ฉบับที่ 189 อนุสรณ์ พุ่มพวง ผู้ประสบภัยจาก “ประกันภัย”

“ผมอายุ 64 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมเคยทำงานเป็นวิศวกรอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นเจ้าของโรงงานเซรามิคเล็กๆ อยู่ที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร คุณอนุสรณ์ พุ่มพวง เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เราฟังด้วยความมุ่งมั่น ต่อไปนี้คือการต่อสู้ของผู้บริโภคเล็กๆ ที่ฉลาดซื้ออยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้อยากให้เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นผมมีลูกชายคนเดียว พอผมเริ่มอายุมากแล้วจึงทำประกันชีวิตกับ บ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ประเภทบำนาญพิเศษเพื่อหวังเงินขวัญวันเกิด(เงินปันผลประจำปี) ที่จะเป็นทุนการศึกษาให้แก่ลูกต่อไปในภายหน้า โดยคาดไม่ถึงว่า บ.ประกันชีวิตของธนาคารฯ จะขาดวินัยทางการบัญชี ความซื่อสัตย์ และขาดจรรยาบรรณในวิชาชีพถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นการตัดสินใจในทางที่ผิดเก็บเงินฝากธนาคารออมสินทุกเดือนจะดีกว่า ข้อพิพาทกับ บ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิตของผม หลักๆ คือผมถูกแปลงกรมธรรม์ โดยอ้างว่าผมจ่ายเบี้ยเกินระยะเวลาแต่ทางบริษัทฯ ไม่เคยมีการแจ้งการเปลี่ยนแปลงสถานะกรมธรรม์ของผม ผมขอแยกเป็นหัวข้อดังนี้ข้อที่ 1 การชำระเบี้ยประกันโดยตัดบัญชีเงินฝากธนาคาร โอนเงินผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทประกันควรจะต้องยึดถือว่าวันเวลานั้นๆ คือเวลาที่แท้จริงของการชำระเงิน ใบเสร็จรับเงินต้องระบุให้ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ของผมไม่ตรงไปตรงมา ซึ่งองค์กรที่ขาดวินัยปัญหาก็จะตามมาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำเงินหายหรืออะไรก็ตาม ฉะนั้นผู้บริโภคไม่ว่าจะชำระค่าอะไรที่ธนาคารจะต้องเก็บใบเสร็จรับเงิน (ใบโอนเงินที่ธนาคารออกให้) ทุกครั้งเพราะเราไม่รู้ว่าธนาคารแต่ละแห่งมีวินัยและจรรยาบรรณในวิชาชีพเพียงใด เพราะคุณค่าขององค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสำนักงานใหญ่โตสูง 10-20 ชั้นข้อที่ 2 การจ่ายเงินขวัญวันเกิด(เงินปันผล) บริษัทฯ ก็ไม่ยอมจ่ายแต่อ้างว่าจะนำไปหักเงินกู้อัตโนมัติที่ค้างอยู่ (หักหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะบริษัทให้ข้อมูลไม่เคยตรงกันเลย) อธิบายได้ว่าตามข้อกำหนดของกรมธรรม์(ทุกๆ กรมธรรม์) ระบุว่าเมื่อชำระเบี้ยประกันมาจนถึงสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 (มีมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้ว) เมื่อถึงกำหนดชำระเบี้ยประกันและเลยระยะเวลาผ่อนผัน 31 วันไปแล้วยังไม่ชำระเบี้ยประกันก็จะเป็นการใช้มูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันโดยอัตโนมัติ พูดง่ายๆ ว่ากู้เงินเขามาชำระเบี้ยประกันโดยมีมูลค่าของกรมธรรม์ค้ำประกัน เพื่อให้สิทธิที่พึงมีพึงได้ยังคงอยู่ทุกอย่างทุกประการ ฉะนั้นถึงเวลาจ่ายก็ต้องจ่ายตามเงื่อนไขกรมธรรม์จะอ้างว่านำไปหักเงินกู้อัตโนมัติไม่ได้ สมมติว่าผู้บริโภคทำประกันสุขภาพไว้กับบริษัทประกันเมื่อมีมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้วแต่มีเงินกู้อัตโนมัติค้างอยู่ถึงเวลาเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลขึ้นมา บ.ประกันจะอ้างได้ไหมว่าฉันจะจ่ายให้แต่ต้องนำมาหักเงินกู้อัตโนมัติก่อน สรุปคือคุณต้องนอนห้องอนาถาไม่ใช่ห้องพิเศษวันละ 3,000 ตามที่ทำประกันไว้ เรื่องนี้ใครรู้ช่วยคิดหน่อยข้อที่ 3 การปฏิเสธไม่ยอมรับเบี้ยประกัน เวลากรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้ว เวลาขาดส่งเบี้ยประกันก็จะเป็นการกู้อัตโนมัติ เวลาจะชำระเงินกู้อัตโนมัติคืนเป็นงวดๆ พร้อมดอกเบี้ยก็ย่อมทำได้แต่ บ.ไทยพาณิชย์ประกันภัยไม่ยอมจะเอาคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยหรือผู้เอาประกันจะใช้สิทธิชำระในงวดปัจจุบัน บริษัทฯ ก็ไม่ยอมเช่นกัน ในเมื่อเขาไม่ยอมเขาจึงปล่อยให้เป็นเงินกู้อัตโนมัติไปเรื่อยๆ จนกรมธรรม์แปรสภาพไปโดยปริยายในข้อ 3 นี้ขอนำเสนอเป็นแผนภูมิประกอบคำอธิบาย A B C D Eมูลค่าเวนคืนที่จุด A มีมากๆจุด B เป็นเงินกู้อัตโนมัติจุด C เป็นเงินกู้อัตโนมัติจุด D คืองวดชำระเบี้ยประกันถามว่าก่อนถึงจุด D (คือจุด X) ผู้เอาประกันค้างชำระอยู่ 2 งวดขอชำระ 1 งวด (ชำระ B) พร้อมดอกเบี้ย เขาไม่ยอมรับจะเอาที่ค้างชำระหนี้ทั้งหมด ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ข้อที่ 4 การแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาโดยมูลค่าเวนคืนยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ การชำระเบี้ยเป็นประเภทราย 4 เดือนคือ 1 รอบปีกรมธรรม์ชำระ 4 ครั้ง บ.ไทยพาณิชย์ฯ ตีความข้อกำหนดของกรมธรรม์ว่าเงินกู้อัตโนมัติกู้ได้ไม่เกินสิ้นปีกรมธรรม์เท่านั้น นั่นคืองวดปีกรมธรรม์ที่ 3 และงวดที่ 4 กู้อัตโนมัติไปแล้ว ต่อไปงวดปีที่ 4 งวดที่ 1 จะกู้ไม่ได้อีก จึงแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาถ้าการตีความดังกล่าวชอบด้วยข้อกำหนดของกรมธรรม์ก็เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และการแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาไปแล้ว สิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ จะหมดไปจะเหลือประการเดียวถ้าตายลงภายในระยะเวลาที่กำหนด บ.ประกันจะจ่ายให้เพียง 1 เท่าของทุนประกันเท่านั้นในระบอบทุนนิยมที่นายทุน เป็นผู้กำหนดบทบาทของรัฐบาลมาเป็นเวลาช้านานทำให้ผู้บริโภคโดนเอารัดเอาเปรียบ ฉ้อฉลเป็นอย่างมาก ประกอบกับกลไกคุ้มครองผู้บริโภคภาครัฐล้มเหลว สิ่งที่จะเป็นดุลอำนาจในการต่อรองคือภาคประชาชน มีคำพูดของท่านปลัดอำเภอกระทุ่มแบน(ศูนย์ดำรงธรรม) ว่า “ลุงไปร้องทุกข์มาครบถ้วนตั้งแต่เทศบาล คปภ.จังหวัด คปภ.กรุงเทพฯ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คปภ. เป็นหน่วยงานของรัฐแก้ปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ ให้ลุงไปที่ศาลเถอะเขาจะช่วยลุงเอง”ช่วงของการเตรียมเอกสารก่อนขึ้นศาล ต้องเตรียมอย่างไรบ้างคะก็ต้องมานั่งรวบรวมเอกสารเป็นหมวดเป็นหมู่ ตอนแรกเราเก็บใบเสร็จรับเงินไว้แบบไม่เรียบร้อย คือที่บ้านมีกล่องอยู่กล่องนึงเราเอาเอกสารใส่ไว้ในนั้น เราต้องรวบรวมมา แล้วไปขอความรู้ที่เนติบัณฑิตสภา ที่โน้นที่นี่ภายในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งพอไปจริงๆ เขาก็ไม่รู้อะไรเท่าไร ไม่รู้ข้อกำหนดของกรมธรรม์เลย ไปๆ มาๆ เลยไปได้อาจารย์คนหนึ่งที่ห้องคุ้มครองผู้บริโภค ที่เป็นคนร่างสำนวนฟ้องให้นั่นแหล่ะ คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ เป็นเหมือนอาจารย์คอยให้ความรู้ทางกฎหมาย ผมจึงไปฟ้องศาลเขียนคำฟ้องโดยไม่มีทนาย(คดีผู้บริโภค) มีนิติกรที่ศาลคอยช่วย ใช้เวลาเขียนคำฟ้องอยู่ 6 เดือน จนศาลรับฟ้องแล้วอยู่ในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ผลปรากฏว่าการเจรจาไกล่เกลี่ยนั้นตกลงกันไม่ได้ เพราะผมขอเงินคืนทั้งหมดไม่ทำประกันแล้วเพราะเขาเป็นฝ่ายผิดสัญญา ถึงเวลาจ่ายเงินปันผลเขาต้องจ่ายจะบ่ายเบี่ยงไม่ได้ ครั้งแรกเขาให้การกับ คปภ. สมุทรสาครว่า เงินปันผลจะนำไปหักกับเงินกู้อัตโนมัติ ต่อมาที่ คปภ. กรุงเทพฯ เขาบอกว่าต้องจ่ายเงินให้ครบก่อน ถึงจะมีสิทธิได้เงินปันผล คำพูด 2 ครั้งของเขาขัดแย้งกัน ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยทางบริษัทฯ เขาพูดกับผมว่ายังไงๆ เขาสู้ถึงอุทธรณ์ ฎีกาอยู่แล้ว ผมเห็นว่าคงสู้ไม่ไหวจึงมีความคิดว่าเราต้องใช้ธรรมะปราบอธรรมแล้วบังเอิญได้ดูข่าวของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจากไทยรัฐก็เลยรู้จักมูลนิธิฯ จึงมาขอความช่วยเหลือ ทางมูลนิธิฯ ก็ให้ความช่วยเหลือจัดหาทนายลงไปช่วย ซึ่งศาลสมุทรสาครจะมีคำตัดสินในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นี้อยากฝากถึงผู้อ่านที่ได้อ่านเรื่องนี้เกี่ยวกับการทำประกันอย่างไรบ้างเพื่อจะได้รู้เท่าทันการแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาก็ดีหรือการแปลงกรมธรรม์แบบใช้เงินสำเร็จก็ดีจะทำให้สิทธิการได้รับผลประโยชน์ในผู้ประกันตนสูญหายไป เพราะฉะนั้นการแปลงกรมธรรม์ตัวนี้ในมุมของกฎหมายก็คือยุติสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของนิติกรรมต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้รับรู้ ในกรณีของผมนี้เขาต้องบอกให้รับรู้ว่าสถานะกรมธรรม์ของผมเป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ทำ ดังนั้นหากใครทำประกันอยู่ จึงต้องหมั่นตรวจตราในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาคล้ายๆ ผมหรือยังไม่เจอปัญหาก็ตาม การทำประกันหรือทำธุรกรรมต่างๆ ต้องเก็บเอกสารการโอนเงินให้ดี ใบเสร็จรับเงินที่เขาให้มาต้องเก็บไว้ทุกครั้งเพราะวันดีคืนดีเขาบอกมาว่าไม่ได้รับเงิน ถ้าไม่ได้เก็บใบเสร็จไว้ถ้าแล้วตายขึ้นมาลูกหลานไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็อาจจะโดนเขาหลอกจนลูกหลานเราไม่ได้อะไรเลย แล้วมันเป็นไปได้ยากที่คนเรา ยิ่งหาเช้ากินค่ำด้วยแล้ว จะมาเก็บเอกสารพวกนี้แยกเป็นหมวดหมู่ทุกครั้ง แล้วยิ่งมาเจอบริษัทประกันที่ไม่มีวินัยทางการเงินแบบนี้ ทาง คปภ. ต้องมีมาตรการในจัดการ ต้องมีอำนาจควบคุมดูแลจะมาบอกว่าไม่รู้ๆ ไม่ได้สิ่งที่พวกเราผู้บริโภคจะช่วยกันสร้างดุลอำนาจต่อรองคือ1. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต้องเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง อุปมาเหมือนกับมูลนิธิคือปืนแต่ลูกกระสุนไม่ค่อยมี เพราะไม่มีเงินซื้อลูกปืนขอให้ผู้มีจิตสาธารณะรักความยุติธรรมช่วยกันเสริมสร้างในมูลนิธิฯ เข้มแข็งขึ้น2. ขอให้องค์กรส่วนจังหวัด เทศบาล อำเภอ อบต. จัดสัมมนาให้ความรู้ถึงสิทธิของผู้บริโภคในเรื่องต่างๆ ทุกๆ ปี3. ให้รัฐบาลออกกฎหมายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนและจัดสรรงบประมาณให้องค์กรนั้นๆ ทุกๆ ปี นี่คือความจำเป็นโดยรีบด่วนที่ต้องทำให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ หากระบบทุนนิยมกำหนดรัฐบาลได้จะกระทำได้ยาก4. ขอให้มีการออกข้อกำหนดเรื่องการอุทธรณ์และฎีกาว่าคดีผู้บริโภคจะต้องมีคำพิพากษาโดยเร็ว เพื่อให้ทันในการเยียวยาความเสียหาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 กระแสต่างแดน

งานวิจัยมีธงเรามักเข้าใจว่าคำแนะนำด้านโภชนาการนั้นมีเป้าหมายเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน แต่ถ้าได้รู้ที่มาที่ไปของงานวิจัยที่เป็นพื้นฐานของคำแนะนำเหล่านั้น เราอาจต้องคิดใหม่เดือนที่แล้วอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ค้นพบเอกสารชิ้นหนึ่งในชั้นใต้ดินของห้องสมุดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ทำให้รู้ว่าในยุค 60 นักวิทยาศาสตร์ที่นั่นรับจ้างอุตสาหกรรมอาหารทำงานวิจัยที่นำไปสู่ข้อสรุปว่า ไขมันคือสาเหตุหลักของโรคหัวใจ (น้ำตาล จึงรอดตัวจากการถูกสังคมรังเกียจ) ทุกวันนี้ค่ายอาหารก็ยังคงใช้วิธีเดิม งานวิจัยที่ได้ข้อสรุปชวนพิศวงว่า เด็กที่ไม่ได้รับประทานช็อคโกแล็ตแท่งมีน้ำหนักมากกว่าเด็กที่ทานบ่อยๆ ก็เป็นงานที่ได้รับทุนจากเฮอร์ชียส์ ผู้ผลิตช็อกโกแล็ตรายใหญ่นั่นเอง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กที่ศึกษาเรื่องการเป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยของบริษัทอาหารพบว่าร้อยละ 90 ของงานเหล่านี้ มีข้อสรุปในทิศทางที่เป็นผลดีต่อผู้ให้ทุน นี่นับเฉพาะการสนับสนุนที่ทำอย่างเปิดเผยเท่านั้น ...ไม่เอาวันหมดอายุเงินเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมดอายุ แต่เมื่อเราเปลี่ยนมันเป็นบัตรของขวัญแล้วทำไมอายุของมันจึงถูกจำกัดอยู่แค่ 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี เท่านั้น ผลการสำรวจความเห็นของนักช้อปโดยองค์กรผู้บริโภคนิวซีแลนด์ระบุว่า คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรม และมูลค่าความสูญเสียจากการใช้บัตรกำนัล “ไม่ทันเวลา” สูงถึง 10 ล้านเหรียญต่อปี (250 ล้านบาท) จากกระแสเรียกร้องให้ขยายวันหมดอายุออกไปเป็น 5 ปี เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้มีการรณรงค์ให้ “ยกเลิกวันหมดอายุ” สำหรับบัตรกำนัลเหล่านี้ไปเลย เสียงตอบรับอยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีผู้ประกอบการร้านค้าปลีก 25 ราย ยอมเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข บางร้านยกเลิกวันหมดอายุ ในขณะที่บางเจ้าเลือกแบบขยายเวลาแต่ร้านค้าบางแห่งยังยืนยันใช้ระยะเวลา 1 ปีเหมือนเดิม โดยให้เหตุผลว่าผู้ถือบัตรจะไม่ได้รับผลกระทบเพราะเขาจะผ่อนผันหรือไม่ก็ออกบัตรใหม่ให้ ... ถ้าจะทำขนาดนั้นแล้วจะกำหนดวันหมดอายุไปทำไมกันมีขึ้นต้องมีลงผู้ใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้าที่สิงคโปร์คงจะมีความสุขมากขึ้นในปีหน้า เพราะสภาการขนส่งสาธารณะประกาศปรับลดค่าโดยสารลงร้อยละ 4.2 สำหรับผู้ใช้บัตรโดยสาร ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคมนี้เป็นต้นไปผู้ใช้รถสาธารณะจำนวน 2.2 ล้านคน ทั้งที่ถือบัตรเดินทางสำหรับผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และนักเรียน ต่างก็จะได้รับส่วนลดต่อเที่ยวระหว่าง 1 ถึง 27 เซนต์แล้วแต่ระยะทางและประเภทของบัตร เขาสามารถลดค่าโดยสารได้เนื่องจากปีนี้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงลดลง แต่ไม่แน่ว่าต่อไปจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ สิงคโปร์ขาดแคลนพนักงานขับรถ ผู้ประกอบการแต่ละเจ้าจึงแย่งกันเสนอเงินเดือนเพื่อให้ได้ตัวบุคลากรคุณภาพมาอยู่กับบริษัท พขร. ที่ได้เงินเดือนระหว่าง 40,000 ถึง 50,000 บาท นี้ต้องผ่านการอบรมหลายขั้นตอนทั้งจากบริษัทและหน่วยงานรัฐ นอกจากจะขับขี่อย่างปลอดภัยแล้ว ยังต้องมีความรู้เรื่องงานบริการ ระบบการออกตั๋ว ไปจนถึงกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ด้วยเคลียร์ไม่ได้ผลกระทบจากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลับมาหลอกหลอนผู้คนที่ฟุกุชิมะอีกครั้ง หลังพบตะกอนกัมมันตรังสีในถังบำบัดน้ำเสียของศูนย์บริการล้างรถสูงเกินระดับที่รัฐกำหนดไปถึง 7 เท่าหลังเหตุระเบิดเมื่อเดือนมีนาคมปี 2011 ฝุ่นเถ้าต่างๆ ก็ปลิวมาติดรถยนต์ที่อยู่ในรัศมี เมื่อผู้คนในเมืองเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติและนำรถไปล้างในศูนย์บริการเหล่านี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,700 แห่งในจังหวัดฟุกุชิมะ กากตะกอนเหล่านี้จึงไปรวมกันอยู่ที่นั่นห้าปีผ่านไป ถังบำบัดเริ่มเต็มจึงต้องมีการตักตะกอนออก แต่ตะกอนเหล่านี้ไม่ธรรมดา ไม่สามารถใช้พลั่วตักออกเฉยๆ เพราะเป็นอันตรายต่อคนทำงาน ต้องหาวิธีที่ปลอดภัยเพียงพอ และเมื่อตักออกมาแล้วก็ต้องหาวิธีทิ้งที่ปลอดภัยอีกเช่นกันสมาคมผู้ประกอบการศูนย์ล้างรถเคยเรียกร้องให้รัฐบาลและบริษัทโตเกียวพาวเวอร์ออกมารับผิดชอบ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะกฎหมายดูแลมาไม่ถึงตะกอนในถังบำบัด ... นิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องที่จะเคลียร์กันได้ง่ายๆคุณคิดอะไรอยู่ทุกวันเฟสบุ้คถามผู้คนกว่า 1,700 ล้านคนว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ และผู้คนเหล่านี้ก็ยินดีตอบเสียด้วย งานสำรวจจากสหรัฐฯ ที่ติดตามโพสต์ของคนอเมริกัน 555 คน พบว่าสิ่งที่พวกเขาบอกเฟสบุ้คผ่านถ้อยคำหรือรูปภาพ รวมถึงความถี่ในการบอกนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตนของพวกเขา เช่น คนที่ชอบสังคมมักจะโพสต์เรื่องราวกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน คนที่ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของตัวเองมักโพสต์เกี่ยวกับแฟนบ่อยๆ คนมีปัญหา จะเรียกร้องความสนใจหรือแสวงหาการยอมรับ และคนหลงตัวเองจะโพสต์ความสำเร็จเกี่ยวในการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร เป็นต้น หลายคนบำบัดอารมณ์ตัวเองด้วยระบายความคับข้องใจลงในโพสต์ แต่งานวิจัยจากเม็กซิโกพบว่าการทำแบบนี้จะส่งผลร้ายมากกว่า และถึงกับออกคำเตือนให้คนเหล่านั้นไปพบแพทย์ตัวจริงแต่บอกไว้ก่อน การตัดขาดจากแวดวงออนไลน์ก็ไม่ใช่ทางออก มันอาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังมีปัญหาหรืออยู่ในภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนพฤศจิกายน 2559ทำ “ฟันปลอมเถื่อน” เสี่ยงติดเชื้อในช่องปากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เตือนเรื่อง “บริการทำฟันปลอมเถื่อน” ที่เดี๋ยวนี้มีให้เห็นได้ตามตลาดนัดแผงลอยริมถนนทั่วไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้ใช้บริการจะได้รับอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ผู้ใช้บริการมีโอกาสติดเชื้อหรือเกิดโรคในช่องปาก เพราะทั้งสถานที่และเครื่องมือที่ใช้อาจไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีขั้นตอนการฆ่าเชื้อก่อนและหลังการใช้งาน ที่สำคัญคือ ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ไม่ใช่ทันตแพทย์ จึงขาดความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะในการทำฟันปลอมที่ถูกต้อง ซึ่งฟันปลอมจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่ง