในกรณีดังกล่าวแนวทางการแก้ไขปัญหาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องเตรียมหลักฐานประกอบการร้องเรียน คือ ทะเบียนรถหรือชื่อคนขับ และวันเวลาการโดยสาร เพราะเป็นสิ่งที่สามารถติดตามเอาผิดได้ อย่างไรก็ตามผู้ร้องได้แจ้งกลับมาว่า เขาไม่ได้จำเลขทะเบียนรถหรือชื่อคนขับ เพียงแต่จำรูปพรรณของกระเป๋ารถเมล์และวันเวลาการเดินทางได้เท่านั้น ทำให้เมื่อศูนย์ฯ ช่วยดำเนินเรื่องร้องเรียนไปยัง ขสมก. ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ขายหวยชุดเกินราคา

แม้รัฐบาล คสช. จะประกาศห้ามขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนด คือ คู่ละ 80 บาท แต่ผู้บริโภคบางส่วนก็ยังพบปัญหาราคาสลากกินแบ่งแพงอยู่ดี โดยพ่อค้าแม่ค้าหัวใสบางรายมีการจำหน่ายหวยชุด หรือสลากกินแบ่งที่มีตัวเลขเดียวกันจำนวน 5 -10 ใบ แล้วนำไปบวกราคาเพิ่มอีก 50 – 200 บาท ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณสมพรเลือกซื้อหวยชุดจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ใน จ.อุบลราชธานี เมื่อสอบถามราคาก็พบว่าจำหน่ายอยู่ที่ชุดละ 450 บาท โดยมีสลากกินแบ่งทั้งหมด 5 ใบ ซึ่งเมื่อคิดราคาต่อฉบับแล้วอยู่ที่ 90 บาท เธอจึงลองไปดูร้านอื่น ก็พบว่าทุกร้านจำหน่ายสลากกินแบ่งชนิดดังกล่าวในราคาพอๆ กัน โดยราคาสลากในชุดจะมีตั้งแต่คู่ละหรือใบละ 90 -120 บาท ทำให้เธอเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดหวยชุดจึงต้องขายราคาสูงกว่าปกติ และเมื่อสอบถามคนขายก็ได้รับคำตอบแค่ว่า เจ้าอื่นก็ขายราคานี้กันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้คุณสมพรจึงรู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค จึงร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาจากกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กฎหมายกำหนด เพราะตามมาตรา 39 ของคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่ 11/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขที่เกิดจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล กำหนดให้จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาคู่ละ 80 บาทเท่านั้น ซึ่งหากพบว่าผู้ใดเสนอขาย หรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนดต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศูนย์ฯ จึงช่วยผู้ร้องทำหนังสือไปยังผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าดังกล่าว ภายหลังกองสลากได้รับเรื่องก็ประสานงานให้กองสลากประจำพื้นที่อุบลราชธานีเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งได้แจ้งกลับมาว่าไม่พบการจำหน่ายสลากเกินราคาตามที่ผู้ร้องแจ้งมา อย่างไรก็ตามหากผู้ร้องพบเห็นการจำหน่ายสลากกินแบ่งเกินราคาอีก สามารถร้องเรียนโดยตรงได้ที่สำนักงานกองสลากในพื้นที่ๆ อาศัยอยู่ หรือโทรศัพท์ไปยังศูนย์รับแจ้งเรื่องร้องทุกข์เบอร์ 02-345-1466 และสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถเดินทางหรือส่งจดหมายไปร้องเรียนได้ที่ สำนักงานสลากินแบ่งรัฐบาล: 359 ถ.นนทบุรี ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี 11000 เบอร์โทรศัพท์ 02-528-8888 หรือโทรสาร 02-528-9228

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 พัชราภา เวลเคอร์ “หมอลืมของไว้ในแก้มฉัน”

คุณพัชราภา เวลเคอร์ เข้ารับการผ่าตัดกรามจากคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยสาเหตุที่เธอเลือกใช้บริการคลินิกแห่งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียง ได้รับการรีวิวจากผู้ใช้ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินจากประเทศเยอรมันกลับบ้านเกิด เพื่อมาทำศัลยกรรมดังกล่าว หลังผ่าตัดเสร็จและมาพักฟื้นที่กรุงเทพฯ เธอพบว่าแผลที่ผ่าตัดเป็นหนองอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้จะมีอาการดีขึ้น แต่เธอยังปวดแผลจึงต้องย้อนกลับไปที่คลินิกเดิม เพื่อให้แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้ตรวจรักษา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และเมื่อเธอจำต้องเดินทางกลับประเทศเยอรมนี ก็พบว่าอาการยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แพทย์ที่เยอรมนี บอกกับเธอหลังการเอ็กซ์เรย์ว่า มีเศษกระดูกชิ้นเล็กติดค้างอยู่ตรงบริเวณที่แผลอักเสบ และเมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวออก ก็ยังพบผ้าก๊อซถูกทิ้งไว้ที่บริเวณแผลผ่าตัดอีกด้วย!ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้กับคุณ คุณจะทำอย่างไรฉลาดซื้อนัดพบกับคุณพัชราภา ซึ่งได้เล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตอนนั้นที่ไปทำเป็นเคส(คนไข้) สุดท้ายของวันนั้น เนื่องเพราะลูกค้าเขาเยอะมาก เราไปกับลูกสาวเพราะเขาก็อยากไปเหลาคางด้วยเช่นกัน กรณีของเรา คุณหมอที่คลินิกนั้นก็แนะนำให้เสริมคางด้วยเพื่อจะได้ดูสวยขึ้นอีก ซึ่งเราก็ตกลง แต่เราให้คิวลูกสาวทำก่อนเผื่อลูกเจ็บปวดแผลเราจะได้ดูแลได้ เราสองคนจึงเป็นลูกค้าสองคนสุดท้ายของวันนั้น ลูกสาวเข้าไปเวลาประมาณ 2 หรือ 3 ทุ่มไม่แน่ใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ออกมาบอกว่าของลูกสาวเราเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ทันได้เห็นว่าลูกเป็นอย่างไรเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราเข้าไปในห้องผ่าตัด ตอนนั้นจึงเห็นว่า ห้องผ่าขนาดมันเล็กนิดเดียว ตามความเข้าใจของเราเอง เราเข้าใจว่าเขาต้องให้เราเอ็กซเรย์หรือพิจารณารูปหน้าอะไรของเราก่อน แต่เขาไม่ได้เอ็กซเรย์แต่ให้ยาน่าจะเป็นยาสลบฉีดเข้าไปแล้วเราก็หลับไปเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนโดนทุบที่หน้าฝั่งซ้ายแรงมากประมาณ 5 ครั้งแล้วเหมือนยาสลบมันจะหมดฤทธิ์แล้วเราก็รู้สึกปวดขึ้นมาถึงหูเลย แล้วเขาก็บอกว่าเสร็จหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปนอนที่ห้องพักฟื้น ตอนนั้นก็มาสังเกตว่าทำไมถึงมีสำลีอยู่ในจมูก จังหวะเดียวกับมีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า “หมอต่อปลายจมูกให้หน่อยหนึ่ง” จมูกจะได้โด่งสวย ซึ่งอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง สักพักลูกสาวจึงเดินมาหาบอกว่า ตอนแม่อยู่ในห้องผ่าตัดมีคุณหมอเดินมาบอกว่าต่อปลายจมูกให้แม่นิดหนึ่งนะ เราเลยได้ปลายจมูกนี้มาโดยที่ไม่ได้ตกลงว่าให้ทำให้ กรณีของลูกสาวตอนก่อนทำเธอยังอายุไม่ครบ 