ฉบับที่ 168 The World is Fat … ละตินอเมริกากับการแก้ปัญหา “โลกอ้วน”

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการฉลาดซื้อได้มีโอกาสเข้าฟังการบรรยายโดย ดร.แบรี่ พอบกิ้น นักเคลื่อนไหวและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และโภชนาการ ผู้ทำการศึกษาความเปลี่ยนแปลงด้านโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้คนในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The World is Fat (ฉบับแปลเป็นภาษาไทยชื่อ โรคกลม: เศรษฐศาสตร์ในความตุ้ยนุ้ย สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์) คราวนี้เขามาเล่าถึงความคืบหน้าของขบวนการลดพุงลดโรคในละตินอเมริกาให้เราฟัง เริ่มจากประเทศเม็กซิโกที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานกว่า 500,000 คน ระหว่างปี 2006 ถึงปี 2012 นี่คือการเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จาก 6 ปีก่อนหน้านั้น และเม็กซิโกยังชิงตำแหน่ง “ประเทศที่อ้วนที่สุดในโลก” จากอเมริกามาหมาดๆ ด้วยอัตราการบริโภคน้ำอัดลม ถึง 3.6 ล้านกระป๋องต่อวัน แถมด้วยการทำการตลาดเชิงรุกของผู้ประกอบการ และการใช้ฉลากอาหารแบบ GDA ที่อ้างว่าเป็นประโยชน์ต่อการเลือกของผู้บริโภค แต่งานวิจัยพบว่าแม้แต่นักโภชนาการเองก็ยังอ่านไม่เข้าใจ เม็กซิโกมีความตื่นตัวในเรื่องนี้มาก ผลการสำรวจความคิดเห็นระบุว่าประชาชนมากกว่าร้อยละ 70 เชื่อว่าการดื่มน้ำอัดลมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคเบาหวาน และเห็นด้วยที่จะมีการเก็บภาษีจากเครื่องดื่มดังกล่าว ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐที่ดูแลด้านสุขภาพ นักวิชาการ องค์กรผู้บริโภค อุตสาหกรรมอาหาร ไปจนถึงประธานาธิบดี นำไปสู่การประกาศใช้ “ภาษีน้ำหวาน” ซึ่งเริ่มเก็บในเดือนมกราคมปี 2014 สาระสำคัญคือเครื่องดื่มที่มีการแต่งกลิ่นทุกชนิด รวมถึงหัวเชื้อ ผง หรือน้ำเชื่อมที่ใช้ในการทำเครื่องดื่มเหล่านั้น จะต้องเสียภาษีให้รัฐในอัตราร้อยละ 10 หรือพูดง่ายๆ คือเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 1 เปโซ ต่อเครื่องดื่ม 1 ลิตร เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงพอสมควรทีเดียว การสำรวจพบว่าการซื้อลดลงในช่วง 3 เดือนแรกหลังมีการเก็บภาษี ข้อมูลจากผู้ผลิตก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยอดขายของ Coca-Cola Femsa ในครึ่งแรกของปี 2014 ลดลงร้อยละ 6.4 ในขณะที่ Arca Continental ก็มียอดขายลดลงร้อยละ 4.7 ในช่วงเดียวกัน ต่อมาในเดือนสิงหาคมมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค และพบว่าผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง บอกว่าตัวเองดื่มน้ำอัดลมน้อยลง ซึ่งตัวเลขนี้อาจสะท้อนว่าเมื่อน้ำอัดลมราคาแพงขึ้น ผู้คนก็จะลดการบริโภคลง แต่ผลทางอ้อมของมาตรการภาษีคือการส่งสารออกไปให้คนทั่วๆ ไปได้รับรู้ถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกาย นอกจากมาตรการภาษีแล้ว เม็กซิโกยังมีการควบคุมการโฆษณาอาหารต่อเด็กอย่างเคร่งครัดด้วยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา โดยกำหนดให้อาหารที่สามารถโฆษณาได้ในช่วงรายการเด็ก(รายการที่มีผู้ชมเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีมากกว่าร้อยละ 35) เป็นอาหารที่ผ่านเกณฑ์โภชนาการเท่านั้น ขนมหวาน ช็อคโกแลต ขนมกรุบกรอบ หรือน้ำอัดลม จึงไม่สามารถปรากฏตัวในเวลานั้นได้ แต่นั่นยังไม่ดีพอ เพราะเด็กไม่ได้ดูแค่รายการสำหรับเด็กเท่านั้น จากการสำรวจพบว่าเด็กยังดูรายการกีฬา หรือรายการอื่นที่ดูกันทั้งบ้านด้วย จึงเกิดความพยายามที่จะผลักดันให้มีกฎหมายที่แบนอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ออกจากจอทีวีไปโดยสิ้นเชิง แรงกระเพื่อมจากเม็กซิโก ยังส่งผลต่อประเทศข้างเคียงอย่างชิลี เอกวาดอร์ และเปรู ด้วย ชิลีกำหนดให้มีการแจ้งเตือนบนฉลากว่าอาหารดังกล่าวมีปริมาณน้ำตาล โซเดียม ไขมัน หรือแคลอรีสูง โดยสัญลักษณ์นี้ต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่เอกวาดอร์และเปรู มีกฎหมายห้ามใช้ตัวการ์ตูน ของเล่น หรือตัวละครใดๆ ในการโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับอาหาร (ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ) สำหรับเด็ก ส่วนบราซิลนั้นยังห่างไกลเพื่อนบ้าน จนถึงวันนี้กฎหมายควบคุมการทำการตลาดอาหารโภชนาการต่ำ(อาหารที่มีน้ำตาล โซเดียม ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์มากเกินไป) ยังไม่ถูกประกาศใช้ แม้จะเคยถูกนำเข้าพิจารณาตั้งแต่ปี 2006 ก็ตาม ความท้าทายหลักๆ ของผู้บริโภคในทุกระดับรายได้วันนี้คือ การลดการบริโภคอาหารที่มีไขมัน น้ำตาลและโซเดียมในปริมาณสูง เพื่อการเจริญวัยและสูงวัยอย่างมีคุณภาพปราศจากอาการเจ็บป่วย ในวันที่เราถูกแวดล้อมไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปซึ่งมีคุณสมบัติตรงข้าม สิ่งที่หลายประเทศในละตินอเมริกากำลังทำอยู่คือการดูแลเกื้อกูลสุขภาพของประชาชนผ่านการใช้กฎหมาย แต่ผลที่ได้ในระยะยาวจะเป็นอย่างไร เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าอุตสาหกรรมอาหารจะมีการตอบโต้อย่างไร ... นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น *การบรรยายครั้งนี้จัดขึ้นที่สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 167 ทีวีจอโค้ง Vs. ทีวีจอแบน

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการในปัจจุบันเราจะเห็นทีวีจอโค้งได้วางขายในห้างร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยใช้การตลาดและการโฆษณามาจูงใจให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าทีวีจอโค้งที่มีราคาสูงกว่าทีวีจอแบนนั้น คุณภาพจะต้องดีกว่าทีวีจอแบนตามราคาที่สูงขึ้นไปด้วย บทความในวันนี้จะมาไขข้อข้องใจให้กับผู้บริโภคที่กำลังจะตัดสินใจซื้อทีวีจอโค้งว่า จะได้ทีวีคุณภาพดีสมกับที่โฆษณาไว้หรือไม่ จากข้อมูลขององค์กรผู้บริโภคเยอรมนีนั้น ทีวี 3 มิติ ไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีนักจากตลาด และ ทีวีแบบความคมชัดสูงมาก (UHD: Ultra High Definition) ก็หาแผ่นดีวีดี หรือ รายการที่ส่งข้อมูลด้วยความคมชัดสูงมากได้ยาก ดังนั้นสินค้าตัวใหม่ที่นำเสนอตลาดเพื่อล่อตาล่อใจผู้บริโภคนั้นคือ ทีวีจอโค้ง จากผลการทดสอบคุณภาพของทีวีจอโค้งนั้น (Samsung UE55H8090 จอโค้ง ราคา 1990 ยูโร) ได้ผลออกมาว่า คุณภาพและความคมชัดของภาพไม่ได้แตกต่างหรือมีผลต่อการมองเห็นไปจากทีวีจอแบนแต่อย่างใด เมื่อเปรียบเทียบกับทีวีจอแบน (Samsung UE55H7090 จอแบน ราคา 1750 ยูโร หรือ LG 47LB630 V ราคา 580 ยูโร) เพราะฉะนั้น การเลือกซื้อทีวีจอโค้งหรือจอแบน เป็นเรื่องของความชื่นชอบส่วนบุคคลเสียมากกว่า สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคต้องคำนึงถึงในการเลือกซื้อทีวี คือ ต้องพิจารณาถึงความชื่นชอบในรายการที่ดูเป็นรายบุคคล ในกรณีที่ชอบดูรายการประเภทกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล วอลเลย์บอล มวย หรือแบดมินตัน ความไวของภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีการเคลื่อนไหวของภาพด้วยความเร็วสูง การแสดงภาพบนจอต้องต่อเนื่อง ไม่ขาดๆหายๆ หรือภาพต้องไม่มีการเหลื่อมซ้อนทับกัน จากผลการทดสอบมี 3 รุ่นที่ไม่แนะนำสำหรับการรับชมรายการประเภทกีฬา เนื่องจากเกิดการกระตุกของภาพเคลื่อนไหวคือ Philips รุ่น 48PFK 5509 Samsung UE 48H5570 และ Sony รุ่น KDL 48W605B สำหรับผู้บริโภคที่นิยมการบันทึกรายการเพื่อนำกลับมาดูย้อนหลัง ก็ต้องเลือกทีวีที่สามารถอัดรายการได้ และสามารถดูรายการช่องอื่นไปพร้อมๆ กับการอัดรายการได้ด้วย(TV with double receiver) ปัจจุบันผู้ผลิตทีวีมักจะไม่ให้ คู่มือการใช้งานชนิดที่เป็นรูปเล่มแบบสมบูรณ์เหมือนสมัยก่อน แต่มักจะเป็นคู่มือที่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ที่จัดเก็บไว้ในทีวี ในกรณีที่ทีวีไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดตัวทีวีมีปัญหาขึ้นมา และผู้บริโภคต้องการค้นหาข้อมูลก็จะเกิดความยุ่งยากทีเดียว นอกจากนี้ควรพิจารณาถึงการประหยัดพลังงานไฟฟ้าด้วยเช่นกัน จากผลการทดสอบ ทีวีที่ประหยัดไฟ คือ Philips 55PFK7199 จอแบน ราคา 1170 ยูโร สำหรับคุณภาพของเสียง ทีวีจอโค้งของ Samsung รุ่น Samsung UE55H8090 จอโค้ง ได้รับคะแนนสูงสุด เท่ากับทีวีจอแบน ของ Samsung รุ่น Samsung UE55H7090 หวังว่าจะพอเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้กับเพื่อนสมาชิกวารสารฉลาดซื้อ ได้ใช้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อทีวีเครื่องใหม่ ในยุคดิจิตอลให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคุ้มค่ากับเงินได้บ้างพอสมควร (ที่มา: วารสาร Test ฉบับ 12/2014)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 166 การเลือกมีดทำครัว

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการในปัจจุบันคนทั่วไปมักจะไม่ค่อยมีเวลาได้ทำกับข้าวรับประทานเอง เนื่องจากมีร้านสะดวกซื้อเปิดอยู่แทบทุกหัวถนน และเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีเก่า เริ่มปีใหม่นี้ การหาเวลาว่างทำอาหารรับประทานเองกันในครอบครัว เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สังคมชาวตะวันตก ใช้เป็นอุบายในการทำกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว อาวุธที่สำคัญในการทำครัว คือ มีดที่ต้องมีความคมสำหรับการหั่นเนื้อสัตว์ที่มีความเหนียว และหั่นผักที่มีความแข็ง เช่น แครอท บทความนี้จะขอแนะนำหลักการทั่วๆ ไป ในการเลือกซื้อมีดที่จะนำมาใช้ในการทำครัว แบบที่พ่อครัวมืออาชีพนิยมใช้ในการเตรียมอาหารทั้งประเภทเนื้อสัตว์และผัก ซึ่งสามารถแบ่งมีดทำครัวออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. มีดที่ใช้ในครัว (Kitchen knife) มีดที่ใช้หั่น ฝรั่งเรียกรวมๆ กันว่ามีดในครัว (Kitchen knife) เป็นมีดที่ใช้หั่นทุกอย่างในครัว ใบมีดควรมีขนาดความหนาอยู่ระหว่าง 0-3 – 0.46 มิลลิเมตรและตอนปลายด้ามความหนาของมีดควรมีความหนากว่า มีดประเภทนี้สามารถใช้ในการเฉือนมะเขือเทศ หรือผัก ผลไม้ที่มีความแข็งไม่มากได้ดี โดยผักหรือผลไม้ เช่น มะเขือเทศไม่ช้ำ 2. มีดแบบญี่ปุ่น (Santoku) เป็นมีดที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นที่ปัจจุบันได้รับความนิยมในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากความคมของใบมีดและลักษณะการใช้งานที่หลากหลาย คำว่า Santoku แปลว่า คุณค่า 3 อย่าง เพราะมีดชนิดนี้สามารถ หั่น เฉือน และสับได้ด้วย บางยี่ห้อตรงด้านข้างของใบมีดจะมีรอยบุ๋มลึกลงไป ทำให้เวลาเฉือน เนื้อที่ถูกเฉือนออกมาไม่ติดกับใบมีด ทำให้เฉือนได้ง่ายขึ้น   วัสดุที่ใช้ในการทำมีด มีดที่มียี่ห้อส่วนใหญ่จะผลิตจากวัสดุ 2 ประเภทหลักคือ เหล็กกล้าไร้สนิมและเซรามิก สำหรับเหล็กกล้าไร้สนิมที่นิยมใช้ในการทำมีด (โดยเฉพาะมีดของแบรนด์เนมทั้งหลาย) คือเหล็กเกรด X50CrMoV15 โดยที่ -   X หมายถึง เป็นเหล็กกล้าผสมสูง (มาตรฐานเยอรมัน) -   50 หมายความว่า มีธาตุคาร์บอนผสมอยู่ในเนื้อเหล็ก 0.5 % ส่วนผสมของคาร์บอนนี้จะทำให้เหล็กมีความแข็ง -   15 หมายความว่า มีธาตุโครเมียมอยู่ 15 % ธาตุโครเมียมเป็นธาตุที่ป้องกันการเกิดสนิมในเหล็ก   นอกจากนี้ในเนื้อเหล็กยังมีธาตุอื่นผสมรวมอยู่ด้วยคือ ธาตุโมลิบตินัม และธาตุวาเนเดียม ธาตุ 2 ชนิดนี้ช่วยให้เหล็กทนต่อการสึกหรอและการกัดกร่อนได้ดี ความแข็งของวัสดุอย่างเดียวไม่ใช่เป็นหัวใจสำหรับความคมของมีด ความคมของมีดขึ้นอยู่กับเทคนิคในการเจียรใบมีด ซึ่งสามารถทดสอบความคมได้จากการทดลองเฉือนกระดาษทรายที่ซ้อนกัน และวัดความลึกของใบมีดที่กรีดลงไปว่ามีขนาดลึกเท่าใด นอกจากเหล็กกล้าไร้สนิมแล้ว ปัจจุบันมีดที่ทำจากเซรามิกเป็นที่นิยม เนื่องจากมีความแข็งมากกว่าเหล็กกล้า แต่ข้อเสียของมีดที่ทำจากวัสดุประเภทนี้คือ การลับคมมีด จำเป็นต้องใช้ผลึกเพชรมาเจียรใบมีดหลังจากใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง และการเจียรใบมีดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องปล่อยให้มืออาชีพเจียรใบมีด และข้อควรระวังในการใช้มีดเซรามิกคือ การแตกของใบมีดเนื่องจากวัสดุที่แข็งมากก็จะเปราะมากด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการหั่นผักหรือผลไม้ที่มีความแข็งสูงๆ ก็ไม่เหมาะสม และหากมีดตกจากที่สูงสู่พื้น ก็อาจจะทำให้ใบมีดแตกได้อีกเช่นกัน การทำความสะอาดใช้เพียงฟองน้ำเช็ดบริเวณใบมีด และแขวนเก็บไว้ การทำความสะอาดไม่ควรใช้แผ่นโลหะขัด เพราะจะทำให้คมมีดทื่อ และใบมีดเป็นรอย เกิดสนิมได้ง่าย เนื่องในวารดิถีปีใหม่ผมขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้เพื่อนสมาชิกฉลาดซื้อทุกท่าน เจริญด้วยอายุ วรรณะ พละ ฉลาดบริโภค โรคภัยไม่ถามหานะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 165 สัญลักษณ์ในผลิตภัณฑ์เครื่องนุ่งห่ม

