ฉบับที่ 121 ถึงเวลาคนไทยใช้ระบบประกันสุขภาพมาตรฐานเดียวกัน

  “จะดีไหม!?...ถ้า 0.88% ของเงินเดือนที่เราและนายจ้างต้องจ่ายให้ระบบประกันสังคมในกรณีเจ็บป่วย ถูกนำไปเพิ่มเป็นเงินบำนาญหลังเกษียณ ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลเวลาเจ็บป่วยก็เปลี่ยนให้ไปใช้บัตรทองซึ่งให้สิทธิรักษาฟรีกับคนไทยทั่วประเทศอยู่แล้ว...”   ผู้ประกันตนระบบประกันสังคมฟังทางนี้!!! เรารู้จักสิทธิของตัวเองดีพอหรือยัง? คงยังมีหลายคนที่สงสัยว่า “ผู้ประกันตน” ที่ว่านี้หมายถึงใคร ?  ผู้ประกันตน ก็คือ พวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องจ่ายเงินให้กับประกันสังคม โดยการหักจากเงินเดือน (แบบอัตโนมัติ) ทุกเดือนเดือนละ 5% สำหรับเป็นเงินไว้สำหรับสมทบเพื่อสิทธิประโยชน์ เวลาที่เราเจ็บป่วยแล้วใช้บริการที่สถานพยาบาล หรือเป็นเงินช่วยเหลือตอนตกงาน รวมทั้งจะได้มีเงินบำนาญไว้ใช้ตอนอายุมาก ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้มีเงินส่วนหนึ่งไว้ค่อยช่วยเหลือเวลาที่เราลำบาก โดยไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่ต้องจ่ายเงินสมทบให้กับประกันสังคม แต่นายจ้างและรัฐก็ร่วมจ่ายสมทบเพื่อสิทธิของเราด้วย โดยนายจ้างจ่าย 5% ของเงินเดือนของเรา ส่วนรัฐช่วยน้อยลงมาหน่อยที่ 2.75% ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เหล่ามนุษย์เงินเดือนก็ต้องจ่าย 5% ของเงินเดือน เข้าสู่กองทุนประกันสังคม หลายคนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า  “นานทีปีหนถึงจะได้เข้าโรงพยาบาล แล้วแบบนี้ทำไมต้องมาจ่ายเงินให้ประกันสังคมด้วย”  ไขข้อข้องใจ ที่เราต้องจ่ายก็เพราะว่าหลักการของประกันสังคมคือเรื่องของการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” เงินของเราที่ถูกหักให้ประกันสังคมทุกๆ เดือนนั้นจะกลายไปเป็นเงินกองกลางสำหรับบริหารจัดการดูแลทุกๆ คนที่อยู่ในระบบประกันสังคมร่วมกับเรา ใครป่วยต้องรักษาพยาบาลก็ได้รับการดูแล วันหนึ่งถ้าเราไปหาหมอก็จะได้รับการดูแลเช่นกัน หรือถ้าวันหนึ่งเราตกงานหรือเกษียณก็จะมีเงินชดเชยให้ ซึ่งก็คือเงินของเราที่ถูกหักไปทุกๆ เดือนนั้นแหละ   5% ของเงินเดือนที่เราจ่ายให้ประกันสังคมถูกใช้ไปทำอะไรบ้าง   %ของเงินเดือนที่จ่าย สิทธิประโยชน์ สิทธิที่ได้รับ เงื่อนไขการใช้สิทธิ 0.88% กรณีเจ็บป่วย *รักษาฟรีที่ รพ.ตามสิทธิที่เลือกไว้ *เงินทดแทนการขาดรายได้ ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 3เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนใช้สิทธิครั้งแรก 0.12% กรณีคลอดบุตร ผู้ประกันตนหญิง *ได้เงินทดแทน 13,000 บาทต่อครรภ์ ได้ไม่เกิน 2 คน *เงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ไม่เกิน 90 วัน ผู้ประกันตนชาย *ได้เงินทดแทน 13,000 บาท ต่อครรภ์ ได้ไม่เกิน 2 คน ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 7 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนคลอดบุตร 0.44% กรณีทุพพลภาพ *ใช้บริการ รพ.ของรัฐฟรี *หากเป็น รพ.เอกชน -ผู้ป่วยในเดือนละ 4,000 บาท -ผู้ป่วยนอกเดือนละ 2,000 บาท *เงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค้าจ้างรายเดือนไปตลอดชีวิต *อวัยวะเทียมที่จำเป็นฟรี ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนทุพพลภาพ 0.06% กรณีตาย เงินสงเคราะห์ และค่าปลงศพ 40,000 บาท *หากส่งสมทบมาแล้วมากกว่า 3 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้เงินสงเคราะห์ เท่ากับค่าจ้าง 1 เดือนครึ่ง *หากสมทบมากกว่า 10 ปี เงินสงเคาระห์เท่ากับค่าจ้างของผู้ประกันตน 5 เดือน ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 1 เดือน ภายใน 6 เดือนก่อนตาย 3% กรณีชราภาพ *จะได้รับบำนาญ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย หากส่งสมทบมามากกว่า 180 เดือน *หากส่งสมทบมาไม่ถึง 180 เดือน จะได้รับบำเหน็จเท่ากับเงินสมทบทั้งหมดบวกกับดอกเบี้ยตามอัตราที่สำนักงานประกันสังคมประกาศในแต่ละปี อายุ 55 ปี บริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง 0% (เพราะรัฐออกให้) กรณีสงเคราะห์บุตร *เดือนละ 400 บาท ไปจนบุตรอายุ 6 ปี และได้ครั้งละ 2 คน ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายใน 36 เดือนก่อนได้รับสิทธิ 0.5% กรณีว่างงาน *หากถูกให้ออกโดยไม่ใช่ความผิดของลูกจ้างจะได้ 50% ของค่าจ้างรายวันไม่เกิน 6 เดือน *หากลูกจ้างลาออกหรือหมดโครงการจะได้ 30% ของค่าจ้างรายวันไม่เกิน 3 เดือน ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน   ความจริงเรื่องประกันสุขภาพ ประเทศไทยเรา ไม่ได้มีระบบประกันสุขภาพสำหรับดูแลเรื่องความป่วยไข้ของคนไทยแค่ระบบประกันสังคมเท่านั้น แต่ยังมีอีก 2 ระบบสำคัญที่ค่อยเป็นที่พึ่งเรื่องสุขภาพของคนไทย นั้นคือ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อที่ว่า “ระบบบัตรทอง” ซึ่งเป็นระบบที่รัฐดูแลจัดการ ถือเป็นสวัสดิการให้กับคนไทยทุกคน ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม หรือระบบประกันสุขภาพอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยที่ได้รับการดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล ค่ายา ประมาณ 47 ล้านคน งบประมาณที่ใช้ก็มาจากเงินภาษีของเรานี่แหละ  คิดเป็นตัวเลขก็ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายต่อคนที่รัฐออกให้อยู่ที่ประมาณ 2,401.33 บาท อีกระบบ คือ ระบบสวัสดิการข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ สำหรับดูแลข้าราชการและครอบครัว ซึ่งมีประมาณ 5 ล้านคนทั่วประเทศ งบประมาณที่ใช้ก็มาจากเงินภาษีของเราอีกนั้นแหละ ซึ่งให้งบประมาณดูแลสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท ค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายรายต่อคนประมาณ 10,000 บาท  ส่วนระบบประกันสังคม ซึ่งดูแลเหล่าลูกจ้างและมนุษย์เงินเดือนซึ่งมีอยู่ประมาณ 9 ล้านคน โดยงบประมาณที่นำมาใช้ดูแลสุขทุกข์ก็มาจากเงินที่เราถูกหักจากเงินเดือนทุกๆ เดือน บวกกับนายจ้างและรัฐช่วยสมทบให้ ซึ่งเงินที่เราจ่ายไปถูกนำไปเฉลี่ยสำหรับการดูแลคุ้มครองหลายๆ ส่วน (อย่างที่เราแจกแจงให้ดูในตารางก่อนหน้านี้) ซึ่งถ้าดูเฉพาะส่วนของค่ารักษาพยาบาลเราจะมีงบประมาณดูแลอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่น 2 พันล้านบาท คิดเป็นค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายที่คนละ 2,105.26 บาท  “น่าคิดมั้ย?...ทำไมระบบประกันสังคมถึงเป็นระบบประกันสุขภาพระบบเดียว ที่ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบเอง”   ทั้ง ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ ระบบสวัสดิการข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ใช้เงินจากรัฐซึ่งก็มาจากเงินภาษีของเราเองในการดูแลเรื่องสุขภาพของคนที่อยู่ในระบบ แต่ระบบประกันสุขภาพในระบบประกันสังคน ผู้ประกันตนต้องเป็นคนจ่ายสมทบเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก ว่าทำไมรัฐจึงไม่ดูแลเรื่องสุขภาพของคนไทยให้เหมือนกันเป็นระบบเดียว เพราะเมื่องบประมาณที่ใช้ดูแลก็มาจากเงินภาษีของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว ทำไมเรายังต้องจ่ายเพิ่มอีก?!  จริงอยู่ที่ว่าระบบประกันสังคม เป็นระบบการดูแลคุ้มครองความมั่นคงของชีวิตที่ดีและมีประโยชน์ คือมีทั้งเรื่องการช่วยเหลือซึ่งกันและในแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และยังเป็นการออมเพื่ออนาคต แต่หากสามารถนำหลักการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขในเรื่องของการดูแลสุขภาพให้เท่าเทียมเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกระบบก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่ามั้ย?   มาเปลี่ยนเป็นระบบสุขภาพที่เท่าเทียมกันเถอะ“ถ้าเปลี่ยนให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้รับการดูแลเรื่องสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ว่ายังจ่ายสมทบเท่าเดิม แล้วนำเงินที่ต้องจ่ายกรณีเจ็บป่วยไปเพิ่มให้กรณีชราภาพ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนมากกว่า”ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ ระบบบัตรทอง ทำหน้าที่ดูแลเรื่องสุขภาพคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว หากจะเพิ่มการดูแลให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ก็คงไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกหรือยุ่งยากอะไร ถือเป็นการช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ยังเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินในการดูแลรักษาสุขภาพยามเจ็บป่วย ถึงแม้จะเปลี่ยนไปรับความคุ้มครองในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ก็เชื่อว่าผู้ประกันตนส่วนใหญ่ก็ยังยินดีที่จะจ่ายสมทบในระบบประกันสังคม เพราะยังมีข้อดีในส่วนของการออมเพื่ออนาคต ทั้งการช่วยเหลือตอนว่างงาน และเงินบำเหน็จบำนาญตอนเกษียณ  ซึ่งถ้าหากได้รับการดูแลเรื่องสุขภาพจากระบบบัตรทองแล้ว เงินที่เคยจ่ายให้ประกันสังคมกรณีเจ็บป่วย 0.88% ของเงินเดือน ก็น่าจะถูกไปเพิ่มในส่วนของเงินชราภาพ ตอนเกษียณอายุเราจะได้มีเงินใช้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันเราได้เงินบำนาญจากการจ่ายเงินสมทบให้ประกันสังคมอยู่ที่ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ถ้าหากได้อีก 0.88% ของเงินเดือนไปเพิ่ม %เฉลี่ยของเงินที่จะได้เป็นบำนาญก็จะสูงขึ้น หรือถ้าเป็นเงินบำเหน็จ ซึ่งปัจจุบันใช้เกณฑ์คิดจากเงินสมทบทั้งหมดที่เราจ่าย + กับอัตราดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย ถ้าได้ 0.88% ของเงินเดือนไปเพิ่มก็จะทำให้ได้บำเหน็จเยอะขึ้นจากเดิมทันที (อย่าคิดว่า 0.88% ของเงินเดือนเป็นเงินไม่กี่บาท ถ้าหากเราเงินเดือนเดือนละ 10,000 บาท แต่ละเดือนเราก็จ่ายสมทบไป 88 บาท 1 ปี เราจะจ่ายไป 1,056 บาท และถ้าเป็น 10 ปี ก็เท่ากับเงิน 10,560 บาทเลยนะ)  และยิ่งถ้าเรานำเงินสมทบให้ระบบประกันสังคมจาก กรณีคลอดบุตร 0.12% ของเงินเดือน และ กรณีทุพพลภาพ 0.44% ของเงินเดือน ซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็ให้ความดูแลคุ้มครองตรงนี้ด้วยเช่นกัน ไปเพิ่มให้เงินสมทบสำหรับกรณีชราภาพอีก ตัวเงินหรือสิทธิที่เราจะได้รับการดูแลหลังเกษียณในฐานะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมก็น่าจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก  ***แต่ที่เล่ามาทั้งหมดยังเป็นแค่ความฝันและความหวัง ของเหล่าผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่อยากเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวผู้ประกันตนและสังคมโดยรวม งานนี้ก็คงต้องวิงวอนภาครัฐและบรรดาผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ช่วยทำให้ฝันเล็กๆ ของลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน และมนุษย์เงินเดือนในระบบประกันสังคมเป็นจริงด้วยเถิด*** ************************************************** “ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน” มาร่วมกันสร้างระบบหลักประกันสุขภาพให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน อยากเชิญชวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทุกคนมาร่วมกันสร้างระบบหลักประกันสุขภาพที่เท่าเทียม สิทธิประโยชน์ที่ดีและเหมาะสมสำหรับพวกเราผู้จ่ายเงินสมทบในระบบประกันสังคม เพราะเงินทุกบาทที่เราจ่ายไปมีความหมาย ประกันสังคมต้องสามารถเป็น “หลักประกันให้สังคมได้อย่างแท้จริงและมีประสิทธิ”  ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม สามารถเข้าร่วม หรือติดตามข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ ของการประกันสังคม ได้ที่หน้า facebook ของ “ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน” **************************************************  ตัวอย่างสิทธิประโยชน์การบริการทางการแพทย์ที่แตกต่างกันของระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ***(O) = คุ้มครอง   (X) = ไม่คุ้มครอง   ลักษณะการบริการ ระบบประกันสังคม ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ โรคเดียวกันที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลเกิน 180 วัน X   O กรณีมีความจำเป็นต้องรักษาต่อเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนหรือข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เจ็บป่วยฉุกเฉิน แล้วไม่สามารถใช้บริการ รพ. ที่ลงทะเบียนไว้ได้ O ไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี O ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โรคหรือประสบอันตรายจากการใช้สารเสพติด X O เฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ได้รับอันตรายหรือทุพพลภาพจากการที่ตัวเองตั้งใจให้เกิด (กรณีพยายามฆ่าตัวตาย) X O การบริการรักษาตัวเองหรือฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ที่บ้านหลังออกจาก รพ. X O การส่งต่อผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพสูงกว่าทางอากาศยาน (เฮลิคอปเตอร์) X O ไม่เกิน 60,000 บาทต่อครั้ง การช่วยเหลือเบื้องต้นให้แกผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายทางการแพทย์ X O 1.เสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร จ่ายเงิยช่วยเหลือไม่เกิน 200,000 บาท 2.สูญเสียอวัยวะหรือพิการ จ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 120,000 บาท 3.บาดเจ็บหรือเจ็บต่อเนื่อง จ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 50,000 บาท การให้ยาไวรัสโรคเอดส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังสัมผัส เช่น ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อระหว่างปฏิบัติงาน เช่น แพทย์ พยาบาล X O การบริการแพทย์แผนไทยหรือแพทย์ทางเลือก X O ข้อมูลประกอบบทความ : “สู่ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว สู่หลักประกันทั้งสังคม”.เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ, “รายงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี 2552”, “รายงานประจำปีสำนักงานประกันสังคม 2552”, “คู่มือบัตรทองสำหรับอาสาสมัครสาธารณะสุข”, “สรุปสาระสำคัญพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2537 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542”, บทความ “ระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย” สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย, http://www.posttoday.com/ข่าว/อาชญากรรม-สังคม/72522/เทียบผลประโยชน์-บัตรทองดีกว่าประกันสังคมทุกด้าน/page-1/   เปรียบเทียบบริการทางการแพทย์ของระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ   ระบบประกันสังคม ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรณีประสบอันตราย/อุบัติเหตุ ขอรับค่าบริการได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อน สามารถเบิกคืนจากสำนักงานประกันสังคมในอัตราที่กำหนดดังนี้ 1.สถานพยาบาลของรัฐ -ผู้ป่วยนอก สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น -ผู้ป่วยใน สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ยกเว้น ค่าห้อง และค่าอาหารเบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท 2.สถานพยาบาลของเอกชน *ผู้ป่วยนอก สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาท และสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงเกิน 1,000 บาทได้ ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนด **ผู้ป่วยใน สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนด กรณีที่ใช้บริการที่หน่วยบริการซึ่งขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้รับบริการไม่ต้องเสียค่าบริการหรือค่าใช้จ่าย และสามารถใช้สิทธิใช้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ตามความจำเป็นโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง กรณีใช้บริการที่สถานบริการอื่น ผู้รับบริการต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วนที่เกินจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจ่ายให้สถานบริการ โดยสถานบริการดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ผู้ป่วยและญาติทราบก่อนการให้บริการทุกครั้ง   การคลอดบุตร ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีคลอดบุตรสำหรับตนเองหรือคู่สมรส มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ในการคลอดบุตรคนละ 2 ครั้ง รวมถึงประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ได้แก่ ค่าตรวจรับฝากครรภ์ ค่าบำบัดทางการแพทย์ ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าทำคลอด ค่ากินอยู่และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ค่าบริการและค่ารักษาพยาบาลทารกแรกเกิด ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย ค่าบริการอื่นที่จำเป็น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ โดยจะได้รับเงินเหมาจ่ายค่าคลอดบุตร จำนวน 13,000 บาท สำหรับการคลอดบุตร (อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป) ของผู้ประกันตนหรือภริยาของผู้ประกันตน หรือหญิงซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ประกันโดยเปิดเผยกรณีผู้ประกันไม่มีภริยา *กรณีผู้ประกันหญิง สามารถคลอดบุตรที่สถานพยาบาลใดก็ได้ จะได้รับเงินเหมาจ่ายค่าคลอดบุตร จำนวน 13,000 บาท และยังจะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรอีก ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบเฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน และสามารถหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรครั้งหนึ่ง ไม่เกิน 60 วัน *กรณีผู้ประกันตนชายที่มีภรรยาจดทะเบียนสมรส หรือหญิงซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยาแต่มิได้จดทะเบียนสมรส สามารถคลอดบุตรที่สถานพยาบาลใดก็ได้ จะได้รับเงินเหมาจ่ายค่าคลอดบุตร จำนวน 13,000 บาท แต่ไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร *กรณีเป็นผู้ประกันตนทั้งสามีและภรรยา ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิได้คนละ 2 ครั้ง รวมกันได้ไม่เกิน 4 ครั้ง โดยบุตรที่นำมาใช้สิทธิเบิกค่าคลอดบุตร ไม่สามารถนำมาขอรับค่าคลอดบุตรได้อีก และแนะนำให้ใช้สิทธิของภรรยาก่อนเนื่องจากจะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรด้วยนอกเหนือจากค่าคลอดบุตร จำนวน 13,000 บาท สนับสนุนค่ารักษาพยาบาลตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม จำนวนไม่เกิน 2 ครั้ง (กรณีบุตรมีชีวิตอยู่) ครอบคลุมถึงค่าตรวจและรับฝากครรภ์ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง จนสิ้นสุดการตั้งครรภ์ และการตรวจเยี่ยมดูแลหลังคลอด และจะได้รับวัคซีนทุกชนิดวัคซีนตามตารางแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน (EPI) ของกรมควบคุมโรค *คุ้มครองถึงหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นผู้ประกันตนสิทธิประกันสังคมที่ส่งเงินสมทบไม่ครบ 7 เดือน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บริการทันตกรรม 1. กรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน ใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ฐานอคริลิก และรากฟันเทียม 2.การผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ กรณีผู้ประกันตนไม่มีปัญหาด้านการกลืน แต่ช่องเพดานโหว่มีเพดานกว้างพอประมาณ ครอบคลุมอยู่ในเงินเหมาจ่ายรายหัว หมายเหตุ: 1) ผู้ประกันตนมีสิทธิเข้ารับการบริการสถานพยาบาลใดก็ได้ในกรณี ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน โดยสำรองเงินจ่ายไปก่อนและนำหลักฐานมาขอเบิกเงินคืนได้ในอัตราไม่เกิน 300 บาทต่อครั้ง ปีละไม่เกิน 600 บาท และมีสิทธิใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ฐานอคริลิก (พลาสติก) 1-5 ซี่ ในวงเงินไม่เกิน 1,200 บาท ตั้งแต่ 6 ซี่ขึ้นไปจะเบิกได้ไม่เกิน 1,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ฐานอคริลิก 2) ผู้ประกันยังต้องร่วมจ่ายในกรณีที่วงเงินเกินกำหนด โดยสามารถไปใช้บริการที่ใดก็ได้ 1.กรณีถอนฟัน การผ่าตัดช่องปาก (oral surgery) อุดฟัน ขูดหินปูน การเกลารากฟัน (root planing) ฟันเทียมฐานพลาสติก และทันตกรรมประดิษฐ์ 2.การรักษาโพรงประสาทฟันน้ำนมสำหรับเด็กเคลือบหลุมร่องฟัน (ในกลุ่มอายุไม่เกิน 15 ปี) นอกจากนั้นยังมีงานทันตกรรมเพิ่มทวีที่ดูแลเด็กชั้นประถมปีที่ 1 ทุกคนอย่างครบวงจร 3.ทันตกรรมรักษาในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ 4.การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก ได้แก่ การตรวจสุขภาพช่องปาก การแนะนำด้านทันตสุขภาพ 5.การให้ฟลูออไรด์เสริมในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคฟันผุ เช่น กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ 6.การผ่าตัดแก้ไขความพิการผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ รวมถึงการจัดฟัน และแก้ไขปัญหาด้านการพูด (สำหรับเด็ก) โดยค่าผ่าตัดสามารถรับค่าใช้จ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราที่กำหนด ค่าเพดานเทียมในอัตรา 500 บาทต่อชิ้น ค่าอรรถบำบัด/แก้ไขการพูด จ่าย 3,850 บาทต่อรายต่อปี ค่าทันตกรรมบำบัด (ฟื้นฟู) จ่าย 12,000 บาทต่อรายต่อปี หมายเหตุ: ผู้มีสิทธิไม่ต้องร่วมจ่ายในกรณีที่วงเงินเกินกำหนด การส่งต่อผู้ป่วยไปหน่วยบริการที่มีศักยภาพสูงกว่า กรณีมีความจำเป็น ต้องรับหรือส่งตัวผู้ป่วยไปตรวจวินิจฉัยหรือรักษาต่อยังสถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง สามารถเบิกค่าพาหนะตามอัตรา ดังนี้ 1.ภายในเขตจังหวัดเดียวกัน สำหรับค่ารถพยาบาลหรือเรือพยาบาลจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาทต่อครั้ง และ 300 บาทต่อครั้งสำหรับพาหนะรับจ้างหรือส่วนบุคคล 2.กรณีข้ามเขตจังหวัดจ่ายเพิ่มจากกรณีภายในเขตจังหวัดเดียวกันอีกตามระยะทางกิโลเมตรละ 6 บาท (ตามระยะทางกรมทางหลวง) ให้จ่ายตามราคาเรียกเก็บแต่ไม่เกินราคากลางที่กำหนดในแต่ละประเภทพาหนะและระยะทาง ดังนี้ 1.ค่าบริการรับส่งต่อทางรถยนต์ เป็นไปตามระยะทาง ถ้าไม่เกิน 50 กิโลเมตร ให้เบิกตามค่าใช้จ่ายจริงในอัตราไม่เกิน 500 บาท แต่ถ้ามากกว่า 50 กิโลเมตรขึ้นไป ให้เบิกจ่ายค่าชดเชยครั้งละ 500 บาท และให้ได้รับค่าชดเชยเพิ่มอีกกิโลเมตรละ 4 บาทต่อระยะทางจากหน่วยบริการต้นทางถึงหน่วยบริการปลายทาง (ตามระยะทางกรมทางหลวง) 2.ค่าบริการรับส่งต่อทางเรือ เป็นไปตามประเภทเรือ และระยะทางอัตราจ่ายไม่เกิน 35,000 บาทต่อครั้ง โรคไต 1) การล้างช่องท้องด้วยน้ำยาแบบถาวร เหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลในความตกลง และจ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท และเบิกค่าวางท่อพร้อมอุปกรณ์ได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อรายต่อ 2 ปี 2) การฟอกเลือด เหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลในความตกลง และเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 1,500 บาทต่อครั้ง และไม่เกิน 3,000 บาทต่อสัปดาห์ ค่าเตรียมเส้นเลือด (Shunt) อัตรา 20,000 บาทต่อรายต่อ 2 ปี 3) การปลูกถ่ายไต ค่าใช้จ่ายก่อนการปลูกถ่ายไต เหมาจ่ายให้สถานพยาบาลไม่เกิน 30,000 บาทต่อราย ค่าใช้จ่ายระหว่างปลูกถ่ายไต เหมาจ่ายให้สถานพยาบาลไม่เกิน 230,000 บาทต่อราย โดยครอบคลุมผู้ประกันตนและผู้บริจาคไตเป็นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตรวมทั้งการรักษาภาวะสลัดไตอย่างเฉียบพลันของผู้ประกันเป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ทำการปลูกถ่ายไต ค่าใช้จ่ายหลังการปลูกถ่ายไต สำหรับสถานพยาบาลที่ปลูกถ่ายไตผู้ประกันตนที่มีสิทธิโดยครอบคลุมการตรวจรักษา ยากดภูมิคุ้มกัน ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจปัสสาวะ ตรวจระดับยากดภูมิภูมิคุ้มกัน เหมาจ่ายในอัตรา ดังนี้ ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 เดือนละ 30,000 บาท เดือนที่ 7-12 เดือนละ 20,000 บาท ปีที่ 2 เดือนที่ 1-6 เดือนละ 15,000 บาท ปีที่ 3 เป็นต้นไป เดือนละ 10,000 บาท หมายเหตุ: การปลูกถ่ายไต จะไม่ได้รับคุ้มครองเมื่อผู้ป่วยเป็นไตวายเรื้อรังก่อนเป็นผู้ประกันตน 1) การล้างช่องท้องด้วยน้ำยาแบบถาวร เหมาจ่ายค่าบริการให้โรงพยาบาล 220,000 บาทต่อรายต่อปี หรือ 18,320 บาทต่อรายต่อเดือน (ค่าน้ำยา 14,100 บาท ร่วมกับ ค่าดูแลครบวงจร) 2) การฟอกเลือด ผู้ป่วยลงทะเบียนก่อน 1 ต.ค. 51 1,000 บาทต่อครั้ง+ผู้ป่วยร่วมจ่าย 500 บาท 1,200 บาทต่อครั้ง (อายุเกิน 60 ปี+มีโรคเรื้อรัง) +ผู้ป่วยร่วมจ่าย 500 บาท ผู้ป่วยลงทะเบียนหลัง 1 ต.ค. 51 1,500 บาทต่อครั้ง 1,700 บาทต่อครั้ง (อายุเกิน 60 ปี+มีโรคเรื้อรัง) ค่าเตรียมเส้นเลือด (Shunt) จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 20,000 บาทต่อรายต่อ 2 ปี 3) การปลูกถ่ายไต ค่าใช้จ่ายก่อนการปลูกถ่ายไต ให้สิทธิผู้ป่วยที่สามารถหาไตบริจาคได้ โดยได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายคือ (1) ค่าเตรียมผู้รับบริจาคก่อนเข้ารับการผ่าตัดที่สมองตาย 40,000 บาท (2) ค่าเตรียมผู้รับบริจาคก่อนเข้ารับการผ่าตัดที่มีชีวิต ก่อนเข้ารับการผ่าตัด 40,000 บาท (จ่ายไม่เกิน 2 ครั้ง) ระหว่างเข้ารับการผ่าตัด 32,800 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับเตรียมผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด 31,300 บาทและค่าเตรียมผู้รับบริจาคระหว่างรอผู้บริจาคที่สมองตาย ทุก 3 เดือน ครั้งละ 1,800 บาท ค่าใช้จ่ายระหว่างปลูกถ่ายไต จ่ายตามความเสี่ยง ตั้งแต่ Protocol I-IV โดยมีค่าใช้จ่ายต่ำสุดคือ 143,000 บาท และสูงสุดคือ 292,000 บาท กรณีมีภาวะแทรกซ้อนจ่ายตาม Protocol ทั้งสิ้น 7 Protocol โดยมีค่าใช้จ่ายเหมาจ่ายตั้งแต่ 23,000 บาทและสูงสุดคือ 493,000 บาท ค่าใช้จ่ายหลังปลูกถ่ายไต สนับสนุนค่าใช้จ่าย ยากดภูมิ ตรวจทางห้องปฏิบัติการตรวจปัสสาวะ ตรวจระดับยากดภูมิคุ้มกัน เหมาจ่าย ดังนี้ ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 เดือนละ 30,000 บาท เดือนที่ 7-12 เดือนละ 25,000 บาท ปีที่ 2 เดือนละ 20,000 บาท ปีที่ 3 เป็นต้นไป เดือนละ 15,000 บาท

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 เส้นทางสายกุหลาบ

  สิ่งที่หลายคนนิยมมอบให้กันเพื่อสื่อแทนความรักและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ คือ “กุหลาบ” ราชินีแห่งดอกไม้ เธอกลายมาเป็นสัญลักษณ์ได้อย่างไร มีคุณค่ามากพอไหมสำหรับการบอกรัก เรามาติดตามเส้นทางชีวิตของเธอกัน  เมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกกุหลาบจะกลายเป็นของที่หลายๆ คนต้องการ เพราะดอกกุหลาบจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ดอกไม้ธรรมดา แต่จะกลายเป็นของขวัญสุดล้ำค่าที่ใช้เป็นสื่อแสดงถึงความรักความรู้สึกดีๆ ของคนที่ให้ไปถึงยังคนที่รับ (อาจจะฟังดูเว่อร์ๆ แต่เรื่องแบบนี้เชื่อว่าคนที่เคยมีความรักน่าจะเข้าใจดี) ช่วงเทศกาลแห่งความรัก นอกจากคนที่มีความรักหัวใจจะชื่นบานแล้ว การซื้อ-ขายดอกกุหลาบก็ดูจะคึกคักเบิกบานตามไปด้วย  เมื่อดอกกุหลาบกลายเป็นของมีค่าที่คนมีความรักต่างก็เรียกหาในวันวาเลนไทน์ ลองมาดูกันซิว่า  ดอกกุหลาบในช่วงเทศกาลแห่งความรัก มีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า?   บนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบกุหลาบ เป็นไม้ตัดดอกที่ออกตลอดทั้งปี ซึ่งปกติถ้าไม่ใช่ช่วงวันวาเลนไทน์ เราจะซื้อกุหลาบมาสำหรับไหว้พระ รอยมาลัย หรือตกแต่งใส่แจกัน กุหลาบถือเป็นดอกไม้ที่ขายง่าย หาซื้อก็ง่าย ในเมืองไทยเรามีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกอยู่ประมาณ 5,500 ไร่ โดยกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ที่ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ที่เหลือจะกระจายอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงรายและบางจังหวัดในภาคกลาง เช่น นครปฐม และราชบุรี เหตุที่อำเภอพบพระเป็นแหล่งปลูกกุหลาบตัดดอกแหล่งใหญ่ของประเทศ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีสภาพอากาศเหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป พื้นที่ก็มีความลาดชันน้อยกว่าทางเหนือ แถมยังนิยมใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีค่าแรงที่ถูกกว่า ที่อำเภอพบพระจะปลูกกุหลาบเพื่อส่งขายไปทั่วประเทศตลอดทั้งปี ดอกกุหลาบที่วางขายที่ปากครองตลาด ตลาดดอกไม้สำคัญของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็มาจากที่นี่ รวมทั้ง เชียงใหม่และเชียงรายด้วย   แต่ใช่ว่าบ้านเราจะนิยมเฉพาะแต่ดอกกุหลาบในประเทศ เพราะเราก็ยังคงต้องนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ หลักๆ จะมาจาก เนเธอร์แลนด์และจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการปลูกดอกไม้สวยงามอยู่แล้ว ความสวยงามและสีสันของดอกกุหลาบจะมีความแตกต่างกับกุหลาบที่ปลูกในบ้านเราอยู่บ้าง ด้วยความที่สายพันธุ์และสภาพของภูมิอากาศในพื้นที่ที่ปลูกกุหลาบมีความแตกต่างกัน แต่อย่าคิดว่าดอกกุหลาบนำเข้าจะต้องสวยกว่าหรือแพงกว่าดอกกุหลาบที่ปลูกในประเทศเสมอไป เพราะราคาของกุหลาบไม่ได้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา แต่ว่าขึ้นอยู่กับสภาพความสวยงามและขนาดของดอกกุหลาบ   เมื่อรักคือการให้...งั้นไปซื้อกุหลาบกัน ถ้าใครเคยไปเดินเลือกซื้อกุหลาบที่ปากคลองตลาด ก็จะเห็นว่าที่นี้มีกุหลาบให้เลือกซื้อมากมาย หลายสี หลายขนาด ที่สำคัญก็คือมีหลายราคา ดอกกุหลาบที่ปากคลองตลาดมีทั้งแบบที่ปลูกในบ้านเราและดอกที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยกุหลาบที่ขายกันจะมีทั้งแบบที่ขายเป็นมัด มัดหนึ่งมีตั้งแต่ 20 – 50 ดอก มัดรวมกันไว้เป็นห่อ มีทั้งแบบดอกสีเดียวและแบบคละสี ซึ่งถ้าขายในลักษณะนี้จะเป็นดอกกุหลาบที่ไม่ค่อยสวยเท่าไร ดอกจะช้ำๆ ใน 1 มัดอาจจะมีดอกที่สวยจริงๆ แค่ไม่กี่ดอก แต่ดีตรงที่ราคาจะถูก  ส่วนแบบที่ขายแยกเป็นดอกก็จะแพงกว่าแบบที่ขายเป็นมัด แต่เราสามารถเลือกได้ ได้เห็นสภาพของดอกกุหลาบจริงๆ และแบบที่ขายเป็นดอกเดี่ยวๆ ดอกกุหลาบจะมีคุณภาพมากกว่า สวยกว่า ดอกใหญ่กว่า ที่สำคัญคือ ทางร้านจะเก็บรักษาดีกว่า คือมีการดูแลพรั่งพร้อม ดอกกุหลาบจะถูกแช่น้ำไว้ ทำให้ดอกยังดูสด กลีบดอกจะไม่มีรอยช้ำ เพราะไม่ได้ถูกมัดหรือถูกวางทับรวมกันไว้ แต่ถ้าใครพอจะมีงบสูงสักหน่อยในการจะเลือกซื้อดอกกุหลาบ แล้วอยากได้แบบที่สวยโดนใจ เอาไปให้ใครแล้วเขาต้องประทับใจแน่นอน แนะนำให้เลือกจากร้านที่เขารับจัดดอกไม้ เพราะตามร้านรับจัดดอกไม้ส่วนใหญ่ เขาจะคัดดอกกุหลาบที่สวยงาม ดอกใหญ่ ก้านยาว แถมเรายังเจาะจงเลือกได้ว่าใน 1 ช่อ จะให้ดอกกุหลาบกี่ดอก สีอะไรบ้าง ตกแต่งด้วยอะไร เรียกว่าไม่ต้องลุ้นเหมือนการซื้อดอกกุหลาบแบบที่ขายเป็นมัดๆ และก็ไม่ต้องเหนื่อยไปจัดช่อเองถ้าซื้อแยกเป็นดอกๆ แต่กุหลาบจัดช่อนั้นขอแนะนำเฉพาะคนที่พร้อมจะลงทุนให้กับความรักจริงๆ เท่านั้น เพราะกุหลาบแบบจัดช่อจะมีราคาค่อนข้างสูง ส่วนมากจะอยู่ที่หลักพันบาท ขึ้นอยู่กับจำนวนดอกและความยาวของก้านดอก แถมบรรดาร้านที่รับจัดช่อดอกไม้ยังมีจุดขายที่เรื่องความสะดวกสบายของลูกค้า เพราะมีทั้งบริการสั่งจองช่อดอกไม้ออนไลน์และบริการเดลิเวอร์รี่ส่งดอกไม้ถึงมือผู้รับให้ด้วย ++++การแบ่งเกรดของดอกกุหลาบจะดูกันที่ความยาวของก้าน ยิ่งก้านยาวจะถือเป็นกุหลาบที่มีความสวยงามมากแถมหายาก ทำให้ราคาก็ยิ่งสูงมากตามไปด้วยการแบ่งเกรดของดอกกุหลาบก็มีตั้งแต่ เกรดของดอกกุหลาบ ความยาวของก้าน (เซนติเมตร)เกรดพิเศษ         60 ขึ้นไปเกรดเอ             50เกรดบี              40เกรดซี              30ตกเกรด            น้อยกว่า 30 +++++++++   เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ ดอกกุหลาบก็กลายเป็นของมี (มูล) ค่า (สูง)++ ถือเป็นเรื่องที่คนที่มีความรักต้องเตรียมใจ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่ราคาดอกกุหลาบช่วงวาเลนไทน์จะปรับขึ้นมากกว่าราคาที่ขายในช่วงเวลาปกติมาก ++ การขึ้นราคาของดอกกุหลาบมาจากเหตุผลง่ายๆ ว่าเมื่อสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ค้าจะปรับราคาให้สูงขึ้น โดยผู้ซื้อเองก็ยินดีที่จะจ่ายเพื่อแลกกับสินค้าที่ต้องการ  ++ ราคาดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์จะสูงกว่าช่วงปกติถึง 3 เท่า  ++ ไม่ใช่แค่ดอกกุหลาบเท่านั้น ที่ราคาจะสูงขึ้นในช่วงวันวาเลนไทน์ แต่ดอกไม้สวยงามอื่นๆ ทั้ง คาร์เนชั่น ลิลลี่ ทิวลิป เยียบีร่า ราคาก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน  ++ ราคากุหลาบจะไม่ตายตัวจะปรับเปลี่ยนทุกวัน แม่ค้ากุหลาบที่ปากคลองตลาดบอกว่าการตั้งราคาขายจะดูจากหลายปัจจัยหลายองค์ประกอบ ทั้งจากคุณภาพของดอกไม้ ความคับคั่งของการซื้อ – ขาย ถ้าวันไหนดอกกุหลาบขายดีมีคนเดินเยอะก็สามารถตั้งราคาสูงได้ แต่ถ้าวันไหนตลาดเงียบเหงาก็จำเป็นต้องลดราคาหรือตั้งราคาให้ถูกลงเพื่อให้สินค้าขายได้ง่ายขึ้น  ++ ความต้องการดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์จะมีมากกว่าช่วงเวลาปกติถึง 10 เท่า  ++ ราคากุหลาบจะค่อยๆ สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของดอกกุหลาบ  ++ กุหลาบไม่ได้แพงแค่ช่วงเทศกาลแห่งความรักเท่านั้น แต่ช่วงที่มีการรับปริญญาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ช่วงประมาณเดือนกรกฎาคม ดอกกุหลาบก็จะมีราคาสูงขึ้นด้วยเช่นกัน  ++ กุหลาบเกรดดีๆ ที่ปลูกในบ้านเรา จะมีราคาต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 10 - 15 บาท ในขณะที่ดอกกุหลาบที่นำเข้าจากต่างประเทศต้นทุนจะถูกกว่า เนื่องจากกุหลาบเกรดคุณภาพในบ้านเรา ยังมีการปลูกกันน้อย  ++ ช่วงวันวาเลนไทน์ดอกกุหลาบแบบที่มัดขายเป็นห่อจะขายดีที่สุด เพราะราคาถูก เนื่องจากลูกค้ากลุ่มหลักที่จะหาซื้อดอกกุหลาบในวันแห่งความรักก็คือ นักเรียน – นักศึกษา ซึ่งยังไม่มีรายได้ ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีรวมเงินกันซื้อแล้วค่อยไปแบ่งกุหลาบกัน ++ ร้านขายกุหลาบหรือร้านที่รับจัดช่อดอกไม้บางร้าน มีบริการรับสั่งจองกุหลาบล่วงหน้าสำหรับวันวาเลนไทน์ ถ้าหากสั่งแต่เนินๆ สัก 2 – 3 อาทิตย์ จะได้ราคาที่ถูกลงกว่าซื้อใกล้ๆ วันวาเลนไทน์++++++++++++++++++++++++++++++++++++   แม้ดอกกุหลาบจะเป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันวาเลนไทน์ แต่ผลสำรวจเมื่อปี 2553 พบว่า ของขวัญยอดฮิตในวันวาเลนไทน์หาใช่ดอกกุหลาบไม่ แต่กลับเป็นช็อกโกแลต โดยมีการสรุปตัวเลขจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อช็อกโกแลตเอาไว้ว่า 1 คน จะลงทุนไปกับการซื้อช็อกโกแลตประมาณ 292 บาท ส่วนดอกกุหลาบได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 งบในการซื้อดอกไม้ให้คนที่รักจะอยู่ที่ประมาณ 285 บาท โดยดอกกุหลาบสีแดงได้รับความนิยมมากที่สุด รองลงคือสีขาว และสีชมพู (ในผลสำรวจไม่ได้บอกว่างบที่ใช้ซื้อของขวัญในวันวาเลนไทน์นั้น เป็นงบที่ใช้กับผู้รับแค่ 1 คนหรือเปล่า ถ้าใครมีแฟนหรือคนที่แอบชอบหลายคน ก็อาจจะต้องใช้งบซื้อของมากกว่าที่บอกในผลสำรวจนะ อิอิ)ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย +++++++++++++++++   ไม่รักได้ไง ถ้าดอกกุหลาบที่ให้ ราคา 5 แสน!!!อย่าเพิ่งตกใจ เพราะดอกกุหลาบราคานี้มีขายจริงๆ ดอกกุหลาบช่อกลมสำหรับวันวาเลนไทน์ จำนวน 799 ดอก ซึ่งสื่อความหมายว่า “รักเธอตลอดกาล” ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของช่อกุหลาบมีความกว้างถึง 1 เมตร เรียกว่าใครที่ได้รับดอกกุกลาบ 799 ดอก ราคา 5 แสนบาทไปเป็นของขวัญ ก็คงประทับใจไม่รู้ลืม อาจจะประทับใจจนช็อคไปเลยก็ได้ ส่วนที่จะรักเธอตลอดกาลหรือเปล่าอันนี้คงบอกไม่ได้  เคยมีคนบอกว่าความรักทำได้ทุกสิ่ง แต่เรื่องนี้ต้องเฉพาะคนที่มีเงินถึงจริงๆ เท่านั้นถึงจะทำได้(***ช่อดอกกุกลาบ 799 ดอก ราคา 5 แสนบาท มีขายจริงๆ ที่ มิสลิลลี่ ฟลาเวอร์)++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   ดอกกุหลาบแบบขายเป็นห่อ ราคาประมาณ 70 – 180 บาทส่วนใหญ่เป็นกุหลาบจาก อ.พบพระ จ.ตาก ห่อหนึ่งจะมีกุหลาบอยู่ประมาณ 50 ดอก ข้อดีคือราคาถูก ได้กุหลาบเยอะ แต่ข้อเสียคือ ดอกกุหลาบมักจะไม่ค่อยสวย ดอกเล็ก กลีบดอกช้ำ เพราะถูกมัดรวมกันมา การดูแลจากชาวสวนและแม่ค้าหลังจากตัดดอกและก่อนนำมาวางขายมีน้อยมาก ซื้อมา 1 มัด 50 ดอก อาจจะดอกที่สวยถูกใจเหมาะจะเอาไปให้คนที่รักไม่ถึง 10 ดอก   ดอกกุหลาบแบบขายเป็นกำ ราคาประมาณ 100 – 500 บาท1 กำจะมีดอกกุหลาบ ประมาณ 10 – 20 ดอก คุณภาพของดอกจะดีกว่าแบบที่ขายเป็นห่อ ดอกใหญ่กว่า ส่วนมากเป็นดอกกุหลาบเชียงใหม่ หรือไม่ก็เป็นดอกกุหลาบนำเข้า ใน 1 กำจะมีให้เลือกทั้งแบบสีเดียวและคละสี แต่ลักษณะการขายเป็นกำก็ยังมีข้อเสียคล้ายๆ กับกุหลาบที่ขายเป็นห่อคือการจัดเก็บและขนส่งจากสวนมายังตลาด กุหลาบมีโอกาสได้รับความบอบช้ำสูง   ดอกกุหลาบแบบขายเป็นดอก ราคาประมาณ 20 บาท จนถึงหลักร้อยดอกกุหลาบที่แยกขายแบบดอกเดียวมีหลากหลายรูปแบบ ความสวยงามและคุณภาพของดอกก็เป็นไปตามราคา ยิ่งดอกใหญ่ สด กลีบไม่ช้ำ ก้านยาว ราคาก็ยิ่งสูง   ดอกกุหลาบแบบขายแบบจัดช่อ – หลักร้อย จนถึงหลักหมื่นเรื่องคุณภาพและความสวยงามของดอกกุหลาบไปต้องพูดถึง แถมยังตกแต่งมาเป็นช่อเรียบร้อย เรื่องราคาก็ว่ากันไปตามคุณภาพ ชนิด และปริมาณของดอกไม้ ฝีมือของคนจัดช่อ รับประกันว่าถูกใจคนรับ แต่ราคาอาจจะไม่ถูกสำหรับคนซื้อ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอการปลูกกุหลาบในบ้านเราจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือแบบเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ การปลุกกุหลาบแบบเชิงปริมาณ คือการปลูกที่เน้นที่จำนวนของดอกกุหลาบ ปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ให้ดอกมากเก็บเกี่ยวได้เร็ว แต่ดอกกุหลาบที่ได้จะไม่ค่อยได้คุณภาพ ดอกจะมีขนาดเล็ก ก้านสั้น หรือไม่ก็มีตำหนิจากโรคและแมลง ทำให้อายุของดอกกุหลาบจะค่อนข้างสั้น ไม่เหมาะแก่การนำไปปักแจกัน แต่การผลิตดอกกุหลาบในลักษณะนี้ทำให้เกษตรกรสามารถตัดดอกกุหลาบส่งขายตลาดได้ทุกวัน ส่วนการปลูกกุหลาบเชิงคุณภาพ เป็นการปลูกที่ต้องมีการดูแลกุหลาบอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงของการปลุกไปจนถึงหลังการเก็บเกี่ยว นิยมปลูกในโรงเรือนเพื่อควบคุมอุณหภูมิและป้องกันแมลง ดอกกุหลาบที่ได้จะมีคุณภาพสูง นิยมส่งไปตามร้านที่รับจัดช่อดอกไม้ซึ่งต้องใช้ดอกกุหลาบที่มีขนาดใหญ่ สีสด ไม่มีตำหนิที่กลีบดอก ซึ่งกุหลาบในลักษณะนี้เมืองไทยยังผลิตได้น้อยกว่าความต้องการของตลาด จึงทำให้ยังต้องมีการนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   ฉันซื้อกุหลาบให้ตัวเอง...ไม่ว่าจะซื้อกุหลาบให้ตัวเอง หรือให้คนอื่นๆ ลองมาดูเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ในการเลือกซื้อกุหลาบ ให้ได้ดอกที่สวยถูกใจ ไม่ผิดหวังทั้งคนให้และคนรับ   1.เลือกดอกที่ยังดูสด ไม่เหี่ยวแห้ง ไม่มีรอยช้ำ หรือสีสันไม่สดใส ไม่เปล่งปลั่ง เพราะแบบนั้นแสดงว่ากุหลาบขาดน้ำ จะเก็บไว้ได้ไม่นาน 2.นอกจากดูที่ดอกแล้วก็ต้องดูที่ใบด้วย ใบก็ต้องสวย ไม่เหี่ยว หรือห่อลู่ ไม่หักงอ ใบอยู่เต็มไม่ขาด 3.ลองจับที่กลีบดอกกุหลาบเบาๆ กุหลาบที่สุขภาพดีกลีบต้องยังมีความแข็ง จับแล้วไม่ช้ำหรือหักตามแรงกด แต่วิธีนี้ต้องอาจต้องแอบทำ เพราะส่วนใหญ่แม้ค้ามักจะไม่ให้เราสัมผัสดอกกุหลาบ ระวังถูกแม่ค้าโกรธ  4.ถ้าซื้อดอกกุหลาบแล้วเก็บข้ามคืนเพื่อใช้งานในวันถัดไป ต้องเลือกที่ดอกยังไม่บานเต็มที่ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นดอกตูมจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นดอกที่ไม่บานแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นควรเลือกดอกที่กลีบยังเป็นทรงสวย บานออกบางแล้ว แต่ไม่ขยายมากจนเกินไป  5.ดูว่าร้านมีการดูแลดอกกุหลาบยังไงบ้าง เพราะดอกกุหลาบที่ถูกตัดมาขายจะขาดน้ำไปเลี้ยง หากแม่ค้านำมาขายโดยไม่ได้แช่น้ำ ดอกกุหลาบก็มีโอกาสเหี่ยวเร็ว  6.ถ้าไปเลือกซื้อที่ปากคลองตลาด ก็ควรยอมเสียเวลาเดินเลือกให้ทั่ว เพราะอย่างที่รู้ว่าที่นี่เป็นแหล่งขายดอกไม้ มีให้เลือกหลายร้านหลายแบบหลายราคา ลองเปรียบเทียบกันดู รับรองต้องเจอแบบที่ทั้งถูกทั้งใจถูกทั้งราคาแน่นอน  กุหลาบแทนใจ...อยากเก็บไว้หลายๆ วัน1.เมื่อซื้อกุหลาบมาแล้ว ให้เด็ดใบที่ไม่ต้องการออกบ้าง แล้วนำไปแช่ในน้ำ นำไปเก็บในที่ที่อากาศเย็น ไม่มีแดดส่อง ซึ่งการหลีกเลี่ยงไม่ให้กุหลาบถูกแดดก่อนนำไปใช้งานก็เพื่อป้องกันการสังเคราะห์แสง เพราะดอกอาจเปลี่ยนสภาพ และอย่าให้อุณหภูมิของน้ำร้อนหรือเย็นเกินไป 2.อย่าแช่ดอกกุหลาบไว้ในแจกันหรือภาชนะที่ใส่น้ำจนแน่นเกินไป เพราะมีผลต่อการดูดซึมน้ำของดอกกุหลาบ ถ้าแช่ดอกกุหลาบมากเกินไปจนดอกต้องเบียดกันแน่นอาจทำดอกและใบชำ 3.หมั่นเปลี่ยนน้ำในแจกันทุกวัน ดอกกุหลาบก็ชอบน้ำสะอาดๆ เพราะฉะนั้นเวลาทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำอย่าลืมล้างทำความสะอาดแจกันด้วย  4.การตัดก้านกุหลาบเพื่อนำมาปักแจกัน ควรตัดในแนวเฉียง เพราะปลายก้านในลักษณะเฉียงจะช่วยให้ดอกกุหลาบดูดซับน้ำได้มากขึ้น 5.ริดหนามออกก็สามารถช่วยชะลอไม่ให้กุหลาบเฉาเร็วได้ แต่อย่าให้มีรอยฉีกที่ก้านเพราะกลายเป็นว่าจะทำให้ดอกไม้เน่าเร็วแทน  6.ว่ากันว่าถ้าใส่เหรียญสลึงลงในแจกันที่จัดดอกกุหลาบไว้ ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญจะช่วยยับยั้งเชื้อแบคที่เรียที่อยู่ในแจกัน ทำให้ดอกกุหลาบไม่เหี่ยวเร็ว++++++++