20 ปี เราต้องเซ็นยินยอมให้ทำ แต่ต่อปลายจมูกให้เราทำไมแค่ไปบอกลูกสาวให้รับทราบ ไม่บอกเรา สุดท้ายคืนนั้นก็นอนพักฟื้นที่นั่น 1 คืน นอนยาวไปตั้งแต่ 4 ทุ่มคืนนั้นจนออกจากคลินิกตอนเย็นของอีกวัน ซึ่งก็ไม่ได้เจอคุณหมออีกเลยหลังจากผ่าเสร็จ ในตอนเย็นเราได้เจ้าของคลินิกขับรถมาส่งที่สนามบินเพราะตรงนั้นเรียกรถลำบากมันเข้าไปในซอยเป็นสวน พอเรากลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกปวดแผล ปวดมาก แล้วที่ครอบหน้าที่เขาให้มามันจะมีลักษณะเหมือนสเตย์เราก็ใช้ไม่ได้เลยเพราะปวดมาก บวมตลอด เราก็รู้สึกว่าข้างนี้(ข้างซ้าย) มันไม่มีหนอง แต่อีกข้างมันอักเสบ มันมีหนอง ปวดมากจนครบ 6 วันทนไม่ไหวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ที่พักในกรุงเทพฯ หมอที่นั่นเขาก็กดหนองออกให้แล้วก็ฉีดยาฆ่าเชื้อตลอดทุก 4 – 6 ชั่วโมง ก็อยู่ได้ 1 วัน 1 คืน อาการทุเลาลงแต่เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชนมันก็แพง เราก็โทรไปหาที่คลินิกที่เชียงรายบอกว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ ต้องนอนโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเยอะ เขาก็ทนเรารบเร้าไม่ไหวก็บอกว่าจะให้เราไปนอนที่เชียงรายให้คุณหมอดูอาการไหม เราก็รีบเลยพอเขายอมให้เราไปนอน ซึ่งเราก็โทรติดต่อเขาตลอดเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวก็หาย หนองหมดก็หายแล้วเขาก็ไม่ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ให้เราเลย หมดไปประมาณ 2 กว่าหมื่นบาท พอเรากลับไปหาหมอที่คลินิกที่ผ่าตัดศัลยกรรมให้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะดูแลเราเลย คือ คลินิกเปิดวันอาทิตย์แต่เราไปวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ไม่แน่ใจก็ต้องไปนอนรอจนถึงวันอาทิตย์ พอถึงวันอาทิตย์คลินิกเปิด 9 โมงเขาก็ยังไม่เรียกเราไปทำแผล ผู้ช่วยคุณหมอเดินมาบอกว่าวันนั้นมีผ่าตัด 30 เคสกว่าจะเรียกไปกดหนองก็บ่าย 3 โมงแล้ว เราต้องกลับมานอนต่อที่บ้านพักแล้วเขาถึงมาเรียกไปอีกทีตอนตี 4 เพื่อเจาะเอาหนองออกพร้อมกับบอกว่าหนองหมดก็หายแล้ว เราก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านในวันถัดไป ซึ่งตอนนั้นพอกดหนองออกไปมันก็หายปวดจริง แต่พอกลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีหนองมาอีกจนเราจำเป็นต้องเดินทางกลับไปเยอรมนี ไปได้แค่ 2 วัน มีหนองออกมาทุกชั่วโมงเลยจากรูที่เขาเจาะเอาหนองออกให้ เรากดหนองออกเองได้ทุกชั่วโมง ผ้ารัดหน้าหรือสเตย์ก็ยังใส่ไม่ได้เพราะแผลอักเสบตลอด จนต้องไปโรงพยาบาลที่เมืองที่เราอยู่ ซึ่งเขาเอาใจใส่เราดี ครั้งแรกที่ไปเอ็กซเรย์ไม่เจออะไรเลยเจอแต่รอยตัดกระดูก ซึ่งเขาบอกว่าตัดเยอะไป เขาก็พยายามหาสาเหตุให้รู้ให้ได้ว่าที่มันอักเสบเป็นเพราะอะไร ก็ต้องเข้าเครื่องสแกนแบบพิเศษ จึงเจอว่ามีเศษกระดูกชิ้นขนาดเท่าเมล็ดฟักทองได้ค้างอยู่ ขนาดแผลอักเสบที่วัดได้ประมาณ 13 ซม. หมอที่นั่นบอกว่า ต้องเอาเนื้อตรงนี้ออก ส่วนที่อักเสบต้องขูดเนื้อเน่าออกให้หมด เราก็ต้องให้แฟนเซ็นยินยอมให้ผ่าตัด ซึ่งที่นี่เขาก็เห็นว่ากระดูกข้างซ้ายมันหักเหมือนตรงมุมมันร้าวแล้วตรงช่วงระหว่างแก้มมันหัก เขาก็เลยให้ล็อคฟันไว้โดยใช้ลวดมัดล็อคไว้ทั้งบนและล่าง เป็นผลให้กินอะไรไม่ได้เลยต้องให้อาหารผ่านสายยางตลอด ต้องให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อทุก 4 ชั่วโมง นอนอยู่ถึง 3 คืนเพื่อรอให้อาการคงที่ พอได้ผ่าตัดเขาก็ตัดลวดออก แต่พอเสร็จก็โดนล็อคใหม่อีก ตอนนั้นผ่าเสร็จไปได้ 1 วันคุณหมอก็ถือกระป๋อง 1 ใบมาให้แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่เอาออกมา เป็นเศษกระดูกประมาณ 3 – 4 ชิ้นแล้วก็ผ้าก็อซ ที่มันอักเสบไม่หายก็เพราะว่า ผ้าก็อซที่มันปนอยู่กับกระดูกทำให้กดหนองเท่าไรก็ไม่หมดเพราะผ้ามันซับอยู่ คุณหมอที่รักษาบอกว่าจริงๆ แล้วไม่อยากให้เห็น แต่นี่เป็นสิ่งผิดพลาดที่เราได้รับมาเขาถึงอยากให้เห็นว่ามันคืออะไร ความรู้สึกตอนนั้น คือไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้นี่มันค้างอยู่ในหน้าเราเป็นเดือน ตั้งแต่ทำมา 7 กันยายน 2558 จนไปผ่าตัดที่เยอรมัน 23 ตุลาคม ระยะเวลาเป็นเดือน เราต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เยอรมันอีกเป็นอาทิตย์ถึงได้กลับบ้าน แต่ต้องใส่อุปกรณ์ที่ล็อคปากต่อไปอีก 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดไปดูเรื่อยๆ ตอนนั้นหน้าเราเริ่มยุบไม่อักเสบแล้ว แต่ความรู้สึกมันเหมือนเราไม่มีริมฝีปาก มันรู้สึกชาตลอด แล้วเวลาพูดเยอะหรือต้องขยับปากมากๆ ปากมันจะเบี้ยว เวลากินอะไรก็จะมีอาหารไหลย้อยลงมา เวลาพูดเยอะก็เหมือนบังคับไม่ได้เพราะมันไม่รู้สึก สังเกตได้ว่าหน้าตรงที่ผ่าตัดนั้นมันยุบไป เพราะเราโดนขูดเนื้อเสียออกไป พอเย็บแผลตรงนั้นมันก็ไม่มีเนื้อหน้าเลยดูเบี้ยว ก็รอมาเป็นปีเนื้อมันก็ไม่ขึ้นมา”นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับเธอเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2558 เมื่อฉลาดซื้อได้รับข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์สิทธิ ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเธอมาขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือ เราขอสัมภาษณ์เธอ เธอบอกยินดีที่จะเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมเราถามเธอต่อเรื่องอาการบาดเจ็บและผลจากรูปหน้าที่เสียหายว่ามีทางรักษาไหม เธอบอกว่า“เคยปรึกษาคุณหมอที่เยอรมันแค่เรื่องหน้าชาๆ เพราะเขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ได้มากเพราะปากเราชาอยู่แล้วเดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ และริมฝีปากกับคางส่วนนี้เส้นประสาทมันเยอะ ถ้าจะรักษาแผลเป็นตรงนั้นก็ต้องผ่าแถวๆ นั้นซึ่งมันก็เสี่ยง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้หน้าด้านซ้าย เวลาที่เอานิ้วกดลงไปมันยังรู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นไปถึงหูเลย เราก็คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ช่วงนั้นเขาต่อกระดูกให้คือเขาล็อคเพื่อให้กระดูกมันสมานกัน ซึ่งกระดูกมันสมานกันจริง แต่มันไม่ได้เข้ากับรูปหน้าเดิมเพราะอีกข้างที่มีผ้าก็อซค้างอยู่ ก็โดนตัดเหมือนกันแต่ว่าไม่เป็นอะไร ตอนนี้กลายเป็นว่าหน้าเรายุบข้างหนึ่ง ป่องข้างหนึ่ง และริมฝีปากก็ไม่มีความรู้สึกทุกวันนี้อาการยังเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นเลย