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปัจจุบันคนทั่วไปจะซักผ้าโดยใช้เครื่องซักผ้า เพราะมีความสะดวก และประหยัดกว่าการจ้างซัก เสื้อผ้าที่เราซื้อมาใช้นั้น ถ้าเป็นเสื้อผ้าที่มีคุณภาพระดับส่งออก มักจะมีป้ายที่ติดสัญลักษณ์ไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกโปรแกรมในการซักได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดของเสื้อผ้า ซึ่งจะทำให้เสื้อผ้าที่เราซื้อมานั้นมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น บทความครั้งนี้ ขอเสนอความหมายของสัญลักษณ์ ที่เรามักพบเห็นได้บนเสื้อผ้า เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้บริโภคที่ฉลาด (smart consumer) ในการเลือกใช้งานสำหรับการซัก รีด เสื้อผ้าของเราได้อย่างถูกต้อง แสดงวิธีการซัก (washing): โปรแกรมซักผ้าสี ซักแบบถนอมผ้าปานกลาง และซักผ้าแบบถนอมผ้าที่สุด ความหมายของตัวเลขในกล่องหมายถึงอุณหภูมิของน้ำที่จะใช้ซักผ้า เครื่องซักผ้าบางรุ่น บางยี่ห้อ สามารถเลือกโปรแกรมการซัก โดยกำหนดอุณหภูมิในการซักได้ เช่น 95 หมายถึงซักในน้ำที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียสได้ การเลือกใช้โปรแกรมซักผ้าที่อุณหภูมิสูงนั้น เป็นการซักผ้าสี และเป็นผ้าที่มีความทนทานสูง สามารถใส่ผ้าลงไปในเครื่องซักผ้าในปริมาณมากๆ ของการซักแต่ละครั้งได้ 60 หมายถึงซักในน้ำที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสได้ การเลือกใช้โปรแกรมซักผ้าที่อุณหภูมินี้นั้น เป็นการซักแบบถนอมผ้า (delicate wash program) และเป็นผ้าที่มีความทนทาน ขีดหนึ่งขีดที่ใต้กล่อง หมายถึงควรใส่ผ้าในปริมาณหลวมๆ ที่ไม่แน่นมาก 30 หมายถึงซักในน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียสได้ การเลือกใช้โปรแกรมซักผ้าที่อุณหภูมินี้นั้น เป็นการซักแบบถนอมผ้าที่สุด (fine wash program) เช่นผ้าขนสัตว์ ขีดสองขีดที่ใต้กล่อง หมายถึงควรใส่ผ้าในปริมาณน้อยๆ ไม่แน่นจนเกินไป ซักด้วยมือ   หมายถึงควรซักด้วยมือ ในน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส และไม่ควรแช่ผ้าทิ้งไว้ในน้ำเป็นเวลานานๆ เครื่องซักผ้าบางรุ่นได้พัฒนาความสามารถ โดยมีโปรแกรมการซักเหมือนกับการซักด้วยมือ   ห้ามซักผ้าด้วยเครื่อง ต้องซักแห้งโดยใช้น้ำยาเคมีเท่านั้น เวลาเลือกซื้อเสื้อผ้า ควรตรวจดูฉลากด้านใน ของเสื้อผ้าด้วย เพราะถ้าซื้อมาแล้วซักด้วยเครื่องหรือซักมือไม่ได้ ก็ต้องจ้างซัก ซึ่งมีราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แสดงวิธีการฟอกขาว (Bleaching) สัญลักษณ์ รูปสามเหลี่ยม หมายถึง เราสามารถฟอกเสื้อผ้าได้ ไม่ว่าจะฟอกด้วยออกซิเจน หรือ ฟอกด้วยคลอรีน ถ้าเป็นสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมที่มีเส้นขวางสองเส้นอยู่ด้านใน หมายความว่า แนะนำให้ฟอกด้วยออกซิเจน     สัญลักษณ์แสดงการ ห้ามฟอกขาว   ถ้าเสื้อผ้ามีสัญลักษณ์นี้ ให้เราเข้าใจว่า ห้ามฟอกขาว และควรต้องเลือกใช้ผงซักฟอกสำหรับซักผ้าสี ไม่ควรใช้ผงซักฟอกสำหรับซักผ้าขาว เพราะจะทำให้สีซีดได้ สัญลักษณ์แสดงการรีด สัญลักษณ์ ที่แสดงเป็นรูปเตารีด หมายถึง สามารถรีดเสื้อผ้าโดยใช้ความร้อนได้ โดยขนาดความร้อนที่ใช้รีด ดูได้จากจำนวนจุด ถ้ามี สามจุดหมายความว่า สามารถรีดโดยใช้ความร้อนสูงได้ (200 องศาเซลเซียส) สองจุดขนาดความร้อนปานกลาง (150 องศาเซลเซียส) หนึ่งจุดขนาดความร้อนเล็กน้อย (100 องศาเซลเซียส) ซึ่งสามารถปรับขนาดความร้อนตามเตารีดให้ตรงตามปริมาณจุด ที่กำหนดไว้ในเสื้อผ้าได้   สัญลักษณ์ห้ามรีด เป็นสัญลักษณ์ที่ บอกว่า ห้ามรีด ถ้านำเสื้อผ้าไปรีด ก็อาจทำให้สีตก หรือ สีเพี้ยนไป และอาจทำให้เสื้อผ้าฉีกขาดเสียหายได้ เพราะความร้อนทำให้เนื้อผ้าละลาย สัญลักษณ์สำหรับการใช้เครื่องอบแห้ง เป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านในเป็นรูปวงกลม จุดสองจุดหมายถึง สามารถเลือกใช้โปรแกรมสำหรับการอบแห้งใด ๆ ก็ได้ แต่ถ้ามีจุดเดียวต้องเลือกใช้โปรแกรมที่มีอุณหภูมิต่ำในการอบ   เพราะอาจทำให้เสื้อผ้าเสียหายได้จากความร้อนของเครื่องอบผ้า     ฉลาดซื้อแล้ว ก็ต้องฉลาดใช้ ด้วยนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 164 ได้โปรดเปลี่ยนหลอดไฟ !: หลอดไฟฮาโลเจน VS. หลอดไฟ LED

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการบทความนี้ได้รณรงค์การใช้หลอดไฟ LED ในวารสาร Test ซึ่งเป็นวารสารของมูลนิธิเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ที่จัดตั้งโดยรัฐบาลเยอรมัน แต่เป็นองค์การอิสระ เป็นนิติบุคคลประเภท มูลนิธิ สำหรับให้คำแนะนำผู้บริโภคทุกด้านในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินการธนาคาร อาหารและแครื่องสำอาง สื่อดิจิตอล บ้านและสวน งานอดิเรกและการเดินทาง ตลอดจนด้านสุขภาพ ซึ่งจะคล้ายคลึงกับโครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนของความเชี่ยวชาญทางวิชาการ ทั้ง 7 ด้าน การปฏิรูปพลังงานในเยอรมนี หมายถึงการปฏิรูประบบสำรองพลังงานที่ ก้าวข้ามการใช้พลังงานจากน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนิวเคลียร์ แต่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มสำรองพลังงานหมุนเวียนแทน ภายในปี 2050 เยอรมนีจะผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 80 % และใช้พลังงานจากพลังงานหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 60 % ของพลังงานทั้งระบบ เป้าหมายสำคัญคือ จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2022 การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเสาหลักแท่งที่สองของการปฏิรูปพลังงาน รองจากการใช้พลังงานหมุนเวียน การประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลดการสร้างโรงไฟฟ้าและโครงข่ายการจ่ายกระแสไฟฟ้าลง ในกรณีนี้ทางเยอรมนีให้ความสำคัญ ในเรื่องการจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบ Demand-Side Management (DSM)  ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ (Promotion of Electricity  Energy Efficiency) ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นและแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อโลกประสบวิกฤตการณ์พลังงานในช่วงทศวรรษ 1970 ทำให้ทั่วโลกได้ตระหนักว่า การผลิตเพื่อสนองความต้องการใช้พลังงานเพียงทางเดียว ย่อมก่อให้เกิดปัญหาหลายประการติดตามมา เช่น ทรัพยากรพลังงานที่นับวันจะหมดไป, ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากมลภาวะที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงาน เป็นต้น แนวคิดการส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้รับการเผยแพร่และคิดค้นวิจัยไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง DSM เป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งสำหรับการวางแผนพัฒนาการผลิตและส่งไฟฟ้า ซึ่งจะต่างจากการจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบ Supply-Side Management คือ การวางแผน ก่อสร้างและจัดหาแหล่งผลิตไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้ องค์กรผู้บริโภคได้ให้ข้อมูลด้านวิชาการ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หลอดไฟ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายออกไป โดยเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าของหลอดไฟฮาโลเจน กับหลอดไฟ LED ซึ่งหลอดไฟ LED สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า และมีอายุการใช้งานของหลอดไฟที่นานกว่าhttps://www.chaladsue.com/images/stories/164/chaladshop/dd.jpg โดยเฉลี่ยผู้บริโภคต้องจ่ายค่าไฟสำหรับการส่องสว่างของหลอดไฟฮาโลเจนต่อปีเป็นเงิน 11 ยูโร (1 ยูโร = 41 บาท) ใช้ไฟเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้อายุการใช้งานของหลอดไฟฮาโลเจน ก็ยังสั้นมาก คือ มีอายุการใช้งาน เพียง 2 ปี (จากข้อมูลการทดสอบของวารสาร Test นี้ หลอดไฟฮาโลเจนมีอายุไม่เกิน 2,000 ชั่วโมง) ในขณะที่หลอดไฟ LED มีอายุการใช้งานสูงกว่า 25,000 ชั่วโมง ในรูปเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ระหว่างหลอดไฟฮาโลเจนกับหลอดไฟ LED ตลอดระยะเวลา 12 ปี (12,000 ชั่วโมง)  ซึ่งใช้หลอดไฟฮาโลเจน 3 ดวง คิดเป็นเงิน 15 ยูโร แต่ต้องจ่ายค่าไฟ คิดเป็นเงิน 117 ยูโร รวมเป็น 132 ยูโร แต่ถ้าใช้หลอดไฟ LED ที่กำลังส่องสว่างเท่ากัน ใช้ไฟเพียงดวงเดียว (เนื่องจากอายุการใช้งานที่ยาวกว่า) ค่าหลอดไฟ LED 10 ยูโร และเสียค่าไฟเพียง 17 ยูโร  รวมเป็น 27 ยูโร การเปลี่ยนหลอดไฟส่องสว่างจากหลอดฮาโลเจนมาเป็นหลอดไฟ LED 1 ดวง จะประหยัดเงิน ได้ถึง 105 ยูโร (ค่าไฟฟ้าของเยอรมัน 0.28 ยูโรต่อ หน่วย kWh) องค์กรผู้บริโภคในประเทศที่เจริญทางด้านเศรษฐกิจอย่างเยอรมนี เป็นกำลังสำคัญ ในการเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือรัฐบาลในด้านการปฏิรูปพลังงาน ไม่เหมือนกับองค์กรภาคเอกชนที่ทำงานด้านปฏิรูปพลังงานของเรา ที่ถูกกีดกัน ขัดขวางและถูกมองเป็นคู่ขัดแย้ง กับรัฐบาลและกลุ่มทุนผูกขาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำครับ หากรัฐจะคืนความสุขให้กับประชาชนก็จำเป็นต้องแก้สมการ การปฏิรูปกิจการด้านพลังงานของประเทศให้ได้ครับ ลดการผูกขาด = ลดความเหลื่อมล้ำ =  คืนความสุขที่ยั่งยืนให้กับประชาชน   แหล่งข้อมูล DE Magazin Deutschland ฉบับที่ 1/2014 วารสาร Test ฉบับ 10/2014 http://www.dsm.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=18&Itemid=111  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 163 โทรทัศน์ความคมชัดสูง (UHD TV) ยังล้ำหน้าสำหรับเกินไปสำหรับผู้บริโภคของไทย