ผู้ที่ต้องการทำฟันปลอมควรขอคำแนะนำและรับบริการจากทันตแพทย์ในสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตการใช้ฟันปลอมเถื่อนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบฟันที่ไม่เหมาะสมส่งผลให้ฟันซี่ใดซี่หนึ่งรับน้ำหนักมากเกินไป ทำให้ฟันซี่ที่แข็งแรงกลายเป็นฟันที่อ่อนแอ เกิดการโยก สึกกร่อน และหัก อาจทำให้เกิดแผลในช่องปาก การใส่ฟันปลอมโดยไม่เตรียมช่องปากที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักทันตกรรม เช่น ไม่อุดฟันซี่ที่ผุ ขูดหินปูน รักษารากฟัน หรือถอนฟันซี่ที่ไม่รักษาไว้ เมื่อเกิดปัญหาหลังการทำแล้วการแก้ไขให้กลับมาเป็นปกติจะทำได้ยากรถไฟฟ้าสายสีม่วงยังไม่สะดวกสำหรับคนพิการนาย ชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม ออกมายอมรับเองว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วงเส้นบางใหญ่-บางซื่อ ยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเรื่องการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งสถานีที่พบปัญหาประกอบด้วย บางซ่อน แยกนนทบุรี และบางพลู โดยปัญหาที่พบที่ต้องเร่งแก้ไขมีหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ทางลาดชันในการขึ้นใช้ลิฟท์มีความลาดชันมากเกินไป ต้องปรับให้ลาดชันน้อยลง นอกจากนี้ผู้ใช้รถเข็นวีลแชร์ยังเห็นว่า ควรยกเลิกใช้เก้าอี้ที่ติดกับราวบันไดเพื่อเลื่อนขึ้นไปยังสถานี เพราะใช้แล้วไม่ปลอดภัย ควรปรับเป็นลิฟต์หรือทางลาดชันจะดีกว่า ป้ายแสดงเส้นทางต่างๆ ไม่ชัดเจน นอกจากนี้ต้องปรับปรุงเรื่องการบริการ การอำนวยความสะดวกต่างๆ ควรมีจุดที่จะเรียกใช้บริการเจ้าหน้าที่ และจัดเตรียมช่องซื้อตั๋วโดยสารโดยเฉพาะ เป็นต้น Service charge เก็บได้แต่ต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบหลังจากที่ สคบ. ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคกรณีถูกเรียกเก็บค่าบริการเซอร์วิส ชาร์จ (Service charge) 10% โดยผู้บริโภครู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และอัตรา 10% ที่เรียกเก็บนั้นเหมาะสมหรือไม่ พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) กล่าวว่า ได้มีการหารือแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้เร่งออกประกาศไว้เป็นข้อปฏิบัติและรับทราบโดยทั่วกันโดยที่ผ่านมา สคบ.ได้ประสานขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการร้านอาหารให้ช่วยติดป้ายแสดงไว้ที่หน้าร้านอาหารของตนว่า ร้านนี้มีการคิดค่าเซอร์วิส ชาร์จ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบ แต่ก็ยังเป็นแค่การขอความร่วมมือเท่านั้น ส่วนกรมการค้าภายในฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เซอร์วิส ชาร์จ เป็นค่าบริการที่ผู้ประกอบการขายสินค้านั้นๆ คิดเพิ่มจากผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายถึงว่า ร้านอาหารนั้นต้องตั้งอยู่ในสถานที่หรูหรา ห้องแอร์ หรือพนักงานเสิร์ฟเป็นอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับการเพิ่มการบริการของร้านอาหารนั้นๆ ผู้ประกอบการมีสิทธิ์ที่จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เขาให้บริการแก่ลูกค้าได้ ซึ่งการเรียกเก็บค่าบริการ 10% กรมการค้าภายในมองว่า “เป็นอัตราที่เหมาะสมแล้ว” เนื่องจากเป็นอัตราที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับทราบตามสากล และยอมรับได้ทั้งนี้กรณีที่ผู้ประกอบการหรือร้านอาหาร เรียกเก็บค่าบริการ เซอร์วิส ชาร์จ โดยที่ไม่ได้ระบุหรือแจ้งให้ลูกค้าทราบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ผู้ใดไม่แสดงราคาหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการแสดงสินค้าและบริการที่กำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทอันตราย “แมงลักอัดแคปซูล” ผสมไซบูทรามีนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอันตรายหลอกลวงผู้บริโภคยังมีโผล่มาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mangluk Power Slim ที่ อย. ออกมาฟันธงแล้วว่า เข้าข่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย มีการปลอมเลขสารบบอาหาร โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และตรวจพบไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารที่มีอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โดยจะมีอาการข้างเคียง คือ ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แนะผู้บริโภคอย่าซื้อมารับประทานเด็ดขาดจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวฉลากระบุเลขที่ อย. 89-1-04151-1-0080 นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท THE RICH POWER NETWORK จังหวัดสมุทรสาคร รุ่นผลิต RI88-89/01 เมื่อตรวจเลขสารบบอาหาร พบว่าไม่ได้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าแต่อย่างใด รวมทั้งไม่พบข้อมูลการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมจากเว็บไซต์โดยค้นหาชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษพบจำนวนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกว่า 6 พันรายการ มีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเช่น “ยับยั้งการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ลดความอยากอาหาร DETOX ลำไส้ ไร้ผลข้างเคียง” “ช่วยเสริมระบบการย่อยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ช่วยควบคุมความหิว ลดการดูดซึมของไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายและขจัดสารพิษต่างๆ” เป็นต้น ทั้งนี้ อย.จะดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไปโรงพยาบาลรับผิดทำผู้ป่วยเสียชีวิต หวังเป็นจุดเริ่ม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯถือเป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างที่มีผู้เสียชีวิตจากการรับบริการทางการแพทย์ ที่ควรหยิบยกมาพูดถึง โดยเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ เรื่องของผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่ง ซึ่งพาแม่เข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ด้วยอาการปวดหลังอย่างรุนแรง ซึ่งหลังการเอ็กซเรย์แพทย์ได้วินิจฉัยพบว่า เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น และทางแพทย์ได้มีการแนะนำให้ผ่าตัด แต่สุดท้ายเกิดเหตุสุดวิสัย แพทย์ผ่าตัดถูกเส้นเลือดดำที่ติดกับกระดูกสันหลัง ซึ่งแพทย์และทีมพยาบาลพยายามยื้อชีวิตอย่างเต็มที่แต่ก็สุดความสามารถโดยเหตุผลที่ญาติผู้เสียชีวิตเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ เพราะต้องการเรียกร้องความรับผิดชอบจากทางโรงพยาบาล ซึ่งแม้ทางแพทย์ผู้ผ่าตัดจะออกมายอมรับว่าผ่าตัดผิดพลาด แต่กลับไม่ได้รับการชดเชยใดๆ จากทางโรงพยาบาลเมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกเผยแพร่และเป็นที่สนใจของผู้คนในสังคมออนไลน์ ไม่นาน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุปราการ และเป็น 1 ในกรรมการแพทยสภา ได้ออกมายืนยันว่าทางโรงพยาบาลจะให้การช่วยเหลือทายาทของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ ด้วยการเยียวยาตามมาตรา 41 ว่าด้วยเงินช่วยเหลือเบื้องต้น แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากบริการทางการแพทย์ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมทั้งทางโรงพยาบาลก็จะรับผิดชอบชดเชยให้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง พร้อมกันนี้จะต้องมีการเยียวยาต่อสุขภาพจิตของแพทย์ ที่มีเจตนาที่จะช่วยคนไข้ เพื่อมีสภาพจิตใจสามารถกลับมาทำหน้าที่รักษาดูแลประชาชนได้ต่อไปทางด้าน นาง ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ในฐานะประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ที่ต่อสู้เรียกร้องเรื่องสิทธิของผู้ป่วยมาอย่างยาวนาน ได้แสดงความเห็นชื่นชมต่อการออกมาแสดงความรับผิดชอบของโรงพยาบาลต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ผ่านหน้าเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยให้ความเห็นว่า แพทย์เองก็เข้าใจดีอยู่แล้วความผิดพลาดจากการรักษาพยาบาลเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นการผลักดันให้มี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ถึงเวลาที่แพทยสภาจะต้องหันมาเร่งผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 การบริจาคอวัยวะ

“ทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ล้วนสามารถนำมาทดแทนให้กับกับคนอื่นๆ ต่อไปได้ อยู่ที่ความพร้อมของหลายๆ อย่าง อาทิ ความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ความพร้อมของบุคคล และความเข้ากันได้ของอวัยวะ ฯลฯ ทั้งนี้ ในต่างประเทศมีการใช้อวัยวะทดแทนกันได้เกือบทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นมือ แขนขา มดลูก อวัยวะเพศชายก็เปลี่ยนได้ ยกเว้น “สมอง” เพียงอวัยวะเดียวที่ยังไม่มีใครสามารถดำเนินการเปลี่ยนจากคนหนึ่งไปให้อีกคน หนึ่งได้” นายแพทย์วิศิษฎ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ได้ให้คำอธิบายกับฉลาดซื้อสำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีการปลูกถ่ายอวัยวะ 6 อวัยวะ คือ 1. หัวใจ 2. ปอด 3. ตับ 4. ไต 5. ตับอ่อน และ 6. ลำ ไส้เล็ก แม้ในความเป็นจริงแล้วความสามารถบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยจะมีความสามารถในการปลูกถ่ายอวัยวะได้เกือบทุกตำแหน่งเช่นเดียวกันก็ตาม แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างจึงต้องทำการปลูกถ่ายอวัยวะโดยคำนึงถึง “การมีชีวิตรอด” เป็นหลัก อย่างอวัยวะเพศนั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตเท่านั้นผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ กล่าวว่า อวัยวะที่จะทำการปลูกถ่ายนั้นจะนำมาจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย แต่ยังหายใจอยู่นั่นหมายความว่า ผู้บริจาคเหล่านั้นต้องเสียชีวิตภายในห้องผู้ป่วยวิกฤติ หรือ ห้องไอซียู ของโรงพยาบาล ซึ่งการจะบอกว่าผู้บริจาครายใดมีเสียชีวิตจากภาวะสมองตายไปแล้วนั้นต้องให้ แพทย์อย่างน้อย 3 คน เป็นผู้พิจารณาลงความเห็นโดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา (เอกสารเกณฑ์การวินิจฉัยของแพทยสภา)เมื่อแพทย์ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์แล้วว่า ผู้บริจาคเสียชีวิตด้วยภาวะสมองตายแล้ว แน่ๆ จึงทำการเก็บอวัยวะทันทีแล้วล้างด้วยน้ำยาถนอมอวัยวะ จากนั้นก็นำไปแช่ในอุณหภูมิที่กำหนด ประการสำคัญคืออวัยวะที่ได้มาต้องทำการปลูกถ่ายให้เร็ว เพราะหัวใจอยู่ได้ 4 ชั่วโมง ตับอยู่ได้ 6 ชั่วโมง ปอดอยู่ได้ 8 ชั่วโมง ไต อยู่ได้ 24 ชั่วโมง หากไม่ได้เปลี่ยนให้คนอื่นอวัยวะพวกนี้จะเสียทั้งหมด จริงๆ นอกจากอวัยวะแล้วยังสามารถเก็บเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ มาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยรายอื่นๆ ได้อีก เช่น ดวงตา ลิ้นหัวใจ ผิวหนัง กระดูก เป็นต้น โดยเก็บไว้ในคลังเนื้อเยื่อได้นาน เพราะพวกนี้ไม่ต้องต่อเส้นเลือด อย่างลิ้นหัวใจเก็บได้นาน 5 ปี ผิวหนัง 3 ปี เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวกรุนแรงจนทำให้น้ำเหลืองที่เสียไปสูญเสียโปรตีนไปเยอะมาก แล้วโอกาสติดเชื้อ โลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิต ก็จะเอาเนื้อเยื่อเหล่านี้ไปรักษาหรืออย่างเนื้อเยื่อกระดูกก็สามารถทำให้เป็นชิ้นขนาดต่างๆ รูปร่างต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกทุกๆ ประเภท กระทั่งผู้ป่วยต้องเปิดกะโหลกแล้วกะโหลกศีรษะบุ๋มก็เอาตรงส่วนนี้เข้าไปทด แทน หรือจะบดกระดูกใส่ในซอกฟันก็ยังได้สถานการณ์การบริจาคอวัยวะในประเทศไทยสถานการณ์การรบริจาคอวัยวะในเมืองไทยปัจจุบันเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000 กว่าคน เกือบ 50,000 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เฉลี่ยวันละประมาณ 100 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 8,069 คนซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศที่มีถึง 60 กว่าล้านคน ขณะที่มีผู้รอรับบริจาคค่อนข้างมาก ล่าสุดขึ้นทะเบียนรอรับบริจาคมากกว่า 5,000 คน กว่าร้อยละ 90 คือ รอการเปลี่ยนไต เหตุผลที่คนรับบริจาคไตเยอะก็เนื่องจากทุกกองทุนสุขภาพภาครัฐดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ค่อนข้างดี ทั้งบริการล้างไต ฟอกไต ทำให้มีอายุยืนยาวสามารถรอคอยการปลูกถ่ายเปลี่ยนไตได้ในวันหนึ่ง ในขณะผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนอวัยวะอื่นๆ ที่เหลือนั้นไม่สามารถรอนานได้ขนาดนั้น หากไม่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายจะทำให้เสียชีวิต“เมื่อปี 2558 ได้รับการบริจาคได้รับอวัยวะจากผู้บริจาคจำนวน 206 คน สามารถนำอวัยวะและเนื้อเยื่อไปช่วยเหลือคนอื่นได้ถึง 856 คน แยกเป็นผู้ที่ได้รับอวัยวะ 463 คน โดยได้รับการปลูกถ่ายไต 354 คน รองลงมาเป็นการปลูกถ่ายตับ 71 คน หัวใจ 24 คน หัวใจ-ปอด 1 คน ตับอ่อน 1 คน หัวใจ-ไต 1 คน ตับ-ไต 1 คน ส่วนผู้ที่ได้รับบริจาคเนื้อเยื่อ 393 ชิ้น เช่น ได้ลิ้นหัวใจ 121 ลิ้น ดวงตา 262 ดวงตา และกระดูก 5 คนหลอดเลือด 3 คน และ ผิวหนัง 2 คน” นายแพทย์วิศิษฎ์ กล่าวผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ กล่าวต่ออีกว่า อวัยวะที่บริจาคอยู่ในสภาพดีพอสมควร เช่น หัวใจ คุณภาพของหัวใจที่ดีควรได้รับจากผู้บริจาคที่มีอายุประมาณ 40 กว่าปี หากมากกว่านี้ หัวใจที่ได้รับมาอาจจะไม่แข็งแรง เพราะร่างกาย อวัยวะของมนุษย์ย่อมเสื่อมการทำงานไปตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งบางครั้งอวัยวะที่ได้มาก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมด เพราะบางคนมีภาวะตับแข็งบ้าง ไขมันเกาะตับบ้าง หรือหัวใจมีอายุมากเกินไป เฉลี่ยแล้ว 1 ร่างของผู้เสียชีวิตจะมีอวัยวะที่ใช้ได้ไม่เกิน 3 อวัยวะ นอกจากนี้ อุปสรรค์ของการได้มาซึ่งอวัยวะของผู้บริจาคยังมีอีกมาก เช่นอุปสรรคที่ 1 แม้ผู้บริจาคได้รับการยินยอมจากญาติตั้งแต่ครั้งแรกที่แสดงความประสงค์ในการบริจาคอวัยวะแล้ว แต่เมื่อเสียชีวิตจริงๆ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการเก็บอวัยวะต้องได้รับการยินยอมจากญาติอีกครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งมีไม่น้อยเช่นเดียวกันที่ญาติไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เก็บอวัยวะ อุปสรรคที่ 2 เมื่อญาติอนุญาตให้สามารถเก็บอวัยวะไปใช้ประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยรายอื่นๆ แล้วทีมแพทย์ต้องมาตั้งต้นดูว่า 1. อวัยวะที่จะใช้นั้นได้หรือไม่ บางคนหัวใจหยุดเต้นหลายนาที ปั๊มหัวใจหลายครั้ง หัวใจก็อาจจะใช้ไม่ได้ 2.หากอายุของผู้บริจาคอยู่ในเกณฑ์ดี อวัยวะอยู่ในเกณฑ์ดี ศูนย์รับบริจาคอวัยวะก็จะเป็นผู้จัดสรรว่าจะให้กับใคร ตามเกณฑ์และระยะเวลาในการเข้าไปรับอวัยวะ “แต่บางครั้งสถานที่อยู่ไกล ไม่มีเครื่องบิน หรือกลับไม่ได้ หรือพอตกลงว่า ผู้บริจาคสมองตายสามารถจะบริจาคอวัยวะได้แล้ว แต่ทีมแพทย์ผู้เก็บอวัยวะยังไปไม่ถึงแล้วผู้บริจาคเกิดเสียชีวิตก่อน อวัยวะเหล่านั้นก็จะใช้ไม่ได้ หรือไปแล้วห้องผ่าตัดไม่ว่างก็ไม่ได้ เอามาแล้วแพทย์ผ่าตัดไม่เรียบร้อย ล้างอวัยวะไม่ได้ก็ไม่ได้ หรือบางครั้งเอามาแล้วผู้ที่รอรับบริจาคอยู่เกิดป่วยก็รับไม่ได้อีก อวัยวะจะสูญเสียไปเรื่อยๆ กว่าจะได้เปลี่ยนถ่าย เรียกว่าอุปสรรคมีอยู่ตลอดทางแต่ทีมแพทย์ก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ได้ เปลี่ยนอวัยวะให้ผู้ป่วยให้ได้”ดังนั้น จึงได้มีการแบ่งความรับผิดชอบเป็นไปตามพื้นที่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ก็ให้รับผิดชอบเรื่องการเก็บและเปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้กับผู้ที่ต้องการในพื้นที่ คนพื้นที่ได้ประโยชน์ ไม่ต้องเสี่ยงเดินทางไปเก็บ เสี่ยงอุบัติเหตุ และย่นระยะเวลา แต่ทั้งนี้ต้องมีการจัดสรรอย่างเป็นธรรม ดังนี้ 1. ภาคเหนือ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่รับผิดชอบผู้บริจาคอวัยวะในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ และตาก 2.ภาคตะวันอออกเฉียงเหนือ โรงพยาบาลศรีนครินทร์รับผิดชอบในเขตจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี เลย กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม หนองคาย นครราชสีมา หนองบัวลำภู และชัยภูมิ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์รับผิดชอบในเขตจังหวัดอุบลราชธานี มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อำนาจเจริญ โรงพยาบาลส่วนกลาง รับผิดชอบในเขตจังหวัดสกลนคร นครพนม3.ภาคตะวันออก โรงพยาบาลชลบุรีโรงพยาบาลระยอง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จะร่วมกันรับผิดชอบโดยหมุนเวียนกันออกไปทำผ่าตัดในเขตจังหวัดชลบุรีระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรีและตราด 4.ภาคใต้ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์รับผิดชอบในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี พังงา นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส 5.กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคใต้ตอนบน โรงพยาบาลส่วนกลางรับผิดชอบ 6.ในกรณีที่โรงพยาบาลสมาชิกในภาคต่างๆ ไม่สามารถเดินทางไปทำผ่าตัดในจังหวัดที่รับผิดชอบได้ ให้โรงพยาบาลสมาชิกส่วนกลางรับผิดชอบในจังหวัดนั้นๆ แทน ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับการบริจาคไตมาทั้ง 2 ข้าง จะต้องนำไต 1 ข้างต้องนำส่งศูนย์บริจาคอวัยวะที่ส่วนกลางเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ อีกต่อไปหลักเกณฑ์ข้อกำหนดสำหรับผู้มีความประสงค์ที่จะบริจาคอวัยวะ นายแพทย์วิศิษฎ์ ระบุว่า “สามารถทำได้ในทุกช่วงอายุอายุตั้งแต่เกิด จนถึงไม่เกิน 65 ปี โดยต้องได้รับการยินยอมบริจาคอวัยวะจากผู้ปกครองหรือญาติ” นอกจากนี้ผู้บริจาคต้องไม่เป็นโรคติดต่อ หรือโรคติดเชื้อทั่วไป เช่น ไวรัสตับอักเสบ หรือโรคที่สามารถติดต่อผ่านอวัยวะ เช่น มะเร็ง มาลาเรีย เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี ซิฟิลิส วัณโรค และโลหิตเป็นพิษ ผู้ป่วยต้องสงสัยว่าป่วยพิษสุนัขบ้า สมองอักเสบเฉียบพลัน หรือไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน ปลายประสาทอักเสบเฉียบพลัน ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่นอน เป็นโรคสมองเสื่อมไม่ทราบสาเหตุแน่นอน เป็นต้น “กรณีโรคติดเชื้อนั้นมีบางกรณีที่ได้รับการยกเว้น แต่มีรายละเอียดเยอะ ยกตัวอย่างกรณี ไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งบางครั้งคนที่รับบริจาคอาจจะเป็นไวรัสตับอักเสบอยู่ก่อนแล้วหรือได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเอาไว้แล้ว ตรงนี้อาจจะมีข้อยกเว้นสามารถรับอวัยวะจากคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบด้วยกันได้อยู่ และกรณีที่ไม่มีทางเลือก เช่นหากไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับใหม่ภายใน 2 วันนี้ ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตได้ ดังนั้นกรณีอย่างนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้นที่สามารถทำได้ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์และการยินยอมของผู้ป่วย และญาติ แต่โดยทั่วไปจะยึดหลักการของความบริสุทธิ์ของอวัยวะเป็นหลัก เรื่องเหล่านี้ต้องคุยกันให้เข้าใจระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย แพทย์ยินดีที่จะช่วยเหลือคนผู้ป่วยอยู่แล้ว”ทั้งนี้ การบริจาคนั้นสามารถไปแสดงความประสงค์ได้ด้วยตัวเองที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ซึ่งสามารถเลือกบริจาคเฉพาะอวัยวะก็ได้แล้วแต่ความสมัครใจ แต่ส่วนมากก็บริจาคทั้งร่างกาย เพราะวันนี้แม้จะบอกว่าเมืองไทยยังใช้อวัยวะแค่นี้ แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ อนาคตอาจจะทำได้มากกว่านี้ อวัยวะที่คนตายไม่ได้ใช้แล้ว แต่ยังมีประโยชน์กับคนเป็นอีกจำนวนมากสิ่งที่อยากฝากคือ การบริจาคอวัยวะไม่ได้น่ากลัว บางคนกลัวว่าเกิดมาชาติหน้าอวัยวะอาจจะไม่ครบ บางคนกลัวว่าถ้าทำแล้วชีวิตจะสั้น แต่จริงๆ การบริจาคอวัยวะให้เป็นทาน เป็นบารมีที่สูงสุด ทุกศาสนาไม่ได้เป็นอุปสรรค การช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ การบริจาคอวัยวะถือเป็นงานบุญทั้งสิ้นที่ผ่านมาพบว่าคนที่ตั้งใจบริจาคอวัยวะจริงๆ นั้น จะเตรียมความพร้อมของร่างกายอย่างดีตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นคนที่ประสงค์อย่างบริจาคปอดก็จะเลิกพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อปอด โดยเฉพาะการเลิกสูบบุหรี่ คนที่ตั้งใจบริจาคตับก็จะเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะกลัวว่าจะเกิด ไขมันพอกตับ ตับแข็ง ไม่เที่ยวกลางคืนเพราะกลัวติดเชื้อเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ พอเริ่มดูแลสุขภาพตัวเองดีก็ยิ่งมีอายุที่ยืนยาว -----------------------ข้อมูลต่างๆ สำหรับการบริจาคอวัยวะสามารถหาได้จากเว็ปไซส์ของสภากาชาดไทย http://www.redcross.or.th/homeขั้นตอนการบริจาคอวัยวะ1. กรอกรายละเอียดในใบแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะให้ชัดเจน ที่อยู่ควรจะตรงกับทะเบียนบ้าน (หากต้องการให้ส่งบัตรประจำตัวไปยังสถานที่อื่น กรุณาระบุให้ชัดเจน)2. พิมพ์ใบแสดงความจำนงบริจาค ส่งเอกสารมายังศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย และเมื่อศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ได้รับใบแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะของท่านแล้ว ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จะส่งบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะให้ตามที่อยู่ที่ได้ระบุไว้3. หลังจากที่ท่านได้รับบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะจากศูนย์รับ บริจาคอวัยวะฯ แล้ว อย่าลืมกรอกชื่อ และรายละเอียดการบริจาคลงในบัตร4. กรุณาเก็บบัตรประจำตัวผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไว้กับตัวท่าน หากสูญหายกรุณาติดต่อกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย5. ควรแจ้งให้ญาติทราบไว้ ว่าได้บริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย เพราะญาติจะได้ติดต่อกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยได้ทันท่วงที(ข้อมูลเพิ่มเติม )ข้อมูลจากรายงานประจำปี 2558 ของศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ พบว่าเมื่อเปรียบเทียบคนรอรับบริจาคกับที่ได้รับการบริจาคจริง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึง 31 ธันวาคม 2558 พบว่า มีผู้รอรับไตได้รับการปลูกถ่ายเพียง 364 ราย หรือร้อยละ 7.7 ของผู้รอรับทั้งหมด ส่วนผู้รอหัวใจได้รับการปลูกถ่าย 24 ราย ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ-ปอด 1 ราย หรือร้อยละ 5 ของผู้ที่รออยู่ทั้งหมด ผู้ได้รับการปลูกถ่ายตับและไต 1 คนจากจำนวนคนรอทั้งหมด 3 คน ผู้ที่รอรับการปลูกถ่ายตับอ่อนอยู่ 1 คน ตอนนี้ได้รับการปลูกถ่ายเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับผู้รอหัวใจและไต 1 คน ก็ได้รับการปลูกถ่ายเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ที่รอรับการปลูกถ่ายปอดซึ่งมีอยู่ 6 คน นั้นก็ยังไม่มีใครได้รับการปลูกถ่ายแต่อย่างใด และผู้ได้รับการปลูกถ่ายตับ 71 ราย หรือร้อยละ 35 ของผู้รอทั้งหมดผู้ที่รอรับการปลูกถ่ายตับอ่อนและไตมีอยู่ 13 คน แต่ยังไม่มีใครได้รับการปลูกถ่ายตับอ่อนและไตเลย ผู้รออวัยวะทั้งหมดกับผู้รอรายใหม่และผู้เสียชีวิตระหว่างรออวัยวะ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2549 – 31 ธันวาคม 2558 ใน พ.ศ.2558 มีผู้รอรับบริจาคอวัยวะรายใหม่จำนวน 1,405 ราย หรือร้อยละ 28 ของผู้รออวัยวะทั้งหมดและมีผู้รอที่เสียชีวิตระหว่างรออวัยวะจำนวน 111 คน คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของผู้รออวัยวะทั้งหมดโดยเป็นผู้รอไตเสียชีวิต 60 คน ผู้รอรับตับเสียชีวิต 39 คน ผู้รอรับตับ-ไตเสียชีวิต 5 คน ผู้รอหัวใจเสียชีวิต 4 คน ผู้รอหัวใจ-ปอดเสียชีวิต 2 คน ผู้รอปอดเสียชีวิต 1 คน.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 แมงกะพรุน

สัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์ที่อยู่คู่โลกมามากกว่า 500 ล้านปี มีลำตัวใส นิ่ม ไร้สมองและหัวใจมาตั้งแต่แรกมีบนโลกแมงกะพรุนมีหลายชนิดนับได้เป็นหมื่น มีทั้งชนิดกินได้และชนิดที่มีพิษร้ายแรง แมงกะพรุนป้องกันตัวเองด้วยเข็มพิษที่หนวด ถ้าโดนทิ่มตำเข้าไปจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย ตั้งแต่เบาะๆ อย่างทำให้คัน เป็นผื่น บวมแดง เป็นรอยไหม้ปวดแสบปวดร้อน เป็นแผลเรื้อรังหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไปเจอพิษชนิดร้ายแรงเข้า โดยเฉพาะแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่ถูกจัดอันดับให้มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกแต่คนเรานั้นช่างสังเกตทำให้เจอะเจอแมงกะพรุนชนิดที่สามารถนำมาบริโภคได้ และจัดว่ามีคุณค่าทางอาหารพอสมควรเสียด้วย โดยเฉพาะเจลาตินที่เป็นส่วนของเนื้อตัวใสๆ นั้นจัดเป็นโปรตีนชั้นดี แคลอรีต่ำ กล่าวกันว่าคนจีนนั้นจับแมงกะพรุนมากินกว่า 1,000 ปีแล้ว เชื่อว่ากินแล้วบำรุงข้อ บรรเทาโรคเก๊าท์เมื่อชาวประมงเก็บแมงกะพรุนขึ้นมาจากทะเลจะนำมาล้าง ตากแห้งแล้วหมักด้วยเกลือ สารส้ม และโซเดียมไบคาร์บอเนต(ผงฟู) หลายวันก่อนจะนำออกขาย เป็นแบบแมงกะพรุนแห้ง ซึ่งจากแมงกะพรุนสดหนักประมาณ 30-50 กิโลกรัม พอแห้งจะเหลือเพียงแค่ 1 กิโลกรัมเท่านั้น แมงกะพรุนแห้งมีหลายเกรด ราคาจะสูงต่ำไปตามคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เกรดเอจะถูกส่งขายตลาดต่างประเทศอย่างไต้หวัน ญี่ปุ่น เพราะคนที่นั่นเขานิยมรับประทานกันมากแมงกะพรุนแห้งนำมาทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น ยำ ใส่ในเย็นตาโฟหรือลวกจิ้มในร้านสุกี้ และบางพื้นที่อย่างชลบุรี ก็มีการนำแมงกะพรุนสดไปดองกับเปลือกไม้ เช่น เปลือกต้นมะยม จะได้แมงกะพรุนดองที่มีสีออกแดงๆ รสชาติอร่อยแปลกไปอีก โดยแมงกะพรุนชนิดที่รับประทานได้ ส่วนใหญ่ที่พบในทะเลบ้านเราคือ แมงกะพรุนหนัง แมงกะพรุนจาน แมงกะพรุนหอม และแมงกะพรุนลอดช่อง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 พิษสวาท : ระหว่าง “ชาติภพ” กับ “ชาตินิยม” ในสังคม 4.0