เวลากินอาหารรสเผ็ด หวาน เค็มหรืออะไรก็ตาม มันก็จะชาอยู่แบบนี้แต่ว่าเราได้รสชาติอาหารจากลิ้นแต่ความเผ็ดจนแสบปากนั้นไม่มีความรู้สึก อาการเหมือนโดนหนังยางมารัดปากไว้ตลอดเวลา เวลากินอาหารแฟนก็ต้องคอยบอกเวลามีอะไรติดอยู่ที่ปากเพราะเราไม่รู้สึกว่ามันติดปากอยู่ ทำให้ตอนนี้ถ้ากินข้าวนอกบ้านเวลาตักอาหารเข้าปาก 1 คำก็เช็ดปาก 1 ครั้ง เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เสียความรู้สึกเพราะว่าผลข้างเคียงเยอะ เราเชื่อว่า เกิดจากหมอที่ผ่าตัดให้เรา รับเคสมากเกินไป เหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเราเป็นเคสสุดท้าย เป็นไปได้ว่า หมออาจจะอยากรีบกลับบ้านเลยไม่ได้ดูให้รอบคอบมันถึงมีผลข้างเคียงถึงขนาดนี้”การเรียกร้องสิทธิเธอได้พยายามหาทางที่จะให้คลินิกรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ผิดพลาด จึงได้ประสานไปที่เจ้าของคลินิก “ตอนแรกก็โทรไปคุยกับหลานของเจ้าของคลินิกว่า เราเป็นแบบนี้ๆ นะต้องเข้ารักษาใน รพ. นี้ๆ ค่าใช้จ่ายก็เยอะแล้วผ่ามาเจอแบบนี้ๆ นะ เราก็เล่าให้เขาฟังไปและบอกว่าอยากให้ทางคุณหมอรับผิดชอบ หลานเจ้าของคลินิกบอกว่าเขาตัดสินใจให้ไม่ได้ เราก็งงว่า ทำไมคุณไม่ไปถามกับหมอล่ะ ว่าจะรับผิดชอบอะไรเราไหม ตั้งแต่นั้นพอถามไปทีไรก็เงียบ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยมาพึ่งมูลนิธิฯ ว่าพอมีกฎหมายอะไรช่วยเราได้บ้าง” หลังจากผ่านการเจรจากับตัวแทนของคลินิกไปหนึ่งครั้ง ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “ตัวแทนเขาบอกว่า ช่วยค่ารักษาพยาบาลได้แค่ค่ารักษาตัวที่เยอรมัน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่นี่จิปาถะทั้งหลายเขาไม่พูดถึง และบอกว่ามารักษากับเขา เขาจะทำหน้าให้สวยที่สุด ทำให้ดีที่สุดแล้วแถมทำให้เพิ่มอีก 1 คนพาเพื่อนมาทำได้เลยแถมให้ 1 หน้าจะพาใครไปทำก็ได้ แล้วเราจะกล้าทำไหมในเมื่อปากเรายังชาอยู่เลยยังแก้ไขไม่ได้เลย คุณแก้ตรงนี้ให้เราได้ไหม” พอฉลาดซื้อถามถึงเรื่องแพทย์ที่ผ่าตัดให้ว่าเคยได้พูดคุยกันไหม คุณพัชราภาตอบว่า ไม่เจอเลย ทราบแต่ว่าปัจจุบันหมอคนนี้ก็ยังผ่าตัดอยู่เหมือนเดิม สำหรับการเจรจาครั้งที่สอง กำหนดไว้เป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ก็ขอเอาใจช่วยคุณพัชราภาให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 กระแสต่างแดน

ขอแชร์เรื่องร้อนข้อมูลมหาศาลจากกิจกรรมออนไลน์ของเราไม่ได้ถูกเก็บในก้อนเมฆอย่างที่เราเรียกกัน จริงๆ แล้วมันอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเจ้าต่างๆ อาจเป็นห้องเล็กๆ หรืออาคารขนาด 15 สนามฟุตบอลที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ และมันบริโภคร้อยละ 3 ของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยลีดส์ ในอังกฤษระบุว่าการแชะ แชร์ ช้อปและอื่นๆ บนอุปกรณ์สื่อสารของเราจะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 300 เท่าอีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จึงต้องรีบทำตัวให้ “เขียว” เช่น Facebook เลือกสร้างศูนย์ข้อมูลไว้ทางตอนเหนือของสวีเดน 70 ไมล์จากวงแหวนอาร์กติกเพื่อลดความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ (แต่ก็ยังต้องใช้พัดลมยักษ์ช่วยถึง 500 ตัว) ในขณะที่ค่าย Ericsson ส่งลมร้อนที่เกิดขึ้นไปให้ความอบอุ่นกับผู้คนในเมืองเคอโดนูมี ทางตอนใต้ของฟินแลนด์ด้าน Google และ Apple เริ่มหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google ที่มีแผนจะใช้พลังงานสะอาดในศูนย์ข้อมูลทั้งหมดของบริษัทภายในปี 2017ขอคืนด้วยคนเยอรมันรักการดื่มกาแฟไม่แพ้ชาติใดในโลก มีผู้คนถึงร้อยละ 70 ที่นิยมซื้อกาแฟใส่แก้วไปทานนอกร้าน ทำให้สถิติการใช้แก้วกระดาษของเขาอยู่ที่ชั่วโมงละ 320,000 ใบ หรือปีละ 3,000 ล้านใบ ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 83,000 ตัน และเนื่องจากเยอรมนีเคร่งครัดเรื่องความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหาร ผู้ผลิตจึงไม่นิยมนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ จึงมีต้นไม้ถูกตัดปีละ 43,000 ต้น สมาคมพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเยอรมนีบอกว่าถ้ากาแฟ “ทูโก” จะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ก็ควรมีแก้วกาแฟแบบใช้ซ้ำไว้เป็นทางเลือกบ้าง โปรเจค “ไฟร์บูร์กคัพ” เริ่มขึ้นในเดือนที่ผ่านมาและมีทีท่าว่าจะไปได้สวย ขณะนี้มีผู้ประกอบการร้านกาแฟเข้าร่วม 56 ราย และมีแก้วกาแฟที่ล้างแล้วใช้ซ้ำได้ถึง 400 ครั้งหมุนเวียนอยู่ในเมือง 15,000 แก้ว (แต่แมคโดนัลด์และสตาร์บัคส์ ไม่ร่วมด้วยเพราะไม่ต้องการใช้แก้วที่ไม่มีสัญลักษณ์แบรนด์ตัวเอง)ผู้ซื้อจ่ายค่ามัดจำแก้ว 1 ยูโร (38 บาท) ไปพร้อมค่ากาแฟ เมื่อดื่มหมดแล้วก็นำแก้วไปขอรับเงินคืนจากสาขาใดก็ได้ของร้านดังกล่าว เจ้าของร้าน Cafe Aspekt บอกว่าขณะนี้ร้อยละ 30 ของลูกค้าเปลี่ยนมาใช้ “ไฟร์บูร์กคัพ” แล้วแอปหมูๆชาวโฮจิมินห์มีตัวช่วยในการเลือกซื้อเนื้อหมูในตลาดสดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม เป็นมา ผู้บริโภคจะสามารถโหลดแอปจาก www.te-food.com ลงในสมาร์ตโฟนเพื่อใช้สแกนข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์ ฟาร์มเลี้ยง โรงฆ่า ไปจนถึงตลาดที่จำหน่าย จากตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่ที่เนื้อหมูได้ขณะนี้มีฟาร์มประมาณ 1,000 แห่ง โรงฆ่า 11 โรง และตลาดอีก 60 แห่งสนใจเข้าร่วมโครงการนำร่อง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐที่ดูแลด้านอุตสาหกรรมและการค้า การเกษตร การพัฒนาชนบท และเทคโนโลยี งานนี้เขารับประกันว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเข้าถึงเนื้อหมูคุณภาพได้ เพราะตลาดขายส่งสองแห่งที่ร่วมโครงการ(ตลาดบินเตียนและตลาดฮกมน) ก็เป็นแหล่งจำหน่ายเนื้อหมูถึงร้อยละ 80 แล้วโครงการฉบับเต็มจะเริ่มในเดือนมีนาคมปีหน้า และจะขยายต่อไปยังเนื้อสัตว์ชนิดอื่น รวมถึงผัก และผลไม้ เพราะถึงเวลาแล้วที่เทคโนโลยีต้องช่วยให้เรากินดีอยู่ดีหนี้เหนือระบบแพลตฟอร์มการกู้ยืมเงินออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมมากในหมู่หนุ่มสาวชาวจีน เพราะเจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถตกลงเรื่องจำนวนเงิน การค้ำประกัน และดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องพบเจอกัน