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการตอนนี้การประมูลทีวีดิจิตอลเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังอยู่ระหว่างทดลองออกอากาศในบางพื้นที่ นโยบายแจกกล่อง set top box และราคาคูปองที่จะแจกให้ผู้บริโภค สรุปว่าอยู่ที่ 690 บาท ตามที่องค์กรผู้บริโภคเสนอ สำหรับท่านที่กำลังเลือกซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ จะเห็นว่าเริ่มมีโทรทัศน์ความคมชัดสูงมาก ที่เรียกว่า Ultra High Definition Television (UHD TV) ดังนั้น ขอเสนอบทความเกี่ยวกับเรื่อง UHD TV ซึ่งทางองค์กรผู้บริโภคของเยอรมนีได้ทำการสำรวจและมีข้อมูลบางประเด็นสำหรับความเหมาะสมทางด้านเทคนิคมานำเสนอ เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ในยุคดิจิตัลทีวี โทรทัศน์ความคมชัดสูงมาก แบบ UHD นี้ เป็นเทคนิคการรับสัญญาณภาพที่พัฒนาต่อมาจาก โทรทัศน์แบบความคมชัดธรรมดา (Standard Definition: SD) ซึ่งมีความละเอียดของจุดการรับภาพ (Resolution) 0.4 ล้านจุด (pixel) โทรทัศน์แบบความคมชัดสูง (High Definition: HD) มีจุดในการรับภาพ (Resolution) 2 ล้านจุด (pixel)  และโทรทัศน์แบบความคมชัดสูงมากจะมีจุดในการรับภาพ 8 ล้านจุด (3840 x 2160 pixel) ปัจจุบัน สถานีที่ประมูลช่องทีวีดิจิตอลในระบบความคมชัดสูง (Full HD) จะส่งสัญญาณภาพที่ระดับความชัด 2 ล้านจุดเท่านั้น (1920 x 1080 pixel) ในกรณีที่โทรทัศน์แบบ HD Ready จะมีระดับความชัดอยู่ที่ (1280 x 720 pixel) ซึ่งต่ำกว่าแบบ Full HD ในกรณีที่ทางสถานีโทรทัศน์ส่งสัญญาณ แบบ SD หรือ HD ผ่านโทรทัศน์แบบ UHD การแปลงสัญญาณภาพจะทำให้สังเกตถึงความเพี้ยนของภาพได้ เพราะฉะนั้นการรับสัญญาณโทรทัศน์ในขณะนี้ ด้วยโทรทัศน์แบบ HD จึงจะมีความสอดคล้องกับการรับสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์มากกว่า คำแนะนำของขององค์กรผู้บริโภคเยอรมันในขณะนี้ คือ คุณภาพของ UHD และ HD แทบไม่ต่างกัน ในขณะที่ ราคาต่างกันมาก เนื่องจากสายตาของคนยังไม่สามารถจับความแตกต่างความคมชัดของภาพระหว่าง UHD และ HD ได้ หากระยะห่างระหว่างจอภาพและผู้ชมรายการไม่ได้ไกลมาก และจอภาพมีขนาดเล็ก   อย่างไรก็ตามโทรทัศน์แบบความคมชัดสูงมากนี้ เหมาะกับรายการโทรทัศน์ที่บันทึกด้วยกล้องความคมชัดพิเศษ ภายใต้เทคโนโลยี 4K โดยในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้ให้บริการหนังและวิดีโอออนไลน์อย่าง Amazon Instant Video, Maxdome และ Netfix จะเปิดให้บริการดูหนังและซีรีส์ ผ่าน Video Streaming ภายใต้ความคมชัดสูงมาก ซึ่งเงื่อนไขที่สำคัญในการรับชมผ่านอินเตอร์เนต คือ ความเร็วของอินเตอร์เนตในระบบ 4G โดยจะต้องมีความเร็วอินเตอร์เนตไม่ต่ำกว่า 25 Mbits ต่อวินาที นอกจากช่องทางในการรับชมหนังและภาพยนตร์ผ่านรายการโทรทัศน์ หรือผ่านระบบอินเตอร์เนตแล้ว ก็สามารถรับชมผ่านแผ่น ที่เป็นระบบ UHD ได้เช่นกัน แต่ผู้ชมรายการก็ต้องซื้อเครื่องเล่นที่สามารถเล่นแผ่นได้ในระบบ UHD ด้วยจึงจะได้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก หากมีโทรทัศน์ที่เป็นระบบ UHD แต่เครื่องเล่นแผ่นไม่ได้เป็นระบบ UHD ก็จะไม่เกิดประโยชน์ในการรับชมภาพที่ทีความคมชัดสูง เพราะฉะนั้นผู้บริโภคในเมืองไทยที่ต้องการรับชมรายการที่มีความคมชัดสูง ขณะนี้เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ ระดับความคมชัดแบบ HD ก็เพียงพอ และในอนาคตเมื่ออินเตอร์เนตความเร็วสูง หรือ ระบบ 4G เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อใด เมื่อนั้น โทรทัศน์ แบบ UHD ก็ เป็นทางเลือกในการรับชมภาพความคมชัดสูงมากที่น่าสนใจครับ (ที่มา : วารสาร Test ฉบับ 7/2014)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 162 การเลือกคอนแทคเลนส์และบิ๊กอาย

โดย กอง บก. อ.ไพบูลย์ ช่วงทอง ติดภารกิจสำคัญขอพัก 1 ฉบับ กองบรรณาธิการจึงขอนำเสนอเรื่อง บิ๊กอาย ที่มีผู้อ่านขอให้ทางฉลาดซื้อนำเสนอบ้าง บิ๊กอาย เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดหนึ่ง ถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการพิเศษคือ ทำให้ตาของผู้ใช้มีลักษณะของลูกตาดำที่ใหญ่ขึ้น(เลนส์ของบิ๊กอายมีการวาดรูปตาดำให้ใหญ่กว่าตาดำจริง และใช้วัสดุที่มีความมันวาวมาก) ดวงตาดูกลมโตน่ารัก สมชื่อ “บิ๊กอาย” ซึ่งเป็นกระแสแรงมาจากฟากเกาหลี ญี่ปุ่น ที่ดารา นักร้องไอดอลทั้งหลาย เขาฮิตกัน วัยรุ่นไทยจึงไม่พลาด ขอตามแฟชั่นด้วย อันที่จริงการใช้คอนแทคเลนส์ ซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์นั้นได้รับความนิยมกันมานานแล้ว เพราะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องสายตา แทนการใช้แว่นสายตาได้ จึงเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อาจไม่ได้รับความสะดวกหรือรู้สึกรำคาญจากการสวมแว่นตา เมื่อมีผู้นิยมใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งเดิมเป็นเพียงเลนส์ใสๆ กันมากขึ้น ก็มีการพัฒนาให้มีเรื่องของสีสันเข้ามาเพิ่มเรียกว่า คอนแทนเลนส์สี โดยปกติจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ 14 มิลลิเมตรและ 14.5 มิลลิเมตร ต่อมาก็ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เป็น 15 มิลลิเมตร 15.5 มิลลิเมตร(ใหญ่กว่านี้ก็มี)ซึ่งจัดว่าเป็น บิ๊กอาย ทั้งหมด คือไม่ได้เน้นช่วยเรื่องการมองเห็นแล้วแต่จะเป็นเรื่องของแฟชั่น   “คอนแทคเลนส์ประเภทบิ๊กอาย พบว่า ไม่มีการอนุญาตให้จำหน่าย ซึ่งที่ได้รับการอนุญาตจะเป็นคอนแทคเลนส์ประเภทคัลเลอร์โทนขนาด 14.5 มิลลิเมตรเท่านั้น แต่ขนาดเกินกว่านี้คือ บิ๊กอาย โดยขณะนี้มีการจดทะเบียนกว่า 70 รายการ แต่กลับพบว่าในท้องตลาดมีการวางขายกว่า 1,000 ยี่ห้อ โดยคอนแทคเลนส์ถูกจัดให้อยู่ในประเภทวัสดุทางการแพทย์ ในปี 2551 และหากขายโดยไม่ได้การรับรองจาก อย.ถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น” นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี กล่าวในรายการข่าวช่องไทยพีบีเอส เมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม 2557 การใส่คอนแทคเลนส์ มีความเสี่ยงมากกว่าการใส่แว่นตา เพราะเลนส์จะเข้าไปปิดทับบนกระจกตา ซึ่งมีความอ่อนไหวมาก แต่คนที่มีปัญหาเรื่องสายตาส่วนใหญ่จะได้รับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการใส่ มีการวัดเคิร์ฟของเลนส์ที่เหมาะกับดวงตาของผู้ใช้ ตลอดจนได้รับคำแนะนำเรื่องการทำความสะอาด โดยส่วนใหญ่จึงดูแลและใช้คอนแทคเลนส์กันได้ดี เพราะต้องใส่กันประจำเนื่องจากความจำเป็น ขณะที่บิ๊กอายนั้น คนที่นิยมกลับเป็นพวกที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตา เพียงแต่ต้องการทำตามแฟชั่น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นวัยรุ่นและสาวหนุ่ม ที่สนใจเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษ คนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยได้สนใจเรื่องความถูกต้องของการใช้งาน การทำความสะอาด และวัสดุที่นำมาทำเป็นเลนส์ อาศัยซื้อหาสินค้าราคาไม่แพง ซื้อกันง่ายๆ จากแผงลอยหรือเว็บออนไลน์ ขนาดซื้อมาคนละสีแล้วมาแบ่งกันใส่ก็มี ทำให้ความเสี่ยงที่ดวงตาจะได้รับความเสียหายมีมากขึ้น   อันตรายจากการใส่คอนแทคเลนส์ บิ๊กอาย 1.การติดเชื้อที่ตา สัญญาณอาการตาติดเชื้อโรค อย่างแรกคือ ขณะใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์จะรู้สึกเคืองตามาก ตาจะแดง เรียกว่าเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตา ยิ่งถ้าถึงขั้นตามัวลง หรือสังเกตเห็นจุดขาวๆ ที่ตาดำ แสดงว่า อาการรุนแรงมากแล้ว ต้องรีบไปพบจักษุแพทย์ด่วน เพราะจุดขาวๆ นี้ก็คือ การติดเชื้อที่กระจกตาดำ ซึ่งอาจจะลุกลามจนส่งผลร้ายแรงต่อไป ส่วนสาเหตุการติดเชื้อเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การดูแลความสะอาดที่ไม่ดีหรือไม่มีเลย การใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไป การใส่คอนแทคเลนส์นอน รวมถึงใช้คอนแทคเลนส์ เกินระยะเวลาที่กำหนด เช่น ที่กล่องระบุให้ใช้ 1 เดือน ก็ไปใช้ 2 เดือน โดยเชื้อที่มักพบบ่อยคือ เชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ ซูโดโมแนส(Pseudomonas) ซึ่งเชื้อแบคทีเรียนี้  สามารถอยู่ได้ทุกที่ในสภาพแวดล้อมทั่วไป เป็นเชื้อที่ลุกลามรวดเร็วและค่อนข้างจะดื้อต่อการใช้ยารักษามากด้วย 2.กระจกตาทะลุ ตาบอด กระจกตาทะลุ ส่วนใหญ่ต่อเนื่องมาจากการติดเชื้อ และได้รับการรักษาช้าไป ผลของกระจกตาทะลุ คือต้องเปลี่ยนกระจกตาเลย กระจกตาที่เปลี่ยนก็ต้องเอามาจากคนที่เสียชีวิต ซึ่งเป็นที่ทราบว่าในประเทศไทยนั้นจำนวนกระจกตาไม่เพียงพอ มีความขาดแคลนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ากระจกตามาไม่ทันก็เกิดความสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งถ้าเปลี่ยนไม่ทันเราก็ต้องใช้อย่างอื่นมาช่วย ทำให้ผลที่ได้รับไม่ดี เป็นต้อหินแทรก และก็มีโอกาสที่จะตาบอดได้ 3.อาการภูมิแพ้เรื้อรังที่ดวงตา ภูมิแพ้เรื้อรังเกิดจากใส่คอนแทคเลนส์ที่ผิดขนาด หรือแม้แต่คอนแทคเลนส์ที่มีมาตรฐานก็อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้เรื้อรังที่ดวงตาได้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุตาขาว กลายเป็นก้อนเนื้อและจะสูญเสียการทำงานของเยื่อบุตาขาวจะทำให้เกิดการแห้ง แสบ อาการเบื้องต้นคือ แสบตา หลับตาจะมีน้ำตาไหล โดยโรคนี้เมื่อเป็นในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้แต่หายเป็นระยะยาวจะรักษา หายค่อนข้างยากรวมถึงมีค่ารักษาพยาบาลที่สูง การใช้ขนาดเลนส์ที่ไม่พอดี(ผิดขนาด) กับความโค้งของตา ก่อให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งแต่ละคนจะมีเคิร์ฟหรือความโค้งของตาไม่เท่ากัน   “เคิร์ฟของลูกตาโก่งมากโก่งน้อย ถ้าโก่งมากเราต้องใช้ตัวที่มันใหญ่เกาะได้ มันเล็กก็ต้องใช้ตัวเล็ก แต่ที่ขายตามบูธเล็กๆ มันไม่มีหรอกแต่ถ้าเป็นร้านที่มีเครื่องวัดก็จะเช็คได้ว่าเคิร์ฟของลูกตาเป็นอย่างไร” รศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ ให้สัมภาษณ์ไว้กับฉลาดซื้อ 4.การบาดเจ็บที่กระจกตาเนื่องจากเลนส์ไม่ได้มาตรฐาน 5.การที่แพ้สารประกอบในเลนส์หรือน้ำยาล้าง การเลือกคอนแทคเลนส์ หากจะใส่คอนแทคเลนส์ สำหรับมือใหม่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและได้วัดขนาดความโค้งของตา เรียกว่าใช้ของได้เหมาะและจัดการดูแลได้ดี เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว เพราะอย่างไรเสียก็ต้องใช้งานกันประจำ และสำหรับกลุ่มที่ต้องการแค่ครั้งคราวเพื่อความสวยงามตามแฟชั่น ก็มีข้อแนะนำดังนี้ 1.เลือกจากแหล่งขายที่น่าเชื่อถือ เมื่อเกิดปัญหาจากสินค้าสามารถเรียกร้องได้ ไม่ใช่ร้านค้าที่หาตัวไม่เจอ และขายสินค้าที่มีใบรับรองมาตรฐาน 2.ตัวสินค้า กล่องบรรจุภัณฑ์คอนแทคเลนส์ จะต้องมีเอกสารกำกับการใช้ ข้อบ่งใช้ ข้อห้าม ข้อควรระวัง แจ้งเอาไว้อย่างชัดเจน คอนแทคเลนส์เป็นวัสดุทางการแพทย์ต้องมีเอกสารรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) 3.ศึกษาวิธีการใช้งานและเลี่ยงการใช้ในลักษณะไม่เหมาะสม ทั้งการแลกเปลี่ยนกันใช้ ไม่ทำความสะอาด ใส่นานเกินเวลา หรือแม้แต่เผลอใส่นอน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 161 ความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องในสัญญาซื้อขาย และการคุ้มครองผู้บริโภค