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 119 เขาหลอกให้เด็กเป็นนักช้อปได้อย่างไร

เรียบเรียงจากหนังสือเรื่อง Born to Buy แต่งโดย จูเลียต บี. ชอร์   เมื่อปี 2546 โครงการวิจัย Child Watch ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ระบุเด็กไทยเป็นนักบริโภค และติดวัตถุมากกว่าครอบครัวและศาสนา ในรอบ 1 เดือนพบว่า เด็กกินอาหารจานด่วนเฉลี่ยราว 3 ครั้ง ไปเดินห้างสรรพสินค้าประมาณ 4 ครั้ง ซื้อเครื่องสำอางค์บำรุงผิวประมาณ 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กวัยรุ่นในต่างจังหวัดราวร้อยละ 50 ที่เข้าร้าน internet เป็นประจำ และร้อยละ 30 มีโทรศัพท์มือถือใช้และจากการที่เด็กวัยรุ่นใช้เวลาไปกับกระแสบริโภคนิยม และหมดเวลาไปกับการเดินห้าง หรือพูดคุยกับเพื่อน หรือเล่นเกมผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เด็กวัยรุ่นใช้เวลากับครอบครัวน้อยลงด้วย  กระแสบริโภคนิยมได้เข้าไปก่อร่างสร้างตัวในเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่เพียงแต่เด็กไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญวิกฤตนี้ เด็กทั่วโลกก็ไม่ต่างกัน  ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำผลงานวิจัยเชิงลึกของจูเลียต บี. ชอร์ ในหนังสือเรื่อง Born to Buy ที่ตีแผ่เทคนิคการโฆษณา และช่องทางในการเข้าถึงเด็กๆ ชาวอเมริกัน รวมถึงศึกษาผลกระทบจากวัฒนธรรมการบริโภคที่มีต่อจิตใจของเด็กเหล่านั้นด้วย โดยมีเด็กประถม 5 – 6 จำนวน 300 คนและผู้ปกครอง 25 คนเข้าร่วมการวิจัยครั้งนี้ มานำเสนอ ท่านสามารถหาอ่านฉบับเต็มได้จาก คุณหนูนักช็อป เมื่อโฆษณาบอกให้ลูกคุณต้องซื้อ. จูเลียต บี. ชอร์ เขียน ศศิวรรณ ปริญญาตร แปล สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก,2553.   คุณหนูนักช้อปงานวิจัย* ที่ทำกับเด็กอเมริกัน ฟันธงแล้วว่าเด็กที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการบริโภคมาก จะมีปัญหาทางจิตใจมากขึ้นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล สมาธิสั้น หรือมีความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า นอกจากนี้ยังมีสุขภาพแย่ลงด้วย   ในภาพรวมแล้วเด็กอเมริกันทุกวันนี้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ทั้งๆที่อัตราความยากจนไม่ได้สูงเหมือนเมื่อก่อน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีปัจจัยลบที่บั่นทอนสุขภาวะของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ปัจจัยที่ว่านั้นได้แก่ค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับวัตถุและการบริโภค  ที่สำคัญการตลาดและโฆษณากำลังจู่โจมพวกเขามากขึ้นทุกวัน ในทุกที่ๆพวกเขาอยู่ จึงไม่ได้มีเพียง “เด็กมีปัญหา” เท่านั้นที่ถูกดึงเข้าสู่วังวนแห่งบริโภคนิยม   เรื่องที่คุณอาจรู้แล้วเกี่ยวกับกลยุทธ์การโฆษณา1. โฆษณาจะนำเสนอภาพโลกของสินค้าดังกล่าวที่เป็นมิตรกับเด็ก โลกนั้นจะไม่มีครู ไม่มีพ่อแม่ที่น่ารำคาญ นี่คือโฆษณาที่สร้างขึ้นจากผลการวิจัยเรื่องเจตคติของเด็กต่อครูและพ่อแม่  2. โฆษณาจะต้องทำให้เด็กรู้สึกว่าพวกเขาจะไม่เอาไหน ไม่เท่ ถ้าพวกเขาไม่มีสินค้าตัวดังกล่าวในครอบครอง ขอบอกว่ากลยุทธ์นี้ได้ผลกว่าการบอกเด็กให้ไปซื้อสินค้านั้นมาด้วยซ้ำ  3. โฆษณาจะเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับความต้องการทางอารมณ์ของเด็กๆ เช่น การต้องการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม โฆษณาจึงนิยมส่งสารไปยังเด็กๆว่า ซื้อสินค้าตัวนี้สิ แล้วหนูจะมีเพื่อนแน่นอน   4. โฆษณาที่จะได้ผลนั้นจะต้องทำให้เด็กเกิดความต้องการอย่างท่วมท้นด้วย เราจึงได้เห็นการสร้างความตื่นเต้นเร้าใจด้วยแสง เสียง หรือภาพคลื่นครีมมหึมา หรือทะเลช็อกโกแลต เสมอๆ  5. บริษัทมักอ้างว่าโฆษณาไม่ได้มีผลต่อเด็กมากมายอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนวิตกกัน แต่ก็ยังตอบคำถามไม่ได้ว่าทำไมถึงทุ่มเงินให้กับการโฆษณาเป็นเงินหลายพันล้านเหรียญต่อปี   กลยุทธ์การตลาดที่ผู้ประกอบการใช้ในการเข้าถึงเด็กๆ1. สร้างอาณาจักรที่ทำให้เด็กรู้สึกเป็นอิสระได้โดยผ่านทางการบริโภค  2. เมื่อเด็กมีเงินใช้มากขึ้น หัวใจของวัฒนธรรมการบริโภคของพวกเขาคือการได้รู้สึกพิเศษเหนือคนอื่นๆ บริษัทต่างๆจึงพยายามปรับราคาสินค้าขึ้น เพื่อจะได้ดูเป็นสินค้า “เกินเอื้อม” และทำให้เด็กๆหลงใหล อยากเป็นเจ้าของมากขึ้น  3. สิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของการทำการตลาดสินค้าสำหรับเด็กคือความเท่ทันสมัย เพราะนาทีนี้มันคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ได้ในชีวิตของพวกเขา  4. นักการตลาดรู้ว่าเด็กเล็กก็ดูรายการสำหรับวัยรุ่น หรือรายการสำหรับผู้ใหญ่ และเด็กทุกคนก็มีความต้องการลึกๆที่ “อยากจะเป็นผู้ใหญ่” จึงจงใจนำเสนอสินค้าที่ “แก่กว่าวัย” ให้กับกลุ่มเป้าหมาย  5. การสื่อสารสองความหมายก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ เช่น ในการโฆษณาอาหารสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่ง เนื้อหาที่ส่งไปยังพ่อแม่คืออาหารดังกล่าวมีวิตามินและทำจากวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ในขณะที่บอกกับเด็กๆ ว่าอาหารนั้นทานแล้วสนุกสนาน มีเพื่อนมากมาย  6. มีงานวิจัยที่ระบุว่าครอบครัวที่มีเวลาให้ลูกน้อยจะให้เงินลูกใช้มากขึ้นเพื่อเป็นการ “ไถ่บาป” และการใช้เงินทดแทนเวลานั้นเป็นสิ่งที่แม่นิยมทำมากกว่าพ่อ นักการตลาดจึงไม่พลาดโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดดังกล่าว ด้วยการสื่อสารถึงเด็กๆว่าสินค้าต่างหากที่อยู่เคียงข้างพวกเด็กๆเสมอ (ไม่ใช่พ่อแม่)  7. นักการตลาดใช้วิธี “สร้างโลก 360 องศา” ด้วยการจู่โจมผู้บริโภคด้วยข้อมูลจากทุกด้าน ในสื่อทุกประเภท รวมถึงการตลาดแบบ “ใช้ดีแล้วบอกต่อ” ด้วย 8. เงินซื้อได้ทุกอย่าง นักการตลาดสามารถจ่ายเงินให้พ่อแม่เพื่อซื้อเวลาที่จะได้พูดคุยกับลูกของพวกเขาได้อย่างเป็นส่วนตัวแม้กระทั่งการมาถ่ายวิดีโอลูกของตนในห้องนอนหรือห้องอาบน้ำ ---------------------------------------------------------------------------------------- เด็กกับพลังตื๊อเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยกันดี แต่เรื่องใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นคือเด็กกำลัง “ฝึก” พ่อแม่ให้จัดหาสิ่งที่ต้องการให้โดยไม่ต้องร้องขออีกต่อไป เพราะเมื่อพ่อแม่เรียนรู้ว่าเด็กชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ลูกไม่ชอบ เพราะไม่อยากเสียเงินหรือเวลาไปกับสิ่งที่ซื้อมาแล้วลูกจะไม่กิน ไม่ใช้ ซึ่งก็เข้าทางทั้งเด็กและทั้งคนที่จะหากำไรจากเด็ก ---------------------------------------------------------------------------------------- - สหรัฐอเมริกามีศูนย์การค้ากว่า 105,000 แห่ง เมื่อปลายปีพ.ศ. 2552 มีพื้นที่ช้อปปิ้งประมาณ 7,000 ล้านตารางฟุต เมื่อนำมาเฉลี่ยกับจำนวนประชากร 300 กว่าล้านคนแล้ว อเมริกันชนแต่ละคนจะมีพื้นที่ศูนย์การค้าประมาณ 23 ตารางฟุต - ข้อมูลจาก The International Council of Shopping Centers จากสถิติของกรุงเทพมหานคร เมื่อปีพ.ศ. 2551 กรุงเทพฯ มีศูนย์การค้าทั้งหมด 136 แห่ง (และตลาดนัดอีกนับไม่ถ้วน)- อัตราการเป็นเจ้าของเครื่องรับโทรทัศน์ของอเมริกันชน เท่ากับ 740 เครื่องต่อ 1,000 คน (เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก เบอร์มิวดาและโมนาโค) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 86 ที่ 236 เครื่องต่อ 1,000 คน ----------------------------------------------------------------------------------------   เด็กติดแบรนด์ ข้อมูลจากการสำรวจของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในอเมริการะบุว่าโดยเฉลี่ยแล้ว เด็กอายุ 10 ขวบ จะสามารถจดจำแบรนด์ได้ระหว่าง 300 ถึง 400 แบรนด์  เวลาที่เด็กอ้อนให้ซื้อของ พวกเขามักจะระบุแบรนด์ของสินค้า และที่แย่กว่านั้นเด็กอเมริกันเดี๋ยวนี้จะร้องอยากได้สินค้า “แบรนด์ดัง” เท่านั้น และประสบการณ์การบริโภคของเด็กอเมริกัน (และก็คงจะไม่ต่างกับเด็กที่บ้านเรา) ทุกวันนี้ก็จะต้องหรูหราขึ้นด้วยเด็กไม่ได้มีทางเลือกมากมาย อย่างที่พวกเขาเข้าใจ ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันธุรกิจสื่อและความบันเทิงสำหรับเด็กก็ อยู่ในมือของ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ ดิสนีย์ เวียคอม นิวส์คอร์ป และเอโอแอล ไทม์ วอร์เนอร์ เท่านั้น   อย่างนี้จะดีไหมงานวิจัยเรื่องดังกล่าวมีข้อเสนอดังต่อไปนี้ • ให้มีการเก็บภาษีร้อยละ 2 จากโฆษณาที่ออกอากาศทางวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และอินเทอร์เน็ท เมื่อฉายในเวลาที่มีผู้ชมในวัยต่ำกว่า 18 ปี ดูเกินร้อยละ 25  • รวมโฆษณาเอาไว้ในช่องเดียวกัน เมื่อบริษัทอ้างว่าโฆษณานั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ มีคุณค่า ก็ไม่มีอะไรต้องวิตก คนที่ชอบดูโฆษณาก็จะตามไปดูเอง ดูแต่โฆษณาให้จุใจกันไปเลย • เปลี่ยนระบบจากการให้โฆษณาเป็นผู้สนับสนุนรายการ มาเป็นระบบที่ผู้ชมสามารถจ่ายเงินซื้อสาระที่ต้องการชมได้เลย   หน่วยสืบราชการลับ GIA: Girls Intelligence Agency Girls Intelligence Agency หรือ GIA ที่ว่านี้ไม่ได้เป็นสาขาหนึ่งของซีไอเอ หรือหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด แต่กิจการของเขาก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้างตรงที่ จีไอเอก็มี “สายลับ” เช่นกัน  เว็บไซต์ของจีไอเอ ระบุว่าตนเองมีสายลับหญิงในสังกัดประมาณ 40,000 คน พวกเธออายุระหว่าง 8 – 29 ปี อยู่ทั่วอเมริกา ซึ่งจะทำการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่จีไอเอเพื่อแจ้งข้อมูล ข้อมูลที่ว่านี้ได้แก่ความคิดเห็น ความฝัน เป้าหมาย แรงบันดาลใจของบรรดาสาวๆเหล่านั้นและเพื่อนๆของเธอ จากนั้นบริษัทก็จะแปรข้อมูลที่ได้ให้เป็นข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อ “ลูกค้า” ซึ่งก็คือบริษัทที่ต้องการเพิ่มยอดขายสินค้าสำหรับเด็กและวัยรุ่นหญิงนั่นเอง จีไอเอ จะให้ “สิทธิพิเศษ” กับเด็กที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเป็น “เจ้าหน้าที่” ของตนด้วยการให้โอกาสพวกเธอทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หรือไม่ก็เชิญพวกเธอเข้าร่วมงานเปิดตัวสินค้าต่างๆ  เด็กๆเหล่านี้จะได้รับการอบรมเทคนิคการล้วงความลับจากเพื่อนๆ โดยจีไอเอ บอกกับพวกเธอว่าพวกเธอจะต้องสอดรู้สอดเห็นเพื่อองค์กร   หนึ่งในสิ่งที่ “สาวสืบราชการลับ” ตัวน้อยเหล่านี้ต้องทำคือจัดงานปาร์ตี้ชุดนอน เชิญเพื่อนๆอีก 11 คนมาร่วมงาน เพื่อมา “ทดลองใช้สินค้าตัวอย่างก่อนใคร” และ “กินอาหารขยะกันให้พุงกาง” ไม่ว่าเด็กๆเหล่านี้จะรู้ตัวหรือไม่ งานปาร์ตี้ดังกล่าวก็คือการทำโฟกัสกรุ๊ปเพื่อสำรวจความเห็นของผู้บริโภคและเป็นชั่วโมงขายของไปโดยปริยาย  โดยหลังงานเลิก บรรดาเจ้าภาพตัวน้อยๆ เหล่านี้จะต้องรายงานผลกลับไปยังหน่วยเหนือของพวกเธอ นอกจากนี้บางครั้งจีไอเอจะส่งเจ้าหน้าที่ไปบันทึกภาพปาร์ตี้ดังกล่าวไว้ด้วย จีไอเอถึงกับกล้าพูดว่าสายลับแต่ละคนจะสามารถเข้าถึงเพื่อนสาวของพวกเธอได้อีก 512 คน ได้ในทุกแง่มุมของชีวิต ฟังแล้วก็น่าวิตกแทนพ่อแม่ของพวกเธอและของเด็กๆที่พวกเธอเรียกว่า “เพื่อน” เพราะไม่รู้ว่าคำว่า “มิตรภาพ” จะยังมีความหมายเหมือนเดิมหรือไม่---ตลาดสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในสหรัฐคือสินค้าสำหรับเด็กและวัยรุ่นหญิง จีไอเอระบุในเว็บไซต์ว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกามีประชากรที่เป็นเด็กหญิงอายุระหว่าง 10 – 19 ปีกว่า 18 ล้านคน และเด็กเหล่านี้มีการใช้จ่ายรวมกันถึงปีละ 75,000 ล้านเหรียญ  นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าวัยรุ่นมีส่วนในการทำให้เกิดการใช้จ่ายของครอบครัวถึง 700,000 ล้านเหรียญต่อปี และร้อยละ 56 ของวัยรุ่นเหล่านี้เป็นวัยรุ่นหญิง---

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 118 พรปีใหม่ สร้างได้ด้วยตัวเอง

พรปีใหม่ สร้างได้ด้วยตัวเองกองบรรณาธิการ   ในทุกช่วงเทศกาลปีใหม่ สิ่งที่เราจะทำกันนอกจากมอบของขวัญหรือการจัดงานฉลองรื่นเริงแล้ว ก็คือการส่งมอบ คำอวยพร อันเป็นถ้อยคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี หวังให้เกิดความสุขสมหวังแก่คนที่เรานิยมรักใคร่  จริงแท้แล้ว ความสุขสมหวังในชีวิตตามคำพรอันแสนดีนั้น เราท่านสามารถสร้างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอใครมาหยิบยื่นให้ก่อน  ฉลาดซื้อฉบับต้อนรับปีใหม่ 2554 นี้ จึงขอมอบแนวทางที่จะทำให้ท่านสามารถสร้างพรปีใหม่ให้แก่ตัวเองได้อย่างง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมปีใหม่อย่างที่เคยๆ มาในปีก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   บุญ สร้างได้หลายทางไม่จำเพาะแค่การตักบาตรหรือถวายสังฆทาน การทำบุญคือ การทำให้เราลด ละ ความโลภและความเห็นแก่ตัวลง ด้วยการสละ ซึ่งอาจเป็นสละแรงกาย ทรัพย์ หรือปัญญาเพื่อบุคคลอื่น  ดังนั้นการทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การตั้งหน้าตั้งตาซื้อ การทำบุญในพุทธศาสนาจึงสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้   ทำบุญอย่างถูกวิธี 1.การให้ทาน บริจาคเงิน สิ่งของ 2.การถือศีลหรือลดความประพฤติไม่ดี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น 3.การเรียนรู้ ฝึกจิตให้สงบไม่เศร้าหมอง ทำให้เกิดปัญญา 4.การสละแรงกายช่วยเหลือสังคมและผู้อื่น เป็นงานเพื่อส่วนรวม 5.การอ่อนน้อมถ่อมตน แม้มีอาวุโสกว่าก็มีเมตตา รู้จักให้เกียรติ 6.การยอมรับและมีความยินดีในการทำความดีของผู้อื่น 7.การเผื่อแผ่โอกาสให้ผู้อื่นได้ร่วมทำบุญหรือความดีกับเรา พร้อมเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับส่วนบุญนั้นด้วย 8.การรับฟังธรรมะและข้อคิดดีงาม 9.การให้ธรรมะและและข้อคิดที่ดีงามแก่ผู้อื่น10. การนึกคิดในทางที่ถูกต้องดีงาม   ไม่มีเงิน ก็ทำบุญได้ทำบุญไม่ได้แปลว่าให้ทานเสมอไป ไม่มีเงินเลยก็สามารถทำบุญได้ ด้วยการงดสิ่งเสพติด งดอบายมุข ก็ถือว่าได้บุญแล้ว รักษาศีล ไม่ประพฤติตนเป็นคนเกเร อันธพาล ไม่เป็นหนี้เป็นสินหรือไม่ใช่จ่ายให้เกินตัว ทำให้ชีวิตให้โปร่งเบาโดยลดกิเลสต่างๆ ลง เหล่านี้ไม่ต้องใช้เงิน ก็นับเป็นการทำบุญที่อานิสงค์ ไม่แพ้การให้ทานแต่ประการใด  ปีใหม่ไม่ดื่มจากสถิติของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ (ศปภ.) พบว่า จำนวนอุบัติเหตุใน 100 ราย มี 41 รายเกิดจากผู้ขับดื่มเหล้ามึนเมา และสาเหตุการตายของคนไทยเนื่องจากอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากโรคมะเร็ง ทำให้มีคนตาย 1,300 คนต่อปี สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท   การสูญเสียที่มากมายนี้ทำให้หลายหน่วยงานออกกฎ มาตรการต่างๆ มาป้องกัน เช่น ห้ามดื่มสุราสำหรับผู้ขับขี่รถ ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานีบริการน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็รับทราบกันดี แต่ก็ยังพบการละเมิดกฎหมายอยู่บ่อยๆ ทำให้สถิติการเสียชีวิตอันมีสาเหตุเชื่อมโยงกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ลดลง อย่างนี้แล้ว หากเราจริงใจในการอวยพรผู้อื่นให้มีความสุขจริง อีกทั้งไม่เสี่ยงพาตัวเองไปเป็นผู้ก่ออุบัติเหตุที่สร้างความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น รวมถึงสร้างสุขให้แก่ตัวเองด้วยการสร้างสุขภาพที่ดี ปีใหม่นี้ก็ขอให้งดดื่ม งานเลี้ยงรื่นเริงสังสรรค์ต่างๆ ก็ปรับนิดหน่อยให้สามารถสนุกสนานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์   คนไทยดื่มสุราเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 260,000 คน พบดื่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบสิบปี (2535-2545) จาก 992 ล้านลิตร เป็น 1,926 ล้านลิตร ที่มา สำนักงานสถิติแห่งชาติ   อดหวานต้านโรคคนไทยรับประทานน้ำตาลมากกว่า 20 ช้อนชาต่อวัน จากปกติที่ไม่ควรเกิน 6-8 ช้อนชาต่อวัน ทำให้คนไทยติดรสหวาน เด็กรุ่นใหม่ก็ติด รสหวาน โรคที่ไม่ควรเป็นในวัยเด็กอย่างเบาหวานจึงพบได้ในทุกวันนี้ รวมทั้งโรคอ้วนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจ หลอดเลือดและความดันโลหิตสูง   เทศกาลปีใหม่เป็นช่วงที่มีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองมาก ทั้งงานเลี้ยงที่ทำงาน สถานที่บันเทิงบ้านญาติ มิตร บางบ้านก็จัดปาร์ตี้กันเองในครอบครัว โอกาสที่จะรับประทานของหวานของมันก็มีมากขึ้น เพราะอาหารสำหรับงานเลี้ยงปีใหม่หนีไม่พ้นอาหารหวาน ขนมนมเนย ขนมเค้ก เบเกอรี่ ฟาสต์ฟู้ด ของทอด น้ำหวาน น้ำอัดลม ฯลฯ ซึ่งล้วนมีน้ำตาลสูงและให้พลังงานมาก แต่ร่างกายกลับไม่ค่อยได้นำพลังงานมาใช้เท่าที่ควรเพราะหลายคนถือเป็นช่วงพักผ่อน(เอาแต่นอน)  ทำให้ช่วงนี้หลายคนน้ำหนักตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  ถ้าไม่อยากให้ชีวิตในช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กลายเป็นปีแห่งโรคภัยไข้เจ็บและโรคอ้วน ควรรับประทานหวานๆ ให้น้อยลง และอย่าละเลยการออกกำลังกาย  ..........ส่วนผสมส่วนใหญ่ของคุกกี้ และเค้ก ทำมาจากแป้ง น้ำตาล เนย ไข่ และไขมัน ที่ให้รสหวานเป็นหลัก มีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย เสี่ยงเกิดโรคอ้วน ขนมเค้ก 1 ชิ้นเล็ก ขนาดประมาณ 35 กรัม ให้พลังงานถึง 140 กิโลแคลอรี ส่วนคุกกี้ 1 ชิ้น ขนาด 10 กรัม ให้พลังงานถึง 51 กิโลแคลอรี ..........ถ้ากินติดต่อกันในปริมาณ 1 ปอนด์(0.45 กก.)ต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 1,600 กิโลแคลอรี เกือบเท่ากับที่ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารอื่นรวมวันละ 2,000 กิโลแคลอรี…   ของขวัญจากใจของขวัญ คือสิ่งที่นิยมมอบให้แก่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่นิยมกันมากในช่วงหลังๆ ก็ได้แก่ กระเช้าผลไม้ กระเช้าของขวัญ เพราะเป็นดูกลางๆ ไม่มากไปน้อยไป ส่วนคนสนิทชิดใกล้ก็แล้วแต่จะเลือกสรรให้กัน ฉลาดซื้อเมื่อฉบับ 106 ธ.ค. 2552 เราก็จัดโพลล์กันไปรอบว่าด้วย สิบของขวัญที่ไม่อยากได้ และของขวัญที่ควรจะมอบให้แก่กันเพื่อมิให้เกิดการสูญเสียในทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็คือ “เงินสด” อย่างไรก็ตามถ้าจะเลือกมอบกระเช้าของขวัญ กระเช้าผลไม้ เป็นของขวัญปีใหม่   อย่าลืมว่าปีนี้ ทั้ง อย.และ สคบ.เขาพร้อมช่วยผู้บริโภค ด้วยการออกตรวจร้านค้าปลีก ร้านค้าทั่วไปเพื่อให้จัดกระเช้าของขวัญที่มีคุณภาพไม่แอบเอาของใกล้หมดอายุมาใส่ไว้ และในกรณีที่ผู้ประกอบการมีการ นำผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนวัตถุอันตราย และนำสินค้าที่หมดอายุ ไร้คุณภาพมาจำหน่ายในรูปแบบกระเช้า ให้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากจำหน่าย อาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่มีฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท   “การให้ของขวัญ สิ่งสำคัญต้องไม่อยู่ที่ตัววัตถุ แต่อยู่ที่น้ำใจ และถ้าเราให้ของขวัญในสิ่งที่ช่วยประเทืองปัญญาจะดีมาก ไม่ใช่ให้ของขวัญที่กระตุ้นโลภะ โทสะ หรือว่าเป็นของขวัญที่บั่นทอนสุขภาพ ของขวัญถ้ามันไปสนองกิเลสของผู้รับ มันก็เป็นโทษทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้ ในทางพุทธศาสนาก็ไม่ได้บุญ แต่ถ้าคุณให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต เกื้อกูลสติปัญญา ประเทืองอารมณ์ จรรโลงใจ เหล่านี้จะเป็นบุญแก่ทั้งผู้รับและผู้ให้” พระไพศาล วิสาโลใช้บัตรเครดิตให้ถูกทางข้อดีของการถือบัตรเครดิต คือความปลอดภัยและสะดวกในการใช้จ่าย เพราะการถือบัตรเครดิตโอกาสสูญหายหรือถูกขโมยมีน้อยกว่าการถือเงินสด (บัตรห ายก็ยังอายัดไว้ได้ ส่วนเงินไปแล้วไปเลย) นอกจากนี้ยังให้มูลค่าเพิ่มในการใช้อภิสิทธิ์ จากสถาบันการเงินที่ออกบัตรในการรับบริการที่แตกต่าง เช่น ได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าในราคาพิเศษ ได้รับความคุ้มค   รองด้านประกันภัยโดยไม่ต้องซื้อกรมธรรม์ ได้รับของกำนัลเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร ได้เงินคืนจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเมื่อถึงยอดที่กำหนด ฯลฯ  ซึ่งสถาบันการเงินต่างก็เพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อหวังเอาใจลูกค้ากันเต็มที่   แต่ผู้ใช้บัตรเครดิตจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่สูงนี้ ก็ต่อเมื่อผู้ใช้บัตรเครดิตมีการวางแผนทางการเงินที่ดี โดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่เกินกำลังความสามารถของตนเองในการชำระคืนในเดือนถัดไป มิฉะนั้นท่านจะต้องตกลงในกับดักทางการเงิน ที่สุดท้ายกลายเป็นหนี้ก้อนโต การใช้บัตรเครดิตให้ปลอดภัย   1. จ่ายหมด ไม่มียอดค้างชำระ  การชำระสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตเปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงรอบบัญชีเรียกเก็บหากชำระไม่เต็มจำนวนก็จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 20 ต่อปี 2. การใช้บัตรเครดิตในการชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ไม่ควรเกินร้อยละ 20 ของรายได้ต่อเดือน 3. อย่าติด Late Charge ถ้าจ่ายทั้งหมดไม่ได้ ก็จ่ายเท่ายอดขั้นต่ำ แต่จ่ายตามกำหนด ถ้าจ่ายช้ากว่าวันนัดชำระ จะเสียค่าปรับที่แพงขึ้นอีกจากค่าทวงถาม 4. อย่าเบิกเงินสดด้วยบัตรเครดิต ประเภทวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด เพราะจะเสียค่าธรรมเนียมแพงประมาณ 3% ของเงินสดที่เบิกออกมา บวกด้วยค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม และเมื่อรวมเงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว จ่ายหนักแน่ 5. ไม่เบิกเงินสดจากบัตรเครดิตใบหนึ่งเพื่อไปโปะหนี้บัตรเครดิตอีกใบหนึ่ง เพราะสุดท้ายจะกลายเป็น งูกินหาง ติดหนี้ก้อนโตในทุกบัตร อย่าลืมว่า ดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นแพงมาก หากพบว่าเริ่มมีปัญหาจากการใช้บัตรวิธีที่ดีที่สุดคือ หยุดการใช้บัตรเครดิตและวางแผนคืนเงินอย่างถูกต้อง ท่านสามารถขอคำปรึกษาได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค   ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปี 2553 (ไม่รวมการใช้จ่ายของชาวต่างประเทศที่ถือบัตรเครดิตต่างประเทศ และการเบิกเงินสดล่วงหน้า) โดยคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 712,000 - 727,650 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 15.0 ถึง ร้อยละ 17.5  จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.9 ปี 2552  ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  เลือกรถโดยสารให้ปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ จัดเป็นช่วงที่มีการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่สูงสุดช่วงหนึ่งของปี และทุกๆ ปี ก็พบว่า มีผู้โดยสารจำนวนมากทีเดียวที่พบอุบัติเหตุจากรถโดยสารที่ตัวเองนั่งไปโดยทั่วไปคนส่วนใหญ่เลือกนั่งรถกับบริษัทรถโดยสารที่คุ้นเคย หรือได้รับการบอกเล่าปากต่อปาก โดยคำนึงเรื่องความสะดวกสบายเป็นหลัก แต่น้อยคนนักที่จะคิดด้านความปลอดภัยและคิดจะตรวจสอบบริษัทรถโดยสารด้วยตัวเอง  ข้อมูลจากโครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เขาฝากมาว่า ในการขึ้นรถโดยสารทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการรถโดยสารสองชั้นเนื่องจากมีข้อจำกัดด้านจุดสมดุล  รถโดยสารที่ดีต้องมีส่วนที่เป็นโครงเหล็กมากกว่ากระจก บนรถต้องมีเข็มขัดนิรภัย ถังดับเพลิง หรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย เบาะที่นั่งต้องยึดติดมั่นคง และมีเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อศูนย์บริการได้  นอกจากนั้น ผู้โดยสารทุกท่านยังสามารถช่วยกันดูแลสอดส่องการให้บริการของรถโดยสารสาธารณะเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ยามเมื่อเกิดอุบัติเหตุนอกจากจะทำเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้บริโภคเองแล้วยังเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพการบริการโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานสากลอีกด้วย  ฝากข้อมูลหรือแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ติดต่อได้ที่โครงการฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค   เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ วิธีปฏิบัติ 3 ขั้นตอน ขั้นแรกผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถในการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล และค่าปลงศพกรณีเสียชีวิตจากบริษัทประกันภัยของรถโดยสารที่เกิดเหตุโดยจะต้องดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายภายใน 180 วันหลังจากเกิดเหตุพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจ สำเนากรมธรรม์ประกัยภัยรถที่เกิดอุบัติเหตุในกรณีที่เสียชีวิตต้องเตรียมสำเนาใบมรณะบัตร และสำเนาทะเบียนบ้านหรือสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของทายาทมาด้วย   ขั้นที่สองนั้น สามารถใช้สิทธิเรียกร้องจากกรมธรรม์ภาคสมัครใจและบริษัทรถโดยสารจากความเสียหายทางด้านทรัพย์สิน และค่าเสียโอกาสอื่นๆหรือที่เราเรียกกันว่า ค่าทำขวัญ โดยมีข้อควรระวังคือ การลงลายมือชื่อในการรับค่าสินไหมทดแทนทั้งจากบริษัทประกันและบริษัทรถยนต์    หากมีเงื่อนไขในเอกสารการรับเงินหรือข้อตกลงใดๆว่า ผู้เสียหายยอมรับเงินโดยไม่ติดใจเอาความกับบริษัทแล้วจะทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ในภายหลัง   ขั้นสุดท้าย สิทธิการเรียกร้องทางกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคสามารถขอแบบฟอร์มได้ที่ศาล และติดต่อมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคหรือเขียนเองโดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มจาก www.consumerthai.org โดยฟ้องคดีได้ที่ศาลในภูมิลำเนาของผู้ประกอบการซึ่งจะต้องฟ้องร้องภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่ทราบความเสียหายในส่วนของผู้ที่ทำละเมิดโดยตรงคือ คนขับรถและบริษัทรถ  แต่ในส่วนของบริษัทประกันนั้นเราสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ภายในระยะเวลา2 ปีนับแต่ทราบถึงความเสียหายท่านสามารถใช้สิทธิผ่านช่องทางการร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 น้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญกับเรื่องที่ต้องระวัง

คนเราทุกคนต้องดื่มน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายดำเนินไปเป็นปกติ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่อาจขาดน้ำได้ เพราะการขาดน้ำย่อมหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิตโดยทั่วไปร่างกายได้น้ำมาจากน้ำดื่ม เครื่องดื่มและอาหาร น้ำที่เราใช้ดื่มกินมาจากหลายแหล่ง ทั้งที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น น้ำฝน น้ำบาดาล และที่ผ่านกระบวนการผลิต เช่น น้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งอย่างหลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายจนเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจในน้ำประปาว่า สะอาดเพียงพอสำหรับการดื่มกิน อย่างไรก็ตาม น้ำดื่มบรรจุขวดนั้นมีราคาแพงมาก น้ำดื่มขนาด 600 มิลลิลิตรที่วางจำหน่ายทั่วไปมีราคาสูงถึง 7 บาทต่อขวด และยังอาจมีราคาสูงไปได้อีกหากจำหน่ายในร้านอาหารที่ไม่มีการควบคุมราคาน้ำดื่ม ดังนั้นหากเป็นการซื้อมาไว้เพื่อการบริโภคในครัวเรือน น้ำดื่มบรรจุขวดอาจไม่ใช่ทางเลือกสำหรับครอบครัวที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย การติดตั้งเครื่องกรองน้ำ ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่บางครอบครัวเลือกใช้ แต่สำหรับบางครอบครัวหรือบางคนที่ไม่ได้มีบ้านพักถาวร เช่นผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในหอพักหรือห้องเช่า น้ำดื่มที่กำลังมาแรงสุดตอนนี้ก็คือ น้ำดื่มที่ได้มาจากตู้หยอดเหรียญ ที่ปัจจุบันมีกระจายติดตั้งอยู่ทั่วไปในย่านชุมชนที่มีหอพักจำนวนมาก เพราะทั้งสะดวกในการใช้บริการและมีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับน้ำดื่มบรรจุขวด โดยน้ำที่ได้จากตู้หยอดเหรียญจะมีราคาอยู่ที่ประมาณลิตรละ 70 – 85 สตางค์ เท่านั้น __________________________________________________________________________ ตู้น้ำหยอดเหรียญเป็นการพัฒนาระบบบริการน้ำดื่มให้ครอบคลุมความต้องการ โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนที่มีประชาชนอยู่จำนวนมาก เช่น หอพัก ห้องเช่า ตลาด หรือบริษัทห้างร้านที่มีประชาชนจำนวนมาก พบได้ในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตลอดจนในพื้นที่เขตเมือง เขตเทศบาลและแหล่งชุมชนใหญ่ๆ ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ จากการศึกษาล่าสุดโดยกองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ประมาณการว่า เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร มีมากถึง 20,000 ตู้ และส่วนใหญ่เป็นตู้น้ำดื่มที่ใช้กระบวนการรีเวอร์ส ออสโมซิส (Reverse Osmosis: RO) __________________________________________________________________________ น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญปลอดภัยหรือไม่ โดยวิธีการและแหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำ น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญน่าจะมีความปลอดภัยเหมาะสำหรับการบริโภค เพราะใช้น้ำประปาที่คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานมาผ่านกระบวนการหรือขั้นตอนที่ทำให้ได้น้ำดื่มที่มีคุณภาพและความสะอาดที่ดี แต่จากการวิจัยของหลายหน่วยงานในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำที่ได้จากตู้หยอดเหรียญยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ ข้อมูลจากศึกษาวิจัยและเฝ้าระวังของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่ได้ทำการศึกษาเชิงสำรวจคุณภาพน้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญ โดยสุ่มตัวอย่างจากพื้นที่ 30 เขตของกรุงเทพฯ จำนวน 546 ตัวอย่างจาก 20 ตราผลิตภัณฑ์ ในช่วง มี.ค. – มิ.ย. 2548 โดยอาศัยเกณฑ์ประเมินคุณภาพของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ มอก. 257-2521 ของกระทรวงอุตสาหกรรม มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 61 (2524) และฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2534) และมาตรฐานของการประปานครหลวง ในภาพรวมพบว่า มีน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสูงถึง 289 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 52.9 โดยมีประเด็นที่น่าสังเกตคือเมื่อจำแนกตามตรายี่ห้อผลิตภัณฑ์ของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญทั้ง 20 ตราผลิตภัณฑ์พบว่าไม่มีกลุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากตรายี่ห้อใดเลยที่ผ่านเกณฑ์ได้ทั้งหมด และในจำนวนนี้มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของตราผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ในสัดส่วนมากกว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มตรวจของแต่ละตราผลิตภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2549 สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย ได้ทำการเฝ้าระวังความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญ โดยสุ่มตรวจตู้น้ำหยอดเหรียญจาก 9 จังหวัด (รวม กทม. และนนทบุรี) พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (แบคทีเรีย) ของกรมอนามัย จำนวน 3 ตัวอย่าง (จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 33 ตัวอย่าง) และพบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม (Coliforms) จำนวน 1 ตัวอย่าง (จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 22 ตัวอย่าง) ในปี 2550 เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาเรื่องความปลอดภัยของการบริโภคน้ำจากเครื่องผลิตน้ำดื่มหยอดเหรียญ โดยสุ่มตัวอย่างจากเขตพื้นที่ต่าง ๆ ใน กทม. จำนวน 350 ตัวอย่าง (50 เขต ๆ ละ 7 ตัวอย่าง) ปรากฏว่า ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงฯ ฉบับที่ 61 พ.ศ. 2524 และฉบับที่ 135 พ.ศ. 2534) จำนวน 264 ตัวอย่าง ซึ่งหมายความว่ากว่าร้อยละ 25 ของกลุ่มตัวอย่างไม่ผ่านเกณฑ์ และในจำนวนนี้พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องกรด – ด่าง (pH) และความกระด้างร้อยละ 20.9 พบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม (Coliforms) ร้อยละ 5.43 และ อี. โคไล (E.coli) ร้อยละ 0.57 นอกจากนี้ยังพบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม บริเวณหัวจ่ายน้ำของตู้น้ำหยอดเหรียญถึงร้อยละ 23.41 และมีตะไคร่เกาะอยู่ที่หัวจ่ายน้ำกว่าร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด และในปี พ.ศ. 2552 สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย ได้ทำการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบริโภคครัวเรือนอีกครั้ง โดยสุ่มตรวจน้ำดื่มเพื่อการบริโภคประเภทต่างๆ ของครัวเรือน จาก 19 จังหวัดในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ (ไม่รวม กทม.) ทั้งเขตเมืองและชนบท ซึ่งได้มีการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำดื่มตู้หยอดเหรียญด้วยจำนวน 6 ตัวอย่าง พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์แบคทีเรีย จำนวน 4 ตัวอย่าง ซึ่งจากการทบทวนการสำรวจทั้งหลายที่กล่าวมา พบว่า สาเหตุสำคัญที่น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรียและโคลิฟอร์ม เนื่องจากความไม่สะอาดของอุปกรณ์กรองน้ำ ภาชนะที่เก็บน้ำและการเก็บน้ำที่กรองออกมาจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญอย่างไม่ถูกสุขลักษณะนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ นอกจากนี้ในบางจุดยังพบสาหร่ายและตะไคร่ในบริเวณหัวจ่ายน้ำอีกด้วย __________________________________________________________________________ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในพื้นที่จังหวัดสงขลา สมาคมผู้บริโภคสงขลา ได้ทำการสำรวจคุณภาพของน้ำดื่มตู้หยอดเหรียญจำนวน 13 ตัวอย่าง 11 ตราผลิตภัณฑ์ ในการเก็บตัวอย่างจำนวน 3 ครั้ง ในเดือน กันยายน และ พฤศจิกายน 2552 และเดือนมกราคม 2553 จากพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยส่งทดสอบหาจุลินทรีย์ก่อโรค 4 ชนิด ได้แก่ เสต็ฟฟิโลคอคคัส ออเรียส (เอส.ออเรียส/S. aurius) ซัลโมเนลล่า (Salmonella ) อี.โคไล (E.coli) และ โคลิฟอร์ม (Coliform) ผลการทดสอบพบว่า มีเพียงหนึ่งตัวอย่างที่ไม่ผ่านการทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 8 ได้แก่ตัวอย่างยี่ห้อสยามวอเตอร์ จากหอพักณัชชา อพาร์ทเม้นท์ ในการเก็บตัวอย่างเดือนมกราคม 2553 พบโคลิฟอร์มจำนวนมากกว่า 22 เอ็มพีเอ็น ต่อน้ำดื่ม 100 มิลลิลิตร ซึ่งตามมาตรฐานในประกาศกระทรวงฯ ฉบับที่ 61 และ ฉบับที่ 135 ระบุไว้ว่าไม่เกิน 2.2 เอ็มพีเอ็น ต่อน้ำดื่ม 100 มิลลิลิตร (ข้อมูลจาก โครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารของผู้บริโภค ภายใต้การสนับสนุนจากแผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทย เพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ./TUHPP) __________________________________________________________________________ ใครรับผิดชอบตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ในรายงานการศึกษาทบทวนองค์ความรู้ทางด้านน้ำกับความปลอดภัยด้านอาหาร โดย โปรแกรมศึกษาระบบความปลอดภัยอาหารและโภชนาการ (FSN) สถาบันคลังสมองของชาติ (KNIT) ร่วมกับ สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 กล่าวว่า หน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกำกับดูแลน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญยังไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะทางด้านหน่วยงาน/องค์กรหรือด้านตัวกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ก็ยังไม่มีกฎหมายใดที่กำหนด ควบคุมและกำกับดูแลน้ำดื่มเพื่อการบริโภคที่ได้จากตู้น้ำหยอดเหรียญโดยตรงเลย มีก็เพียงเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มทั่วไปในการตรวจสอบและเฝ้าระวังเท่านั้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันเริ่มมีความพยายามที่จะเข้าควบคุมกำกับดูแลคุณภาพบ้างแล้ว เช่น ในเขตกรุงเทพมหานคร จากการให้สัมภาษณ์ของ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ  ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 ระบุว่า มีผู้ประกอบการตู้น้ำดื่มแบบหยอดเหรียญมาลงทะเบียนไว้ที่สำนักงานเขต ทั้งสิ้น 2,000 ตู้ ซึ่งต่อไปนี้ทางสำนักงานเขตแต่ละพื้นที่จะเข้มงวดให้ผู้ประกอบการทุกรายมาขึ้นทะเบียน โดยเตือนว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญต้องมาลงทะเบียนที่สำนักงานเขต หากตู้น้ำใดไม่มีการขึ้น ทะเบียน หรือไม่มีใบจดทะเบียนที่สำนักงานเขตออกให้ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย อาจจะถึงขั้นไม่ให้ตั้งตู้น้ำในพื้นที่นั้นๆ เลย และยังกล่าวอีกว่า “ขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ให้ ช่วยเป็นหูเป็นตาด้วย หากพบว่าตู้น้ำดื่มใดไม่มีใบขึ้นทะเบียนจากทางสำนักงานเขตก็อย่าได้ไว้ วางใจกดน้ำมาบริโภค” ถึงกระนั้น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงทางกฎระเบียบข้อบังคับเท่านั้น แต่การเฝ้าระวัง การกำกับดูแลและการตรวจสอบที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ทางวิชาการในส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญยังไม่ปรากฏว่า มีการดำเนินงานหรือการสนับสนุนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เช่น ยังไม่การวิจัยหรืองานวิชาการเรื่องฐานความรู้ในเรื่องสำคัญๆ ที่จะเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญ อย่างเช่น ลักษณะทางกายภาพของตู้น้ำดื่มที่ดีควรเป็นเช่นไร หัวจ่ายที่ใช้ในการจ่ายน้ำต้องมีความปลอดภัยแค่ไหนหรือแม้แต่มาตรฐานของวิธีการบำรุงรักษาว่าควรเป็นเช่นใด ถึงตรงนี้ผู้บริโภคก็ต้องทำใจรอกันล่ะ ว่าเมื่อไหร่ผู้มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จะเร่งศึกษาวิจัยและจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับน้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญกันเสียที ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาบานปลายแก้ไขไม่ทัน เพราะปัจจุบันธุรกิจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญกำลังเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก   ฉลาดซื้อแนะ การเลือกใช้บริการน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ 1. สภาพภายนอกของตู้น้ำดื่ม : ควรเลือกตู้ที่สะอาด มีการทำความสะอาด ไม่มีฝุ่นผงหรือคราบสกปรก ผู้ประกอบการมีการปัดกวาดเช็ดถูบริเวณรอบๆ ตู้ โดยเฉพาะตรงจุดที่ใช้สำหรับวางภาชนะบรรจุเพื่อรองน้ำจากหัวบรรจุต้องสะอาด ไม่มีฝุ่นผง มีฝาปิดเพื่อป้องกันฝุ่นละออง หัวจ่ายน้ำจะต้องสะอาด ไม่มีคราบสนิมหรือตะไคร่น้ำ และควรเลือกใช้ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ในที่ร่มไม่มีแสงแดดส่องถึง ซึ่งแสงแดดมักจะก่อให้เกิดตะไคร่ขึ้นภายในหัวบรรจุ 2. การควบคุมคุณภาพของน้ำ : ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญบางยี่ห้อจะมีการดูแลและควบคุมคุณภาพของน้ำดื่มโดยผู้ ดูแลตู้จะเข้ามาทำการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องและไส้กรอง จากนั้นจะทำการแปะสติ๊กเกอร์แสดงข้อความบอกวัน เวลาที่เข้ามาตรวจสอบ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้บริโภครู้ว่าเจ้าของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ตู้นี้มีการดูแล และควบคุมคุณภาพของน้ำหรือไม่ 3. การสังเกตกลิ่น สี รส : ผู้บริโภคควรตรวจดูสภาพของน้ำที่ได้จากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญเบื้องต้นด้วยตน เอง จากการสังเกตสี ความขุ่น-ใส กลิ่นและรสชาติของน้ำ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ใช้อยู่เป็นประจำ เมื่อน้ำที่ได้มามีกลิ่นหรือรสชาติของน้ำเปลี่ยน ก็ควรที่จะเปลี่ยนตู้ใหม่ หรือรอให้ตู้ที่ใช้อยู่เดิมนั้นได้รับการดูแลทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรอง เสียก่อน 4. ภาชนะบรรจุที่จะนำไปบรรจุน้ำดื่มจากตู้ : ควรเป็นภาชนะที่สะอาดและมีขนาดพอดีกับปริมาณน้ำที่ซื้อ 5. ไม่สัมผัสหัวจ่ายน้ำด้วยมือหรือวัสดุอื่นใด : เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคลงในน้ำดื่ม   __________________________________________________________________________ น้ำดื่มจากระบบรีเวอร์ส ออสโมซิส (Reverse Osmosis: RO) อันตรายจริงหรือ เนื่องจากน้ำจากตู้หยอดเหรียญส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า รีเวอร์ส ออสโมซิส (Reverse Osmosis: RO) ที่เคยมีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นน้ำดื่มที่มีอันตรายเพราะ เป็นน้ำดื่มที่มีความบริสุทธิ์สูงนั้น ในความเป็นจริงยังไม่มีวิจัยไหนมารับรองว่าการกินน้ำ RO จะทำให้เกิดโทษหรือเกิดประโยชน์ไปมากกว่าน้ำปกติ กระบวนการผลิตน้ำบริโภคด้วยระบบ รีเวอร์ส ออสโมซิส เป็นการกรองน้ำให้มีความบริสุทธิ์เกือบ 100% ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ได้น้ำที่สะอาดปลอดภัยวิธีหนึ่ง และไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตน้ำแบบใดก็ตาม หากน้ำผ่านการกรองที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยึดหลักเกณฑ์ตามองค์การอนามัยโลก น้ำนั้นจะไม่มีอันตราย __________________________________________________________________________ คุณภาพน้ำประปาที่ใช้อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้เหมาะกับการนำมาบริโภคหรือไม่?โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหิดล ตีพิมพ์ใน วารสารโภชนาการปีที่ 43 ฉ.1 มค.-มีค. 51 ถาม : คุณภาพน้ำประปาที่ใช้อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้เหมาะกับการนำมาบริโภคหรือไม่?ตอบ : กองอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย ศูนย์อนามัยสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ได้ทำการสำรวจคุณภาพน้ำบริโภคจากแหล่งต่างๆ คือ ประปาขนาดใหญ่ ประปาขนาดกลาง ประปาขนาดเล็ก บ่อบาดาล และบ่อตื้นทั่วประเทศ ยกเว้นในกรุงเทพมหานคร โดยสำรวจคุณภาพในแง่กายภาพ เคมี และแบคทีเรีย พบว่าน้ำบริโภคจากแหล่งน้ำเหล่านี้ประมาณร้อยละ 80 ไม่ได้มาตรฐาน แม้แต่ในกรณีประปาขนาดใหญ่ ซึ่งมีเพียงร้อยละ 27.2 ที่ได้มาตรฐานทั้ง 3 ด้านคุณภาพของน้ำประปาในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ได้มาตรฐาน ยกเว้นอีกประมาณร้อยละ 8 ที่จ่ายให้ในบางพื้นที่ซึ่งมีปริมาณน้ำประปาไม่เพียงพอ จึงต้องใช้น้ำบาดาลแทน น้ำบาดาลเหล่านั้นมักไม่ได้มาตรฐานทั้งในด้านกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย สรุปแล้วน้ำบริโภคจากทั้ง 5 แหล่งในชนบท มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเหมาะกับการบริโภค ส่วนน้ำประปาในเขตกรุงเทพมหานครประมาณร้อยละ 90 ได้มาตรฐาน   ถาม : การต้มหรือกรองน้ำประปาจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำให้เหมือนกับคุณภาพน้ำดื่มบรรจุขวดที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปได้หรือไม่? ตอบ : การต้มช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำและลดความกระด้างโดยเฉพาะในน้ำกระด้างชั่วคราว นอกจากนี้ยังช่วยลดกลิ่นคลอรีนด้วย คุณภาพจึงน่าจะใกล้เคียงกับน้ำดื่มบรรจุขวด ส่วนน้ำประปาที่ผ่านระบบกรองที่นิยมใช้อยู่ตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งก็ประกอบด้วยถ่านและเรซิน เหมือนกับกระบวนการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด ยกเว้นไม่มีขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือก๊าซโอโซน อย่างไรก็ตามถ้าน้ำประปาที่ใช้ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีนในปริมาณที่เพียงพอ น้ำที่กรองจากเครื่องมือเหล่านั้นก็มีคุณภาพใกล้เคียงกับน้ำดื่มบรรจุขวดเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 ฟังเสียงหัวใจ ผู้เสียหายทางการแพทย์

จาก 2516 ถึง 2552 เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง“พ่อออกมาจากห้องไอซียู ไม่เกิน 48 ชั่วโมงแบบที่หมอบอก พ่อก็จากพวกเราไปอย่างสงบ” ครอบครัวตันทวีวงศ์ เสียบุคคลอันเป็นที่รักไปเมื่อ 5 เมษายน 2552 หากย้อนไปเมื่อปี 2516 ครอบ ครัวตันทวีวงศ์ก็เคยเสียบุคคลอันเป็นที่รักในฐานะแม่ไปด้วยสาเหตุคล้ายๆ กัน “ตอนนั้นแม่ไม่ได้ป่วยอะไรเลยนะ เพียงแค่แม่ต้องการไปเช็คสุขภาพเท่านั้นที่โรงพยาบาลเพราะแม่เป็นโรคหอบหืด หมอเลยทำการเช็คหัวใจด้วย เพราะอาจจะเป็นโรคหัวใจโตได้ แม่ก็นอนที่โรงพยาบาลเพื่อจะเช็คหัวใจให้ละเอียด พอเช้าวันรุ่งขึ้นโรงพยาบาลก็ทำการฉีดสีเพื่อตรวจหัวใจ แล้วแม่ก็ช็อคเพราะแม่แพ้และจากไปในวันนั้น ซึ่งทำให้ทุกคนช็อคมาก เพราะด้วยวัยและสุขภาพของแม่ที่แข็งแรงดี แค่การเข้าไปตรวจสภาพร่างการเท่านั้น ทำให้ครอบครัวต้องเสียโอกาสในชีวิตไปหมด” อภิญญา ตันทวีวงศ์ เผยลิ้นชักความทรงจำถึงการจากไปของแม่ด้วยอายุเพียง 34 ปี หลังจากมีลูกสาวให้พ่อได้เชยชม 3 คนในวัยไล่เลี่ยกันพี่สาวคนโต 9 ขวบ น้องสาววัย 3 ขวบ และเธอ 6 ขวบ พ่อจึงกลายเป็นแม่ในอีกบทบาทหนึ่งของครอบครัว และเลี้ยงลูกมาโดยลำพัง และเธอยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นนำความทุกข์ และชิงโอกาสต่างๆของคำว่าครอบครัวไปจากเธอ เมื่อเธอเติบโตขึ้นเธอเคยถามพ่อว่า ‘เคยคิดที่จะฟ้องหมอไหม’ พ่อตอบว่าเคยคิด แต่ครั้นปรึกษาผู้ใหญ่แล้ว การยื่นฟ้องศาลถือเป็นเรื่องใหญ่มาก และองค์การด้านสิทธิผู้บริโภคก็ยังไม่เกิด การฟ้องรังแต่จะสร้างภาระให้กับครอบครัวเพิ่มมากขึ้น พ่อจึงไม่เอาความหมอแต่ความทุกข์นั้นก็ไม่ได้หายไปจากใจของพ่อ และทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่เลี้ยงลูกจนเติบโตทั้งสามคน หลังจากล้มเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 ด้วยวัย 81 ปี พ่อของอภิญญาเส้นเลือดในสมองซีกซ้ายแตก ครอบครัวพาพ่อส่งโรงพยาบาลที่พ่อมีสิทธิประกันสังคม ซึ่งถึงแม้พ่อจะออกจากงานแล้วก็ส่งมาตลอด ระหว่างนั้นลูกๆ ก็เฝ้าพยาบาลพ่อจนออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้ จากนั้นก็ฟื้นฟูด้วยการพาไปทำกายภายบำบัดอยู่เสมอๆ จนเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน พ่อของเธอมีการเกร็ง กระตุก และชัก เธอจึงพาพ่อส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง ครั้นถึงโรงพยาบาล แพทย์มองว่าพ่ออยู่ในภาวะวิกฤตจึงนำตัวเข้าห้องไอซียู และติดตามดูอาการในห้องไอซียู 48 ชม.เพื่อป้องกันการชักซ้ำ ซึ่งอาจทำให้สมองขาดออกซิเจนได้ในขณะชัก หลังจากนั้นพ่อก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านโดยทุกคนในครอบครัวช่วยกันดูแลใกล้ชิดพ่อตลอดเวลา ซึ่งถึงแม้พ่อจะไม่กลับมาเดินได้อีกครั้งแต่พ่อก็รู้สึกตัว มีสติ จำทุกคนได้หมด จนพ่อมีอาการเกร็งกระตุก อีก 2 ครั้ง ในเดือนกันยายนและตุลาคมซึ่งก็ได้รับการดูแลที่ดีจากโรงพยาบาลมาโดยตลอด ปลายปี 2551 โรงพยาบาลแห่งนี้ก็จะออกจากประกันสังคม ทางครอบครัวจึงมองหาโรงพยาบาลใกล้บ้านไว้เพราะหมอได้บอกไว้ว่า อาการพ่อของเธอนั้นเมื่อเกิดอาการชัก เกร็ง ซึ่งเป็นลักษณะอาการของคนที่เส้นเลือดในสมองแตก จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้สมองได้รับความเสียหายและอาจเสียชีวิตได้ ทางครอบครัวจึงเลือกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสังกัดประกันสังคม ย่านถนนรามคำแหง ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 15 – 20 นาทีก็ถึงโรงพยาบาล และด้วยความเป็นห่วงพ่อ ทางครอบครัวจึงพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ดังกล่าว เพื่อจะได้มีการทำประวัติและบันทึกอาการของพ่อของเธอไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน เพื่อเตรียมการในกรณีป่วยฉุกเฉิน แล้วภาวะนั้นก็มาถึง วันที่ 19 มีนาคม 2552 พ่อของเธอชักอีกครั้ง และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้ใช้สิทธิที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ “พ่อชัก เกร็งกระตุก ด้วยอาการแบบนี้ เราก็รีบนำตัวพ่อส่งโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลเวลา 9.45 น. ก็ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินและฉีดยากันชักให้ พร้อมห่มผ้าให้พ่ออย่างหนา ซึ่งทำให้เราไม่เห็นว่าพ่อยังชักอยู่ไหม ยังมีการเกร็งอยู่หรือเปล่า แล้วก็วัดความดันเป็นครั้งคราว เราก็ยืนอยู่ข้างเตียงพ่อแล้วก็ถามว่าจะรักษาพ่อต่ออย่างไร เขาบอกต้องทำซีทีสแกนสมองก่อน สักพักเวลา 10.30 น. เขาก็พาพ่อไปทำซีทีสแกนและส่งขึ้นหอผู้ป่วยตอน 11 โมงแล้วก็ตรวจวัดความดันอีกเช่นเดิม ไม่มีหมอมาตรวจ มีเพียงพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้น สักเที่ยงก็เลยไปถามพยาบาลว่า ‘เมื่อไรหมอประจำวอร์ดจะมาดูอาการ’ พยาบาลบอกว่าหมอไปทำธุระที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ จะเข้ามาดูอาการหลังบ่าย 3 แต่หมอสั่งยาทางโทรศัพท์ไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง เราก็กังวลละสิทีนี้ ระหว่างนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องรออย่างอดทน สักบ่าย 2 บุรุษพยาบาลก็มาวัดความดันพ่ออีกครั้ง ครั้งนี้ความดันพ่อสูงเกิน 200 แต่พยาบาลก็ไม่ได้ทำอะไร ได้แต่บอกว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ป่วยแบบนี้ สักพักพ่อก็ตาค้าง ไม่มีสติ เราก็ขอร้องให้พยาบาลตามหมอมาที พยาบาลก็โทรไปหาหมอเล่าอาการของพ่อ แล้วหมอก็สั่งให้พยาบาลฉีดยาให้กับพ่อเพิ่ม พ่อก็ยังเกร็ง และกระตุกอยู่ จนบ่ายสามโมงครึ่ง หมอก็มาดูอาการของพ่อ บอกว่าผลซีทีสแกนออกมาแล้ว พ่อมีน้ำคั่งในโพรงสมอง แต่เขาช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองเป็นหมออายุรกรรมทั่วไป ต้องให้หมอด้านสมองมาดู ซึ่งหมอสมองนี่ก็เป็นคุณหมอพาร์ทไทม์อีก ไม่รู้จะมาเมื่อไร เราก็โห...นี่รอหมอมาครึ่งค่อนวัน แล้วยังช่วยอะไรไม่ได้อีก” เมื่อรู้ว่าการรอคอยอย่างอดทนกว่า 7 ชั่วโมง ที่มีชีวิตของพ่อเป็นเดิมพันไม่มีสัญญาณที่ดี เธอจึงขอย้ายพ่อไปรักษาอีกโรงพยาบาลในย่านเดียวกัน ก่อนจะย้ายทางโรงพยาบาลนั้น หมอบอกกับเธอว่าพ่อของเธออยู่ในภาวะวิกฤตต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขณะย้าย ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายได้ พร้อมส่งเอกสารให้เธอเซ็น 1 ฉบับ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงชุลมุนเธอก็ยังมีสติที่จะอ่าน ซึ่งใจความบอกว่า จะไม่เอาความและไม่ฟ้องร้องโรงพยาบาลหากเกิดความเสียหายเกิดขึ้น และเธอก็ใช้นาทีชุลมุนเก็บเอกสารนั้นมาด้วย เพราะเธอมองว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่โรงพยาบาลจะทำแบบนี้ ถ้าหากเป็นญาติผู้ป่วยรายอื่นๆ อาจจะเซ็นไปแล้วก็ได้เพราะเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเร่งรีบและอาจเกรงว่าถ้าไม่เซ็นโรงพยาบาลจะไม่ให้พาตัวออกไปก็เป็นได้ บ่ายสี่โมงครึ่ง พ่อของเธอก็ถึงอีกโรงพยาบาล ซึ่งขณะนั้นพ่อของเธออยู่ในภาวะหัวใจวาย และโคม่า จึงถูกนำตัวเข้าห้องไอซียู และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา  ตลอด 15 วันที่พ่อนิ่งสนิทไม่รู้สึกตัว เธอและครอบครัวอยู่ดูแลไม่ห่างถึงแม้จะเข้ามาเยี่ยมได้บางเวลาเท่านั้น แต่ก็อยู่ที่หน้าห้องไอซียูเสมอ การงานที่เคยทำของลูก หนังสือที่เคยเรียนของหลาน ความกังวลใจต่างๆ นานา ถาโถมเข้าสู่ครอบครัวตันทวีวงศ์อีกครั้ง ทำให้เธอเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบการรักษาพยาบาล เมื่อคราวแม่และเมื่อคราวของพ่อ ที่ระยะเวลาห่างกันถึง 37 ปี แต่เหตุการณ์คล้ายๆ กันก็ยังเกิดขึ้น “หมอเรียกพวกเราไปคุยและบอกว่าพ่อจะไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้วนะ ถึงแม้พ่อจะฟื้นขึ้นมา เพราะสมองของพ่อขาดออกซิเจนนานเกินไปแล้วตั้งแต่ก่อนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้ ต้องเป็นผู้ป่วยนอนเตียงเวลากินก็กินทางสายยาง การรับรู้ก็น้อยมากเพราะสมองเสียหายไปมากตั้งแต่ตอนเริ่มชัก และทางเลือกที่มีอยู่ก็คือการเจาะคอเพื่อที่จะให้อาหารและให้อากาศ เพื่อให้พ่อมีชีวิตอยู่ได้ พอได้ฟังแบบนั้นเราก็ปรึกษากัน หาข้อมูลต่างๆ ว่าจะทำอย่างไร เราจะยอมให้พ่อตื่นขึ้นมาทุกครั้งแล้วอยู่กับความเจ็บปวดไหม ของที่ชอบก็ไม่ได้กิน หายใจเองก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายพวกเรายอมให้พ่อจากไป ยอมให้หมอถอดเครื่องช่วยหายใจและย้ายพ่อมารักษาที่ห้องพักฟื้นผู้ป่วย ไม่เกิน 48 ชั่วโมง พ่อก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางลูกหลานครบทุกคน” เธอเล่าถึงนาทีสุดท้ายที่ได้อยู่กับพ่อ หลังการจากย้ายโรงพยาบาลมาอยู่โรงพยาบาลใหม่ อภิญญาบอกว่าทางโรงพยาบาลเดิมก็มาเยี่ยม และส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจา เพราะเธอไม่ได้ส่งใบสัญญานั้นคืนให้โรงพยาบาล  ด้วยหลักฐานต่างๆ ที่เธอมีมันพร้อมที่จะเอาผิดโรงพยาบาลได้ แต่เธอเลือกที่จะไม่ฟ้องหมอหรือโรงพยาบาล เธอหวังเพียงจะให้เกิดการรักษาพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และเพื่อปกป้องผู้ประกันตนคนอื่นๆ อยากให้เกิดการกำกับดูแลมาตรฐานโรงพยาบาลนั้นที่มีการบันทึกเวชระเบียนที่เป็นเท็จหลังจากเธอยื่นขอเวชระเบียนไป เหตุการณ์นี้ทำให้เธอนำเรื่องเข้าร้องเรียนต่อประกันสังคม สุดท้ายหลังการเจรจา ทางโรงพยาบาลยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นทั้งหมดราวๆ 340,000 บาท “ญาติที่ฟ้องหมอหรือโรงพยาบาล จริงๆ แล้วไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการเห็นอะไรบางอย่างต้องการความรับผิด ต้องการการดูแลที่ดีจากโรงพยาบาล ต้องการวัดใจกันว่าทางโรงพยาบาลรู้สึกสำนึกไหมกับสิ่งที่ทำลงไปไหม ก็รู้สึกเสียใจที่พาพ่อส่งโรงพยาบาลผิด ถ้าเราพาพ่อส่งโรงพยาบาลถูกพ่อก็จะอยู่กับเราต่อ ถึงแม้ญาติๆ จะมีความรู้บ้างแต่ถึงที่สุดแล้วความรู้ความเชี่ยวชาญจริงๆ ก็ต้องเป็นหมอ และอีกอย่างการรักษาพยาบาลก็ไม่ใช่การซื้อของที่ไม่พอใจก็ไปซื้อที่อื่น ในขณะที่พ่อชักอยู่ก็พาพ่อขึ้นรถไปโรงพยาบาลอื่น มันไม่ใช่ เราไม่ฟ้องหมอหรือโรงพยาบาล เราเพียงแค่อยากให้มีการควบคุมดูโรงพยาบาล อยากให้ประกันสังคมเข้าไปควบคุมดูแลให้สมกับเงินที่จ่ายให้ประกันสังคมทุกเดือนๆ หน่อย เราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก อยากให้เรื่องของพ่อเป็นบทเรียนในการปรับปรุงบริการ ถ้าหมอมองว่าผู้ป่วยจะใช้โอกาสที่เขาพลาดเพื่อฟ้องเรียกเงิน 10 ล้าน 20 ล้าน มันไม่ใช่เลย ความสูญเสียต่างๆ มันเกิดขึ้น อย่างโรงพยาบาลทำแม่ตาย ถ้ามองว่าเราสูญเสียอะไรบ้าง เราเสียโอกาสการได้รับการเลี้ยงดูที่ดี เสียคุณภาพชีวิต เสียแม่ ซึ่งถ้าหากจะคิดเป็นตัวเงินเพื่อฟ้องร้องตอนนั้นมันก็มีเหตุผลที่ฟ้องร้องกันได้ ถ้าเทียบกับกรณีของพ่อ ค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลต้องจ่ายมันเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากๆ “พอเห็นหน้าเขาก็ดีใจนะ ดีใจที่เขาเกิดมาปกติ ไม่พิการ” เนื้องอกที่มีหัวใจ ของบังอร มีประเสริฐ “แม่ใครน่ะ ใครเหรอ” น้องอาร์มแฝดคนน้องเซ้าซี้ถามบังอร มีประเสริฐ ผู้เป็นแม่ด้วยความใคร่รู้ว่าแม่พูดโทรศัพท์กับใคร ส่วนน้องอั้มแฝดคนพี่ นั่งคลอเคลียไม่ห่างแม่  ลูกชายแฝดวัย 8 ขวบของบังอร  ที่ครั้งหนึ่งหมอมีคำวิจฉัยว่าเขาสองคนเป็นเนื้องอกในมดลูกของบังอรเมื่ออยู่ในท้องได้ 6 เดือน ย้อนไปเมื่อปี 2545 เดือนเมษายน บังอร มีประเสริฐ รู้อึดอัดแน่นท้อง อีกทั้งท้องก็โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลังจากเธอมีลูกชายให้สามีได้เชยชมแล้ว 1 คน บังอรก็กินยาคุมมาตลอด 9 ปี จึงแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งท้องอย่างแน่นอน แต่อาการผิดปกติทำให้กังวล เธอจึงให้สาธิต  นาคขันทอง ผู้เป็นสามี พาไปตรวจที่สถานีอนามัยปากมาบ แต่ด้วยความจำกัดด้านอุปกรณ์ หมออนามัยจึงใช้การคลำท้องและพบว่ามีก้อนเนื้อภายในท้อง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเนื้องอกหรือว่าบังอรตั้งท้องกันแน่ จึงแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล ผลการตรวจของโรงพยาบาลซึ่งตรวจด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ พบว่าบังอรไม่ได้ท้อง หมอจึงวินิจฉัยว่าเหตุที่บังอรท้องโตนั้นเกิดจากเนื้องอก ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงทำการผ่าตัดเพื่อผ่าตัดเนื้องอกในท้องของบังอร แต่แล้วหลังการผ่าตัดที่หมอวินิจฉัยว่าเป็น “เนื้องอก” นั้นแท้จริงแล้วเป็นเด็กแฝด 2 คนอยู่ในมดลูกของบังอรที่ขณะนี้มีอายุครรภ์ถึง 6 เดือนแล้วหลังการผ่าตัดคุณหมอได้ออกมาแสดงความยินดีกับครอบครัวของบังอรที่หน้าห้องผ่าตัดว่า ‘ยินดีด้วย เพราะบังอรไม่ได้เป็นเนื้องอกในท้อง แต่บังอรท้องเด็กแฝด’ กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ไม่มีอะไรต้องกังวล ‘ไม่มีอะไรต้องกังวล’ แต่กลับเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลและความลำบากให้กับครอบครัวของบังอรเป็นอย่างมาก การตั้งท้องดูจะเป็นเรื่องยากเย็นที่สุดของผู้หญิงแล้ว แต่บังอรอุ้มท้องลูกแฝด  ซ้ำร้ายกว่านั้นเป็นท้องที่มีแผลผ่าตัดที่ยาวกว่าคืบ การจะพลิกตัวแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องที่แสนสาหัสสำหรับบังอร  อีกทั้งกังวลว่าแผลจะปริออกด้วยเพราะท้องเธอก็โตขึ้นทุกวันๆ  ตลอดระยะ 3 เดือน ที่รักษาแผลให้หายจนผ่าตัดคลอด สามีจึงต้องคอยอยู่ดูแลบังอรเกือบจะตลอดเวลา งานรับจ้างและทำประมง ด้วยรายได้ 2 คนที่ตกวันละ 200 – 300 บาท จึงมีอันต้องหยุดลง และประทังชีวิตครอบครัวด้วยการหยิบยืมเงินเพื่อนบ้านเพื่อเลี้ยงปากท้อง ในเดือนกรกฎาคม 2545 น้องอั้มและน้องอาร์ม ลูกชายฝาแฝด ของบังอรก็ลืมตาดูโลก ร่างกายสมบูรณ์ดีด้วยน้ำหนัก 3 ก.ก. กรัม เมื่อแรกคลอดทั้งคู่ ซึ่งเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเดิม หากแต่ว่าเปลี่ยนหมอในการผ่าตัด “พอเห็นหน้าเขาก็ดีใจนะ ดีใจที่เขาเกิดมาปกติ ไม่พิการ” ความกังวลของบังอรหมดไป 1 เปาะ แต่มีอีกเปาะที่เธอยอมรับว่าท้อเหลือเกินในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเยียวยา ความผิดพลาดของทางโรงพยาบาล 23 พฤษภาคม 2545 บังอรได้ได้ยื่นเรื่องต่อปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้พิจารณาชดเชยค่าสินไหม ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2535 เพราะเธอถูกผ่าท้องฟรีและได้สร้างความวิตกกังวลว่า การผ่าท้องที่เกิดขึ้นจะทำให้ส่งผลกระทบต่อลูกแฝดในท้องหรือไม่ เธอเฝ้ารอผลการร้องเรียนด้วยใจหวัง แต่แล้ววันที่ 5 พฤศจิกายน 2545 ผลที่ออกมาทำให้เธอถึงกับเข่าอ่อน นั่นเพราะว่าสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขบอกว่าการผ่าตัดของหมอนั้นเหมาะสมแล้ว และนั่นเป็นการผ่าท้องเพื่อวินิจฉัยโรค ไม่ใช่การรักษาโรค ทำให้เธอสงสัยว่าเดี๋ยวนี้เขาวินิจฉัยโรคกันอย่างนี้เลยหรือ หลังจากได้ฟังคำตอบจากสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เธอไม่เชื่อว่านั่นเป็นการวินิจฉัยโรค เธอยังคงตามหาความเป็นธรรมต่อไปด้วยการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเมื่อต้นปี 2546 เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และขอให้หมอที่ทำการผ่าตัดเธอ และโรงพยาบาลร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับครอบครัวของเธอเป็นเงิน 500,000 บาท แต่เธอก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะวันที่ 18 มีนาคม 2546 ศาลปกครองกลางไม่รับฟ้อง ในเรื่องให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย แต่ก็ทำให้ใจเธอชื้นขึ้นมาบ้างเพราะศาลยอมรับคำฟ้องในข้อหาขอให้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานปลัดฯ 3 ปีผ่านไป บังอรกลับมาใช้ชีวิตด้วยอาชีพรับจ้าง และทำประมง เลี้ยงครอบครัวดังเช่นปกติ โดยคดีของเธอยังคงดำเนินต่อไป และวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 ผลการรับคำฟ้องไปเมื่อ 3 ปีก็ออกมาว่าศาลยกฟ้อง เพราะกระบวนการในการออกคำสั่งของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว 29 มิถุนายน 2549 เธอจึงยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด และการรอคอยก็ผ่านไปอีก 1 ปี 15 สิงหาคม 2550 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาออกมาว่า การผ่าตัดเธอนั้นถือเป็นการกระทำละเมิด และให้โอนคดีของเธอกลับไปยังศาลยุติธรรม จังหวัดที่เกิดเรื่องนั่นก็คือที่จังหวัดสมุทรสงคราม  วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 เธอจึงยื่นเรื่องฟ้องศาลใหม่อีกครั้ง ในที่สุด 15  พฤษภาคม 2551 ก็มีการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยเกิดขึ้นระหว่าง ครอบครัวของบังอร โดยมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคไป ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย ซึ่งทราบว่าหมอที่ทำการผ่าตัดบังอรได้เสนอค่าเยียวยาเธอมาเป็นจำนวนเงิน 80,000 บาท ซึ่งการฟ้องครั้งนี้ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคและบังอร ต้องการให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ได้ต้องการรับค่าเสียหายจากหมอ จึงยื่นข้อเสนอสำนักงานปลัดจ่ายไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท วันที่ 23 พฤษภาคม 2551 จึงมีการเจรจาไกล่เกลี่ยอีกครั้ง โดยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดยินดีที่จะรับผิดชอบแทนสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอยากจะยุติเรื่องราวทั้งหมด เพราะส่วนตัวแล้วหมอเองก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา จึงยินดีช่วยเหลือเยียวยาค่าเสียหายและเป็นทุนการศึกษาให้กับลูกชายทั้งสองของบังอร เป็น 120,000 บาท  สุดท้ายวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 บังอรได้รับการชดเชยเยียวยาจำนวนเงิน 140,000 บาท กว่า 6 ปีของเส้นทางการตามหาความยุติธรรมของบังอร เธอบอกว่าระยะเวลาการต่อสู้นานขนาดนี้ ทำให้เธอท้อมาก “พอเห็นหน้าเขาก็ดีใจนะ ดีใจที่เขาเกิดมาปกติ ไม่พิการ” แต่ยาใจสำคัญที่ทำให้เธอมีแรงสู้ต่อก็คือ “ลูก” ของเธอนั่นเอง และเธอหวังว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ซึ่งกำลังรอพิจารณาอยู่ในสภาฯ ขณะนี้จะมีส่วนในการช่วยลดความขัดแย้งระหว่างหมอกับผู้ป่วย และจะมีกระบวนการเยียวยาที่รวดเร็ว รวมถึงน่าจะช่วยพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยด้วยเช่นกัน -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรื่องเล่าจากหัวใจพ่อ กลางดึกวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 ขวัญอุทัย แสนทายก ในฐานะพ่อ กำลังส่งใจไปยื้อหัวใจลูกสาวคนเล็ก “น้องครีม” วัย 1 ขวบ 22 วัน ที่เต้นแผ่วลงทุกทีๆ ในห้องรักษาของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องยื้อหัวใจที่ยังเต้นตุบๆ หากแต่ว่าสลายไปแล้วของ สริชญา ติดสันโดษ  ภรรยาของเขา ที่ร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่หน้าห้อง “หมอบอกว่าลูกเราจะไม่เป็นไร แต่ทำใจดีๆ ไว้นะ” คำปลอบของเขากลับทำให้ภรรยาร้องไห้หนักขึ้น ด้วยคำว่า “ทำใจดีๆ” และนั่นเป็นถ้อยคำที่ดีที่สุดแล้วของเขา  ย้อนไปเมื่อเช้าของวันที่ 6 กรกฎาคม ย่าพาน้องครีมมาหาหมอด้วยอาการอาเจียนและถ่ายท้องอย่างหนัก หลังหมอตรวจอาการแล้ว บอกว่าเป็นไวรัสลงกระเพาะ ไม่เป็นอะไรมากให้กลับไปพักที่บ้านได้ ในขณะที่ขวัญอุทัย ซึ่งลางานมาเฝ้า “น้องคริส” ลูกสาวแฝดผู้พี่ที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอยู่ก่อนหน้า 2 วันแล้วด้วยอาการเดียวกัน รู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้างหลังรู้ว่าลูกสาวคนเล็กไม่เป็นอะไรมาก ทว่าตกเย็นวันนั้น “น้องครีม” อาการทรุดลงขึ้นจึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง โดยโรงพยาบาลนำตัวไปที่ห้องฉุกเฉินและปล่อยให้รออย่างนั้นกว่า 1 ชั่วโมง โดยไม่มีการตรวจรักษา ขวัญอุทัยจึงขอปรอทจากพยาบาล มาวัดไข้ลูกเองซึ่งปรอทขึ้นถึง 38 องศา ทำให้เขากังวลว่าน้องครีมจะช้อคเพราะน้องเคยช้อคมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อไข้ขึ้นถึง 39 องศา หลังวัดไข้เสร็จ “น้องครีม” ก็เปลี่ยนจากการงอแง เป็นเริ่มนิ่งแบบไม่ตอบสนอง เขาจึงขอให้หมอและพยาบาลช่วยรักษาให้หน่อย จึงได้รับการตอบสนองโดยพยาบาลนำตัวน้องครีมไปเช็ดตัว จนน้องเริ่มตัวเย็นลงแล้วก็ให้มาอุ้มไว้เช่นเดิม จนเวลา 4 ทุ่ม ทางโรงพยาบาลจึงให้เข้าพักรักษาตัว และพักอยู่เตียงใกล้ๆกับ “น้องคริส” แฝดผู้พี่ “มันเป็นช่วงเวลาการรอคอยที่ยาวนานมากครับ ไปตั้งแต่ 5 โมงเย็น กว่าจะได้ขึ้นไปห้องผู้ป่วยในก็ 4 ทุ่ม แต่ก็อุ่นใจครับเพราะเตียงอยู่ใกล้ๆกันกับพี่สาวของเขา ทำให้ดูแลได้ง่ายขึ้น น้องครีมจะแข็งแรงกว่าพี่สาว อย่างครั้งนี้ก็เหมือนกันพี่สาวเขาเป็นหนักกว่า” ขวัญอุทัยย้อนเล่าเหตุการณ์ที่เขาไม่อาจลืมได้ แต่แล้วขณะแม่น้องครีมกำลังให้นมอยู่กับอก ไข้ขึ้นสูงและเกิดอาการช็อค นักศึกษาแพทย์ที่กำลังจะเช็ดตัวให้ ก็รีบนำตัวเข้าห้องรักษา นักศึกษาแพทย์ก็กรูกันเข้าไปช่วยกัน โดยไม่มีหมอประจำการอยู่ที่นั่น จนเวลาผ่านไปกว่า 45 นาที ที่นักศึกษาแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจ สักครู่ก็มีคนเข้ามา และบอกให้เขาทำใจ… สุดท้ายน้องครีมจากไป เวลาตี 1 วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2552 ด้วยสาเหตุระบุว่า “หัวใจล้มเหลว” “คือเหมือนหัวใจผมมันสลายไปแล้ว" ตอนแรกผมก็อุ่นใจเพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาล เกิดอะไรขึ้นก็จะช่วยเหลือได้ทัน แต่พอถึงเวลาฉุกเฉินจริงๆ กลับช่วยเหลือไม่ได้เลย ผมเชื่อว่าลูกผมไม่ได้ตายเพราะโรค เพราะครั้งหนึ่งน้องเคยช้อคมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ได้รับการช่วยเหลือทัน แต่ครั้งนี้ กดกันจนหน้าอกช้ำแล้วหมอก็ไม่มีอยู่เวร การเยียวยาหลังการเสียชีวิตของน้องครีมครอบครัวของขวัญอุทัย ขอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นคิดไว้ว่าหากไม่ยอมดำเนินการอะไรต่อเรื่องการเสียชีวิตของ “น้องครีม” ทางครอบครัวก็ตกลงกันว่าจะฟ้องร้องให้ถึงที่สุด ด้วยหวังว่าอยากให้ทางโรงพยาบาลปรับปรุงบริการ และดูแลเอาใจใส่คนอื่นๆให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะแสดงอาการเจ็บป่วยหรือไม่ ก็ควรจะดูแลไม่ควรที่จะเพิกเฉยต่อการรักษาและควรจะมีทีมหมอพร้อมถึงแม้จะเป็นวันหยุดยาว ไม่ใช่ปล่อยไปแบบนี้ พร้อมเรียกค่าเยียวยาและค่าเลี้ยงดูไป 290,000 บาท ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 ซึ่งขณะนั้นลูกสาวคนโตยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หลังการเข้าพบทางโรงพยาบาลมีการเรียกประชุมผู้บริหาร และเข้าเจรจากับครอบครัวขวัญอุทัย พร้อมให้การดูแลน้องคริสเป็นอย่างดี และชดเชยเยียวยาค่ารักษาพยาบาลเต็มจำนวนที่เรียกไปในวันที่ 22 ตุลาคม 2552 “ผมว่าถ้าเขาดูแลน้องครีมดีแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก การสูญเสียทั้งสองฝ่ายก็ไม่เกิดขึ้น เพราะเงินที่นำมาชดเชยให้ผมก็เป็นเงินจากภาษีประชาชนนั่นเอง และเงินจำนวนเพียงเท่านี้ถ้าเทียบกับชีวิตของลูกสาวผม มันเทียบกันไม่ได้เลย” นอกจากการได้รับการเยียวยาจากทางโรงพยาบาลแล้ว ครอบครัวของขวัญอุทัย ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 41 ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ยื่นเรื่องไปที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในเดือนเดียวกันและได้รับการเยียวยาในวันที่ 21 มกราคม 2553 จำนวนเงิน 200,000 บาท อีกหนึ่งชีวิตที่ยังเหลืออยู่ เมื่ออีกหนึ่งชีวิตจากไป อีกสามชีวิตที่อยู่จะอยู่ต่ออย่างไร แม่น้องครีมบอกเพียงว่า ไม่อยากจะพูดถึง เธอบอกได้เพียงเท่านั้น หยาดน้ำตาก็รื้นขึ้นมาเล่าเรื่องราวแทนถ้อยคำ “มันพูดยากครับ เพราะเขาสองคนเคยเล่นอยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน แล้วชีวิตคู่แฝดเขาจะมีความสัมพันธ์กัน เขาก็จะไปเล่นกับลูกของเพื่อนบ้าน มีอะไรเขาก็แบ่งปันให้ เขาคงคิดว่าเป็นน้องของเขาเวลาเห็นหน้าน้องคริส แล้วจะคิดถึงน้องครีมตลอด คือเราจะคิดว่าถ้าน้องครีมยังอยู่นะโตเท่านี้แล้วนะ พ่ออุ้มคนนั้น แม่อุ้มคนนี้ คือมัน…ขาดไปหลายอย่าง อืม…ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีครับ” เขาหยุดผ่อนลมหายใจอีกครั้งและนั่นเป็นการอธิบายที่ดีแล้วสำหรับเขา ถึงแม้จะผ่านไปกว่า 1 ปีแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงชัดเจนสำหรับเขาเสมอ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 115 รู้ทันสินค้าราคา sale!

รู้ไหมว่า การซื้อสินค้าลดราคา ก็ไม่คุ้มค่าเสมอไป ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอพาผู้อ่านไปรู้เท่าทันกลยุทธการส่งเสริมการขายของร้านค้าปลีก ทั้งโดยสำรวจตลาดคนเดินถนน เพื่อรวบรวมกลวิธีการติดป้ายบอกราคาที่ชวนให้เข้าใจผิดของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าบางคน และตลาดติดแอร์ โดยเจาะลึกถึงช่วงเวลาการส่งเสริมการขายของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Big C, Robinsonและ Central & Zen ฉลาดซื้อสำรวจตลาดนัดสวนจตุจักร จากการสำรวจการติดป้ายราคาของร้านค้าปลีกขนาดเล็กในตลาดนัดสวนจตุจักร (สำรวจเมื่อวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2552) พบว่ามี 7 ร้านที่มีการติดป้ายราคาที่คลุมเครือไม่ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. การเขียนป้ายราคาขนาดใหญ่ในราคาถูก เห็นชัดเจนเพียงป้ายเดียวในร้าน แต่ราคานั้นไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทั้งร้าน (พบ 5 ร้าน) 2. การเขียนป้ายราคาขายผลไม้ที่ราคากิโลกรัมละ 30 บาท โดยเขียนคำว่า “ครึ่ง” ด้วยตัวอักษรขนาดเล็กมาก และคำว่า “โล 15” ขนาดใหญ่มาก (พบ 2 ร้าน) 3. รถเข็นขายสตรอเบอรี่สดใส่แก้ว เขียนป้ายราคาด้วยเลข “20” เมื่อเข้าไปถามราคาผู้ขายจะรีบตักพริกเกลือราดสตรอเบอรี่ในแก้ว พร้อมกับบอกราคาว่า 40 บาท เมื่อสอบถามก็จะบอกว่า “20 คือราคาต่อขีด ในแก้วนี้ 2 ขีดก็ 40 บาท” รถเข็นขายมะม่วงหั่นใส่ถุงพร้อมน้ำจิ้ม ติดราคา “10” เมื่อซื้อ มะม่วง 1 ถุงคนขายคิดราคา 30 บาท เมื่อสอบถามผู้ขายบอกว่า 10 บาท คือราคาน้ำจิ้ม ถ้าซื้อมะม่วงด้วยก็ 30 บาท (พบ 2 ร้าน) *กรณีร้านสตรอเบอรี่ที่ตลาดนัดจตุจักรนี้ มีผู้บริโภคหลายรายที่ถูกเอาเปรียบ บางรายพยายามจะคืนสินค้าและเอาเงินคืนผู้ขายก็จะแสดงสีหน้าไม่พอใจและต่อว่าผู้ซื้อเสียงดังเพื่อให้ผู้ซื้ออาย และไม่กล้าต่อรอง(*อ้างอิงจาก http://babyfancy.com/printer_friendly_post.asp?TID=58138) 4. ร้านขายเสื้อผ้าที่คนขายมักจะบอกว่า “ลดราคา วันสุดท้าย” อยู่เสมอ แม้ไปสำรวจครั้งที่ 2 ร้านเดิมก็ยังบอกว่า “ลดราคา วันสุดท้าย” (พบ 1 ร้าน)ดังนั้นการซื้อสินค้าทุกครั้งเราควรถามราคาพ่อค้าแม่ค้าให้แน่ใจก่อนจะซื้อสำหรับใครที่ซื้อสินค้าเพราะหลงกลเจ้าป้ายราคาแบบนี้แล้วอยากคืนสินค้า ฉลาดซื้อแนะนำว่า ถ้าการเขียนป้ายราคานั้นทำให้เราเข้าใจผิดอย่างเจตนา ก็เจรจาขอคืนสินค้ากับแม่ค้าโดยตรงเลย เรามีสิทธิคืนได้ เพราะเขาทำผิดพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคแน่นอน ถ้าเขาไม่ยอม และเราไม่แน่ใจว่าเขาผิดหรือไม่ เก็บหลักฐานไว้แล้วโทรไปปรึกษากับกรมการค้าภายใน เพื่อดำเนินการร้องเรียนได้เลยค่ะที่สายด่วน 1569   ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จากการสำรวจการส่งเสริมการตลาดของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ได้แก่ BigC, Robinson และ Central&Zen ที่มีการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐตลอดทั้งปี 2552 โดยเลือกเฉพาะการส่งเสริมการขายในช่วงเวลาพิเศษต่างๆ ดังนี้     8 วิธีปฏิบัติ เมื่อเจอป้ายโปรโมชั่น1. นับ 1- 10 ก่อน พร้อมถามตัวเองว่าสินค้านั้นมีความจำเป็นต่อเราหรือไม่ ถ้ายังตอบไม่ได้ นับถึง 20 เลยก็ได้ 2. สำรวจเงินในกระเป๋าให้มั่นใจก่อนว่า เมื่อซื้อสินค้าแล้วจะยังมีเงินใช้ไปจนตลอดสิ้นเดือน 3. ตั้งงบประมาณในการซื้อสินค้าไว้ก่อน ถ้าราคาสินค้าเกินกว่านั้น ตัดใจก่อนดีกว่า 4. คำนวณดูว่าลดราคาครั้งนี้ ลดกี่เปอร์เซ็นต์ คุ้มค่าไหม 5. เช็คดูสภาพสินค้ากันก่อนดีกว่า สภาพยังดีอยู่หรือเปล่า ตรวจดูทุกซอกทุกมุม อย่าลืมดูวันผลิตและวันหมดอายุด้วย 6. ถ้าเป็นสินค้าที่มีขายหลายๆ ร้าน ยอมเสียเวลาสักนิดไหม เดินไปดูราคาที่ร้านอื่นก่อน ถ้าถูกกว่า คุ้มกว่าจริง ค่อยกลับมาซื้อ 7. เห็นป้ายโปรโมชั่นติดอยู่ไม่ตรงกับสินค้าที่จะซื้อ สอบถามพนักงานให้มั่นใจก่อนว่าสินค้าที่จะซื้ออยู่ในโปรโมชั่นด้วยหรือไม่ 8. ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีการลดราคา แล้วอยากจะซื้อจริงๆ แนะนำให้ไปซื้อในวันแรกๆ ของการลดราคา เพราะจะมีโอกาสเลือกสินค้ามากกว่าและได้สินค้าที่มีคุณภาพดีกว่าวันหลังๆ ค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 114 สินค้าตราห้าง..ราคา “ถูก”นี้ ใครได้? ใครเสีย?

เดี๋ยวนี้เวลาเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าไม่ว่าจะเป็นห้างฯ ไหนๆ “สินค้าตราห้าง” หรือเรียกกันอีกชื่อว่า“สินค้าเฮาส์แบรนด์” (House Brand) ที่ผลิตและจำหน่ายเฉพาะในห้างฯ นั้นๆ เช่น ยี่ห้อบิ๊กซี คาร์ฟูร์ เทสโก้ท็อปส์ โฮมเฟรชมาร์ท ฯลฯ ก็มักวางขายให้เราเห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และราคาก็มัก “ถูก” ล่อตาล่อใจยิ่งนัก ผู้เขียนเองยังอยากลองซื้อสินค้าตราห้างมาใช้หลายครั้ง เผื่อจะช่วยประหยัดตังค์ในกระเป๋าอันบางๆ ลงบ้าง(ฮา) แต่ติดอยู่ที่รู้สึกไม่มั่นใจในคุณภาพสินค้าสักเท่าไร สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ควักตังค์ซื้อสินค้าตราห้างมาลองใช้สักทีคราวนี้ได้โอกาส บก. บอกให้ไปซื้อสินค้าตราห้างมาทดสอบคุณภาพดู ฉลาดซื้อฉบับนี้ จึงขอพาคุณผู้อ่านช้อปปิงตระเวนซื้อสินค้าตราห้างตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ มาพิสูจน์กันว่าสินค้าตราห้างจะมีคุณภาพ “ดี” สักแค่ไหน แถมตีตั๋วฟรีลัดเลาะข้ามฟากไปฟังเสียงจากฝั่งของผู้ผลิต ผู้ประกอบการห้างฯ และมุมมองนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์กันดูบ้าง ให้รู้ไปว่าสินค้าตราห้างที่ว่าขายได้ในราคาถูกนั้น มัน “ถูก” มาจากปัจจัยอะไร? ส่งผลดีผลเสียต่อใคร? อย่างไร? ถ้าพร้อมแล้วไปตะลุยหาคำตอบพร้อมๆ กันเลย.....   คุณภาพไม่ต่าง แต่ราคาได้ใจผู้บริโภค ฉลาดซื้อสำรวจพฤติกรรมการซื้อและความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าตราห้างของผู้บริโภคในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งหมด 295 คน เป็นหญิงร้อยละ 72.9 ชาย ร้อยละ 27.1 อยู่ในช่วงอายุ16 - 25 ปี ร้อยละ48.5 ช่วงอายุ 26-35 ปี ร้อยละ 34.2 มีผู้บริโภคที่ใช้สินค้าตราห้างมากถึงร้อยละ 80.7 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระดาษชำระ ผงซักฟอก เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส ฯลฯ เหตุผลที่ใช้สินค้าตราห้าง “ราคา” เป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจเลือกซื้อ คิดเป็นร้อยละ 73.6รองลงมาคือ ปริมาณ ร้อยละ 23.4 และคุณภาพร้อยละ 18 เปรียบเทียบคุณภาพกับราคาของสินค้าตราห้างที่ใช้ ร้อยละ 35.9 ระบุว่าคุณภาพดีสมราคา ในขณะที่ร้อยละ 29.8 บอกว่าคุณภาพต่ำสมราคา เคยเจอปัญหาเกี่ยวกับการใช้สินค้าตราห้างหรือไม่ ร้อยละ 55.9 บอกไม่เคย อีกร้อยละ 21 เคย ปัญหาที่พบ เช่น วุ้นเส้นไม่เหนียวนุ่ม บรรจุภัณฑ์ชำรุด มีแมลงในขนมปัง น้ำยาซักผ้าเจือจางต้องใช้ปริมาณมาก ฯลฯ พบปัญหาแล้วทำอย่างไร ร้อยละ 14.6 ของผู้เคยเจอปัญหาเลิกใช้สินค้าตราห้าง ร้อยละ 7 ใช้สิทธิร้องเรียน อีกร้อยละ 5.8 เฉยๆ ไม่ทำอะไร สาเหตุที่สินค้าตราห้างมีราคาถูก ร้อยละ 51.5 คิดว่าเพราะไม่มีต้นทุนโฆษณาร้อยละ 27.5 คิดว่าวัตถุดิบคุณภาพต่ำ ร้อยละ 17.6 คิดว่าเป็นกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้า ต่อข้อคำถาม “คุณคิดว่าสินค้าตราห้างกับสินค้าทั่วไปมีคุณภาพต่างกันหรือไม่ อย่างไร” ร้อยละ 27.8 คิดว่าไม่ต่างกัน ร้อยละ 62.7 บอกว่าสินค้าทั่วไปมีคุณภาพดีกว่าสินค้าตราห้าง มีเพียงร้อยละ 6.8 เท่านั้น ที่เห็นว่าสินค้าตราห้างมีคุณภาพดีกว่าสินค้าทั่วไป แสดงว่า แม้ราคาจะเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้บริโภคใช้สินค้าตราห้างก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้ามากเท่าไรนัก ฉลาดซื้อทดสอบฉลาดซื้อสุ่มทดสอบสินค้าตราห้างและไม่ห้างทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ถ่านอัลคาไลน์ AA, เมล็ดถั่วเขียว, กระดาษทิชชู, สมุดปกอ่อน และไม้จิ้มฟัน เป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ของผู้ค้าปลีกทั้งหมด 6 ราย ได้แก่บิ๊กซี คาร์ฟูร์ โลตัส ท็อปส์ เดอะมอลล์ วัตสัน (สำรวจแล้วบางรายก็ไม่มีสินค้าบางชนิด) และเป็นสินค้าทั่วไปในท้องตลาดอีก 2 ยี่ห้อส่วนเหตุผลที่นำสินค้าเหล่านี้มาทดสอบ เพราะเป็นสินค้าที่หาวิธีทดสอบได้ไม่ยาก ผู้บริโภคอย่างเราๆก็สามารถทดสอบเองได้ แต่ถ้าเป็นเหตุผลที่อาจดูดีหน่อยเพราะฉลาดซื้อเราเห็นว่าผู้บริโภคหลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ใส่ใจอะไรมากนักกับคุณภาพของสินค้าเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ซึ่งคงไม่มีใครมานั่งนับเสี้ยนไม้จิ้มฟัน ชั่งเมล็ดถั่วเขียว วัดความยาวกระดาษทิชชู ฯลฯแต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้นี่แหละที่เราไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เราจะได้รู้ว่าผู้ผลิตเขาจะซื่อสัตย์หรือเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ กับผู้บริโภคหรือไม่ ผลทดสอบ ถึงเวลามาปฏิบัติการล้วงลับหาคำตอบกันแล้วว่าสินค้าตราห้างกับสินค้าทั่วไปที่เราไปเลือกซื้อมา ดูกันว่าการทดสอบและผลที่ได้เป็นอย่างไรบ้าง เชิญติดตาม... - การทดสอบถ่านอัลคาไลน์ AA วิธีนี้ง่ายๆ แค่อาศัยความอดทนในการรอๆๆ แล้วก็รอจนกว่าไฟฉายจะดับ โดยนำถ่านมาใช้กับไฟฉายใหม่เปิดพร้อมกันทั้งหมด 7 ยี่ห้อในห้องสว่าง ยึดเวลาที่ไฟฉายดับครั้งแรกเป็นหลัก และนำเวลามาหาค่าเฉลี่ยถ้าราคา 1 บาทจะใช้ได้นานกี่นาที เราพบว่า ยี่ห้อที่ใช้งานกับไฟฉายได้นานที่สุดคือ เทสโก้ เวลา 4.18 ชม. ยี่ห้อที่ซื้อ 1 บาทแล้วคุ้มก็ยังเป็นเทสโก้ 21.06 นาที ส่วนยี่ห้อที่ใช้งานได้น้อยสุด คือ พานาโซนิค 10.24 นาที (ฉลาดซื้อทดสอบใช้ถ่านกับงานเบาเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงการใช้งานหนัก เช่น กล้องถ่ายรูปที่ต้องชาร์จพลังงานในการถ่ายแต่ละรูป การทดสอบแต่ละวิธีจึงอาจให้ผลต่างกันได้ เช่น ถ่านเทสโก้ ใช้กับไฟฉายได้นาน อาจใช้กับกล้องถ่ายรูปได้ไม่นาน ทางกลับกันถ่านวัตสัน ใช้กับไฟฉายได้ไม่นาน แต่อาจใช้กล้องถ่ายรูปได้นาน เป็นต้น ดังนั้นต้องพิจารณาด้วยว่า ความคงทนของถ่านขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานด้วยนะคะ) - การทดสอบกระดาษทิชชู หากใครยังพอจำได้ ฉลาดซื้อฉบับที่ 97 เราเคยทดสอบความยาวและคุณสมบัติการกระจายตัวในน้ำของกระดาษทิชชูไปแล้ว คราวนี้ก็เช่นกันแต่เราทดสอบกับสินค้าตราห้างด้วย โดยวัดความยาวหาค่าเฉลี่ยยี่ห้อละ 3 ม้วน และทดสอบคุณสมบัติการกระจายตัวในน้ำเพื่อดูความเปื่อยยุ่ย ซึ่งจะนำกระดาษทิชชูเป็นแผ่นมาแช่น้ำ 30 วินาที แล้วใช้นิ้วชี้สอดลงใต้แผ่นกระดาษดึงขึ้นมาด้วยแรงพอประมาณ เพื่อดูผลรอบแรกว่าเป็นอย่างไร จากนั้นก็แช่น้ำต่อไปอีก 30 วินาที ก่อนจะดึงขึ้นมาดูผลอีกครั้งว่ากระดาษทิชชูขาดรุ่ยหรือไม่ ผลออกมาเรื่องความยาวต้องยกนิ้วให้ผู้ผลิต เพราะทุกยี่ห้อมีความยาวมากกว่าที่ระบุไว้ในฉลาก ยี่ห้อที่มีความยาวเกินมามากที่สุด ได้แก่ พริมโรส วัดได้ 20.67 ม. เกิน 3.67 ม. แต่ความเปื่อยยุ่ยนั้นมีทั้งยอดเยี่ยมและยอดแย่ ยี่ห้อที่แช่น้ำ 30 วินาทีแรกเมื่อดึงขึ้นมาก็เริ่มแตกรุ่ย คือ ซิลค์ คอตตอน, โฮมเฟรชมาร์ท Economy และเทสโก้ ส่วนยี่ห้อที่เริ่มแตกรุ่ยเมื่อดึงขึ้นมาครั้งที่2 คือ บิ๊กซี ขณะที่พริมโรส, คาร์ฟูร์, ออริต้า และท็อปส์นั้น แม้จะแช่น้ำ 2 ครั้งก็ยังเป็นแผ่นอยู่ - การทดสอบสมุดปกอ่อน อาศัยวิชาเลขเล็กน้อยในการนับจำนวนแผ่นและชั่งขนาด แกรมของกระดาษสมุด โดยการทดสอบครั้งนี้ฉลาดซื้อใช้กระดาษรูปวงกลม มีพื้นที่ 95 ตร.ซม. นำไปชั่งและอ่านค่าที่ได้ (ขนาดแกรมที่ระบุไว้บนปกสมุดคือ น้ำหนักของกระดาษ เช่น ระบุว่า 60 แกรม ก็หมายถึงกระดาษหนัก 60 กรัมต่อ 1 ตร.ม. ก่อนนำกระดาษไปชั่งเราจึงย่อสัดส่วนลง อาจเป็นรูปวงกลมหรือรูปสี่เหลี่ยมที่ขนาดต้องเท่ากันทุกด้าน (กว้างxยาว) เช่น 10x10 ซม.) ผลออกมา ยี่ห้อที่มีขนาดแกรมน้อยกว่าที่ระบุไว้ในฉลาก คือ คาร์ฟูร์, อนุรักษ์ไทย, และลายไทย น้อยกว่า 5 แกรม ส่วนจำนวนแผ่นกระดาษนั้น ทุกยี่ห้อมีครบตามจำนวนที่ระบุ แต่ต้องรวมปกด้วยนะ ถ้าไม่นับก็จะขาดไป 2 แผ่น ยกเว้นเทสโก้แวลูที่ไม่ต้องนับรวมปก - การทดสอบเมล็ดถั่วเขียว ง่ายๆ แค่ชั่งน้ำหนักถั่วเขียวเทียบกับปริมาณที่ระบุไว้ในฉลาก และสุ่มทดสอบประมาณ 1 ถ้วย เพื่อคัดดูเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์มีรู/ครึ่งซีก และดูสิ่งแปลกปลอมที่ปะปนมา เช่น เศษดิน เมล็ดถั่วเขียวยี่ห้อที่มีปริมาณน้อยกว่าที่ระบุไว้ในฉลาก คือ ท็อปส์ นอกนั้นมีปริมาณมากกว่าส่วนยี่ห้อที่พบเมล็ดไม่สมบูรณ์มากสุด มีรูบ้าง ครึ่งซีกบ้าง คือ เทสโก้ จำนวน 163 เมล็ด และพบเศษดินขนาดเล็กปะปนมา 2 ยี่ห้อ คือ เทสโก้กับข้าวทอง - การทดสอบไม้จิ้มฟัน แค่นับไม้จิ้มฟันๆ ธรรมดา...แต่ก็ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เล่นเอาผู้นับตาเหลือกตาลายถึง 3 วัน 3 คืนมาแล้ว โดยนับจำนวนไม้จิ้มฟันทั้งหมด 7 ยี่ห้อ ยี่ห้อละ 2 แพ็ก นำมาเฉลี่ยเทียบกับปริมาณที่ระบุไว้ในฉลากและนับดูไม้จิ้มฟันที่มีเสี้ยน, ไม้แตกปลาย, ไม้ครึ่งซีก รวมทั้งวัดหาค่าเฉลี่ยความหนาบางของไม้จิ้มฟันโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ งานนี้ภูมิใจเสนอผล พบไม้แตกปลาย,เสี้ยนในทุกยี่ห้อ โดยคาร์ฟูร์พบมากที่สุด 163 ก้าน (จาก480ก้าน) และบิ๊กซี 120 ก้าน (จาก360 ก้าน) ส่วนยี่ห้อที่พบปริมาณไม้จิ้มฟันน้อยกว่าที่ระบุไว้ คือ ไผ่แดง มี 347 ก้าน(ระบุไว้ 360 ก้าน) ยี่ห้ออื่นแม้จะมีปริมาณมากกว่าที่ระบุก็ตาม แต่เมื่อคัดไม้แตกปลาย/เสี้ยนออกแล้ว เกือบทุกยี่ห้อเหลือปริมาณน้อยกว่าที่ระบุไว้เช่นกัน ได้แก่ คาร์ฟูร์, บิ๊กซี, โลตัส,ไผ่แดง ยกเว้นยี่ห้อแบมบีบู, ท็อปส์และโฮมเฟรชมาร์ท สรุปแล้วสินค้าตราห้างก็ไม่ได้มีคุณภาพแย่ตามราคาที่ถูกลงของมัน และบางทีคุณภาพก็อาจไม่ต่างกับสินค้าทั่วไปมากมายนัก แต่ผลนี้เป็นเพียงกลุ่มสินค้าที่สุ่มทดสอบเท่านั้น เพราะสินค้าแต่ละชนิด แต่ละยี่ห้อก็มีให้เราเลือกซื้อเลือกหากันมากมาย ท้ายที่สุดสินค้านั้นจะดีหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับการใช้งาน ความต้องการและที่สำคัญ คือการตัดสินใจของผู้บริโภคแต่ละคนนั่นเอง --------------------------------------------------------------------------------------------- ข้อสังเกต • ไม้จิ้มฟันยี่ห้อไผ่แดงจะมีขนาดใหญ่และค่อนข้างเท่ากันทุกก้าน ส่วนไม้จิ้มฟันยี่ห้ออื่นมีขนาดเล็กๆ บางๆ ไม่เท่ากัน สงสัยคงเพื่อให้ได้จำนวนมากๆ อย่างยี่ห้อคาร์ฟูร์ก่อนจะนำ มาหาค่าเฉลี่ยนั้น จากที่ระบุไว้ 480 ก้าน/แพ็ก นับจริงมีมากถึง 532 ก้าน หักลบไม้เสี้ยนไปก็เหลือแค่ 344 ก้าน• ฉลาดซื้อเพิ่งรู้เหมือนกันว่าขนาดกระดาษสมุดนั้น เจ้าหน้าที่โรงพิมพ์ที่ช่วยทดสอบเขาบอกว่าโดยทั่วไปผู้ผลิตเขาสามารถเผื่อขาดเผื่อเกินได้ 5 แกรม อย่างนี้ไม่รู้ว่าใครได้  เปรียบเสียเปรียบ แต่ที่รู้แน่ๆ ถ้าไม่ “เกิน” ก็ไม่ควรจะ “ขาด” ใช่หรือไม่?• สมุดส่วนใหญ่จะระบุจำนวนกระดาษไว้บนปกให้รู้ว่ากี่แผ่น แต่ไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่า “รวมปก” ด้วย มีเพียงยี่ห้อเทสโก้แวลูที่ระบุไว้ให้เรารู้ว่า “รวมปก”• สมุดยี่ห้ออนุรักษ์ไทยไม่ได้เป็นสินค้าตราห้าง สงสัยราคาจะแพงที่ปกซึ่งเป็นกระดาษอาร์ตพิมพ์สี จำนวนแผ่นกระดาษข้างในก็เลยมีน้อยกว่ายี่ห้ออื่น• ขณะสำรวจเลือกซื้อ สินค้าตราห้างส่วนใหญ่มีตำแหน่งอยู่บนชั้นวางในระดับสายตาใกล้ๆ กับสินค้าแบรนด์ดังๆ โดยโทนสีของบรรจุภัณฑ์ หีบห่อจะดูละม้ายคล้ายคลึงกัน ราคา“ถูก” ที่ใคร?ฉลาดซื้อเคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมสินค้าตราห้างส่วนใหญ่มักมีราคาถูก บ้างก็ว่าไม่มีต้นทุนโฆษณา บ้างก็ว่าวัตถุดิบคุณภาพต่ำ ผู้ผลิตถูกกดขี่จากห้างค้าปลีกบ้าง ว่ากันไปสารพัดแง่มุม ข้อมูลจากนิตยสารผู้จัดการรายวันเคยนำเสนอผลศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทยถึงผลกระทบจากการผลิตสินค้าตราห้างว่า ผู้ผลิตรายใหญ่จะต้องทุ่มงบฯ เพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคภักดีต่อยี่ห้อของตัวเองมากขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตรายย่อยที่มักรับผลิตสินค้าตราห้างก็อาจมีรายได้จากการผลิตสินค้าขาย โดยที่ไม่ต้องทำการตลาดเอง แต่ผู้ผลิตที่มีสินค้าของตัวเองอยู่แล้วหากรับผลิตสินค้าตราห้างอีกก็เท่ากับเป็นการผลิตสินค้าแข่งกับสินค้าตัวเอง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวก็คือ ถ้าห้างค้าปลีกมีคู่แข่งน้อยลงหรือคู่แข่งหมดไป ก็อาจเกิดอำนาจผูกขาดทำให้เป็นผลเสียต่อผู้บริโภคได้ ฉลาดซื้อเราจึงสอบถามไปยังผู้ผลิตและผู้ประกอบการห้างค้าปลีก มาดูกันสิว่าพวกเขาจะให้คำตอบแบบ “ตรงๆ” กับเราอย่างไรบ้าง เสียงที่ “ไม่ค่อยได้ยิน” จากผู้ผลิต• การผลิตสินค้าตราห้างได้รับผลกระทบหรือไม่?“ทำธุรกิจก็ต้องทำใจ 50 - 50” ผู้ผลิตรายหนึ่งให้สัมภาษณ์และว่า บางธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ บางธุรกิจอาจไม่ได้รับ แล้วแต่ประเภทการแข่งขันสินค้า “ธุรกิจอื่นๆ ผมไม่รู้นะว่าได้รับผลกระทบหรือไม่ ถ้าเป็นสินค้าที่แข่งขันกันสูงก็อาจได้รับผลกระทบ สำหรับผมเป็นธุรกิจที่รับจ้างผลิตสินค้าอยู่แล้ว ก็เลยไม่เสียเปรียบ แต่ก็เคยถูกกดดันเรื่องราคาเหมือนกันคือ บางครั้งถูกขอลดราคาลงเรื่อยๆ ถูกมากๆ แบบรับไม่ได้ ทางเรามีสิทธิปฏิเสธนะ ถ้ารับไม่ไหวจริงๆ เราจะปฏิเสธ ก็เจรจาตกลงกันได้ ไม่เสียเปรียบอะไร” • “มันเป็นธุรกิจแบบพึ่งพาอาศัยกัน”ผู้ผลิตรายนี้บอกว่า “ทางเราชอบผลิตสินค้าขายให้กับห้างฯ เพราะมีความปลอดภัยด้านการเงิน และข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ห้างฯ เขาจะเข้ามาตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เราสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าและผู้บริโภคก็มั่นใจได้ มันเป็นธุรกิจแบบพึ่งพาอาศัยกัน” • แล้วสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพล่ะ?“เราควบคุมคุณภาพมาตรฐานในการผลิตสินค้าทุกขั้นตอน และไม่ได้ตั้งใจให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น สินค้าบางตัวอาจมีตำหนิบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ผลดีมันมากกว่าผลเสีย ผู้บริโภคก็ไม่เสียหายอะไรมาก เราทำสุดความสามารถ ทำให้ลูกค้าซื้อไปแล้วจะต้องไม่ขาดทุน” • “ถ้าอนาคตห้างฯ กลายเป็นหนึ่งเดียว...” นี่คือคำบอกกล่าวของผู้ผลิตรายนี้ที่แอบรู้สึกหวาดกลัวคือ การว่าจ้างผู้ผลิตจากต่างประเทศของห้างค้าปลีกรายใหญ่ๆ ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก อาจทำให้ต่างชาติกลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของผู้ผลิตภายในประเทศได้ “เรื่องผูกขาดน่ากลัวมาก ถ้าอนาคตห้างฯ กลายเป็นหนึ่งเดียว เขาอาจติดต่อกับต่างประเทศจ้างผู้ผลิตเข้ามาแข่งกับผู้ผลิตในประเทศเราได้” เสียงของผู้ผลิตอีกรายหนึ่งกล่าวถึงการผลิตสินค้าตราห้างคล้ายๆ กันว่า เป็นผลดีกับผู้บริโภคด้านราคา เพราะบางคนต้องการของถูก ส่วนผลกระทบต่อผู้ผลิตนั้นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจสินค้าและลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ต่างกันเช่นกัน แต่ผู้ผลิตรายเล็กๆ คงเสียเปรียบเพราะไม่สามารถผลิตสินค้าของตนแข่งขันได้ แต่คำตอบที่ได้รับจากผู้ผลิตรายนี้กลับตรงข้ามกับรายแรก คือ การกำหนดเงื่อนไขในการผลิตสินค้าของห้างฯ ทำให้เกิดผลกระทบในทางลบมากกว่า “แน่นอน เราถูกบีบกดดันเรื่องข้อกำหนดในการผลิตสินค้า ทางห้างเขาจะเป็นผู้กำหนดควบคุมการผลิตตามที่เงื่อนไขที่เขาวางไว้ อย่างบางครั้งอยากได้คุณภาพดีแต่จะเอาราคาถูก เราก็แย่สิ ทางเราก็มีมาตรฐานการผลิตเกรดเดียวกันหมดอยู่แล้ว” อีกฟากฝั่งจากผู้ประกอบการห้าง คุณมนธชา สุดอำพัน รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกิจการบรรษัทสื่อสารองค์กร ของเทสโก้ โลตัส• สินค้าราคาถูกมีปัจจัยมาจากอะไร?คุณมนธชาบอกว่า 3 ปัจจัยที่ทำให้สินค้าตราห้างมีราคาถูก คือหนึ่ง ไม่มีค่าการทำโฆษณาเหมือนสินค้าที่เห็นทั่วๆ ไปในท้องตลาด เนื่องจากมีร้านเป็นของตนเอง เวลาคนเดินเข้ามาในห้างฯ คนก็เห็นสินค้า จึงไม่จำเป็นต้องโฆษณา สอง ไม่มีค่าวางสินค้าบนชั้นวาง ซึ่งโดยปกติการจำหน่ายสินค้าทั่วไปจะมีเรื่องของค่าจัดตำแหน่งในจุดที่น่าสนใจเพื่อให้ได้อยู่จุดที่ดีกว่าคู่แข่ง สาม สินค้าไม่ได้ผ่านคนกลาง เพราะผลิตโดยตรงจากโรงงานไม่มีการส่งต่อกันหลายทอด ทำให้ราคาต่อหน่วยถูกกว่าสินค้าทั่วไป • บางคนคิดว่าราคาถูกเพราะวัตถุดิบคุณภาพต่ำ?“ถ้าคุณภาพไม่ดีและผู้บริโภคไม่พึงพอใจ มันไม่ได้เสียเฉพาะสินค้าตัวนั้น แต่มันเสียไปทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่เราระวังมาก เราจะช่วยเหลือซัพพลายเออร์ในเรื่องของการทำสินค้าให้ได้มาตรฐาน ทั้งเรื่องเทคนิคการผลิต การทดลองสินค้า เรามีการตรวจโรงงานที่ผลิตสินค้าให้เราเป็นประจำทุกๆ ปีอยู่แล้ว มันทำให้เรามั่นใจว่าคุณภาพสินค้าของเราดี” • แต่ผู้ผลิตบางรายไม่ชอบการกำหนดเงื่อนไข?“มันต้องอยู่ที่การยอมรับตรงนี้ด้วย เพราะว่าผู้ผลิตหลายๆ รายก็ยินดี เพราะว่าตัวของเขาเองก็มีขั้นตอนการผลิตที่มีการรับรองคุณภาพอยู่แล้ว เราจะกรองโรงงานก่อนที่จะให้ผลิต ถ้ามาตรฐานได้อยู่แล้ว อาจจะปรับอีกนิดหนึ่งให้สามารถผลิตให้ดีขึ้น หรือมาตรฐานดีอยู่แล้วก็แค่ผลิตเพิ่มเท่านั้นเอง” • กดขี่ผู้ผลิต?“ถ้าเข้มงวดน่ะใช่ คิดว่ามันน่าจะเป็นผลดีกับผู้ผลิตมากกว่า ทำให้เขาสามารถใช้เครื่องจักรหรือแรงงานคนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น,,,หมายความว่าโรงงานเขาสามารถผลิตงานได้มากขึ้น มีรายได้มากขึ้น ” • เคยประสบปัญหาหรือมีเรื่องร้องเรียนหรือไม่“มีบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องของคุณภาพหรือความที่ไม่ปลอดภัย เช่น เบเกอรี่ อย่างครัวซองส์ อาจจะอบสีคล้ำหรือสีอ่อนไป ผู้บริโภคก็จะบอกว่าไม่น่าทานหรือว่าอาจจะเป็นสินค้าที่ไม่เป็นไปตามสเป็ก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกคัดออกไปก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค วิธีการจัดการก็คือว่า เราจะคัดกรองให้เรียบร้อยก่อนอยู่บนชั้นวาง ถ้ามันหลุดรอดมาก็จะรีบจัดการดึงออก หรือถ้าผู้บริโภคไม่พึงพอใจในสินค้าก็เอามาคืนได้ในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญไปดูที่โรงงานด้วย เพราะว่าเราไม่อยากให้เกิดซ้ำอีก” • ทิศทางและแนวโน้มของการผลิตสินค้าตราห้างอนาคตธุรกิจของการผลิตสินค้าตราห้างจะเป็นอย่างไรนั้น คุณมนธชาบอกว่า “จะต้องดูตลาดว่าความต้องการของผู้บริโภคอยู่ตรงไหน คงจะขยายไปตามความต้องการของผู้บริโภคมากกว่า สินค้าตัวไหนที่ผลิตออกมาแล้วขายไม่ดีหรือผู้บริโภคอาจจะไม่นิยมก็จะเลิกผลิตเหมือนกัน” คุณฤดี เอื้อจงประสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ของบิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์เมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้สินค้าตราห้างมีราคาถูก คุณฤดีให้คำตอบเช่นเดียวกับโลตัสว่า “เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายงบด้านการตลาด เพราะอาศัยแบรนด์ของทางห้าง จึงทำให้สินค้ามีราคาถูกลง 20-30 เปอร์เซ็นต์” ส่วนที่หลายคนคิดว่าอาจเป็นเรื่องของวัตถุดิบคุณภาพต่ำนั้น คุณฤดีบอกว่า “ไม่ค่ะ เพราะหากมองโดยภาพกว้างแล้ว สินค้าพวกนี้มันจะเป็นโลโก้ของบริษัท มันน่าจะเป็นตัวการันตีของสินค้าพวกนี้ไปในตัว นอกจากนี้โรงงานที่ผลิตจะต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน”• กดขี่หรือสร้างผลกระทบให้กับผู้ผลิต?“คิดว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยนะคะ ในตัวของซัพพลายเออร์เราจะมองด้านเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของกำลังการผลิต อย่างโรงงานหนึ่งอาจจะมีกำลังการผลิตร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาอาจจะขายภายใต้แบรนด์ของเขาได้เพียงแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ เขาก็ผลิตสินค้าตราห้าง มันน่าจะทำให้เขาสามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ มันจึงไม่น่าจะมีปัญหานะคะ” • ผู้ผลิตบางรายบอกว่าถูกกดดันเงื่อนไขมากเกินไป“เหตุผลที่ทางห้างต้องตรวจสอบคุณภาพในการพัฒนาสินค้าตราห้าง เป็นเพราะเรามองว่าสินค้าตราห้างเป็นสินค้าที่ลูกค้าจับตามองอยู่แล้ว การผลิตสินค้าตราห้างให้ลูกค้ามีความชอบหรือมีความไว้วางใจ มันจะต้องมากกว่าเนเชอรัลแบรนด์ด้วยความที่มันไม่ได้ทำการตลาด เราต้องการสร้างความพึงพอใจในสินค้าตราห้างให้กับลูกค้า” • ที่ผ่านมามีปัญหาหรือมีเรื่องร้องเรียนหรือไม่?“ไม่ค่อยมีนะคะ มันเป็นเรื่องของแนวทางป้องกันมากกว่า เพราะสินค้าตราห้างมันเป็นภาพลักษณ์ของบริษัทอยู่แล้ว แนวทางแก้ไขของเราคือ จะตรวจสอบทันที เราเน้นความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ บางอย่างถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนให้ เราจะดูว่าปัญหามันเกิดตรงไหน เกิดจากแหล่งผลิตหรือเปล่า แต่เรามีการดูแลควบคุมที่เคร่งครัดอยู่แล้ว ปัญหาไม่ค่อยเกิดขึ้น” ขอบคุณภาพจากhttp://www.apacnews.net • ผูกขาดในอนาคต?“คิดว่าไม่น่าจะถึงวันนั้น คนไทยเป็นคนที่ชอบความหลากหลาย จะเห็นว่าสินค้าแต่ละชนิดมีซัพพลายเออร์หลายเจ้า แต่เรามองเพียงแค่ว่าเราอยากเป็นหนึ่งในทางเลือกให้กับลูกค้า”• แนวโน้มทิศทางของการผลิตสินค้าตราห้าง?“อยากเน้นเซ็กเมนต์ให้มันเพิ่มมากขึ้น เพราะเรามองว่ามีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว สิ่งที่จะพัฒนาต่อไปคือ ต้องเป็นสินค้าคุณภาพดี คุณภาพสูง” มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ รศ.หงษ์ฟ้า ทรัพย์บุญเรือง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)• ผลกระทบต่อผู้ผลิต?อาจารย์หงส์ฟ้ากล่าวเช่นเดียวกันกับผู้ผลิตว่า ผลกระทบนั้นขึ้นอยู่กับการแข่งขันแต่ละธุรกิจสินค้า “บางรายรับจ้างผลิต อาจจะเป็นผลดีต่อผู้ผลิตด้วยกันเอง เพราะผู้ผลิตสามารถเอาปัจจัยการผลิตต่างๆ มาผลิตสินค้า เมื่อจำนวนผลิตมากขึ้นราคาก็ต้องถูกลง เขาจึงสามารถต่อรองลดราคาให้กับผู้ที่มาว่าจ้างได้ มันน่าจะเป็นผลดีมากกว่า ยกเว้นว่าผู้ผลิตรายนั้นเป็นเจ้าของเดิมที่ขายสินค้าตนเอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” • ผลกระทบในระยะยาวต่อผู้บริโภค?“อะไรก็ตามที่เป็นไปโดยกลไกตลาดและมีการแข่งขันย่อมมีเรื่องราคาและคุณภาพของสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง หากวันใดที่ห้างสามารถครองตลาดหรือกีดกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาผลิตแข่งได้ตอนนั้นผู้บริโภคจะเริ่มเสียเปรียบ” •แสดงว่าอาจเกิดการผูกขาดได้ในอนาคต?“ไม่คิดว่าจะถึงวันนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วสินค้าอุปโภคบริโภครายวัน ไม่ว่าจะเป็นแชมพู สบู่ เป็นอะไรต่างๆ ลักษณะของสินค้าไม่สามารถที่จะผูกขาดด้วยตัวมันเองได้ ไม่เหมือนกับน้ำมันหรือเหมืองแร่ที่มันผูกขาดและตั้งราคาได้ และหากห้างตั้งราคาเพิ่มทำให้ขายสินค้าได้กำไรดีจริงๆ ก็จะมีผู้ค้ารายย่อยเกิดขึ้นทันทีเข้ามาสู้แข่งขันกันอีก” • “สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของข้อมูลข่าวสาร”หากจะป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่หลายคนหวั่นวิตก อาจารย์หงส์ฟ้าบอกว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของข้อมูลข่าวสาร ถ้าข้อมูลข่าวผู้บริโภคไม่ชัดเจน คลุมเครือ ถูกหลอกโดยการโฆษณาว่าสินค้าชนิดนี้อร่อยมาก กินแล้วสุขภาพดี ในความจริงตัวต้นทุนสินค้าอาจแค่ 5 บาท แล้วขาย 500 บาท มันคือข้อมูลข่าวสารหลอก ถ้าคนรู้ว่าราคา 500 แต่ต้นทุน 50 บาท ก็จะมีผู้ผลิตเข้ามาแข่ง และผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้ารายเดิม ราคาจะสูงอย่างเดิมก็ไม่ได้ เพราะข้อมูลข่าวสารเริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งสคบ.ควรที่จะให้ข้อมูลข่าวสารตรงนี้” ลองมาดูอีกแง่มุมหนึ่งที่เราอาจไม่สามารถหาคำตอบได้จากผู้ผลิตกับอาจารย์ท่านนี้ รศ.ดร.สมดี หงส์ไพศาลวิวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ. • “ยิ่งถูก ยิ่งซื้อ ยิ่งทำให้ฟุ่มเฟือย...ท้ายที่สุดผู้บริโภคก็ตาย” อาจารย์สมดีบอกว่า อำนาจและความยิ่งใหญ่ของห้างสรรพสินค้าสามารถผลิตสินค้าต่างๆ สู่ตลาดและกำหนดราคาให้ถูกได้ เมื่อสินค้ามีราคาถูกในระยะสั้นๆ ก็จะเกิดผลดีต่อผู้บริโภค แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดการบริโภคมากขึ้น ยิ่งถูก ยิ่งซื้อ ยิ่งทำให้ฟุ่มเฟือย ยิ่งเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมห้างสรรพสินค้าผลิตสินค้าต่างๆ ออกมามาก ท้ายที่สุดผู้บริโภคก็ตาย • “เกิดการเอาเปรียบคนงาน...”“เมื่อห้างสรรพสินค้าบีบซัพพลายเออร์ให้ผลิตสินค้าที่มีราคาถูก ผู้ผลิตก็ไปบีบแรงงาน เกิดการเอาเปรียบคนงาน เพื่อลดต้นทุนในการผลิตลงอีกที ทำให้แรงงานมีรายได้กำไรน้อย สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ เดือดร้อนกันหมด เกิดการเอารัดเอาเปรียบในรูปของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ส่งผลทั้งในระยะสั้นและยาว”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 111 ลิขสิทธิ์ = ปิดโอกาส?

ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเราพูดถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์เรามักจะได้ยินกันจนชิน คือเรื่องของเทปผี ซีดี/ดีวีดีเถื่อน ที่ว่าด้วยการสูญเสียผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างสำนักพิมพ์ ค่ายหนัง ค่ายเพลง ฯลฯ เสียมาก แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่ค่อยได้พูดถึงกันมากนักคือเรื่องของลิขสิทธิ์จากมุมมองของผู้บริโภค เช่นเรื่องของโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ จากงานอันมีลิขสิทธิ์ที่มีราคาแพงเกินกว่าที่ผู้บริโภคในประเทศกำลังพัฒนาจะสามารถซื้อได้ หรือสิทธิในการทำสำเนาเพื่อแบ่งปันงานลิขสิทธิ์ที่ผู้บริโภคได้ซื้อมาอย่างถูกต้อง รวมถึงการขาดการสนับสนุนจากรัฐให้มีการสร้างหรือใช้ประโยชน์จากงานที่ทำขึ้นเพื่อประโยชน์สาธารณะที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการแบ่งปันอีกเป็นต้น การปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ค่อนไปทางการรักษาผลประโยชน์ของภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายขอบเขต/ระยะเวลาการคุ้มครอง การเพิ่มระดับการปราบปราม ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้วัสดุเพื่อการเรียนรู้มีราคาแพงขึ้นหรือหาได้ยากขึ้นสำหรับในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งยังต้องอาศัยการต่อยอดจากงานที่มีการสร้างสรรค์ไว้ก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ผู้บริโภคยังถูกปฏิเสธเสรีภาพในการใช้สินค้าในแบบที่ควรจะสามารถทำได้อีกด้วย ว่าแล้วเรามาดูกันว่าถึงวันนี้กฎหมายลิขสิทธิ์ของประเทศไหนจะรักษาสมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์กับการเข้าถึงความรู้ของผู้บริโภคได้ดีกว่ากัน A2K Global surveyสหพันธ์ผู้บริโภคสากล (Consumers International) ได้ทำการสำรวจความเป็นมิตรต่อผู้บริโภคของกฎหมายลิขสิทธิ์ของ 34 ประเทศจากทั่วทุกภูมิภาคของโลกในประเด็นต่อไปนี้ • ขอบเขต/ระยะเวลาคุ้มครอง  • อิสระในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ • เสรีภาพในการแบ่งปันและถ่ายโอน • การบริหารจัดการและบังคับใช้กฎหมายเราพบว่า• ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามมีกฎหมายที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภคมากกว่า (ในอันดับที่ 13 19 และ 20 ตามลำดับ)• สถานภาพทางเศรษฐกิจหรือระดับการพัฒนาไม่ใช่ตัวแปรชี้วัดการมีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ สวีเดน อเมริกา บังคลาเทศและอินโดนีเซียต่างก็อยู่ในสิบอันดับต้น  ในขณะที่อังกฤษและเคนย่าต่างก็เป็นหนึ่งในสิบอันดับยอดแย่• ประเทศส่วนใหญ่ยังทำคะแนนได้น้อยในเรื่องของเสรีภาพในการแบ่งปันและถ่ายโอน  ซึ่งหมายความว่า ประเทศเหล่านี้ควรเพิ่มงบประมาณในการส่งเสริมการสร้างงานที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ สนับสนุนการใช้ ครีเอทีฟ คอมมอน และซอฟท์แวร์แบบโอเพ่นซอร์ส และใช้ประโยชน์จากงานที่ยังไม่มีผู้อ้างสิทธิ์ให้มากขึ้น• โดยรวมแล้วสิ่งที่ประเทศเหล่านี้ทำได้ดีก็คือเรื่องของการเข้าถึงและการใช้โดยสื่อมวลชน (แต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคน้อยมาก เพราะสื่อเหล่านี้มีงบประมาณไว้สำหรับจ่ายค่าลิขสิทธิ์อยู่แล้ว) Top ten ประเทศที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์และการบังคับใช้ที่เอื้อต่อการเข้าถึงความรู้มากที่สุด 10 อันดับ1. อินเดีย2. เลบานอน3. อิสราเอล4. สหรัฐอเมริกา5. อินโดนีเซีย 6. อัฟริกาใต้7. บังคลาเทศ 8. โมรอคโค 9. สวีเดน 10. ปากีสถาน กฎหมายลิขสิทธิ์ของประเทศเหล่านี้ ระบุข้อยกเว้นไว้อย่างกว้างๆ ทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้งานจากงานอันมีลิขสิทธิ์ได้ สหรัฐอเมริกาและอิสราเอล เรียกข้อยกเว้นนี้ว่า “การใช้งานอย่างเป็นธรรม” ในขณะที่สวีเดนและเลบานอนเรียกว่า “การทำสำเนาเพื่อการใช้ส่วนตัว” (โดยไม่ได้ระบุว่าเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น ดังนั้นจึงสามารถใช้เพื่อการบันเทิงได้ด้วย) Bottom tenประเทศที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์และการบังคับใช้ที่เอื้อต่อการเข้าถึงความรู้น้อยที่สุด 10 อันดับ1. ชิลี2. จอร์แดน 3. อังกฤษ 4. เคนยา5. ไทย6. อาร์เจนตินา7. บราซิล8. แซมเบีย9. อียิปต์ 10. ญี่ปุ่น   ประเทศไทยได้เกรดเฉลี่ย C- โนอา เมทธินี  นักกฎหมายอาสาสมัครของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นนักวิจัยที่ทำการวิเคราะห์กฎหมายลิขสิทธิ์ของประเทศไทยในการสำรวจครั้งนี้บอกว่า โดยภาพรวมแล้วกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยยังไม่มีมาตรการในการรับมือกับการพัฒนาการทางเทคโนโลยีในสื่อใหม่ๆที่เกิดขึ้น เช่น การดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เนท รวมถึงยังไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้พิการในการเข้าถึงข้อมูลความรู้ต่างๆ เขาตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อไรก็ตามที่เราจะมีการแก้กฎหมายเพื่อลดช่องว่างดังกล่าว เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้บริโภคไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะประเทศไทยยังต้องการทำข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอย่างอเมริกาหรือกลุ่มประเทศอียู ซึ่งต้องการกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มขึ้น  ขณะนี้นักศึกษาสามารถทำสำเนาตำราเรียนเพื่อใช้ส่วนตัวได้ แต่ในอนาคตเมื่อมีการปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์แล้ว การจะทำสำเนาได้จะต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและยากขึ้น  ----- หมายเหตุ  ถ้าดูจากตาราง สหรัฐอเมริกาซึ่งจะทำข้อตกลงทางการค้ากับเราและเรียกร้องให้เรามีกฎหมายลิขสิทธิ์เข้มขึ้นนั้น ให้อิสระกับประชาชนในประเทศในการทำสำเนา และคัดลอกไฟล์ มากกว่าบ้านเรามากทีเดียว ประโยชน์ของภาคธุรกิจกับสิทธิผู้บริโภค ... สมดุลที่ต้องตามหา ภาคธุรกิจมักอ้างว่าควรมีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่เข้มไว้ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นจะได้รับความเสียหายจากเทคโนโลยีการแชร์ไฟล์ทางเน็ท แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการแชร์ไฟล์เป็นสาเหตุหลักของการขาดทุนของธุรกิจเพลง แต่มีหลักฐานว่าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพิ่มขึ้นสูงอย่างเป็นประวัติการณ์ในปี 2552 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ทางเลือกของภาคธุรกิจ• ในแคนาดา สมาคมนักแต่งเพลงของแคนาดาเสนอให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือน เพื่อให้คนสามารถแบ่งปันเพลงกันได้อย่างถูกกฎหมาย • บริษัทวอร์เนอร์สาขาประเทศจีน ออกแผ่นดีวีดีไม่กี่วันหลังภาพยนตร์ออกฉาย โดยจำหน่ายในราคาแผ่นละ 70 บาท• หลายประเทศให้ผู้บริโภคได้ฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์ผ่านแพลทฟอร์มดิจิตัลด้วยค่าบริการที่สมเหตุสมผล เช่น Spotify (www.spotify.com)  หรือ Hulu (www.hulu.com) เป็นต้น • ปล่อยฟรีไปเลย หรือที่เรียกกันว่าเป็นผลงานสังกัดค่ายเพลงอินเตอร์เน็ท (netlabel)  เช่น เพลงของ Radio Head หรือ Nine Inch Nails ซึ่งการปล่อยฟรีในที่นี้เท่ากับเป็นการโปรโมทให้ผลงานของตนเองเป็นที่รับรู้โดยผู้ฟังจำนวนมาก --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- COPY COPY COPY  เมื่อการทำสำเนามีค่าใช้จ่าย  ในแคนาดา เสปน ยูเครน สวีเดน จะคิดภาษีเพิ่มในอุปกรณ์เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ และที่ใช้สื่อบันทึก อย่างแผ่นซีดี ดีวีดีเปล่า เป็นต้นแต่นั่นยังเข้มไม่เท่าที่อิตาลี ที่ผู้บริโภคแต่ละครัวเรือนจะต้องจ่ายเงินเพิ่มถึง 100 ยูโร (ประมาณ 4,000 บาท) เพื่อ “สิทธิในการทำสำเนาเพื่อใช้เอง” ซึ่งได้แก่ภาษีที่ต้องเสียเมื่อซื้อซีดี ดีวีเปล่า เมมโมรี่สติ๊ก หรือมือถือมัลติมีเดีย และค่าธรรมเนียมในการดาวน์โหลดจากร้านเพลงออนไลน์ และภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ (ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ในการทำสำเนาด้วย) เราคงไม่ปฏิเสธว่าสังคมจะยั่งยืนได้ถ้าทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ได้โดยไม่ถูกจำกัด และสามารถร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะได้  ติดตามการรณรงค์เพื่อการเข้าถึงความรู้ของสหพันธ์ผู้บริโภคสากลและความเคลื่อนไหวขององค์กรสมาชิกได้ที่ http://a2knetwork.org/ ---พบกับผลสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาไทย เรื่องของอุปสรรคในการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์ได้ ในฉลาดซื้อฉบับ 112 (มิถุนายน)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 110 นั่งรถ(โดยสาร)กับใครปลอดภัยที่สุด

ทุกปีคนไทยราว 12 ล้านคน จำเป็นต้องใช้รถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด ทุกชีวิตเหมือนแขวนไว้บนเส้นด้าย ทุกเที่ยวการเดินทางเหมือนกำลังเสี่ยงดวงว่า จะรอดหรือจะเจ็บ-ตาย จากอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่ที่เกิดปีละ 3-4 พันครั้ง โอกาสรอด  โอกาสตาย ใครกำหนดแต่ละปีมีรถโดยสารสาธารณะขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุ 3-4 พันครั้ง/ปี โดย 1ใน3 เกิดกับรถโดยสารต่างจังหวัด และ 2ใน3 เกิดกับรถโดยสารใน กทม. เหตุการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุจากการโดยสารรถสาธารณะ พบได้หลายรูปแบบ เช่น พนักงานขับรถอย่างประมาททำให้รถพลิกคว่ำ พนักงานไม่ชำนาญเส้นทาง หรือ สภาพของรถที่เก่าและไม่ได้มาตรฐานทำให้ผู้โดยสารมีภาวะเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ อย่างเบาะหลุดออกจากตัวรถ โครงหลังคากดทับ กระจกปิดทึบไม่สามารถหนีออกมาได้กรณีไฟไหม้ ฯลฯ  ซึ่งในแต่ละครั้งแม้จะมีการระดมความคิดเพื่อหามาตรการที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ 1.การให้ใบอนุญาตเป็นรายเส้นทาง ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาระบบขนส่งที่มีคุณภาพ ปัจจุบันการกำกับดูแลรถโดยสารสาธารณะ(รถโดยสารประจำทาง) คือ คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยมีกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ออกใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบการ โดยดูแลเรื่องเส้นทางที่รถโดยสารประจำทางให้บริการ จำนวนรถที่ให้บริการ ความถี่ของการให้บริการและราคาค่าโดยสาร การให้ใบอนุญาตนั้นกรมการขนส่งทางบกจะพิจารณาจากความต้องการของประชาชนในการเดินทางเส้นทางนั้นๆ เป็นหลัก โดยที่จะให้ใบอนุญาตเป็นรายเส้นทาง ใบอนุญาตมีอายุ 7 ปี ถ้าผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตสามารถประกอบการได้ตามข้อกำหนดของกรมฯ ตลอดช่วงเวลา 7 ปี ก็สามารถขอต่ออายุใบอนุญาตได้ ลักษณะการให้ใบอนุญาตรายเส้นทาง เป็นสิ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมในการพัฒนาระบบรถโดยสารให้มีคุณภาพดีได้ เนื่องจากการเดินทางของประชาชนมีลักษณะซับซ้อน ระบบรถโดยสารที่ดีควรต้องมีการพัฒนาในลักษณะโครงข่ายเพื่อให้ประชาชนได้ไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ทั่วถึง หมายถึงว่าอาจต้องมีการเดินทางโดยรถโดยสารหลายต่อ(หลายเส้นทาง) หากผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตในลักษณะโครงข่ายก็จะสามารถพัฒนาคุณภาพในลักษณะการส่งต่อผู้โดยสารให้ถึงที่หมายได้อย่างเป็นระบบ แต่เมื่อได้รับใบอนุญาตเป็นรายเส้นทาง ผู้ประกอบการก็จะไม่พัฒนาคุณภาพการให้บริการ นอกจากเพิ่มความถี่ของการวิ่งเพื่อให้ได้จำนวนผู้โดยสารมากที่สุด ส่วนผู้โดยสารต้องไปต่อรถอะไรไปไหนก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนของผู้โดยสารเอง 2.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนอกจากการให้ใบอนุญาตรายเส้นทางทำให้ขาดการวางแผนในเชิงโครงข่ายและทำให้บริการไม่พัฒนา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่พยายามจัดหาหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่น  ทั้งทางเท้า ป้ายหยุดรถโดยสาร ไฟส่องสว่าง ระบบความปลอดภัย เพื่อจูงใจให้คนมาใช้บริการรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้น 3.รถร่วมบริการ ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาระบบความปลอดภัยปัจจุบันผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตในแต่ละเส้นทางจากกรมการขนส่งทางบก ส่วนใหญ่ไม่มีรถพอที่จะให้บริการได้เองทั้งหมด ต้องหาเอกชนรายอื่นมาร่วมให้บริการ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในภูมิภาคเป็นรถร่วมบริการมากกว่าร้อยละ 80 ข้อดีของการให้มีรถร่วมบริการคือ ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตมีรถโดยสารให้บริการอย่างเพียงพอ แต่ในปัจจุบันปัญหาด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการมาจากรถร่วมบริการนั่นเอง ในด้านความปลอดภัย รถร่วมบริการมีทุนในการประกอบการน้อย ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้ประกอบการรถร่วมไม่สามารถรับภาระค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุได้ ครั้นผู้เสียหายจะไปฟ้องร้องเอากับผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตก็เป็นเรื่องยากและกินเวลานาน ในส่วนของคุณภาพ ผู้ประกอบการรายย่อยที่มาร่วมให้บริการอาจมีรถเพียงหนึ่งหรือสองคัน ในขณะที่เส้นทางนั้นมีรถให้บริการอยู่หลายคัน ผู้ประกอบการรถร่วมมักไม่ค่อยคำนึงถึงคุณภาพการให้บริการของตัวเอง เพราะทุนต่ำอีกทั้งการพัฒนารถของตัวเองอาจไม่เกิดประโยชน์แก่รายได้ของตัวเอง เนื่องจากผู้โดยสารอาจเลือกขึ้นรถคันอื่นที่วิ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน 4.การกำกับดูแลมาตรฐานและความปลอดภัย ยังไม่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ดี แต่เนื่องจากระบบกำกับดูแลยังขาดความชัดเจน ทำให้เวลาเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียมหาศาลทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน เกณฑ์มาตรฐานและการบังคับใช้ต่างๆ จึงยังไม่สามารถทำได้อย่างทั่วถึง ส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากรูปแบบของการประกอบกิจการรถโดยสารสาธารณะเป็นรูปแบบการให้บริการของเอกชน เป็นการประกอบการเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการต้องอาศัยค่าโดยสารเป็นรายได้หลัก แต่อัตราค่าโดยสารถูกควบคุมโดยภาครัฐ ดังนั้นถ้าเส้นทางที่ผู้ประกอบการให้บริการอยู่มีจำนวนผู้โดยสารน้อย การกวดขันเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยก็ทำได้อย่างยากลำบาก เพราะผู้ประกอบการไม่มีทั้งศักยภาพและแรงจูงใจเพียงพอที่จะลงทุนในการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น การจัดหารถโดยสารที่ได้มาตรฐานมาให้บริการ การติดตั้งเข็มขัดนิรภัย การจ้างพนักงานขับรถที่ชำนาญเส้นทางและเพียงพอต่อการให้บริการ เป็นต้น อย่างไรก็ดีแนวโน้มของคนที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะกลับมีจำนวนที่ลดลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบายขึ้น ประชาชนมีรถยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้น รวมทั้งความไม่มั่นใจในคุณภาพการให้บริการของรถโดยสารสาธารณะในปัจจุบัน ดังนั้นการจะพัฒนาให้ระบบรถโดยสารสาธารณะได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อประชาชนจำนวนกว่า 12 ล้านคน จำเป็นต้องปฏิรูประบบการขนส่งสาธารณะทั้งระบบ ข้อมูล : เอกสารประกอบการเสวนา “ความปลอดภัยและมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะช่วงเทศกาลสงกรานต์” วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2553 โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ  เรื่อง ความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการของรถโดยสารประจำทาง ความสำคัญของนโยบายและการกำกับดูแล โดย ดร.สุเมธ องกิตติกุล ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เมื่อเกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง - มีผู้เสียชีวิต 0.42 ราย- บาดเจ็บสาหัส 0.90 ราย - บาดเจ็บเล็กน้อย 2.69 ราย มูลค่าความสูญเสีย  2,300,000.00 บาท/ครั้งจำนวนอุบัติเหตุปีละ 3,500 – 4,000 ครั้ง คิดเป็นค่าเสียหายปีละ 8,000 – 9,000 ล้านบาทที่มา สำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง 2007 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สาเหตุหลักของอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่ ปี พ.ศ.2545-2549 ร้อยละ 71 ขับเร็วเกินอัตรากำหนดร้อยละ 9 ตัดหน้าระยะกระชั้นชิดร้อยละ 3 อุปกรณ์รถชำรุดบกพร่องร้อยละ 3 หลับในร้อยละ 3 แซงอย่างผิดกฎหมายร้อยละ 1 เมาสุราร้อยละ 10 อื่น ๆ ที่มา  สำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง ประเภทใบอนุญาตประกอบการขนส่งผู้โดยสารประจำทางในเส้นทางการเดินรถหมวด 1 เป็นเส้นทางการขนส่งประจำทางด้วยรถโดยสารภายในเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล เมือง และเส้นทางต่อเนื่องภายในจังหวัดหมวด 2 เป็นเส้นทางเดินรถโดยสารที่มีจุดเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ไปยังส่วนภูมิภาค หมวด 3 เป็นเส้นทางเดินรถระหว่างจังหวัด หรือคาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดในภูมิภาค หมวด 4 เป็นเส้นทางเดินรถระหว่างอำเภอ หมู่บ้านหรือเขตชุมชนภายในจังหวัด ผลสำรวจคุณภาพการบริการรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด (ปรับอากาศ) โชคชะตากำหนด?เพราะเราเชื่อว่า อุบัติเหตุป้องกันได้  ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต แต่ในท่ามกลางสถานการณ์ระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ได้ปฏิรูปให้เกิดมาตรฐานและความปลอดภัยแก่ประชาชน โครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงทดลองสำรวจคุณภาพงานบริการของรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด ในเส้นทางเดินรถ 3 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เพื่อนำเสนอข้อมูล “ทางเลือก” ให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ เกณฑ์การสำรวจโครงการฯ ได้เลือกสำรวจรถโดยสารประจำทางปรับอากาศในกลุ่มมาตรฐาน 1 (ข) และรถกลุ่มมาตรฐาน 4 (ข) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า รถโดยสารปรับอากาศ ชั้น 1/ ป 1 (รถชั้นเดียวและรถสองชั้น) เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัด เนื่องจากเป็นกลุ่มรถโดยสารที่มีผู้นิยมใช้บริการจำนวนมากและมีจำนวนที่ให้บริการรวมกันถึง 3,000 กว่าคัน เงื่อนไขในการสำรวจ (เริ่มสำรวจ 5 ก.พ. – 27 มี.ค. 2553)1. เป็นรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด หมวด 2 วิ่งบริการระหว่าง กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้2. เป็นรถโดยสารประจำทางปรับอากาศในกลุ่มมาตรฐาน 1 (ข) และรถกลุ่มมาตรฐาน 4 (ข)3. เป็นรถโดยสารประจำทางในเส้นทางที่ใช้เวลาในการเดินทางมากกว่า 4 ชั่วโมงขึ้นไป4. ให้อาสาสมัครขึ้นใช้บริการบนรถโดยสารประจำทางตลอดเส้นทางทุกบริษัทที่ให้บริการรถโดยสารภายใต้เงื่อนไขตามข้อ 1-3 บริษัทละ 2 เที่ยว โดยเลือกสุ่มสำรวจในเส้นทางจังหวัดปลายทางที่มีจำนวนประชากรมากเป็นสำคัญ สิ่งที่พบจากการสำรวจการให้ข้อมูลข่าวสาร แก่ผู้โดยสารจากการสำรวจพบว่า96.9 % ไม่ระบุเวลาถึงจุดหมายปลายทางบนตั๋ว94.6 % ไม่ได้รับการแจ้งชื่อ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อของบริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครอง96.9% ไม่มีการแจ้งเบอร์โทรอัตโนมัติในการร้องเรียน (1584) ของกรมการขนส่งทางบกบนตั๋ว54.6 % ไม่พบป้ายแจ้งชื่อพนักงานขับรถบนรถโดยสาร ความสะดวก สบายในการใช้บริการจากการสำรวจพบว่า 60 % สัมภาระที่ฝากไว้ในห้องเก็บสัมภาระ(ใต้ท้องรถ) ไม่มีป้ายแสดงความเป็นเจ้าของ44.1 % รถโดยสารถึงช้ากว่ากำหนดมากกว่า 15 นาที43.4 % ห้องสุขาไม่สะอาด มีกลิ่นและสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน มาตรฐานความปลอดภัยจากการสำรวจพบว่า69.5% ที่นั่งผู้โดยสารไม่มีเข็มขัดนิรภัย50.4% เมื่อรถวิ่งไปได้ 4 ชั่วโมง ไม่มีการเปลี่ยนพนักงานขับรถหรือให้พนักงานขับรถพัก 30 นาทีก่อนขับต่อไป40% ไม่มีค้อนสำหรับทุบกระจกภายในห้องโดยสาร35.4% ไม่มีถังดับเพลิงในห้องโดยสาร 5 อันดับยอดเยี่ยม – ยอดแย่ ภาคเหนือสำรวจทั้งหมด 19 บริษัท

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 94 อะฟลาท็อกซิน สารพิษที่อันตรายที่สุดในโลก

อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา และเป็นสารพิษที่พบปนเปื้อนในอาหารมากที่สุดชนิดหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า อาหารอะไรก็ตามที่เกิดเชื้อราได้ ย่อมมีโอกาสปนเปื้อนอะฟลาท็อกซินได้ แต่ส่วนใหญ่อาหารที่มักพบอะฟลาท็อกซิน ได้แก่ อาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วลิสง เช่น ถั่วลิสงดิบ ถั่วลิสงคั่วที่ใช้ปรุงอาหาร หรือถั่วลิสงเคลือบ ทั้งยังพบในถั่วชนิดอื่นๆ รวมถึงข้าวและข้าวโพดได้อีกด้วย  นอกจากนี้ยังพบในแป้งต่างๆ อย่างแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว แป้งท้าวสาลี แป้งมันสำปะหลัง  และบรรดาอาหารอบแห้งทั้งหลาย ได้แก่ พริกแห้ง พริกป่น พริกไทย งา ปลาแห้ง กุ้งแห้ง กระเทียม หัวหอม ผัก ผลไม้อบแห้ง  เครื่องเทศต่างๆ หรือแม้แต่สมุนไพร ชา ชาสมุนไพร และกาแฟคั่วบด อะฟลาท็อกซิน ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากวิธีการปรุงอาหารด้วยความร้อนแบบธรรมดาๆ เช่น การทอด หุง นึ่ง ต้ม ไม่สามารถทำลายพิษอะฟลาท็อกซินให้หมดไปได้ เพราะอะฟลาท็อกซินทนความร้อนได้สูงถึง 260 องศาเซลเซียส ระดับความเป็นพิษของอะฟลาท็อกซิน องค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่ง ปริมาณของอะฟลาท็อกซินเพียง 1 ไมโครกรัม สามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรีย และทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้เมื่อได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อะฟลาท็อกซินใกล้ชิดกับมนุษย์มากเพราะมีอยู่ในอาหารที่เราบริโภคประจำวัน แม้จะไม่ค่อยพบการเกิดพิษอย่างเฉียบพลัน เพราะปริมาณที่บริโภคเข้าไปในแต่ละครั้งมีไม่มาก แต่ก็นับว่ามีความเสี่ยงของการเกิดพิษสะสม ซึ่งหากร่างกายได้รับสารพิษนี้เป็นประจำ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งที่ทุกวันนี้ติดอันดับคร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดโรคหนึ่ง (ปัจจุบันคนไทยทุกๆ 100,000 คน จะเสียชีวิตเพราะมะเร็งในตับ 51.7 คน) ดังนั้นผู้บริโภคควรให้ความสนใจและตระหนักถึงพิษภัยของอะฟลาท็อกซิน เพื่อจะได้หาทางป้องกันและหลีกเลี่ยง มิให้เกิดเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ ชนิดของอะฟลาท็อกซินอะฟลาท็อกซิน เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) และ แอสเปอร์จิลลัส พาราซิติกัส (Aspergillus parasiticus) ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบได้ในอาหาร ทั้งที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปและที่แปรรูปแล้ว ตามธรรมชาติ อะฟลาท็อกซินจะมีอยู่ทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ อะฟลาท็อกซินชนิด B1  B2 G1 และ G2  โดยอะฟลาท็อกซิน B1 เป็นชนิดที่ร้ายแรงที่สุด (อะฟลาท็อกซิน B1 เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในตับสัตว์ทดลองหลายชนิดอย่างชัดเจนจึงอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ได้เช่นกัน)ฉลาดซื้อแนะวิธีเลี่ยงพิษอะฟลาท็อกซิน1.อะฟลาท็อกซินเกิดจากเชื้อราในกลุ่ม แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) และ แอสเปอร์จิลลัส พาราซิติกัส (Aspergillus parasiticus) ซึ่งเชื้อราเหล่านี้จะเจริญได้ดีในอาหารที่มีความชื้นมากๆ ผู้บริโภคสามารถสังเกตเห็นเชื้อรานี้ได้ด้วยตาเปล่า เพราะจะมีสีเขียวอมเหลืองหรือสีเขียวเข้ม ดังนั้นเมื่อพบว่าถั่วหรืออาหารที่มีราสีเขียวอมเหลือง ก็ให้ทิ้งไปทั้งหมดอย่านำมาปรุงอาหารเด็ดขาด กรณีที่พบว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่งคือ ผู้บริโภคมักคิดว่า การปาดเอาส่วนที่เป็นเชื้อราออกไปจากอาหาร จะสามารถบริโภคส่วนที่ดูด้วยตาเปล่าว่ายังมีสภาพดีอยู่ได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะสารพิษที่เชื้อราได้สร้างขึ้นได้กระจายไปในส่วนอื่นของอาหารแล้ว การนำมาบริโภคจึงเป็นการนำสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยแท้2. อาหารที่มีแนวโน้มเกิดเชื้อราได้ อย่าง พริกแห้ง กระเทียม เครื่องเทศต่างๆ ไม่ควรซื้อมาเก็บไว้ในปริมาณมาก ควรซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และการเก็บรักษาต้องเก็บในที่แห้งสนิทไม่เกิดความชื้นจนทำให้เชื้อรามีโอกาสเจริญเติบโต จนก่อสารพิษที่จะมาทำร้ายสุขภาพ  ไม่เพียงแต่อาหารแห้ง แม้แต่ผักหรือผลไม้ ก็เช่นกัน ควรซื้อในปริมาณน้อย เลือกให้มีความสุกดิบคละกัน เพื่อจะได้รับประทานผลไม้ที่สดทุกวัน หากเลือกซื้อที่สุกทั้งหมด อาจรับประทานไม่ทัน ผลไม้ที่เหลือจะขึ้นราได้ 3.หลีกเลี่ยงถั่วลิสงคั่วที่ดูเก่าหรือมีความชื้นหรือมีกลิ่นหืน เพราะมีโอกาสที่จะพบการปนเปื้อนของอะฟลาท็อกซินได้สูงมาก เป็นไปได้ก็ไม่ควรรับประทานให้บ่อยหรือรับประทานในปริมาณมาก 4.อาหารที่เกิดเชื้อราได้ง่าย ควรเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้ หีบห่อมิดชิด และควรสดใหม่ ไม่เป็นสินค้าที่เก็บค้างไว้นานหลายเดือน อย่าซื้ออาหารที่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นหืน ซึ่งแสดงถึงความเก่าเก็บหรือการเก็บรักษาที่ไม่ดี 5. หากสงสัยว่าอาหารจะมีราขึ้น ให้ทิ้งอาหารนั้นเสียทั้งหมด อย่าทิ้งเฉพาะส่วน นอกจากนี้กระดาษหรือกล่องที่สัมผัสกับอาหารที่ขึ้นราให้ทิ้งไปด้วย เพื่อป้องกันการนำเชื้อราไปปนเปื้อนอาหารอื่น 6. อุปกรณ์เครื่องครัว รวมทั้งเขียงที่ใช้ควรล้างให้สะอาด ในระหว่างเตรียมอาหารควรซับให้แห้งอยู่เสมอ อย่าให้มีราขึ้นพึงระลึกไว้เสมอว่าสภาพแวดล้อมในบ้านเรา เป็นแบบร้อนชื้นที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และเชื้อรา จึงต้องใส่ใจและระวังเรื่องการเก็บรักษาอาหาร ตลอดจนเครื่องครัวต่างๆ ให้พ้นจากความชื้นเพื่อป้องกันสารพิษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเข้ามาปนเปื้อนในอาหารที่เรารับประทาน ส่วนอาหารที่ขายตามตลาดทั่วไป ก็หมั่นตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนซื้อ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขไทยกำหนดไว้ว่า ต้องมีอะฟลาท็อกซินอยู่ในอาหารไม่เกิน 20 พีพีบี (20 ไมโครกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม) -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- •    อะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) เป็นสารพิษอันเกิดจากเชื้อรา (mycotoxins) คำว่า aflatoxin มาจากคำ 3 คำรวมกัน โดยมาจากชื่อของเชื้อราตัวที่สร้างสารพิษคือ แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) และ คำว่า toxin ที่แปลว่าสารพิษหรือเป็นพิษ•    สารพิษอะฟลาท็อกซินค้นพบเป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2503 โดยได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นกับไก่งวงในประเทศอังกฤษ ทำให้ไก่งวงที่เลี้ยงไว้จำนวนประมาณ 100,000 ตัว ล้มตาย ไปภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ภายหลังจากการศึกษาสาเหตุโดย สถาบันผลิตผลเมืองร้อน (Tropical Products Institute) ของประเทศอังกฤษ (ปัจจุบันคือ Tropical Development and Research Institute) พบว่าสาเหตุการล้มตายของไก่งวงเป็นจำนวนมากนั้นเกิดจากความเป็นพิษของอาหารผสมที่มีถั่วลิสงปน เมื่อได้ตรวจพบแน่ชัดแล้วว่าถั่วลิสงเป็นที่อาศัยของเชื้อราที่ทำให้เกิดพิษนี้ขึ้น จึงได้ทำการตรวจสอบตัวอย่างถั่วลิสงจากประเทศต่างๆ ที่ส่งไปจำหน่ายยังประเทศอังกฤษ ผลปรากฏว่า พบสารพิษนี้จำนวนหนึ่งจากแหล่งใหญ่ๆ ทุกแห่งที่ปลูกถั่วลิสง  --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 ตามไปดูเขากำจัดสารตะกั่ว…ต้องช่วยผู้บริโภค

วันหนึ่งหลังจากตื่นนอนทำวัตรเช้าเสร็จ โทรศัพท์ก็ดังกริ๊งกร๊างปรากฏว่า มีคำสั่งให้ทีมกระต่ายฯ (รายการทีวีของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค) ออกไปทำสกู๊ปทดสอบสีในโรงเรียนที่มีศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก สังกัดภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นเจ้าของโครงการ เนื่องจากได้ข่าวว่า มีการตรวจพบสารตะกั่วในของเล่นและสีที่ใช้ทาในโรงเรียน!! งานเข้าครับ… ท่านผู้อ่านที่เคยผ่านการใช้รถในยุคน้ำมันเบนซินลิตรละ 10 บาท คงพอจำโฆษณาทางทีวีตัวหนึ่งที่มีมนุษย์ประหลาดหัวโล้นๆ ตัวสีเงิน ไม่ใส่เสื้อผ้าโผล่มา ที่เขาเรียกกันว่า “มนุษย์ตะกั่ว” ได้ใช่ไหมล่ะครับ ก็ช่วงนั้นเขารณรงค์ให้ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วกันทั่วบ้านทั่วเมือง เหตุเพราะพิษภัยของมันค่อนข้างอันตราย หากเก็บสะสมไว้ในร่างกายนานเข้า อาจทำให้เกิดภาวะผิดปกติทางสมอง สมองพิการ หรือปัญญาอ่อนได้ทีนี้พอไอ้เจ้า “มนุษย์ตะกั่ว” ที่มากับน้ำมันซูเปอร์ในสมัยนั้นถูกลอยแพบ๊ายบายไปตามสายน้ำ (โฆษณาชิ้นสุดท้ายของซีรี่ส์ตะกั่ว) คุณพ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ ท่านก็เลยเบาใจหายห่วงไปได้เปาะหนึ่ง ว่าต่อแต่นี้คงส่งลูกส่งหลานเดินทางขึ้นรถไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย จนกระทั่ง...เกิดข่าวสารตะกั่วตามเข้าไปอยู่ในโรงเรียน!! นี่ผมไม่ได้ละเมอมานั่งเทียนเขียนนะครับ แล้วสารตะกั่วมันจะตามเข้าไปอยู่ในโรงเรียนได้อย่างไร หรือคุณครูจะแอบกักตุนน้ำมันลิตรละ 10 บาทไว้เติมรถตัวเอง เอาล่ะสิครับ สังขารปรุงให้ความสงสัยเกิด ทุกข์ก็เกิดอีกแล้ว ไอ้คนเขียนอย่างผมก็ทุกข์ไปด้วยเพราะต้องไปหาข้อมูลมาอธิบายให้คนอ่านหายทุกข์ ทุกข์กันทั้งบ้านทั้งเมืองไม่รู้จะทุกข์กันไปทำไม...เนอะ (เริ่มเข้าสู่แนวธรรมของถนัดอีกแล้ว มีหวังกองบก.เล่นผมตายแน่) ตามตะกั่วไปถึงโรงเรียนอย่างที่บอกไปครับ งานเข้าทีมกระต่ายฯ แล้ว คือแรกเริ่มเดิมทีนั้น ทางศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็กฯ เขาสนใจเรื่องของการบาดเจ็บในเด็กจากของเล่นก่อน แล้วจึงพบว่าสารเคมีที่ปนเปื้อนมากับสีของของเล่นเหล่านั้น มันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งเจ้าสารเคมีตัวเอ้ที่ว่ามานั้น ก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย...พี่สารตะกั่วยังไงล่ะครับ!! รอบแรกที่ลงไปทำการสำรวจของเล่นที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด พบว่ามีสูงถึงร้อยละ 18 ที่สารตะกั่วเจือปนมากับสีของของเล่นในอัตราส่วนที่เกินมาตรฐาน สำหรับมาตรฐานสากลนั้น กำหนดให้อยู่ที่ 90 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักสี 1 กิโลกรัม หมายความว่า เมื่อนำเอาวัตถุที่มีสีแช่ลงในสารละลายที่สามารถละลายสารตะกั่วได้ แล้วพบว่ามีสารตะกั่วละลายออกมาสูงเกิน 90 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมนั้น ให้เชื่อว่าเกินมาตรฐาน หรืออีกวิธีหนึ่งจะดูปริมาณสารตะกั่วที่ปนเปื้อนทั้งหมดไม่คิดเฉพาะส่วนที่ละลายออกมาก็ได้ ค่านี้มาตรฐานให้อยู่ที่ 600 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักสี 1 กิโลกรัม คือ ตัวเลข 600 เนี่ย หมายถึงค่าที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเฉียบพลัน แต่หากสะสมไปนานๆ มากๆ เข้าก็อาจส่งผลกระทบถึงระบบประสาทได้ครับ ทางที่ดีควรจะเป็น 0 เรียกว่า ไม่ควรจะมีเลยด้วยซ้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการทดสอบของเล่นในศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งก็ตรวจพบบ้างประปรายในบางศูนย์ แล้วก็ได้มีการแนะนำให้ความรู้กับครูอาจารย์ผู้ประกอบการถึงพิษภัยตลอดจนวิธีที่สารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย ส่วนใหญ่คือทางเดินอาหาร (เด็กจับของเล่นแล้วมาจับของกินหรือบางทีก็หยิบเอาสีที่ล่อนออกมาเข้าปาก) และต้องมีการกำจัดของเล่นที่มีความเสี่ยงทิ้งไป ต่อมา ก็ได้มีหน่วยงานหลายหน่วยงานให้ความสนใจในเรื่องนี้ และได้เข้ามาร่วมศึกษาตรวจสอบ อย่างการพบสารตะกั่วในแทงค์น้ำบ้าง ในหม้อก๋วยเตี๋ยวที่มีการบัดกรีบ้าง ฯลฯ แล้วก็ในสีที่ใช้ทาหรือเคลือบวัสดุต่างๆ ด้วย อย่างที่ฉลาดซื้อฉบับป้ายสีเคยลงข้อมูลไว้ “สี” ก็เลยกลายเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญไปโดยปริยาย!! (ต้องหามาทดสอบซ้ำนะครับพี่ๆ) จากการศึกษาในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกาพบว่า สีทาบ้านโดยเฉพาะที่พบในอาคารเก่าเป็นแหล่งที่มาสำคัญของภาวะพิษจากสารตะกั่วในเด็ก หรือศูนย์เด็กก่อนวัยเรียนและโรงเรียนประถมในจีนก็เช่นเดียวกัน พบว่าร้อยละ 57 ของสีทาบ้านมีระดับสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐาน ดังนั้นทางศูนย์วิจัยฯ แห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้สุ่มคัดเลือกโรงเรียนศูนย์เด็กเล็กจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับศึกษาและเผยแพร่งานวิจัยชิ้นนี้ ทีนี้บางท่านอาจมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมจึงโฟกัสเฉพาะเด็กเล็กเท่านั้นล่ะ เด็กโตไม่สำคัญหรือ... วิสัชนาว่า ก็เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 ปีลงไป ร่างกายสามารถซึมซับสารตะกั่วได้ดีกว่าวัยอื่นๆ ถึง 5 เท่าน่ะสิครับ สมองจะพิการหรือไม่ก็ช่วงนี้แหละ อีกอย่างหากเราจัดการสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้พวกเขาตั้งแต่เล็ก โตมาจะมีอะไรน่าห่วงอีกล่ะครับ หมดเรื่องของสารตะกั่วแล้วจะนิโคตินหรือแอลกอฮอล์ค่อยว่ากันอีกที โรงเรียนแรกที่ทีมกระต่ายฯ เราได้ลงพื้นที่ไปสำรวจดูนั้นก็คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน พัวชิวติ่ง-ลิ้มเซาะคิ้ม ย่านชุมชนเคหะนคร 2 เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็น 1 ใน 11 ศูนย์ที่ทางทีมวิจัยของรามาตรวจพบสารตะกั่วปนเปื้อน จากทั้งสิ้น 17 ศูนย์ที่ได้สุ่มเก็บตัวอย่างมาทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 64.71 โดยแบ่งเป็นพบในสีถึง 9 ศูนย์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ 1 ศูนย์ และดินอีก 1 ศูนย์ โดยปริมาณที่พบสูงสุดเลยคือ 32,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จากค่ามาตรฐาน 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม คิดเป็น 53.33 เท่า!! โอ้แม่เจ้า!! นี่เด็กชักตายได้เลยนะเนี่ย ไม่ต้องรอสะสมให้เหนื่อยเลย!! และนี่คือตารางแสดงจำนวนตัวอย่างทั้งหมดที่ส่งไปทดสอบปริมาณตะกั่วจากทั้ง 17 ศูนย์   ตัวอย่างทดสอบ จำนวน (ที่พบ) สารตะกั่วสูงกว่ามาตรฐาน สีทาบ้าน 9 โต๊ะเรียน 1 ดินในสนามเด็กเล่น 1 สารตะกั่วต่ำกว่ามาตรฐาน น้ำดื่ม 17 น้ำประปา 17 สีในของเล่น 16 ดินน้ำมัน 8 ภาชนะบรรจุอาหาร 30 (จานชาม) 21 (หม้อหุงต้ม) 9 แก้วน้ำ 18 ช้อน 17 ฝุ่นที่ติดพื้น 11 ดินสอสี / สีเทียน 18   โดยวันนั้นเกิดการติดต่อประสานงานผิดพลาดขึ้นเล็กน้อยครับ ทีมกระต่ายฯ ที่ได้รับคำสั่งเร่งด่วน ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยขณะนั้น ต้องไปแกร่วอยู่กับคุณครูประจำศูนย์ 2 ท่าน ปราศจากผู้เชี่ยวชาญจากรามาฯและทีมบำรุงซ่อมแซม(การตรวจสอบเพื่อให้ได้ผลสรุปที่แน่นอนจะต้องทำการเก็บตัวอย่างหลายรอบครับ นี่คือเหตุผลที่ทางรามาฯ ต้องไปแล้วไปอีก) ผมเลยต้องเริ่มต่อจิ๊กซอว์ตัวแรกด้วยการคุยกับคุณครูประจำศูนย์ทั้ง 2 ท่านก็พบว่าศูนย์พัวชิวติ่งนี้ ถูกตรวจพบสารตะกั่วจากตัวอย่างสีน้ำมันที่นำมาทาทับเพื่อลบร่องรอยขีดเขียนตามผนังโดยฝีมือนักศิลปะรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ซึ่งตัวคุณครูเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอในลักษณะนี้ แต่เมื่อเจอแล้วก็ต้องแก้ไขกันต่อไป นอกจากนี้ ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ศูนย์เด็กเล็กส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของชุมชน โดยเฉพาะชุมชนขนาดกลาง ชุมชนที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำ หรือชุมชนสลัม ฯลฯ พ่อแม่ทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ต้องนำลูกมาฝากไว้กับศูนย์ พอปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะหางบประมาณจากไหนมาเยียวยา บางทีพ่อแม่ผู้ปกครองไม่เข้าใจอีก หาว่าเป็นความผิดทางโรงเรียน ที่ทำได้คือถอดเอาชุดอุปกรณ์ที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงทิ้งไป เด็กก็มีของให้เล่นน้อยลง ความซวยจึงบังเกิดกับเด็กผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไหนจะต้องเสี่ยงกับพัฒนาการทางสมองจากสารตะกั่ว ไหนจะขาดแคลนเครื่องเล่นที่จะช่วยพัฒนาไอ-คิว ทุกข์อีกแล้ว !! สำหรับอีกโรงเรียนที่กระต่ายฯ ได้ลงพื้นที่ก็คือ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านเคหะนคร เขตสะพานสูง ซึ่งศูนย์แห่งนี้ก็ถูกตรวจพบสารตะกั่วจากตัวอย่างสีเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังพบรูรั่วตามหลังคา ทำให้เวลาฝนตกลงมาเกิดความชื้นเกิดเชื้อราได้ง่าย ศูนย์ฯ นี้มีบริเวณและจำนวนเด็กมาก สถานที่ค่อนข้างใหญ่จะบูรณะซ่อมแซมอะไรรายจ่ายก็สูงเป็นเงาตามตัว ข้อมูลนี้อาจารย์เขาเล่าให้ฟังเอง ยังดีที่ทางรามาฯ ยื่นมือเข้าช่วยโดยประสานกับทางบริษัทสีให้เข้ามาซ่อมแซมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะหากรอความช่วยเหลือจากทางเขตก็ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เด็กก็ต้องรับเคราะห์ทนสภาพเสี่ยงกันต่อไป การกำจัดสารตะกั่วเมื่อตรวจพบว่ามีสารตะกั่วปนเปื้อนในบริเวณรอบโรงเรียน ทางทีมงานของรามาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ดำเนินการ “แก้ไข” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ เป็นปฏิบัติการระดับ Mission Impossible ทีเดียวเชียว ขั้นตอนของการกำจัดเจ้าสารตะกั่วซึ่งถือเป็นขยะพิษขยะอันตรายนี้ ต้องเริ่มจากการขูดลอกสีที่ปนเปื้อนมาเก็บพักรวมกันไว้ที่โรงกำจัดสารพิษของ กทม. ก่อนจะส่งไปยังโรงกำจัดขยะพิษที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อมิให้ขยะสีเหล่านี้ไปก่อให้เกิดมลพิษกับบุคคลอื่น คนงานทุกคนที่ขูดลอกสี ต้องใส่ชุดประมาณ “ชุดอวกาศ” คือมีหน้ากากป้องกันฝุ่นจากสีเข้าสู่ร่างกาย การล้างน้ำจากพื้น ผนังต้องให้แน่ใจว่า ไม่มีสีปนเปื้อนตะกั่วไหลไปลงท่อน้ำทิ้ง คนงานต้องหาทางดักชิ้นส่วนของสีที่ขูดออกมารวบรวมไว้อย่างดีไม่ให้ออกไปปนกับสิ่งแวดล้อมรอบบริเวณโรงเรียน โรงเรียนที่ทางรามาฯ และทีมกำจัดได้เข้าไปดำเนินการนั้น นัยหนึ่งก็นับว่าโชคดี แต่ทีนี้ปัญหาที่ผมสงสัยต่อมาก็คือ แล้วอีกกว่า 276 ศูนย์เด็กเล็กที่ทางรพ.รามาฯไม่ได้ลงไปตรวจสอบ ผู้ปกครองจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศูนย์เหล่านั้นปลอดภัย เป็นศูนย์ไร้สารตะกั่วจริง บางที่อาจจะเกิน 32,000 มิลลิกรัมขึ้นไปอีกก็ได้ตามหลักความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์และสถิติหรือบางที่อาจจะพบเจอตามที่แปลกๆ อย่างศูนย์หนึ่งพบตรงผิวหน้าดิน เป็นต้น ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้สอบถามไปยังศูนย์วิจัยฯ ของรามาธิบดีว่า มีแผนจะลงไปตรวจสอบศูนย์เด็กเล็กที่เหลือเมื่อไร ก็ได้คำตอบกลับมาว่าศูนย์วิจัยฯ หยุดสำรวจเรื่องสารตะกั่วในศูนย์เด็กเล็กแล้ว เพราะต้องทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นกับเด็กในเรื่องอื่นๆ ด้วย งานวิจัยเป็นแค่แนวทางปฏิบัติเท่านั้น   ใครรู้ตัวว่าเกี่ยวข้องรีบเข้ามาจัดการด่วนหลังจากไปดำเนินการแก้ไขปัญหาจนแล้วเสร็จ ทางศูนย์วิจัยฯ ได้จัดแถลงข่าวเผยแพร่งานวิจัยชิ้นนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 ณ ห้องประชุม 4703 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรืออาคาร 6 ชั้น 7 กระทรวงสาธารณสุข โดยได้แสดงผลการศึกษาที่น่าสนใจประมาณการได้ว่า “มีเด็กกว่า 15,000 คน กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงจากสารตะกั่ว” ดังนั้นจึงสมควรเร่งให้สำนักพัฒนาสังคมดำเนินการให้ความรู้ครูผู้ดูแลเด็กในการจัดการสิ่งแวดล้อม หากมีสีหลุดลอกตามพื้นให้ทำความสะอาดโดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดพื้นหลายๆ ครั้งต่อวัน และมิให้เด็กเล่นใกล้บริเวณที่มีสีหลุดลอกได้ ทางสำนักงานเขตกทม.ต้องมีการจัดผู้เชี่ยวชาญไว้ให้บริการตรวจสอบทั้งในศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน และตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย รวมทั้งจัดตั้งทีมกำจัดสารตะกั่วในการดำเนินงานแก้ไขตามมาตรฐานสากล ป้องกันการเจือปนของสารตะกั่วจากการขูดลอกสีภายในชุมชนและมีการกำจัดขยะสีอย่างถูกวิธี กรุงเทพมหานครต้องขยายผลการดำเนินงานนี้ให้ครอบคลุมทุกศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล ส่วนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขเช่นเดียวกันในศูนย์เด็กเล็กภูมิภาค นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเพิ่มมาตรการในการควบคุมสารตะกั่วในสีให้มากขึ้น อย่าลืมนะครับว่าจริงๆ มันไม่ใช่หน้าที่เขามาตั้งแต่ต้น ชื่อหน่วยงานก็บอกอยู่ทนโท่ว่าศูนย์ “วิจัย”เพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ไม่ใช่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามสารตะกั่ว หลักๆ นี่มันเป็นหน้าที่ของบรรดาผู้ได้รับเงินภาษีจากราษฎรเพื่อเข้ามาบริหารจัดการดูแลสุขทุกข์ประชาชนต่างหากที่ต้องรีบเข้ามาจัดการโดยด่วนครับ พ่อแม่ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ สำนักงานเขต เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีสารปนเปื้อน รวมถึงคนในชุมชน ถึงตรงนี้ผมมองว่าทุกๆ ท่านคงต้องช่วยกันรับผิดชอบด้วยแล้วล่ะครับ จะมัวรอให้คนนู้นคนนี้คอยเป็นธุระจัดการ หรือพอเกิดปัญหาขึ้นมาทีก็เอาแต่โทษกันไปโทษกันมา บุตรหลานของท่านไม่ตายก็พิการกันหมดล่ะทีนี้ งานวิจัยเขาก็นำร่องไว้ให้แล้ว วิธีปฏิบัติเขาก็แสดงให้เห็นแล้ว อยากได้คำแนะนำก็ขอคำปรึกษาได้ มันจะยากอะไรแค่ช่วยกันช่วยกันขูดตัวอย่างสีหรือหาวัสดุที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงส่งไปให้ห้องแล็ปทดสอบ เหลือแค่พวกเราลงมือกระทำเท่านั้นแหละครับ อยู่ที่ว่าจะลุกขึ้นมาหรือเปล่า... ถ้าลุกขึ้นมาลูกหลานก็ปลอดภัย ถ้าปล่อยไปก็อาจตายหยังเขียด หรือดีหน่อยก็เป็นไอ้มนุษย์ตะกั่ว ร่วมไม้ร่วมมือกันอย่าเอาแต่นิ่งดูดาย ล้อมคอกเมื่อวัวหายมันไม่คุ้มหรอกนะครับ ป.ล.โฆษณาซีรี่ส์ตะกั่วงวดหน้าอาจโผล่มาในโรงเรียนก็ได้ ฮ่าฮ่า ;D

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 มาเป็นแม่บ้านไร้สารกันเถอะค่ะ

“ฉลาดซื้อ” ฉบับนี้นำเรื่องดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้เราขอเอาใจคุณแม่บ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่บ้านที่รักการทำความสะอาดบ้าน (และที่ทำเพราะหน้าที่) “ฉลาดซื้อ” อยากชวนคุณแม่บ้านทุกท่านมาลองคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการทำให้บ้านอันแสนอบอุ่นของทุกคนเป็นบ้านปลอดสาร(พิษ) สะอาดอย่างปลอดภัย แถมยังห่วงใยโลก สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่หัวใจสีเขียว ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษ สารเคมีใกล้ตัวไม่กลัวไม่ได้นะแค่พูดถึง “สารเคมี” ทุกคนก็คงรู้สึกไม่ดีกันแล้วใช่ไหมคะ คุณแม่บ้านหลายคนอาจจะคิดว่าสารเคมีแม้จะเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวแต่ก็เป็นเรื่องไกลตัวคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะอันตรายจากสารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ มากขนาดที่เราทุกคนใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสารเคมีในบ้านของเราเองตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน ซึ่งสารเคมีที่เราต้องสัมผัสพบเจอในชีวิตประจำวันของเราก็ไม่ได้มาจากที่ไหนไกลมาจากข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างรอบตัวเรา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราใช้ภายในบ้านนี่แหละ ทั้งผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ และอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่วางขายทั่วไปอยู่ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมหลักทั้งนั้น สำรวจบ้านหาจุดเสี่ยงสารเคมี!!!ตอนนี้คุณแม่บ้านลองเดินสำรวจในบ้านของตัวเองดูนะคะ ลองดูซิว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราซื้อเข้าบ้านมีอะไรที่เป็นตัวนำสารเคมีเข้ามาบ้าง เริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านของคุณแม่บ้านก่อนเลยค่ะ หลายๆ บ้านคงจะใช้บริเวณด้านนอกของบ้านเป็นโซนซักล้าง ซึ่งที่นี่เราจะได้พบสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราซื้อมาจากร้านค้า ทั้งผงซักฟอก น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาซักแห้ง น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือถ้าคุณแม่บ้านมีรถ ก็จะเจอสารเคมีได้อีกในน้ำยาทำความสะอาดรถยนต์ น้ำยาขัดเงา น้ำมันเครื่อง เข้ามาในบ้าน ที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ในนี้จะมีสารเคมีที่เราคิดไม่ถึงซ่อนอยู่เยอะเลย ทั้งในพรมสังเคราะห์ ที่มักผลิตมาจากโพลียูริเทนโฟมซึ่งมีสารบางตัวที่อาจถูกปล่อยออกมาก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจ นอกจากนี้อาจมีสารเคมีตกค้างจากน้ำยาทำความสะอาดพรมด้วย วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ที่ทำจากพลาสติกก็อาจปนเปื้อนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ นี่ยังไม่พูดถึงบรรดาน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ รวมทั้งแร่ใยหินจากกระเบื้องที่อยู่เหนือศีรษะเรา มาต่อกันที่ห้องครัว ที่ที่เราใช้ปรุงอาหารรับประทาน ถ้ามีสารเคมีอยู่ด้วยแบบนี้น่ากลัวนะคะ แต่ว่ายังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ เพราะในห้องนี้เราอาจเจอสารเคมีได้ทั้งใน เตาอบไมโครเวฟ เครื่องครัวเคลือบเทฟลอน รวมถึงในน้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดคราบสกปรก น้ำยาขจัดสิ่งอุดตันในท่อ และยาฆ่าหนูและแมลงต่างๆ ปิดท้ายที่ห้องน้ำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าทั้ง สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า ล้วนแล้วมีส่วนผสมของสารเคมีทั้งนั้น แม้จะไม่อันตรายมาก แต่อาจมีบ้างบางคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์บางตัวบางยี่ห้อ สารเคมีที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังในห้องน้ำน่าจะเป็น น้ำยาขัดพื้นห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดโถส้วม และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เพราะพวกนี้มักมีสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง คุณแม่บ้านที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้คงเคยสังเกตว่าเวลาหยดผลิตภัณฑ์พวกนี้ลงพื้นก็จะเกิดฟองขึ้นทันที ซึ่งเป็นฤทธิ์ของการกัดกร่อนของสารเคมี ขนาดพื้นปูนพื้นกระเบื้องยังขนาดนี้ ถ้าโดนตรงๆ กับผิวหนังของเราก็คงดูไม่จืดแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ภายในบ้านที่อาจเสี่ยงสารเคมี ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้พลาสติก ตู้ไม้อัด ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บ สเปรย์ใส่ผม ยาย้อมผม สีทาบ้าน ยาฉีดยุง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพีวีซี อย่าง ท่อน้ำ กระเบื้องยางปูพื้น ของเล่นเด็ก ฯลฯ แม้จะดูเยอะจนน่าตกใจ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงและลดการใช้สารเคมีในบ้านของเราได้ค่ะ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็อย่าซื้อหาเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน คือใช้เท่าที่จำเป็น ใช้แต่พอดี อันไหนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ และรู้สึกว่าอาจต้องเสี่ยงกับสารเคมีก็ต้องศึกษาข้อมูลวิธีการใช้ คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ ให้ดี หรืออะไรที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทดแทนได้ อย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านต่างๆ ก็หามาใช้หรือถ้าทำใช้ได้เองก็ยิ่งดีค่ะ ซึ่งนอกจากจะดีกับสุขภาพของคุณแม่บ้านและคนในครอบครัว ยังดีต่อโลกของเราด้วยเพราะไม่มีสารเคมีตกค้างไปทำร้ายสิ่งแวดล้อม แถมยังถูกกว่าประหยัดกว่า และการลองทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติด้วยตัวเอง อาจช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นงานที่สนุกมากขึ้นก็ได้ค่ะ คำแนะนำเพื่อทำให้บ้านปลอดสารพิษจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด1.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นระบบ คือให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันหรือทำหน้าที่เหมือนกันเก็บไว้ด้วย เช่นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าก็ไว้รวมกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำก็แยกกลุ่มออกมาให้ชัดเจน 2.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนอกเหนือจากหน้าที่ของมัน คือไม่เอาผงซักฟอกไปล้างจาน หรือเอาน้ำยาขัดพื้นห้องน้ำมาขัดพื้นห้องรับแขกหรือห้องครัว 3.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่จะซื้อเข้ามาในบ้าน ต้องเลือกที่มีฉลากแสดงข้อมูลต่างๆ ชัดเจน วิธีการใช้ คำเตือนของอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และวิธีการรักษาอาการแพ้เบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ 4.เมื่อคุณแม่บ้านอ่านข้อความวิธีการใช้และคำเตือนต่างๆ บนฉลากข้างผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งสวมเสื้อผ้ามิดชิด ไม่สัมผัสโดยตรง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 5.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ห่างจากมือเด็กมากที่สุด 6.ซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแค่เท่าที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ควรซื้อมาเก็บตุนไว้มากๆ เพราะแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงสารเคมีให้กับตัวเอง 7.ลองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติหรือมีอันตรายน้อยกว่ามาทดแทน อย่างเช่น ผงฟู หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ได้ไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่วางขายอยู่ตามร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต-------------------------------------------------- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใกล้ตัว ใช้แล้วไม่ต้องกลัวสารพิษ ผงฟู : ผู้พิชิตผงฟู หรือที่บางคนเรียก เบคกิ้งโซดา หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต นอกจากจะใช้ทำให้ขนมฟูดูน่ากินแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ความสะอาดบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก เพราะความที่มีอนุภาคเล็กและมีรูปทรงผลึกอ่อนนุ่ม จึงดีต่อการใช้ขัดถูทำความสะอาด มีสรรพคุณปรับค่าความเป็นกรดด่างและฆ่าเชื้อโรค แถมยังช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เรียกว่าเราสามารถนำผงฟูไปเป็นสูตรทำความสะอาดได้ตั้งแต่ เสื้อผ้า จานชาม พื้นบ้าน อุปกรณ์เครื่องครัว ขจัดกลิ่นตู้เสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงใช้แทนยาสีฟันก็ยังได้ น้ำส้มสายชู : คุณค่าคู่ครัวไม่เพียงแค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่น้ำส้มสายชูยังเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการทำความสะอาดคราบต่างๆ ได้ด้วย น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยกัดกร่อนคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามพื้นห้องน้ำ พื้นกระเบื้อง หรือคราบสนิทอยู่เกาะอยู่ตามก๊อกน้ำ ฝักบัว หรือเครื่องครัวต่างๆ ทั้งแบบที่ทำจากอลูมิเนียม อย่าง กาต้มน้ำ ที่เมื่อใช้ไปนานๆ มักเกิดคราบจากตะกอน คราบเขม่า และเครื่องครัวที่เป็นแก้วหรือคริสตัล น้ำส้มสายชูก็สามารถทำความสะอาดให้กับมาใสปิ๊งเหมือนใหม่ได้ด้วย น้ำมะนาว : เราทำได้นอกจากจะเพิ่มความเปรี้ยวให้กับชีวิตแล้ว น้ำมะนาวยังเป็นน้ำยาขัดขาวสูตรธรรมชาติปลอดภัยไร้สารอีกต่างหาก น้ำมะนาวใช้ขัดทำความสะอาดได้ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองและทองแดง ช่วยขจัดคราบสนิมและคราบสกปรกจากอาหารที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า และยังช่วยขจัดคราบกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดอยู่ตามอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวอย่าง เขียงและมีด สบู่ : สู้ความสกปรกสบู่ที่เราใช้อาบน้ำมักจะเหลือค้างเป็นก้อนเล็กๆ เพราะมันเล็กจนจับไม่ถนัดมือเราจึงไม่ได้ใช้มันต่อ และเหมือนจะหมดประโยชน์ไปโดยปริยาย แต่สบู่ก้อนเล็กๆ เหล่านี้จะมีกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง โดยการเก็บรวบรวมนำมาผสมกับน้ำร้อนใช้เป็นน้ำยาล้างจานได้ เพราะสบู่มีคุณสมบัติของสารลดแรงตึงผิวเหมือนกัน แต่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ปลอดภัยกับผิวเรามากกว่า น้ำ : ทำได้หมดวัตถุดิบพื้นฐานสุดๆ ที่เราใช้ทำความสะอาดทุกๆ อย่าง ทั้ง ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ทำความสะอาดนู้นนี้ เราใช้น้ำช่วยในการชำระล้างคราบสกปรกต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพของน้ำเปล่าๆ อาจไม่เข้มข้นพอที่จะขจัดคราบสกปรกบางอย่างชนิดที่เกาะติดแน่นมากๆ แต่บางครั้งแค่น้ำเปล่าธรรมดาบวกกับการออกแรงขัดถูนิดน้อย คราบสกปรกที่เราหวั่นใจก็อาจหลุดออกได้ง่ายๆ แบบที่เราอาจคาดไม่ถึง สูตรน้ำยาทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษน้ำยาล้างห้องน้ำแม่บ้านหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์รุนแรง ถึงขนาดกัดกร่อนคราบสกปรกต่างๆ ได้ง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องเปลืองแรงขัด นั้นก็เพราะในน้ำยาล้างห้องน้ำมีส่วนผสมของกรดหลายชนิด ที่นิยมมากที่สุดก็คือ กรดเกลือ (hydrochloric acid) ซึ่งขนาดคราบสกปรกบนพื้นปูนหรือพื้นกระเบื้องยังขจัดออกได้ แล้วถ้าโดนเข้ากับผิวหนังของเราก็ไม่ต้องเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ถ้าโดนผิวหนัง เข้าตา หรือหายใจสูดเอากลิ่นของมันเข้าไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้ -ใช้แอมโมเนียและน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่งถ้วย ผสมกับผงฟู ¼ ถ้วย นำไปเทลงบนพื้นแล้วใช้แปรงขัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ ใช้เป็นน้ำยาทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง -ใช้น้ำส้มสายชูเทลงในโถส้วม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้แปรงขัด ใช้ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ได้ -ใช้น้ำยาฟอกขาวกับน้ำมะนาว ¼ ถ้วย ผสมกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค สำหรับขัดตามอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ฝักบัว ผงซักฟอกไขข้อข้องใจสำหรับแม่บ้านที่ซักผ้าด้วยมือ ผงซักฟอกเป็นสารเคมีพวกกรดด่าง สารละลายอินทรีย์ และอาจมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสิ่งสกปรก เมื่อผิวหนังเราสัมผัสสารเหล่านี้เป็นเวลานานอาจเกิดผลเสียขึ้นได้ ทั้งผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ผิวแห้งและแตก อีกเรื่องที่อยากฝากเตือนคุณแม่บ้านคือ ไม่ควรนำผงซักฟอกไปล้างทำความสะอาดอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นล้างจานชาม หรือล้างมือ เพราะถ้ามีสารตกค้างเข้าสู่ร่างกาย อาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรือถึงขั้นช็อคเลยก็ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-นำผงสบู่ที่ได้จากการสบู่ก้อนบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของสีและกลิ่นมาขูดให้เป็นผงประมาณ 1 ถ้วย ผสมกับน้ำ 3 ถ้วยที่ใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่บอแรกซ์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เป็นสบู่เหลวซักผ้า -นำผงสบู่ผสมน้ำร้อนอย่างละ 2 ถ้วย ทำให้ผงสบู่ละลายแล้วเติมแอลกอฮอล์ 1 ถ้วย น้ำมันยูคาลิปตัส 2 ช้อนโต๊ะ ใช้เป็นหัวเชื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม เวลาใช้ให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร เมื่อปรับผ้านุ่มแล้วให้ซักด้วยน้ำอุ่นอีกหนึ่งครั้ง -ผงฟูช่วยทำให้ผ้านุ่มและขจัดกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้าได้ โดยการเทผงฟูประมาณ ½ ถ้วยลงในน้ำสุดท้ายของการซักผ้าน้ำยาล้างจานส่วนผสมหลักๆ ของน้ำยาล้างจานคือ สารสังเคราะห์ในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว (surfactant) รวมทั้งยังผสมสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเพื่อทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรก นอกจากนี้ยังมีการผสมสารต่างๆ อีกหลายชนิด สารที่ให้กลิ่นหอม สารฟอกสี ซึ่งสารสังเคราะห์เหล่านี้ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงสบู่ 1 ถ้วย ผสมน้ำตั้งไฟจนเดือดคนจนละลาย ผสมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาล้างจาน -น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว ใช้เช็ดถูทำความสะอาดคราบบนภาชนะต่างๆ เช่น หม้อ กาต้มน้ำ และใช้ขัดคราบและกลิ่นบนเครื่องครัวที่ทำจากไม้ อย่าง เขียง ได้ด้วย น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่จะผสมสารที่ชื่อว่า ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (isopropyl alcohol) ซึ่งเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ซึ่งถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60 – 70% หากเราหายใจเอาเจ้าสารนี้เขาไปในปริมาณมากๆ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอและจมูก เป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ ปวดหัว วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณเท่ากัน ชุบด้วยผ้านุ่มใช้เช็ดทำความสะอาดกระจก แต่หากใช้น้ำส้มสายชูเช็ดกระจกแล้วเกิดคราบ ให้ใช้แอลกฮอล์เช็ดที่กระจกก่อน -ใช้ผ้าเปียกถูกับสบู่ก้อน เช็ดบนกระจก ล้างออกแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ช่วยทำให้กระจกที่เป็นฝ้ามัวกลับมาใสเหมือนใหม่น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ทำมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แว็กซ์ และน้ำมัน ไม่ควรสูดดม สัมผัส หรือนำเข้าสู่ร่างกาย หากได้รับสารดังกล่าวเข้า อาจมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ แนะนำว่าเวลาใช้น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ควรทำในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำมันพืช 1 ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้ผ้าชุบเช็ดทำความสะอาด ซึ่งสูตรนี้ช่วยลบรอยขีดข่วนได้ด้วย -ใช้น้ำมันทานตะวัน ½ ถ้วย ผสมกับสบู่เหลวและน้ำอย่างละ ¼ ถ้วย ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ -น้ำ 1 ถ้วย สบู่เหลว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ผสมเข้าด้วยกัน ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง -น้ำมันจมูกข้าวสาลี ½ ถ้วย ผสมกับน้ำมันละหุ่ง ¼ ถ้วย ใช้เป็นสูตรผสมสำหรับเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์หนัง น้ำยาทำความสะอาดพรมส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาดพรมคือ น้ำยาซักแห้ง และ แนพทาลีน (Naphthalene) ซึ่งเป็นสารเคมีที่อยู่ในลูกเหม็น อันตรายคงสารนี้ก็คือ เมื่อสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นานเข้าก็จะไปทำร้ายปอด รวมทั้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟูหรือเกลือป่น โรยทิ้งไว้บนพรม 1 – 2 ชั่วโมง แล้วดูดฝุ่นออก ช่วยในการดับกลิ่น - บริเวณที่เปื้อนคราบสกปรกให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสบู่หยดลงไป แล้วเช็ดเบาๆ ด้วยแปรงขนอ่อน เสร็จแล้วซับด้วยผ้าให้แห้ง ผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันส่วนใหญ่คือ โซดาไฟ ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ถ้าถูกผิวหนังอาจเกิดการระคายเคือง เป็นแผลไหม้ ถ้าเข้าตาอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด ถ้าเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้ ปาก คอ และช่องท้องเกิดแผลอย่างรุนแรง ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟู 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยผสมในน้ำร้อนแล้วเทลงไปในท่อ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วเทน้ำตาม ช่วยทำให้ท่อระบายได้เร็วขึ้นและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ -ถ้าท่อระบายน้ำตันให้ใส่เกลือลงในท่อ ½ ถ้วย แล้วเทน้ำเดือดตามลงไป ที่มา : บทความเรื่อง “แม่บ้านไร้สารพิษ”. คมสัน หุตะแพทย์, วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 1/2552 “กรีนคอนซูเมอร์”. กรรณิกา พรมเสาร์. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค “10 วิธีทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมชาติ” มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ??

กระแสของคนใส่ใจสุขภาพมีแนวโน้มมากขึ้นตลอดเวลา จึงเป็นโอกาสของตลาดอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่พยายามพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีผลดีต่อสุขภาพ ปัจจุบันเราจึงเห็นว่ามีการโฆษณากล่าวอ้างถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเครื่องดื่มที่มีการโฆษณาว่ามีผลดีต่อสุขภาพ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Functional Drinks แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ?? กี่ครั้งกันนะที่คุณๆ อาจนึกสงสัยว่าเจ้าน้ำดื่มสารพัดยี่ห้อที่ใช้เรื่องความงามเป็นจุดขายนั้น ดื่มเข้าไปแล้วมันจะสวยได้จริงหรือ?? หนุ่มจะหันมามองตาค้างอย่างในโฆษณาจริงหรือเปล่า รวมทั้งชื่อสารเคมีแปลกๆ ที่พูดปาวๆ ในสื่อต่างๆ อะมิโนเปปไทด์ คอลลาเจน คิว 10 มันจะมีสรรพคุณวิเศษมหัศจรรย์จนสามารถบันดาลความสวยงามให้ได้จริงล่ะหรือ เรามาหาคำตอบกัน   อย.ให้ขายและโฆษณาได้ แสดงว่าของเขาดีจริงสิ??เชื่อว่ายังมีผู้บริโภคอีกหลายท่าน ที่เข้าใจผิดว่ามี อย. หมายถึงรับรองว่า ดื่มแล้วสวยจริง อันนี้ขอแก้ไขเรื่องจริงคือ อย.รับรองเพียงแค่ว่าดื่มแล้วปลอดภัย(ไม่ตาย) แต่ไม่ได้รับรองแต่อย่างใดเลยว่า ดื่มแล้วสวย ฉลาด สมาร์ท เลิศ อย่างที่เข้าใจกันไปตามที่โฆษณาบอก ลองอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ดูสิ อย.เขาไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ทางอาหารบนฉลากเด็ดขาด เพราะมันไม่มีหลักฐานอะไรที่มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไงล่ะ แต่จะไปห้ามคนไม่ให้เอาสารอาหารมาผสมน้ำขายก็ไม่ได้ เขาจึงรับรองแค่ว่า มันปลอดภัย แต่ไม่ได้ดื่มแล้วสวยขึ้นหรือฉลาดขึ้นนะ แถมยังบังคับให้น้ำดื่มพวกนี้ต้องติดคำเตือนเอาไว้ด้วย“ควรกินอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ” ฉลากบอกอะไรเราบ้าง• เกือบทุกผลิตภัณฑ์เป็นน้ำรสผลไม้(ไม่เกิน 20%) ส่วนใหญ่เป็นน้ำองุ่นขาวจากน้ำองุ่นขาวเข้มข้น เติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพื่อให้มีรสชาติดี จากนั้นก็แล้วแต่ว่าต้องการให้มีคุณสมบัติเพื่อขายอะไรก็เติมสารอาหารนั้นเข้าไป • ฉลากส่วนใหญ่ไม่มีการโฆษณาสรรพคุณว่าดื่มเพื่ออะไร แต่จะแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่า มีสารอะไรเป็นตัวเด่น(จุดขาย) แล้วให้ข้อมูลวิชาการเสริม หรือเพื่อโน้มน้าวใจผู้ซื้อ ซึ่งบางผลิตภัณฑ์เป็นข้อมูลที่คลุมเครือและน่าจะได้มีการตรวจสอบว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ “คลอโรฟิลล์สารสกัดสีเขียว จากอัลฟาฟ่า ช่วยขับสารพิษในร่างกาย บำรุงเลือด ช่วยให้ ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น” เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ คลอโรฟิลล์ • หลายผลิตภัณฑ์เนื้อที่แค่บนฉลากมันไม่พอต้องมีป้ายพิเศษเพิ่มคล้องไว้ที่ขวดด้วย ซึ่งป้ายให้ข้อมูลเพิ่มเติมนี้ บางข้อความหมิ่นเหม่เข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง “ หุ่นดีไม่มีหน้าท้อง หุ่นสวยเพรียวอย่างใจเพราะไฟเบอร์สูงช่วยระบบขับถ่าย อยากหุ่นดีไม่มีหน้าท้องใช่ไหม” บีอิ้ง คอมฟอร์ท สารอาหารหรือยาวิเศษจากการพลิกดูฉลากผลิตภัณฑ์ ที่อ้างว่าเพื่อความสวยงามหรือฉลาดสดใสนี้ น่าจะพอแบ่งกลุ่มหลักๆ ของสารอาหารที่ถูกนำมาผสมขึ้นเป็นเครื่องดื่มแต่ละขวดได้ดังนี้ เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วสวย การโฆษณาว่าดื่มแล้วสวย คงเป็นที่ถูกใจวัยรุ่นสาว ๆ และผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนก็อยากเป็นคนสวยทั้งนั้น เครื่องดื่มประเภทนี้มักมีคำว่า “บิวติ” อยู่ในชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งคำนี้เป็นเสียงพ้องของคำภาษาอังกฤษ “beauty” ที่แปลว่าสวยนั่นเอง หรืออาจมีคำว่า “สกินฟิต” ซึ่งสื่อให้เข้าใจว่ามีผิวหนังที่แข็งแรง เมื่อพิจาณาส่วนประกอบในเครื่องดื่มเหล่านี้มักพบว่ามีการเติม ”คอลลาเจน” เพิ่มลงไปในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 125 – 3000 มิลลิกรัม โดยที่หลายชนิดมีการใช้คำว่าคอลลาเจนในชื่อของผลิตภัฑ์ด้วย เช่น “เซนต์ แอนนา คอลลาเจน” “สก๊อต คอลลาเจน-อี” เป็นต้น ความจริงกินคอลลาเจนแล้วช่วยให้ผิวสวย หรือแก่ช้าจริงหรือไม่ ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากที่สุดในร่างกายคือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย มีลักษณะโครงสร้างที่เกาะเป็นเกลียว ทำหน้าที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ในส่วนของผิวหนังมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก (ประมาณร้อยละ 75) และทำหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังเรียบ ตึง และเนียนเรียบ โดยทำหน้าที่คู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าอีลาสติน (Elastin) คอลลาเจนที่ผิวหนังเกิดจากการสร้างภายในร่างกายเราเอง โดยสร้างจากกรดอะมิโนที่ได้จากการกินอาหารประเภทโปรตีนต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง และต้องอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยให้เกิดคอลลาเจนที่สมบูรณ์ จากหน้าที่ของคอลลาเจนที่ผิวหนังดังกล่าว ทำให้คอลลาเจนได้รับความสนใจนำมาใช้ในการชะลอริ้วรอย เสริมความงาม ช่วยให้ไม่แก่ ผิวหนังจะสวยได้ต้องมีคอลลาเจนที่แข็งแรงอยู่มากพอเป็นเรื่องจริง แต่อย่าลืมว่าการกินคอลลาเจนเข้าไปไม่ได้หมายความว่าคอลลาเจนที่กินนั้นจะไปอยู่ที่ผิวหนังได้ เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีน เมื่อกินเข้าไป จะถูกย่อยเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนเช่นเดียวกับโปรตีนชนิดอื่นๆ จากนั้นกรดอะมิโนจึงถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เอาไว้เป็นตัวตั้งต้นสำหรับการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายต่อไป ที่จริงแล้วในทางโภชนาการคอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้ไม่ครบถ้วนและไม่เพียงพอ ดังนั้นการกินแต่คอลลาเจนโดยที่ไม่ได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพดีอย่างอื่นมากพอในระยะยาว จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และการกินคอลลาเจนเพื่อให้ผิวสวยนั้นคงได้ผลน้อย ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนจากการกินอาหารที่ครบหมวดหมู่อย่างหลากหลายและสมดุล การที่ผิวหนังจะสวยได้จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดอย่างมากพอ และต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เร่งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนด้วย เช่น การอยู่ในที่แสงแดดจัดเป็นเวลานานหรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลบำรุงสมองตัวนี้กำลังมาแรง เครื่องดื่มที่โฆษณาว่าทำให้เก่ง มีผลต่อสมอง เครื่องดื่มในกลุ่มนี้บางชนิดใช้คำว่า “เบรนฟิต” หรือ “สมาร์ท” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อผลิตภัณฑ์ ลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้คือ มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโน หรือในบางผลิตภัณฑ์จะมีการเสริมกรดไขมันโมเลกุลยาวที่สกัดจากปลา ที่เรียกว่าโอเมก้าสามหรือดีเอชเอ ร่วมด้วย ความจริงเปปไทด์และกรดอะมิโนคือหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้เลย โดยปกติเมื่อเรากินอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากพืช (ถั่วต่างๆ) หรือโปรตีนจากสัตว์ ร่างกายจะมีน้ำย่อยหรือเอนไซม์ มาย่อยสลายโปรตีนนั้นให้มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป สำหรับเปปไทด์นั้นคือกรดอะมิโน 2 หรือ 3 ตัวเรียงต่อกัน ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมเปปไทด์สายสั้นนี้ได้ดีกว่ากรดอะมิโนเดี่ยว ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายสามารถนำเปปไทด์หรือกรดอะมิโนนั้นไปใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตามแต่ละท่านคงต้องพิจารณาว่าร่างกายท่านมีความจำเป็นที่ต้องการเปปไทด์หรือกรดอะมิโนต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้นทันทีหรือไม่ ถ้าเรามีการรับประทานอาหารที่เหมาะสมครบถ้วนทั้งสามมื้อแล้ว การได้รับโปรตีนที่มากเกินไปไม่ว่าในรูปแบบใดจะส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการกำจัดออกจากร่างกาย ซึ่งมีโอกาสทำให้ไตของเราเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเหล่านั้นไปใช้ได้ทันที อาจมีผลทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ฉลาดขึ้นไปด้วย ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ก่อนเข้าห้องสอบของนักเรียน/นักศึกษานั้นคงไม่ได้ทำให้นักศึกษาผู้นั้นทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น ถ้าไม่ได้มีการศึกษาทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอมาก่อน ดีเอชเอ (DHA) เป็นคำย่อมาจาก docosahexaenoic acid ซึ่งก็คือคือกรดไขมันโมเลกุลยาวชนิดหนึ่งทีมีอยู่มาก ในสมอง ประสาทตา และหัวใจ เนื่องจากในสมองจะมีเซลล์ไขมันอยู่มากที่สุด ดังนั้นการได้รับกรดไขมันชนิดนี้มากพอจึงเชื่อว่าช่วยพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของร่างกายทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แหล่งอาหาที่สำคัญของไขมันชนิดนี้คือการบริโภคปลาเป็นประจำ อย่างไรก็ตามหลายท่านอาจบอกว่าไม่ค่อยได้กินปลา จึงหันมากินผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริม DHA แทน เพื่อหวังผลทางสุขภาพเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานผลทางสุขถาพที่ชัดเจนของเครื่องดื่มเหล่านี้ว่ามีผลต่อพัฒนาการของสมอง นอกจากนี้อย่าลืมว่าการที่สมองของคนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย เช่น การได้รับออกซิเจนและกลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่สุดของสมองอย่างเพียงพอด้วย การพักผ่อน ที่เพียงพอและไม่เครียดเกินไปก็มีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นด้วย เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อการระบายเครื่องดื่มเชิงสุขภาพส่วนใหญ่ที่จำหน่ายทั่วไปมักมีการเสริมใยอาหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ระบุชนิด (เช่น อินนูบิน) และไม่ระบุชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน (0.25 – 2.1 %) และมักจะกล่าวอ้างคุณประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารและกระตุ้นการขับถ่าย ความจริงอย่างไรก็ตามปริมาณใยอาหารที่เพิ่มขึ้นในบางผลิตภัณฑ์อาจไม่มากพอที่จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ เช่น “บริ๊งค์ คอลลาเจน ดริ๊งค์” ที่มีส่วนประกอบของใยอาหารเพียง 0.25 % ในขวดผลิตภัณฑ์บรรจุ 50 มิลลิลิตรจะได้รับใยอาหารเพียง 0.125 กรัม เท่านั้น หรือบางผลิตภัณฑ์ที่ระบุคำว่าใยอาหารในชื่อผลิตภัณฑ์ เช่น “เซ็ปเป้บิวติ ดริงค์ ใยอาหาร” มีส่วนประกอบของใยอาหาร 2 % ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่ามีใยอาหารประมาณ 3.6 กรัม ต่อขวด (180 มิลลิลิตร) ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ยังไม่มากพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน (20-25 กรัมต่อวัน) ดังนั้นผู้บริโภคที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ต้องไม่ลืมที่จะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม ถูกสัดส่วนเช่นเดิมด้วย เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีตามต้องการ เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อสุขภาพโคเอนไซม์คิวเทน (Co Q 10) เป็นสารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่มีการเติมกันมากในเครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพ ปริมาณที่เติมประมาณ 15-29 มิลลิกรัมต่อขวด ความจริงโคเอนไซม์คิวเทนหรือบางคนเรียกว่าคิวเทน เป็นสารที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีอยู่มากในอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ไต มีหน้าที่ช่วยให้เกิดพลังงานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก โดยทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัวแต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง โดยปกติการสังเคราะห์โคเอนไซม์คิวเทนอาจลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งการได้รับยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดก็ทำให้การสังเคราะห็โคเอนไซม์คิวเทนลดลงได้ จึงควรมีการบริโภคโคเอนไซม์คิวเทนจากอาหารเพิ่มให้มากเพียงพอ โดยการกินอาหารเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับเครื่องดื่มที่มีการเสริมโคเอนไซม์คิวเทนต้องระวังว่าปริมาณที่เติมนั้นอาจลดลงจากเดิมได้ง่าย เนื่องจากสารโคเอนไซม์คิวเทนมีความไวต่อแสงมาก เครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างว่าช่วยในการเผาผลาญพลังงาน มักจะมีการเติมสาร แอล-คาร์นีทีน (L-Carnitine) ประมาณ 0.04-0.7 % ความจริงแอล-คาร์นีทีนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ดังนั้นข้อดีของแอล-คาร์นีทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน โดยปกติร่างกายเราจะมีสารแอล-คาร์นีทีนอยู่มากพอ ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติที่อาจพบว่ามีการขาดสารแอล-คาร์นีทีนได้ โดยที่จริงแล้วคนรักสุขภาพทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีการเติมสารคาร์นีทีนเพิ่ม ถ้ามีการกินอาหารที่เป็นแหล่งของแอลคาร์นีทีนเป็นประจำ ที่พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก เด็กและสตรีมีครรภ์ก็ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร เครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มเพื่อความขาวของผิวพรรณ แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีการเติมเพิ่มในเครื่องดื่มที่กล่าวอ้างทางสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องความขาว รวมทั้งอ้างว่าแก้อาการเมาค้างด้วย ความจริงมีการศึกษาพบว่ากลูตาไธโอนช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซี และอี ในการทำลายอนุมูลอิสระ และยังมีหน้าที่สำคัญ ในการช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ โดยทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น และยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ ในประเด็นหลังนี้ผู้ผลิตเครื่องดื่มนำมาเป็นจุดขายกับผู้ที่นิยมการดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ โดยปกติร่างกายคนเราผลิตสารกลูตาไธโอนได้เอง ยกเว้นคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน การโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตลาดเครื่องดื่มสุขภาพในประเทศไทยที่พบเห็นทั่วไปมักจะกล่าวอ้างว่า “ดื่มแล้วสวย เก่ง ฉลาด มีผลดีต่อสมอง” เป็นหลัก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนหนุ่มสาวหรือวัยทำงานในเมืองที่มีวิถีชีวิตค่อนข้างรีบเร่ง อาจไม่มีเวลาในการดูแลตนเองมากนัก แต่รักสวยรักงาม อยากมีร่างกายที่ฟิต เก่ง และมักมีความสนใจในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ จากการสำรวจตลาดพบว่ามีผลิตภัณฑ์เคื่องดื่มประเภทนี้มากกว่า 30 ชนิดที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป โดยมีราคาแตกต่างกันตั้งแต่ประมาณ 20-40 บาท เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใดคงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย จากการพิจารณาส่วนประกอบของเครื่องดื่มเหล่านี้ที่แสดงอยู่ที่ภาชนะบรรจุจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะประกอบด้วยส่วนผสมของน้ำผลไม้ และมักมีการเติมวิตามินแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่มีการเติมสารเฉพาะบางอย่างที่มีการกล่าวอ้างว่ามีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น คอลลาเจน โคเอนไซม์คิวเทน คาร์นีทีน กรดอะมิโนหรือเปปไทด์ เป็นต้น เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อดื่มแล้วจะได้รับ”น้ำ”เข้าสู่ร่างกายเป็นหลัก ช่วยลดความกระหายและเพิ่มความชุ่มชื้นกับร่างกาย สำหรับสารเสริมต่างๆ นั้นอาจมีประโยชน์กับร่างกายบ้างแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ซึ่งที่จริงแล้วคนเราทั่วไปไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องดื่มสารเสริมต่าง ๆ เหล่านั้น เพิ่มขึ้น เพราะสารต่างๆ เหล่านั้นมีอยู่มากพอในอาหารตามธรรมชาติ (ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้) ที่รับประทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่า การดื่มเครื่องดื่มเสริมสุขภาพเหล่านี้เป็นการดื่มน้ำที่มีราคาแพงที่ให้ผลต่อสุขภาพค่อนข้างน้อย แต่จากการโฆษณาอาจทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพ ซื้อมาบริโภคเป็นประจำ จนละเลยการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคที่ดี ก็อาจจะไม่มีสุขภาพแข็งแรง ผิวสวย เก่ง หรือฉลาดอย่างที่ต้องการได้ โดยทั่วไปราคาของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีค่อนข้างแพง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อหามาบริโภค โดยเฉพาะถ้ามีรายได้ไม่มากพอ แต่ถ้าคุณรวยล้นฟ้าจะซื้อหามาดื่มบ้างก็คงไม่ว่ากันถ้ายังยึดการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคให้ดีอยู่ ท้ายที่สุดคงไม่มีอะไรที่จะดีกับสุขภาพของตนเองเท่ากับการให้เวลาใส่ใจในสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริง รู้จักการกินอาหารตามธรรมชาติให้เหมาะกับความต้องการ มีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เหมาะสม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และทำใจให้เป็นสุข ไม่เครียดจนเกินไป ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วอาหารเสริมสุขภาพชนิดใดก็สู้ไม่ได้แน่นอนค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 106 ของขวัญที่คุณไม่อยากได้

ฉลาดซื้อฉบับนี้กลัวตกรถไฟเลยต้องเกาะกระแสไอเดียของขวัญปีใหม่กับเขาบ้าง แต่เราจะลองหันมาพูดถึงอีกแง่มุมของการให้ของขวัญบ้าง นั่นคือของขวัญที่คนไม่อยากได้ สมาชิกฉลากซื้อหลายท่านคงจะเคยได้รับของขวัญที่เมื่อได้มาแล้วไม่รู้จะทำอะไร จะทิ้งก็กระไร วางไว้ก็ฝุ่นเกาะ ทำให้กลายเป็นของรกบ้าน ว่าแล้วเราเลยลองทำการสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างที่เป็นของขวัญไม่พึงประสงค์ สำหรับปีใหม่ที่จะถึงนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 170 คน ในการสำรวจระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีพ.ศ. 2552 ที่ (หญิง 106 คน ชาย 59 คน) โดยร้อยละ 60 อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ลองมาดูว่าเราพบอะไรบ้าง   TOP TEN unwanted gifts 10 อันดับของที่ไม่อยากได้ {xtypo_rounded_left2} 1. เครื่องดื่มอัลกอฮอลล์ “ไม่อยากให้ใครดื่มของมึนเมา” “ถือศีลห้า” “รณรงค์ว่าไม่ดี” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}6. กระปุกออมสิน“ไม่ได้ใช้ ฝากเงินกับธนาคาร” “ไม่มีเงินใส่” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}2. น้ำยาดับกลิ่นตัว /กลิ่นปาก“เหมือนหลอกด่า”“ซื้อเองได้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}7. เทียนหอม“ไม่ค่อยได้ใช้ประประโยชน์”“กลัวไฟไหม้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2} 3. สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก“ยี่ห้อไม่ถูกใจ” “รู้สึกไม่ใช่ของขวัญ{/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}8. เครื่องแก้ว จาน ชาม“มีอยู่แล้ว”“ไม่ได้ใช้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}4. ชุดหม้อ/กระทะ“อยากซื้อเอง” “ดูผู้ใหญ่เกินไป” “ไม่ชอบทำอาหาร” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2} 9. ตุ๊กตา“ทิ้งไว้ฝุ่นเกาะ”“ไม่เหมาะกับวัย”{/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}5. เกมต่างๆ“ไม่มีเวลาเล่น”“ไม่มีประโยชน์” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}10. กรอบ/อัลบั้มรูป“เอารูปไปโพสต์ใน Facebook ก็ได้” “ขี้เกียจหารูปใส่” {/xtypo_rounded_left2} แผนปีใหม่ยอดนิยม1. ไปเที่ยวกับครอบครัว (ร้อยละ 62.5)2. ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต (ร้อยละ 59.5)3. ซื้อกุหลาบ เอ๊ย .. ของขวัญ ให้ตัวเอง (ร้อยละ 44.6)4. เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (ร้อยละ 34.5) งบซื้อของขวัญให้ตัวเอง : ร้อยละ 33 บอกว่าตั้งงบประมาณในการซื้อของให้ตัวเองในปีใหม่นี้เอาไว้ประมาณ 500 – 1,000 บาท อีกร้อยละ 26 ยินดีทุ่มสุดตัวด้วยงบต่ำกว่า 500 บาท งบซื้อของขวัญให้คนอื่น: ร้อยละ 40 เตรียมใจใช้งบไม่เกิน 500 บาทเพื่อซื้อของให้คนอื่น อีกร้อยละ 35 ตั้งใจจะซื้อของขวัญให้คนอื่นด้วยงบระหว่าง 500 -1,000 บาท ให้โดยไม่สูญเสีย นาทีนี้ เงินสดคือของขวัญที่ดีที่สุด?นักเศรษฐศาสตร์มีทัศนะว่าการให้ของขวัญที่จะส่งผลดีต่อทั้งผู้รับและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมนั้นคือการให้เป็นเงินสดไปเลย ... ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะมันเป็นการให้ที่ปราศจาก “การสูญเสียโดยไร้ประโยชน์” เจ้าการสูญเสียฯ ที่ว่านี้เขามีการวัดไว้ด้วย งานวิจัยของ Joel Waldfogel แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียได้ทำการวิจัยพบว่า คนเราจะประเมนราคาของที่ตนเองได้เป็นของขวัญ ต่ำกว่าราคาที่แท้จริงของมันร้อยละ 20 ทางเศรษฐศาสตร์เรียกมูลค่าที่หายไปร้อยละ 20 นี้ถือเป็นการสูญเสียโดยไร้ประโยชน์ หรือ Deadweight Loss นั่นเอง เขาบอกว่าในอเมริกานั้นมีการสูญเสียดังกล่าวถึงปีละ 25,000 ล้านเหรียญต่อปีในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเลยทีเดียว* ดังนั้นเขาจึงสรุปว่าการให้เงินสดหรือบัตรของขวัญ เพื่อให้ผู้รับนำไปซื้อของขวัญที่ตนเองต้องการเลยนั้นเหมาะที่สุด แต่อย่าเพิ่งท้อใจไป ถ้าคุณยังทำใจไม่ได้ และยังอยากให้ของขวัญที่เป็นมากกว่าบัตรหรือแบงค์ ก็อย่าลืมทำการบ้านมาให้ดี สืบเสาะ ใส่ใจ คลุกวงใน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมาให้ได้ว่าคนที่คุณต้องการซื้อของขวัญให้นั้นเขาอยากได้อะไร อัตราการสูญเสียฯ ที่ว่านั้นจะได้ลดน้อยลง หรือไม่ก็หันไปลงมือทำ “ของขวัญ” ที่สร้างคุณค่าทางจิตใจเสียเลย รับรองไม่พลาดเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมูลค่า ? *อ้างอิงจากบทความ Scroogenomics: Gift-giving is waste of money, economist says จาก www.financialpost.com วันที่ 4 ธันวาคม 2552 GREEN GIFTS / SLOW GIFTS / SAFE GIFTSหม้อความดันไอน้ำ ... เขาว่าเป็นเครื่องครัวที่สามารถใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นกานใช้ความดันไอน้ำเพื่อทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น ใครจะซื้อหามาเป็นของขวัญให้กับเพื่อหรือญาติที่รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจก็ไม่ว่ากัน ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อไว้ดังนี้ การเลือกซื้อหม้อความดันไอน้ำ สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือ ขนาดของหม้อต้องเหมาะสมกับการใช้งาน สอง ระบบการไหลเวียนของไอน้ำในภาชนะต้องมีประสิทธิภาพดี เนื่องจากในขณะใช้หม้อความดันไอน้ำ จะมีความดันสูง อาจทำให้เกิดอันตรายได้ หากหม้อระเบิดขึ้น เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อต้องดูว่าหม้อความดันไอน้ำนั้น มีเครื่องหมายประกันคุณภาพในด้านความปลอดภัย เช่น T?V, CE หรือ GS หรือไม่ สาม ตรวจสอบอะไหล่และชิ้นส่วนของหม้อไอน้ำ เช่น ซีลริง (Seal ring) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่จะเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน หากผู้บริโภคซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์เนม เวลาหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยน ก็จะสามารถหาอะไหล่ประเภทนี้ได้ง่ายกว่า สินค้าราคาถูกที่ไม่ได้ทำอะไหล่รองรับการใช้งานในระยะยาว นอกจากนี้ มาตรบอกความดันก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก เพราะช่วยให้เราทราบถึงระดับความดันในหม้อ ซึ่งจะมีประโยชน์ในด้านการประหยัดพลังงานเพราะเมื่อเราให้ความร้อนจนกระทั่งความดันในหม้อถึงระดับที่ต้องการแล้ว เราก็สามารถปรับระดับของความร้อนจากเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊สลง โดยที่ความดันในหม้อยังรักษาระดับไว้อยู่ สุดท้าย คือ การทำความสะอาด ควรพิจารณาว่าหม้อความดันไอน้ำสามารถแยกชิ้นส่วนได้หรือไม่ หากทำได้ ก็จะทำให้การทำความสะอาดหม้อสะดวกยิ่งขึ้น และจะทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บอีกด้วย ของเล่นปลอดภัย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หน.ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อของเล่นไว้ดังนี้ “ ของขวัญสำหรับเด็ก ๆ ในเทศกาลปีใหม่ ที่พ่อแม่ต้องเลือกให้ลูก ๆ ควรเป็นของเล่นที่สร้างสรรค์ และไม่เป็นอันตราย หรือหนังสือที่เหมาะกับเด็กก็ได้ ส่วนของเล่นที่ไม่ควรเลือกซื้อให้ลูกๆ เช่น ของเล่นที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนในสีที่เคลือบอยู่ ของเล่นที่มีความแหลมคมหรือมีชิ้นส่วนเล็กๆ เป็นต้น ฉะนั้นการให้ของขวัญกับลูกในช่วงเทศกาลนี้จึงควรเลือกซื้อของเล่นที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกๆ เช่น เด็กวัย 3 ปี ควรเลือกซื้อจิ๊กซอว์ ขนาด 10 ชิ้น แทน 50 ชิ้น เพราะยิ่งจำนวนชิ้นมาก ชิ้นส่วนก็จะเล็กลง เป็นอันตรายกับเด็กเล็กเพราะชิ้นส่วนอาจจะหลุดเข้าคอของเด็ก ๆ ได้ ส่วนเด็กๆ ที่อยู่ในวัยโตขึ้นมา อย่างเด็กผู้ชายต้องระวังเรื่องปืนอัดลมเด็กเล่นที่ผลิตเหมือนของจริงๆ เพราะความแรงของปืนทำให้เกิดบาดแผลได้ ส่วนลูกวัยรุ่นที่รอคอยของขวัญชิ้นใหญ่ที่อยากได้มานาน อย่างจักรยานยนต์นั้น พ่อแม่ควรคำนึงถึงให้มากที่สุด เพราะว่าจักรยานยนต์คือสินค้าที่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต สุดท้ายคือการเลือกซื้อของขวัญสำหรับครอบครัวใหม่ อย่างสินค้าสำหรับทารก อย่าง โมบาย ยางกัด กุ๊งกิ๊ง รถหัดเดิน นั้น สินค้าบางอย่างในหมวดนี้มักจะมีมาตรฐานควบคุมอยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลมาก แต่บางอย่าง เช่น รถหัดเดิน ที่บางประเทศห้ามใช้แล้ว เพราะ 2 ใน 3 ของผู้ใช้จะเกิดอุบัติเหตุนั้น ยิ่งต้องระวัง ไม่ควรซื้อเป็นของขวัญให้กับใครเลย" กระถางกุยช่ายให้คุณเทรนด์คนสนใจปลูกผัก ทำสวนครัวในเมืองมาแรงในปี 2552 และคาดว่าจะได้รับการตอบรับดีในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกอับเฉา ข้าวปลาอาหารราคาแพงและมีความเสียงปนเปื้อนสรอันตรา ผู้คนตึงเครียดกับการดำเนินชีวิตในวิถีคนเมือง รวมไปถึงกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่องในเรื่องอาหารอินทรีย์และการรักษาสุขภาพทางเลือก ที่เลือกทำได้เองง่ายๆ ในครอบครัว ประหยัดค่าใช้จ่าย ของขวัญปีนี้ที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เฉพาะเลยกับเจ้าของคอลัมน์ Connecting ของฉลาดซื้อซึ่งเมื่อผ่านปีใหม่ 2010 ไม่นานก็จะกลายสภาพจากแม่มารเป็นคุณแม่ลูกอ่อน คือ กุยช่ายกระถาง พร้อมกับสูตรบำรุงน้ำนมจากเมนูกุยจากน้องจิต คุณแม่ลูก 2 กุยช่ายมีกลิ่นเฉพาะตัว เหมาะที่จะปลูกในกระถางก้นตื้นเพราะรากไม่ยาว ขึ้นได้ดีทั้งในร่มรำไร หรือกลางแดดจ้า ที่สำคัญปลูกขึ้นไว้เสียหนหนึ่งแล้วสามารถตัดกินแล้วปล่อยให้แตกกอได้เรื่อยๆ ในเขตร้อนชื้นอย่างบ้านเรายังปลูกให้เป็นดอกแล้วปล่อยให้เกิดเมล็ดจนเมล็ดแก่แล้วเก็บมาปลูกต่อก็ยังได้ ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าต้านทานต่อโรคแมลงและหอยทากอัฟริกา คุณค่าทางอาหารของต้นและใบกุยช่ายเหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดมากๆ เพราะมีฤทธิ์ขับน้ำนม มีเส้นใยมากทำให้รักษาสมดุลของระบบย่อยและช่วยในการขับถ่าย นอกจากกินสดและกินสุกกับผัดไทย ขนมผักกาด แล้วยังผัดกับตับหมูเป็นเมนูบำรุงเลือดได้ดี บางแห่งนำไปใส่ในแกงเลียง แต่สูตรน้องจิตที่เคยบอกฉันไว้ตอนแรกคลอดลูกชาย คือ นำไปต้มกับปลาช่อน โดยตั้งน้ำบนเตาด้วยไฟอ่อน ใส่หอมแดงบุบ 4 – 5 หัว ลงไปต้มให้เดือด ปรุงรสด้วยเกลือ แล้วใส่ปลาช่อนนาสดๆ ลงไปต้มให้สุกโดยไม่ต้องคน เมื่อเดือดดีอีกครั้งใส่ใบกุยช่ายลงไปแล้วดับเตาไฟ ยกลงรับประทานอุ่นๆ ถ้าชอบรสแซบก็เติมมะนาว พริกขี้หนูลงเพิ่มก็ไม่ว่ากัน จริงๆ กำลังรอเก็บเมล็ดผักโขมจีน ผักป็อบอาย hi- antioxidant ไว้สำหรับคุณพ่อกระรอกที่บอกว่าอยากได้ไปปลูกให้ลูกม่อนกินเป็น รวมไปถึงต้นกล้าส้มจีน ที่กะว่าจะนำมาแบ่งใส่กระถางรอวันให้คนสนใจอยากเอาไปปลูกลงดินให้กลายเป็นต้นใหญ่ ไว้ใช้ทำเครื่องดื่มและตำน้ำพริกแทนยามมะนาวแพงอีก 10 กว่าต้นนก อยู่วนา จากคอลัมน์เรื่องเรียงเคียงจาน  ของขวัญที่ลงมือทำเอง ศจินต์ ประชาสันต์ จากคอลัมน์ Connecting ก็ให้ไอเดียของขวัญเขียวๆ ช้าๆ ไว้เช่นกัน เจ้าตัวไม่ว่าถ้าใครสนใจจะลอกเลียนแบบ “การ์ดอวยพรทำเอง เค้กฝีมือคุณอา น้ำอัญชันจากสวนใส่ขวดผูกโบว์ ต้นไม้เล็กๆสักต้น ของสุดรักนำมาแลกเปลี่ยนกัน เสียงดนตรีเล่นเองอัดใส่ซีดี รูปถ่ายที่มีความหมายเอามาใส่กรอบ ผ้าปักครอสติส รูปวาด ปฏิทินปี 2553 ทำมือ บัตรสมนาคุณพาเที่ยวรอบหมู่บ้านโดยรถจักรยานฟรีตลอดสัปดาห์ ซีดีเพลง green สักแผ่น ตุ๊กตาเต่าหรือหอยทาก (เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการใช้ชีวิตให้ช้าลง) ข้าวสารอินทรีย์ แชมพูสมุนไพร สบู่ทำเอง หนังสือว่าด้วยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์หุงข้าว ตะกร้าสานใส่ผ้า โมบายปลาตะเพียน ฯลฯ”ศจินต์ยังแนะนำชั้นในยี่ห้อ TRY ARM ของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ไว้ด้วย กางเกงชั้นใน Try Arm ราคาตั้งแต่ 39//59/79 แม้จะมีสีและแบบให้เลือกยังไม่มาก แต่ดูจากเนื้อผ้าและการตัดเย็บแล้ว ราคานี้ถือว่าคุ้มจริงๆ ค่ะพี่น้องหาซื้อได้ที่ใต้ถุนตึกกระทรวงแรงงานและบูธที่โรงแรมเดอะพาลาสโซ่ ใกล้ศูนย์วัฒนธรรม ทางกลุ่มบอกว่าปีหน้าจะมีเสื้อชั้นในออกมาให้ได้ซื้อหากันด้วย ไอเดียเก๋ๆ จากเว็บคนรักสิ่งแวดล้อม www.treehugger.comผ้าพันคอเส้นใยธรรมชาติผ้าพันคอเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องมี เพราะสามารถเข้ากับเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ กางเกงยีนส์ หรือจะคลุมทับค็อกเทลเดรสใส่ไปเฉิดฉายในงานปาร์ตี้ก็ได้ คราวน์เจเวลส์ลิปกลอสจากทาร์ตชุดลิปกลอสคราวน์เจเวลส์จากทาร์ต 15 แท่งที่ไล่เฉดสีตั้งแต่ชมพูอ่อนไปถึงแดงเข้มและทองระยับไปจนถึงน้ำตาล หนึ่งกล่องมี 3 ชุด ชุดละ 5 แท่ง ซึ่งคุณจะแบ่งให้เพื่อนคนละชุดหรือจะมอบให้ทีเดียวหนึ่งกล่องใหญ่เลยก็ได้ ที่สำคัญลิปกลอสน่ารักๆ พวกนี้ปราศจากสารเคมี เช่น พาราเบน ปิโตรเคมิคอล น้ำหอม และซัลเฟตอีกด้วย คีย์บอร์ดและเมาส์ไม้ไผ่จากผลงานของ Brandoคีย์บอร์ดไม้ไผ่ขนาดมาตรฐาน 106 ปุ่ม และเมาส์ลูกกลิ้ง ใช้ได้ทั้ง OS Windows และ Linux เปลี่ยนโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่แสนจะธรรมดาให้ดูน่าสนใจขึ้น เพิ่มต้นไม้และจุดเทียนหอมสักหน่อยก็จะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น โปสเตอร์หนังทำเอง ทำโปสเตอร์ที่มีอันเดียวในโลกด้วยการปะติดรูปภาพและข้อมูลของคุณลงบนโปสเตอร์หนังที่ชื่นชอบ ซึ่งเป็นของขวัญที่เหมาะมากๆ สำหรับเพื่อนผองพี่น้องที่หลงใหลในภาพยนตร์ กล่องข้าวสุดกิ๊บให้กล่องข้าวเป็นของขวัญเพื่อให้คนรับมีภาชนะที่สะอาดสำหรับใส่อาหารพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ทั้งยังช่วยลดขยะได้อีกด้วย ว้าว! ถุงซิปถุงซิปขนาดพกพาจะช่วยเก็บอุปกรณ์ที่จำเป็นหรืออาจต้องใช้ยามฉุกเฉินเวลาเดินทาง เช่น ไฟฉาย กุญแจ หรือสิ่งอื่นๆ ไว้ใกล้มือ ปลอกคอสัตว์เลี้ยงปลอกคอน่ารักๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่คุณสามารถทำได้เอง โดยใช้วัสดุเหลือใช้มาดัดแปลง เช่น ถุงผ้า ซิป กระดิ่ง ริบบิ้น ฯลฯ ตกแต่งลวดลายต่างๆ ให้สวยงาม กระเป๋าผ้าลายสวยกระเป๋าผ้าจากฝีมือคุณแสดงถึงความตั้งใจที่คุณจะมอบให้กับใครสักคน แถมยังช่วยลดโลกร้อน อย่างนี้เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โคมไฟประดิษฐ์จากขวดเบียร์ดินเนอร์จะกลายเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่น่าจดจำ ด้วยเทียนในขวดแก้ว ที่คุณสามารถมอบเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนอื่น สร้างพื้นที่สีเขียวสร้างพื้นที่สีเขียวมอบเป็นของขวัญให้โลก วิธีการง่ายๆ เพียงปลูกต้นไม้ที่บ้านตัวเอง และชักชวนให้เพื่อนมาร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 บุญ ไม่ใช่การซื้อ

คงไม่ใช่การพูดเกินเลยไปนัก หากจะมองว่าสังคมไทยวันนี้มีรูปแบบ “การทำบุญ” ไม่ต่างจากรูปแบบการบริโภคอื่นๆ คือ ต้องการอะไรสำเร็จรูป สะดวก รวดเร็วและอาศัย “เงิน” เป็นเครื่องมือไปสู่ความสุขหรือสู่การมีบุญ บุญในพุทธศาสนามาจากภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ บุญเป็นเครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เรียกกันว่า กิเลส ดังนั้นความหมายที่แท้จริงของการทำบุญคือ การทำให้เราลด ละ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ ความตระหนี่ ความลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความทุกข์ในจิตใจ หากสละได้ก็ทำให้ใจเป็นอิสระ ลดความเป็นตัวตนลง ถือเป็นโอกาสสร้างคุณความดีอื่นๆ ต่อไป   ดังนั้นการทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การตั้งหน้าตั้งตาซื้อ การทำบุญในพุทธศาสนาสามารถทำได้มากมายหลายวิธี ซึ่งขอสรุปให้เป็นแนวทาง 10 วิธี ดังนี้ 1.การให้ทาน บริจาคเงิน สิ่งของ (ทานมัย)2.การถือศีลหรือลดความประพฤติไม่ดี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น (ศีลมัย)3.การเรียนรู้ ฝึกจิตให้สงบไม่เศร้าหมอง ทำให้เกิดปัญญา (ภาวนามัย)4.การสละแรงกายช่วยเหลือสังคมและผู้อื่น เป็นงานเพื่อส่วนรวม (ไวยาวัจจมัย) 5.การอ่อนน้อมถ่อมตน แม้มีอาวุโสกว่าก็มีเมตตา รู้จักให้เกียรติ (อปจายนมัย)6.การยอมรับและมีความยินดีในการทำความดีของผู้อื่น (ปัตตานุโมทนามัย) 7.การเผื่อแผ่โอกาสให้ผู้อื่นได้ร่วมทำบุญหรือความดีกับเรา พร้อมเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับส่วนบุญนั้นด้วย (ปัตติทานมัย) 8.การรับฟังธรรมะและข้อคิดดีงาม (ธรรมสวนมัย) 9.การให้ธรรมะและและข้อคิดที่ดีงามแก่ผู้อื่น (ธรรมเทศนามัย)10. การนึกคิดในทางที่ถูกต้องดีงาม (ทิฎฐุชุกรรม) หากดูจาก 10 ข้อ ที่กล่าวมา คนส่วนใหญ่จะคิดถึงเพียงข้อแรกคือ การให้ทาน และมักเข้าใจว่าต้องทำกับพระเท่านั้น กลายเป็นว่าเวลาต้องการทำบุญ เลยต้องไปซื้อ ถังบรรจุสิ่งของ ที่เรียกกันทั่วไปว่า ชุดสังฆทาน ไปมอบแด่พระภิกษุสงฆ์ ถามว่าได้บุญไหม ก็ได้อยู่ แต่ถ้าจะให้ดี ควรเลือกถวายของที่พระท่านจะได้นำไปใช้จริงๆ ไม่ใช่ของที่ใช้ประโยชน์ได้น้อยจนพระท่านต้องทิ้งให้กองอยู่ล้นวัด อย่างนี้จะได้บุญมากกว่า การให้ทานแก่ผู้อื่นนอกจากพระสงฆ์ก็เป็นบุญเช่นกัน มีคนมากมายที่เราควรให้ความเอื้อเฟื้อ เช่น เด็กยากจน เด็กกำพร้า ผู้พิการ ฯลฯ หรือแม้แต่การสงเคราะห์สัตว์ เช่น สุนัข แมวเร่ร่อน ก็เป็นบุญเช่นกัน เอาเขามาเลี้ยงในบ้านเพื่อช่วยรักษาชีวิตของเขา หรือบริจาคเงินให้แก่หน่วยสงเคราะห์สัตว์ ทานอีกอย่างที่สำคัญคือ ธรรมทาน เช่น การให้หนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ช่วยให้ผู้อื่นมีแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลจิตใจ สุขภาพ ร่างกาย ก็ถือว่าได้บุญเช่นกัน ไม่มีเงิน ก็ทำบุญได้ทำบุญไม่ได้แปลว่าให้ทานเสมอไป ไม่มีเงินเลยก็สามารถทำบุญได้เหมือนกัน การงดสิ่งเสพติด งดอบายมุข ก็ถือว่าได้บุญแล้ว รักษาศีล ไม่ประพฤติตนเป็นคนเกเร อันธพาล ไม่เป็นหนี้เป็นสินหรือไม่ใช่จ่ายให้เกินตัว ทำให้ชีวิตให้โปร่งเบาโดยลดกิเลสต่างๆ ลง เหล่านี้ไม่ต้องใช้เงิน ก็นับเป็นการทำบุญที่อานิสงค์ ไม่แพ้การให้ทานแต่ประการใด สังฆทาน ที่แท้นั้นคืออะไร“การทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน”จะทำบุญกันทั้งที ก็ให้มันมีสติหน่อยพี่น้อง หากจะเลือกการทำทาน ที่เรียกว่า “สังฆทาน” ขอท่านได้โปรดพิจารณา ชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรม ที่ฉลาดซื้อไปตะลุยซื้อมา ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จำนวน 15 ชุด แล้วลองทบทวนกันให้ดีอีกนิดว่า การถวายสังฆทานครั้งต่อไป ท่านยังจะเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปอีกหรือไม่ พฤติกรรมการเลือกซื้อ “ชุดสังฆทาน”บริษัท นาโน เซิร์ช จำกัด ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 200 ราย ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เกี่ยวกับพฤติกรรมการทำบุญและเลือกซื้อชุด “สังฆทาน” โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 44 หญิง ร้อยละ 56 ช่วงอายุระหว่าง 22 – 45 ปี   จากการสำรวจพบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าประเภทชุดสังฆทาน ส่วนใหญ่เลือกซื้อในรูปแบบที่มีการจัดสำเร็จรูปพร้อมยกไปใช้งานถึง ร้อยละ 61.1 และ ร้อยละ 21.1 เลือกจะไปใช้บริการที่วัดที่มีการบริการเกี่ยวกับชุดสังฆทานเมื่อต้องการถวายอยู่แล้ว และอีกร้อยละ 18.1 ซื้อของที่ต้องการและนำมาจัดชุดเอง ส่วนการเลือกซื้อชุด “สังฆทาน”ของผู้บริโภค นั้นพบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้ตรวจสอบสินค้าก่อน ดูแค่ลักษณะภายนอกว่ามีสินค้าอะไรบ้าง ร้อยละ 40 ส่วนผู้บริโภคทีดูว่าสินค้าภายในชุดสังฆทานนั้นครบถ้วนอย่างที่ต้องการหรือไม่ มีเพียงร้อยละ 33.5 การจัดชุด”สังฆทาน” จะมีการตั้งราคาขายไว้อยู่แล้ว มีทั้งในรูปแบบขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ ขนาดใหญ่ มูลค่าจะสูงขึ้นตามขนาดของสินค้าหรือของที่อยู่ภายใน ซึ่งราคาที่ผู้บริโภคเลือกซื้อได้นั้น อยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อชุด ร้อยละ 50 และ ไม่เกิน 200 บาทต่อชุด ร้อยละ 21 และราคา 401-600 บาท ร้อยละ 21 ในสัดส่วนที่เท่ากัน ที่มา http://www.businessthai.co.th{/xtypo_rounded2} สุดท้ายก็ไปกองล้นวัด จากการสำรวจของฉลาดซื้อ สิ่งของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป ประกอบด้วยของ 5 กลุ่มหลัก คือ 1.ภาชนะบรรจุ แน่นอนส่วนใหญ่เป็นถังพลาสติกสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่แนวสุดในการสำรวจครั้งนี้คือ ย่ามพระ 2.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องดื่มสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ รสช็อกโกแลต นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสารแบ่งบรรจุ ขนมอบ กาแฟ ครีมเทียม 3.ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องใช้ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้ว ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีดโกน เข็มด้าย ธูป เทียน ทิชชู่ กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุดโน้ต ปากกา ยาจุดกันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำ ฝอยเหล็กล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็กสำหรับเช็ดหน้าหรือเช็ดมือ 4.ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้ 5.เครื่องใช้สำหรับพระ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ ข้าวของเครื่องใช้ดังปรากฏในรายงานการสำรวจครั้งนี้ แทบไม่ต่างจากการสำรวจของฉลาดซื้อเมื่อปี 2546 (ฉบับที่ 55 มิถุนายน-กรกฎาคม 2546) โดยฉลาดซื้อได้เคยเสนอทางเลือกให้ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พิจารณาจัดหาหรือเตรียมข้าวของเอง เมื่อมีความตั้งใจที่จะถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ แทนการซื้อสังฆทาน ถังเหลือง ที่ข้าวของส่วนใหญ่พระท่านไม่ค่อยได้ใช้ หรือของบางอย่างจำเป็นจริง แต่ที่ใส่หรือบรรจุในชุดสังฆทานมักเป็นของไม่มีคุณภาพ เช่น ธูปเทียนที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ แปรงสีฟันคุณภาพต่ำ ไฟฉายที่ใช้งานไม่ได้ ทิชชู่ที่เนื้อหยาบคุณภาพต่ำ น้ำรสผลไม้ที่อุดมด้วยน้ำตาลแต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร เป็นต้น รวมไปถึงถังเหลือง กล่องสบู่ ขันน้ำ ที่พากันไปกองทับถมอยู่ล้นวัด รายการสำรวจสังฆทาน ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2552 Doawload ตารางการสำรวจสังฆทาน ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2552 พระท่านคิดอย่างไรฉลาดซื้อได้นำรายการสินค้าจากการสำรวจไปสอบถามความคิดเห็นจากพระภิกษุสงฆ์ พบว่า ข้าวของส่วนใหญ่ที่ใส่มาในสังฆทานเป็น ของที่ไม่ค่อยจำเป็น มีประโยชน์น้อย 10. อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น ที่พบในชุดสังฆทานจากการสำรวจ 1.ใบชา เหตุผล เดี๋ยวนี้พระท่านไม่ค่อยฉันแล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ที่อยู่ในสังฆทานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีคุณภาพ เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือผงสมุนไพรห่อเล็กๆ ที่ดูด้อยคุณภาพ 2. ขิงผงสำเร็จรูป เหตุผล เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก แต่คนก็ชอบถวาย เพราะนึกว่าพระท่านจะชอบ 3. ยาจุดกันยุง เหตุผล สำหรับพระเมือง อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญเนื่องจาก ทางวัดน่าจะมีการจัดการที่ดีในการดูแลไม่ให้ยุงมารบกวนการทำกิจต่างๆ ส่วนพระป่า อาจมีความจำเป็นอยู่บ้าง 4. นมข้นหวาน เหตุผล พระท่านไม่รู้จะได้ใช้ตอนไหน เพราะถือว่าเป็นอาหาร หลังเพลก็ฉันไม่ได้แล้ว 5. กาแฟผงสำเร็จรูป เหตุผล พระท่านไม่รู้จะได้ฉันตอนไหนอีกเช่นกัน 6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน พลาสติกเหตุผล ใครๆ ก็หิ้วกันไป เลยเหลือกองอยู่ล้นวัด 7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เหตุผล เป็นของไม่มีประโยชน์ พระท่านฉันเพียง 2 มื้อเท่านั้น อีกอย่างเก็บไว้นานก็ไม่ดี เพราะจะหืนหรือเสียเร็ว และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในชุดสังฆทานแล้ว 8.น้ำดื่มบรรจุขวดเหตุผล น้ำดื่มบรรจุขวดที่อยู่ในถังสังฆทานมักมีสภาพไม่น่าดื่ม และส่วนใหญ่แต่ละวัดก็จะมีระบบเรื่องน้ำสำหรับดื่มภายในวัดที่พร้อมกว่า 9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ เหตุผล ไม่ใช่ของที่ดีต่อสุขภาพ 10.ธูปเทียน ไม้ขีดไฟเหตุผล มีจำนวนเกินพอในวัดแล้ว และที่มากับสังฆทานมักหักหรืออยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน พระไพศาล วิสาโลเจ้าอาวาสวัดป่ามหาวัน จังหวัดชัยภูมิสังฆทานนั้น ถ้าจะให้ได้บุญจริงๆ ต้องทำโดยไม่ต้องระบุ หรือมีเจตนาว่าจะให้กับพระรูปไหน ของที่จะให้พระก็ควรจะเป็นของพี่พระนำเอามาใช้ได้จริง หลายคนเลือกซื้อถังสังฆทานที่วางขายอยู่ตามร้านขายสังฆภัณฑ์ ซึ่งแต่ละถังก็มีราคาที่แตกต่างกัน ถูก – แพง ต่างกันไป แล้วแต่ว่าเขานำอะไรใส่ลงไปบ้าง แต่ที่เหมือนๆกันก็คือพระแทบจะนำมาใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ ขันน้ำบางทีก็แตกมา อาหารกระป๋องก็หมดอายุ เคยเห็นจีวรในถังสังฆทานไหมว่าผืนแค่ไหน ผืนนิดเดียวจะเอามาทำอะไรได้ คนทั่วไปมักมองว่า “พระ” คือ “บุรุษไปรษณีย์” ที่จะนำสิ่งของต่างๆ ไปให้กับญาติที่จากโลกนี้ไปแล้ว หลายคนเลือกของที่ญาติๆ พวกเขาชอบมาถวาย ก็ถือว่าทำได้ แต่ควรจะนึกถึงประโยชน์ที่ทางวัด หรือพระจะนำไปใช้ประโยชน์มากกว่า อย่างเช่นพวกสมุด ดินสอ ปากกา หลอดไฟฟ้า ที่สำคัญอีกอย่างก็คือของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ เจตนาต้องบริสุทธิ์ ผู้รับต้องบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน จึงจะได้ผลทานที่แท้จริง ชุดสังฆทานต้องมีฉลากแจ้งข้อมูลผู้บริโภคขณะที่คนส่วนใหญ่ยังชอบซื้อชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรมสำเร็จรูป หลายหน่วยงานของรัฐจึงได้เข้ามาดูแลและกวดขันการบรรจุสังฆทานหรือชุดไทยธรรมสำเร็จรูปมากขึ้น โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2550) ให้ชุดสังฆทานและชุดไทยธรรมเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยต้องระบุข้อความ รายการสินค้าที่ระบุขนาด มิติ ปริมาณ ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน และราคาของสินค้าแต่ละรายการ รวมถึงชื่อ สถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายชุดสังฆทานหรือชุดไทยธรรม ไว้ด้วย นอกจากนั้นยังต้องระบุวันเดือนปีที่หมดอายุ หรือวันเดือนปีที่ควรใช้ก่อนของสินค้าใดสินค้าหนึ่งที่นำมารวมนั้นระบุว่าเร็วที่สุด วันเดือนปีที่บรรจุ และราคารวมชุดจัดบรรจุที่ระบุหน่วยเป็นบาทและกรณีที่ชุดสังฆทานและชุดไทยธรรมใด ที่นำสินค้าที่อาจทำปฏิกิริยากันจนทำให้มีสี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคเนื่องในการใช้หรือโดยสภาพของสินค้านั้นได้ ผู้ผลิตต้อง ระบุคำเตือนในฉลาก เช่น ใบชา ข้าวสาร สบู่ และผงซักฟอก อาจทำปฏิกิริยากัน จนทำให้มีสี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ซึ่งข้อความที่ติดตั้งหรือแสดงฉลากต้องเป็นข้อความภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้อย่างชัดเจน หากผู้ใดขายสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยไม่มีฉลาก หรือมีฉลากแต่ฉลากนั้นไม่ถูกต้อง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้ที่พบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องสามารถแจ้งได้โดยตรงที่ สคบ.ในส่วนของ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ก็สามารถเอาผิดแก่ผู้ผลิตได้ หากนำของไม่มีคุณภาพตรงตามฉลากหรือหมดอายุมาจำหน่าย เพราะชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรม ถือเป็นสินค้าบรรจุหีบห่อ กฎหมายว่าด้วยการกระทำเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อไม่ตรงกับที่ระบุไว้ ถือเป็นความผิดกฎหมายหีบห่อ มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในกรณีสินค้าราคาต่ำแต่บวกราคาสูง มีความผิดปรับ 10,000 บาท และหากสินค้าไม่ครบตามจำนวนที่ระบุไว้ถือว่าผิดกฎหมายอาญาเข้าข่ายฉ้อโกง มีโทษปรับ 6,000 บาท จำคุก 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนรวมถึงพระภิกษุพบเห็นสามารถร้องเรียนสายด่วน 1569 ได้เช่นกัน 10 สิ่งของถวายสังฆทานที่อาจนึกไม่ถึง 1.ยาสระผม แต่คงไม่ต้องถึงขั้นถวายครีมนวดผมด้วย เพราะท่านใช้เพียงแค่โกนศีรษะให้ง่ายขึ้น และช่วยดูแลผิวบริเวณศีรษะที่ไม่มีเส้นผมปกคลุมบ้างเท่านั้น 2.มีดโกน ใบมีดโกน ซึ่งเป็นของจำเป็น พระท่านได้ใช้งานบ่อย แต่ไม่ค่อยมีคนถวาย 3.อุปกรณ์เครื่องครัว จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่คุณภาพค่อนข้างดี แม้ท่านมิได้นำไปประกอบอาหารเอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญ งานศพในวัดก็ได้ใช้ประโยชน์เสมอ อาจลองสอบถามดูว่าทางวัดต้องการมากน้อยแค่ไหน จะได้จัดเป็นชุดใหญ่ถวายให้เป็นของพระสงฆ์ เพื่อให้ชาวบ้านได้นำไปใช้ต่อในงานบุญงานประเพณีต่างๆ 4.อุปกรณ์งานช่าง ทั้งค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ของเหล่านี้พระในหลายวัดโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือนอกเขตเมือง ถือว่าเป็นสิ่งของจำเป็น พระท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาศาสนสถานภายในวัดได้ 5.อุปกรณ์งานทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ ก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกเช่นกันในการดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในวัด 6.ข้าวสาร อาหารแห้ง ประเภทที่บรรจุในชุดสังฆทาน ส่วนใหญ่จะเป็นของไม่มีคุณภาพพระท่านไม่ได้ประโยชน์เท่าไร แต่หากเลือกของมีคุณภาพดีจัดถวายเป็นชุดใหญ่ พระท่านก็สามารถรวบรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่ทางวัดให้การอุปการะอยู่ได้ 7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ แม้แต่กระดาษเป็นรีมๆ พระท่านก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญต่างๆ ของวัดได้ 8.หนังสือธรรมะ หนังสือแนวทางดูแลสุขภาพกาย ใจ รวมไปถึงหนังสือที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ในทางสร้างสรรค์ เช่น หนังสือเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงาน ที่คิดว่าพระท่านรู้แล้วจะนำไปบอกต่อญาติโยมได้ ก็ถือเป็นสิ่งของที่มีประโยชน์ 9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่มีคุณภาพดี แม้มีราคาค่อนข้างแพงสักหน่อยแต่พระท่านก็ได้ใช้ประโยชน์นานหลายปี ดีกว่าผ้าผืนบางๆ ที่บรรจุในถังสังฆทานราคาถูก อนึ่งการเลือกสี ขนาด เนื้อผ้า แต่ละวัดก็จะมีระเบียบในการครองผ้าสีต่างกัน หากเราอยากถวายพระวัดไหน ก็ย่องไปดูเสียก่อนว่าพระท่านใช้สีอะไรก็จะได้จัดหาได้ถูกต้อง 10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐานการผลิต พร้อมกับคู่มือการใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อให้พระท่านได้ใช้ประโยชน์จากยาได้สูงสุด ไม่ก่อให้เกิดโทษภัยจากการใช้ยาผิดวิธี แถม… อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมาก นอกจากการถวายสิ่งของ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธ ได้บุญแรงเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 ผัก ผัก ผัก ไม่กินผักทำไม(เรา)ต้องบอก

ที่จั่วหัวอย่างนี้ไม่ได้จะมารีวิวหนังแต่อย่างใดหรอกนะครับ เพียงแต่ได้รับคำสั่งจากทาง บก. ของนิตยสารฉลาดซื้อให้ไปเขียนสรุปเนื้อหาที่เคยออนแอร์ทางรายการ “กระต่ายตื่นตัว” ที่ทำกันอยู่ให้ออกมาเป็นบทความเกี่ยวกับ “ผักปลอดสารพิษ” ให้คุณผู้อ่านได้ย่อยง่ายๆ กันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อต้อนรับเทศกาลกินเจ ให้ได้บุญกันทั้งคนกินและคนปลูก ไอ้กระผมก็คันไม้คันมืออยากจะเขียนใจแทบขาดแล้วสิครับ เพราะปกติทำแต่รายการโทรทัศน์ไม่เคยเขียนบทความกับเขาเสียที เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะเคยมีประสบการณ์เดินเลือกซื้อผักในซูเปอร์มาเก็ตกันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะครับ ทีนี้เคยผ่านตากับคำว่า “ผักปลอดสาร” หรือ “ผักอนามัย” ที่ติดอยู่ตามฉลากหรือแพ็คเกจจิ้งกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย ขอเดาต่อเลยแล้วกันนะครับว่าเมื่อวิญญาณทางตาของคุณผู้อ่านได้เห็นรูปดังนั้น สัญญาก็พลันจดจำคำว่า “ปลอด” หรือ “อนามัย” ได้ สังขารก็เลยปรุงแต่งต่อไปว่า “ผักนี้ต้องปลอดภัยไร้สารพิษใดๆ แน่ๆ เลย” เอาล่ะสิครับ ชงมาซะขนาดนี้ ท่านผู้มีญาณทั้งหลายพึงเกิดคำถามขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะครับว่า “อ้าว แล้วอย่างนี้มันปลอดภัยจริงหรือ?”    ขออนุญาตปรับความเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับ คือคำว่า “ปลอด” เนี่ย ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานคือ พ้นจาก, ปราศจาก ฉะนั้น ผักปลอดสาร (พิษ) ก็ควรที่จะหมายความว่า “ผักที่ปราศจากสารพิษทั้งหลายทั้งปวง” หรือมีค่าสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเท่ากับ “ศูนย์” ในทางคณิตศาสตร์ แต่เอาเข้าจริงแล้วคุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่าเจ้าผักเหล่านี้ยังมีสารเหล่านั้นเจือปนอยู่ “อ้าว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ นี่ผู้ผลิตโกหกเราอย่างนั้นรึ?”... ผมขออธิบายให้ฟังดังนี้ครับ   ผักสวยๆ งามๆ ที่เรามักจะพบเห็นได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาเก็ตตลาดนัดแผงลอยต่างๆ ไม่ว่าจะมีฉลากติดตรงแพ็คเกจพร้อมเขียนตัวเบ้อเร่อว่าปลอดสาร, ไร้สาร, ผักอนามัย หรืออะไรก็ตามแต่หรือจะเป็นแค่ผักเปลือยๆเปล่าๆที่แม่ค้าจัดเป็นกองมัดเป็นกำใส่ตะกร้าโชว์ไว้ ถ้าไม่ใช่ผักอินทรีย์หรือผักสวนครัวที่ปลูกเอง ก็ล้วนแล้วแต่ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตทั้งสิ้นครับ อาทิ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง เอนไซม์เร่งการเจริญเติบโตต่างๆ ฯลฯ ถึงตรงนี้หลายท่านคงเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาอีกเป็นแน่แท้ ว่าอย่างนั้นทำไมถึงเรียกว่าผักปลอดสารทั้งๆ ที่มันยังมีการใช้สาร (พิษ) อยู่ล่ะ วิสัชนาว่า...ก็ปริมาณสารที่ใช้อยู่นั้นเมื่อนำมาสุ่มทดสอบแล้ว พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายน่ะขอรับครับผม ซึ่งวิธีที่เขาใช้ทดสอบกันนั้นก็หาใช่วิธีอื่นไกลครับ หนูทดลอง (อีกแล้ว) นี่เอง โดยจะนำสารเคมีแต่ละชนิดมาทดสอบกับหนู เพื่อนร่วมโลกผู้น่าสงสารดูว่าปริมาณแค่ไหนจึงจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย (ของหนู) จากนั้นจึงคำนวณสัดส่วนปริมาณสารเคมีที่ร่างกายได้รับแล้วไม่เป็นอันตรายระหว่างหนูกับคน บันทึกเอาไว้เป็นค่ามาตรฐานสำหรับการสุ่มตรวจผักตามแหล่งที่มาต่างๆ ย้ำว่า “สุ่ม” ตรวจนะครับ เพราะไม่มีทางที่จะนำเอาผักทุกต้นทุกแปลงจากทุกไร่ทั่วประเทศมาทดสอบได้ทันในแต่ละวัน อีกทั้งงบประมาณยังสูงลิบลิ่วอีกด้วย นอกจากนี้ อย่าลืมนะครับว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยสำหรับคนนั้นก็ได้มาจากการคำนวณ ตัวเลขที่ไม่เป็นอันตรายสำหรับหนู(ทดลอง) มิได้หมายความว่าพอนำมาคำนวณด้วยสูตรคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์แปลงค่าหาผลลัพธ์ออกมาแล้ว จะสามารถยืนยันการันตีได้ว่าไม่มีอันตรายต่อคน อีกทั้ง สารเคมีที่นำมาใช้ทดลองก็ไม่ได้ทดลองพร้อมกันทีเดียวหลายๆ สาร เพียงแต่แยกสารเพื่อทดสอบทีละครั้ง อย่างนี้ เราจะมั่นใจได้หรือว่าสารเคมีเมื่ออยู่รวมกันในผักจะไม่ทำปฏิกิริยาในเชิงเสริมประสิทธิภาพในการทำลายตับ ไต ไส้ พุง ของเรา แหม..สาธยายมาซะขนาดนี้ คุณผู้อ่านหลายท่านคงจะมีแวบคิดขึ้นมาบ้างใช่ไหมครับว่า “แล้วอย่างนี้จะเหลืออะไรให้กูกินล่ะ? ต้องไปปลูกผักสวนครัวเองเลยมั้ย?” ใจเย็นๆ ครับ ลองย้อนกลับไปดูย่อหน้าที่ 4 ก่อน คุณจะพบกับคำว่า... ใช่แล้วครับ “ผักอินทรีย์” นั่นเอง บางท่านที่เคยผ่านการเรียนวิชาเกษตรตอนประถมอาจจะพอจำได้คลับคล้ายคลับคลา ส่วนบางท่านที่ลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้โดยละเอียดเลย ผักอินทรีย์ ก็คือผักที่อาศัยกระบวนการผลิตโดยวิธีทางธรรมชาตินั่นเอง ปราศจากการใช้วัตถุสังเคราะห์ใดๆ ทั้งปวง เอาล่ะครับ...โผล่มาแล้วพระเอกตัวจริงของเรา ซึ่งการจะจัดว่าเป็นผักอินทรีย์หรือไม่นั้น เขาไม่ได้วัดกันที่ผลผลิตแบบสุ่มๆ ผักมาตรวจนะครับ แต่เขาจะวัดกันที่ขั้นตอนกระบวนการ คือ 1) จะต้องปราศจากสารเคมีในปัจจัยการผลิตแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และ 2) บริเวณแปลงหรือไร่ที่ทำการเพาะปลูกนั้น เมื่อตรวจสอบแล้วจะต้องพบว่าไม่มีร่องรอยการใช้สารอย่างน้อย 3-4 ปีเลยทีเดียว ทีนี้มาว่าด้วยเรื่องหลักการกันบ้าง แน่นอนครับว่ากระบวนการผลิตผักอินทรีย์นั้นไม่มีคำตอบสำเร็จรูปตายตัว เนื่องจากแต่ละพื้นที่แต่ละดินแดนก็จะมีระบบนิเวศที่แตกต่างกัน เกษตรกรจะต้องใส่ใจศึกษาเรียนรู้ภายในระบบนิเวศของตนเอง (Knowledge Intensive) เช่น ลักษณะดินฟ้าอากาศเป็นอย่างไร แมลงที่พบได้บ่อยคือตัวอะไร ให้คุณหรือให้โทษมากกว่ากัน หรือต้องใช้สมุนไพรชนิดใดจัดการ ฯลฯ เกษตรกรอาจต้องใช้เวลาอยู่ในแปลงปลูกมากขึ้น ไม่ใช่ขาดอะไรก็หามาใส่ๆๆ (Input Intensive) ปุจฉาต่อมาคือ...ถ้ามันทำกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น แล้วใยจะต้องใช้สารเคมีอีกล่ะครับ... นี่แหละที่นักวิชาการรวมถึงพวกหัวการค้าเสรีเขาไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ คุณผู้อ่านก็เช่นกันนะครับอย่าเพิ่งปักใจเชื่อข้อมูลที่ผมเขียนทีเดียวเชียวล่ะ ใช้หลักกาลามสูตรของพระสมณโคดมบรมครูเจ้าของเราพิจารณาเหตุและผลกันก่อน เอาเป็นว่า...ถ้าอยากพิสูจน์ให้เห็นจะๆ กับตา ผมก็จะขออาสาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์นำทางคุณผู้อ่านทุกๆ ท่านไปดูไร่ผักเกษตรอินทรีย์ของจริงกันเลยดีกว่านะครับ ตะลุยแปลงผักอินทรีย์กระผมและเพื่อนทีมงานรายการ “กระต่ายตื่นตัว” ก็ได้ลงพื้นที่ไปสำรวจไร่เกษตรอินทรีย์กันที่บ้านป่าคู้ล่าง จังหวัดสุพรรณบุรีครับ โดยมีพี่ปัญญา งามยิ่ง เกษตรกรยุคบุกเบิกของที่นี่เป็นคนพาเดินทัวร์และให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมแบบปลอดสาร 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเขาทำกันอย่างไร ก่อนอื่นเลยต้องขอเกริ่นก่อนนะครับว่าชาวบ้านที่นี่เขามีวิถีชีวิตพอเพียงทำกันแบบพอมีพออยู่ ใครใคร่ปลูกอะไรก็ปลูกอันนั้น ไม่มีการบังคับกันแต่ประการใด ดังนั้น ไร่ของแต่ละท่านจึงมีความปัจเจกแตกต่างกันออกไป อย่างไร่ของพี่ปัญญาเองก็จะใช้วิธีการแบ่งโซนตามความต้องการน้ำครับ พืชชนิดไหนต้องการน้ำเยอะน้ำน้อยจัดสรรปันส่วนกันออกไป อย่างเช่น คะน้าต้องการน้ำเยอะหน่อยก็ไว้โซนนึง ไชเท้าได้รับน้ำเยอะไปไม่ดีก็ไว้อีกโซนหนึ่ง ส่วนปริมาณของผักแต่ละชนิดที่จะปลูกก็จะดูจากความยากง่ายในการดูแลรักษา เช่น คะน้านี่ดูแลยากเพราะกินปุ๋ยมากกินน้ำมากก็ให้ลงเยอะหน่อย สมมติว่าลง 2 แปลงเทียบกับผักกวางตุ้งที่ดูแลรักษาไม่ยากเท่าไหร่ใช้พื้นที่แปลงเดียว พอเก็บเกี่ยวก็จะได้ปริมาณน้ำหนักเท่ากัน ดังนี้เป็นต้น และที่สำคัญก็จะเวียนพืชผักตามแต่ละแปลงเพื่อไม่ให้ดินเสื่อมสภาพด้วยครับ อ๊ะ...จะกลายเป็นสอนปลูกผักซะแล้วสิเนี่ย ตัดกลับมาที่เรื่องเกษตรอินทรีย์ต่อนะครับ ซึ่งด้วยเหตุที่ว่าอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยในการผลิตเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ (ที่เหลือคือการเอาใจใส่ดูแลของเกษตรกร) ผลก็เลยทำให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณผลผลิตตามต้องการได้ อย่างเช่น หน้าหนาวก็จะได้ผลผลิตในปริมาณมากหน่อย หน้าฝนหรือหน้าแล้งก็จะได้ผลผลิตลดหลั่นกันลงมา หรือพืชบางชนิดอาจไม่ออกผลเลยในบางช่วงฤดูกาล อีกทั้งปัญหาแมลงศัตรูพืชก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เกษตรกรต้องให้ความสำคัญ โดยการเรียนรู้วิธีที่จะทำให้พืชและสัตว์อยู่ในอัตราส่วนที่สมดุลกัน ซึ่งอาจจะเลือกใช้สมุนไพร อาทิ สะเดา, หางไหล เป็นตัวขับไล่แมลง แต่กระนั้นผักที่ได้ออกมาก็อาจจะมีร่องรอยถูกกัดกินรวมไปถึงรูปทรงก็คงไม่สวยงามเท่าใดนักเมื่อเทียบกับผักที่อุดมไปด้วยสารเคมียาฆ่าแมลง เริ่มเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับ ก็ไอ้ผักแคระๆ แกร็นๆ ที่ดูเหมือนไม่สมประกอบบ้างมีรูแหว่งรูโหว่เล็กบ้างใหญ่บ้างที่เรามักจะร้อง “ยี้” เวลาที่พบเห็นตามแผงขายผักทั่วไปนั่นล่ะครับ ปลอดภัยยิ่งนักแล แต่เมื่อจิตมันเคยชินกับความพอใจในรูปสวยงามจนติดเป็นนิสัย แล้วแม่ค้าที่ไหนเขาอยากจะเอาผักซีดๆเหี่ยวๆ มานั่งขายให้เมื่อยกันล่ะครับ ทีนี้พอบริโภคผักสวยๆ งามๆ ที่เปี่ยมด้วยสารพิษเข้าไปนานเข้าๆสะสมไปเรื่อยๆ จนโรคนู้นโรคนี้ถามหาเป็นว่าเล่นแล้วก็กลับมาไม่พอใจกันอีก แบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมเหมือนกันนี่จริงไหมครับ? ทีนี้เริ่มเห็นพิษภัยของรูปสวยๆ งามๆ กันบ้างหรือยัง? ซื้อผักห้างหรือซื้อผักของเกษตรกรโดยตรง ต่างกันตรงไหนเอาล่ะครับ ในเมื่อเริ่มมีคนเห็นโทษภัยจากการใช้สารเคมี ก็เลยเริ่มเกิดการหันมาบริโภค “ผักปลอดสารอย่างแท้จริง” ในวงเล็กๆ ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็ยังมีสัดส่วนเพียงกะจิริดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศ แล้วห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ซูเปอร์มาเก็ตทั้งหลายจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องหันมาสนใจนีชมาร์เก็ต (Niche Market) กลุ่มนี้... โอเค อาจจะมีผู้ประกอบการบางรายใส่ใจและคำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับตัวผู้บริโภคอันจะตามมาภายหลัง แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อฉันต้องการผักจำนวน 100 กิโลกรัมเพื่อวางบนชั้นให้ลูกค้าเลือกหยิบเลือกซื้อ แต่คุณกลับมีให้ฉันแค่ 50 หรือบางวันก็ 30, 20... มันคาดการณ์ไม่ได้... แบบนี้จะให้เกษตรกรแบกรับภาระความรับผิดชอบส่วนที่เหลือแต่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่ไหว ดังนั้น เพื่อความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิต เขาจึงรวมตัวกันและสร้างสรรค์ระบบ CSA (Community Supported Agriculture) ขึ้นมา หมายความว่าผู้บริโภคจะต้องเป็นฝ่ายที่เข้ามาสนับสนุนเกษตรกร และจะต้องร่วมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนไปพร้อมๆกัน ผู้บริโภคที่เป็นสมาชิก (หมายถึงผู้สนใจซื้อผักอินทรีย์จากไร่โดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง) จะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนหรือ 1 ปีเพื่อเป็นค่าพักค่าแรงค่าดำเนินการ โดยให้สมาชิกระบุเลยว่าต้องการผักอินทรีย์อาทิตย์ละกี่กิโล แต่ต้องเข้าใจก่อนนะว่าความไม่แน่นอนคือ คุณมิอาจ “เลือก” ผักได้ตามใจชอบ (ต้องแล้วแต่ว่าช่วงนี้ผักชนิดใดเจริญเติบโตได้ดี) และอาจจะไม่ได้รับปริมาณผักตรงตามที่ระบุ (ซึ่งเป็นไปได้ทั้งมากกว่าและน้อยกว่า) หลังจากนั้นก็จะมีรถขนผักส่งตรงให้คุณถึงบ้านอาทิตย์ละ 2 วัน อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณผู้อ่านอาจจะมีความรู้สึกว่าเกษตรกรเอารัดเอาเปรียบเกินไปรึเปล่า? ตรงนี้อยากให้ลองถามใจตัวเองกันดูสักหน่อย ว่าที่ผ่านมา “เขา” หรือ “เรา” ที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบ ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย คนไทย 60 กว่าล้านคนบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักทุกวัน แต่ทำไมชาวนาส่วนใหญ่กลับเป็นหนี้ มันตลกไหมล่ะครับ?... นี่ก็เช่นกัน มีสมาชิกที่เลิกรับผักเพราะไม่พอใจและไม่เข้าใจระบบ โดยเห็นว่าผักอินทรีย์นี้มีราคา แพงกว่าผักที่ขายอยู่ในท้องตลาด ผมขอยกราคาจริงมาเลยแล้วกันนะครับนั่นคือ กิโลกรัมละ 70 บาทถามว่าแพงไหมครับ?... ถ้าแพงแล้วมันแพงจากอะไรล่ะ? เทียบกับราคาที่แพ็คขายในห้าง 1 ขีด 2 ขีด 20 บาท ดีไม่ดีจะถูกกว่าเอาด้วย จริงอยู่ที่พอไปห้างแล้วเราได้ผักตามต้องการ แต่คุณรู้ไหมว่าหอมกระเทียมที่คุณหยิบใส่ตะกร้านั้นมาจากไหน? ผักคะน้าที่เตรียมจะนำไปทำกับข้าวเย็นนี้มีกระบวนการผลิตอย่างไร? แน่นอนว่าคุณไม่รู้ แต่ถ้าเป็น CSA คุณจะรู้จักกระบวนการผลิตทั้งหมดรวมไปถึงสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ถึงแปลงปลูกให้เห็นกับตาตัวเองเหมือนอย่างที่ผมและทีมงานได้แวะไปเยี่ยมชมที่บ้านป่าคู้ล่างมายังไงล่ะครับโดยส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่าปัญหาของบ้านเราคือราคาพืชผลทางการเกษตรค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่มาก ผมขอยกตัวอย่างที่ประเทศญี่ปุ่น กล้วยหอม 1 ลูกของเขาเทียบเป็นเงินไทยแล้วตกลูกละประมาณ 50 บาทเชียวนะครับ (บ้านเราได้เป็นหวีเลย) ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?... วิสัชนาว่า...ก็เพราะเราดันไปลอกเลียนวัฒนธรรมการผลิตตลอดจนการค้าแบบตะวันตกมาน่ะสิครับ อย่าลืมว่าตั้งแต่อดีตกาลนานมาใครๆ เขาก็รู้ว่าประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม มีทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดินอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงสภาพอากาศก็เหมาะสมเป็นใจให้แก่การทำไร่ ทำนา ปลูกผัก ปลูกข้าว ฯลฯ ด้วยประการทั้งปวง แต่ละบ้านแต่ละพื้นที่ก็จะมีแปลงเกษตรไว้ปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ละฤดูกาล อย่างไรก็มีผลผลิตตลอดทั้งปีแน่ๆ ไม่อดตาย แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้ทฤษฎีเกษตรเชิงเดี่ยวปลูกพืชผลชนิดเดียวเป็นไร่ใหญ่ๆ มันเข้ามาได้อย่างไร? จากสังคมเกษตรแบบพออยู่พอกินกลับกลายมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีในการผลิตไม่ว่าจะเป็นสารเคมียาฆ่าแมลงหรือรถแทร็คเตอร์ จากการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนกลายเป็นการผลิตเพื่อแข่งขันเพื่อค้าขาย ใครปลูกมากก็รวยมากก็อยู่ได้ ทีนี้พอมีผู้ผลิตปริมาณมากเข้าๆราคาสินค้าก็ตกลงฮวบฮาบ อย่างหน้าฝนนี่ผักกาดหอมหายากเพราะเจริญเติบโตได้ไม่ค่อยดี ทุกคนก็จะเร่งผลิตแต่ผักกาดหอม ที่มีอยู่เท่าไหร่ก็ใส่แต่เมล็ดพันธุ์ผักกาดหอม เก็บเกี่ยวได้เท่าไหร่ไปวางขายที่ตลาดทั้งตลาดก็มีแต่ผักกาดหอมแล้วราคาผักกาดหอมจะไม่ตกได้อย่างไร? เช่นกันครับเมื่อพวกคนกลางห้างร้านต่างๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ตลาดการค้าเสรีเปิดกว้าง ผลคือต่างฝ่ายต่างแย่งกันลดราคาเพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าไปจับจ่ายใช้สอยยังพื้นที่ของตน ห้างร้านไหนขายของถูกกว่าผู้บริโภคก็จะไปแออัดกันอยู่ ณ ที่นั้น แต่มันก็ไม่ลำบากอะไรนี่ครับในเมื่อกำไรยังเท่าเดิม เนื่องจากไปลดทางฝั่ง “ต้นทุน” เอา ยิ่งคนกลางห้างร้านตัวใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งมีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตมากขึ้นเท่านั้น ถ้ายังไม่เข้าใจผมจะสมมติเล่นๆดูนะครับ สมมติว่าราคาผักที่คุณต้องจ่ายคือ 10 บาท ห้างได้กำไร 7 บาท ผู้ผลิตหรือเกษตรกรได้ส่วนแบ่ง 3 บาท วันต่อมาราคาผักตกลงมาอยู่ที่ 9 บาท แต่ห้างก็ยังคงกำไร 7 บาทเช่นเดิมในขณะที่เกษตรกรผู้ผลิตรายได้หดลงเหลือ 2 บาท... ฉะนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าผักที่มาจากระบบเกษตรอินทรีย์จะ “แพง” กว่าผักที่วางอยู่ตามห้างร้านแผงขายในซูเปอร์ฯ ทั่วไปหรอกนะครับ แต่มันสะท้อนให้เราเห็นถึงต้นทุนในการผลิตจริงๆ ที่เกษตรอยู่ได้โดยไม่ลำบากต่างหากล่ะ คุณผู้อ่านผู้มีญาณทั้งหลายพึงเห็นด้วยกับผมไหมล่ะครับว่าเราควรที่จะร่วมมือกันเลิกผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นแต่ปริมาณจนราคามัน “ต่ำ” กว่าความเป็นจริง เพราะหากจะเน้น “ถูก” เอาใจผู้บริโภคอย่างไรก็ตามเราก็มิอาจสู้จีนหรือเวียดนามได้อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือหันมายกระดับการผลิตภาคเกษตรกรรมให้เน้นไปที่คุณภาพดีกว่า อย่างผักอินทรีย์ปลอดสารที่กระผมได้กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่าง เกษตรกรบ้านเราก็จะได้มีรายได้ที่ดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็จะได้บริโภคแต่สินค้าที่มีคุณภาพด้วย ไม่ดีหรือครับ? สำหรับผู้บริโภคที่สนใจซื้อผักจากเกษตรกรโดยตรง สามารถติดต่อที่โครงการผักประสานใจตู้ ปณ.15 อำเภอด่านช้าง สุพรรณบุรี 72180 คุณระวีวรรณ ศรีทอง โทรศัพท์ 081-981-8581  แหล่งซื้อผักปลอดสารนอกซูเปอร์มาร์เก็ตคลังเกษตรอินทรีย์ (Organic’s Warehouse)โดยสถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน สนับสนุนโดย Oxfam GBที่อยู่ : เจเจ มาเก็ต ถ.อัษฎาธร ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50000โทรศัพท์/โทรสาร : 053-233694  สหกรณ์เกษตรอินทรีย์กองทุนข้าว จำกัดเลขที่88 หมู่ 7 บ้านทนง ต.แกใหญ่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ติดต่อคุณธัญญา แสงอุบล โทรศัพท์ 044 - 514206 ชมรมรักษ์ธรรมชาติเลขที่ 52 ต.น่าโส่ อ.กุดชุม จ.ยโสธรติดต่อคุณชุธิมา ม่วงมั่น โทรศัพท์ 089-0370094 , 045-738429หรือดูรายชื่อผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์อื่นๆ เช่น ข้าว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ที่ผ่าน มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ได้ที่ http://www.actorganic-cert.or.th

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 103 ที่ไหนคุณไปได้ คนพิการ(ควรจะ)ไปได้ด้วย

ที่ไหนคุณไปได้ คนพิการ(ควรจะ)ไปได้ด้วย           เปรียบเทียบการใช้ระบบขนส่งมวลชน สำหรับคนพิการ รถเมล์โอกาสที่ผู้พิการที่ใช้รถวีลแชร์จะได้ใช้บริการรถเมล์เป็นไปได้น้อยมาก เพราะรถเมล์บ้านเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เอื้อต่อการนำรถวีลแชร์เข้าไป และก็อย่างที่รู้กันว่าขนาดคนปกติยังเจอปัญหามากมายกับการใช้บริการรถเมล์ ดูแล้วจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตรายที่ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์จะเลือกใช้บริการรถเมล์คะแนนความน่าใช้ 0ความเป็นไปได้ในการใช้ 0ความปลอดภัย 0 รถไฟฟ้ารถไฟฟ้าเหมือนจะเป็นความหวังให้ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ แต่กลับกลายเป็นสร้างปัญหาซะมากกว่า เพราะ 25 สถานีของรถไฟฟ้าตอนนี้มีลิฟต์ให้ใช้แค่ 7 สถานี ซึ่งไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ แถมบริเวณชานชาลาที่จะขึ้นไปในตัวรถไฟฟ้าก็มีช่องว่างที่กว้างเกินกว่าล้อรถวีลแชร์จะข้ามผ่านได้ จะเข้าไปในรถทีก็ต้องมีคนช่วยยกเข้าไป แถมเมื่อเข้าไปในรถแล้วก็ไม่มีตัวที่ช่วยล็อครถให้อยู่กลับที่ ซึ่งแบบนี้ถือว่าไม่ปลอดภัยคะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย รถไฟฟ้าใต้ดินถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ เพราะรถไฟฟ้าใต้ดินมีลิฟต์ไว้ให้บริการทุกสถานี และมีห้องน้ำผู้พิการในสถานีด้วย แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาเปิดให้ถ้าอยากจะใช้บริการ ซึ่งก็อาจต้องเสียเวลารอบ้างนิดหน่อย อีกอย่างที่เป็นข้อดีของรถไฟฟ้าใต้ดินคือ ผู้พิการที่มีสมุดประจำตัวผู้พิการสามารถใช้รถไฟฟ้าใต้ดินได้ฟรี แต่ข้อจำกัดของรถไฟฟ้าใต้ดินก็คือเส้นทางการเดินทางยังไม่ทั่วถึงคะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย รถแท็กซี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ผู้พิการที่นั่งรถวีลแชร์ใช้มากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะการใช้บริการแท็กซี่ของผู้ใช้วีลแชร์ก็มีอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งเรื่องราคาที่ค่อนข้างแพง แท็กซี่บางคันก็ปฏิเสธที่จะรับผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ เพราะกลัวว่าจะต้องอุ้มผู้พิการขึ้นรถ ซึ่งจริงๆ แล้วผู้พิการสามารถพยุงตัวขึ้นรถเองได้ แต่บางครั้งก็อาจต้องการคนช่วยพับรถวีลแชร์เก็บให้ คะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย รถตู้โดยสารเดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถตู้โดยสารสาธารณะมีให้บริการเยอะแยะไปหมด ซึ่งช่วยเรื่องความสะดวกและประหยัดเวลา แม้ราคาจะแพงแต่ก็มีคนนิยมใช้กันเยอะ สำหรับผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ก็มีสิทธิที่จะใช้เจ้ารถตู้พวกนี้เหมือนกันแต่อาจจะค่อนข้างลำบากสักหน่อย เพราะต้องมีคนช่วยอุ้มขึ้นรถ แถมรถตู้ส่วนมากไม่ค่อยรับผู้ที่ใช้วีลแชร์เพราะกลัวต้องเสียพื้นที่สำหรับเก็บรถวีลแชร์คะแนนความน่าใช้ ความเป็นไปได้ในการใช้ ความปลอดภัย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 103 ทางสำหรับคนพิการ สังคมไทยพร้อมแค่ไหน

“ความพิการ อาจบั่นทอนบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของเราไป แต่ความพิการ ไม่อาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตที่เราเคยมี”ความพิการ เกิดขึ้นกับคนเราได้หลายสาเหตุ ทั้งพิการมาตั้งแต่กำเนิด พิการเพราะความแก่ชรา พิการด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และพิการเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งแน่นอนว่าการยอมรับในความพิการของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ไม่ได้พิการมาตั้งแต่กำเนิด เพราะการจะทำใจยอมรับพร้อมกับปรับตัวให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ในขณะที่สภาวะร่างกายมีบางอย่างที่สูญเสียไปไม่ใช่เรื่องง่าย กำลังใจจากทั้งของตัวเองและคนรอบข้างคือแรงกระตุ้นสำคัญ ที่จะทำให้ผู้พิการกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติอีกครั้งเมื่อผู้พิการมีกำลังใจพร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตในสังคม ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของสังคมว่ามีความพร้อมเพื่อผู้พิการแล้วหรือยัง?   เมื่อสังคมไม่พร้อม คนพิการก็ไม่กล้าฝันประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตเช่นคนปกติอาจถูกลดทอนลงไปเพราะความพิการ แต่ผู้พิการก็ยังต้องใช้ชีวิตประจำวันไม่ต่างจากคนปกติทั่วๆ ไป คนพิการยังคงต้องทำงาน ต้องตื่นแต่เช้าไปเจอรถติด ต้องไปซื้อของที่ตลาด ไปกินข้าว ไปเที่ยวกับเพื่อนกับครอบครัว หรือแม้แต่ไปดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งกิจกรรมที่ว่ามาอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป เพราะจะไปไหนมาไหนก็มีทางให้เลือกมากมาย สะดวกบ้างไม่สะดวกก็ว่ากันไป แต่สำหรับคนพิการ การจะเดินทางไปไหนที มองหาตัวเลือกยากจริงๆ ยิ่งเป็นผู้พิการที่ใช้เก้าอี้รถเข็นหรือรถวีลแชร์ยิ่งมีปัญหาเวลาเดินทาง เพราะระบบขนส่งมวลชนบ้านเราไม่เอื้อต่อผู้พิการ ความจริงในบ้านเรามีข้อกำหนดหลายข้อ ที่มีเนื้อหาพูดถึงการดูแลและให้ความสำคัญกับผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็น พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2550, พรบ.ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 และกฎกระทรวงเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ. 2548 ใจความสำคัญของข้อกำหนดเหล่านี้ต้องการบอกให้ทราบว่าคนพิการมีสิทธิในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกจากสาธารณประโยชน์ต่างๆ ที่ทางภาครัฐมีหน้าที่จัดหามาให้ เช่นเดียวกันกับที่คนปกติได้รับ แต่เมื่อมองกลับมาในความเป็นจริง จะเห็นว่าผู้พิการยังคงถูกจำกัดสิทธิในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องพื้นฐาน อย่างเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทั้งในส่วนของทางเท้า และระบบขนส่งมวลชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้พิการสามารถออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติและอิสระ Universal Design – การออกแบบที่เป็นประโยชน์กับทุกคนในสังคมUniversal Design ไม่ได้เป็นแค่คำภาษาอังกฤษเท่ๆ แต่ว่าเป็นคำที่มีความหมาย ใช้ในการอธิบายแนวคิดการออกแบบทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม สถานที่ และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนในสังคมใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ให้ความแตกต่างของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ อายุ และรวมถึงความทุพพลภาพทางร่างกายมาเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงและใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ Universal Design จึงเป็นหลักการการออกแบบที่เอื้อต่อผู้พิการ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงกลุ่มผู้ป่วย เด็ก และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เพราะ Universal Design เป็นการออกแบบอาคารสถานที่ที่เน้น ให้ทุกอย่างสามารถใช้สอยได้โดยคนทุกกลุ่ม ใช้ง่าย มีความเสมอภาค ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ ปลอดภัย พร้อมทั้งทุ่นแรงขณะใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทางเดิน ประตูทางเข้า บันได้ขึ้นลง รวมไปถึงห้องน้ำ สิ่งที่ควรมีไว้ให้ผู้พิการป้าย – เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้ให้ผู้พิการไปไหนมาไหนหรือทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะต้องตั้งให้อยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทางลาด – มีประโยชน์และสำคัญอย่างมาก สำหรับทั้งผู้ที่ใช้วีลแชร์ ซึ่งเพื่อความปลอดภัย ควรมีความลาดอยู่ที่ 30 องศา (*กฎกระทรวงกำหนดไว้ไม่เกิน 45 องศา) ที่จอดรถ – ควรมีสัญลักษณ์แสดงให้ชัดเจนว่าเป็นที่จอดรถสำหรับคนพิการ และมีความกว้างพอสมควร ห้องน้ำ – พื้นภายนอกกับพื้นในห้องน้ำต้องมีระดับเท่ากัน หรือต่างระดับก็ต้องเป็นทางลาด ที่สำคัญประตูต้องเป็นบานเลื่อน ความกว้างต้องไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร และต้องติดปุ่มสัญญาณฉุกเฉินไว้ด้วย ประตู – ควรเป็นแบบเลื่อนเพราะใช้แรงน้อยกว่าประตูที่เป็นแบบผลัก ยิ่งที่เป็นระบบเซ็นเซอร์เปิด-ปิดอัตโนมัติก็จะยิ่งดีมาก ความกว้างของประตูควรไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร พื้นผิวต่างระดับ – มีประโยชน์สำหรับผู้พิการทางการมองเห็น ซึ่งควรให้มีพื้นผิวต่างสัมผัสไว้ตาม ทางขึ้น-ลงบันไดและทางลาด ด้านหน้า-หลังประตู และที่หน้าประตูห้องน้ำ ปัจจุบันสถานที่ต่างๆ พร้อมแค่ไหนสำหรับคนพิการสถานที่ราชการถ้าเป็นเมื่อก่อน สถานที่ราชการมักจะถูกสร้างเป็นอาคารสูงๆ เพราะอาจจะต้องการให้ดูโดดเด่นเป็นสง่า ซึ่งแน่นอนไม่มีทางลาดให้ใช้ แต่สมัยนี้สถานที่ราชการหลายๆ ที่ก็เริ่มมีการปรับปรุง และออกแบบให้เอื้อกับคนพิการมากขึ้น ซึ่งคนพิการก็ต้องการติดต่อเรื่องทางราชการไม่ต่างจากคนปกติ สถานศึกษาถ้าหากภาครัฐหรือคนที่มีอำนาจในการปรับปรุงสถานที่เพื่อคนพิการ อยากจะลงมือปรับปรุงสถานที่สักแห่ง เราขอแนะนำให้เริ่มที่สถานศึกษา สถานศึกษาในที่นี้หมายถึงสถานศึกษาทั่วๆ ไป ไม่ใช่ที่มีไว้ให้เฉพาะคนพิการ เพราะถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในสถานศึกษาทั่วไป นอกจากคนพิการจะได้มีโอกาสทางการศึกษาแล้ว พวกยังได้มีสิทธิได้ใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับคนปกติ วัดกิจกรรมทางศาสนาส่วนใหญ่มักจะจัดกันในโบสถ์หรือไม่ก็บนศาลาวัด ซึ่งล้วนแล้วแต่ออกแบบให้เป็นอาคารสูง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับผู้พิการที่อยากเข้าไปร่วมฟังเทศน์ฟังธรรม หากไม่ขอแรงให้คนอื่นช่วยพาขึ้นไป ก็ต้องยอมนั่งฟังเทศน์อยู่ข้างล่าง แถมบางครั้งผู้พิการยังถูกมองว่าความพิการเป็นเรื่องของบุญบาป ผู้พิการเลยมักถูกดูแคลนเวลาที่อยู่ในวัด ซึ่งความจริงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อคนพิการในวัด นอกผู้พิการจะได้ใช้แล้ว บรรดาคนเฒ่าคนแก่ก็ได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้ด้วย ตลาดบริเวณพื้นตามตลาดสดส่วนมากจะค่อนข้างเฉอะแฉะ ซึ่งเป็นอุปสรรคมากๆ สำหรับผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ แถมในตลาดจะมีร่องน้ำอยู่ตามทางเดิน ถ้าหากรถวีลแชร์พลาดตกลงไปก็อาจเกิดอันตราย เรื่องความกว้างก็เป็นอีกปัญหาสำคัญที่สร้างความลำบากให้ผู้ที่ใช้วีลแชร์ เพราะตามตลาดส่วนมากผู้คนจะพลุกพล่าน ยิ่งตลาดดังๆ ถึงขนาดต้องเดินเบียดเสียดกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ก็แทบจะหมดสิทธิ ธนาคารธนาคารส่วนใหญ่มักสร้างให้ดูยิ่งใหญ่อลังการ และชอบสร้างให้เป็นอาคารแบบยกสูง โดยทำชั้นล่างเป็นที่จอดรถ ซึ่งก็ต้องเดินขึ้นบันไดหลายขั้นกว่าจะถึงตัวธนาคาร แล้วแบบนี้ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์จะมีโอกาสใช้ได้ยังไง แม้ธนาคารส่วนใหญ่จะได้คำชมเรื่องการบริการ พนักงานส่วนมากยินดีมาช่วยพาผู้พิการขึ้นไป แต่ผู้พิการก็อยากที่จะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีธนาคารในห้างมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ก็อาจพอช่วยผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ได้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด โรงภาพยนตร์ผู้พิการเสียค่าตั๋วชมภาพยนตร์เท่ากับคนปกติ แต่แทบไม่มีโอกาสได้เลือกที่นั่งในมุมที่อยากนั่ง เพราะเวลาผู้พิการวีลแชร์ไปดูหนังก็มักถูกจัดให้ไปนั่งอยู่ตรงที่ว่างริมสุดของแถว หรือไม่ก็ที่ว่างตรงกลางโรงภาพยนตร์ แถมในโรงหนังก็แทบไม่มีทางลาดไว้ให้ใช้ ขอขอบคุณ ผู้ให้ข้อมูล …รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์ หน่วยวิจัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุและผู้พิการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8 ปี กับชีวิตบนวีลแชร์ ที่ไม่มีคำว่ายอมแพ้ขวัญฤทัย สว่างศรีเจ้าหน้าที่องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เมื่อต้องต่อสู้กับความพิการตอนที่ตัวเองประสบอุบัติเหตุใหม่ๆ ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 4 ก็ทำใจไม่ได้ เพราะตอนนั้นทำอะไรก็ไม่ได้ กินข้าวเองก็ไม่ได้ จะเข้าห้องน้ำก็ทำไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่เฉยๆ รู้สึกอายด้วยเพราะจะเจอแต่คำถามหรือคำพูดที่บั่นทอนจิตใจจากคนรอบข้าง จนเมื่อเรารู้สึกว่าไม่ได้แล้วนะ อยู่อย่างนี้ก็มีแต่รู้สึกแย่ รู้สึกหดหู่ ก็เลยตัดสินใจลองออกมาใช้ชีวิตคนเดียว แล้วก็โชคดีมาได้ทำงานที่องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิต แรกๆ เราจะไม่กล้าทำอะไรเลย ต้องรอให้คนอื่นมาช่วย เพราะเรายังมองไม่เห็นว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง จนเมื่อเราได้ลองกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งเราก็เริ่มเห็นว่า ถึงเราเป็นแบบนี้ก็ยังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ความพิการเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เราอาจต้องเริ่มต้นเรียนรู้อะไรใหม่หลายๆ อย่าง แต่อันดับแรกคือเราต้องไม่ยอมแพ้ให้กับความพิการ ชีวิตผู้พิการในสังคมไทยความพิการมีหลายประเภท คือพิการตั้งแต่กำเนิด กับพิการในภายหลัง ซึ่งผู้พิการภายหลังการยอมรับการปรับตัวเป็นเรื่องยาก แต่พอเริ่มยอมรับได้ในระดับหนึ่งก็คิดอยากกลับมาใช้ชีวิตในสังคม แต่ก็กับต้องมาท้ออีก เพราะสังคมกลับพิการยิ่งกว่า สิ่งที่เอื้อกับผู้พิการในสังคมหาได้ยากมาก ใจพร้อมแต่สังคมไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นบันได ทางลาด ห้องน้ำ ไม่มี ซึ่งเราก็ต้องมาสู้มาทำให้เขาเห็นว่าเรามีตัวตน คนพิการพอมองเห็นสังคมเป็นอย่างนี้แล้วอาจจะท้อ แต่เราท้อไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่ออกมาในสังคม สังคมก็จะไม่มีทางรู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งที่อยากเห็นในสังคมอยากให้มองถึงเรื่องการศึกษา ถ้าเราได้รับโอกาสในการศึกษา ก็ช่วยทำให้เรามีอาชีพ มีเงิน มาเลี้ยงดูตัวเองได้ พอเขามีเงินพอเขาก็อาจจะนำไปปรับปรุงทำทางลาดหรือทำห้องน้ำสำหรับคนพิการไว้ใช้เองที่บ้าน การศึกษาเป็นประตูไปสู่ชีวิต ซึ่งคนพิการสามารถเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกับคนปกติได้ ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพราะผู้พิการก็คือคนๆ หนึ่งที่อยู่ในสังคม ต้องการใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป ฝากถึงผู้พิการคนอื่นๆเราต้องพยายามออกมาในสังคมมากขึ้น เพื่อให้คนทั่วไปได้ทราบว่าคนพิการมีอยู่ในสังคม เราต้องการมีส่วนร่วมในสังคม ให้เขาเห็นว่าเราทำอะไร อย่างสถานที่ต่างๆ ที่เขาไม่ได้ทำสิ่งที่ควรมีให้คนพิการ เช่น ทางลาดตามสถานที่ราชการ หรือลิฟต์ในสถานีรถฟ้า เพราะเขาอาจจะมองว่าคนพิการที่ไหนจะมาใช้ เขาเลยไม่ยอมสร้างให้เรา เพราะฉะนั้นเราก็ควรต้องออกมาใช้ชีวิตในสังคม ให้เขาเห็นว่าเราต้องการตรงนี้นะ คุณควรจะมีทางลาดไว้นะ ประตูควรเป็นแบบเลื่อนนะ ห้องน้ำคนพิการต้องกว้างนะ ให้เขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อสังคม สร้างมาแล้วได้ใช้งาน คือถ้าเรารออย่างเดียวไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนสิ่งเหล่านี้จะเกิด แต่ถ้าออกมาใช้ชีวิต ให้สังคมได้มองเห็นเรา แล้วหันมาให้ความสำคัญกับเรามากขึ้น เชื่อว่าสิ่งจำเป็นต่างๆ สำหรับคนพิการน่าจะเกิดขึ้นได้ อนาคตข้างหน้า (อาจจะ) มีให้ใช้-ลิฟท์ที่รถไฟฟ้า BTS ทุกสถานี ภายในปี 2554-สัญญาณไฟพูดได้ เพื่อช่วยผู้พิการทางสายตาเวลาข้ามถนน-ปรับปรุงทางเท้าใน กทม. โดยคำนึงถึงความสะดวกของผู้พิการเป็นหลัก-หากรถเมล์ NGV 4000 คันได้มีโอกาสมาวิ่งในบ้านเรา คนพิการก็มีสิทธิได้ใช้เจ้ารถเมล์พวกนี้ เพราะองค์กรคนพิการเรียกร้องให้รถเมล์ที่จะนำเข้ามาต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการด้วย เช่น พื้นชานต่ำ ราวจับ ที่ล็อคล้อรถวีลแชร์ โดยต้องมีอยู่ในรถเมล์ทุกสาย ครอบคลุมทุกเส้นทาง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 ตะกั่วในสีอันตรายที่ห้ามมองข้าม

ทั่วโลกขับเคลื่อนห้ามมีตะกั่วในสีทาบ้านและสีตกแต่งในประชุมสุดยอดแห่งสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลนานาชาติและองค์กรระหว่าง ได้มีมติร่วมกันในการจัดตั้งยุทธศาสตร์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีระหว่างประเทศ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่ายุทธศาสตร์ไซคัม (Strategic Approach to International Organization on Chemicals Management หรือ SAICM) และต่อมาในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลนานาประเทศได้ให้การรับรองยุทธศาสตร์นี้ร่วมกันอีกครั้งในการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 1 (The 1st International Conference on Chemicals Management: ICCM-1) ณ กรุงดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   น.ส. วลัยพร มุขสุวรรณ นักวิจัยอาวุโสด้านสารเคมีและของเสียอันตราย จากมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลของหลายๆ ประเทศเริ่มปรับนโยบาย มาตรการ และแผนงานการจัดการสารเคมีอันตรายต่างๆ ภายในประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไซคัม ตัวยุทธศาสตร์นี้มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ต้องการเน้นให้เกิดการจัดการสารเคมีอย่างเหมาะสมตลอดวงจรชีวิตของสารเคมีนั้นๆ และมีเป้าหมายร่วมกันในระดับโลกว่า ภายในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 การผลิตและการใช้สารเคมีจะต้องให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ซึ่งนี่เป็นแนวทางสำคัญที่จะปกป้องสังคมโลกให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ยุทธศาสตร์ไซคัมให้ความสำคัญกับหลักการพื้นฐานสั้น 5 ข้อด้วยกัน คือ 1) การลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย 2) การทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและการส่งเสริมองค์ความรู้ต่างๆ 3) การสร้างธรรมาภิบาล 4) การเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือทางเทคโนโลยี และ 5) การห้ามการขนส่งของเสียอันตรายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย เธอกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ไซคัมเองยังมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ทั่วโลกช่วยกันปกป้องสุขภาพของเด็ก สตรีมีครรภ์ คนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ คนยากจน คนงาน และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เปราะบางทั้งหลายไม่ให้ได้รับอันตรายจากสารเคมีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้องค์กร Toxics Link (อินเดีย) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนของอินเดีย ร่วมกับเครือข่ายระหว่างประเทศที่ต่อต้านสารพิษตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมหรือที่เรียกว่า International POPs Elimination Network (IPEN) ได้เสนอให้รัฐบาลทั่วโลกเร่งมีมาตรการควบคุมการใช้ตะกั่วในสีทาบ้านหรือสีตกแต่งต่าง ๆ ในเวทีการประชุมระดับโลก 2 ครั้งคือ ในการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมีครั้งที่ 6 หรือ Sixth Session of International Forum on Chemical Safety (IFCS Forum VI) ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน 2551 ที่กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล และต่อมามีการเสนอในการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2 (ICCM 2) เมื่อวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2552 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง ความพยายามผลักดันให้มีการควบคุมสารตะกั่วในสีทาบ้านและสีตกแต่งต่างๆ เนื่องจากเห็นว่าตะกั่วที่ผสมอยู่ในสีเหล่านี้เป็นแหล่งแพร่กระจายของตะกั่วสู่เด็กแหล่งใหญ่ที่สุด หลังจากที่ทั่วโลกได้มีมาตรการยกเลิกการใช้ตะกั่วในน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้ว ที่ต้องผลักดันเรื่องนี้เพราะว่า ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศยังไม่มีกฎข้อบังคับที่ควบคุมหรือห้ามการใช้ตะกั่วเป็นส่วนผสมในสี ที่ประชุม ICCM 2 มีมติร่วมกันในการควบคุมสารตะกั่วในสีที่สำคัญ 2 เรื่องด้วยกันคือ 1) มีมติให้บรรจุเรื่องตะกั่วในสีเป็นนโยบายเร่งด่วนใน SAICM และ 2) มีมติให้นานาประเทศสร้างความร่วมมือระดับโลกเพื่อช่วยกันสร้างความตระหนักเรื่องผลกระทบของตะกั่วในสีที่มีต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ให้มีการพัฒนาโครงการป้องกันอันตรายจากตะกั่วในสีโดยหามาตรการหรือสร้างความรู้เพื่อป้องกันสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งสนับสนุนประเทศต่างๆ ให้กำหนดกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องออกมาบังคับใช้ ประเทศไทยมีมาตรการอะไรแล้วบ้าง น.ส. วลัยพร ซึ่งได้เข้าร่วมกับโครงการทดสอบสีของ Toxics Link กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทยเองก็ได้เข้าร่วมกับการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 1 และได้ให้การรับรองยุทธศาสตร์ไซคัมด้วย โดยมีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในฐานะศูนย์ประสานงานแห่งชาติของไซคัม ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องนำเอายุทธศาสตร์และหลักการสำคัญที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ไซคัมมาดำเนินการในประเทศด้วย ขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2550 – 2554) ซึ่งจัดทำเสร็จแล้ว โดยแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ได้บรรจุเอานโยบายและหลักการสำคัญๆ ของยุทธศาสตร์ไซคัมเข้ามาด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันติดตามต่อไปว่า ประเทศไทยมีการปฏิบัติตามหรือมีการดำเนินมาตรการอะไรในเรื่องนี้บ้าง เพื่อให้สังคมไทยมีความปลอดภัยจากอันตรายของสารเคมีภายในปี 2563 ตามที่ไซคัมตั้งเป้าหมายเอาไว้ สำหรับประเด็นตะกั่วในสีนั้น กรมควบคุมมลพิษในฐานะศูนย์ประสานงานแห่งชาติของ ไซคัมได้จัดประชุมเตรียมความพร้อมและกำหนดท่าทีของประเทศ 2 ครั้ง คือครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2552 และครั้งที่ 2 วันที่ 9 เมษายน 2552 และได้นำประเด็นนี้เข้าปรึกษาหารือในที่ประชุมคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 เพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทย แต่เนื่องจากมีข้อมูลการใช้สารตะกั่วในการผลิตสีไม่ตรงกัน ที่ประชุมจึงมีมติให้มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงงานผลิตสีว่ามีการใช้สารตะกั่วหรือไม่อย่างไร ล่าสุดนี้คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมีมีการประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ในที่ประชุมครั้งนี้มีการนำเอาผลการประชุมของ ICCM 2 มาพิจารณาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการขึ้นในประเทศด้วย ในส่วนของปัญหาตะกั่วในสี ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปดำเนินการให้เกิดการจัดการตะกั่วอย่างเหมาะสมตลอดทั้งวงจรตั้งแต่การผลิต การใช้ และการกำจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะกั่วในสี เอกสารอ้างอิง1. SAICM Secretariat, Information bulletin No.1, January 2008.2. เอกสารการประชุมคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 3/ 2552

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point