การหาเงินกู้มันจะสะดวกสบายอะไรปานนั้น แต่มันอาจต้องแลกมาด้วยความอับอาย ในปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีรูปนู้ดของสาวๆ จำนวนมากถูกแชร์ออกมาในอินเตอร์เน็ต ผู้หญิงในรูปก็คือบรรดาลูกหนี้ที่ค้างจ่าย และคนที่นำรูปมาเผยแพร่ก็คือเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหดนั่นเอง เจ้าหนี้และลูกหนี้เป็นผู้ใช้บริการเว็บไซต์ Jiedaibao ซึ่งออกตัวว่าไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงข้อตกลงระหว่างผู้ใช้บริการได้ เจ้าหนี้กลุ่มนี้ (ซึ่งปล่อยกู้ให้กับนักศึกษาโดยเฉพาะ) เลือกใช้หลักประกันเป็นรูปถ่ายหวิวของลูกหนี้ขณะถือบัตรประจำตัว และลูกหนี้ซึ่งเป็นนักศึกษาหญิงอายุระหว่าง 19 – 23 ปีก็ยินยอมให้เผยแพร่ได้หากชำระเงินไม่ตรงเวลาพร้อมหรือยังเมื่อโดนัลด์ ทรัมพ์บอกว่าเขาจะฟื้นอุตสาหกรรมสิ่งทอในสหรัฐและนำเม็ดเงินกลับมาเข้ากระเป๋าคนอเมริกัน ในการหาเสียงที่กรีนส์โบโร ในอริโซนา(อดีตฐานการผลิตสิ่งทอของสหรัฐฯ) ... หลายฝ่ายเกิดความสงสัยโรงงานผลิตเสื้อผ้าขนาดใหญ่ในอเมริกาปิดกิจการไปหมดแล้วในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพราะแบรนด์แฟชั่นต่างๆ ย้ายไปใช้โรงงานในประเทศจีนกันหมด คนอเมริกันเองก็คุ้นชินและคาดหวังเสื้อผ้าคุณภาพดีราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศกันหมดแล้ว ปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 2 ของเสื้อผ้าเท่านั้นที่ผลิตในอเมริกา ร้อยละ 20 นำเข้าจากเม็กซิโก ที่เหลือก็มาจากแถวใกล้ๆ บ้านเรานี่เองแม้แต่แบรนด์เสื้อผ้า IVANKA TRUMP มูลค่า 135 ล้านเหรียญของลูกสาวเขาเองก็ใช้ฐานการผลิตในจีนและเวียดนาม ก่อนจะโน้มน้าวใครให้หันกลับมาสร้างงานให้คนอเมริกัน ทรัมพ์คงต้องคุยกับลูกสาวตัวเองก่อน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนธันวาคม 2559“ขนมควันทะลัก” กินได้แต่ต้องระวัง!!!“ขนมควันทะลัก” ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์ โดยหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ขนมชนิดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไอศกรีมแล้วมีการนำ “ไนโตรเจนเหลว” มาเทใส่ทำให้เกิดควันลอยกระจายขึ้นมา เมื่อตักขนมเข้าไปในปากก็จะเกิดควันลอยออกมา มีกระแสข่าวลือตามว่า ไนโตรเจนเหลวที่นำมาผสมในอาหาร เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะส่งผลเสียต่อร่างกาย รุนแรงถึงขั้นทำให้กระเพาะทะลุนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ออกมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ โดยอธิบายว่า ก๊าซไนโตรเจน เป็นก๊าซที่มีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว แต่เมื่อนำมาบีบอัดด้วยแรงดันสูงทำให้ก๊าซชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวและมีอุณหภูมิติดลบถึง 196 องศาเซลเซียส เมื่อนำมาเทใส่ในอาหาร เช่น ไอศกรีม เจลลี่ หรือ ค็อกเทล จะทำให้เกิดเป็นควันลอยขึ้นมา ซึ่งการรับประทานไม่ได้ส่งผลรุนแรงต่อร่างกายถึงขั้นทำให้กระเพาะทะลุตามที่มีการแชร์กัน แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานขณะที่ควันยังอยู่ในอาหาร เพราะอาจทำให้เกิดแผลในช่องปาก ไม่ควรสูดดม และสัมผัสกับไนโตรเจนเหลวโดยตรงเพราะอาจทำให้ผิวหนังที่สัมผัสเกิดรอยแผลหรือรอยไหม้ได้ใช้แอพฯในมือถือเช็คมาตรฐานรถฉุกเฉินรถพยาบาลหรือรถกู้ชีพฉุกเฉิน ถือเป็นหน่วยแรกที่ทำหน้าที่ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บในเบื้องต้นก่อนที่จะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป แต่ที่ผ่านมาก็มีเรื่องร้องเรียนถึงมาตรฐานของรถพยาบาลเข้ามายังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งรถพยาบาลฉุกเฉินทุกคันจะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานจาก สพฉ. ก่อนจึงจะสามารถนำมาใช้เพื่อวิ่งรับ-ส่งผู้ป่วยล่าสุด สพฉ.ได้จัดทำแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือที่มีชื่อว่า “EMS Certified” เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบว่ารถพยาบาลหรือรถกู้ชีพฉุกเฉินคันไหนที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วบ้าง โดยสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้ 1. ถ่ายรูป คิวอาร์โค้ด ของรถปฏิบัติการฉุกเฉินหรือรถกู้ชีพฉุกเฉิน เพื่อนำมาสแกนในแอพพลิเคชั่น ว่าได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก สพฉ. หรือไม่ และ 2. ตรวจสอบได้โดยการพิมพ์เลขทะเบียนรถ แล้วเลือกชื่อจังหวัดของรถคันนั้น ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่ารถปฏิบัติการฉุกเฉินหรือรถกู้ชีพฉุกเฉินคันดังกล่าวผ่านมาตรฐานหรือไม่ที่ผ่านมา สพฉ. ได้จัดให้มีการขึ้นทะเบียนและตรวจมาตรฐานรถกู้ชีพและรถพยาบาลเป็นประจำทุกปี โดยรถที่จะผ่านการรับรองมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน จะต้องเป็นรถตู้หรือรถกระบะบรรทุก ที่มีหลังคาสูงเพียงพอที่จะทำการฟื้นคืนชีพ (CPR) ได้สะดวก ภายนอกต้องมีการติดข้อความชื่อหน่วยปฏิบัติการ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 แสดงตราสัญลักษณ์ของ สพฉ. และจะต้องติดแถบสะท้อนแสงด้านข้างรถตลอดแนว ส่วนภายในรถก็ต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น อาทิ เฝือกคอชนิดแข็ง เฝือกดามแขน ขา มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลและทำแผลพื้นฐาน นอกจากนี้ต้องมีอุปกรณ์กู้ภัยเบื้องต้น เช่น ขวานขนาดใหญ่ เชือกคล้องตัว อุปกรณ์ยึดเหนี่ยว กรรไกรตัดเหล็กขนาดใหญ่ อุปกรณ์ดับเพลิงสพฉ.