“ชาติ” คืออะไร? หากย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้าสองร้อยปีที่ผ่านมานั้น คำว่า “ชาติ” ที่ชาวสยามประเทศรับรู้ในยุคดังกล่าว อาจไม่ใช่ “ชาติ” ในความหมายเดียวกับที่คนไทยในปัจจุบันกำหนดนิยามเอาไว้ในอดีตนั้น คนไทยรับรู้ความหมายของชาติว่า เป็นเรื่องของชาติภพ ซึ่งมีวัฏฏะแห่งกรรมหรือการกระทำเป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น มนุษย์ที่เกิดมาในชาตินี้ ก็เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่สั่งสมไว้ในชาติปางก่อน อันเป็นกฎที่มนุษย์เราจะหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไปไม่ได้เลย เพราะชาติหรือภพชาติเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วก่อนที่คนเราจะถือกำเนิดขึ้นมาเสียอีกจนกระทั่งในราวเกือบสองร้อยปีได้กระมัง ที่ความหมายของชาติอีกชุดหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมา ชาติในทัศนะใหม่กลายเป็น “จินตกรรมร่วม” ของคนจำนวนมาก ที่จะบ่งบอกว่าตนสังกัดเป็นส่วนหนึ่งในจินตกรรมความเป็นชาตินั้นๆ เช่น เมื่อชาติต่างๆ ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เราก็จะเห็นจินตกรรมความรักชาติปรากฏออกมาผ่านเสียงเชียร์และกำลังใจมากมายที่มีให้กับตัวแทนทีมชาติของตนด้วยเหตุฉะนี้ ชาติในความหมายดั้งเดิมกับชาติในนิยามที่ร่วมสมัย จึงมีนัยยะที่แตกต่างกัน ระหว่าง “ชาติภพ” แห่งการเวียนว่ายตายเกิด กับจิตสำนึก “ชาตินิยม” ที่คนส่วนใหญ่จินตกรรมเอาไว้ร่วมกันเมื่อก่อนนี้ผู้เขียนเองเคยเชื่อว่า นิยามความหมายของชาติสองชุดนี้ น่าจะแยกขาดกันตามโลกทัศน์ของผู้คนที่มีต่างกันในแต่ละยุคสมัย แต่เมื่อได้นั่งดูละครโทรทัศน์เรื่อง “พิษสวาท” แล้ว กลับพบว่า “ชาติภพ” กับ “ชาตินิยม” อาจจะเป็นสองสิ่งอย่างที่สามารถฟั่นเกลียวไขว้พันกันได้อย่างแนบแน่นละครผูกเรื่องราวของความรักความแค้นแบบข้ามภพชาติของตัวละคร “อุบล” หญิงสาวนางรำหลวงแห่งราชสำนัก ผู้เป็นภรรยาของ “พระอรรคราชบดินทร์” ทหารเอกมากฝีมือแห่งกรุงศรีอยุธยา และเมื่อวาระสุดท้ายของราชธานีสยามยุคนั้นมาถึง พระอรรคจำต้องลงดาบฆ่าและใช้โซ่ตรวนจองจำอุบลเอาไว้ เพื่อมอบหมายภารกิจให้เธอทำหน้าที่เป็น “ผู้เฝ้าทรัพย์แห่งแผ่นดิน” อันเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้นที่สะสมอยู่ในดวงวิญญาณที่ของอุบล ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนที่เธอรักมากที่สุดถึงลงทัณฑ์ทำร้ายเธอได้เยี่ยงนี้ครั้นพอมาถึงสมัยปัจจุบัน พระอรรคผู้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็น “อัคนี” นักโบราณคดีหนุ่ม ได้เวียนว่ายมาพบกับหญิงสาวลึกลับลุคกิ้งไฮโซนามว่า “สโรชินี” ที่รู้จักกันผ่านวัตถุโบราณอย่าง “ทับทิมสีเลือด” ซึ่งถูกโจรกรรมมา ความทรงจำในชาติปางบรรพ์จึงเริ่มถูกกู้ไฟล์ขึ้นมา จนภายหลังอัคนีจึงตระหนักได้ว่า สโรชินีก็คือดวงวิญญาณของอุบลซึ่งถูกกักขังไว้ และรอคอยการแก้แค้นเขาเมื่อวัฏฏะแห่งกรรมเวียนมาบรรจบอีกครั้งหากพิจารณาจากชื่อเรื่อง “พิษสวาท” ดูเหมือนว่า ละครเรื่องนี้น่าจะมุ่งเน้นให้เราเห็นบ่วงกรรมที่ตัวละครทำเอาไว้ในชาติภพก่อน แล้วยังคงผูกพันกันเป็น “พิษ” แห่ง “สวาท” ที่ตามติดมาหลอกหลอนจนถึงในภพชาตินี้แต่อย่างไรก็ดี ในท่ามกลางกระแสที่สำนึกความเป็นชาติของคนไทยอยู่ในสภาวะง่อนแง่น และถูกแรงกระแทกจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกถาโถมเข้ามามากมาย ดังนั้น พิษรักแรงแค้นจึงอาจมิใช่เป้าหมายเดียวที่อุบลใช้อ้างเหตุจำแลงกายมาเป็นสโรชินีในชาติภพปัจจุบัน แต่ mission ของการกอบกู้ความเป็นชาติต่างหากที่เธอทนเฝ้ารอเพื่อกลับมาพบเจอกับตัวละครหลากหลายอีกครั้งในชาตินี้จากชาติภพที่มีมาตั้งแต่ก่อนยุคแอนะล็อก จนมาถึงชาตินิยมสมัยใหม่ในยุคเศรษฐกิจสังคมแบบ 4.0 นี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ไฟล์ความทรงจำของตัวละครซึ่งข้ามผ่านกาลเวลามาได้ถูกดีลีทไปบ้าง ติดไวรัสไปบ้าง หรือถูกแฮกเกอร์ลบข้อมูลบางอย่างออกไปบ้าง พันธกิจของอุบลจึงเป็นความพยายามกอบกู้ไฟล์ และติดตั้งโปรแกรมสำนึกชาตินิยมเข้าไปในโลกทัศน์ของตัวละครต่างๆ กันอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นไฟล์ของนักการเมืองมือสะอาดอย่าง “อัครา” ที่ฐานข้อมูลเรื่องชาติยังไม่ได้ถูกทำลายไปมากนัก หรือคู่อริทางการเมืองผู้กังฉินอย่าง “ดนัย” ที่โปรแกรมความรักชาติทั้งรวนทั้งแฮงค์มาตั้งแต่ภพชาติก่อนจนถึงภพชาติปัจจุบัน อุบลก็ค่อยๆ ใส่โปรแกรมชาตินิยมเวอร์ชั่นล่าสุด ที่จะช่วยฟื้นฟูความทรงจำของทั้งสองคนให้สำเหนียกถึงความเสียสละตนเพื่อชาติที่กำลังอ่อนแอลงยิ่งกับตัวละครพระเอกอัคนีด้วยแล้ว ข้อมูลความทรงจำทั้งหมดของเขาดูจะถูกลบทิ้งจนกู้กลับคืนได้ลำบากมาก อุบลจึงต้องอาศัยเทคนิควิธีการอันแพรวพราวเพื่อจะดาวน์โหลดบูทเครื่องและติดตั้งโปรแกรมชาตินิยมเข้าไปในฮาร์ดดิสก์ความทรงจำของเขาเสียใหม่เมื่อต้องมาใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล 4.0 เช่นนี้ ในหลายๆ ฉากของท้องเรื่อง เราจึงเห็นอุบลพยายามสรรค์สร้างโลกจำลองเสมือนจริงขึ้นมากระทุ้งความทรงจำของอัคนีอยู่เนืองๆ ตั้งแต่ครีเอทฉากเปิดตัวของเธอในงานอีเวนท์กันชนิดอลังการงานสร้างยิ่งนัก แทรกซึมเรื่องราวในอดีตของเธอและเขาเข้าไปในห้วงความฝันของอัคนี ไปจนถึงจัดฉากแบบ simulation ในงานแสงสีเสียงกรุงเก่า เพื่อจำลองภาพบรรยากาศสงครามช่วงเสียกรุง โดยมีบรรดาวิญญาณบรรพชนเข้าร่วมเป็นนักแสดงในฉากให้ดูสมจริงยิ่งกว่าจริงทีเดียวด้วยเหตุนี้เอง ความเป็นชาติที่เป็นจินตกรรมซึ่งเกิดขึ้นมาไม่เกินกว่าสองร้อยปี จึงถูกร้อยรัดขมึงเกลียวเข้ากับความหมายของชาติภพที่พันผูกกันผ่านบ่วงกรรมของตัวละครเอาไว้อย่างแยบยล เกินกว่าที่วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ใดๆ ในโลกจะหยั่งถึงได้กว่าจะถึงฉากจบที่อุบลได้ตระหนักว่า แม้แต่กับตัวเธอในฐานะเว็บมาสเตอร์ผู้กอบกู้ไฟล์ชาตินิยมอยู่นี้ โปรแกรมรุ่นเก่าของเธอก็มีเหตุให้ต้องติดไวรัสไปด้วยเช่นกัน เพราะเธอเองก็ไม่มีความทรงจำติดตั้งเอาไว้เลยว่า เหตุผลที่พระอรรคจำต้องสังหารชีวิตภรรยาอันเป็นที่รัก ก็เพียงเพื่อปกป้องหล่อนไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของข้าศึก และมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นดวงวิญญาณบรรพสตรีที่เฝ้าสมบัติของแผ่นดินเอาไว้นั่นเองและในตอนท้ายของเรื่องอีกเช่นกัน ที่ตัวละครทุกคน รวมทั้งอัคนีและอุบล ก็ได้เรียนรู้ด้วยว่า ปัญหาการถูกจองจำอยู่ใน “พิษสวาท” หรือแรงรักแรงแค้นนั้น ก็เป็นเพียงปัญหากิเลสที่ครอบงำวิญญาณระดับปัจเจกบุคคลข้ามภพชาติเท่านั้น ต่างไปจากเรื่องสำนึกรักและเสียสละเพื่อชาติ ซึ่งเป็นปัญหาระดับส่วนรวมที่บรรพชนติดตั้งเป็นโปรแกรมอนุสสติเตือนใจเราเอาไว้ตั้งแต่ยุคก่อนที่จินตกรรมชาตินิยมจะถูกสร้างขึ้นไว้เสียอีก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 ผลการทดสอบ smart phone สำหรับ การทำงานของ Navigator App

วารสาร  Test ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพ app  ที่ทำใช้เป็น navigator เสมือนเป็นผู้ช่วยขับรถ บอกเส้นทางและสภาพการจราจร ในอนาคต Navi app เหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คนขับรถได้มาก ลดเวลาการเดินทางที่เกิดจากการจราจรที่ติดขัด และช่วยให้ไม่ต้องเจอกับปัญหาการหลงทาง การทดสอบประสิทธิภาพดังกล่าวได้เปรียบเทียบ Navi app จำนวน 3 ยี่ห้อ คือ androidauto  Apple CarPlay และ MirrorLink โดยทดสอบกับรถยนต์ Seat Leon ปี 2016 ซึ่งเป็นรถยนต์ของค่าย Volkswagen ผลทดสอบเปรียบเทียบตามตาราง การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลพฤติกรรมการขับรถเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ที่ไม่สามารถปกปิดเป็นความลับได้ และบริษัทรับประกันภัยสามารถทราบถึงข้อมูลการขับรถได้เช่นกัน ในปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ติดตั้ง อุปกรณ์ที่เรียกว่า telematics box ที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลการขับรถของเราไว้ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นการติดตั้งโดยความสมัครใจแต่ในปี 2018 รถใหม่ทุกคันต้องติดตั้งระบบส่งข้อมูลในกรณีฉุกเฉินเรียกว่าระบบ eCall อย่างไรก็ตามกฎหมายใหม่คงเป็นประเด็นทางการเมือง และเป็นข้อถกเถียงระหว่าง สิทธิส่วนบุคคลและความปลอดภัยในการจราจรยุคใหม่ ที่เรียกว่า ยุค mobility 4.0(ที่มา วารสาร Test ฉบับที่ 8/2016)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 บอกเลิก (บริการโทรคมนาคม) อย่างไรให้ได้ผล (ตอนที่ 2)

ตอนที่แล้ว ผมได้แนะนำวิธียกเลิกบริการโทรคมนาคมแบบง่าย ๆ แต่ได้ผล นั่นก็คือ การบอกเลิกสัญญาโดยทำเป็นหนังสือส่งถึงบริษัท ซึ่งจะส่งทางจดหมายไปรษณีย์ อีเมล์ หรือ แฟกซ์ ไปก็มีผลตามกฎหมายเหมือนกัน วิธีนี้สะดวกและประหยัดสุดเพราะทำการยกเลิกจากที่บ้านได้เลย ไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการและไม่ต้องเสียอารมณ์กับลูกตื้อกวนใจของพนักงานที่สำคัญ จำไว้นะครับ การโทรศัพท์ไปแจ้งยกเลิกบริการกับ call center ไม่มีผลในทางกฎหมาย ต้องแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรนะครับ ปัจจุบัน บริการมือถือและอินเทอร์เน็ต มักจะมีรายการส่งเสริมการขายที่ผูกสัญญาให้ลูกค้าต้องใช้บริการอย่างน้อยกี่เดือน กี่ปีก็ว่ากันไป เช่น ซื้อโทรศัพท์รุ่นยอดฮิตได้ในราคาพิเศษ แต่ต้องใช้บริการนาน 2 ปี หรือสมัครใช้บริการอินเทอร์เน็ต ฟรีค่าธรรมเนียม ค่าติดตั้ง ถ้าใช้บริการครบ 1 ปี เป็นต้นเมื่อสมัครใช้บริการแล้ว แต่มีเหตุจำเป็น ต้องยกเลิกบริการ เช่น ต้องย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน หรือใช้บริการแล้วคุณภาพสัญญาณไม่ดี ฯลฯ กรณีแบบนี้ หลายคนสงสัยว่า จะยกเลิกบริการก่อนครบกำหนดได้ไหม และจะต้องเสียค่าปรับ หรือไม่1. เรื่องนี้ โดยหลักการแล้ว “ผู้ใช้บริการ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาใช้บริการโทรคมนาคมเมื่อใดก็ได้” (รายละเอียดหาอ่านได้ในตอนที่แล้ว) และกรณีจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมอุปกรณ์โทรคมนาคมในราคาพิเศษ ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิคิดค่าปรับ ถ้าผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549ข้อ 15 ในกรณีที่ผู้ให้บริการได้ส่งมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือคิดค่าใช้จ่ายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดของค่าอุปกรณ์ ในขณะที่ส่งมอบเพื่อประโยชน์ในการใช้บริการโทรคมนาคมนั้น ผู้ให้บริการจะถือเอาเหตุดังกล่าวมากำหนดเป็นเงื่อนไขอันก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ใช้บริการหรือเรียกเก็บค่าปรับหรือค่าเสียหายจากการที่ผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดมิได้ผู้ใช้บริการที่ได้รับมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าว และต้องส่งคืนให้แก่ผู้ให้บริการเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง หากผู้ใช้บริการก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องอุปกรณ์นั้น ผู้ให้บริการมีสิทธิเรียกให้ผู้ใช้บริการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ จะต้องไม่เกินกว่าราคาตลาดของค่าอุปกรณ์ดังกล่าวในขณะนั้น ในกรณีที่ผู้ให้บริการประสงค์จะคิดค่าใช้จ่ายจากการส่งมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งจากผู้ใช้บริการ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด2. แม้ผู้ใช้บริการจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด แต่เพื่อความเป็นธรรมสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย สิทธิประโยชน์ที่บริษัทเขาให้มาอาทิ ส่วนลดค่าเครื่องต่าง ๆ ตามโปรโมชั่น ถ้าใช้บริการไม่ครบตามสัญญา ก็ต้องคืนเขาไป เช่น แพ็กเกจรายเดือน 599 บาท รับส่วนลดค่าเครื่องโทรศัพท์ 3,000 บาท เมื่อใช้บริการครบ 6 เดือน ถ้าเกิดใช้บริการไปได้ 3 เดือน แล้วเกิดเหตุต้องยกเลิกบริการ ก็สามารถยกเลิกบริการได้ แต่ผู้ใช้บริการก็ต้องคืนส่วนลดค่าเครื่องตามสัดส่วนที่ใช้งานไป ถ้าตามตัวอย่างนี้ แทนที่จะได้ส่วนลดค่าเครื่องเต็ม 3,000 บาท ก็เหลือแค่ 1,500 บาท แต่ก็ไม่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนส่วนที่เหลือ3. ในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ต ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อต้องยกเลิกบริการก่อนครบกำหนดก็คือ บริษัทผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าติดตั้งที่ได้ยกเว้นให้คืน กรณีนี้ นอกจากบริษัทจะคิดค่าปรับไม่ได้เพราะขัดกับข้อ 15 แล้ว ก็ยังไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียม ค่าติดตั้งย้อนหลังได้ด้วย แม้สัญญาใช้บริการจะระบุเอาไว้อย่างนั้น ก็ไม่มีผลบังคับใช้เพราะตามกฎหมาย สัญญาบริการโทรคมนาคมไม่ว่ามือถือ หรืออินเทอร์เน็ต จะมีผลบังคับใช้ได้ต้องได้รับความเห็นชอบจาก กสทช.ก่อน และที่ผ่านมา กสทช. ไม่เคยอนุญาตให้บริษัทคิดค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการอื่นใด หากผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ดังนั้น ข้อสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลเรื่องของการยกเลิกบริการ ยังไม่จบนะครับ เพราะจะเลิกกันโดยสมบูรณ์ก็ต้องจ่ายค่าบริการให้ครบถ้วนก่อน ดังนั้น ตอนหน้าเราจะมาดูกันว่า ค่าบริการรอบสุดท้ายจะต้องจ่ายเท่าไร ถึงจะเป็นธรรม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 รู้เท่าทันเมล็ดเจีย

ระยะนี้ ดูเหมือน เมล็ดเจีย กลายเป็นพระเอกในตลาดสินค้าสุขภาพทางเลือกโดยเฉพาะในต่างประเทศ ประเทศไทยกำลังตามมาติดๆ เมล็ดเจียจะแซงเมล็ดงาดำหรือแมงลักได้หรือไม่ ในต่างประเทศมีความนิยมเรื่องเมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดสีและเมล็ดธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นอกจากนี้เมล็ดเจีย ยังมีตำนานว่าเป็นธัญพืชที่ชาวแอซเท็กโบราณในคริสศตวรรษ 14-16 นิยมบริโภคเพราะเชื่อว่า จะให้พลังกับร่างกายและสติปัญญา ต่อมาได้เกิดสูญพันธุ์ไป และมาค้นพบใหม่อีกครั้ง ทำให้มีการนำมาเพาะปลูกและบริโภคโดยเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่งเพราะมีภูมิปัญญาโบราณของชาวแอซเท็กเป็นหลักฐาน เรามารู้เท่าทันเมล็ดเจียกันเถอะเมล็ดเจียคืออะไรเมล็ดเจียมีชื่อว่า Salvia hispanica หรือนิยมเรียกกันทั่วไปว่า Chia เป็นพืชตระกูลมินต์ มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกกลางและใต้ และในกัวเตมาลา นักรบชาวแอซเท็กกินเมล็ดเจียเพื่อให้พลังงานและความทนทานสูง พวกเขาเชื่อว่า การกินเมล็ดเจียแค่หนึ่งช้อนชาจะช่วยเพิ่มพลังได้นาน 24 ชั่วโมงคุณค่าของเมล็ดเจียมีการโฆษณาเกี่ยวกับเมล็ดเจียในเว็บไซต์จำนวนมาก ทั้งบริษัทร้านค้าและแพทย์ทางเลือกที่มีชื่อเสียง บางคนเรียกว่าเป็น superfood ก็มี และอ้างคุณค่าว่า มี โอเมก้า 3 มากกว่าปลาแซลมอน 8 เท่า, โอเมก้า 6, เหล็กมากว่าผักโขม 3 เท่า, สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอรี่ 3 เท่า, แมกนีเซียมมากกว่าบรอกโคลี 15 เท่า, แคลเซียมมากกว่านม 5 เท่า, เส้นใยอาหารสูง และยังดีต่อโรคหัวใจ ลดไขมัน ความดันเลือดลดลง เป็นต้น ในบางเว็บไซต์ อ้างว่า เมล็ดเจียช่วยในการลดน้ำหนัก รักษาโรคเบาหวาน กระดูกพรุน สำหรับนักกีฬาราคาซื้อขายเมล็ดเจียในท้องตลาดสุขภาพในท้องตลาดประเทศไทยมีการขายเมล็ดเจียกันหลายราคา ตั้งแต่ 600 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงพันกว่าบาท โดยเฉพาะที่นำเข้าจากประเทศเม็กซิโกและเป็นเกษตรอินทรีย์จะมีราคาสูงเป็นพิเศษการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีงานวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดเจียในวารสารวิชาการจำนวนมาก ในวารสาร Pubmed มีการตีพิมพ์การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดเจียประมาณ 46 รายงาน จากการทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Pubmed พบว่า งานวิจัยต่างๆ นั้นยังมีหลักฐานทางวิชาการที่จำกัด ไม่สามารถยืนยันประสิทธิผลของเมล็ดเจียได้เพียงพอ แต่พบว่า มีงานวิจัยคลินิก 2 รายงานที่น่าเชื่อถือ โดยรายงานการศึกษาทางคลินิกรายงานหนึ่ง พบว่า เมล็ดเจียอาจมีประสิทธิผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ (รวมทั้งน้ำหนักร่างกายที่มากเกินไป) บ้าง ส่วนอีกรายงานนั้นพบว่า ไม่มีประสิทธิผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ ทั้ง 2 การศึกษาพบว่า เมล็ดเจียไม่มีผลต่อการลดน้ำหนักของร่างกายอย่างไรก็ตาม การทบทวนเอกสารวิชาการโดยเฉพาะเอกสารทางประวัติศาสตร์ พบว่า เมล็ดเจียมีความปลอดภัยในการบริโภคสำหรับผู้ที่ไม่มีอาการแพ้เมล็ดเจียในการทบวนงานวิจัยเสนอว่าต้องมีการศึกษาที่เป็นระบบเพิ่มเติม ก่อนที่จะใช้เมล็ดเจียมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและใช้ในการบำบัดโรคและอาการต่างๆ ตามที่มีความเชื่อกันอยู่ในปัจจุบันสรุปว่า เมล็ดเจียนั้นเป็นธัญพืชอย่างหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหาร แต่การนำมาบริโภคเพื่อบำบัดอาการ และโรคต่างๆ นั้น ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันประสิทธิผลดังกล่าว จึงควรที่จะประเมินดูว่า คุ้มกับราคาที่สูงมากเกินไปหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 อาหารวิตถาร

การเข้าดูข้อมูลเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการในอินเทอร์เน็ตนั้น ทำให้ผู้เขียนได้พบว่า นับวันที่ผ่านไปมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลของอาหารต่อสุขภาพของผู้บริโภคเยอะมาก บ้างก็เชื่อได้(นิดหน่อย) และบ้างก็ไม่น่าเชื่อเลยจนถึงเข้าขั้นเรียกว่า อาหารวิตถารที่มาของคำว่า อาหารวิตถาร นั้นผู้เขียนแปลเองจากคำว่า food fad หรือ food faddism ซึ่งมีปรากฏให้เห็นในอินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และหลายท่านอาจเคยพบคำอีกคำคือ fad diet ซึ่งก็ไม่น่าจะต่างกันนักคำว่า Fad นั้นเป็นคำที่ใช้เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กลุ่มชนนิยมอย่างรวดเร็วและเลิกนิยมเร็วในลักษณะเดียวกับตุ๊กตาลูกเทพ (พจนานุกรมแปล อังกฤษ-ไทยของ อ. สอ เสถบุตร ให้ความหมายคำว่า fad คือ ความคิดวิตถาร, เซี้ยว, บ้า, วิตถาร, สิ่งที่นิยมกันจนคลั่ง) ดังนั้นในกรณีของคำว่า food fad นั้นจึงน่าจะหมายถึง อาหารที่มีคนนิยมกินกันเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ที่อาจดูเป็นเรื่องราวบ้างหรือไร้สาระโดยสิ้นเชิงในวันใดวันหนึ่ง จากนั้นความนิยมนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว มีผู้พยายามอธิบายถึงองค์ประกอบที่เป็นลักษณะเฉพาะของ fad diet ดังนี้1. เว่อร์เกินจริง เช่น การอวดอ้างสรรพคุณของอาหารเกินจริงในด้านการปรับปรุงสุขภาพ หรือการครอบงำทางความคิดเกี่ยวกับประเด็นใดประเด็นหนึ่งทางโภชนาการ ตัวอย่างเช่น เรื่องของธัญพืชทั้งเมล็ดที่มีการแนะนำว่า กินแล้วสุขภาพดี จึงมีผู้หวังเงิน(ในกระเป๋าคนอื่น) บางคนนำไปเว่อร์ว่า สินค้าที่เขาขายนั้นรักษาโรคได้สารพัดโรคธัญพืชที่เคยถูกเว่อร์มาแล้วคือ เมล็ดแฟลกซ์(Flaxseed) ซึ่งหมายถึงเมล็ดจากต้นลินิน (Linseed) พืชที่ลำต้นนั้นเป็นแหล่งที่มาของใยผ้าลินิน ในความเป็นจริงแล้วเมล็ดแฟลกซ์นี้มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี แต่มันก็ไม่ได้ดีกว่าเมล็ดพืชอื่น ที่เรากินกันมานานแล้วในชีวิตประจำวัน แบบว่ารู้วิธีกินที่ไม่ก่อโทษ (ตัวอย่างเช่น พืชตระกลูถั่วถ้าปรุงไม่สุก เมื่อกินแล้วจะท้องอืดท้องเฟ้อ เพราะเมล็ดถั่วที่สุกไม่พอยังมีสารพิษอยู่หลายชนิดที่ทำให้เกิดปัญหาในการย่อยสารอาหารที่เรากินเข้าไป ดังนั้นนักวิชาการจึงมักแนะนำให้ปรุงถั่วต่าง ๆ ให้สุกเสมอก่อนกิน)ที่น่าสนใจคือ เมล็ดแฟลกซ์นั้นมีการขายกันค่อนข้างแพง(ในช่วงที่มีความนิยมสูง) และมีเว็บหนึ่งซึ่งขายเมล็ดพืชนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อควรระวังต่อผู้ซื้อเมล็ดพืชชนิดนี้ว่า “เนื่องจากองค์ประกอบของเมล็ดมีสารที่ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟัน ควรหยุดกินอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์”2. ความเชื่อเอาเองส่วนตัว ประเด็นนี้มักมีการนำมาใช้อวดอ้างประโยชน์ทางการแพทย์แบบที่ยังไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์สนันสนุน ผู้ที่มักใช้ความเชื่อส่วนตัวในการขายสินค้าอาหารเพื่อบำบัดโรคหรือบำรุงร่างกายนั้น มักเป็นผู้ที่มีความรู้ การศึกษาสูง เป็นที่รู้จักทางสังคม อยู่ในหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ทั้งที่เป็นดิจิตอลภาคพื้นดินและดาวเทียมลักษณะของอาหารวิตถารนั้นมักหนีไม่พ้นประเด็นต่อไปนี้คือ 1.) อาหารที่บอกว่าวิเศษสามารถบำบัดโรคได้ครอบจักรวาล เช่น โรคอ้วน อาการซึมเศร้า อาการเซ็กส์เสื่อม อาการเหี่ยวย่น ฯลฯ 2.) อาหารที่มีการกินกันทั้งที่ไม่ควรกินเนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ (เช่น นมวัวจากเต้าหรือ raw cow milk ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรส์) และ 3.) อาหารที่ผลิตขึ้นพิเศษเพื่อสุขภาพที่คิด(เอาเอง) ว่า น่าจะดีอาหารวิตถารกลุ่มหนึ่งที่มีการหลอกหลอนอยู่ในสังคมตะวันตก โดยปัจจุบันนี้ฝรั่งได้บัญญัติศัพท์คำหนึ่งว่า superfoods ซึ่งมีคนไทยเขียนบทความในอินเทอร์เน็ตแล้วใช้คำ ๆ นี้ในความหมายที่ว่า superfoods คือ อาหารที่มีแคลอรีต่ำ ซึ่งอาจมีสารอาหารไม่ครบแต่มีสารอาหารบางอย่างมากมายจนช่วยบำรุงผิวกาย ต้านโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะต้านความแก่ ซึ่งได้แก่ ผัก น้ำผึ้ง สมุนไพร ผลไม้ ถั่ว และสาหร่ายทะเล (อาหารเหล่านี้เป็นอาหารธรรมดาที่ดีตามสิ่งที่มันมี แต่ต้องกินรวมกับอาหารอื่นในลักษณะอาหารห้าหมู่เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบ การกินเดี่ยวหรือมากเกินไปย่อมก่ออันตรายต่อสุขภาพได้)ในขณะที่เว็บภาษาอังกฤษเว็บหนึ่งกล่าวว่า superfoods เป็นอาหารที่น่าสงสัยเป็นอย่างมากเนื่องจากไปเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหรือความเชื่อส่วนตัว มีตัวอย่างที่น่าสนใจคือ นมวัวดิบ ซึ่งมีคนทั้งไทยและฝรั่งบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นนมที่ประเสริฐสุด ทั้งที่การดื่มนมลักษณะนี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อหลายชนิด ศูนย์ควบคุมโรค (Centers for Disease Control หรือ CDC) ของสหรัฐอเมริกากล่าว ในระหว่างปี 1998 ถึง 2011 นั้น ร้อยละ 79 ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดื่มนม (148 ครั้ง มีผู้ป่วย 2,384 คน ซึ่งต้องนอนที่โรงพยาบาล 284 คน และตาย 2 คน) เกี่ยวข้องกับการดื่มนมดิบเรื่องของนมวัวดิบนี้ เริ่มมีการเผยแพร่ความเชื่อในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1929 โดยมีการลงบทความเรื่อง Milk Cure ในวารสาร Certified Milk Magazine ซึ่งอ้างว่า นมวัวดิบนั้นบำบัด มะเร็ง ลดความอ้วน โรคไต อาการเหนื่อยง่าย ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ปัญหาของระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมาก ทั้งที่ตราบจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าจริงแต่อย่างใดในสหรัฐอเมริกานั้น มีกระบวนการกินอาหารลักษณะหนึ่งเรียกว่า อาหารจีเอ็ม หรือ GM diet (ย่อมาจาก General Motor diet) ซึ่งเป็นแผนการลดน้ำหนักคนงานของบริษัทรถยนต์ ซึ่งหวังทำให้คนงานของโรงงานที่ทำงานนั่งโต๊ะมีหุ่นดี พร้อมประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น(ท่านผู้อ่านสามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.gmdietworks.com)อาหารจีเอ็มนั้นเป็นโครงการปฏิบัติการ 7 วัน โดยในวันแรกกำหนดให้กินแต่ผลไม้ (ยกเว้นกล้วยหอม) และดื่มน้ำ 10-12 แก้ว จากนั้นในวันที่สองก็กินแต่ผัก โดยยอมให้กินมันฝรั่งอบในมื้อเช้าเพื่อกระตุ้นให้มีพลังงานในวันนั้น ส่วนวันที่สามให้กินผักและผลไม้ผสมกันพร้อมด้วยน้ำ 10-12 แก้ว (ห้ามกินกล้วยหอมเหมือนเดิม) สำหรับวันที่ 4 ผู้เข้าร่วมโครงการได้กินกล้วยหอมและนมไปพร้อมกับ wonder soup (ซึ่งประกอบด้วย หอมหัวใหญ่ 6 หัว พริกหยวก 2 หัว มะเขือเทศ 3 ผล กระหล่ำปลี 1 หัว ผักเซเลอรี 1 กำ ผสมน้ำ 22 ออนซ์ แล้วต้มให้สุก) หรือซุบผักอย่างอื่นก็ได้ พอถึงวันที่ 5 ผู้เข้าร่วมถูกกำหนดให้กินข้าวกล้อง ลิ่มน้ำนม (curd) หรือเต้าหู้ หรือเนยแข็ง และมะเขือเทศ ส่วนในวันที่ 6 นั้นกำหนดให้กินข้าวกล้องและผักหรือโปรตีนที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ที่สามารถกินเข้ากันได้กับผัก ในวันนี้ห้ามกินมันฝรั่งแต่ยอมให้ผสมเนยแข็งหรือเต้าหู้ในชามผัก จนถึงวันที่ 7 ก็ยังคงกำหนดให้กินข้าวกล้อง 2 ถ้วย พร้อมกับผักและผลไม้ไม่จำกัด สามารถดื่มน้ำผลไม้ไปพร้อมกับน้ำดื่ม 8-10 แก้วท่านผู้อ่านบางท่านคงพอมองเห็นว่า อาหารจีเอ็มนั้นดูคล้ายกับอาหารที่เรียกว่า อาหารล้างพิษ ซึ่งผู้เสียเงินเข้าโครงการล้างพิษที่มีการโฆษณาทางเน็ตบางท่านได้เอ่ยกับผู้เขียนว่า เป็นการพาไปบังคับให้กินอาหารอดๆอยากๆ แบบมังสวิรัติโดยไม่เต็มใจนั่นเอง และถ้าพิจารณาสูตรการลดน้ำหนักแบบอาหารจีเอ็มนี้ให้ถ่องแท้จะพบว่า ไม่ได้มีความคำนึงถึงการกระจายตัวของสารอาหารแต่ละวันในแง่ของอาหารห้าหมู่เลย บางเว็บกล่าวว่า โดยหลักการแล้วโครงการนี้มุ่งให้ผู้เข้าร่วมใช้พลังงานมากกว่าที่กินเข้าไปเพื่อให้ลดน้ำหนักให้ได้ (อาจเนื่องจากได้สารอาหารไม่ครบในแต่ละวัน) ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างกังวลในแง่ของสุขภาพโดยรวมของผู้เข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับการขาดโปรตีนมากไปในบางวัน จนภูมิต้านทานต่ำและร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้ดีพอ

อ่านเพิ่มเติม >