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการคณะอนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป ได้ดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการฯ ดังที่กำหนดไว้ใน (ร่าง) พรบ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ... เพื่อทดลองทำหน้าที่ของอนุกรรมการฯ ตามเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายดังกล่าว โดย ได้มีความเห็นให้จัดทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “ความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องในสัญญาซื้อขายและการคุ้มครองผู้บริโภค โดย นายเชิดวุฒิ สินพิมลบูรณ์ นักวิจัยในโครงการนี้ ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยได้นำไปประกอบการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และขยายผลโดยการนำเสนอต่อผู้แทนภาครัฐและภาคธุรกิจ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป โดยผลจากการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นปรากฏว่า ผู้เข้าร่วมทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าการปรับปรุงหลักกฎหมายในการจัดการกับปัญหาข้อพิพาทเรื่องสินค้ามือหนึ่งชำรุดบกพร่องในลักษณะทำนองเดียวกับที่หลายประเทศได้ดำเนินการแล้วจะเป็นประโยชน์ และทุกภาคส่วนควรร่วมมือกันในการปรับปรุงและพัฒนามาตรการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น หลักกฎหมายว่าด้วยความรับผิด(ของผู้ขาย) เพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าถือเป็นหลักกฎหมายสำคัญที่รัฐจะนำไปเป็นกฎเกณฑ์ในการสร้างความสงบและผาสุก(ในแง่ของการทำสัญญาซื้อขาย) ให้แก่สังคม อีกทั้ง หลักกฎหมายดังกล่าวยังมีความสำคัญต่อความคล่องตัวและความมั่นคงทางพาณิชย์อีกด้วย ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 1 หมวด 2 ส่วนที่ 2 ตั้งแต่มาตรา 472 ถึงมาตรา 474 โดยบัญญัติไว้อย่างกว้างๆ ซึ่งในทางหนึ่งก็อาจจะส่งผลให้สามารถใช้และตีความกฎหมายได้อย่างยืดหยุ่นตามกาลเวลา แต่ก็อาจจะสร้างความสับสนและก่อให้เกิดอุปสรรคในการบังคับใช้และการตีความได้เช่นกัน   ประกอบกับมาตราดังกล่าวได้บัญญัติและบังคับใช้มาตั้งแต่พุทธศักราช 2472 และด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานย่อมส่งผลต่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในขณะนั้น กับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในปัจจุบันย่อมแตกต่างกันไปมาก ทั้งในแง่เทคโนโลยี ความซับซ้อนของสินค้า พฤติกรรมของคู่สัญญา หรือวิธีการดำเนินการค้าขายก็แตกต่างกันมากมายในแง่ทางเทคนิค ดังนั้น จึงควรจะต้องทำการวิเคราะห์และศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อค้นหาปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมเท่าที่จะเป็นไปได้ และนอกเหนือไปจากประเด็นปัญหาเกี่ยวกับบทนิยามของความชำรุดบกพร่องของสินค้า รวมถึงภาระในการพิสูจน์เกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าแล้ว ยังมีประเด็นที่ควรต้องทำการศึกษาต่อไปว่า ความชำรุดบกพร่องที่ผู้ขายต้องรับผิดนั้นได้แก่ความชำรุดบกพร่องที่ปรากฏขึ้นในช่วงเวลาใด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นก่อน ระหว่าง หรือหลังการส่งมอบสินค้าแล้วก็ได้ และเมื่อปรากฏว่าผู้ขายต้องรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องแล้วก็จะต้องมาแจกแจงสิทธิและหน้าที่ต่างๆ ของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงการพิจารณาเกี่ยวกับอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องที่เกี่ยวเนื่องกับความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่อง โดยได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบหลักกฎหมายดังกล่าวที่ปรากฏในประเทศเยอรมนีและสิงคโปร์ (Lemon Law) ผลการศึกษา เมื่อพิจารณาจากระบบความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องของไทยที่ปรากฏในมาตรา 472 ถึง 474 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว จะพบว่าบทบัญญัติความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องมีขอบเขตกว้างและไม่ชัดเจน ก่อให้เกิดความยุ่งยากในการตีความ อันส่งผลต่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ และแม้ว่าพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจะมีมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคที่หลากหลายก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงการบัญญัติเกี่ยวกับวิธีพิจารณาหรือกรอบการใช้อำนาจของศาลเท่านั้น อีกทั้งโครงสร้างการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องที่ปรากฏในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ยังเป็นการบัญญัติการคุ้มครองผู้บริโภคที่เรียกได้ว่า “กล้าๆ กลัวๆ” เมื่อเปรียบเทียบกับของเยอรมนีและสิงคโปร์ ดังจะเห็นได้จากการการบัญญัติการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีสินค้าชำรุดบกพร่องเอาไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งก็เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีสินค้าชำรุดบกพร่องที่ “ผิดฝา ผิดตัว” ดังนั้น การคุ้มครองผู้บริโภคกรณีสินค้าชำรุดบกพร่องที่ปรากฏในระบบกฎหมายไทยควรจะมีการจัดระบบเสียใหม่ เพื่อลบภาพ “กล้าๆ กลัวๆ และผิดฝา ผิดตัว” ออกไปให้ได้ ...   เปรียบเทียบหลักกฎหมายของเยอรมนีและสิงคโปร์ กรณีสินค้าชำรุดบกพร่อง เยอรมนี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 เป็นต้นมา เยอรมนีได้ทำการปรับปรุงประมวลกฎหมายแพ่ง (Das Bürgerliches Gesetzbuch; BGB)  ขนานใหญ่  โดยหนึ่งในนั้นคือ การนำข้อความคิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเข้ามาใส่ไว้ในระบบความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่อง ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมทั้งในส่วนองค์ประกอบของนิยามความชำรุดบกพร่อง เหตุยกเว้นความรับผิด รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของผู้ซื้อไม่ว่าจะเป็น การเรียกให้ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนสินค้า การขอลดราคาตามสภาพ การบอกเลิกสัญญา (ขอคืนสินค้าและขอรับเงินที่ชำระไปคืน) รวมไปถึงการคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีที่ผู้บริโภคทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจ จะต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภคในบางประเด็นเป็นกรณีพิเศษ เช่น บทสันนิษฐานความชำรุดบกพร่อง หรือข้อห้ามในการยกเว้นสิทธิต่างๆ ของผู้บริโภคตามกฎหมาย เป็นต้น สิงคโปร์ (Lemon law) ระบบความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องของสิงคโปร์เป็นระบบความรับผิดที่ปรากฏในระบบคอมมอนลอว์ คือถือเอาข้อตกลงตามสัญญาเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงที่ปรากฏชัดแจ้งหรือข้อตกลงโดยปริยายเป็นต้น กรณีที่ผิดข้อตกลงที่เป็นสาระสำคัญของสัญญา (breach of conditions) ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะไม่ขอผูกพันตนตามสัญญาอีกต่อไปได้ โดยสามารถปฏิเสธที่จะไม่รับมอบสินค้าหรือโดยการขอกลับคืนสู่สถานะเดิม เสมือนหนึ่งไม่เคยมีสัญญาต่อกัน โดยการบอกเลิกสัญญาและการเรียกค่าเสียหายหลังจากเลิกสัญญาไปแล้ว และในกรณีที่ในการผิดข้อตกลงที่มิได้เป็นสาระสำคัญของสัญญานั้น (breach of warranties) ผู้ซื้อยังคงต้องผูกพันตนตามสัญญาต่อไปได้ โดยสามารถเรียกค่าเสียหายได้ แต่มิได้ให้สิทธิในการปฏิเสธที่จะรับมอบทรัพย์ที่ซื้อขายหรือยกเลิกสัญญาแต่อย่างใด ดังนั้น สิทธิของผู้ซื้อจึงมีน้อยกว่าหรือหากจะมองในมุมมองของผู้บริโภคจะถือได้ว่า Sale of Goods Act ไม่ปรากฏการคุ้มครองผู้บริโภคเลย ซึ่งก็มีความพยายามที่จะตีความ Sale of goods act เพื่อให้คุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งก็ปรากฏความพยายามที่จะอธิบายว่าผู้ขายจะสามารถป้องกันมิให้ผู้ซื้อยกเลิกสัญญาได้ โดยการส่งมอบสินค้าที่ไม่ชำรุดบกพร่องให้ทันแก่เวลา (เอาสินค้านั้นกลับไปแก้ไข ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่) แต่คำอธิบายดังกล่าวก็ยังมิได้มีการบัญญัติสิทธิดังกล่าวไว้ในกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น จึงเกิดปรากฏการณ์ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย หรือเรียกสั้นๆ ว่า Lemon Law ขึ้น โดยจะเป็นการเพิ่มเติมในส่วนที่ว่า ผู้ขายจะรับผิดอย่างไร (สิทธิของผู้ซื้อในการเรียกให้ผู้ขายรับผิด) โดยจะมีการบัญญัติถึงการซ่อมแซมแก้ไข การเปลี่ยนสินค้า รวมถึงการลดราคาตามสภาพ รวมถึงบทสันนิษฐานความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องด้วย สำหรับท่านที่สนใจในรายงานฉบับสมบูรณ์ ทางอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการจะทำการเผยแพร่ผลการศึกษา ผ่านทางเวบไซต์ของ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค http://www.consumerthai.org/main/index.php?option=com_content&view=section&layout=blog&id=24&Itemid=179 หรือ สามารถติดต่อเพื่อขอรับเอกสารในรูปอิเลคโทรนิคส์ไฟล์ ได้ทางฝ่ายเลขานุการอนุกรรมการ ตามที่อยู่อีเมลด้านล่างนี้ pohin59@gmail.com;     //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 160 10 คำถามกับนโยบายปฏิรูปพลังงานในเยอรมนี

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการแหล่งพลังงานจากฟอสซิลอย่างน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติมีข้อด้อยอยู่สองประการหลักๆ คือ เป็นพลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัด และการเผาไหม้ยังปล่อยก๊าซที่เป็นพิษต่อสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดผลเสียและค่าเสียหายอย่างมหาศาลอีกด้วย ยูเรเนียมเองก็มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน ดังนั้นการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจึงไม่เพียงแต่สมเหตุสมผลแต่เป็นประโยชน์อย่างมากในแง่เศรษฐกิจโดยรวม ลม น้ำ แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ และชีวมวล เป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างไม่สิ้นสุด นอกจากนี้การใช้พลังงานจากแหล่งเหล่านี้ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ มีความแน่นอนและมั่นคงทางพลังงาน ต่างจากแหล่งพลังงานอย่าง น้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และยูเรเนียม การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากนอกประเทศ เพิ่มความมั่นคงในการจ่ายกระแสไฟฟ้า และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการให้บริการไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ทำให้เกิดนวัตกรรมที่เข้มแข็ง และยังช่วยสร้างงานใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ อีกด้วย 10 คำถาม คำตอบ ต่อนโยบายปฏิรูปพลังงานในเยอรมนีจะช่วยทำให้เราเห็นภาพและทิศทางในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของเยอรมนี ที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืนสำหรับนโยบายพลังงานของประเทศ  1. เยอรมนีเชื่อมั่นต่อนโยบายปฏิรูปพลังงาน (Energiewende) คำถามคือ อะไรคือการปฏิรูปพลังงาน ? การปฏิรูปพลังงาน หมายถึงการปฏิรูประบบสำรองพลังงานที่ ก้าวข้ามการใช้พลังงานจากน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนิวเคลียร์ แต่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มสำรองพลังงานหมุนเวียนแทน ภายในปี 2050 เยอรมนีจะผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 80 % และใช้พลังงานจากพลังงานหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 60 % ของพลังงานทั้งระบบ เป้าหมายสำคัญคือ จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 20222. เทคโนโลยีประเภทใดที่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับ นโยบายการปฏิรูปพลังงาน ? พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญสำหรับเยอรมนี ภายใต้การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 20 ปี ส่งผลให้ราคาไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ มีราคา 6- 9 ยูโรเซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (2.6 – 3.8 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ซึ่งจะมีราคาเทียบเคียงกับการผลิตไฟฟ้าจากก้าซและถ่านหิน และถูกกว่าไฟฟ้าที่ผลิตจากนิวเคลียร์3. ในฐานะประเทศอุตสาหกรรม เยอรมนีสามารถให้ความเชื่อมั่นกับพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้หรือไม่ และจะเกิดปัญการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าได้หรือไม่ ? “เยอรมนีเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดไฟฟ้าดับ น้อยที่สุดในยุโรป และคาดว่าจะคงรักษาอันดับนี้ต่อไป” การใช้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน จะมีเทคโนโลยีระบบสำรองพลังงาน(Backup Technology) ซึ่งสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในสถานการณ์ที่พลังงานจากลมและพลังงานแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอ โดยในระยะแรกจะยังคงใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ในระยะยาวพลังานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น พลังงานจากน้ำ ไบโอแมส และพลังงานความร้อนใต้พื้นพิภพ จะเป็นพลังงานสำรองเพิ่มขึ้น4. พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ได้นำมาใช้ ในพื้นที่ที่ผลิต มีเทคโนโลยีใดที่จะมาแก้ปัญหานี้ได้ ? โครงข่ายที่จ่ายกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในตอนนี้มีความทนทานและสามารถส่งกระแสไฟฟ้าเพิ่มได้อีก            มาก ในระยะต่อไป จะมีการสร้างโครงข่ายสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลมบริเวณ            ชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของประเทศ ไปยังบริเวณที่มีกระแสลมไม่แรง หรือจะมีการสร้าง  โครงข่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่มีการใช้พลังงานอย่างเข้มข้น5. เยอรมนีจะเป็นตัวอย่าง ที่แสดงถึงความสำคัญของนโยบายปฏิรูปพลังงาน ต่อประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร ? การใช้พลังงานหมุนเวียนจะเป็นคำตอบของความท้าทายการขาดแคลนพลังงานในอนาคต เนื่องจากพลังงานฟอสซิล ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจะลดน้อยลง และเป็นสาเหตุของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การใช้พลังงานหมุนเวียนจะเป็นคำตอบของการแก้ปัญหาทั้งสองเรื่อง ในประเด็นนี้เยอรมนีจะเป็นมิตรต่อประเทศเพื่อนบ้านที่ให้คำปรึกษาในเรื่องการสร้างระบบโครงข่ายกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการผลิตไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์6. มีแรงจูงใจอะไรสำหรับนโยบายปฏิรูปพลังงาน เพื่อให้เกิดการแข่งขันในตลาดพลังงานภายใต้การกำกับดูแลของเรกูเลเตอร์ ? พระราชบัญญัติพลังงานหมุนเวียน(Das Erneubare- Energie Gesetz: EEG) ในปี 2000 ได้ทำให้เกิดการแข่งขันของเทคโนโนโลยีการผลิตพลังงาน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์จากกฏหมายฉบับนี้ โดยได้รับการสนับสนุนทั้งในเชิงเงินทุนสนับสนุนและ ในเชิงกฎหมาย7. ประเทศเยอรมนีจัดอยู่ในประเทศที่มีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และภายใต้การปฏิรูปพลังงานจะนำพาประเทศไปสู่ การสร้างนวัตกรรมได้หรือไม่? “นโยบายการปฏิรูปพลังงาน เป็น โครงการสำหรับอนาคตของประเทศเยอรมนี ในฐานะที่เป็นประเทศอุตสาหกรรม.พลังงานหมุนเวียนจะกลายเป็นสินค้าสำหรับตลาดทั่วโลก ถ้าราคาพลังงานหมุนเวียนใกล้เคียงกับราคาพลังงานจากโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ก็จะส่งผลให้ประเทศอื่นๆ สนใจพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะประเทศที่อุดมไปด้วยลมและแสงอาทิตย์ และประเทศเยอรมนีก็จะเป็นประเทศผู้นำการผลิตนวัตกรรมไม่เพียงเฉพาะทางด้านพลังงาน(Energy Technology) แต่จะขยายผลไปยังด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and communication technology) และเทคโนโลยีวัสดุ (Material Technology)8. นโยบายปฏิรูปพลังงานเป็นนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณสูง(ระดับพันล้านยูโร) จะทำอย่างไรให้การปฏิรูปพลังงานมีต้นทุนไม่สูงสำหรับผู้บริโภคจนเกินไป และมีความคุ้มค่าในการลงทุน ? ประเทศเยอรมนี ต้องจ่ายเงินสำหรับการนำเข้าถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ปีละกว่า 80,000 ล้านยูโร เงินที่ต้องจ่ายออกไปนอกประเทศแต่ละปีๆ นั้น ถ้าสะสมกันก็จะเป็นเงินจำนวนมหาศาล หากสามารถลดการนำเข้าพลังงานด้วยการผลิตพลังงานหมุนเวียน ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหลักประกันในเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ถึงแม้นว่าในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นระยะการลงทุน ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ค่าพลังงานที่จ่ายสำหรับครัวเรือนคิดเป็นมูลค่าเพียง 3% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครัวเรือน9. การลดการใช้ไฟฟ้าเป็นเป็นความยั่งยืนสูงสุด การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจะมีความหมายอย่างไรต่อ การปฏิรูปพลังงาน ? การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเสาหลักแท่งที่สองของการปฏิรูปพลังงาน รองจากการใช้พลังงานหมุนเวียน การประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธภาพ ทำให้ลดการสร้างโรงไฟฟ้าและโครงข่ายการจ่ายกระแสไฟฟ้าลง การใช้กระแสไฟฟ้าในเยอรมนีลดลงเล็กน้อยตั้งแต่ปี 2007 และเป้าหมายในการลดการใช้ไฟฟ้าลง 10 % ในปี 2020 ยังคงเป็นเป้าหมายที่ยังห่างไกลอยู่ อย่างไรก็ตาม ภาคการเมืองก็ต้องมีมาตรการออกมาสำหรับผลักดันให้เป้าหมายเป็นจริง10. การเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์มีผลต่อการปฏิรูปพลังงานอย่างไร ? หลายๆ คนเข้าใจว่า การประกาศเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ของเยอรมนี เกิดจากปฏิกริยาของ เหตุการณ์ ฟูกูชิมา ที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2011 แต่แผนการเลิกการใช้นิวเคลียร์ได้เริ่มมาก่อนนั้นแล้ว การสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 1990 และออกมาเป็น พระราชบัญญัติพลังงานหมุนเวียน(EEG) ในปี 2000 โดยในปีนี้ รัฐบาลเยอรมนีได้ทำความตกลงกับผู้ประกอบการผลิตพลังงาน ว่าจะเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในปี 2020 มติของรัฐบาลนายกแองเจลา แมร์เคิล ในปี 2011 คือ ลดการใช้ ถ่านหิน น้ำมัน และ เลิกการใช้นิวเคลียร์ เพิ่มการใช้พลังงานจากลม แสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ ไบโอแมส และความร้อนจากใต้พื้นพิภพ หวังว่าการปฏิรูปพลังงานในไทย จะทำให้คนไทยสามารถมีพลังงานใช้อย่างยั่งยืน ในราคาที่เป็นธรรม และค่าใช้จ่ายสำหรับพลังงานในครัวเรือนจะลดลงสามารถอยู่ที่ระดับ 3 %  ของค่าใช้จ่ายในครัวเรือน แหล่งข้อมูล DE Magazin Deutschland ฉบับที่ 1/2014 //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 159 Smart TV ข้อน่ากังวลสำหรับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการตอนนี้การประมูลทีวีดิจิตัลก็เสร็จเรียบร้อย กำลังทดลองออกอากาศในบางพื้นที่ แต่นโยบายแจกกล่อง set top box กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงถึงความโปร่งใส และราคาคูปองที่จะแจกให้ผู้บริโภค ที่ราคาอาจจะสูงเกินจริง จนทำให้ประเทศชาติเสียหายได้ ถ้าไม่ระมัดระวังและมีการควบคุมวิธีการแจกคูปองที่ดี อย่างไรก็ตามสังคมกำลังเดินหน้าไปสู่การสื่อสารยุคดิจิตัล การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตัลเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้ผมขอนำสถานการณ์เกี่ยวกับ เรื่อง Smart TV ของเยอรมนี ที่อยู่ในยุคทีวีดิจิตอล แล้วเป็นข้อกังวลสำหรับคนที่ต้องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมานำเสนอครับ Smart TV คือ อะไร คำว่า smart แปลเป็นภาษาไทย คือ ฉลาด และ smart TV เป็นโทรทัศน์ที่นอกจากสามารถดูรายการต่างๆ ได้เหมือนกับเครื่องรับโทรทัศน์อื่นๆ แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และสามารถลง Application เหมือนกับ Smartphone ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารไปยัง social media ไม่ว่าจะเป็น facebook Twitter และ Youtube ผู้ชมสามารถใช้รีโมต ที่สามารถพิมพ์ตัวอักษร ในการเลือกช่องทางการสื่อสารที่สามารถเกิดขึ้นได้ไปพร้อมๆ กับการชมรายการทางโทรทัศน์  ที่เกิดขึ้นบนจอเดียวกัน สำหรับการเลือกซื้อ Smart TV ผู้บริโภคจะต้องพิจารณาถึงความคมชัดของจอภาพ หากผู้ใดสนใจ ว่า Smart TV รุ่นไหนดีอย่างไรนั้น ต้องสอบถามมาที่ กอง บก. เนื่องจากสามารถเข้าถึงผลการทดสอบ Smart TV ของ ICRT ได้ แต่เงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องมี Wifi หรือสัญญาณอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อ  โดยจะต้องมีความเร็วของอินเตอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 6 Mbits/ Second และสำหรับการรับชม HD Video ก็ไม่ควรมีความเร็วต่ำกว่า 8 Mbits/sec   ข้อน่ากังวลต่อประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สถานีโทรทัศน์ในเยอรมนีหลายช่อง รวมทั้ง Google ได้มีการเก็บข้อมูล ด้วยโปรแกรมที่ทำหน้าที่เหมือนกับสปาย (Google Universal Analytics) ที่สามารถสะกดรอยทางดิจิตัล (Digital trace) ผ่าน smart TV ได้ เมื่อผู้ชม Smart TV ใช้บริการของ Gmail หรือ Google ก็จะรู้ทันทีว่าใครเป็นผู้ใช้ ไม่สามารถปกปิด Identity ได้ นอกจากนี้ Smart TV บางยี่ห้อ เช่น ซัมซุง จะมีกล้องติดไว้ที่ Smart TV ด้วย เพื่อการสื่อสาร face to face communication Smart TV ก็จะจำหน้าของคนในครอบครัวที่ดูทีวีได้อีกด้วย ซึ่ง Smart TV จะจำได้ว่าสมาชิกในครอบครัวคนไหน ชอบดูรายการใด และสามารถรู้ได้อีกเช่นกันว่า ตรงไหนคือ เวลาโฆษณา ซึ่งจะทำให้ซัมซุงมีข้อมูลของผู้ชมทุกคนในครอบครัว หากใครต้องการปกปิดข้อมูลส่วนตัวนี้ ก็สามารถไปปิด Function Smart TV ที่เรียกว่า Personlization and Recommendation service นอกจากนั้นยังจะมีไมโครโฟนสำหรับใช้เสียงสั่งงานด้วย เช่น การใช้เสียงเปลี่ยนช่องรายการ เสียงที่ส่งไปยัง TV นั้น เป็นข้อมูลที่สำคัญเฉพาะตัว (Biomimetric data) ที่ไม่สมควรจะปล่อยออกไปยังอินเตอร์เน็ต เพราะสามารถถูกโจรกรรมข้อมูลและขโมย password ของเราได้ ทางที่ดีเราไม่ควรใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะเป็นงานที่สำคัญในเชิงเทคนิคสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ในการสื่อสารยุคดิจิตัลที่พลเมืองในฐานะผู้บริโภคต้องได้รับความคุ้มครอง การมีคณะกรรมการระดับชาติจึงมีความจำเป็น แม้ว่า ใน พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ 2553 จะมี มาตราที่ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการรับมือกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนมาสู่ยุคดิจิตัล แน่นอนว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างแน่นอน   แหล่งข้อมูล test ฉบับที่ 12/2011 และ test 5/2014  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 158 ข้อควรรู้ก่อนทำประกันภัยทางโทรศัพท์

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการผู้บริโภคหลายๆ ท่านคงได้รับประสบการณ์ ถูกเชิญชวนให้ทำประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นการโฆษณาเชิญชวนที่ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคอย่างมาก และหากผู้บริโภคท่านใดรู้สึกเดือดร้อนรำคาญก็สามารถร้องเรียนไปยัง กสทช. เบอร์ 1200 ได้ทันที แต่กรณีที่ผู้บริโภค เกรงใจ หลงเสน่ห์เสียงนางของพนักงานที่โทรมาเชิญชวนให้ทำประกันภัยประเภทต่างๆ จนกระทั่งตกปากรับคำ ยอมทำสัญญาประกันนั้นแล้ว มารู้ตัวอีกทีว่า ไม่ได้ต้องการและไม่มีความจำเป็นใดๆ กับบริการนี้แล้ว เราสามารถจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ผมมีคำตอบให้ครับ จาการเติบโตของธุรกิจประกันภัย ที่มีมากขึ้นโดยเปิดโอกาสให้มีการขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านธนาคารพาณิชย์ หรือการขายประกันผ่านทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ใช้บริการบัตรเครดิต มักจะได้รับการติดต่อจากตัวแทนขายประกันทางโทรศัพท์อยู่เรื่อยๆ  มีการเสนอขายประกันด้วยวิธีต่างๆ จนผู้บริโภคบางรายตอบรับการทำประกันโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อรู้ตัวและเรียกร้องให้บริษัทประกันยกเลิกสัญญา จะได้รับคำตอบเพียงว่า ทำแล้ว “ไม่สามารถยกเลิกได้” ทำให้หลายคนตกเป็นทาสของสัญญาประกันชีวิต โดยไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร มีข้อแนะนำวิธีการป้องกันการตกเป็นเหยื่อ ดังนี้   1.ปฏิเสธตรงๆ ก่อนฟังการเสนอบริการขาย เมื่อผู้บริโภคได้รับโทรศัพท์จากตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต ชักจูงให้ทำประกัน หากผู้บริโภคไม่ต้องการฟังข้อเสนอ ก็สามารถปฏิเสธการนำเสนอขายประกัน และยุติการสนทนาทันที แต่ถ้าผู้บริโภคต้องการรู้ว่าตัวแทนหรือนายหน้าได้ข้อมูลของผู้บริโภคมาจากไหน ตัวแทนหรือนายหน้าต้องแจ้งให้ทราบ จากนั้นสามารถยุติการสนทนาได้ทันทีเช่นกัน   2.ยกเลิกเมื่อพบว่าไม่ได้ต้องการทำประกันจริงๆ เมื่อผู้บริโภคได้ทำสัญญาโดยไม่สมัครใจ เผลอไปตอบตกลง ทำประกันแบบไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ถูกหักค่าเบี้ยประกันไปแล้ว หรือมีกรรมธรรม์ส่งมาถึงบ้านแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ บอกเลิกสัญญาและขอเงินทั้งหมดคืนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์จากบริษัท  โดยแจ้งทางโทรศัพท์ทันทีเมื่อทราบ และทำหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงบริษัทประกันภัย ทั้งนี้ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเบี้ยประกันภัย คืนเต็มจํานวน  โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น   และบริษัทประกันภัยต้องดําเนินการคืนเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่บริษัทได้รับแจ้งการขอใช้สิทธิยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย แจ้งบริษัทบัตรเครดิตให้ยุติการชำระค่าเบี้ยประกัน หรือหากบริษัทประกันเรียกเก็บไปแล้วให้บริษัทบัตรเครดิตเรียกเงินดังกล่าวคืนเข้าระบบ โดยแจ้งทั้งทางโทรศัพท์และหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงบริษัทบัตรเครดิต หากดำเนินการตามข้อ 1. แล้ว บริษัทประกันภัยไม่ดำเนินการใดๆ ให้ผู้บริโภคร้องเรียนไปยังคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็นนายทะเบียน บทกำหนดโทษ คือการเพิกถอนใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต 2535 มาตรา 81   จะเห็นได้ว่าการบอกเลิกสัญญานั้นยุ่งยากมากกว่า และเสียเวลา กว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จ ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคควรปฏิบัติหากไม่ประสงค์จะทำประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์คือ “การปฏิเสธ” การรับฟังข้อเสนอหรือการทำประกันตั้งแต่เริ่มต้น เพราะการเลือกทำประกัน ซึ่งเป็นการทำสัญญามีข้อผูกพันเป็นระยะเวลานานๆ นั้น ผู้บริโภคควรที่จะอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์ ให้เข้าใจก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะข้อเสียของการทำประกันผ่านทางโทรศัพท์คือ ผู้บริโภคไม่สามารถเห็นรายละเอียดที่ปรากฎอยู่ในเอกสารกรมธรรม์ สิ่งที่คุยกันผ่านทางโทรศัพท์ อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย   // Computer Support Hotline We have noticed your Internet browser loaded www.chaladsue.com 29.80 seconds longer than the average. Have you been experiencing slow internet and broken websites? You may have unwanted adware. Call our toll-free number to get friendly support and make your computer fast again. Get Trusted Technical Support Experts For:   Malacious Program Removal Virus Removal Adware Removal   Call 1-855-970-210about this ad

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 157 การเลือกซื้อ กล่อง set top box

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการกล่อง set top box สำหรับแปลงสัญญาณโทรทัศน์ จากระบบอนาลอกสู่ระบบดิจิตอล ยุคโทรทัศน์แบบดิจิตอลได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว และรอวันเคาต์ดาวน์เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เหตุการณ์ที่สำคัญและมีผลกระทบต่อวงการสื่อสารนั้น สมควรจะต้องมีการบันทึกและสื่อสารไปยังสังคมวงกว้างให้มากที่สุด การจัดตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภคในประเทศไทย ในเยอรมนีเองก็มีการจัดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้น เพื่อรองรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการรับส่งสัญญาณ และช่วยเหลือให้ข้อมูล ให้คำปรึกษา เพื่อการเตรียมตัวของผู้บริโภคในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งทางคณะกรรมการกิจการโทรทัศน์และกิจการกระจายเสียง (กสท.) ควรต้องจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นด้วย นอกเหนือจากจะมีนโยบายแจกคูปองให้ไปซื้อกล่อง set top box เพียงอย่างเดียว สำหรับบทความในวันนี้ ผมขอนำเรื่องการทดสอบและข้อแนะนำการเลือกซื้อกล่อง set top box ของ องค์กรผู้บริโภคแห่งเยอรมนี ( Stiftung Warentest ) ที่ได้ทำการทดสอบกล่อง set top box ในปี  2007 มานำเสนอ ถึงแม้ว่าระบบสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตัลภาคพื้นดิน ของเยอรมนีนั้น เป็นระบบ (Digital Video Broadcasting- Terrestrial: DVB-T) ซึ่งเป็นสัญญาณระบบแรกเริ่มที่เยอรมนีและยุโรป เลือกใช้ ในขณะที่ระบบส่งสัญญาณในประเทศไทยนั้น จะเป็นระบบที่พัฒนาจากระบบนี้มาสู่ระบบ (DVB-T2) ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่สองของระบบสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอล หรือเรียกง่าย ๆ ว่ายุคที่สองในประเทศของเรานั่นเอง  ประเด็นนี้ประเทศเราใช้เทคโนโลยีก้าวล้ำกว่าของเยอรมันที่จะเริ่มเปลี่ยนใช้ระบบ DVB-T2 ประมาณปี 2007 แต่ก็สามารถนำข้อแนะนำมาปรับใช้กับการเลือกซื้อกล่องในประเทศของเราได้เช่นกัน   ซื้อกล่อง set top box ต้องคำนึงถึงประเด็นดังต่อไปนี้ 1.มีเครื่องหมาย กสทช. รับรองไว้หรือไม่ การมีตรารับรองจาก กสทช. นั้น ทำให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า กล่องแปลงสัญญาณนั้น มีมาตรฐานทางเทคนิค ที่ผ่านการทดสอบจากห้องแลปมาตรฐานมาแล้ว  2.จุดเชื่อมต่อของสายอากาศกับโทรทัศน์ในบ้านเป็นแบบไหน สิ่งแรกที่ผู้บริโภคควรนึกถึงคือ ดูที่จุดเชื่อมต่อว่า โทรทัศน์ที่ใช้อยู่นั้นมีจุดเชื่อมต่อประเภทไหนบ้าง อาทิ จุดเชื่อมต่อแบบสการ์ต (scart) แบบสายโคแอกเซียล (coaxial cable) ซึ่งผมเคยเขียนอธิบายไว้ในฉลาดซื้อ ฉบับที่ 133 มีนาคม 2555 เพื่อที่จะดูว่าเมื่อซื้อกล่องมาแล้ว สามารถเสียบเข้ากับปลั๊กสายอากาศ ที่บ้านของเราได้หรือไม่ และมีจุดเชื่อมต่อกี่จุด   3.ขนาดและตำแหน่งในการวางของกล่องเป็นอย่างไร ถ้ากล่อง set top box มีขนาดใหญ่ก็ต้องการพื้นที่ในการจัดวางเพิ่ม ซึ่งต้องให้สอดคล้องกับขนาดและตำแหน่งของโทรทัศน์ในบ้านด้วย   ฟังค์ชันอื่นๆ ที่กล่อง set top box ที่ดีควรจะมี ฮาร์ดดิสค์ กล่อง set top box ปัจจุบันสามารถที่จะทำหน้าที่บันทึกรายการจากสถานีโทรทัศน์ได้โดยตรง โดยที่กล่องประเภทนี้จะมี hard disc รวมอยู่ด้วย โดยมีขนาดตั้งแต่ 80 GB- 160 GB  ซึ่ง hard disc ขนาด 80 GB สามารถบันทึกรายการได้นาน ถึง 50 ชั่วโมง Stand by mode ซึ่งเป็นฟังค์ชันที่จะใช้กับ รีโมตคอนโทรล เพื่อความสะดวกในการเปิดและปิดกล่อง set top box ฟังค์ชันการค้นหาช่องอัตโนมัติ (automatic channel searching) จัดเรียงช่อง และ บันทึกช่องสัญญาณ ฟังค์ชันแสดงเมนูบนจอโทรทัศน์ (On Screen Display: OSD) ในกรณีที่กล่อง set top box สามารถบันทึกรายการได้ ต้องพิจารณาว่าฟังค์ชันในการบันทึกรายการนั้น สามารถตั้งโปรแกรมบันทึกรายการได้กี่ช่อง เป็นรายวัน หรือรายอาทิตย์ และสามารถตั้งโปรแกรมตั้งเวลาปิดอัตโนมัติเมื่อ เราเผลอนอนหลับได้หรือไม่ (sleeping mode) สำหรับผู้บริโภคที่ชอบฟังค์ชันพิเศษเหล่านี้เพิ่มเติม ก็ต้องพิจารณาถึงราคาที่จะต้องจ่ายเพิ่มตามมาด้วยนะครับ   (ข้อมูลอ้างอิง: http://www.test.de/DVB-T-Empfaenger-15-Modelle-fuer-TV-und-PC-1504176-0/)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 156 เข้าสู่ยุคดิจิตัล: ทางเลือกของผู้บริโภคในการรับชมรายการทีวี บทเรียนจากเยอรมนี

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการขณะที่คนไทยต่างกำลังตั้งหน้าตั้งตารอชมทีวีดิจิตัล ที่จัดการประมูลสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างดีนั้น  ทางเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ยุค ทีวีดิจิตัล ในระบบ DVB-T (Digital Video Broadcasting- Terrestrial) ซึ่งรับส่งสัญญาณบนภาคพื้นดินเป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว ปัจจุบันเฉพาะในเขตที่เป็นชุมชนมีผู้อาศัยอย่างแน่นหนา เช่นเมืองมิวนิค มีจำนวนผู้ที่รับสัญญาณผ่านระบบนี้น้อยลง จนส่งผลให้สถานี RTL (Royal Television Luxemburg) ได้ใช้อ้างเพื่อที่จะระงับการส่งสัญญาณผ่านภาคพื้นดิน ซึ่งทำให้กลุ่มทุนสื่อของ ProsiebenSat 1 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ภาคเอกชน เข้าใช้ช่องสถานีที่ว่างลง โดยได้เล็งเห็นว่าในอนาคต การรับส่งสัญญาณผ่านภาคพื้นดินนั้นจะกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เมื่อสถานีโทรทัศน์สามารถส่งสัญญาณในระบบความคมชัดสูง (HD-TV) แต่อย่างไรก็ตามคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินที่นับวันจะมีการใช้งานลดลง เป็นสิ่งที่ นักลงทุนคาดหวังและต้องการที่จะเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่ม เมื่อเทคโนโลยี LTE (Long Term Evolution) หรือ  4 G ในสมาร์ตโฟนมีประสิทธิภาพเต็มรูปแบบ ก็จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่สามารถรับชมรายการต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา   สิ่งที่ผู้บริโภคในอนาคตจะต้องพิจารณาก็คือ ช่องทางใดที่ผู้บริโภคจะเลือกรับชมรายการโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็น ผ่านดาวเทียม ผ่านทีวีเคเบิล หรือผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทีวีดาวเทียม ข้อดีของทีวีดาวเทียมคือ มีช่องรายการมากมาย และสามารถรับสัญญาณได้โดยไม่ต้องเป็นสมาชิกหรือต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (ฟรีทีวี) ยกเว้นช่องสถานีที่มีการส่งสัญญาณแบบความคมชัดสูง(HD) ที่มีการใส่รหัสการส่งสัญญาณที่เป็น เพย์ทีวี ที่ต้องสมัครเป็นสมาชิก จ่ายเป็นรายเดือน หรือ จ่ายตามรายการที่สนใจ (Pay per view) และข้อดีของทีวีดาวเทียมคือ จานดาวเทียมมีระบบที่รองรับการส่งสัญญาณทั้งแบบความคมชัดสูง (HD-TV) และแบบความคมชัดธรรมดา (SD Standard Definition-TV) อยู่แล้วก็จะทำให้ต้นทุนในการติดตั้งการรับสัญญาณนั้นราคาไม่แพงเหมือนการรับสัญญาณผ่านระบบอื่นๆ ข้อเสียของทีวีดาวเทียมคือ การติดตั้งจานดาวเทียม เพราะในเยอรมนีมีกฎระเบียบที่เข้มงวดในเรื่องของการติดตั้งจานดาวเทียมนอกอาคาร เพราะจะเป็นการรบกวนทางทัศนียภาพ ซึ่งปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้โดยการรวมกลุ่มติดตั้งจานดาวเทียมของผู้อยู่อาศัยในอาคาร เพื่อจะลดจำนวนจานดวเทียมในการติดตั้ง   เคเบิลทีวี มีจำนวนช่องรายการน้อยกว่าทีวีดาวเทียม แต่ช่องรายการที่มีความคมชัดสูงก็สามารถส่งสัญญาณผ่านสายเคเบิลได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการรับชมรายการช่องสาธารณะ ก็สามารถรับชมผ่านทางเคเบิลทีวี (และทีวีดาวเทียม ได้ทุกช่อง การรับชมผ่านเคเบิลทีวี ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกและจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นรายเดือน และเนื่องจากทางผู้ประกอบการเคเบิลทีวีต้องหารายได้จากค่าโฆษณา ส่งผลให้การบันทึกรายการทีวีเคเบิลค่อนข้างยุ่งยาก คือการบันทึกรายการทีวีก็จะติดโฆษณารวมไว้ด้วย   อินเตอร์เน็ตทีวี (IPTV) ในเยอรมนีมีผู้ชมผ่านช่องทางนี้ 2-3 ล้านครัวเรือนที่รับชมรายการโทรทัศน์ผ่านอินเตอร์เน็ตของบริษัท ด้อยทช์เทเลคอม (Entertain) และบริษัทโวดาโฟน (Vodafone TV) เมื่อเปรียบเทียบกับการรับชมผ่านเคเบิลทีวีนั้น การรับชมผ่านอินเตอร์เน็ตทีวีจะมีช่องรายการมากกว่าและการบันทึกสัญญาณนั้นสามารถทำได้สะดวกกว่า โดยสามารถบันทึกรายการเพื่อมารับชมภายหลังผ่าน ฮาร์ดดิสก์ ที่ติดมาพร้อมกับกล่องรับสัญญาณ ข้อเสียของอินเตอร์เน็ตทีวีคือ เรื่องราคา เพราะเป็นการเลือกชมรายการทีวีผ่านอินเตอร์เน็ตจะมีราคาสูงที่สุด และความเร็วของอินเตอร์เนตต้องสูง ทำให้ราคาในการเลือกรับชมทีวีผ่านช่องทางนี้สูงตามไปด้วย ซึ่งในทางเทคนิค ต้องเป็นเทคโนโลยีแบบ Broadband Internet จึงจะเหมาะสมกับการเลือกรับชมผ่านอินเตอร์เน็ต ที่มา http://www.test.de/DVB-T-Antennenempfang-RTL-steigt-aus-4585522-0/   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 155 เมื่อรำคาญกับโฆษณา ในเฟซบุ๊ก ทำอย่างไร

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปัจจุบันนี้โปรแกรมโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก หลายๆ คนนิยมติดต่อ สื่อสาร แสดงสถานะของตนเอง ตลอดจนเปิดเผยข้อมูลที่ ทางผู้ประกอบการนิยมนำมาใช้ในการโฆษณาสินค้า และบริการ สินค้าบางชนิด ก็เป็นสินค้าที่นอกจากจะสร้างความรำคาญให้กับเราแล้ว สินค้าและบริการบางประเภท ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ และบางครั้งก็อาจสร้างความอับอาย หากเพื่อนๆ ที่อยู่ในรายชื่อของเฟซบุ๊ก เราสามารถแวะเวียนเข้ามาดูได้ ไม่ว่าจะเป็นชุดชั้นใน บริการบางชนิดที่สุ่มเสี่ยงต่อการค้าประเวณี ยาเพิ่มและลดสมรรถภาพทางเพศ ยาที่โฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถทำให้อกฟู รูฟิต ซึ่งก็เป็นที่น่าสงสัยว่า โฆษณาเหล่านี้ แวะเวียนผ่านเข้ามาในเฟซบุ๊กของเราได้อย่างไร วันนี้ผมขอแนะนำวิธีการ บล็อคโฆษณาที่แวะเวียนเข้ามารบกวนเรา ที่น่าจะมีประโยชน์กับผู้บริโภค ที่ปัจจุบันเฟซบุ๊กเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเรามากทีเดียว   ขั้นตอนที่ 1 หลังจากที่เรา log in เข้าเฟซบุ๊กของเราเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปคลิกที่รูปเฟืองเกียร์ รูปที่ 1ด้านขวามือบน หลังจากนั้นก็ เลือก “account setting” หลังจากนั้น graphic จะปรากฎขึ้นมา ให้เลือก “ads” ทางด้านซ้ายมือ (รูปที่ 2) หลังจากนั้น จะปรากฎ graphic ให้เลือก คลิก “edit” ของ Ads and Friends (รูปที่ 3) เมื่อ graphic ของ “Pair my social action with ads for No one” ในช่องสี่เหลี่ยม ตามรูปที่ 4 และอย่าลืม คลิก Save change เพื่อยืนยัน ขั้นตอนที่ 2 หลังจากนั้นใช้เม้าส์ เลื่อนขึ้นไปที่ “Third Party Sites” คลิกที่  “edit” ตามรูปที่ 5 และทำตามเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 1 เลือก ในช่อง “If we allow this in the future, show my information to No one” และ คลิก Save change เพื่อยืนยันอีกครั้ง ขั้นตอนที่ 3 ให้ คลิกไปที่ “opt out” ในช่อง “Website and Mobile App Custom Audiences” ตามรูปที่ 6 เมื่อ กราฟิกตามรูปที่ 7 ปรากฎขึ้น ให้คลิกไปที่ “opt out” อีกครั้ง ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ 1- 3 ในทุกเว็บ browser และในทุกอุปกรณ์สื่อสารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ส่วนตัว สมาร์ตโฟน และแทบเล็ต จะเห็นว่าการป้องกันโฆษณาในเฟสบุค ยุ่งยากกว่า การ unfriend เพื่อนของเราที่หลายๆ ท่านคงจะได้ทำการ unfriend ออกไปจากรายชื่อของเฟซบุ๊กไปแล้ว ทุนนิยมสามานย์ สร้างความยุ่งยากให้กับชีวิตของเราได้มากกว่า ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมากกว่าที่เราเคยคิด สำหรับคนไทยก็คงต้องทนอยู่กันต่อไป เพราะเราคงไม่คิดจะเนรเทศตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ เหมือนนักการเมืองที่ได้สร้างปัญหาไว้ และทิ้งให้เราเองต้องกลับมาแก้ปัญหาในระยะยาว สวัสดีปีม้า 2557 นะครับ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 สัญญาที่ไม่เป็นธรรมของบริการผ่านอินเตอร์เน็ตโปรแกรม SKYPE

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปัจจุบันการใช้บริการโทรศัพท์ติดต่อผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะสะดวก และประหยัด เช่น การใช้ บริการผ่านโปรแกรมของบริษัทไมโครซอฟท์ ที่มีชื่อว่า SKYPE ซึ่งเป็นบริการที่ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ ผ่านทางอินเตอร์เนต และมีโปรโมชันให้เลือกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคแห่งเยอรมนีก็ได้ทำหนังสือเตือนไปยังผู้ให้บริการของ SKYPE เนื่องจากมีสัญญา 20 ข้อที่เข้าข่าย เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ละเมิดสิทธิและเอาเปรียบผู้บริโภค  ยกตัวอย่างเช่น “การที่ผู้ให้บริการ SKYPE สามารถยกเลิก และเปลี่ยนแปลงสัญญาการให้บริการได้ทุกกรณี และตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้บริโภคยินยอม” “วงเงินเครดิตในการใช้โทรศัพท์ ก็จะมีอายุเพียง 6 เดือน นับจากวันที่ผู้บริโภคได้ชำระเงินซื้อบริการ” “กรณีการฟ้องร้องต่อศาล ก็ต้องไปขึ้นศาลที่ประเทศลักเซมเบิร์ก และใช้กฎหมายของประเทศลักเซมเบิร์กเป็นฐานในการดำเนินคดี” “บริษัทจะไม่รับผิดใด ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทางบริษัทไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม”   นอกจากนี้ทางผู้ให้บริการก็สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราค่าโทรศัพท์ได้ฝ่ายเดียว ซึ่งข้อความดังกล่าวได้ระบุไว้เป็นอักษรที่มีขนาดเล็ก ที่ผู้บริโภคมักมองข้ามไป การทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังบริษัทผู้ให้บริการนั้น นับว่าประสบความสำเร็จในเบื้องต้น ทางไมโครซอฟท์ ก็ได้เปลี่ยนแปลงสัญญาการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นในประเด็นเรื่องการบอกยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาที่ต้องแจ้งล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 30 วัน หรือการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการก็ต้องแจ้งล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 30 วันเช่นกัน และยกเลิกการหมดอายุของวงเงินเครดิตในการใช้งาน การเปลี่ยนแปลงสัญญาที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวนั้น ทางสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคเองก็ได้ชื่นชมผู้ให้บริการที่ ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เพราะถ้าเป็นคดีความฟ้องร้องกว่าที่จะมีคำตัดสินของศาลเพื่อการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคนั้นก็จะกินเวลาหลายปีทีเดียว สำหรับการให้บริการประเภทนี้ ทางหน่วยงาน กำกับดูแลทางด้านโทรคมนาคม คือ กสทช. คงจะต้องลงไปดู รายละเอียดของสัญญา ผู้ให้บริการรายอื่นๆ ด้วยว่าเข้าข่ายละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคไทยหรือไม่ เพราะปัจจุบันการให้บริการหลายๆ ประเภท จะเป็นการดำเนินธุรกรรมผ่านทางโลกออนไลน์ที่ไร้พรมแดน แต่ถ้าเกิดคดีฟ้องร้องกัน นั้น คงเกิดปัญหาขึ้นแน่นอนว่าจะใช้กฎหมายของประเทศอะไร ในเบื้องต้น ทาง กสทช. ก็คงต้องรีบตรวจสอบสัญญาการให้บริการ เพื่อที่จะป้องกันการละเมิดสิทธิผู้บริโภคคนไทยครับ ที่มา http://www.vzbv.de/12564.htm วันที่ 5.12.2013   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 153 คดีความเรื่องดอกเบี้ยบัตรเครดิต : ศาลต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนในยุคบริโภคนิยม

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการเรื่องที่ผมจะนำเสนอในฉบับนี้ จะเป็นลักษณะ “เสียงจากผู้บริโภค” โดยนำคดีเกี่ยวกับการฟ้องร้องเรื่องการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต ที่เอาเปรียบผู้บริโภคในเยอรมนี และในประเทศไทยเองผู้บริโภคจำนวนมากก็ผจญกับปัญหาหนี้บัตรเครดิต ที่นับวันปัญหาก็จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในสังคม เรื่องก็มีอยู่ว่า นายยิลดิซ เป็นนักศึกษานิติศาสตร์ อยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ได้ทำสัญญา เปิดบริการใช้บัตรเครดิตกับธนาคาร Barclay Card ของ Barclay เยอรมนี ในปี ค.ศ. 2000 โดยสามารถชำระเงินคืนบางส่วนได้ คล้ายๆ กับเงื่อนไขการชำระเงินของบัตรเครดิตรในประเทศไทยของเรานั่นเอง แต่อัตราดอกเบี้ย ตอนที่เริ่มทำสัญญานั้น  อยู่ที่ 14.84 % ต่อปี และในสัญญาบัตรเครดิตก็ยังได้ระบุไว้ว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาด ในปี ค.ศ. 2007 อัตราดอกเบี้ยได้ถีบตัวสูงขึ้นไป ถึง 19.99 % ต่อปีและไม่มีทีท่าว่าจะลดตามสภาวะของตลาดที่อัตราดอกเบี้ยโดยรวมลดต่ำลงมากเพราะเศรษฐกิจเป็นช่วงขาลง และการที่ผู้บริโภคสามารถแบ่งชำระจ่ายได้บางส่วน ทำให้วงเงินที่เป็นหนี้บัตรเครดิตสูงขึ้นๆ อันเนื่องมาจากดอกเบี้ยที่สูงมากนั่นเอง และทำให้นายยิลดิซ ไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 8,000 ยูโรได้ จนกระทั่งทางธนาคารให้บริษัททวงหนี้เข้ามาทำการไกล่เกลี่ยกับนายยิลดิซ แต่นายยิลดิซ ไม่ตกลงยินยอม คดีจึงเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมตั้งแค่ปี ค.ศ. 2009  ในกรณีนี้ศาลตัดสินว่า ในข้อสัญญาที่ระบุว่าให้ธนาคารสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดได้นั้น เป็นข้อสัญญาที่เอาเปรียบผู้บริโภคอย่างไม่ต้องสงสัย "unzweifelhaft unwirksam" เพราะฉะนั้นสัญญาในข้อนี้จึงเป็นโมฆะและสั่งให้ธนาคารกลับไปคิดอัตราดอกเบี้ยใหม่โดยให้ใช้อัตราดอกเบี้ยตอนเริ่มทำสัญญา ผลของคำตัดสินในคดีนี้ส่งผลต่อ ผู้บริโภครายอื่น ที่ทำสัญญาบัตรเครดิตในลักษณะเดียวกันนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลทางเวบไซต์พบว่า มีบัตรเครดิตภายใต้สัญญาที่เป็นโมฆะดังกล่าวเป็นจำนวนถึง 1.3 ล้านใบ และอาจต้องคืนเงินให้กับผู้บริโภคทุกรายด้วย แต่อย่างไรก็ตามคดีนี้ยังไม่จบ โดยจะดำเนินการพิพากษาคดีต่อในเดือนมีนาคม 2014 แต่ถึงแม้ว่าคดียังไม่จบ ทางธนาคาร Barclay ก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงสัญญาที่เป็นโมฆะใหม่แล้วตั้งแต่ปี 2011   ปัจจุบันนี้นายยิลดิซ ได้เรียนจบแล้ว และได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมือง CDU ที่นายกหญิงเหล็ก แองเจลา แมร์เคิลเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เรื่องที่เล่ามานี้เกิดขึ้นจริง ในประเทศเยอรมนี ที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในอียู ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ศาลได้ทำหน้าที่ดำรงความยุติธรรม เพื่อรักษาความเป็นนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญและเป็นที่พึ่งของคนเล็กคนน้อยมิให้ถูกธนาคาร ที่เป็นองคาพยพหนึ่งในระบอบทุนนิยมเอารัดเอาเปรียบมากจนเกินไป  และหวังว่าจะได้เห็นองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคผ่านการเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรในเร็ววันนี้ เพื่อมาเป็นปากเสียงให้กับประชาชน ผู้บริโภคไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญครับ (ที่มา www.welt.de วันที่ 12.11.2013) รูปแสดงอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตในประเทศเยอรมนีตั้งแต่ปี 2010-2013: ที่มา Deutsche Bundesbank

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 152 หลักการคืนรถใหม่ที่มีข้อบกพร่อง : แนวทางปฏิบัติในประเทศเยอรมนี

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการติดตามข่าวปัญหาของผู้ซื้อรถเชพโรเลทครูซ ที่พบว่ารถเกิดข้อบกพร่อง และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ เป็นอันตรายต่อคนขับและผู้โดยสารได้ ผู้บริโภคพยายามที่จะขอให้ทางบริษัทซื้อรถคืน ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบพิสูจน์ ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมก่อนที่จะฟ้องร้องต่อศาล ในกรณีที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้นั้น ผมมีแนวทางในเรื่องนี้ โดยจะขอเล่าแนวทางปฏิบัติของทางเยอรมันดังต่อไปนี้ครับ ในกรณีที่ซื้อรถใหม่ โดยปกติผู้บริโภคจะได้รับการประกันสองรูปแบบ คือ การรับประกันจากผู้ขาย ที่เรียกว่า Dealer Guarantee และได้รับประกันจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เรียกว่า Manufacturer Guarantee โดยจะมีระยะเวลาประกันนาน 2 ปี  ในกรณีที่ผู้บริโภคพบว่ารถมีข้อบกพร่อง (Defects) หลังจากส่งมอบรถก่อน 6 เดือนจะใช้สิทธิการประกันรถก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหลังจาก 6 เดือนไปแล้ว ต้องพิสูจน์ว่ารถตอนส่งมอบนั้นมีข้อบกพร่อง และผู้บริโภคใช้รถอย่างถูกต้อง จึงจะสามารถใช้สิทธิจากการรับประกันของผู้ผลิตได้ ในกรณีที่รถใหม่เป็นรถที่มีข้อบกพร่องหลายจุด (Montagsauto: Monday cars) เบื้องต้นผู้บริโภคไม่สามารถจะคืนรถได้ทันที ต้องปล่อยให้ทางผู้ขาย หรือ ผู้ผลิตทำการซ่อมแซมรถก่อน และหากลองซ่อมแล้ว 2 ครั้งยังไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะร้องเรียนต่อผู้ผลิต หรือฟ้องร้องต่อศาลเพื่อยกเลิกสัญญา หรือให้ทางผู้จำหน่ายซื้อรถคืนได้ อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคที่จะขายรถคืนให้กับทางบริษัทนั้น โดยทั่วไปจะโดนหักค่าเสื่อมราคา คิดเป็น 0.67% ของราคาเต็มของรถต่อระยะทางที่รถวิ่ง 1000 กิโลเมตร เนื่องจากลักษณะของรถ Monday cars นี้ มักจะมีจุดบกพร่องหลายๆ จุด เพราะฉะนั้นหากรถจอดอยู่ในอู่ซ่อมเป็นระยะเวลานานๆ รวมแล้วมากกว่าระยะเวลาที่รถวิ่ง ผู้บริโภคก็สามารถใช้ประเด็นนี้ ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อยกเลิกสัญญาการซื้อขาย โดยเป็นกรณีที่เรียกว่า “สินค้าอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถยอมรับได้” (Unzumutbarkeit: Unacceptability) สามารถขอเปลี่ยนรถใหม่ หรือขอให้ทางบริษัทซื้อรถคืนกลับไปได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่ รถ แสดงอาการว่าผิดปกติและอาจส่งผลต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสาร ก็สามารถที่จะใช้สิทธิผ่าน กฎหมายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยได้ (Product Liability Law) โดยบังคับให้ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายเป็นฝ่ายพิสูจน์ ในกรณีที่เป็นคดีฟ้องร้องไม่สามารถตกลงไกล่เกลี่ยกันได้ แต่เนื่องจากในเยอรมันหรือประเทศที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของผู้บริโภคและประชาชน หากรถยนต์ส่อเค้าว่ามีข้อบกพร่อง ทางบริษัทก็จะทำการแสดงความรับผิดชอบทันที ไม่ต้องใช้กฎหมายมาบีบบังคับ เหมือนในเมืองไทย เพราะทางบริษัทผลิตรถยนต์ เป็นห่วงเรื่องภาพพจน์ของยี่ห้อเขา มากกว่าที่จะใช้สิทธิในการต่อสู้คดีความทางศาลครับ และกรณีรถยนต์เชพโรเลทนี้ คาดว่าผู้บริโภคของไทยยังต้องเหนื่อยกับการเรียกร้องสิทธิให้ผู้ประกอบการมีความรับผิดชอบอีกพอสมควรทีเดียว ตรงนี้เป็นตัวชี้วัดสำหรับการรับผิดชอบต่อสังคมได้เป็นอย่างดีว่าเป็นอย่างไร แหล่งข้อมูล www.adac.de

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 151 ว่าด้วยเรื่อง โทรทัศน์ 3 มิติ (3D- TV)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการการประมูลทีวีดิจิตอล กำลังเริ่มขึ้น ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคสื่อดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ ผมลองไปเดินดู เพื่อหาซื้อโทรทัศน์จอแบน ดิจิตอล ตามท้องตลาด และได้ไปเห็นทีวี 3 มิติ หลายรุ่นน่าสนใจอยู่ เลยต้องกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการเลือกซื้อโทรทัศน์ ว่าจะมีแนวทางในการเลือกซื้ออย่างไร มีข้อควรระวังอะไรบ้าง บทความนี้จะอธิบายถึงเรื่องนี้ครับ การมองเห็นภาพ 3 มิติของคน การมองเห็น 3 มิติแบบปรากฎการณ์ Accomodation การมองเห็นภาพ 3 มิติของสายตาเกิดจากการโค้งงอของเลนส์สายตา เพื่อโฟกัสการมองเห็นไปยังวัตถุระยะใกล้ๆ ในภาพการมองวัตถุระยะใกล้เลนส์ตาจะโค้งงอมากกว่าการมองในระยะไกล ดังรูปที่ 1 รูปที่ 1 ปรากฏการณ์ Accomodation การมองเห็น 3 มิติแบบปรากฎการณ์ Convergence การมองเห็นภาพ 3 มิติแบบคอนเวอร์เจนซ์ เป็นปรากฏการ์ที่ ลูกตาหมุนเข้าหาทำมุมระหว่างกันไปที่วัตถุ ระยะที่ลูกตาสามารถปรับไปมาได้จะอยู่ไม่เกิน 2-3 เซนติเมตรจากระยะปลายจมูก (Squint Effect) แต่ถ้าสายตามองวัตถุในระยะไกลๆ สายตาที่มองออกไปจะขนานกันปรากฏการณ์ คอนเวอร์เจนซ์ของตามนุษย์จะเกิดขึ้นในการมองวัตถุในระยะไม่เกิน 3 เมตร ดูรูปที่ 2 รูปที่ 2 ปรากฏการณ์ Convergence   การมองเห็น 3 มิติแบบปรากฏการณ์ Parallax การที่ลูกตาแต่ละข้างจะมองเห็นภาพที่ต่างกัน ตามคำอธิบายในรูปที่ 3 รูปที่ 3 ปรากฏการณ์ Parallax   หลักการทำงานของทีวี 3D ภาพที่เกิดขึ้นจากทีวี 3D เป็นภาพที่ซ้อนกันภายใต้ระยะห่างที่เท่ากัน เมื่อสายตามองเห็นภาพดังกล่าวก็จะปรับลักษณะการมองเห็น ตามปรากฏการณ์ คอนเวอร์เจนซ์ โดยมีสมองสั่งการและควบคุมการมองเห็นอย่างรวดเร็ว แต่การดูภาพ 3 มิติ เป็นระยะเวลานานจะทำให้สายตาเมื่อยล้า และรู้สึกไม่สบายสายตา   ความสบายตาในการรับชมทีวี (Cinema Compatible) เนื่องจากระยะห่างระหว่างจอกับลูกตาในโรงภาพยนต์จะมากกว่า 3 เมตร การดูหนังในโรงภาพยนต์การโค้งตัวของเลนส์ตาจะน้อยกว่า การดูทีวี 3D ในบ้านที่ระยะห่างระหว่างจอกับลูกตาน้อยกว่า 3 เมตร เพราะฉะนั้นหากจะดูที่วี 3D แบบสบายตา ควรตั้งให้จอทีวีอยู่ห่างจากโซฟาหรือที่นั่งไม่ต่ำกว่า 3 เมตร   เด็กเล็กไม่ควรดูทีวี 3D เพราะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพสายตา และการดูทีวี 3 D เป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจเป็นโรคลมชักได้ (Epilepsy)!   แหล่งข้อมูลอ้างอิง www.test.de

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 150 ตัวอย่างหลักสูตร การคุ้มครองผู้บริโภคในโรงเรียน: ความเท่าทันสื่อ (Media Competency)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการบทความนี้ผมได้แปลสรุปมาจากสื่อการเรียนการสอนของ องค์กรผู้บริโภคแห่งเยอรมนี ที่ได้จัดทำสื่อให้กับคุณครูและเด็กนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดทำหลักสูตรดังกล่าวมีองค์กรภาคเอกชนหลายหน่วยงานได้เข้ามาร่วมกันทำงาน  สำหรับเนื้อหาในเรื่องความเท่าทันสื่อนี้ องค์กรคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่างานบางอย่างรัฐไม่ได้ดำเนินการเอง แต่สนับสนุนให้องค์กรภาคเอกชนดำเนินการ แม้แต่เรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนในการศึกษาขั้นพื้นฐานรัฐก็ไม่ได้ผูกขาดไว้คนเดียว องค์กรปกครองส่วนท้องถื่นในบ้านเราที่มีความเข้มแข็งในการปกครองตนเอง ก็น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับ โรงเรียนในสังกัดกันบ้างนะครับ ในปี 1998 ผลการศึกษาของ JIM* การใช้มัลติมีเดียของวัยรุ่นอายุระหว่าง 12- 19 ปี พบว่ามีเพียง 19 % เท่านั้นที่ใช้อินเตอร์เน็ต และ 20 % ที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับอินเตอร์เน็ตหรือ โทรศัพท์มือถือเลย ในขณะที่ผลการศึกษาในปี 2010 กว่า 90 % ของวัยรุ่นเล่นอินเตอร์เน็ตทุกวันและวันละหลายครั้ง วัยรุ่น 97 % มีโทรศัพท์มือถือส่วนตัว และหากนับรวมสื่ออื่นๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และยูทูบ ตลอดจนเกมส์คอมพิวเตอร์ จะเห็นว่าสื่อทั้งหลายเหล่านี้อยู่รอบๆ ตัวของวัยรุ่น เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ รับทราบ และเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ครู อาจารย์ยุคนี้ ที่กลัวว่าสื่อยุคใหม่จะส่งผลในเชิงลบต่อพฤติกรรมวัยรุ่นยุคนี้ จนเป็นที่มาของความเสื่อมในด้านวัฒนธรรม (Sittenverfall) การแพร่หลายของสื่อประเภทต่างๆ นี้ มีผลต่อวัยรุ่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลทางด้านบวก หรือผลทางด้านลบ เป็นทั้งโอกาสและเป็นทั้งความเสี่ยง หน้าที่อย่างหนึ่งของคุณครูและพ่อแม่ต่อการรับมือกับสภาพของสื่อที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็คือ เข้าไปทำความรู้จัก เรียนรู้ นำตัวอย่างที่ดีมาสอน อธิบายเรื่องความเสี่ยงและความน่ากลัวของสื่อ ให้วัยรุ่นรับฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่วัยรุ่นในยุคนี้จะต้องเรียนรู้ และสามารถคิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนกำหนดการใช้เวลาอยู่กับสื่อต่างๆ เหล่านี้ ได้ด้วยตนเอง จึงเป็นที่มาของหลักสูตร การเท่าทันสื่อ (Media Competency) พัฒนาการและการสนับสนุน หลักสูตรการเท่าทันสื่อ จะมีกระบวนการดังต่อไปนี้ คือความรู้ในเรื่องสื่อ (Knowledge) กระบวนการการประเมินผล (Reflexion) และกระบวน การการจัดการ (Take action) จากกระบวนการเรียนรู้การเท่าทันสื่อตามแนวความคิดดังกล่าว วัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้ คือ การสามารถวิเคราะห์การใช้สื่อต่างๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งกระบวนการประเมินผล จะเป็นกระบวนการสำคัญ เนื่องจากเด็กวัยรุ่นจำนวนมากได้ใช้สื่อต่างๆ อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การที่เปิดโอกาสให้เด็กสามารถทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สื่อของตัวเอง การอภิปรายในเรื่องงานอดิเรกอื่นๆ ในเวลาว่าง และสามารถทำการประเมินระดับของการเสพติดสื่อได้ สำหรับคุณครูหรือพ่อแม่ที่ เกิดก่อนปี 1980 นั้นต้องเข้าใจว่า เป็นพวกอพยพเข้ามาสู่ยุคดิจิตอล(Digital Immigrants) ในขณะที่เด็กที่เกิดหลังปี 1980 นั้น จะเป็นพวกชนพื้นเมืองยุคดิจิตอล(Digital Natives) เนื่องจากคนกลุ่มนี้พอเกิดมาจำความได้ ก็รู้จักสื่อต่างๆ ที่รายรอบตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมารุ่นก่อนต้องทำความเข้าใจในการสอน Media Competency ภายใต้หลักการที่ว่า เป็นกัลยาณมิตรต่อกันและกัน คือ ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกับบางสิ่งบางอย่างที่คนรุ่นใหม่กระทำทุกเรื่อง แต่ภายใต้ความหวังดีที่มีให้นั้น ก็สามารถเป็นที่ปรึกษากับพวกเขาเหล่านั้นได้ เนื่องจากพ่อ แม่ ผู้ปกครองมีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมกว่าเด็กวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนการเจริญเติบโต เนื้อหาในหลักสูตรนั้นทางองค์กรผู้บริโภค ได้จัดเตรียมไว้ให้กับคุณครูทางอินเตอร์เน็ต คุณครูสามารถดาวน์โหลด เพื่อมาประกอบการเรียนการสอนในห้องได้ นอกจากนี้ยังมีช่องทางให้คุณครูสามารถประเมินหลักสูตร เพื่อเป็นเสียงสะท้อนให้กับฝ่ายจัดทำหลักสูตรได้อีกด้วย เยอรมันเป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาทุกระดับ และสิทธิในการได้รับการศึกษาก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของไทย เพียงแต่เขาเอาจริง และทำจริงมากกว่าของเราในตอนนี้   *JIM เป็นโครงการการสำรวจอิทธิพลของสื่อที่มีต่อเด็กวัยรุ่น โดยทุกๆปี โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1998 จะทำการสอบถามวัยรุ่นจำนวน 1,000 คน ในประเด็นดังต่อไปนี้ การทำกิจกรรมในยามว่าง หัวข้อที่สนใจและแหล่งของข้อมูล รายการโทรทัศน์ที่ชื่นชอบ การใช้สื่อประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต แนวความคิดในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์กับโรงเรียน การใช้โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 การไกล่เกลี่ยคดี ของเยอรมนี: บริบททางสังคมที่ต่างจากประเทศไทย

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการบทความนี้ผมได้แปลและเรียบเรียงมาจากบทความในวารสาร Finanztest  ซึ่งเป็นวารสารสำหรับผู้บริโภคในเรื่องเศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และการเงิน ฉบับเดือน มกราคม 2555 เพื่อเสนอเป็นข้อมูลประกอบสำหรับการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยของ กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ ในบทความนี้การไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือก ในเยอรมนี ให้การไกล่เกลี่ยเป็นเรื่องของเอกชนครับ (รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งในกระบวนการเหมือนบ้านเรา ที่รัฐต้องยุ่งทุกเรื่อง และก็ยุ่งเป็นยุงตีกัน ท้ายสุดประชาชนไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไร และรัฐต้องจัดสรรงบประมาณมาสนับสนุน) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสามารถดำเนินการได้ไม่ว่าเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในที่ทำงานบริษัท ห้างร้าน และภายในหน่วยงานราชการ ปัจจุบันในเยอรมนีมี พ.ร.บ. ที่ออกมาเพื่อสนับสนุนกระบวนการไกล่เกลี่ย คดีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ เช่น คดี ครอบครัว เช่นมีคดีหนึ่งที่สามีภรรยา แยกทางกัน และมีข้อพิพาทในประเด็นที่ว่า จะส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนไหน และใครจะดูแลจัดการเรื่องใด เช่นใครจะไปรับไปส่งตอนไหน ใครจะดูแลเรื่องเครื่องแต่งกาย คดีแบบนี้ทางรัฐสนับสนุนให้ใช้การไกล่เกลี่ย เพราะมีรายละเอียดมากสำหรับการที่จะตกลงร่วมกันในการดูแลลูก   กรณีตัวอย่างนี้ใช้เวลาในการไกล่เกลี่ย 12 ครั้งกว่าจะได้ข้อยุติ  ซึ่งการไกล่เกลี่ยจะเป็นผลดีต่อ พ่อ แม่และลูก มากกว่าการฟ้องร้องคดีกัน  การไกล่เกลี่ยที่เกิดขึ้นนี้มีค่าใช้จ่ายสำหรับคู่ความคือ 600 ยูโร(คู่กรณียอมรับว่าเป็นเงินที่คุ้มค่า) โดยปกติราคาสำหรับการไกล่เกลี่ยคดีจะอยู่ระหว่าง 90- 400 ยูโรต่อชั่วโมง (3600 – 16000 บาท) ขึ้นอยู่กับลักษณะคดี  ค่าครองชีพของเมืองที่เกิดคดี และความสามารถและทักษะของผู้ไกล่เกลี่ย ผู้ที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยจะเป็นคนกลาง (Mediator) ไม่ได้เสนอคำตอบหรือทางออกสำหรับข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาท แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ (Moderator) ไกล่เกลี่ยให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งคู่กรณีทั้งสองสามารถหาทางออกได้ด้วยตัวเอง คดีที่มีข้อพิพาทกันในครอบครัว ระหว่างเพื่อนบ้าน กรณีพิพาทระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ธนาคารกับลูกค้า ประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ ก็สามารถใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยได้ (แต่ไม่ยักมีคดีระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการนะครับ) ในเยอรมนี เป็นเวลากว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ใช้การไกล่เกลี่ยแก้ไขข้อพิพาท  จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2012 ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการไกล่เกลี่ย หลังจากใช้เวลาร่างและพิจารณากฎหมายในสภา bundestag เป็นเวลากว่า 3 ปี พ.ร.บ.นี้จะมีส่วนสนับสนุนการไกล่เกลี่ย ตลอดจนสนับสนุนพัฒนาหลักสูตรการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น “ข้อแนะนำสำหรับการไกล่เกลี่ยคือ คู่กรณีควรมีทนายความของตนเองมาร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยให้การรักษาความเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ยเป็นไปได้ง่ายขึ้น “ มิชาเอล พลาสสมานน์ นักไกล่เกลี่ยและทนายความให้คำแนะนำ การทำงานของผู้ไกล่เกลี่ยควรต้องทำงานเป็นทีมเวิร์ค องค์ประกอบของทีมประกอบด้วยเพศหญิงและเพศชาย นักกฎหมาย และนักการศึกษา ครู อาจารย์ เมื่อคู่กรณีตกลงเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว ก็ต้องรักษาข้อเสนอเป็นความลับทั้งคู่กรณีและผุ้ไกล่เกลี่ย ซึ่งในกรณีที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ ผู้ไกล่เกลี่ยก็สามารถปฏิเสธ การเป็นพยานในชั้นศาลได้ (Zeugnisverweigerungsrecht)   ผู้ไกล่เกลี่ยที่ได้รับการรับรอง (Certified Mediator) ใน พ.ร.บ.ไม่ได้กำหนดวิธีการสอบ หรือหลักสูตรบังคับ แต่จะระบุลักษณะที่พึงปรารถนาของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยที่ขึ้นทะเบียน เช่น ต้องผ่านการอบรมไม่น้อยกว่า 120 ชั่วโมงสำหรับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิชากฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ย เทคนิคการต่อรอง และการสื่อสาร (Verhandlungs- und Kommunikationstechnik) การดำเนินรายการสานเสวนา (Gesprächführung) และการจัดการความขัดแย้ง (Konfliktkompetenz) นอกจากนี้ยังมี เนื้อหาที่เป็นภาคปฏิบัติ โดยที่จะมีระบวนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการตรวจสอบของผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อพัฒนาความสามารถของนักไกล่เกลี่ยในระหว่างการฝึกอบรม สหพันธ์การไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง (www.bmev.de) เป็นองค์กรเอกชนระดับสหพันธรัฐ ที่พัฒนาหลักสูตรการไกล่เกลี่ย สำหรับนักไกล่เกลี่ยมืออาชีพ ข้อดีของการไกล่เกลี่ยคือ เป็นวิธีการระงับข้อพิพาทที่มีราคาถูกสำหรับคู่ความในกรณีที่ มีมูลค่าสูงๆ เช่น คดีมรดก ข้อดี อีกอย่างหนึ่งสำหรับการไกล่เกลี่ยคือ ได้ข้อยุติที่รวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับการฟ้องร้องคดีในศาล สำหรับคนเยอรมันเองนั้นนับว่าการไกล่เกลี่ยเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะคนเยอรมันจะมีประกันความยุติธรรม (Rechtsschtuzversicherung เบี้ยประกันความยุติธรรมจะอยู่ระหว่าง 200- 360 ยูโรต่อปี) ที่บริษัทรับประกันมีกรมธรรม์คุ้มครองลูกค้า ในกรณีที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และกระบวนการไกล่เกลี่ยนั้น Rechtschutzversicherung ก็ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับกระบวนการไกล่เกลี่ยด้วย การไกล่เกลี่ยที่ประสบความสำเร็จ คือ การที่คู่กรณีได้ลงนามตกลงในสัญญาไกล่เกลี่ย ซึ่งคู่ความควรจะต้องให้ทนายฝ่ายตนตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งก่อนลงนามในข้อตกลง ในกรณีที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาดังในข้อตกลงดังกล่าว ก็สามารถนำเรื่องฟ้องศาลเพื่อบังคับคดีต่อไปได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point