ให้ข้อมูลเสริมว่า มีรถปฏิบัติการกู้ชีพฉุกเฉินที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว 8,704 คัน จากทั้งหมด 12,242 คัน ใน 77 จังหวัด หรือคิดเป็นร้อยละ 71 ยังมีบ้างในบางจังหวัดที่ยังไม่ได้ดำเนินการรับรอง แต่กำลังเร่งดำเนินการรับรองให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดโดยผู้ที่ลักลอบติดสัญญาณไซเรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรถปฏิบัติการฉุกเฉิน จะมีความผิด ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 มีโทษปรับ 500 บาท และหากตรวจพบจะต้องทำการยึดอุปกรณ์ไฟวับวาบ แต่หากมีการติดตั้งและเปิดสัญญาณไฟจะมีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับกรมอนามัยชู “พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดนมผง” ส่งเสริมการบริโภคนมแม่กรมอนามัย ยืนยัน “พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผงเพื่อปกป้องเด็กไทย” เป็นประโยชน์ต่อแม่และทารก ช่วยส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะการให้เด็กรับประทานนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดต่อเนื่องจนถึงอายุ 2 ขวบเป็นอย่างน้อย ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ดีต่อสุขภาพของทั้งแม่และเด็ก นมผงเป็นเพียงทางเลือกสำหรับแม่ที่มีปัญหาเรื่องผลิตน้ำนมนพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าว “ข้อเท็จจริง ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผงเพื่อปกป้องเด็กไทย” โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กไทยได้ดื่มนมแม่เพิ่มมากขึ้น และป้องกันการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่ผิดจริยธรรม เหตุที่ต้องห้ามการโฆษณาและการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ปี นั้น เพราะปัจจุบัน พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 มีประกาศห้ามโฆษณานมสูตร 1 และสูตร 2 จนถึงอายุ 3 ปีอยู่แล้ว แม้จะมีความพยายามจากสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก ที่ยื่นจดหมายถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรียกร้องให้การควบคุมการส่งเสริมการตลาดของอาหารสำหรับทารกและเด็กหรือเพียงสูตรสำหรับเด็กอายุ 1 ปีเท่านั้นนพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และอดีตประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจนมผงออกนมมาหลายสูตรให้มีอายุที่คร่อมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย โดยปัจจุบันมีนมอยู่ 4 สูตร คือ สูตร 1 สำหรับทารกอายุ 0 - 12 เดือน สูตร 2 สำหรับ อายุ 6 เดือน - 3 ปี สูตร 3 สำหรับอายุ 1 ปีขึ้นไป และคนในครอบครัว และสูตร 4 สำหรับเด็กและทุกคนในครอบครัว โดยปัจจุบันห้ามโฆษณานมสูตร 1 และสูตร 2 ส่วนนมสูตร 3 โฆษณาได้ แต่ห้ามใช้เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นโฆษณาที่พยายามส่งเสริมให้เด็กเล็กหันมากินนมผงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตลาดแบบลดแลกแจกแถม การเพิ่มสารอาหารต่างๆ ลงไป รวมทั้งการสื่อเรื่องราวที่ให้ความรู้สึกว่าเด็กที่กินนมผงจะมีความรู้ความฉลาดและร่าเริงกว่าเด็กทั่วไปข้าราชการค้านย้ายสิทธิรักษาพยาบาลให้บริษัทประกันจากการที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะโอนย้ายระบบสิทธิดูแลค่ารักษาพยาบาลข้าราชการจากเดิมที่รัฐเป็นผู้ดูแล ไปให้บริษัทประกันเอกชนเข้ามาบริหารงานทั้งหมดแทน โดยให้เหตุผลว่าจะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการรั่วไหลของงบประมาณ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากข้าราชการที่เกรงว่าการให้บริษัทประกันดูแลจะมองแต่เรื่องของผลกำไร ขาดทุน เป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้ข้าราชการไม่ได้รับการดูแลตามสิทธิที่ตัวเองควรได้รับอย่างเต็มที่โดย เครือข่ายปฏิรูประบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (คสร.) ได้แถลงคัดค้านกรณีดังกล่าว นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การโอนสิทธิไปให้บริษัทประกันเอกชนบริหารอาจจะเกิดปัญหาในเรื่องการใช้สิทธิ เหมือนที่เกิดขึ้นกับ พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถยนต์ พ.ศ.2535 ซึ่งให้บริษัทเอกชนมาบริหารกว่าร้อยละ 40 ซึ่งบ่อยครั้งที่เมื่อมีผู้ประสบภัยมาขอรับการเยียวยา มักจะพบปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเงินชดเชยที่ทำได้ยาก มีความล่าช้า มีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องมีการแจ้งความ ต้องมีบันทึกประจำวัน ผู้ประสบภัยจากรถหลายคนต้องเลี่ยงไปใช้สิทธิด้านอื่นทั้งจากสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิข้าราชการ หรือสิทธิประกันสังคม ที่มีขั้นตอนการเบิกจ่ายที่สะดวกกว่าปัจจุบันเงินที่ดูแลระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท/ปี แน่นอนว่าเมื่อโอนย้ายไปให้บริษัทเอกชนดูแล งบประมาณจะต้องลดลงทันทีเพราะบริษัทจะกันเงินส่วนหนึ่งเป็นค่าบริหารจัดการ 10-25% ซึ่งเชื่อว่าน่าจะกระทบต้องการดูแลเรื่องสิทธิค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการไม่มากก็น้อย เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ค้นหาคำตอบ ‘วัคซีน HVP’ ปลอดภัยหรือไม่? คุ้มค่าหรือไม่?

ร้อยละ 12 ของผู้หญิงทั่วโลกเป็นมะเร็งปากมดลูก 470,000 ราย คือ ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี 233,000 ราย คือ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ และร้อยละ 83 ของผู้ป่วยทั้งหมดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาในประเทศไทย ความรุนแรงของสถานการณ์มะเร็งปากมดลูกไม่ได้น้อยหน้าระดับโลก มันเป็นโรคภัยที่พบในผู้หญิงไทยบ่อยเป็นอันดับ 2 แต่คร่าชีวิตหญิงไทยสูงเป็นอันดับ 1 ในปี 2551 พบว่าอัตราการเป็นมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงไทยเท่ากับ 16.7 ต่อประชากร 100,000 คน เท่ากับว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่ 6,000 ราย และเสียชีวิตกว่า 2,000 รายต่อปี คุณค่าชีวิตที่สูญเสียประเมินค่าไม่ได้ ขณะที่มูลค่าของราคาที่ต้องจ่ายไปกับโรคนี้ก็มหาศาล ปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผล ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถ้าโรคอยู่ในระยะลุกลามแปลว่าอะไร? แปลว่าถ้าตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ผู้หญิงไทยมีความรู้และยินยอมสละเวลาไปตรวจกันมากแค่ไหนด้วยตัวเลขที่น่าพรั่นพรึง หน่วยงานด้านสาธารณสุขของไทยจึงมองหาหนทางลดความสูญเสียจากมะเร็งปากมดลูก วัคซีน HPV เป็นหนึ่งในคำตอบที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้พฤษภาคม 2559 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดชนิดวัคซีนและตารางการให้วัคซีนที่เหมาะสมสำหรับประชากรไทย มีมติเห็นชอบแนะนำให้นำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยเร็ว เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง และเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ก็มีมติเห็นชอบและให้บรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยถือเป็นวัคซีนตัวที่ 11 ในรอบ 17 ปีแต่ก่อนหน้านั้น กรุงเทพมหานครได้ริเริ่มโครงการให้บริการวัคซีนป้องกันเอชพีวีในโรงเรียนสังกัด กทม. ไปก่อนแล้วตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 โดยมีเด็กนักเรียนหญิงระดับประถมศึกษาปีที่ 5 ในสังกัดกรุงเทพมหานครได้รับวัคซีน HPV ร้อยละ 98 สำหรับปีการศึกษา 2559 กรุงเทพฯ ได้ดำเนินโครงการไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 มีนักเรียนหญิงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในสังกัดที่ได้รับบริการวัคซีนจำนวน 16,468 คนการใช้วัคซีน HVP ติดตามมาด้วยคำถามเรื่องความปลอดภัย จากกระแสข่าวการฟ้องร้องในประเทศญี่ปุ่น เพราะพบว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนเกิดอาการอัมพาตอ่อนแรงและชัก กับอีกด้าน คือ ความคุ้มค่าของวัคซีนว่าราคาที่งบประมาณรัฐต้องจ่ายไปคุ้มกับสิ่งที่ได้คืนมาหรือไม่‘ฉลาดซื้อ’ ฉบับนี้จะไปค้นหาคำตอบสำหรับ 2 คำถามนี้องค์การอนามัยโลกรับรองวัคซีน HPV ปลอดภัยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถูกใช้เป็นกรณีตัวอย่างประเด็นผลกระทบจากวัคซีน HPV เพราะมันถูกรัฐบาลประกาศให้ถูกรวมอยู่ในโปรแกรมฉีดวัคซีนพื้นฐานเพียง 3 เดือนเท่านั้น คือ เมษายน-มิถุนายน 2556 จากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นก็เพิกถอนคำแนะนำ เนื่องจากมีรายงานและการร้องเรียนว่า มีผู้ได้รับผลกระทบหลังฉีดวัคซีนเข้าไป และช่วงกลางปีที่ผ่านมาผู้หญิงชาวญี่ปุ่น 64 คน ยื่นฟ้องรัฐบาลและผู้ผลิตวัคซีน HPV หลังได้รับผลข้างเคียงเป็นเงินคนละ 15 ล้านเยน และค่าเสียหายจะเพิ่มขึ้นอีกตามอาการข้างเคียงที่อาจปรากฏในภายหลังนี่เองที่ทำให้ภาคประชาสังคมและเอ็นจีโอไทยเฝ้าดูด้วยความวิตก นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพหรือไฮแทป (Health Intervention and Technology Assessment Program: HITAP) และอีกสถานะหนึ่ง คือ กรรมการด้านวิจัยและพัฒนาวัคซีนขององค์การอนามัยโลก ในฐานะนักพัฒนานโยบายและนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ให้ข้อมูลกับเราว่า“ณ ข้อมูลปัจจุบันที่เป็นหลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อถือ พบว่า ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนไม่มีความปลอดภัย”ทวนอีกรอบ ‘ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีน HPV ไม่มีความปลอดภัย’ เราสอบถามกลับด้วยคำถามลักษณะเดียวกันว่า แล้วมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้หรือไม่ว่า ‘ปลอดภัย’ นพ.ยศ ตอบว่า“โดยหลักการยาหรือวัคซีนทุกตัวจะให้บอกว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้ แน่นอน ทุกคนยอมรับว่าวัคซีนตัวนี้เมื่อฉีดไปแล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรงเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย แต่ถึงกับบอกว่าไม่ปลอดภัยและไม่ควรใช้ มันยังสรุปแบบนั้นไม่ได้ เพราะอาการไม่พึงประสงค์ส่วนใหญ่ที่เจอคือหน้ามืด เป็นลม วิงเวียน และพบเจอทั่วโลก และอาจมีอาการเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งก็เป็นอาการทั่วไปของวัคซีน“แต่วัคซีนตัวนี้ยังไม่เจอผลข้างเคียงรุนแรง ถ้าจะสื่อสารกับประชาชนก็ต้องบอกว่า ณ ปัจจุบันนี้ 10 กว่าปีผ่านมาที่วัคซีนยังอยู่ในท้องตลาด ในทางวิทยาศาสตร์เรายังไม่สามารถสรุปได้ว่าวัคซีนไม่ปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะเจอผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก”สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น นพ.ยศ อธิบายว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมความเชื่อในการต่อต้านวัคซีนที่ฝังอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาค่อนข้างนานแล้ว คนญี่ปุ่นจึงมักมีความรู้สึกกับวัคซีนในแง่ลบ เคยมีปัญหาวัคซีนหลายตัวในญี่ปุ่นที่คนขาดความเชื่อถือ เมื่อเกิดเรื่องกับวัคซันตัวใหม่อย่าง HPV ทำให้กระแสจุดติดได้ง่าย เพราะมีกลุ่มเอ็นจีโอและภาคประชาสังคมกลุ่มหนึ่งเฉพาะที่คอยต่อต้านวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนตัวไหนกลุ่มนี้ก็จะระแวงไว้ก่อน และทำให้การฟ้องร้องกรณีผลกระทบจากวัคซีนในญี่ปุ่นทำได้ง่าย เนื่องจากมีกลุ่มและระบบสนับสนุนจำนวนมาก“ที่ผมได้อ่านจากเอกสารวิชาการที่ตีพิมพ์ มีการสอบสวนโดยการไปดูเวชระเบียนของคนญี่ปุ่นที่มีปัญหาข้างเคียง ก็เจอว่ายังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นผลจากวัคซีน”นอกจากนี้ นพ.ยศ ยังได้ระบุว่า ปัจจุบันนี้ จุดยืนขององค์การอนามัยโลกถือว่าวัคซีนตัวนี้มีความปลอดภัยอย่างไรก็ตาม การที่จะรู้ว่ายาหรือวัคซีนตัวหนึ่งมีผลกระทบรุนแรงหรือไม่ ต้องอาศัยเวลายี่สิบถึงสามสี่ปีเป็นเครื่องพิสูจน์ นพ.ยศ แนะนำว่า หากประเทศไทยจะนำวัคซีน HPV มาใช้ ในแง่ความปลอดภัยไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล แต่ก็ไม่ควรฝากชีวิตประชาชนไทยกับข้อมูลของต่างประเทศ รัฐบาลจึงควรสร้างระบบติดตามความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนเชิงรุกที่เป็นข้อมูลของคนไทยวัคซีน HPV คุ้มค่า แต่ไม่คุ้มทุนเรื่องความปลอดภัยดูเหมือนจะเคลียร์แล้ว(ในระดับหนึ่ง) ส่วนคุ้มค่าหรือไม่ ต้องค้นหาคำตอบกันต่อโดยปกติแล้ว การจะบอกว่าการใช้เงินกับสิ่งใด คุ้มค่าหรือไม่ต้องมีสิ่งเปรียบเทียบ อดีตที่ผ่านมามีการศึกษาความคุ้มค่าของวัคซีน HPV อยู่หลายครั้ง ซึ่งบางครั้งก็เป็นการศึกษาโดยบริษัทยา เปรียบเทียบระหว่างฉีดกับไม่ฉีดวัคซีนและไม่ทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ก็แน่นอนว่าด้วยลักษณะการเปรียบเทียบเช่นนี้ การฉีดวัคซีน HPV ย่อมคุ้มค่ากว่าแต่ของไฮแทป ศึกษาโดยเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรองเพื่อป้องกัน 3 วิธีที่เป็นที่นิยมและยอมรับในปัจจุบัน คือหนึ่ง-การทำ Pap Smear ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลายในไทย โดยทำการตรวจภายในและป้ายเซลล์จากมดลูกป้ายสไลด์และส่งตรวจ วิธีนี้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว สอง-Wisual Inspection with Acetic acid หรือ VIA เป็นการใช้น้ำส้มสายชูป้ายปากมดลูกเพื่อดูว่ามีจุดสีขาวปรากฏขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามี ก็ใช้ความเย็นจี้ทำลายเซลล์ที่เริ่มผิดปกติตั้งแต่เริ่มต้น และสุดท้าย-เป็นวิธีการตรวจที่เรียกว่า HPV DNA Test คือการนำเซลล์ปากมดลูกไปตรวจอย่างละเอียดในระดับพันธุกรรม ซึ่ง นพ.ยศ กล่าวว่า ทั้ง 3 วิธีนี้คุ้มทุนมากกว่าการฉีดวัคซีน แต่วัคซีนมีความคุ้มค่ากว่า สรุปคือวัคซีน HPV คุ้มค่า แต่ไม่คุ้มทุนอ่านถึงตรงนี้ คงเริ่มสับสนชีวิต นพ.ยศ อธิบายว่า “คุ้มค่าแปลว่า คุณยอมจ่ายของแพงกว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์มากกว่า วัคซีน HPV มีประโยชน์มากกว่าการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกชนิด แต่แพงกว่า คำถามคือเมื่อมันดีกว่า แพงกว่า แล้วเมื่อไหร่จะคุ้ม ประเทศไทยได้ทำการศึกษาจนได้เกณฑ์ว่า ยาและวัคซีนจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อใช้เงินไม่เกิน 160,000 บาทต่อ 1 ปีสุขภาวะ เพราะใช้เงินจำนวนนี้จะทำให้คนไทยอายุยืนยาวขึ้นอย่างสมบูรณ์ 1 ปีถือว่าคุ้ม เช่น ออกยาใหม่ อยากรู้ว่ายาใหม่คุ้มหรือไม่ ก็นำมาเทียบกับยาเดิม ถ้ายาใหม่ทำให้อายุคนไข้ยืนขึ้น 1 ปีและเป็น 1 ปีที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง เช่น เป็นโรคมะเร็ง คุณภาพชีวิตไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ สมมติว่าแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไป อายุยืนขึ้น 1 ปีเท่ากับ 0.5 ปีสุขภาวะ ถ้าอายุยืนขึ้นแบบนี้ 2 ปีจึงจะเท่ากับ 1 ปีสุขภาวะ ถ้าใช้เงินไม่เกิน 160,000 บาททำให้อายุยืนขึ้น 2 ปีแบบที่มีคุณภาพชีวิตแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับคุ้มค่าในประเทศไทย ข้อมูลนี้มีประโยชน์ใช้เปรียบเทียบยากับทุกตัวได้ถ้าเทียบวัคซีนตัวนี้เทียบว่าแพงกว่าและดีกว่า อยู่ภายใต้ 160,000 บาทต่อปีสุขภาวะหรือไม่ ใช่ คือคุ้มค่าแล้ว แต่ไม่คุ้มทุนเป็นอย่างไร เนื่องจากวัคซีนอ้างว่าเมื่อฉีดวันนี้สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกในอนาคต แปลว่าในอนาคตเราต้องประหยัดเงินได้จากการรักษาโรคมะเร็ง แสดงว่าเรานำเงินที่ต้องจ่ายในอนาคตเพื่อรักษาโรคมะเร็งมาซื้อวัคซีนวันนี้ โดยที่เราไม่ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น อย่างนี้ถือว่าคุ้มทุน แต่ ณ ราคาวันนี้ที่บริษัทเสนอให้ยังถือว่าไม่คุ้มทุน”ราคาวัคซีนที่บริษัทยาเสนอให้กับรัฐบาลตอนนี้คือ 375 บาทต่อเข็ม โดยจะต้องฉีด 3 เข็ม ซึ่งยังเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุน แต่ราคาที่คุ้มทุนคือ 300 บาท เรื่องเกิดขึ้นขณะที่ทั้งฝ่ายเราและบริษัทยากำลังต่อรองราคากันอยู่นั้น รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งกลับพูดในที่สาธารณะว่า ประเทศไทยต้องใช้วัคซีน HPV แน่นอน และนั่นทำให้การต่อรองราคาจบลงด้วยราคา 375 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุน“อาจจะเกิดการสับสนเวลาที่แพทย์หรือบริษัทยาบอกว่า โรคมะเร็งรักษาทีเป็นแสน แล้วทำไมการฉีดยาเข็มละ 375 บาทจึงไม่คุ้มทุน คำตอบคือสมมติว่าคนไทยทั้งประเทศป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ย 12 คนต่อ 100,000 คน ฉีดวัคซีนไปแสนคน เท่ากับคุณป้องกันไม่ให้ป่วยแค่ 12 คนเท่านั้น เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นมะเร็ง เราทำวิจัยและทั่วโลกก็ยืนยันเหมือนกัน ถ้าเราฉีดให้ทุกคน แล้วนำเวลาของอายุที่ยืนยาวขึ้นของคนไทยโดยเฉลี่ยหลังได้รับการฉีดวัคซีน อายุจะยืนยาวขึ้นเฉลี่ยแค่ 5-7 วันเท่านั้น ที่น้อยเพราะบางคนไม่ได้อายุยืนยาวขึ้น เนื่องจากไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดทั้งชีวิตเขาก็ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูกอยู่แล้ว”เราแลกเปลี่ยนถกเถียงกับ นพ.ยศ ว่า แต่ถ้านับค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาส ค่าเดินทาง ที่ผู้หญิงจะต้องเดินทางไปตรวจคัดกรองด้วย 3 วิธีข้างต้นทุกๆ 5 ปี การฉีดวัคซีน HPV ก็ยังไม่ถือว่าคุ้มค่าและคุ้มทุนกว่าอย่างนั้นหรือ?“การฉีดสะดวกกว่า ไม่ต้องเสียเวลา เสียโอกาส แต่ผมอธิบายแบบนี้ สิ่งที่เรากลัวกันอยู่คือวัคซีนป้องกันได้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ทั่วโลกจึงแนะนำว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้วก็ต้องทำ 3 วิธีนี้เหมือนเดิมมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งชนิดที่ค่อยๆ เป็น ใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการลุกลามจนกระทั่งรักษาไม่ได้ ดังนั้น จึงมีการแนะนำให้ตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 5 ปี ถ้าผู้หญิงไทยทุกคนทำ วัคซีนไม่จำเป็น แถมการตรวจยังดีกว่าด้วย เพราะป้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ประเด็นคือทุกวันนี้ผู้หญิงไทยไปตรวจกัน 60-70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พอเอาวัคซีนมาฉีดก็ป้องกันได้เหมือนเดิมคือ 60-70 เปอร์เซ็นต์ เพราะวัคซีนไม่ได้ป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคุณจะปล่อยคนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ให้เป็นมะเร็งโดยที่ไม่รักษา”คำอธิบายของ นพ.ยศ น่าจะทำให้เข้าใจได้แล้วว่า วัคซีน HPV คุ้มค่าแต่ไม่คุ้มทุนอย่างไร.........ปัจจุบัน วัคซีน HPV เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่าจะได้รับการบรรจุเข้าไปอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์หรือไม่ทิ้งท้ายตรงนี้ว่า ตอนวัคซีน HPV เข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ต้นทุนเพียงเข็มละ 90 บาทเท่านั้น แต่ราคาที่ขายคือ 5,000 บาทต่อเข็ม“เราต่อ 300 ยังไม่อยากลดราคา เพราะกลัวเสียราคา” นพ.ยศ กล่าว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 ดวงใจพิสุทธิ์ : สิทธิแห่ง “ผ้าขาว” ที่กำลังถูกล่วงละเมิด

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้นิยามคำว่า “เด็ก” เอาไว้ว่า หมายถึง “คนที่มีอายุยังน้อย” ความหมายตามนิยามดังกล่าวอาจดูเป็นกลางๆ และง่ายต่อความเข้าใจก็จริง แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว การรับรู้ความหมายของ “เด็ก” ในทัศนะของคนทั่วไปก็มีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้นแม้จะเป็น “คนที่มีอายุยังน้อย” แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจให้นิยามของ “เด็ก” แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น “เด็กคือผ้าขาว” หรือ “เด็กคือความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา” หรือ “เด็กคือตัวแทนของธรรมชาติ” หรือ “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า”อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กอาจมีสถานภาพประหนึ่ง “ผ้าขาว” หรือเป็นภาพแห่ง “ความบริสุทธิ์” แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว นิยามอีกชุดหนึ่งของเด็กก็คือ กลุ่มคนในสังคมที่ถูกกระทำและล่วงละเมิดสิทธิมากที่สุด และข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือ พื้นที่ที่สิทธิของเด็กถูกคุกคามอย่างเข้มข้นที่สุดก็หนีไม่พ้นพื้นที่ของครอบครัวนั่นเอง“ดวงใจพิสุทธิ์” ดูจะเป็นละครเล็กๆ แต่ร่วมสมัย ที่ฉายภาพความหมายของเด็กในฐานะ “ผ้าขาว” ซึ่งกำลังถูกล่วงละเมิดสิทธิในลักษณะดังกล่าวเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนเนื้อเรื่องของละครอาจจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวละครเด็กผู้ “ไร้เดียงสา” ก็จริง หากแต่โครงที่ผูกเป็นเรื่องราวไว้นั้นกลับดู “เดียงสา” ยิ่งนัก โดยได้นำเสนอภาพชีวิตตัวละครเด็กชายเด็กหญิงคือ “ลูกหมี” และ “ปุ๊คกี้” ที่เรื่องราวช่วงแรกๆ มีการตัดภาพสลับกันไปมา ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองคนจะโคจรมาพบและเป็นเพื่อนที่คอยดูแลกันและกันในช่วงหลังในส่วนของลูกหมีนั้น เนื่องจากพ่อและแม่ของเด็กชายจอมซนมีภารกิจต้องไปรั้งตำแหน่งงานสถานทูตไทยในต่างประเทศ ลูกหมีจึงได้มาอยู่ในความดูแลของ “ชินานาง” และ “ชนนี” ผู้มีศักดิ์เป็นคุณอาและคุณย่า แม้ว่าจะมีแง่งอนงัดข้อกันบ้างระหว่างอากับหลานที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่เพราะด้วยความรักความอบอุ่นที่ทั้งคุณอาและคุณย่าต่างมอบให้อย่างเต็มที่ ลูกหมีจึงถูกฉายภาพให้เป็นตัวละครเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่แม้จะไม่ใช่อุดมคติแบบ “พ่อแม่ลูก” แต่ก็สามารถเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขตัดสลับกับภาพที่ตรงกันข้ามของปุ๊คกี้ ที่แม้ตอนแรกจะเติบโตมาอย่างมีความสุข เพราะได้รับความรักความดูแลจาก “ภาวนา” ผู้เป็นคุณย่าและเป็นเศรษฐินีประจำจังหวัดสงขลา แต่เพราะ “ชลีกร” ป้าสะใภ้มีความโลภและอิจฉาที่ภาวนาไม่ค่อยแบ่งปันความรักมาให้กับลูกๆ ของเธอบ้าง อคติที่ครอบงำชลีกรทำให้เธอวางแผนให้พ่อแม่ของปุ๊คกี้ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต และฆาตกรรมคุณย่าภาวนาในเวลาถัดมาเมื่อขาดผู้เลี้ยงดูที่รักและเอาใจใส่ตั้งแต่พ่อแม่จนมาถึงคุณย่า จาก “ผ้าขาว” ที่เคยถูกมองว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ปุ๊คกี้จึงถูกทารุณกรรมจากป้าสะใภ้ทั้งต่อกาย วาจา และจิตใจอย่างต่อเนื่องภาพฉากที่ชลีกรเอาขนมทั้งกล่องยัดใส่ปากเด็กน้อย หรือภาพฉากการข่มขู่และทำร้ายปุ๊คกี้อีกมากมายลับหลัง “สาวิตร” คุณลุงแท้ๆ ของเธอ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงว่า ความรุนแรงเชิงกายภาพและความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่มีต่อเด็กๆ ในสังคมไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักเกิดและสืบเนื่องอยู่ในสถาบันครอบครัวที่ใกล้ชิดกับชีวิตของเด็กมากที่สุดนั่นเองความรุนแรงเชิงโครงสร้างดังกล่าวนี้ แม้จะมีป้าสะใภ้อย่างชลีกรเป็นจำเลยหมายเลขหนึ่งของเรื่องราวก็ตาม แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่ตัวคุณลุงสาวิตร หรือคุณอาแท้ๆ อย่าง “ลดามณี” เอง ก็ตกเป็นจำเลยผู้กระทำและล่วงละเมิดสิทธิของเด็กไม่แตกต่างกัน ในขณะที่สาวิตรเป็นคนที่เอาแต่บ้างาน จึงเพียงแต่สนใจแค่สอบถามความเป็นอยู่ของปุ๊คกี้จากชลีกรไปวันๆ เพื่อให้ตนเองได้สบายใจและดูดีว่าเป็นคุณลุงแสนดีผู้ปฏิบัติภารกิจดูแลหลานสาวตัวน้อยไปแล้ว ในส่วนของลดามณีเองก็ทำตัวใส่ใจรักใคร่หลานสาว เพียงเพราะต้องการใช้เด็กน้อยเป็นเครื่องมือและเป็นสะพานเชื่อมให้เธอได้ใกล้ชิดกับ “หัฏฐ์” พระเอกของเรื่องเท่านั้น หลังจากบุคลิกภาพของปุ๊คกี้เปลี่ยนแปลงจากเด็กน้อยโลกสวย มาเป็นเด็กที่เก็บกดและหวาดกลัวต่อโลกรอบตัว ชลีกรก็วางแผนหาทางผลักดันให้ปุ๊คกี้ไปอยู่ในความดูแลของหัฏฐ์และ “หทัย” ผู้เป็นน้าแท้ๆ ที่กรุงเทพแทน เพื่อเธอจะได้ยึดครองบ้านและมรดกทั้งหมดของภาวนาได้ในที่สุด เมื่อปุ๊คกี้มาอยู่กับหัฏฐ์ที่รั้วบ้านติดกันกับบ้านลูกหมีและชินานาง ก็เข้าตำราที่ร้องเป็นเพลงว่า “บ้านก็ปลูกติดกัน ปลูกติดกันพอดี เปิดหน้าต่างทุกที ทุกทีหน้าเราก็ชนกัน” เพราะฉะนั้น เด็กน้อยสองคนที่จุดเริ่มต้นให้มีเหตุต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ไม่แตกต่างกัน ก็โคจรมาเจอและสานต่อมิตรภาพระหว่างกัน จนในที่สุดบาดแผลในจิตใจของปุ๊คกี้ก็ค่อยๆ ได้รับการเยียวยาจากคนรอบข้างและเพื่อนในวัยเดียวกันเชื่อกันว่า เด็กๆ เป็นกลุ่มสังคมที่มีวัฒนธรรมและสร้างพื้นที่การสื่อสารบางอย่างในแบบของพวกเขาเองขึ้นมา ดังนั้น เมื่อปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กเกิดเนื่องมาแต่ผู้ใหญ่ในครอบครัวของตน ความลับข้อนี้ของปุ๊คกี้จึงถูกสื่อสารถ่ายทอดมายังลูกหมีในฐานะมิตรสหายที่อยู่ในกลุ่มพื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรมเดียวกันในฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องที่แม้ปุ๊คกี้จะถูกอำนาจของชลีกรคุกคามจนหวาดกลัวและไม่กล้าเป็นพยานในศาล เพราะรับรู้การฆาตกรรมในครัวเรือนของตน แต่ความลับดังกล่าวก็ถูกเปิดเผยออกมาโดยมิตรแท้ที่เด็กหญิงวางใจที่สุดอย่างลูกหมี จนในที่สุดก็เป็นแรงผลักให้ปุ๊คกี้เกิดความกล้าที่จะพูดความจริงทั้งหมดที่ไม่เคยบอกให้กับบรรดาตัวละครผู้ใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งเด็กหญิงแทบจะหมดความไว้เนื้อเชื่อใจไปแล้วความเข้าอกเข้าใจที่ลูกหมีกับปุ๊คกี้สานสัมพันธ์กันไว้นี้ ไม่เพียงแต่จะมีผลานิสงส์ให้หัฏฐ์กับชินานางได้มาตกหลุมรักกันจริงตามขนบของท้องเรื่องละครเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนให้เห็นพลังของเด็กที่แม้จะมีอำนาจน้อย แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิแห่งตนซึ่งกำลังถูกละเมิดคุกคามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแม้ว่าเด็กๆ จะถูกนิยามว่า “มีอายุยังน้อย” แต่พวกเขาและเธอก็มีสถานะเป็น “คน” ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ดังนั้น เด็กๆ อย่างลูกหมีและปุ๊คกี้ จึงมี “สิทธิ” และ “ความชอบธรรม” ที่จะเรียกร้องให้ทุกคนเคารพศักดิ์ศรีตัวตน และหมุนฟันเฟืองเล็กๆ เหล่านี้ให้มี “ดวงใจพิสุทธิ์” และเป็นอนาคตของสังคมระดับใหญ่ต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >