ฉบับที่ 127 มาตรฐานขวดนมเด็ก: ถึงเวลาที่ผู้ปกครอง ต้องใส่ใจ

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ เด็กและทารก เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิมากที่สุด ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานเฉพาะเพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็ก โดยเฉพาะการควบคุมปริมาณสารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อและคุณแม่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการเลือกซื้อ โดยจะขอยกตัวอย่างเรื่อง ขวดนม  เนื่องจากเด็กและทารกมีระดับความต้านทานต่อสารพิษได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดกว่า การเพิ่มระดับการป้องกันในเชิงกฎหมายที่เข้มข้นกว่าสินค้าทั่วๆ ไปจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่การออกกฎหมายหรือมาตรฐานสินค้านั้นใช้เวลานานและไม่ทันต่อสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน บทความนี้จะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมสำหรับเด็กและทารก ความเสี่ยงและอันตรายของสารเคมี Bisphenol A ที่ยุโรปมีออกมาตรการที่เข้มที่สุด คือ คำสั่งห้ามผลิต ห้ามและห้ามจำหน่าย การป้องกันอันตรายจากสารเคมี และผลข้างเคียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ตลอดจนมาตรการในการจัดการของหลายๆ ประเทศ เรื่องความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมเด็ก ซึ่งหลายๆประเทศ ได้ห้ามการจำหน่ายสินค้าประเภทขวดนมเด็ก หากตรวจพบสารเคมี Bisphenol A  จริงๆ แล้ว องค์กรผู้บริโภคในประเทศยุโรปได้เรียกร้องให้มีการสั่งห้ามผลิต และห้ามขายขวดนมที่มีสาร Bisphenol A มานานแล้ว จนกระทั่งในระดับประเทศ คือ ประเทศฝรั่งเศส และ เดนมาร์ค เป็นประเทศแรกๆ ที่ได้เริ่มสั่งห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายก่อน และในที่สุดกรรมาธิการยุโรปด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เกรงว่าจะเกิดการลักลั่นกัน ในประเทศสมาชิก จึงได้มีคำสั่งห้ามผลิต ห้ามจำหน่ายในประเทศสมาชิกอียูตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554  สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมกับผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมสำหรับเด็กนี้ ซึ่งในเบื้องต้นจะต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนและชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจมีสารเคมีอันตรายแอบแฝงอยู่ และสำหรับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องควรเข้ามามีบทบาทในการจัดการอย่างรีบด่วนที่สุด เพื่อยกระดับความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ และเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศไทย   Bisphenol A ภัยร้ายในขวดนมบิสฟีนอลเอ (Bisphenol A) เป็นสารเคมีที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตโพลีคาร์บอเนต หรือพลาสติกแบบใส เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ 50 อันดับแรกที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี บิสฟีนอลเอ พบได้ในสินค้าบริโภคหลากหลายชนิดรวมถึงขวดนมพลาสติกแบบใส ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านและเพื่อการบริโภคอีกหลายสิบชนิดที่มีสารบิสฟีนอลเอ เช่น ขวดน้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้บางประเภท กล่องบรรจุอาหารที่ใช้ในไมโครเวฟได้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ หมวกกันน็อคใส่เล่นกีฬา เลนส์แว่นตา ฯลฯ ยังพบ บิสฟีนอลเอ ได้ใน อีพ็อกซี่เรซิน ที่พบในวัสดุอุดฟันสีขาว วงจรพิมพ์สีทาบ้าน กาว สารเคลือบในกระป๋องโลหะที่บรรจุอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังพบว่า บิสฟีนอลเอ เป็นสารเจือปนในพลาสติกประเภทอื่นที่ใช้ในการผลิตของเล่นเด็กด้วย   บิสฟีนอลเอก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างไร จากการศึกษาและรายงานผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจากการได้รับ บิสฟีนอลเอ แสดงให้เห็นว่า บิสฟีนอลเอ สามารถเปลี่ยนแปลงหน่วยพันธุกรรมหลายร้อยหน่วย ซึ่งมีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบางชนิดและขึ้นอยู่กับจำนวนเวลาที่ได้รับ อีกทั้งการศึกษาในสัตว์ทดลองมากกว่า 150 ชนิด บ่งชี้ว่าการได้รับ บิสฟีนอลเอ มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพมากมาย รวมถึงมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม ภาวะอ้วนผิดปกติ ภาวะไม่อยู่นิ่ง เบาหวาน ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง จำนวนอสุจิลดลง และการเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าปกติ   กลุ่มเสี่ยงคือ เด็ก เด็กที่กำลังเจริญเติบโตมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารเคมีเป็นพิษในสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะตามธรรมชาติของเด็กมักจะมีความรู้สึกไวต่อสิ่งเหล่านั้น เด็กได้รับสารตั้งแต่อยู่ในครรภ์ผ่านรกในร่างกายของมารดาที่ตั้งครรภ์ได้ มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ปัญหาที่เกิดการได้รับสาร บิสฟีนอลเอ ระหว่างช่วงที่มีพัฒนาการจะไม่แสดงออกมาในขณะนั้น แต่จะปรากฏอาการภายหลังการได้รับสารดังกล่าวหลายปี ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการป้องกันเด็กไม่ให้เด็กได้รับสาร บิสฟีนอลเอ จากผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้อยู่ทุกวัน   บิสฟีนอลเอสามารถก่อให้เกิดความผิดพลาดในการเรียงโครโมโซม บิสฟีนอลเอเป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นในฐานะที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การเรียง โครโมโซมผิดพลาด ในปี 2003 ดร.แพท ฮันท์ และทีมงานได้ค้นพบว่า บิสฟีนอลเอ สามารถทำให้โครโมโซมเรียงตัวกันผิดพลาดได้ ถึงแม้จะได้รับในปริมาณที่ต่ำมากก็ตาม โดยปกติเซลล์สืบพันธุ์จะแบ่งเป็นสองเซลล์เมื่อสร้างไข่ แล้วแบ่งโครโมโซมเท่าๆ กันระหว่างเซลล์ลูกแต่ละเซลล์ เซลล์พวกนี้สามารถเข้าสู่กระบวนการสืบพันธุ์ และเมื่อผสมกับอสุจิ จะเกิดการปฏิสนธิขึ้น ดร.ฮันท์ แสดงให้เห็นว่าการได้รับ บิสฟีนอลเอ จะส่งผลให้โครโมโซมไม่สามารถจัดเรียงอย่างถูกต้อง ส่งผลให้การเรียงลำดับโครโมโซมผิดพลาดคล้ายกับที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome)    ขัดขวางพัฒนาการทางสมอง ในการศึกษาส่วนมาก พบว่า บิสฟีนอลเอเลียนแบบการทำงานของเอสโตรเจนในการพัฒนาประสาท อย่างไรก็ตาม ในบางส่วนของสมอง บิสฟีนอลเอ มีผลในการขัดขวางกิจกรรมของเอสโตรเจน ซึ่งปกติจะเพิ่มการเจริญเติบโตและควบคุมการเชื่อมโยงระหว่างเส้นประสาทด้วยเหตุนี้ บิสฟีนอลเอจึงมีสมบัติคล้ายคลึงกับ ทาม็อกซิเฟน ซึ่งเป็นยารักษามะเร็งเต้านม คือกระตุ้นการตอบสนองแบบเอสโตรเจนในเนื้อเยื่อบางประเภท และขัดขวางการตอบสนองแบบเอสโตรเจนในเนื้อเยื่ออื่นๆ จะเห็นได้ว่าผลกระทบจากบิสฟีนอลเอ คือ สารบิสฟีนอลเอ เป็นตัวขัดขวางการเรียนรู้และความทรงจำ นอกจากนี้ บิสฟีนอลเอยังมีผลกระทบต่อการพัฒนาสมองหรือทำให้เกิดการเชื่อมโยงในสมองในเวลาที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น จากการที่บิสฟีนอล เอเปลี่ยนแปลงพัฒนาการของสมอง จึงนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงมากมาย เช่น   ภาวะไม่อยู่นิ่ง : ดร.มาซาโตชิ โมริตะและทีมงานที่สถาบันศึกษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติญี่ปุ่น รายงานว่า การให้สารบิสฟีนอลเอ 30 g/kg/วัน กับหนูอายุ 5 วันเพียงครั้งเดียว ทำให้หนูมีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่งนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าการได้รับสารบิสฟีนอลเอ เปลี่ยนแปลงระบบส่งสัญญาณโดปามีนที่พัฒนาในเซลล์สมอง ส่งผลให้ตัวรับและตัวส่งโดปามีนน้อยลง โดปามีนเป็นตัวส่งสัญญาณประสาทที่สำคัญในสมอง และการสูญเสียประสาทที่ผลิตโดปามีนเกิดขึ้นในโรคพาร์กินสัน เพิ่มความก้าวร้าว : การได้รับสารบิสฟีนอลเอที่ปริมาณ 2 – 40 g/kg/วัน ทำให้ทารกหนูเพศผู้ในครรภ์มีพฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่ความเข้มข้นของเทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้น   บทสรุปและข้อเสนอแนะ ปัจจุบันผู้บริโภคมีข้อมูลไม่มากนักที่จะช่วยประกอบการตัดสินใจเวลาซื้อสินค้าสำหรับครอบครัว  การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและผลิตภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยคุ้มครองสุขภาพและสามารถเลือกใช้สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย  ในส่วนของผู้ผลิตเองควรมีการติดฉลากในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ถ้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือมีศักยภาพที่จะเป็นอันตรายเป็นส่วนประกอบ นอกเหนือจากการระบุชื่อส่วนผสมที่เป็นอันตรายหรืออาจเป็นอันตรายแล้ว ความเสี่ยงทางสุขภาพที่เกี่ยวกับสารเคมีดังกล่าวควรจะมีการอธิบายไว้บนผลิตภัณฑ์ด้วย   ในหลายประเทศได้มีการตระหนักถึงอันตรายที่แอบแฝงอยู่ของ บิสฟีนอลเอ จนมีมาตรการออกมาหลายอย่าง เช่น คณะกรรมาธิการด้านนโยบายสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคแห่งสหภาพยุโรป (อียู) ออกประกาศห้ามบริษัทผู้ผลิตขวดนมสำหรับเด็กใช้สารเคมีบิสเฟอนอล-เอ (บีพีเอ) เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าพลาสติกทั้งหมด โดยประกาศห้ามจะมีผลบังคับใช้ในกลุ่มประเทศสมาชิกอียูตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป องค์การการกุศลด้านเด็กและครอบครัว (NCT) ประเทศอังกฤษ ออกมาเรียกร้องให้ติดป้ายแสดงส่วนประกอบที่ใช้ผลิตขวดนมว่ามีสารพิษที่เป็นอันตรายหรือไม่ เป็นต้น   สำหรับในประเทศไทยเองเริ่มมีการตื่นตัวเกี่ยวกับอันตรายที่แอบแฝงอยู่ในขวดนมพลาสติกขึ้นมาบ้าง  องค์กรภาครัฐเริ่มขยับ แต่ถ้ามองจากผู้บริโภค และผู้ปกครองแล้ว กว่าจะมีประกาศห้ามผลิตและห้ามจำหน่ายนั้น คงจะใช้เวลาอีกนาน  ดังนั้นการเลือกซื้อขวดนม ขอให้เลือกจากผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากว่า ปลอด Bisphenol A อย่าเห็นแกของถูก ควรศึกษาหาความรู้ในด้านวิธีการใช้งานขวดนมพลาสติกที่ถูกต้องและปลอดภัย จากแหล่งข้อมูล ที่เชื่อถือได้ และคำนึงถึงการคุ้มครองสุขภาพสวัสดิภาพของเด็กมากกว่าประโยชน์ทางการค้า ก็จะช่วยเด็กไทยให้มีความปลอดภัยจากสารเคมี   ---------------------------------------------------------------------------------------------- การเลือกขวดใช้ขวดนมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กควรเลือกขวดนมพลาสติกที่ปราศจาก Bisphenol A ซึ่งจะมีสัญลักษณ์ ตามรูป หรือขวดนมแก้ว ขวดนมพลาสติกเกือบทั้งหมดผลิตจากโพลีคาร์บอเนตพลาสติกที่มี บิสฟีนอลเอ เพียงแค่การล้าง 50-100 ครั้ง ปริมาณของบิสฟีนอลเอ จำนวนมากสามารถรั่วออกมาปนเปื้อนสู่นมของเด็กเล็กๆ ได้ วิธีการหลีกเลี่ยง คือ เปลี่ยนไปใช้ขวดนมแก้วสำหรับการใช้งานของทารก หากยังจำเป็นต้องใช้ขวดนมพลาสติก เวลาที่จะล้างทำความสะอาดให้หลีกเลี่ยงน้ำยาล้างจานที่ความเข้มข้นสูง หรือน้ำร้อนเวลาที่ล้าง เพื่อลดการรั่วไหลของสาร BPA อย่าใส่ขวดนม บรรจุภัณฑ์หรือ ในเครื่องล้างจาน และให้ทิ้งขวดนม บรรจุภัณฑ์หรือจานชามพลาสติกที่เริ่มมีรอยขีดข่วนหรือขุ่นมัว และห้ามทิ้งนมไว้ในขวดพลาสติกเป็นเวลานาน บทความนี้ ได้จัดทำขึ้น ภายใต้โครงการพัฒนาเวบไซต์ เพื่อการทดสอบสินค้า ศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และอนุกรรมการทดสอบและพิสูจน์สินค้า  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 การแลก เปลี่ยน และคืนสินค้าที่ชำรุดบกพร่องในยุโรป

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ผู้บริโภคทุกคนคงจะเคยเกิดปัญหานี้ขึ้นกับตนเสมอ คือการซื้อสินค้าแล้วต่อมาพบว่าสินค้าที่เราซื้อมานั้นชำรุดและบกพร่อง หลายท่านอาจจะนำสินค้าไปคืน หรือขอเปลี่ยนสินค้าใหม่ บางครั้งก็อาจเปลี่ยนสินค้าได้ในกรณีที่โชคดี ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่ตระหนักในสิทธิของผู้บริโภค บางครั้งก็โชคร้ายผู้ประกอบการไม่ยอมรับคืนสินค้าให้ แต่จะขอนำสินค้านั้นไปซ่อมแซมแก้ไขให้ ซึ่งบางครั้งก็ใช้ระยะเวลาในการซ่อมสินค้านานมาก แถมยังผ่อนชำระสินค้านั้นไม่หมดเลย ทำให้ผู้บริโภคอย่างเรารู้สึกหงุดหงิด คิดว่าว่าซื้อสินค้าใหม่แกะกล่องแล้ว ยังต้องมานั่งทนกับของที่ไม่น่าที่จะต้องมีข้อบกพร่องเลย จะไปฟ้องร้องก็ยังติดในเรื่องของมูลค่าสินค้า ที่อาจจะไม่คุ้มกับค่าเดินทางและค่าเสียเวลา หลายๆ กรณีก็เป็นที่ถกเถียงกันว่า ผู้ประกอบการสามารถที่จะแก้ไขสินค้าที่มีข้อชำรุดบกพร่องนี้ได้นานเท่าไหร่ ผู้บริโภคถึงมีสิทธิคืนสินค้าได้ มาดูมาตรการการคืนสินค้าในประเทศเยอรมนีบ้างว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร  องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งเมืองเบอร์ลินได้ให้ข้อมูลในกรณีของการซื้อสินค้าแบบปรกติ และกรณีซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต และTelesales โดยอ้างถึงพระราชบัญญัติที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายสินค้า เพื่อการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคดังนี้  1. ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนคืนสืนค้า ในกรณีที่ชำรุดบกพร่องได้ ในกรณีที่สินค้า ชำรุด บกพร่อง สามารถ reclaim ได้ ซึ่งในกรณีที่สินค้าชำรุดบกพร่อง และผู้ประกอบธุรกิจสามารถที่จะซ่อมแซมสินค้าให้กลับมาใช้งานได้ตามปรกติ แต่ถ้าผู้ประกอบธุรกิจลองพยายามซ่อม ถึง 2 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ไขความชำรุดบกพร่องนั้นได้ ผู้บริโภคสามารถขอคืนสินค้า และขอเงินที่ได้จ่ายไปแล้วนั้น คืนได้(Wandlung) นอกจากนี้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้อีกเช่นกันว่าจะไม่คืนสินค้า แต่สามารถต่อรอง เพื่อขอเงินคืนบางส่วนที่เกิดจากสินค้าชำรุดบกพร่องได้(Minderung) กฎเกณฑ์นี้ใช้กับการซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต การสั่งซื้อผ่านทางโทรศัพท์(Telesale) และการสั่งซื้อสินค้าตามแคตตาลอก ซึ่งผู้บริโภคมีสิทธิคืนสินค้าภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ นับแต่วันที่ได้รับสินค้า ถึงแม้ว่าสินค้าที่สั่งซื้อนั้นจะไม่มีข้อชำรุดบกพร่องก็ตาม แต่เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้เห็นสินค้าของจริงก่อนซื้อ เหมือนกับการซื้อของตามห้างร้าน สินค้าที่โฆษณาในอินเตอร์เน็ต บนแคตตาลอก อาจจะไม่เหมือนกับสินค้าจริงๆ กฎหมายจึงให้สิทธิผู้บริโภคในการเปลี่ยนหรือคืนสินค้าภายใน 2 สัปดาห์ แม้ว่าสินค้าไม่ได้ชำรุดบกพร่องก็ตาม สำหรับในประเทศเยอรมนีนั้น อัตราการคืนสินค้าจากการซื้อขายด้วยวิธีดังกล่าวประมาณ 30- 50 %  2.ไม่มีใบเสร็จ ก็สามารถคืนสินค้าได้  ในกรณีที่ซื้อสินค้า แล้วทำใบเสร็จรับเงินหาย ผู้บริโภคสามารถคืนสินค้าได้หากมีพยานให้การรับรองว่าได้ซื้อสินค้ามาจริง หรือมีหลักฐานการจ่ายเงินอย่างอื่น เช่น หลักฐานการโอนเงิน หรือสลิปบัตรเครดิต  3. การคืนสินค้านั้น ไม่จำเป็นต้องบรรจุสินค้าลงในกล่องบรรจุภัณฑ์ หรือหีบ ห่อ ให้เหมือนกับตอนที่ซื้อสินค้ามา  4. การเปลี่ยนคืนสินค้า ที่อยู่ในกลุ่ม built in เช่น เครื่องล้างจาน เตาอบ เตาไมโครเวฟ หรือแม้แต่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งในบ้าน เช่น wall paper หากสินค้าชำรุดบกพร่อง ผู้จำหน่ายก็ต้องรับผิดชอบค่าแรง ค่ารื้อถอน ค่าติดตั้งใหม่ที่เกิดขึ้นจากสินค้าชำรุดบกพร่องนั้นด้วย(คำตัดสินของศาลแห่งสหภาพยุโรป EuGH) ซึ่งจะมีระยะเวลาของการรับประกัน 2 ปี หากพ้นกำหนด 2 ปีแล้วสินค้าชำรุดบกพร่อง ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายค่าซ่อมแซมบางส่วนที่เกิดขึ้น 5. ถึงแม้นจะเป็นสินค้าลดราคา ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์การรับประกันสินค้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ และในการซื้อสินค้าที่ได้ระบุแล้วว่าเป็นสินค้ามีตำหนิ เช่น การซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าลดราคา ถ้าผู้บริโภคทราบแล้วว่าสินค้าที่ลดราคานั้นเนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้ามีรอยขีดข่วน แต่ถ้าสินค้านั้น เกิดความชำรุดบกพร่องอย่างอื่นในภายหลัง การแลกเปลี่ยนคืนสินค้า ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นี้เช่นกัน แต่ไม่สามารถนำสินค้าที่ซื้อแล้วมาแลกคืนเพราะรอยขีดข่วนนั้นได้ 6. ในกรณีซื้อสินค้าแล้วเกิดการชำรุดบกพร่อง ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งตามกฎหมายผู้บริโภคเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจโต้แย้งว่า สินค้าตอนที่ส่งมอบนั้นอยู่ในสภาพปรกติ ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้มีหน้าที่พิสูจน์ แต่หลังจากเกินกว่า 6 เดือนแล้วภาระการพิสูจน์จะตกอยู่กับผู้บริโภค 7. กรณีที่มีความผิดพลาดของคู่มือการใช้งาน จนทำให้ผู้บริโภคเป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหายกับสินค้า เช่น ในกรณีของคู่มือการประกอบเฟอร์นิเจอร์ที่อธิบายวิธีการประกอบที่ผิด และผู้บริโภคก็ได้ปฏิบัติตามคู่มือนั้น ในกรณีเช่นนี้สามารถให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจ รื้อเฟอร์นิเจอร์และต้องประกอบให้ผู้บริโภคด้วย และถ้าไม่สามารถแก้ไข หรือ ซ่อมแซมได้ ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่อธิบายไว้แล้ว ต่อรองขอเงินคืนบางส่วน(Minderung) หรือคืนสินค้า(Wandlung)   ก็หวังว่าองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ที่จะเกิดขึ้นมาในประเทศไทย จะช่วยปรับปรุงมาตรการคืนสินค้าที่ชำรุดบกพร่องในประเทศไทยให้พัฒนาไปในทิศทางที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ----  บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่องมาตรการจัดการสินค้าชำรุดบกพร่อง สนับสนุนโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในโครงการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภายใต้โครงการปฏิบัติการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (จำลอง)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 ตัวร้าย.... E. coli ??

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ   E. coli หรือชื่อจริงว่า Escherichia coli เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Theodor Escheric เมื่อปี ค.ศ. 1885 ส่วนคำว่า coli นั้น มาจากภาษาละตินแปลว่าลำไส้ใหญ่ (colon) E. coli เป็นแบคทีเรียในกลุ่ม coliform รูปแท่งมีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1-2 ไมครอน (1 ไมครอนคือ 1 /1000 มม.) E. coli มีมากกว่า 700 สายพันธุ์ ปกติอาศัยอยู่ในลำไส้ของสัตว์เลือดอุ่นเช่นในคน วัว ควาย เป็นต้น ไม่ก่อให้เกิดโรค จัดเป็นเชื้อประจำถิ่น (normal flora) อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์แบบให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่ให้อาหารแก่ E. coli และ E. coli จะสร้างวิตะมินบางชนิดเช่นวิตะมิน K ให้แก่คน รวมทั้งป้องกันแบคทีเรียที่ก่อโรคอื่นๆ ที่จะมาเกาะลำไส้ ว่าไปแล้ว E. coli จึงน่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์เสียมากกว่า แล้วเหตุใดจึงจงเกลียดจงชัง E. coli กันมากนัก   เนื่องจากบริเวณที่พบ E. coli อยู่ในลำไส้ใหญ่ ในอุจจาระจึงมี E. coli ปนเปื้อนออกมาด้วยเสมอ ดังนั้น การพบ E. coli ในอาหาร จึงอาจหมายถึงอาหารนั้นปนเปื้อนอุจจาระ แม้ว่าโดยปกติแล้ว E. coli ที่พบปนเปื้อนในอาหารนี้จะไม่ก่อให้เกิดโรค แต่เป็นไปได้ว่า ยังมีแบคทีเรียอื่นที่ก่อให้เกิดโรครุนแรงอื่นที่ปะปนมากับอุจจาระ ปนเปื้อนในอยู่อาหารนั้นได้ด้วย ปัจจุบันใช้ E. coli เพื่อเป็นดัชนีบ่งชี้สุขลักษณะของอาหารหรือน้ำดื่ม กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ประกาศในกฎกระทรวงหลายฉบับเพื่อกำหนดมาตรฐานอาหารและน้ำดื่มชนิดต่างๆ จะต้องไม่พบ E. coli อยู่เลย (แต่ผู้เขียนเชื่อว่าน้ำแข็งบด นั้นน่าจะต้องมีเชื้อ E. coli ปนเปื้อนอยู่ด้วยแน่นอน)   นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า E. coli นอกคอกที่ร้ายกาจเหล่านี้เกิดมาจาก E. coli สายพันธุ์ปกติที่อยู่ในคนป่วยเป็นโรคบิดไม่มีตัว(โรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรีย) ยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารพิษของเชื้อบิดได้ถ่ายมายัง E. coli สายพันธุ์ปกติ ทำให้เกิดกลายพันธุ์ไปเป็น E. coli สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงมากขึ้น    ทีนี้ยังมี E. coli นอกคอกอยู่จำนวนหนึ่งที่สามารถก่อให้เกิดโรครุนแรงได้ เช่น E. coli สายพันธุ์ O157:H7 ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นเลือด ทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน เป็นอันตรายถึงชีวิตในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เชื้อ E. coli พวกนี้จะสร้างสารพิษที่เรียกว่า ชิก้าทอกซิน (Shiga toxin)   ซึ่งคล้ายกับสารพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคบิดซึ่งมีผลต่อลำไส้ ทำให้เลือดออกในลำไส้ใหญ่ จึงเรียกว่าเป็นพวก Enterohemorrhagic E. coli (EHEC) นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า E. coli นอกคอกที่ร้ายกาจเหล่านี้เกิดมาจาก E. coli สายพันธุ์ปกติที่อยู่ในคนป่วยเป็นโรคบิดไม่มีตัว(โรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรีย) ยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารพิษของเชื้อบิดได้ถ่ายมายัง E. coli สายพันธุ์ปกติ ทำให้เกิดกลายพันธุ์ไปเป็น E. coli สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงมากขึ้น E. coli ที่ก่อโรครุนแรงเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะที่ทำให้พวกมันก่อโรคได้รุนแรงและระบาดได้ง่าย   เช่น สามารถอยู่ได้นานหลายสัปดาห์บนพื้นผิวต่างๆ หรือถ้าบริเวณนั้นมีอาหารอุดมสมบูรณ์ เช่น กองขยะ อาจอยู่ได้นานนับปี การก่อให้เกิดโรคใช้เพียงเชื้อไม่กี่ตัว(น้อยกว่า 50 ตัว) และเชื้อยังสามารถเกาะติดผนังลำไส้ได้ดี จึงทำให้เชื้ออยู่ในร่างกายเราได้นานและสร้างสารพิษได้   การระบาดของของ E. coli สายพันธุ์ O157:H7 เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว การระบาดมักเกิดจากอาหารที่ปนเปื้อนมูลของสัตว์ เช่น จากเนื้อดิบ นมดิบ ผัก ผลไม้ต่างๆ เป็นต้น อย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 1992 การระบาดเกิดจากการแฮมเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวัวที่ปรุงไม่สุก หรือในปี ค.ศ. 1996 ในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ติดเชื้อจากการกินหัวไชเท้าดิบ เป็นต้น นอกจากสายพันธุ์ O157:H7 แล้วยังมีสายพันธุ์อื่นที่ระบาดอีกด้วยเช่นสายพันธุ์ O121:H19 เป็นต้น ปัจจุบันนี้ E. coli สายพันธุ์ O104:H4 เป็นสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในเยอรมนีตอนเหนือ และมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 30 คน และเกือบ 700 คนรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งนับเป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่สุด ยังไม่มีข้อสันนิษฐานที่แน่ชัดถึงที่มาของเชื้อ แต่เบื้องต้นเชื่อกันว่าเชื้อปนเปื้อนมากับถั่วงอก    สำหรับคนไทย แม้ว่าจะอยู่ไกลจากแหล่งระบาด แต่ยังคงต้องระวังเช่นกัน โรคท้องเสียที่เกิดจาก E. coli จะไม่ติดต่อได้ง่ายเท่าโรค SARS หรือไข้หวัดนก เนื่องจากเชื้อ E. coli จะติดต่อได้โดยการกินเชื้อเข้าไปเท่านั้น ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรเลือกรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด ปรุงสุกทั่วถึง หลีกเลี่ยงผักสด ผักดิบหรือต้องล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน    เอกสารประกอบการเรียบเรียงhttp://www.about-ecoli.com/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 ข้อแนะนำสำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารก (2)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ บทความฉบับนี้จะต่อเนื่องจากฉบับที่แล้วนะครับ เป็นบทความที่ผมเคยเรียบเรียงและได้ พิมพ์แจกในงาน สัมมนาวิชาการ ระดับชาติเรื่องชุมชนปลอดภัย  ครั้งที่ 2 “ก้าวอย่างยั่งยืนของชุมชนปลอดภัย” ระหว่างวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2554 จัดโดยศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ข้อมูลเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อพ่อ แม่และครูพี่เลี้ยงเด็ก ในการหลีกเลี่ยงของเล่นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก โดยเฉพาะของเล่นที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่ ลองนำข้อมูลไปใช้ประกอบในการตัดสินใจเพื่อเลือกซื้อของเล่นให้กับเด็กๆ กัน ครับ   การเลือกซื้อของเล่นประเภทต่างๆ ตุ๊กตาตุ๊กตามีสารเคมีอันตรายได้หลากหลาย  เนื่องจากผลิตจากพลาสติก กำมะหยี่และอุปกรณ์ยัดไส้  ใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับหรือมีส่วนประกอบที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์  การทดสอบโดยองค์กรผู้บริโภคของเยอรมัน (Stiftung Warentest) ในปีที่ผ่านมา พบว่ามีตุ๊กตา 42 จาก 50 ตัว พบสารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณมากเกินระดับกว่าที่มาตรฐานกำหนด   คำแนะนำ• หลีกเลี่ยงการซื้อตุ๊กตาตัวเล็ก  เพราะมันถูกจัดอยู่ในประเภทของตกแต่งและไม่ต้องทำตามข้อจำกัดทางกฎหมายสำหรับสารเคมี• ซื้อตุ๊กตาผ้าหรือตุ๊กตาที่เป็นธรรมชาติที่มีฉลากสิ่งแวดล้อม เช่น ฉลากเขียว• ซักล้างตุ๊กตายัดไส้ก่อนใช้   ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมีเป็นของเล่นกำมะหยี่และจัดเป็นของเล่นที่ยัดไส้ด้วยเส้นใย  ของเล่นที่มีขนยาวหรือขนสังเคราะห์มักจะประกอบไปด้วยสารหน่วงการติดไฟที่เป็นพิษและแพ้ได้ง่าย รวมถึงเส้นใยที่เด็กๆ สามารถกลืนได้  สำหรับ “สินค้าที่ไม่ปลอดภัย” หาดูได้ที่นิตยสารผู้บริโภค และระบบแจ้งเตือนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยผ่านทางเวบไซต์ของศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (http://upvac.ocpb.go.th) คำแนะนำ• มองหาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือผู้ผลิตที่ไร้สารเคมีที่เป็นพิษ  เช่น ฉลาก GS  ฉลากเขียว และฉลากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ• ซักของเล่นและตากให้แห้งก่อนใช้• หลีกเลี่ยงของเล่นที่ได้ฟรีหรือเป็นของแถมจากการจัดรายการต่างๆ   ของเล่นไม้ ของเล่นไม้มีหลากหลายประเภท รวมถึงตัวต่อ  บล็อกก่อสร้าง  บ้านตุ๊กตา  และร้านของเล่นและฟาร์ม เป็นต้น  ของเล่นไม้เรียบๆ ที่ไม่ได้ทาสีมักจะปลอดภัย  แต่ของเล่นไม้บางอย่างอาจเป็นอันตรายได้  ไม่มีตัวต่อไม้ชนิดไหนเลยที่ผ่านการทดสอบสิ่งแวดล้อมของเยอรมัน ในเดือนพฤศจิกายน 2008  ของเล่นไม้ที่มีกาวเป็นส่วนประกอบ  มีแนวโน้มที่จะมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์  ผู้ปกครองควรระวังสารชักเงาและสีที่มีตะกั่วและสารโลหะหนักอื่นๆ  คำแนะนำ• ซื้อของเล่นไม้ที่มีส่วนที่ติดกาวให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้• ซื้อของเล่นที่ไม่เคลือบเงาและไม่ทาสีทุกครั้งที่เป็นไปได้ และมองหาชิ้นส่วนธรรมชาติ  พลาสติก ของเล่นพลาสติกแบบอ่อน เช่น ของเล่นยางสังเคราะห์ บอลลูน  ของเล่นอาบน้ำแบบอ่อน เป็นต้น  มีสารพทาเลต (Phathalate) ที่ส่งผลต่อฮอร์โมน  มีข่าวเตือนอันตรายหลายครั้งทั้งในระดับโลกและในยุโรป  ในปี 2004 มีการค้นพบว่าตัวตุ๊กตาที่ทำจากยางยี่ห้อสคูบี้ดู (ดูรูปประกอบ) มีสารพทาเลตมากถึง 50%  ทำให้ของเล่นพลาสติกแบบแข็งปลอดภัยกว่าเพราะไม่ได้ใช้สารพทาเลต  อย่างไรก็ตาม ของเล่นพลาสติกอาจจะมีสารโลหะหนักและสารพิษอื่นๆปนเปื้อนแฝงอยู่  รูปแสดงตุ๊กตาที่ทำจากยางยี่ห้อ Scoubidou ที่มีสารพทาเลตสูงจนต้องสั่งเก็บจากตลาด   คำแนะนำ • เลือกของเล่นที่เป็นยางธรรมชาติ• มองหาฉลาก  “ปลอดพีวีซี PVC-Free” หรือ “ปลอดสารพทาเลต Phathalate-Free”• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นสารเคมีรุนแรง  ตารางสรุปแสดงรายการสารเคมีอันตรายที่พบอยู่ในของเล่นเด็ก สารเคมีอันตราย ผลกระทบที่อาจเกิดกับสุขภาพ Aniline   อนิลีน Very toxic, carcinogenic and mutagenic เป็นพิษมาก, ก่อให้เกิดมะเร็งและก่อให้เกิดการกลายพันธุ์  Bisphenol-A   บิสฟีนอล-เอ Disrupts the reproductive and hormone system, and increases cancer risk ทำให้ระบบสืบพันธุ์และระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง Brominated Flame Retardants   สารหน่วงกันไฟ   Disrupts development and the hormone system, toxic to the reproductive system ทำให้พัฒนาการและระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ Cadmium  แคดเมียม Carcinogenic, toxic by inhalation, impaires fertility, disrupts development of child’s brain ก่อให้เกิดมะเร็ง  ได้รับพิษจากการสูดดม  ความสามารถในการสืบพันธุ์ลดลง  หยุดพัฒนาการทางสมองของเด็ก Chlorinated paraffins   คลอริเนเตท พาราฟิน Carcinogenic, disrupts the hormone system ก่อให้เกิดมะเร็ง  ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน Chromium    โครเมียม Carcinogenic, mutagenic, toxic: causes severe burns, impaires fertility ก่อให้เกิดมะเร็ง  ก่อให้เกิดการกลายพันธ์  ทำให้เกิดอาการไหม้รุนแรง  ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง Formaldehyde  ฟอร์มัลดีไฮด์ Carcinogenic, mutagenic and toxic to reproduction ก่อให้เกิดมะเร็ง  ก่อให้เกิดการกลายพันธ์  และเป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์  Lead   ตะกั่ว Carcinogenic and impaires fertility. Effects on the developing brain ก่อให้เกิดมะเร็ง  ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  มีผลกระทบต่อพัฒนาการสมอง Nonylphenol   โนนิลฟีนอล Disrupts the hormone system ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน Organotin  ออกาโนติน Carcinogenic, disrupts the hormone system and fertility ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบบฮอร์โมนและระบบสืบพันธ์หยุดทำงาน Perfluorinated chemicals  เพอฟลูออริเนตเคมิคัล Carcinogenic, disrupts fertility ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบบสืบพันธ์หยุดทำงาน  Phthalates (softeners)  พทาเลต (สารทำให้อ่อนตัว) Disrupts development and the hormone system. Impaires fertility พัฒนาการและระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง Triclosan  ไตรโคลซาน Very toxic to aquatic life, disrupts the hormone system เป็นพิษมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 123 ข้อแนะนำสำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารก (1)

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ บทความฉบับนี้ผมได้เรียบเรียงและได้พิมพ์แจกในงาน สัมมนาวิชาการ ระดับชาติเรื่องชุมชนปลอดภัย ครั้งที่ 2 “ก้าวอย่างยั่งยืนของชุมชนปลอดภัย” ระหว่างวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2554 จัดโดยศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  ซึ่งมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อพ่อ แม่และครูพี่เลี้ยงเด็ก ในการหลีกเลี่ยงของเล่นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก โดยเฉพาะของเล่นที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่ จึงขออนุญาตนำเสนอในคอลัมน์ช่วง ฉลาด ช้อป เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้รับทราบและใช้เป็นประโยชน์ในการเลือกหาของเล่น ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กต่อไปครับ  ของเล่นสำหรับเด็กและทารก ของเล่นเป็นจำนวนมากผลิตจากสารสังเคราะห์ที่รู้กันดีว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กๆ  สารเหล่านี้รวมถึงสารทำให้อ่อนตัวที่ใช้ในของเล่นพลาสติกซึ่งทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  ฟอร์มัลดีไฮด์ที่ใช้ในการเชื่อมตัวต่อไม้ ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง  หรือสารหน่วงกันไฟในตุ๊กตาหมีที่สามารถเป็นพิษต่อพัฒนาการของร่างกาย   การทดสอบที่เป็นอิสระต่อกันยืนยันว่าสารเคมีอันตรายเกือบทั้งหมดสามารถใช้ตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าทดแทนได้  ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายเรื่องสารเคมีในยุโรปและระเบียบเรื่องของเล่นที่ใช้ในสหภาพยุโรป และระเบียบสารเคมีของสหภาพยุโรปตลอดจนมาตรฐานต่างๆ อยู่ก็ตาม แต่โดยข้อเท็จจริงยังไม่สามารถคุ้มครองเด็กๆ ได้มากพอ  เพราะสารเคมีอันตรายยังได้รับอนุญาตให้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์  ยิ่งกว่านั้น  ผู้ผลิตของเล่นไม่จำเป็นต้องระบุรายชื่อสารเคมีที่ถูกใช้ในการผลิตของเล่น  ถึงแม้จะมีสารเคมีอันตรายอยู่ก็ตาม   เอกสารฉบับนี้ช่วยคุณพ่อและคุณแม่ ตลอดจนครูพี่เลี้ยงได้อย่างไรมีฉลากที่ได้รับการทดสอบสองสามชนิดและไม่มีข้อบังคับเรื่องการติดฉลากสารเคมีที่เป็น “ส่วนประกอบ” ในของเล่น  เรื่องนี้ทำให้การซื้อของเล่นที่ปลอดภัยเป็นเรื่องยาก  คู่มือของเล่นของ กลุ่มสตรีในยุโรปเพื่ออนาคตร่วมกัน  (Woman in Europe for a Common Future (WECF)) องค์กรนี้เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการยุโรปที่เป็นปากเป็นเสียงในด้านการพัฒนากฎหมายและข้อบังคับสำหรับการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและทารก  ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตรายและเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ในการหลีกเลี่ยงสารเคมีเหล่านั้น  ซึ่งกำลังรณรงค์เพื่อให้ของเล่นปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย  ทั้งในภาคการเมืองและภาคผู้ผลิต  กรณีของผู้บริโภคในยุโรปนั้น การซื้อของเล่นในสหภาพยุโรป ผู้บริโภคสามารถถามผู้ขายและผู้ผลิตเกี่ยวกับข้อมูลผลิตภัณฑ์  ซึ่งผู้ผลิตจะต้องตอบภายใน 45 วัน  เพื่อแจ้งให้คุณรู้ว่าของเล่นชิ้นนั้นมีสารประกอบเฉพาะอยู่หรือไม่  โชคร้ายที่ข้อมูลนี้ถูกใช้บังคับกับสารประกอบบางชนิดเท่านั้น  แต่อย่างไรก็ตาม  ยิ่งมีลูกค้าสอบถามมากเท่าไร  ผู้ผลิตจะยิ่งเปลี่ยนนโยบายในการผลิตเร็วขึ้นเท่านั้น  ในการทำแบบนี้  เราสามารถปกป้องสุขภาพของลูกเราและส่งผลต่อผู้ผลิตได้   ทำไมเด็กถึงอ่อนไหวเป็นพิเศษ เด็กๆ มักจะอ่อนไหวต่อการได้รับสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่าผู้ใหญ่  เพราะผิวหนังที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบสัดส่วนกับน้ำหนักของพวกเขา  ปริมาตรการหายใจที่สูงกว่า  และอัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น  ส่งผลให้พวกเขาดูดซึมสารเคมีที่เป็นอันตรายได้มากกว่าผู้ใหญ่  ระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทของพวกเขายังอยู่ในระหว่างการพัฒนา  สารเคมีที่เป็นอันตรายยังถูกพบในเครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ  ดังนั้น เด็กๆ จะรับสารเคมีที่เป็นอันตรายหลากหลายชนิดจากแหล่งต่างๆ มากมาย  ถึงแม้จะเป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำอันตรายต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่งแล้ว – ซึ่งบางครั้งส่งผลไปตลอดชั่วชีวิต   เห็นได้จากอัตราโรคภูมิแพ้และโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้น   เคล็ดลับทั่วไปในการเลือกของเล่นที่ปลอดภัย• ยิ่งน้อยชิ้นยิ่งดี  ซื้อของเล่นน้อยชิ้น  โดยตั้งเป้าที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ• หลีกเลี่ยงของเล่นที่ถูกมากๆ เพราะมักจะมีสารเคมีที่เป็นอันตรายมากกว่า• อย่าซื้อของเล่นที่มีสารเคมีรุนแรงหรือกลิ่นน้ำหอมหรือของที่ให้ความรู้สึกไม่สบายเวลาที่สัมผัส• สำหรับเด็กเล็ก  ขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ที่สามารถดึงออกมาได้ หรือกลืนลงไปได้• แกะบรรจุภัณฑ์ของเล่นใหม่และทิ้งไว้ภายนอกอาคาร เพื่อให้สารเคมีอันตรายบางส่วนระเหยไป• หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.healthytoys.org ที่กำหนดขึ้นใหม่โดยศูนย์นิเวศวิทยาอเมริกา  • สำหรับผู้บริโภคในประเทศไทยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค  http://upvac.ocpb.go.th   ในฉบับหน้าจะแนะนำการเลือกซื้อของเล่นเป็นรายผลิตภัณฑ์ไปครับ ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตา ตุ๊กตาหมี ของเล่นไม้ ฯลฯ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 122 เคล็ดลับการดูแลบ้านและลูกน้อยของคุณแม่ชาวยุโรป (2)

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ การทำความสะอาดบ้านของคุณสามารถเพิ่มปริมาณสารเคมีในบรรยากาศภายในบ้านได้  บางครั้งอาจมีปริมาณสูงกว่าบรรยากาศภายนอกอาคารในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารเคมีมากมายที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลบ้านนั้นเป็นชนิดเดียวกับที่ถูกใช้ในสารทำความสะอาดในอุตสาหกรรมที่ใช้งานหนัก  นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเริ่มที่จะกังวลว่าการได้รับสารเคมีหลายชนิดในปริมาณน้อยๆ เป็นระยะเวลายาวนาน  เหมือนที่ถูกพบในอากาศภายในบ้านและฝุ่นอาจจะทำให้มีปัญหาสุขภาพได้  การทดสอบผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ทดลองเฉพาะในสารเคมีประเภทเดียว  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง  เราทุกคนต่างก็ได้รับสารเคมีหลายชนิดในทุกๆ วัน  เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย  งานทำความสะอาดบ้านส่วนมากนั้นสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมธรรมดาที่มีในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นพิษน้อยกว่าและมีราคาถูกกว่า เช่น เบคกิ้งโซดา  น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำมะนาว น้ำมันพืช สบู่ บอแรกซ์และโซดาซักผ้า  ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์มีอยู่เป็นจำนวนมากในตลาด  อาจประกอบไปด้วยสารก่อความระคายเคืองรุนแรง เช่น แอมโมเนียซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อไตและตับ  คลอรีนหรือที่รู้จักกันในชื่อสารฟอกขาว และสารก่อมะเร็ง เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์   นอกจากนี้จะมีสารกันบูด น้ำหอมและสี  รวมถึงสารเคมีที่ทำให้ฮอร์โมนหยุดทำงาน  และสารเคมีที่ทำให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนัง  และการหายใจติดขัด   เคล็ดลับในการใช้งาน• หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับทำความสะอาดหน้าต่าง ตะแกรง เครื่องเงิน หรือเตาอบ เพราะมันอาจมีสารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณสูง• พึงตระหนักไว้เสมอว่าคลอรีนสามารถสร้างก๊าซคลอรีนที่เป็นพิษได้ ถ้าถูกผสมกับแอมโมเนียหรือน้ำส้มสายชู• ต้องมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอในขณะที่กำลังทำความสะอาด ไม่ควรปิดหน้าต่างขณะทำความสะอาด• ผ้าไมโครไฟเบอร์สามารถกำจัดคราบสกปรก คราบเหนียวและฝุ่นได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีทำความสะอาด ผงซักฟอกประกอบด้วยสารฟอกขาว  สารสังเคราะห์ที่ให้ผ้าขาวขึ้น น้ำหอมและสารลดความตึงผิวที่ทำให้เกิดอาการแพ้  ผงซักฟอกที่ตกค้างบนเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนเป็นแหล่งที่ทำให้ผิวหนังเกิดความระคายเคือง  และกลิ่นหอมที่ติดอยู่จากผลิตภัณฑ์ที่ใส่น้ำหอมสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางการหายใจได้   เคล็ดลับในการใช้งาน• หลีกเลี่ยงน้ำยาปรับผ้านุ่ม  น้ำยากำจัดคราบ  น้ำยาซักผ้าที่ฆ่าเชื้อโรค  และผลิตภัณฑ์สำหรับก่อนซัก• ซักผ้าที่อุณหภูมิต่ำเพื่อประหยัดพลังงาน• ใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผิวหนัง   น้ำยาล้างจาน ล้างจานด้วยมือให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า และประหยัดกว่าการใช้เครื่องล้างจาน เพราะใช้น้ำและเวลาในการล้างที่น้อยกว่ามาก  น้ำยาล้างจานสำหรับเครื่องล้างจานมักจะมีฟอสเฟตที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และมีสารที่ทำให้เกิดอาการผื่นคัน  น้ำยาล้างจานสำหรับการล้างด้วยมือนั้นเป็นอันตรายต่อผิวหนังน้อยกว่า   น้ำยาล้างห้องน้ำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโถส้วมจำนวนมากมักจะมีฤทธิ์กัดกร่อนและทำให้เกิดแก๊สพิษเมื่อผสมกับน้ำ  พวกมันอาจมีสาร 1,4-ไดคลอรอเบนซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายต่อตับและไตได้  ไอระเหยกรดไฮโดรคลอริคทำให้เกิดอาการไอและหายใจลำบาก  และสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อดวงตา  ผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ  และสามารถก่อให้เกิดก๊าซคลอรีนที่ก่อให้เกิดมะเร็ง   เคล็ดลับการใช้งาน• ป้องกันคราบฝั่งแน่นโดยการทำความสะอาดด้วยแปรง• ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ “น้ำยาฆ่าเชื้อโรค” หรือ สาร “ต่อต้านแบคทีเรีย”• น้ำยาดับกลิ่นและเจลให้กลิ่นหอมเป็นสิ่งไม่จำเป็น  และมีส่วนผสมที่สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้เมื่อมีการสัมผัส• หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์  ละอองที่เกิดขึ้นถูกสูดดมเข้าไปได้โดยง่ายและก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อปอด   น้ำยาทำความสะอาดพื้น พรม และเฟอร์นิเจอร์สารทำความสะอาดพื้น พรม และเฟอร์นิเจอร์อาจมีตัวทำละลายและสารกันบูดที่เป็นพิษต่อระบบประสาทและพทาเลตที่ทำให้รบกวนการทำงานของฮอร์โมน  และน้ำหอมที่ทำให้เกิดอาการผื่นคัน  เคล็ดลับการใช้งาน• สำหรับพื้น เช่น เสื่อน้ำมัน กระเบื้องพลาสติก  หินธรรมชาติและสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่มีพื้นผิวเป็นไม้และพลาสติกให้ใช้น้ำ  ถ้าสกปรกมากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ชนิดอ่อนโยน• สำหรับตู้ โต๊ะ และเฟอร์นิเจอร์ไม้อื่นๆใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ก็เพียงพอแล้ว• สำหรับพื้นผิวที่ลงน้ำมันและเคลือบเงาให้ใช้น้ำมันลินสีดหรือขี้ผึ้ง• กำจัดคราบบนพื้นพรมและเครื่องหนังด้วยน้ำ  หรือใช้น้ำส้มสายชูพร้อมกับน้ำสบู่อ่อนๆ ในกรณีที่สกปรกมาก   น้ำหอมปรับอากาศโถเครื่องหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ในห้องน้ำ  เทียนหอมในห้องรับแขก  สเปรย์ “กลิ่นทะเล” หรือสเปรย์กำจัดกลิ่นบุหรี่และกลิ่นกับข้าว  น้ำหอมปรับอากาศเหล่านี้อาจมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  และก่อให้เกิดอาการแพ้และมีปฏิกิริยาต่อระบบทางเดินหายใจ   เคล็ดลับการใช้งาน• เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศเสียออกไป อากาศบริสุทธิ์ดีกว่าผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ใดๆ   ข้อมูลอ้างอิงWoman in Europe for a Common Future (WECF) www.wecf.eu ตารางแสดงสารเคมีที่เป็นอันตราย ซึ่งพบในน้ำยาซักล้างและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สารเคมีอันตราย ผลกระทบที่อาจเกิดกับสุขภาพ Formaldehydeฟอร์มัลดีไฮด์ Carcinogenic, mutagenic, toxic to reproduction ก่อให้เกิดมะเร็ง ก่อให้เกิดการกลายพันธ์ เป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์ Triclosanไตรโคลซาน Very toxic to aquatic life, disrupts the hormone system เป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน 1,2-dichlorobenzene1,2-ไดคลอโรเบนซิน Very toxic to aquatic life เป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ 2-methoxyethanol 2-เมททอกซีเอทานอล Impaires fertility, harmful by inhalation, swallowing and skin contact, and for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  ได้รับอันตรายจากการสูดดม กลืนกิน และการสัมผัสทางผิวหนัง  และเป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ 2-ethoxyethanol 2-เอททอกซีเอทานอล Impaires fertility, harmful by inhalation, swallowing and skin contact, and for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  ได้รับอันตรายจากการสูดดม กลืนกิน และการสัมผัสทางผิวหนัง  และเป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ 2-ethoxyethyl acetate2-เอททอกซีเอธิลอะซีเตท Impaires fertility, harmful by inhalation, swallowing and skin contact, and for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  ได้รับอันตรายจากการสูดดม กลืนกิน และการสัมผัสทางผิวหนัง  และเป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ Phthalates(DEHP, Bis (2-ethylhexylphthalat)พทาเลต (DEHP, Bis(2-เอธิลเฮซิลพทาเลต) Impaires fertility, harmful for the unborn child ความสามารถในการสืบพันธ์ลดลง  เป็นอันตรายต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ Nitromusks, polycyclic musks(Galaxolide, Tonalide)ไนโตรมัสค์, โพลีไซคลิก มัสก์ (กาแล็กโซไลด์, โทนาไลด์) Disrupts the hormone system, allergen ทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  และก่อให้เกิดอาการแพ้ Octamethylcyclotetrasiloxane ออคตะเมธิลไซโคลเตตระไซโลเซน Disrupts the hormone system and the fertility ทำให้ระบบฮอร์โมนและความสามารถในการสืบพันธ์หยุดทำงาน Octylphenol (ethoxylates) ออคทิลฟีนอล (เอทอกซิเลท) Disrupts the hormone system ทำให้ระบบฮอร์โมนหยุดทำงาน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 เคล็ดลับการดูแลบ้านและลูกน้อยของคุณแม่ชาวยุโรป (1)

  ผมได้ติดตามนโยบายปกป้องอันตรายที่อาจเกิดกับเด็กจากการใช้สารเคมีทำความสะอาดในบ้านขององค์กรสตรีในยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกกำไร และได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค เลยขอนำเสนอสาระที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกๆ ซึ่งวันนี้จะเล่าถึงเรื่องวิธีการทำความสะอาด การใช้สารเคมีทำความสะอาดในบ้านที่เป็นมิตรและปลอดภัยสำหรับเด็กและทารกครับ การทำความสะอาดบ้านของคุณสามารถเพิ่มปริมาณสารเคมีในบรรยากาศภายในบ้านได้ บางครั้งอาจมีปริมาณสูงกว่าบรรยากาศภายนอกอาคารในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารเคมีมากมายที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลบ้านนั้นเป็นชนิดเดียวกับที่ถูกใช้ในสารทำความสะอาดในอุตสาหกรรมที่ใช้งานหนัก เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย งานทำความสะอาดบ้านส่วนมากนั้นสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมธรรมดาที่มีในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นพิษน้อยกว่าและมีราคาถูกกว่า เช่น เบคกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำมะนาว น้ำมันพืช สบู่ บอแรกซ์และโซดาซักผ้า ขณะเดียวกันผู้ผลิตที่เสนอผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นพิษน้อยลงก็มีจำนวนมากขึ้น   เคล็ดลับทั่วไปในการใช้สารเคมี• อ่านฉลากผลิตภัณฑ์และค้นคว้าเกี่ยวกับสารเคมีที่ปรากฏอยู่บนฉลากนั้นๆ  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม ห้องทารกที่สะอาดไม่ควรจะมีกลิ่นอะไรเลย • หลีกเลี่ยงน้ำยาฆ่าเชื้อโรคและผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าต่อต้านแบคทีเรียได้ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคควรใช้เฉพาะในโรงพยาบาลและบ้านที่มีผู้ป่วยระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอาศัยอยู่ การทำความสะอาดทั่วไปก็เพียงพอที่จะกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตราย น้ำยาฆ่าเชื้อโรคอาจจะมีฟอร์มัลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งและเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ และคลอรีนที่ส่งผลระคายเคืองต่อปอด ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต่อต้านแบคทีเรียและสารต่อต้านจุลินทรีย์จะฆ่าแบคทีเรียที่มีประโยชน์เช่นกัน และมีส่วนทำให้แบคทีเรียเกิดอาการดื้อยาต่อยาปฏิชีวนะ  • อย่าไว้ใจกับการกล่าวอ้างถึงสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิต  • ผงซักฟอกไม่มีทางเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100% ดังนั้นใช้มันอย่างประหยัดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และควบคุมปริมาณการใช้ โดยเฉพาะการใช้ผงซักฟอกชนิดเข้มข้น  • ยึดหลักการปลอดภัยไว้ก่อน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่เป็นพิษ เก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้พ้นมือเด็ก อย่าเทผลิตภัณฑ์ใส่ขวดชนิดอื่น  • หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและอาการแพ้ โดยการหลีกเลี่ยงสารกันบูด น้ำหอม และสารดังต่อไปนี้ เช่น ไอโซเทียโซลีนโนน (CMIT, MIT, BIT, OIT), เอมิลซินนามาล, เฮกซิลซินนามัลดีไฮด์ ลินาลู, เบนซิลแอลกอฮอล์ คูมาริน เบนซิลเบนโซเอท เจรานอล ยูจีนอล ลิเลียล เมทิลเฮปตินคาร์บอร์เนต ซิโตรเนลโล ไลมอนีน ซิตราล และเจรานอล --------------------------------------------------------------------------------------------------- ทำไมจึงต้องใส่ใจเมื่อมีเด็กๆ อยู่ในบ้านเด็กคือคนที่อ่อนไหวที่สุดต่อสารพิษของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไปและสารเคมีที่ใช้ในบ้านอื่นๆ เหตุผลคือร่างกายพวกเขามีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ เมื่อเทียบสัดส่วนสารที่ปริมาณเท่ากัน ในเด็กจะรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ ยิ่งกว่านั้น อวัยวะของพวกเขายังอยู่ระหว่างการพัฒนาและไม่สามารถกำจัดสิ่งที่พวกเขาได้รับเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำได้ ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาเต็มที่ เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือผิวหนังของพวกเขาอ่อนโยนกว่าของผู้ใหญ่ และข้อสุดท้าย เด็กๆ มักสำรวจโลกด้วยมือและปากของพวกเขา พวกเขาคลานและเล่นบนพื้น พวกเขามักจะอยู่ใกล้กับพื้นมากกว่าผู้ใหญ่ พื้นเป็นส่วนที่สะสมสารเคมีที่เหลืออยู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจะถูกควบคุมภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับสารชะล้างแห่งสหภาพยุโรป กฎหมายความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทั่วไป กฎหมายที่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและ ระเบียบสารเคมี (REACH: Registration, Evaluation, Authorization and Restriction of Chemicals) ของสหภาพยุโรป แต่ทว่าสารที่เป็นอันตรายก็ยังถูกพบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่ดี ---------------------------------------------------------------------------------------------------  ประเภทของน้ำยาทำความสะอาดที่ควรปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่เราควรจำกัดปริมาณการใช้สารเคมี เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมให้ปลอดจากสารพิษได้แก่   • น้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์• น้ำยาทำความสะอาดหน้าต่าง• น้ำยาทำความสะอาดพื้น• น้ำยาทำความสะอาดและซักล้างพรม• ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์• และสารขัดเงา• ผงซักฟอก• และน้ำยาล้างจาน  ส่วนจะปรับเปลี่ยนอย่างไร คงต้องขอนำเสนอคราวหน้าครับ เพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก  ข้อมูลอ้างอิงWoman in Europe for a Common Future (WECF) www.wecf.eu  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 ฟอร์มัลดีไฮด์ ตัวร้ายในน้ำยายืดผม

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ข่าวแจ้งเตือน: เยอรมันนี ตรวจพบ ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ในปริมาณที่อาจก่อให้เกิดอันตราย  วันนี้ผมขออนุญาต ถ่ายทอดข่าวแจ้งเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครับ เนื่องจาก ตอนนี้ที่ประเทศเยอรมันนี เกิดเหตุการณ์ สินค้าที่ไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องใหญ่ๆ สองเรื่อง เรื่องแรกคือ การตรวจพบสารไดออกซิน ปนเปื้อนในอาหารสัตว์ จนทำให้รัฐบาลต้อง กักบริเวณฟาร์มไก่ ที่ใช้อาหารสัตว์นี้ มูลค่าความเสียหายของเกษตรกร ประมาณ หนึ่งร้อยล้านยูโร และบริษัทที่ทำการผลิตอาหารสัตว์ ก็ได้ยื่นเรื่องขอล้มละลายกับศาลล้มละลายระดับมลรัฐแล้ว เนื่องจากความเสียหายนั้นมหาศาลครับ แต่สำหรับเรื่องที่จะเล่าในวันนี้อาจจะทำความกังวลบ้างในหมู่ผู้ที่ชอบยืดผมหยิกให้ตรง เพราะข่าวแจ้งเตือน เรื่องน้ำยายืดผม ที่พบปริมาณของฟอล์มัลดีไฮด์ในปริมาณความเข้มข้นที่สูงมากครับ  สถาบันกลางการประเมินความเสี่ยง -The Federal Institute for Risk Assessment (BfR)) แนะนำไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ที่ระดับเข้มข้นสูง ผลิตภัณฑ์ที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ที่ระดับความเข้มข้น 1.7 – 1.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่จับตาของหน่วยงานเฝ้าระวังของรัฐบาเดน-วูทเท ฟอร์มัลดีไฮด์ก่อให้เกิดความระคายเคืองรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนังและเยื่อเมือก ยิ่งไปกว่านั้น สารประกอบดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้และถูกจัดให้อยู่ในประเภทสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ทางสหภาพยุโรปไม่อนุญาตให้ใช้ฟอร์มัลดีไฮด์ในผลิตภัณฑ์ยืดผม อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคและช่างทำผมมักนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากต่างประเทศโดยตรง หรือสั่งซื้อผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่รู้ว่าพวกมันสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้  ฟอร์มัลดีไฮด์สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในโพรงจมูก ซึ่งในช่วงหลังวงการวิทยาศาสตร์ยังมีการถกกันถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างฟอร์มัลดีไฮด์และการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอย เป็นที่รู้กันดีว่า ฟอร์มัลดีไฮด์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง อาจรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะช็อคถึงขั้นเสียชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เกิดความระคายเคืองรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนังและเยื่อเมือก สำหรับปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ที่มีอยู่ในอากาศภายในอาคารนั้น ทาง BfR ได้กำหนดค่าความปลอดภัยไว้ที่ระดับ 0.1 ppm   ภายในสหภาพยุโรป ฟอร์มัลดีไฮด์ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นสารออกฤทธิ์ของยาบำรุงเล็บเท่านั้น ที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ และได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นสารกันบูดในเครื่องสำอางที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 0.2 เปอร์เซ็นต์ จากที่ถูกระบุไว้บนฉลากที่ระดับ 0.05 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่ถูกตรวจสอบจากหน่วยงานเฝ้าระวังในรัฐบาเดน-วูทเทมเบิร์ก พบปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ถึง 1.7-1.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีความเข้มข้นดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ใช้  BfR แนะนำให้หน่วยงานแต่ละมลรัฐในเยอรมนนี ให้หามาตรการรองรับและทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เช่น ร้านทำผมที่ใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ โดย BfR แนะนำเร่งด่วนไม่ให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่บ้าน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถสั่งซื้อได้จากอินเตอร์เน็ต   ผลิตภัณฑ์ยืดผมถูกใช้เพื่อยืดเส้นผมที่หยิกตามธรรมชาติให้กลับเป็นผมตรงอย่างถาวร ผลิตภัณฑ์จะถูกทาลงบนเส้นผม และหลังจากรอเวลาทำปฏิกิริยา 30 นาที เส้นผมจะถูกทำให้ตรงโดยใช้ที่รีดผมที่มีความร้อน 230 องศาเซลเซียส ถ้าผลิตภัณฑ์ยืดเส้นผมนั้นมีฟอร์มัลดีไฮด์ ช่างทำผมและลูกค้า หรือผู้ใช้งานตามบ้านจะสูดดมมันเข้าไปพร้อมกับไอน้ำที่เกิดขึ้น ฟอร์มัลดีไฮด์ที่ถูกปล่อยจากผลิตภัณฑ์ที่ถูกตรวจสอบนั้นมีปริมาณสูงมากจนก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง เยื่อเมือก ดวงตา ระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อผิวหนังและอาจก่ออันตรายอื่นๆ ต่อสุขภาพ   ผลิตภัณฑ์ฑ์ยืดผมใช้ฟอร์มัลดีไฮด์เพื่อเชื่อมต่อเคราตินในเส้นผมที่เสียไปจากความร้อน โครงสร้างผมหยิกก็ถูกทำให้ตรงด้วยวิธีนี้เช่นกัน  ก่อนจะจากกันในวันนี้ มีข่าวดีมาฝากครับ ตอนนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้จัดตั้ง ศูนย์เฝ้าระวังและเตือนภัยสินค้าอันตราย เป็นหน่วยงานภายใน สคบ. หากเพื่อนๆ สมาชิกฉลาดซื้อ สนใจ สามารถแวะเวียนเข้าไปชมที่เวบไซต์ http://upvac.ocpb.go.th ได้ครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 118 หลอดไฟประหยัดพลังงาน และการจัดการขยะหลังหมดอายุการใช้งาน

หลอดไฟประหยัดพลังงาน  และการจัดการขยะหลังหมดอายุการใช้งาน โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ถ้าเพื่อนสมาชิกยังจำได้ ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับหลอดตะเกียบหรือหลอดไฟประหยัดพลังงาน ในฉบับที่ 98 เมื่อเดือนเมษายน 2552 กลับมาคราวนี้เพราะทางกองบรรณาธิการบอกว่ามีผลการทดสอบหลอดประหยัดไฟอีกครั้ง ผมจึงขอนำเสนอวิธีการเลือกหลอดประหยัดไฟเพื่อประกอบการผลทดสอบนะครับ แถมด้วยการจัดการกับหลอดที่หมดอายุแล้วด้วยครับ  เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 ยุโรปได้สั่งห้ามขายหลอดไฟแบบกลมในตลาด  เพราะหลอดไฟแบบเก่านั้น สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานแสงสว่างได้เพียง 5 % พลังงานที่เหลืออีก 95 % สูญเสียเป็นความร้อน นับว่าได้ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อนทางอ้อมอีกด้วย นอกจากนี้ผู้บริโภคต้องเสียเงินค่าไฟแบบสูญเปล่าเป็นจำนวนมหาศาล  สถานที่ที่จะติดหลอดไฟวิธีการเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟสำหรับผู้บริโภค ให้พิจารณาถึงประเด็นสำคัญดังนี้ครับ หลอดไฟแบบประหยัดไฟหรือหลอดตะเกียบนั้น มีอายุในการใช้งานนานเท่าไหร่ และต้องปิดเปิดบ่อยมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราจะเลือกหลอดไฟที่ต้องให้แสงสว่างในห้องน้ำ ตามทางเดินที่ต้องมีการปิดเปิดบ่อยครั้ง ควรจะเลือกหลอดไฟที่มีความทนทานในการปิดเปิด ความรู้สึกสบาย   ในกรณีที่จะติดไฟที่ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น ควรเลือกหลอดไฟแบบ warm white (WW) ซึ่งจะมีหมายเลข 827 หรือ 927 อยู่ที่ข้างกล่องบรรจุ หมายเลขด้านหน้า 8 หรือ 9 หมายถึงระดับของสีที่หลอดไฟแผ่รังสีออกมา ระดับ 9 จะให้ระดับของสี สูงกว่าหมายเลข 8 หมายเลข 27 หมายถึงให้อุณหภูมิสี 2700 เคลวิน ซึ่งจัดว่าเป็นระดับอุณหภูมิสีที่ให้ความอบอุ่น และถ้าเลขสองหลักสุดท้ายมีค่าสูง จะทำให้ค่าสีแดงลดลง แต่ส่วนของค่าสีน้ำเงินเพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเย็นขึ้น   ลักษณะของแสงในบ้าน (day light)หากจะเลือกหลอดไฟในสถานที่ทำงานที่ต้องการความสว่างมากๆ ควรเลือกหลอดไฟที่มีหมายเลข 860, 865, 960 หรือ 965 เนื่องจากมีอัตราส่วนของแสงสีน้ำเงินสูง ทำให้เราตาสว่าง และตื่นตัวดี   การจัดการกับหลอดไฟที่หมดอายุการใช้งานแล้วเนื่องจากหลอดไฟประหยัดพลังงานจะมีโลหะปรอทผสมอยู่ โลหะปรอทจัดเป็นวัตถุที่มีพิษ ต้องจัดการด้วยวิธีพิเศษ เช่นเดียวกับถ่านไฟฉาย ซึ่งการจัดเก็บขยะของบ้านเราปล่อยปละละเลยกันในเรื่องการจัดการวัตถุมีพิษในครัวเรือน หากวัตถุมีพิษเหล่านี้ ออกมาสู่สิ่งแวดล้อม และมีโอกาสที่จะปนเปื้อนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั่วไป และก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในระยะยาวอย่างมาก   สำหรับเรื่องการจัดการขยะตามครัวเรือนนั้น ทางภาครัฐควรจะวางนโยบายและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งครับ นอกจากจะรณรงค์ให้คนทั่วไปรู้จักแยกขยะแล้ว รัฐบาลควรมีแนวทางในการนำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งพวกขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือขยะที่เป็นของเสียที่สามารถย่อยสลายได้ พูดถึงเรื่องการแยกขยะ ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์ที่เคยพบมา ในประเทศเยอรมนีทุกบ้านจะต้องแยกขยะ ขยะไหนเป็นขยะรีไซเคิล ให้ใส่ขยะ (ซึ่งก็จะเป็นพวกภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจาก พลาสติก กระป๋องอลูมิเนียม     โดยก่อนจะทิ้งก็ต้องล้างน้ำเพื่อไม่ให้มีกลิ่นและใส่ในถุงสีเหลืองที่ ทางเทศบาลแจกไว้ให้ หากเป็นขยะธรรมชาติ เช่นกิ่งไม้ ใบไม้ หญ้า ฯลฯ ก็จะนำไปทำปุ๋ยหมัก สำหรับกระดาษนั้นก็ต้องแยกไว้และนำไปทิ้งในถังขยะรวม   เนื่องจากประเทศเยอรมันไม่ได้มีอาชีพรับซื้อของเก่าแบบบ้านเรา นอกจากนี้พวกแก้วก็จะต้องรวมแล้วขนไปทิ้งในตู้ container สำหรับแก้วโดยเฉพาะ และต้องแยกแก้วออกเป็นสามกลุ่มคือ สีขาว สีเขียวและสีแดง และถ้าบ้านไหนไม่ยอมแยกขยะ ทางเทศบาลสามารถปฏิเสธไม่รับขยะได้ครับ และตามซูเปอร์มาร์เก็ตหรือ ไมโครมาร์เก็ต   จึงต้องจัดหาถังขยะโดยแยกขยะเป็น พลาสติก แก้ว และกระดาษ ผู้บริโภคที่ซื้อของแล้วสามารถทิ้งขยะไว้ให้ที่ร้านค้าจัดการได้ นอกจากนี้ทางร้านต้องรับขยะที่จัดเป็นขยะอันตรายด้วยไม่ว่าจะเป็นขยะ Electronics แบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉาย เรียกว่าสินค้ามาจากไหนขยะก็กลับไปทางนั้นครับ   และถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ เตียง ที่นอน ตู้ทั้งหลายเวลาจะทิ้งต้องโทรตามเทศบาลมาเก็บครับ ซึ่งเทศบาลบางที่ ก็จะมีวันเก็บของเก่าเหล่านี้ โดยจะมาเก็บขยะเหล่านี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หากใครมีโอกาสไปเมืองเล็ก ก็อาจจะเห็นว่าชาวบ้านจะขนขยะพิเศษเหล่านี้ มาตั้งไว้ที่หน้าบ้าน เพื่อให้เทศบาลมาเก็บครับ   สำหรับมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นแบบนี้ ต้องฝึกเด็กๆของเราครับ นอกจากฝึกเด็กแล้ว ผู้ใหญ่ก็ต้องสร้างจิตสำนึกในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบง่ายๆ ที่ต้องทำทุกวันก่อนครับ ทำร่วมกับการปลูกต้นไม้ ในโครงการ CSR ที่บริษัทต่างๆ เริ่มทำกัน ก็ยังไม่สายนะครับคนไทย รู้จักใช้ก็ต้องรู้จักทิ้งด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 พระราชบัญญัติความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย : กรณีศึกษาของประเทศเยอรมนี

  คราวนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง แนะนำการซื้อสินค้านัก แต่มีเรื่อง น่าสนใจเกี่ยวกับกฎหมาย ที่บ้านเราก็ออกมาได้พักหนึ่งแล้ว คือ พระราชบัญญัติความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย หรือ Product liability law แต่เป็นกรณีของเยอรมันครับ   พระราชบัญญัติความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย : กรณีศึกษาของประเทศเยอรมนี เนื่องจากในบ้านเราเวลามีคดีผู้บริโภค ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ส่วนบุคคล และถึงแม้ว่าเราจะมีกฎหมาย พรบ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 และ พรบ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 แล้วก็ตาม ปรากฏว่ายังมีปัญหาและสร้างปัญหาให้กับผู้บริโภคมาก แม้กฎหมายนี้จะเป็นกฎหมายที่ดีและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ซึ่งในประเทศเยอรมันเองนั้นไม่ได้มีกฎหมายที่คุ้มครองผู้บริโภคที่ก้าวหน้าอย่างบ้านเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ประเทศเยอรมันมี ก็คือ วิญญาณของระบบกระบวนการยุติธรรมที่ ให้ความเป็นธรรมกับคนเล็กคนน้อย และคนด้อยโอกาส วันนี้ ช่วง ฉลาด ช้อป ขออนุญาตนำคำพิพากษาคดี แอร์แบก ทำงานผิดพลาดมานำเสนอ เพื่อประกอบความรู้ ในเรื่อง Product liability law ครับ   ศาลฎีกาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีพิพากษาวางหลักกฎหมายไว้โดยได้วางหน้าที่ของผู้ผลิตไว้อย่างเคร่งครัด กล่าวคือ ผู้ผลิตใดผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายออกสู่ตลาดจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ใช้สอยและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างเคร่งครัด   ข้อเท็จจริงโดยสรุป นาย ก โจทก์ ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่ง (รถยนต์ BMW Serie 3 Limousine) โดยได้บรรยายคำฟ้องไว้ว่า เขาได้ขับรถยนต์ของบริษัทผู้ผลิตหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อแผงควบคุมระบบนิรภัย และทำให้ถุงลมนิรภัยทำงานอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยดังกล่าวได้กระแทกศีรษะโจทก์และไปกดทับเส้นเลือดใหญ่เป็นเหตุให้สมองบางส่วนตาย (cerebral infarct: สมองบางส่วนตาย) โจทก์จึงได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์   การดำเนินคดีในชั้นศาล นาย ก ได้ยื่นฟ้องครั้งแรกต่อศาลมลรัฐแห่งเมือง Erfurt (Landgericht Erfurt) โดยนาย ก ได้ให้เหตุผลว่า จำเลยเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์คันดังกล่าว จึงต้องรับผิดชอบกรณีถุงลมนิรภัยทำงานผิดพลาด แต่ศาลมลรัฐแห่งเมือง Erfurt ได้ยกฟ้อง หลังจากโจทก์อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์แห่งเมืองเจนา (Oberlandesgericht Jena) ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุที่ทำให้ถุงลมนิรภัยทำงานคือแรงกระแทกใต้ท้องรถอย่างรุนแรง ที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนคล้ายกับการชน อีกทั้งการป้องกันมิให้ถุงลมนิรภัยทำงานดังเช่นกรณีดังกล่าวในสภาพของเทคโนโลยีปัจจุบันไม่สามารถทำได้ และหากจำเป็นต้องมีการติดตั้งตัวเซนเซอร์เพื่อป้องกันการทำงานที่ผิดพลาดจะทำให้ราคาของรถสูงขึ้นมากจึงพิพากษายกฟ้อง   คำพิพากษาศาลฎีกาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี : การชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ใช้สอยและความเสี่ยง ศาลฎีกาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทผู้ผลิตจำเป็น ต้องมีมาตรการด้านต่างๆที่จำเป็นจำหรับการป้องกันมิให้เกิดอันตรายตั้งแต่การออกแบบและการผลิต ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ศาลอุทธรณ์แห่งเมืองเจนากลับไปวินิจฉัยใหม่ในประเด็นความเหมาะสม เรื่องการติดตั้งเซนเซอร์แบบอัลตราซาวด์ที่จะทำให้ถุงลมนิรภัยทำงานถูกต้อง เมื่อถุงลมนิรภัยมีการสัมผัสกับตัวถังจริงๆ แม้นว่า วินิจฉัยแล้วว่า ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมีราคาแพงเกินไปนาย ก ก็ยังสมควรมีสิทธิได้รับการชดเชยค่าเสียหาย เนื่องจากศาลอุทธรณ์แห่งเมืองเจนา ต้องวินิจฉัยในประเด็นการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ใช้สอยและความเสี่ยงของการทำงานของถุงลมนิรภัยใหม่ กล่าวคือการชั่งน้ำหนักระหว่างอันตรายหรือความเสี่ยงที่ถุงลมนิรภัยจะทำงานผิดพลาดกับประโยชน์ใช้สอยของถุงลมนิรภัยว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องมีการผลิตและติดตั้งถุงลมนิรภัยประเภทนี้หรือไม่   การคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพผู้บริโภคได้ประโยชน์ และได้รับการเยียวยา: พรบ. ความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย (Produkthaftungsgesetz- Product Liability Law)ได้มีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดเป็นอย่างมาก หลังจากมีการประกาศใช้ พรบ. ความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย 1990 ทำให้ผู้ผลิตต้องมีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตต้องจ่ายค่าเสียหายแม้ว่าจะไม่ได้มีเจตนากระทำละเมิด ในปี 2002ได้มีการบัญญัติค่าเสียหายทางจิตใจลงไปด้วย และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจะหมดอายุความหลังจากที่ผู้ผลิตได้นำผลิตภัณฑ์จำหน่ายในท้องตลาดไปแล้ว 10 ปี   (Bundesgerichtshof, Urteil vom 16. Juni 2009 Aktenzeichen: VI ZR 107/08) ที่มา: วารสาร Test ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม 2009

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 116 การเลือกซื้อที่นั่งเสริมนิรภัยสำหรับเด็ก

หลายครั้งที่เห็นคุณพ่อคุณแม่ พาลูกที่เป็นทารก หรือเด็กน้อยติดไปกับรถยนต์ด้วย และก็มักจะพบภาพ ที่ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกฎหมายบ้านเรา ไม่ได้บังคับให้ติดตั้งที่นั่งเสริมนิรภัยสำหรับเด็กเหมือนในยุโรปหรืออเมริกา เนื่องจากเด็กนั้นมีสถานะพิเศษต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ (ที่ไม่ใช่รัฐล้มเหลว หรือ failed state) หากพ่อแม่หรือใครก็ตามที่ละเมิดสิทธิของเด็ก ก็จะต้องโดนกฎหมายเอาผิดครับ ทำให้พ่อแม่ที่พาเด็กติดรถ จะต้องขับด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เด็กจะบาดเจ็บมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า  ถึงแม้นว่าจะขับด้วยความเร็ว 30 กิเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขับรถชน ด้วยความเร็วขนาดนี้ ทารกหรือเด็ก ก็อาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่ ที่ตระหนักถึงความปลอดภัย และคิดอยากจะติดตั้งที่นั่งเสริมสำหรับเด็ก ช่วง ฉลาด ช้อป วันนี้มีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำครับ ประเภทของที่นั่งเสริม ในการเลือกซื้อที่นั่งสำหรับเด็ก จะต้องพิจารณาถึงอายุ และขนาดของเด็กเป็นสำคัญ การแบ่งประเภทของที่นั่งเสริมสำหรับเด็ก ตามน้ำหนักของเด็กครับ โดยแบ่งออกเป็นประเภท 0, 0+, I, II, III ประเภท 0 หมายถึง ที่นั่งเสริม ที่จะติดตั้งให้หันหัวไปทางด้านหลังรถ เหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม เป็นที่นั่งเสริมที่ปลอดภัยสูง ประเภท I เหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักระหว่าง 9-18 กิโลกรัม ที่นั่งเสริมประเภทนี้ จะมีระบบยึดติดตัวเด็กแบบยึดเข็มขัดนิรภัยที่ตัวเด็ก (full belt safety harness system) และระบบนี้มีข้อดี คือ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน แรงกระแทกที่กระทำต่อที่นั่งเสริมจะน้อย แต่การติดตั้งที่นั่งเสริมประเภทนี้ ค่อนข้างยุ่งยากทีเดียว ประเภท II เหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 15 – 25 กิโลกรัม หรือ อายุ ตั้งแต่ 3 ขวบครึ่ง ถึง 7 ปี และ ประเภท III เหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 22 – 36 กิโลกรัม หรือ อายุ ตั้งแต่ 6 ขวบ ถึง 12 ปี ที่นั่งเสริมทั้งสองสามารถปรับระดับความสูงของที่นั่งได้ และมีพนักพิงด้านหลังและด้านข้าง ตำแหน่งและทิศทางในการติดตั้ง ทิศทางในการติดตั้งที่นั่งทารกและเด็กเล็กที่ปลอดภัย คือ การที่ให้เด็กนั่งหันหน้าเข้าสู่เบาะหลัง  เนื่องจากหากเกิดอุบัติเหตุ มีการชนเกิดขึ้น ความปลอดภัยจากการติดตั้งที่นั่งแบบนี้จะสูงมาก เพราะกระดูกต้นคอเด็กจะได้รับการปกป้องจากแรงชนปะทะ นักวิจัยทางด้านอุบัติภัยแนะนำให้ใช้การติดตั้งที่นั่งแบบนี้ กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ขวบ การติดตั้งที่นั่งแบบหันหน้าเข้าสู่เบาะ จะใช้พื้นที่มาก บางครั้งอาจต้องปรับที่นั่งข้างคนขับไปด้านหน้าจนสุด เพื่อให้มีพื้นที่ด้านหลังเพียงพอต่อการติดตั้ง กรณีที่เด็กอายุมากกว่า 4 ขวบ ควรติดตั้งที่นั่งหันหน้าไปทิศทางเดียวกับรถวิ่ง เนื่องจากเด็กในวัยนี้ กล้ามเนื้อต้นคอแข็งแรงแล้ว นอกจากนี้เข็มขัดนิรภัยของที่นั่งเสริม ยังช่วยป้องกันการเหวี่ยงตัวได้ดี ที่นั่งเสริมแบบนี้ประกอบด้วย พนักหลังพิง (seat back) และพนักสำหรับพักศีรษะ (head cusion) ตามรูปที่ 1 ในกรณีที่ติดตั้งที่นั่งสำหรับเด็ก ไว้ที่ที่นั่งข้างคนขับ จะต้องปรับตำแหน่งที่นั่งให้เลื่อนไปข้างหลัง และต้องล็อคการทำงานของ air bag เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ เมื่อ air bag ทำงานจะไปกระแทกที่นั่งเสริม ทำให้ไม่ปลอดภัยได้  เครื่องหมายแห่งคุณภาพ การเลือกซื้อที่นั่งเสริมสำหรับเด็ก คุณพ่อคุณแม่ ควรจะลองติดตั้งในรถดู และลองให้ลูกลองนั่งดูก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความสบายของเด็ก และดูว่าที่นั่งเสริมนั้น เหมาะกับขนาดตัวของเด็กหรือเปล่า นอกจากนี้ยังจะต้องดูด้วยว่าที่นั่งเสริมสำหรับเด็กนั้น มีเครื่องหมายมาตรฐาน ECE R 44 หรือไม่ เครื่องหมายนี้ ทางสมาคมยานยนต์แห่งเยอรมนี (Der Allgemein Deutsche Automobile Club: ADAC) ได้ทำการทดสอบและให้ เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้คุณพ่อแม่สะดวกในการตัดสินใจเลือกซื้อที่นั่งเสริม เนื่องจากตามกฎหมายยุโรปนั้น ที่นั่งเสริมเป็นอุปกรณ์บังคับ ในกรณีที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี นั่งอยู่ในรถ สำหรับประเทศไทยนั้นการใช้ที่นั่งเสริมยังไม่ได้กำหนดเป็นกฎหมายบังคับ แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใด ที่ประสงค์อยากจะติดตั้งที่นั่งเสริมสำหรับเด็ก ในเบื้องต้นก็อาจจะลองหาสัญลักษณ์ ECE R 44 เพื่อความปลอดภัยของลูกรักในการนั่งรถยนต์ร่วมทางไปกับผู้ใหญ่ครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 115 “รถใช้น้ำ” ช่วยโลกร้อน ประหยัดเชื้อเพลิง ?

ราคาน้ำมันที่พุ่งตัวสูงขึ้นอยู่ในขณะนี้ สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจแก่ผู้ใช้รถเป็นจำนวนมาก ในสื่อต่างๆ มีการโฆษณาถึงผลิตภัณฑ์ในรูปแบบหลากหลาย ที่อวดอ้างสรรพคุณว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความสามารถ ช่วยลดปริมาณการปล่อยมลภาวะ และยังช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมัน อันทำให้ช่วยผู้ใช้รถจำนวนมากสามารถประหยัดค่าน้ำมันได้ วันนี้มีเพื่อนสมาชิกสอบถามเข้ามาถึงเรื่อง “รถใช้น้ำ” ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด คอลัมน์ ช่วง ฉลาด ช้อป มีคำตอบให้ครับ รถพลังงานน้ำ vs. รถพลังงานไฮโดรเจนตามหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว การได้มาซึ่งพลังงานเกิดจากการปฏิกริยาทางเคมีของสสารที่มีพลังงานสะสมสูงกว่า เปลี่ยนไปเป็นสสารที่มีพลังงานสะสมต่ำกว่า โดยระหว่างการเปลี่ยนแปลงนั้นสสารจะปลดปล่อยพลังงานออกมา ยกตัวอย่างเช่น การเผาไหม้ของสสารกลุ่มไฮโดรคาร์บอน (พลังงานฟอสซิล) ไปเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซออกซิเจน   เปรียบเช่นเดียวกับกระบวนการหายใจของมนุษย์ ที่สามารถเปลี่ยนอาหารที่มนุษย์รับประทานไปทำปฏิกริยากับก๊าซออกซิเจน ทำให้ได้มาซึ่งพลังงานที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราหายใจออกมา   ในลักษณะเดียวกัน ก๊าซไฮโดรเจน สามารถทำปฏิกริยากับก๊าซออกซิเจน ทำให้เกิดน้ำและพลังงาน ได้เช่นกันดังสมการเคมี   เนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซออกซิเจนมีพลังงานสะสมสูงกว่าน้ำ ลักษณะเช่นนี้เป็นที่มาของพลังงานทางเลือกใหม่ หรือที่เราเรียกกันว่า Hydrogen Fuel เมื่อนำหลักการนี้มาใช้เป็นพลังงานแก่รถยนต์ เราจึงเรียกว่ารถพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาและกำลังคาดหมายว่าจะสามารถมาทดแทนพลังงานจากฟอสซิลได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ในทางตรงกันข้ามหากเราต้องการนำน้ำมาทำให้เกิดไฮโดรเจนและก๊าซออกซิเจน สิ่งที่เราต้องทำคือการใส่พลังงานลงไปในน้ำเพื่อทำให้เกิดปฏิกริยาดังสมการเคมี ซึ่งปฏิกริยาดังกล่าวสามารถทำได้ด้วยกระบวนการ Electrolysis คือการใส่พลังงานไฟฟ้าผ่านขั้วไฟฟ้าทั้งสองลงไปในน้ำ ทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนที่ขั้วลบ และก๊าซออกซิเจนที่ขั้วบวก  จากหลักการที่อธิบายมานี้จะเห็นได้ว่า รถที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนนั้นกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นพลังงานทางเลือกแห่งอนาคต ในทางตรงกันข้ามการให้ได้มาซึ่งพลังงานจากน้ำโดยปฏิกริยาเคมีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะน้ำเป็นสสารที่มีพลังงานสะสมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ ก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซออกซิเจน ดังนั้นรถยนต์ที่วิ่งได้ด้วยพลังงานน้ำล้วนๆ จึงไม่มีอยู่จริง แล้ว “รถใช้น้ำ” ที่โฆษณากันคืออะไร? หลักการของอุปกรณ์เหล่านี้ คือ ติดตั้งตัว Electrolyze โดยนำพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อแยกเอาก๊าซไฮโดรเจนและออกซิเจนออกจากน้ำ แล้วนำเอาก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซออกซิเจนที่ได้เหล่านั้น ใส่เข้าไปในเครื่องยนต์ โดยมักจะอ้างว่าเป็นการทำให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันน้อยลง และเกิดมลภาวะที่น้อยลงด้วย   ข้อเท็จจริง: การนำก๊าซไฮโดรเจนใส่เข้าไปในเครื่องยนต์นี้ ได้รับการศึกษาและรับรองทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า “สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ และทำให้เกิดมลภาวะที่น้อยลงจริง” แต่ประสิทธิภาพก็เพิ่มในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น นอกเหนือจากนี้สิ่งที่ผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้มักไม่พูดถึงคือ กระบวนการ Electrolysis เพื่อแยกก๊าซไฮโดรเจนจากน้ำนั้น เป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานเช่นเดียวกัน โดยพลังงานที่ว่านี้ก็มาจากแบตเตอรี่ ซึ่งมาไล่เรียงกันดีๆ แล้ว จะเห็นว่าพลังงานแบตเตอรี่ก็มาจากการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ ก็คือพลังงานน้ำมันนั้นเอง  และเมื่อพิจารณาตามกฎทางเทอร์โมไดนามิกแล้ว ในทุกกระบวนการนั้นจะต้องเกิดการสูญเสียพลังงานทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การนำพลังงานทางกลที่ได้จากน้ำมัน ไปปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วนำพลังงานไฟฟ้าไปแยกไฮโดรเจน แล้วนำกลับมาเผาไหม้ใหม่ จึงเป็นกระบวนการที่ไม่คุ้มอย่างยิ่ง โดยสรุปจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อุปกรณ์พวกนี้จะสามารถช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้ ที่ต่างประเทศก็มีการขายผลิตภัณฑ์เช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ณ ปัจจุบัน ไม่มีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ใดๆ ที่ได้รับการรับรองและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จาก United States Environmental Protection Agency นั้นหมายความถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ในต่างประเทศก็อาจจะเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคเช่นกัน ผลิตภัณฑ์พวกนี้โดยส่วนมาก มักจะมีการอ้างถึงผลการทดสอบการประหยัดน้ำมัน และการปล่อยมลภาวะ ซึ่งค่าที่เกิดจากการทดสอบเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นได้จากลักษณะการขับขี่ หรือการปรับค่าของหัวฉีดและ Engine Control Unit (ECU) ต่างๆ สรุปโดยรวมแล้ว การใช้ก๊าซไฮโดรเจนที่เกิดจากการใช้กระบวนการ Electrolysis แยกออกมาจากน้ำนั้น ไม่ได้ช่วยให้ผู้ใช้รถที่ติดตั้งอุปกรณ์สามารถประหยัดน้ำมันได้จริง ขณะที่เรากำลังรอการมาของเทคโนโลยีรถที่ใช้ Hydrogen fuel cell การดูแลเช็คสภาพรถยนต์ ให้อยู่ในสภาพดี ตรวจสอบลมยางและไส้กรองอยู่เสมอ ไม่บรรทุกของเกินความจำเป็น รวมถึงขับรถไม่เร็วเกินไปนัก หรือถ้าเป็นไปได้ก็หลีกเลี่ยงการใช้รถเมื่อไม่จำเป็น น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการประหยัดน้ำมันในยุคน้ำมันราคาแพงนี้ครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 114 ที่นอนแบบไหน เหมาะกับตัวเรา

ช่วงฉลาดช้อปดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค  ที่นอนแบบไหน เหมาะกับตัวเรามีคำถามจากเพื่อนสมาชิกเข้ามาว่า จะเลือกซื้อที่นอนประเภทไหนถึงจะดีที่สุด ช่วง ฉลาด ช้อป มีคำตอบให้ดังนี้ครับ เนื่องจากที่นอนที่ขายอยู่ในตลาดปัจจุบันนั้น มีความหลากหลายมาก และแตกต่างกันมาก ทั้งในด้านราคาและคุณภาพ ซึ่งในการเลือกซื้อ เราควรจะต้องเลือกที่นอนที่ทำให้เรามีความสบายที่สุดในเวลาที่เรานอน ซึ่งแต่ละคนนั้นก็จะแตกต่างกันไปไม่ว่า จะป็น อายุ เพศ สภาพร่างกายและน้ำหนัก  การเลือกซื้อที่นอนจึงเป็นเรื่องส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อที่นอนสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ เราจะต้องทดลองนอนก่อน โดยที่เราจะต้องมีการเตรียมการและวางแผนนานพอสมควร(ซึ่งเป็นนิสัยของคนเยอรมันนะครับ ที่ก่อนจะทำอะไรไม่ว่าเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ก็ต้องมีการวางแผน ซึ่งบางครั้งมันก็น่าเบื่อครับ สู้ปล่อยให้เป็นเรื่องของดวงไม่ได้ น่าตื่นเต้นกว่า) เพื่อให้ได้ที่นอนที่เหมาะกับเราที่สุด อย่าลืมว่า ที่นอนที่เราซื้อมานั้น เราจะใช้งานนานเป็นสิบๆ ปี และต้องใช้ทุกวัน เพราะฉะนั้นควรให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อให้มากที่สุด การมีที่นอนที่ดี ก็เหมือนกับมีชีวิตที่ดี  สำหรับคนที่มีปัญหา ปวดเมื่อย ก็ลองหันไปเปลี่ยนที่นอนดู อาจจะช่วยได้ครับ ในช่วงอายุของคนเรานั้น ความต้องการเรื่องที่นอนก็จะต่างกันไปตามวัย สภาพและขนาดของร่างกาย เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อ ก็ต้องคำนึงถึงอายุ สภาพและขนาด ของร่างกายของเราด้วย มาเริ่มด้วยที่นอนสำหรับเด็กเล็ก ในกรณีที่นอนของเด็กเล็ก ควรเลือกซื้อที่นอนของเด็กเล็กโดยเฉพาะ เพราะถ้าที่นอนไม่เหมาะสมกับเด็กแล้วจะส่งผลให้พัฒนาการทางร่างกายของเด็กผิดปกติได้ ไม่ว่าจะเป็น ศีรษะ กระดูกสันหลัง อาจส่งผลให้เด็กมีอาการปวดหลังได้ ที่นอนสำหรับเด็กควรจะยืดหยุ่น แต่มีความแข็งแรง เนื่องจากกระดูกสันหลังของเด็กเล็กยังไม่ได้พัฒนาเป็นรุปตัว S เหมือนผู้ใหญ่ หากที่นอนไม่ยืดหยุ่นพอ ก็ทำให้ไม่สามารถรับแรงกดบริเวณกระดูกสันหลังของเด็กได้ทำให้เกิดปัญหากระดูกสันหลังตามมา  ในการเลือกซื้อที่นอนของเด็ก ก็ให้ดูว่าเมื่อวางตัวเด็กลงบนที่นอนแล้ว ที่นอนไม่ควรยุบตัวลงเกิน กว่า 2- 3 เซนติเมตร นอกจากนี้ควรเลือกที่นอนที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ปลอดจากสารเคมี เช่น ที่นอนเส้นใยมะพร้าว ที่นอนจากขนม้า แต่ข้อเสียของที่นอนประเภทนี้ คือ การดูแลรักษาที่ยุ่งยาก เพราะต้องหมั่นพลิกกลับที่นอนเป็นประจำ  เพื่อให้ที่นอนคงคุณภาพไว้ได้นานๆ   ที่นอนสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ต้องการที่นอนแบบพิเศษ ที่ไม่ทำให้ร่างกายเกิดอาการผื่นคันหรือระคายเคืองตาและมีน้ำมูกไหล เพราะอาการภูมิแพ้  สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็นที่นอนที่ไม่ได้เป็นแหล่งหลบซ่อนของไรฝุ่น (Acarodermatitis) เนื่องจากที่นอนที่มีความชื้น สัตว์ประแภทนี้ชอบหลบอาศัยอยู่ และหากเป็นที่นอนประเภทเส้นใยธรรมชาติ ก็จะเป็นแหล่งอาศัยของไรฝุ่นป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นหากต้องการหลีกเลี่ยงไรฝุ่น ควรเลือกที่นอนที่ทำจากยางพารา เพราะสามารถระบายความชื้นออกจากที่นอนได้ดี   ที่นอนจากยางพารา โดยทั่วไปแล้วที่นอนที่ทำจากยางพารา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยางสังเคราะห์ (synthetic latex) และยางธรรมชาติ (natural latex) ที่นอนจากยางธรรมชาติ จะมีความยืดหยุ่นสูงกว่ายางสังเคราะห์  ส่งผลให้อายุการใช้งานนานกว่า ที่นอนรักษารูปทรงดีกว่า ที่นอนที่ทำจากยางสังเคราะห์ เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อควรพิจารณาดูด้วยว่าที่นอนจากยางพารานั้น เป็นยางธรรมชาติ  100 % หรือ มียางสังเคราะห์ผสมอยู่ ถ้าปริมาณของยางสังเคราะห์ผสมอยู่มากคุณภาพก็จะลดลง แต่ผู้บริโภคต้องพึงระวังด้วยว่า บางครั้งผู้ขายอาจโฆษณาว่าเป็นที่นอนทำจากยางพารา แต่ตามกฎหมายของยุโรป หากมียางสังเคราะห์ผสมอยู่ไม่เกิน 20 % ก็สามารถเรียกผลิตภัณฑ์ได้ว่าเป็น ที่นอนจากยางธรรมชาติ ข้อดีของที่นอนจากยางพาราคือ ไม่ดูดซึมความชื้น ระบายอากาศดี ทำให้หลับสบาย และเนื่องจากมีความยืดหยุ่นดีทำให้  ปรับรูปทรงให้เข้ากับร่างกายขณะนอน และรับน้ำหนักได้ดี นอกจากนี้การดูแลรักษาก็ง่ายและสะดวก ในการดูแลรักษาควรพลิกกลับที่นอนเป็นระยะๆ  เพื่อช่วยในการระบายความชื้น นอกจากนี้ควรป้องกันไม่ให้แสงแดดส่องโดยตรงบนที่นอน โดยเฉพาะที่นอนที่มีส่วนผสมยางธรรมชาติเพราะจะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพ และเสียรูปทรงเร็วกว่าปกติ  นอกจากนี้ผ้าปูที่นอน ก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าที่นอน ซึ่งเราควรเลือกผ้าปูที่นอนที่ไม่ดูดความชื้นและปลอดสารเคมี นอกจากนี้ควรหมั่นถอดออกมาซักเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งของไรฝุ่น ที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ด้วยนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 112-113 เมื่อน่านฟ้าถูกปิด ผู้บริโภคทำอะไรได้บ้าง ตอนที่ 2

  คราวที่แล้วได้นำเสนอข้อแนะนำในการปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบินในสหภาพยุโรป ไปด้วยกันหลายข้อ ได้แก่ คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเมื่อ เที่ยวบินถูกยกเลิก ล่าช้า หรือถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง, ค่าชดเชยกรณีที่กระเป๋าเดินทางล่าช้า สูญหาย หรือเสียหายได้หรือไม่, ทำการจองรถเช่าไว้แล้ว และวางแผนที่จะไปรับรถที่สนามบินปลายทาง แต่ไม่สามารถไปรับรถได้ (ตามเวลา/ไม่สามารถรับรถได้เลย)…ซึ่งยังไม่หมดนะครับ ยังมีคำแนะนำที่น่าสนใจอีกหลายข้อ ดังนี้ คำแนะนำในการปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบินในสหภาพยุโรป(ต่อ) 5. แล้วถ้าไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เนื่องจากการยกเลิกเที่ยวบิน และบริการเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจท่องเที่ยว• รายงานปัญหาต่อบริษัทเรือ/รถไฟ/รถประจำทางทันที และควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร• รวบรวมเอกสารประกอบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมถึงไม่สามารถไปยังจุดหมายปลายทางตามที่วางแผนไว้ได้• ถ้าได้จ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว ผู้โดยสารอาจจะขอเงินคืนได้ โดยอ้างสถานการณ์ที่ไม่ปกติ อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญานั้น• ถ้าไม่ได้จ่ายเงินล่วงหน้า แจ้งยกเลิกการเดินทางโดยเรือ/รถไฟ/รถประจำทาง เป็นลายลักษณ์อักษร โดยอ้างถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (การปิดน่านฟ้า) อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญานั้น• ตรวจสอบว่ากรมธรรม์ประกันภัยครอบคลุมสถานการณ์นี้หรือไม่ ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสัญญาที่แยกกัน หรือไม่ใช่แพ็คเกจท่องเที่ยว ไม่มีกฎของสหภาพยุโรปที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกในสถานการณ์เหล่านี้ ดังนั้น ผลทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้ ภายใต้กฎของสหภาพยุโรป ผู้โดยสารไม่มีสิทธิได้รับเงินคืนจากบริษัทสายการบิน 6. แล้วถ้าไม่สามารถต่อเที่ยวบินได้เนื่องจากการปิดน่านฟ้า (ก) ในกรณีที่เป็นเที่ยวบินทรานสิท (ข) ในกรณีที่บัตรโดยสารสองใบซื้อแยกกัน ก) ดูข้อ 7 กรณีแพ็คเกจท่องเที่ยวข) ผู้โดยสารมี• สิทธิที่จะได้รับข้อมูลจากสายการบิน (เช่น สายการบินต้องให้ข้อมูลเรื่องสิทธิในฐานะผู้โดยสาร และต้องแจ้งสถานการณ์ให้ผู้โดยสารรับทราบกรณีมีการเปลี่ยนแปลง)• สิทธิที่จะเลือกระหว่างการขอเงินค่าบัตรโดยสารคืนหรือการเปลี่ยนเส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางของผู้โดยสาร• สิทธิที่จะได้รับการดูแลตามที่อธิบายไว้ในข้อ 1 ถ้าทางเลือกของผู้โดยสารคือการเปลี่ยนเส้นทางใหม่ และการยกเลิกเที่ยวบินทรานสิทเกิดขึ้นหลังจากที่ออกจากสถานที่พักอาศัยแล้ว 7. ในกรณีที่จองแพ็คเกจท่องเที่ยวไว้ แล้วเที่ยวบินถูกยกเลิกไม่สามารถเดินทางได้เพราะน่านฟ้าปิด สามารถเรียกร้องเงินที่จ่ายไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนสำหรับแพ็คเกจท่องเที่ยวได้หรือไม่(ตัวอย่างของแพ็คเกจท่องเที่ยวคือสิ่งที่ผู้โดยสารเลือกจากโบรชัวร์ของบริษัทท่องเที่ยว ซึ่งรวมเที่ยวบินและการพักโรงแรมไว้ด้วย การท่องเที่ยวของผู้โดยสารจะไม่ถือว่าเป็นแพ็คเกจท่องเที่ยวถ้าผู้โดยสารจองบริการต่างๆ แยกจากกัน ถ้าผู้โดยสารยังไม่เริ่มต้นเดินทางผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลจากสายการบินหรือจากบริษัทท่องเที่ยว ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวนที่จ่ายไป (รวมถึงค่าโดยสารและค่าโรงแรม) หรือผู้บริโภคอาจจะรับแพ็คเกจทดแทน ถ้าได้รับการยื่นข้อเสนอจากผู้จัด ผู้โดยสารไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยอื่น นอกจากการเรียกร้องเงินคืน ถ้าแพ็คเกจท่องเที่ยวถูกยกเลิกเนื่องจากสถานการณ์ไม่ปกติ (“เหตุสุดวิสัย”) ซึ่งกรณีเถ้าภูเขาไฟระเบิดปกคลุมน่านฟ้า จะถูกพิจารณาเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ ทำให้ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยอื่นเพิ่มเติม  ถ้าผู้โดยสารอยู่ที่จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทนำเที่ยว (หรือตัวแทนท่องเที่ยว) ตัวอย่างเช่น ข้อมูลสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง การยกเลิกและระยะเวลาที่ล่าช้า เครื่องดื่ม อาหารและอุปกรณ์ในการสื่อสาร ผู้จัด (หรือตัวแทนท่องเที่ยว) ยังต้องจัดหาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมโดยไม่ให้ผู้โดยสารจ่ายค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น สำหรับความต่อเนื่องของแพ็คเกจ รวมถึงการปรับเปลี่ยนการเดินทาง เช่น เที่ยวบินสองสามวันหลังจากนั้น และที่พักในโรงแรม  (คำแนะนำ ผู้โดยสารควรจะเก็บใบเสร็จรับเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เนื่องจากการถูกระงับเที่ยวบิน) 8. กรณีจองบ้านพักตากอากาศ/โรงแรม/เรือ แยกจากกัน ถ้าเครื่องบินไม่สามารถออกเดินทางได้เนื่องจากการปิดน่านฟ้า ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจองคืนหรือไม่• รายงานปัญหาต่อเจ้าของบ้านพัก/โรงแรม/บริษัททันที และควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร• รวบรวมเอกสารประกอบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมไม่สามารถไปยังสนามบินปลายทางตามที่วางแผนไว้ได้• ถ้าผู้โดยสารได้จ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว อาจจะขอเงินคืนได้ โดยอ้างสถานการณ์ที่ไม่ปกติ อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญานั้น• ถ้าผู้โดยสารไม่ได้จ่ายเงินล่วงหน้า แจ้งยกเลิกการเช่าพัก เป็นลายลักษณ์อักษร โดยอ้างถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (การปิดน่านฟ้า) อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญานั้น (คำแนะนำ ผู้โดยสารควรจะเก็บใบเสร็จรับเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เนื่องจากการถูกระงับเที่ยวบิน) ถ้าทำสัญญาแยกกัน หรือไม่ใช่แพ็คเกจท่องเที่ยว ไม่มีกฎของสหภาพยุโรปข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกในลักษณะนี้ ดังนั้น ผลทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับสัญญาที่เกี่ยวข้องและกฎหมายที่บังคับใช้ ภายใต้กฎของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับสิทธิของผู้โดยสารทางอากาศผู้โดยสารไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยจากบริษัทสายการบิน การ ทำงานขององค์การอิสระผู้บริโภคของยุโรป เป็นการกระทำที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคสากลแบบไม่จำกัดเรื่องเชื้อชาติ และสีทางการเมืองของผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากการปิดน่านฟ้า และจริงๆ แล้วคณะกรรมมาธิการยุโรปได้มีนโยบายเฝ้าระวังสายการบินราคาถูกที่มักจะมีปัญหาเรื่องเครื่องบินล่าช้า หรือยกเลิกเที่ยวบินเป็นประจำจนทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อนมาก หวังว่าหากเพื่อนสมาชิกฉลาดซื้อจะได้ประโยชน์จากบทเรียนครั้งนี้บ้าง และถ้ากรมขนส่งทางอากาศ ที่ทำหน้าที่เป็น เรกูเลเตอร์โดยตรง เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินในประเทศไทยในปี 2552 ที่มีจำนวนผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 50 ล้าน คนต่อปี* นำไปปรับใช้กับสายการบินในประเทศไทยเราบ้างก็จะได้รับการสรรเสริญจากผู้โดยสารอีกไม่น้อยเลยทีเดียว * ข้อมูลจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 111 เมื่อน่านฟ้าถูกปิด ผู้บริโภคทำอะไรได้บ้าง ตอนที่ 1

จากเหตุภูเขาไฟอายยาฟยาพลาเยอร์คุดุในไอซ์แลนด์ปะทุขึ้น จนทำให้เกิดกลุ่มหมอกและควันไฟปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนมีผลให้ทางอียูต้องสั่งปิดน่านฟ้า เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งการปิดน่านฟ้าได้สร้างความวุ่นวายใหญ่หลวงให้เกิดขึ้นทั่วทั้งยุโรปต่อนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางทั่วไป แต่แม้จะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ สิทธิของผู้โดยสารทางอากาศของสหภาพยุโรปยังคงใช้ได้อยู่ เป็นที่น่าสังเกตว่า สิทธิของผู้บริโภคนั้น เป็นสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หากคนไทยที่เดินทางไปยุโรปแล้วประสบเคราะห์กรรมจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ สิทธิของผู้บริโภคก็ย่อมได้รับความคุ้มครองเช่นกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนาและความเชื่อ ตลอดจนสีทางการเมือง เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวในทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์การอิสระนั้น จึงถือว่าเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันของการเมืองภาคประชาชน ซึ่งผู้บริโภคควรจะช่วยกันขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง คำแนะนำในการปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบินในสหภาพยุโรป 1. เกิดอะไรขึ้นถ้าเที่ยวบินถูกยกเลิก ล่าช้า หรือถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องถ้าเที่ยวบินของเราถูกยกเลิก หรือล่าช้าเป็นเวลาเกินกว่าห้าชั่วโมง หรือผู้โดยสารได้รับการปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะขอเงินคืนเต็มจำนวนสำหรับบัตรโดยสารที่ไม่ได้ใช้ หรือสามารถยอมรับการเปลี่ยนเส้นทางใหม่ไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายได้ ซึ่งหมายความว่าผู้โดยสารสามารถเลือกได้ระหว่างการขอเงินคืนหรือการเปลี่ยนเส้นทาง ถ้าผู้โดยสารเลือกขอเงินคืน ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะขอเงินคืนเต็มจำนวนค่าบัตรโดยสารที่ได้จ่ายไป(รวมภาษีและค่าใช้จ่ายอื่นๆ) สำหรับการขอเงินคืน ผู้โดยสารควรจะยื่นเรื่องต่อบริษัทสายการบินที่ทำการจองบัตรโดยสารไว้ จำไว้ว่าเมื่อไรที่ผู้โดยสารรับเงินคืนแล้ว สายการบินไม่มีข้อผูกมัดต่อผู้โดยสารในเรื่องการเปลี่ยนเส้นทางใหม่หรือการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ถ้าผู้โดยสารเลือกการเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทสายการเช่นอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์สื่อสาร การขนส่งระหว่างสนามบินและที่พักของผู้โดยสาร และถ้าจำเป็นก็ต้องเปิดห้องพักโรงแรมสำหรับพักค้างคืนให้ โดยขึ้นกับความล่าช้าเกิดขึ้น  2. ผู้โดยสารมีสิทธิในค่าชดเชยอื่นๆ หรือไม่ (นอกเหนือจากที่อธิบายไว้ในข้อ 1) ถ้าเที่ยวบินถูกยกเลิก ล่าช้า หรือถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องภายใต้สถานการณ์พิเศษ เช่น การปิดน่านฟ้า ผู้โดยสารไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย 3. สามารถขอค่าชดเชยกรณีที่กระเป๋าเดินทางล่าช้า สูญหาย หรือเสียหายได้หรือไม่3.1 ควรจะทำอย่างไรถ้ากระเป๋าเดินทางมาถึงล่าช้า“ล่าช้า” หมายความว่ากระเป๋าของผู้โดยสารเดินทางมาถึงภายในเวลา 21 วันนับจากวันที่ผู้โดยสารมาถึงสนามบินปลายทาง ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ (อนุสัญญามอนทรีออล) ผู้โดยสารมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงสุดประมาณ 1,223 ยูโรสำหรับความล่าช้า อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ผู้โดยสารปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ • ขณะที่ยังอยู่ที่สนามบิน ผู้โดยสารควรกรอกแบบฟอร์ม PIR (Passenger Irregularity Report) ที่โต๊ะรับร้องเรียนเรื่องกระเป๋า โดยปกติมักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่รับกระเป๋า ควรให้รายละเอียดเกี่ยวกับกระเป๋าของผู้โดยสารและเก็บสำเนาแบบฟอร์มไว้กับตัวเอง ถ้ากระเป๋าเดินทางมาถึงภายในสามสัปดาห์นับจากเวลาถึงของผู้โดยสาร แสดงว่าเกิดความล่าช้าขึ้น ผู้โดยสารควรจะร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงสายการบินภายใน 21 วัน เพื่อร้องขอค่าชดเชยเรื่องความล่าช้า • เก็บบัตรที่นั่ง (Boarding pass) และป้ายชื่อคล้องกระเป๋าไว้ (baggage tags) • หาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันของบริษัทสายการบินถ้าเป็นไปได้ • ถามรายละเอียดผู้ติดต่อของแผนกกระเป๋าและถามว่ามีระบบติดตามข้อมูลออนไลน์เพื่อให้ตรวจสอบสถานะกระเป๋าหรือไม่ • เก็บใบเสร็จรับเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งหมดที่เกิดจากความล่าช้าของกระเป๋าไว้ภายใต้อนุสัญญามอนทรีออล ผู้โดยสารมีเวลา 21 วัน นับจากวันที่กระเป๋าถูกส่งมาถึง เพื่อยื่นแบบเรียกร้องค่าชดเชยที่เป็นลายลักษณ์อักษร 3.2 ควรจะทำอย่างไรถ้ากระเป๋าเดินทางชำรุดเสียหายขณะที่ยังอยู่ที่สนามบิน ควรกรอกแบบฟอร์ม PIR (Passenger Irregularity Report) ที่ได้จากสายการบิน ระบุความเสียหายที่มีต่อกระเป๋าของผู้โดยสาร ซึ่งหมายความว่าสายการบินจะมีบันทึกการร้องเรียนของผู้โดยสาร ผู้โดยสารควรที่จะเก็บสำเนาไว้ด้วย จากนั้นเขียนจดหมายถึงสายการบินภายใน 7 วัน นับจากวันที่กระเป๋ามาถึง และแนบสำเนาแบบฟอร์ม PIR ไปด้วยเพื่อเรียกร้องค่าชดเชย ภายใต้กฎหมาย ผู้โดยสารมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงถึงประมาณ 1,223 ยูโร สำหรับความเสียหาย 3.3 ควรจะทำอย่างไรถ้ากระเป๋าเดินทางสูญหายไปโดยเกิดจากการกระทำของสายการบินกระเป๋าของผู้โดยสารจะถือว่า “สูญหาย” ถ้าผู้โดยสารไม่ได้รับกระเป๋าเดินทางภายใน 21 วัน หรือถ้าสายการบินแจ้งว่าสูญหาย ขณะที่ยังอยู่ที่สนามบิน ควรกรอกแบบฟอร์ม PIR (Passenger Irregularity Report) ที่ได้จากสายการบิน รายงานถึงกระเป๋าที่ยังไม่มา ซึ่งหมายความว่าสายการบินจะบันทึกการร้องเรียนของผู้โดยสาร ผู้โดยสารควรที่จะเก็บสำเนาไว้ด้วย ถ้ากระเป๋าไม่มาภายใน 21 วัน เขียนจดหมายถึงสายการบินเรียกร้องค่าชดเชย ภายใต้กฎหมายผู้โดยสารมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงถึงประมาณ 1,223 ยูโร สำหรับความสูญเสีย 4.ทำการจองรถเช่าไว้แล้ว และวางแผนที่จะไปรับรถที่สนามบินปลายทาง แต่ไม่สามารถไปรับรถได้ (ตามเวลา/ไม่สามารถรับรถได้เลย) เนื่องจากการปิดน่านฟ้า – จะต้องปฏิบัติอย่างไร • แจ้งบริษัทรถเช่าทันทีที่ทำได้ และควรแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร • รวบรวมเอกสารประกอบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมถึงไม่สามารถไปยังสนามบินปลายทางตามที่วางแผนไว้ได้ • ถ้าได้จ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว ผู้โดยสารอาจจะขอเงินคืนได้ โดยอ้างสถานการณ์ที่ไม่ปกติ อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญานั้น • ถ้าไม่ได้จ่ายเงินล่วงหน้า แจ้งยกเลิกการเช่ารถเป็นลายลักษณ์อักษร โดยอ้างถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (การปิดน่านฟ้า) อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญานั้น • ตรวจสอบว่ากรมธรรม์ประกันภัยครอบคลุมสถานการณ์นี้หรือไม่ กรณีนี้เป็นสัญญาที่แยกกัน หรือไม่ใช่แพ็คเกจท่องเที่ยว ไม่มีกฎของสหภาพยุโรปที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกในสถานการณ์เหล่านี้ ดังนั้นผลทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสัญญาและกฎหมายที่บังคับใช้ ภายใต้กฎของสหภาพยุโรป ผู้โดยสารไม่มีสิทธิได้รับเงินคืนจากบริษัทสายการบิน เนื่องจากเนื้อที่จำกัด ขอนำเสนอส่วนที่เหลือในตอนหน้าครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 110 แอร์ฆ่าเชื้อโรค จำเป็นแค่ไหน

ฟิลเตอร์ที่ติดมากับเครื่องในลักษณะนี้จะไม่สามารถกรองจุลินทรีย์ได้เลย เนื่องจากจุลินทรีย์มีขนาดที่เล็กมากที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและจะหลุดรอดฟิลเตอร์ได้ทั้งหมด ฟิลเตอร์ที่จะกรองจุลินทรีย์ได้นั้นจะต้องเป็นฟิลเตอร์เฉพาะที่เรียกว่า HEPA filter (High Efficient Particulate Absorbing filter) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับไส้กรองอากาศในรถยนต์ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ผมได้รับคำถามจากสื่อมวลชนต่างๆ เกี่ยวกับ “แอร์ฆ่าเชื้อ” หลายครั้ง เนื่องจากเครื่องปรับอากาศหลายยี่ห้อได้เสนอทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคโดยอ้างว่า สามารถฆ่าเชื้อได้ด้วยทั้งแบคทีเรียและไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบาดต่างๆ เช่น SARS หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นต้น แอร์ฆ่าเชื้อมีจริงหรือไม่? ทำงานได้จริงหรือไม่? ทำไมมีโฆษณาแอร์ที่มีระบบฆ่าเชื้อด้วย? เลยถือโอกาสมาบอกเล่าให้ชาว ”ฉลาดซื้อ” ทราบ เชื้อโรคกับฟิลเตอร์“เชื้อ” หรือ “เชื้อโรค” ที่ทุกคนเข้าใจกันเป็นส่วนใหญ่คงจะหมายถึงจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ให้เกิดโรคได้ ที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่แบคทีเรีย ไวรัส รา ยีสต์ เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง จุลินทรีย์นั้นมีอยู่ทั่วไป ทุกที่ทุกเวลาและทุกชนิดที่กล่าวมา ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์ คือไม่ก่อให้เกิดโรค เชื้อที่ก่อโรคจริงๆ ก็สามารถพบได้ด้วยแต่จะมีอยู่น้อยมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกจะพบได้น้อยมากๆ ถ้าถามว่า แอร์ที่ฆ่าเชื้อได้มีจริงหรือ ผมคงต้องตอบว่ามี แต่พวกที่สามารถฆ่าเชื้อหรือกรองเชื้ออย่างละเอียดนั้นจะไม่ได้มีใช้ทั่วไป แต่จะมีใช้เฉพาะแห่งเท่านั้น เช่นในห้องที่ต้องการการปลอดเชื้อปลอดฝุ่นอย่างมาก เช่น ห้องผ่าตัด ห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ห้องวิจัย ห้องทำแผงวงจรต่างๆ เป็นต้น เนื่องจากเครื่องเหล่านี้จะมีราคาแพงมาก บางครั้งเครื่องที่ฆ่าเชื้อหรือดักฝุ่น อาจไม่อยู่รวมกับเครื่องปรับอากาศ แต่จะแยกต่างหากเป็นระบบการกำจัดเชื้อจากอากาศ กลไกในการกำจัดจุลินทรีย์ที่มีในเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศที่นิยมใช้คือ การกรองด้วยฟิลเตอร์ ฟิลเตอร์ที่ใช้นี้จะไม่ใช่ฟิลเตอร์ที่กรองฝุ่นที่ติดมากับเครื่องปรับอากาศ ลักษณะจะเป็นคล้ายฟองน้ำบางๆ มีรูพรุน หากส่องแสงจะเห็นแสงลอดออกมาได้หรืออาจเป็นฟิลเตอร์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นคล้ายมุ้งลวดพลาสติก ฟิลเตอร์ที่ติดมากับเครื่องในลักษณะนี้จะไม่สามารถกรองจุลินทรีย์ได้เลย เนื่องจากจุลินทรีย์มีขนาดที่เล็กมากที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น (เฉลี่ยจะมีขนาดประมาณ 1 ไมครอนหรือ 1/1000 มิลลิเมตร) และจะหลุดรอดฟิลเตอร์ได้ทั้งหมด ฟิลเตอร์ที่จะกรองจุลินทรีย์ได้นั้นจะต้องเป็นฟิลเตอร์เฉพาะที่เรียกว่า HEPA filter (High Efficient Particulate Absorbing filter) มีลักษณะคล้ายกับไส้กรองอากาศในรถยนต์ (แบบที่เป็นใยสีขาว) แต่จะมีจำนวนชั้นเรียงทบกันหนากว่า สามารถกรองอนุภาคฝุ่น แบคทีเรีย รา ซึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ อย่างไรก็ตามฟิลเตอร์ชนิดนี้จะไม่สามารถกรองไวรัสได้(ฟิลเตอร์ที่จะกรองไวรัสได้ต้องมีขนาด 0.1 ไมครอน) HEPA filter นั้นจะมีราคาแพง ในประเทศอเมริกา HEPA filter หนึ่งตารางฟุตหรือ 30 ซม x 30 ซม. หนาประมาณ 2 นิ้ว ราคาประมาณ 3,000 บาท และเช่นเดียวกับฟิลเตอร์ต่างๆ HEPA filter ก็มีอายุการใช้งานด้วย แม้เครื่องปรับอากาศมีระบบกรอง HEPA filter นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ตลอด จะต้องมีการเปลี่ยนด้วย(ไม่สามารถล้างได้) และถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่มีประสิทธิภาพในการดักจับจุลินทรีย์ได้อีกต่อไปอีกวิธีการหนึ่งที่มีการโฆษณาว่าใช้ระบบไอออนเพื่อฆ่าเชื้อรวมทั้งกำจัดกลิ่น หลักการทำงานของระบบไอออนนี้ก็คือจะสลายน้ำเพื่อให้ได้อนุมูลออกซิเจนที่มีประจุลบ (O2-) และอนุมูลไฮดรอกซิล (OH-) ซึ่ง อนุมูลทั้งสองชนิดนี้เป็นอนุมูลอิสระ สามารถทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือพอลิแซ็กคาไรด์ที่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์หรือผิวของแบคทีเรียหรือไวรัสทำให้เกิดการทำลายแบคทีเรียหรือไวรัสได้ อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีรายงานคำยืนยันใดๆ จากนักวิชาการอิสระ(ที่ไม่ใช่ผู้ผลิต) ที่ยืนยันคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นจากการใช้เครื่องปรับอากาศแบบนี้ นอกจากนี้ในทางเดินหายใจของมนุษย์เราก็มีโปรตีนเช่นเดียวกัน จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันต่อไปอีกว่า จะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคนด้วยหรือไม่ (Bolashikov & Melikov, Building and Environment 44(2009), 1378-1385) แอร์ไม่ได้มีไว้ฟอกอากาศผู้บริโภคจำเป็นต้องเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งคือ ในทุกที่บนโลกจะมีจุลินทรีย์อยู่แล้ว ในดิน ในน้ำ ในอากาศ มากน้อยต่างกันไป พบได้ทั้งในบ้าน ในห้องทำงาน ห้องประชุม ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องเลี้ยงเด็กเล็ก จุลินทรีย์ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ไม่ก่อโรค ดังนั้น แม้ว่าจะมีแอร์หรือเครื่องฟอกอากาศจะสามารถทำงานได้จริงตามที่กล่าวอ้างก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะเมื่อเปิดประตูห้องออกไป เราก็จะเจอกับจุลินทรีย์สารพัดชนิด และที่สำคัญ เมื่อเราเปิดประตูห้อง จุลินทรีย์จากภายนอกก็จะปะปนเข้ามาในห้องได้ใหม่ และถ้าเป็นห้องที่เปิดเข้าออกบ่อยครั้ง แอร์ฆ่าเชื้อยิ่งไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีวันฆ่าจุลินทรีย์ได้หมดนั่นเอง และต่อให้ในห้องมีแอร์ฆ่าเชื้อโรคได้ หากคนที่นั่งข้างๆ หรือคนในห้องเป็นหวัด 2009 เราก็คงมีโอกาสติดได้มากเช่นเดียวกัน ดังนั้นในการเลือกซื้อแอร์ สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือประโยชน์ที่สำคัญของแอร์นั่นเอง คือเป็นเครื่องทำความเย็นให้แก่ห้อง การเลือกซื้อ จึงควรให้ความสนใจในเรื่องของความสามารถในการทำความเย็น อัตราการใช้ไฟ (ควรเป็นเบอร์ 5) หรือความเงียบในการทำงานมากกว่า ส่วนเรื่องของการฆ่าเชื้อ น่าจะเป็นเรื่องรอง ซึ่งเป็นเรื่องการเพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดของผู้ผลิต และจะทำให้เครื่องมีราคาแพงมากขึ้นโดยได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า แต่ถ้าผู้บริโภคยังยืนยันที่จะต้องการการฆ่าเชื้อในอากาศ เครื่องฟอกอากาศน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 GT200 กับการคุ้มครองผู้บริโภค

นับตั้งแต่ที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเครื่องมือตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ให้สังคมไทยรับทราบทั่วกันว่า เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ที่จัดซื้อกันมาใช้ในหลายหน่วยราชการ ด้วยราคาแสนแพงนี้ ไม่น่าทำงานจริงได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในทุกระดับ มีทั้งผู้ที่เชื่อถือว่าเครื่องนี้จะทำงานได้ และมีผู้ที่เชื่อว่าเครื่องมือนี้ไม่สามารถทำงานได้ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์) จนกระทั่งท้ายสุดรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบ และผลการทดสอบก็เป็นที่ทราบกันอย่างชัดเจนแล้วว่า จากการตรวจ 20 ครั้ง ถูกต้องเพียง 4 ครั้งเท่านั้น หรือคิดเป็นโอกาสถูกเพียง 20% หรือเท่ากับการเดาสุ่ม ซึ่งน้อยกว่าการเดาสุ่มอีกแบบที่บอกเพียงแค่ว่า “มีหรือไม่มี” เสียอีก (ซึ่งโอกาสถูกยังมีมากถึง 50%) ซึ่งหมายความว่าเครื่องมือที่ตรวจสอบนี้ไม่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับราคาที่แพงเป็นแสนเป็นล้านบาท น่าแปลกใจว่า บรรดาหน่วยงานทั้งหลายกลับมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือที่มีอยู่นี้ต่อไป พร้อมทั้งมีการชี้แจงเป็นระยะว่า ผู้ใช้ตัวจริงจากพื้นที่จริงยืนยันว่าใช้ได้ แม้ว่าการตรวจสอบจะให้ผลในทางตรงข้ามก็ตาม.... สังคมไทยที่ยังเป็นสังคมประเภทที่อาศัยความเชื่อมากกว่าความจริง เช่นเชื่อว่าวัวห้าขาจะสามารถใบ้หวยได้หรือการขูดหาเลขท้ายสองตัวสามตัวจากต้นไม้ประหลาดหน้าตาคล้ายมังกร ความเชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมีคนที่บังเอิญถูกเลขท้ายเพียงแค่คนหรือสองคนจากคนที่ขูดหาเป็นร้อยเป็นพันคน แล้วมีคนเพียงไม่กี่คนที่ถูกหวย ก็โพนทะนาว่ามันแม่นมาก ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก คนอื่นๆ ที่ขูดแล้วได้เลขที่ไม่ถูกต้องก็พาลพาด่าทอตัวเองว่า เราดันไม่ไปขูดตรงที่เค้าขูดเอง หรือขูดไม่ถูกวิธี หรือขูดโดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่สมควรเช่นมีดหรือส้อมเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครทั้งสิ้น นอกจากวัวหรือต้นไม้ที่จะถูกรบกวนโดยความไม่รู้ของผู้คน แต่สำหรับความเชื่อในเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดนี้ หากเชื่อว่าเครื่องทำงานได้ แต่พอถึงเวลาใช้งานเครื่องทำงานไม่ได้หรือทำงานผิดพลาด นั่นอาจหมายถึงชีวิตของทั้งผู้ที่ตรวจหาหรือประชาชนที่จะต้องรับเคราะห์กรรม ดังนั้น เรื่องราวประเภทนี้จึงควรใช้ความจริงเป็นสิ่งตัดสินใจมากกว่าความเชื่อ ผมเชื่อว่าบรรดานักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานต่างๆ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ดำเนินการคัดเลือกกรรมการเพื่อตรวจสอบเครื่อง GT200 ซึ่งคงเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีการออกแบบการทดลองใช้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ถ้าผมได้ร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย ผมคงจะขอเสนอให้ผู้ที่เชี่ยวชาญชำนาญใช้งานเครื่องนี้มาเป็นผู้ทดสอบด้วยตนเอง ขอเชิญผู้ที่ชำนาญมากที่สุด อยู่ในสภาวะที่ท่านคิดว่าพร้อมที่สุด แล้วเชิญท่านมาทดสอบใช้เครื่อง เพื่อให้เห็นชัดกันไปจริงๆ ว่า มันใช้ได้หรือไม่ได้โดยตัวท่านเอง หรือแม้การพิสูจน์จะผ่านไปแล้ว กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ก็ควรเปิดโอกาสให้ทุกท่านที่ใช้งานเครื่องนี้จริง จากพื้นที่จริงและมีข้อสงสัยในประสิทธิภาพได้มาทดสอบด้วยตนเอง ซึ่งน่าจะบรรเทาความคลางแคลงใจในประสิทธิภาพลงไปได้อีกระดับหนึ่ง การจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นในหลายรัฐบาล หลายผู้นำ จำนวนเครื่องมากน้อยต่างๆ กันไป แล้วแต่ความต้องการของหน่วยงานที่ใช้ และเมื่อมีประเด็นในด้านประสิทธิภาพของเครื่องมือกับราคาที่แพงมาก ก็คงมีคำถามจากสังคมมากมายในทำนองว่า มีการคอรัปชันหรือไม่ ใต้โต๊ะบนโต๊ะหรือไม่ หรือเราโดนหลอกหรือไม่ การตอบคำถามเพื่อแก้ประเด็นเหล่านี้กลับไปอยู่ที่ความพยายามบอกว่าเครื่องทำงานได้มีประสิทธิภาพดี เหตุเกิดเพียงเพราะนักวิชาการชอบมากวนน้ำให้ขุ่น แต่ไม่ได้เคยมีความพยายามที่จะพิสูจน์ให้ทราบว่าการจัดซื้อโปร่งใสหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเราอาจถูกหลอกให้ซื้อเครื่องเหล่านี้จริงๆ เพราะการยอมรับในข้อสงสัยเรื่องการจัดซื้อย่อมเท่ากับยอมรับว่าอาจมีการทุจริตในองค์กร และการยอมรับเรื่องถูกหลอกขายของ ก็จะทำความเสียหาย เสียหน้า เสียชื่อเสียงขององค์กรนั่นเอง หากผมเป็นหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีเครื่องมือเหล่านี้อยู่ในครอบครอง ทันทีที่นายกฯ ได้แถลงผลการทดสอบจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ อย่างเป็นทางการว่าเครื่องมือไม่มีประสิทธิภาพและขอให้ระงับการใช้งาน สิ่งแรกที่ผมจะทำคือฟ้องร้องบริษัทที่ขายเครื่องมือดังกล่าวต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภค หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทันที ผมเห็นว่าการถูกหลอกขายของยังไม่น่าจะอับอายเท่ากับการทรยศคดโกงชาติด้วยการคอรัปชัน หน่วยงานราชการทั้งหลายที่จัดซื้อถือว่าเป็นผู้บริโภคโดยตรงได้ซื้อเครื่องมือเหล่านี้มาใช้หลายเครื่อง แต่พิสูจน์และปรากฎชัดแล้วว่าเครื่องมือเหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพจริงตามที่กล่าวอ้าง ถือเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน ถ้าร้องเรียนต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภค ศาลจะพิจารณาอย่างรวดเร็ว ในกรณีที่ผู้บริโภค (ในที่นี้ผู้ชื้อคือหน่วยงานของรัฐ) เมื่อประเด็นข้อพิพาทข้อใดจำเป็นต้องพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการผลิต การประกอบ การออกแบบหรือส่วนผสมของสินค้า การให้บริการหรือการดำเนินการใดๆ ซึ่งศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของคู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้ภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจนั้น ผลการพิจารณาตัดสินก็จะชี้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าใครเป็นคนผิดดังนั้นหากหน่วยงานของรัฐจัดซื้อไปเนื่องจากเชื่อในคำโฆษณากล่าวอ้าง แล้วได้สินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพจริง จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรที่จะรีบดำเนินการฟ้องศาลเป็นคดีผู้บริโภค หากผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ขายเชื่อมั่นว่าเครื่องมือของตนสามารถทำงานได้ตามที่กล่าวอ้างจริง ก็หาหลักฐานมายืนยันพิสูจน์ให้ศาลท่านเห็นได้เลยครับ อย่าใช้วิธีปิดบริษัทหนีไปเสียก่อน ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าท่านมาหลอกขาย และเมื่อศาลตัดสินหรือมีความเห็นเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว หน่วยงานของรัฐก็ควรรีบดำเนินการฟ้องร้องศาลอื่นๆ ต่อไป เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเงินภาษีของพวกเรากลับคืนมา ซึ่งควรที่จะรวมไปถึงค่าเสียหายของบรรดาทหาร ตำรวจ รวมทั้งบุคลากรของรัฐที่ต้องเสี่ยงภัยใช้เครื่องมือไม่มีประสิทธิภาพนี้ไปด้วยครับ แน่นอนครับ ผมเชื่อว่า อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ยากที่จะไปดึงเอาออกมาได้ เช่นเดียวกัน เงินที่เราได้จ่ายไปแล้วสำหรับเครื่องมือประเภท “ไม้ล้างป่าช้า” คงจะไม่มีวันที่ตามคืนกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ผมอยากที่จะให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นบทเรียนแก่ประเทศไทย แก่หน่วยงานของรัฐทั้งหลายที่จะต้องดำเนินการจัดซื้อเครื่องมือพิเศษทันสมัยล้ำยุคอื่นๆ ได้ควรได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนถ่องแท้ และในกรณีที่มีข้อข้องใจสงสัย ในประเทศไทยมีองค์กรของรัฐและเอกชนที่มีเทคโนโลยีทัดเทียมหรือล้ำหน้าอารยประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมเชื่อว่าหลายองค์กรเหล่านี้พร้อมที่จะให้ความเห็นในเชิงวิชาการอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีอคติความเชื่อและผลประโยชน์แอบแฝง เพื่อที่คนไทยจะได้ไม่เสีย “ค่าโง่” กันอีกต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 นาโนเทคโนโลยี : โอกาสหรือความเสี่ยง (ตอน 2)

เนื่องจากภาคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และผู้บริโภคเชื่อว่าการใช้งานวัสดุนาโนจะนำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามว่าผลิตภัณฑ์นาโนใหม่ๆ เหล่านี้จะนำความเสี่ยงที่ยังไม่รู้มาสู่มนุษย์หรือไม่ อนุภาคนาโนบางชนิดที่ปรากฎอยู่ในรูปแบบที่ไม่เกาะเกี่ยวกัน (unbound form) อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพบางประการได้… ทำไมถึงมีการใช้วัสดุนาโนในเครื่องสำอาง ?อนุภาคนาโน เช่น ไททาเนียมไดอ๊อกไซด์และซิงค์อ๊อกไซด์ ถูกนำใช้งานอย่างกว้างขวางในการป้องกันแสงยูวีในผลิตภัณฑ์กันแดด อนุภาคนาโนเหล่านี้ให้ผลในด้านการปกป้องผิวหนังจากรังสียูวีในระดับสูง  วัสดุที่ผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี (หรือที่เรียกว่า โครงสร้างทางชีวภาพ) ส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมฟันตามธรรมชาติของน้ำลาย ในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ แคปซูลนาโนสามารถป้องกันและขนส่งสารที่ออกฤทธิ์และเพิ่มประสิทธิภาพของพวกมัน ฟูลเลอร์รีน (โมเลกุลที่สร้างจากอนุภาคคาร์บอนที่มีรูปทรงเหมือนลูกฟุตบอล) ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางชนิดแรกๆ เพื่อจุดประสงค์นี้ การวิจัยเพื่อพัฒนาสมบัติทางกายภาพ (เช่น การโปร่งใส) ของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไปเพื่อหาความรู้ และข้อมูลเพิ่มเติมจากปัจจุบัน วัสดุนาโนถูกนำใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารหรือไม่ ?มีรายงานว่าวัสดุนาโนถูกนำมาใช้เป็นส่วนเสริมหรือวัตถุเจือปนในอาหาร ยกตัวอย่างเช่น กรดซิลิซิกและสารประกอบที่มีซิลิกอนอื่นๆ ถูกนำมาใช้เป็นสารตัวกรองหรือสารทำให้ข้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผลึกโซเดียมคลอไรด์และอาหารที่มีแป้งเป็นหลักเกิดการติดกันเป็นก้อน และทำให้ซอสมะเขือเทศไหลได้ง่ายยิ่งขึ้น กรดซิลิซิกยังถูกนำใช้เป็นสารจับอนุภาคเพื่อให้ตกตะกอนในไวน์และผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ สำหรับประเด็นในเรื่องความเสี่ยงต่อสุขภาพยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า ควรจะให้เลิกใช้หรือให้มีอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารต่อไป วัสดุนาโนถูกนำใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อจุดประสงค์เฉพาะด้วย มีรายงานการใช้ซิลิกอนไดอ๊อกไซด์ คอลโลดัลซิลเวอร์ แคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยมในรูปอนุภาคนาโน ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าวัสดุเหล่านี้ปรากฎอยู่ในอาหารในรูปอนุภาคนาโนหรือในรูปรวม ปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมอาหารกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาอาหารเสริมพิเศษที่ประกอบไปด้วยวิตามิน กรดไขมันโอเมก้า 3 ไฟโตสเตอรอล และกลิ่น เพื่อบรรจุในแคปซูลนาโน วัสดุนาโนถูกนำใช้ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคหรือไม่วัสดุนาโนถูกนำมาใช้งานหลากหลายรูปแบบในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ยกตัวอย่างเช่น วัสดุนาโนในบรรจุภัณฑ์อาหาร สิ่งทอ อุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุเคลือบเงาและสี นอกจากนี้ยังใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับการปกปิดพื้นผิวและทำความสะอาดเช่นเดียวกับสารขัดเงาอีกด้วย อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กำลังสนใจการใช้งานอนุภาคนาโนซึ่งเกาะติดกันเหมือนเป็นตัวกรองในพลาสติกและชั้นเคลือบเงา และใช้เป็นตัวเคลือบบนผิวหน้าโพลีเมอร์ (ฟิล์มและภาชนะ) ในบรรจุภัณฑ์อาหาร อนุภาคนาโนป้องกันก๊าซ ไม่ให้เข้าไปในบรรจุภัณฑ์และป้องกันไม่ให้ความชื้นระเหยออกมา การใช้อนุภาคนาโนสามารถปรับปรุงสมบัติด้านกลศาสตร์และความร้อนของบรรจุภัณฑ์อาหารและปกป้องอาหารจากแสงยูวี  ในอนาคตนาโนเทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาวัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารซึ่งสามารถระบุได้ว่าขั้นตอนการแช่เย็นต่อเนื่องหรือไม่ หรือว่าเลยวันหมดอายุมาแล้ว ในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ เส้นใยชนิดพิเศษถูกพัฒนาขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าที่กันความร้อน หรือพื้นผิวเส้นใยสิ่งทอที่ทำความสะอาดตัวเองได้ ในอนาคตสิ่งทอจะมีสมบัติใหม่ๆ และสามารถป้องกันรังสียูวีหรือทำตัวเสมือนตัวกันน้ำโดยการผลิตสารเคลือบโพลีเมอร์ที่มีโครงสร้างนาโนบนพื้นผิวของสิ่งทออีกด้วย  อนุภาคนาโนซิลเวอร์ที่ต่อต้านจุลชีพมีการใช้งานแล้วในถุงเท้า ด้านในรองเท้า และสิ่งทอที่ใช้ผลิตเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม การใช้ผลิตภัณฑ์นาโนมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่ ?ในการที่จะประเมินว่าผลิตภัณฑ์นาโนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือว่าวัสดุนาโนที่ใช้เกาะติดกันเป็นเมตริกซ์หรือเป็นวัสดุนาโน ปรากฎในรูปที่ไม่เกาะกัน อนุภาคนาโนที่เป็นอิสระ หลอดนาโนและเส้นใยนาโนสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ เนื่องจากขนาดที่เล็ก รูปทรงที่เล็ก สามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายและเกิดปฏิกิริยาได้ดีกว่า อนุภาคนาโนที่ไม่เกาะติดกันสามารถเข้าถึงกลไกของมนุษย์ผ่านสามช่องทางและทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นพิษภายใต้สถานการณ์บางอย่าง ได้แก่ ทางการหายใจ ทางผิวหนังและจากการรับประทาน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดเกิดจากการสูดดมอนุภาคนาโน  การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดลบล้างความเป็นไปได้ที่อนุภาคนาโนจะแทรกซึมเข้าทางผิวหนังของมนุษย์ เรายังไม่รู้แน่ชัดว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับการได้รับอนุภาคทางการรับประทานหรือไม่ จนถึงขณะนี้ ผลิตภัณฑ์นาโนส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยอนุภาคนาโนที่พัวพันกับเมตริกซ์ที่แข็งแรงหรือสารละลายของเหลว ยิ่งไปกว่านั้น อนุภาคนาโนมีแนวโน้มที่จะเกาะกลุ่มเป็นสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งมักจะใหญ่กว่า 100 นาโนเมตร ผลกระทบที่เป็นพิษของอนุภาคนาโนยังไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัด แต่ตามกฎแล้ว ผู้ผลิตถูกกำหนดให้รับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาปลอดภัย หมายเหตุ : ล่าสุดมีประเด็นในเรื่องความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้วัสดุนาโน (Nano particle ) โคบอลท์โครเมียม( CoCr- Particle ) ที่เป็นส่วนผสมของยารักษาโรค โดยโคบอลท์โครเมียม( CoCr- Particle ) จะไปทำลาย DNA ในเซลล์ของมนุษย์ โดยที่ เซลล์ยังไม่ตาย จากผลการทดลองนี้ นักวิจัย ได้ตั้งข้อเสนอเพื่อให้มีการประเมินความเสี่ยงในด้านสุขภาพของการใช้ผลิตภัณฑ์นาโน แบบใหม่ที่ต้องคำนึงถึง ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ วัสดุนาโน2 มีการตรวจสอบความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการใช้วัสดุนาโนในสินค้าอุปโภคบริโภคแล้วหรือยัง มีการศึกษาหลายชิ้นเกี่ยวกับการใช้อนุภาคนาโนในเครื่องสำอาง ยกตัวอย่างเช่น มีการวิจัยมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมของอนุภาคนาโนที่เกิดจากไทเทเนียมไดอ๊อกไซด์และซิงค์อ๊อกไซด์บนผิวหนัง การทดลองหลายชิ้นยืนยันว่าอนุภาคนาโนเหล่านี้ไม่แทรกซึมสู่เซลล์ผิวหนังของมนุษย์ที่แข็งแรงแต่ยังอยู่บนด้านบนของผิวหนัง พวกมันลงไปถึงผิวหนังชั้นที่ลึกกว่าได้ผ่านรูขุมขน ที่ซึ่งพวกมันตกค้างอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่แทรกซึมลงไปลึกกว่านั้น เมื่อขนยาวขึ้นจะนำพาพวกมันกลับมาสู่ชั้นบนของผิวหนังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังมีคำถามหลายข้อที่ต้องตอบเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพจากอนุภาคนาโน เรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่คุณสมบัติที่เป็นพิษจะมีความเชื่อมโยงกับขนาดในระดับนาโน และมีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับรายงานเรื่องการที่มนุษย์ได้รับอนุภาคนาโน นักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานเรื่องกลยุทธ์การทดสอบที่เหมาะสมเพื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะตอบคำถามปลายเปิด เคยมีผลิตภัณฑ์ใดที่วัสดุนาโนก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ?เท่าที่ผ่านมาทางสถาบันประเมินความสี่ยงของสหพันธรัฐ ยังไม่ได้รับรายงานกรณีที่เกิดอันตรายต่อสุขภาพโดยตรงอันมีผลมาจากอนุภาคนาโนหรือวัสดุนาโน เราควรหันมาพิจารณาดูอีกด้านของเทคโนโลยีใหม่กันบ้าง เปรียบดังคำพังเพยที่ว่า คุณอนันต์ โทษมหันต์ สำหรับเรื่องการศึกษาผลประทบของนาโนเทคโนโลยีนั้น ที่มีผลต่อสุขภาพนั้น รัฐต้องศึกษา วิจัยในเชิงสุขภาพและความปลอดภัย และให้ความรู้(ความไม่รู้) แก่ประชาชน หากยังไม่สามารถหามาตรการในด้านการป้องกันที่ดีได้ อย่างน้อยรัฐก็ควร บังคับการติดฉลากระบุว่าเป็นสินค้าประเภทนาโนเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือก(หรือไม่เลือก) กับเทคโนโลยีที่เรายังมีความรู้ในด้านนี้น้อยมาก และในด้านผลกระทบต่อสุขภาพก็ยังไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัยกันเลย ข้อมูลอ้างอิง1 Frequently Ask Question on Nanotechnology, Federal Institute for Risk Assessment, 20062 Nanoparticle can cause DNA damage across a cellular barrier, Bhabra, G. et al., Nature Nanotechnology, p. 1-8, 2009

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 นาโนเทคโนโลยี : โอกาสหรือความเสี่ยง (ตอน 1)

นาโนเทคโนโลยีถือว่าเป็นเทคโนโลยี ในอนาคตที่สำคัญ อย่างไรก็ตามการใช้เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากมนุษย์ได้นำมาใช้งานตั้งแต่เมื่อหลายทศวรรษก่อนในผลิตภัณฑ์เคลือบ เงาและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาถึงแม้ว่าในตอนนั้นมันจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้ก็ตาม ปัจจุบันนาโนเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่กำหนดไว้ในหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องสำอาง อาหารและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค โดยที่ผู้บริโภคไม่ได้มีโอกาสรับรู้เลย และปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อกำหนดว่าต้องมีการติดฉลากแสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์นาโน บทความในคราวนี้จึงขออธิบายความรู้และความไม่รู้ ที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยี ที่มีผลต่อชีวิตของผู้บริโภคกระแสหลักในบ้านเราครับ โดยขออนุญาตนำข้อมูลจาก สถาบันประเมินความเสี่ยงแห่งของสหพันธรัฐ เยอรมนี (Federal Institute for Risk Assessment) มาลงในคอลัมน์นี้ครับ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และผู้บริโภคเชื่อว่าการใช้งานวัสดุนาโนจะนำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามว่าผลิตภัณฑ์นาโนใหม่ๆ เหล่านี้จะนำความเสี่ยงที่ยังไม่รู้มาสู่มนุษย์หรือไม่ อนุภาคนาโนบางชนิดที่ปรากฎอยู่ในรูปแบบที่ไม่เกาะเกี่ยวกัน (unbound form) อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพบางประการได้ การวิจัยเรื่องความเสี่ยงของนาโนเทคโนโลยี ในบริบทนี้ทางสถาบันประเมินความเสี่ยง ให้ความสนใจเรื่องปฏิกิริยาต่อต้านอนุภาคนาโนที่อาจเกิดขึ้นได้ในร่างกายมนุษย์ ถึงแม้ว่าพบวัสดุนาโนในผลิตภัณฑ์หลายประเภทจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ประชากรเยอรมันเกินกว่าครึ่งหนึ่งแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้เลย ประโยชน์ของมันหรือความเสี่ยงที่เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นบทความนี้ จะตอบคำถามในประเด็นที่สำคัญ สำหรับนาโนเทคโนโลยี1 “นาโน” มีขนาดเล็กแค่ไหน ?“นาโน” มาจากภาษากรีก หมายความว่าคนแคระ “นาโน” เป็นคำศัพท์ที่ใช้สำหรับเศษส่วนพันล้านของเมตร (= 1 นาโนเมตร)อนุภาคนาโนหมายถึงอะไร ?อนุภาคนาโนคืออนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 100 นาโนเมตร (nm) เนื่องจากอนุภาคนาโนขนาดเล็กเหล่านี้มีสมบัติทางกายภาพ แตกต่างจากอนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่าในวัสดุประเภทเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้มันน่าสนใจสำหรับการนำไปใช้งานที่หลากหลาย แต่ทว่า ในขณะเดียวกันความเล็กของอนุภาคนาโนก็สามารถนำไปสู่ปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายมนุษย์ได้   สถาบันประเมินความเสี่ยง เกี่ยวข้องอย่างไรในการวิจัยเรื่องความเสี่ยงของนาโนเทคโนโลยี ?สถาบัน (FRA) ร่วมมือกับสถาบันกลางความปลอดภัยและสุขภาพในสถานที่ทำงาน (Federal Institute for Occupatioanl Safety and Health) และสำนักงานสิ่งแวดล้อมกลาง (Federal Environment Agency) ได้พัฒนากลยุทธ์ในการวิจัยเพื่อแยกแยะความเสี่ยงที่เป็นไปได้จากนาโนเทคโนโลยี จุดประสงค์ของ กลยุทธ์การวิจัยนี้คือจัดโครงสร้างในเรื่องสาขาการวิจัย เพื่อพัฒนาวิธีการในการวัดผลและแยกแยะอนุภาคนาโน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการได้รับอนุภาคและผลกระทบที่เป็นพิษหรือผลกระทบที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการทดสอบความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการตรวจสอบ ในขณะเดียวกัน (FRA) จะทำการสำรวจผู้เชี่ยวชาญในสาขานาโนเทคโนโลยี เป้าหมายคือแยกแยะวัสดุนาโนที่กำลังถูกใช้หรืออาจจะถูกใช้ เพื่อจัดกลุ่มพวกมันตามการนำไปใช้งานและเพื่อร่างข้อสรุปเกี่ยวกับการที่ผู้บริโภคได้รับอนุภาคจากข้อมูลเหล่านั้น จากพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ที่มีเรื่องการได้รับสารและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น (FRA) ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ แยกประเภทการใช้งานตามระดับความเสี่ยงที่เป็นไปได้และพัฒนากลยุทธ์สำหรับทำให้ความเสี่ยงลดน้อยลงที่สุด ในตอนที่ 2 ฉบับหน้าจะตอบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผลิตภัณฑ์จากนาโนเทคโนโลยีครับ   ข้อมูลอ้างอิง1 Frequently Ask Question on Nanotechnology, Federal Institute for Risk Assessment, 2006   นาโนเทคโนโลยีหมายถึงอะไร ?นาโนเทคโนโลยีเป็นศัพท์ทั่วไปที่ใช้เรียกเทคโนโลยีกว้างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติหลายประเภท เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และการแพทย์ ที่จริงแล้วมันจะถูกต้องมากกว่าถ้าจะเรียกว่ากลุ่มของนาโนเทคโนโลยี นาโนเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการวิจัยในเรื่องกระบวนการประมวลผลและการผลิตโครงสร้างและวัสดุที่ด้านอย่างน้อยหนึ่งด้านมีขนาดเล็กกว่า 100 นาโนเมตร (nm)  วัสดุนาโนมีโครงสร้าง “รูปทรงจุด” (อนุภาคนาโน แคปซูลนาโน กลุ่มก้อนหรือกลุ่มโมเลกุล) โครงสร้าง “เส้นตรง” (เส้นใยนาโน หลอดนาโน เสื้อร่มนาโน) และการเคลือบที่บางมาก โครงสร้างกลับรูป (รู) ก็อยู่ในประเภทนี้ด้วย เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในการนำนาโนเทคโนโลยีมาพัฒนาโครงสร้าง เทคนิค และระบบที่มีคุณสมบัติและการทำงานแบบใหม่ จึงเพิ่มความน่าสนใจในภาคอุตสาหกรรม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และผู้บริโภค โดยหวังว่าศักยภาพนี้จะนำไปสู่การใช้งานที่มีประโยชน์ เช่น หุ่นยนต์ เทคโนโลยีรับรู้ความรู้สึก วิศวกรรมกระบวนการ ชีวเทคโนโลยี และการแพทย์ รวมไปถึงการพัฒนาต่อไปในอนาคตเกี่ยวกับอาหาร ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค และเครื่องสำอาง ฐานข้อมูลของผลิตภัณฑ์นาโนที่อยู่ในท้องตลาด ณ ปั¬¬¬จจุบันนี้สามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.nanotechproject.org/44/consumer-nanotechnology ฐานข้อมูล “คลังผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ใช้นาโนเทคโนโลยี” เป็นโครงการของ Woodrow Wilson International Centre for Scholars. จะทราบได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นมีวัสดุนาโนอยู่รึเปล่า ?ผู้บริโภคไม่สามารถทราบได้เลยว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีวัสดุนาโนหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อกำหนดว่าต้องติดฉลากสำหรับผลิตภัณฑ์นาโน ผู้บริโภคสามารถรู้ถึงการใช้วัสดุนาโนได้ก็ต่อเมื่อผู้ผลิตทำการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของพวกเขาโดยการอ้างถึงนาโนเทคโนโลยี แต่การโฆษณาผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีอนุภาคนาโนหรือวัสดุนาโนอยู่จริงหรือไม่ ผู้บริโภครู้อะไรบ้างเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี ?ถึงแม้ว่าจะมีวัสดุใหม่ๆ ที่ผลิตโดยการใช้นาโนเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอะไร ตามที่มีการสำรวจมา คนเยอรมัน 50% ไม่รู้เลยว่าคำย่อที่เรียกว่า “นาโน” นั้นหมายถึงอะไร คนที่ได้ยินอะไรบางอย่างเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี มักจะมองเทคโนโลยีในทางบวกและชี้ไปที่ประโยชน์ของมัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคส่วนมากอยากให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยการใช้นาโนเทคโนโลยีมีการติดฉลากอย่างชัดเจน  นาโนเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ประเภทไหนแล้วบ้าง ?ขณะนี้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ซึ่งมีส่วนประกอบที่ผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยีแล้ว ได้แก่ เครื่องสำอาง อาหารหรือสิ่งทอ ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์นาโนเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขนาดในระดับนาโนคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการที่จะผลิตวัตถุที่มีสมบัติใหม่อย่างสิ้นเชิง เช่น สีรถยนต์ที่ทนต่อรอยขูดขีด เน็คไทที่กันฝุ่น หรือผลิตภัณฑ์กันแดดที่ปกป้องแสงยูวีได้ดีขึ้น  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 106 ของขวัญไอทีรับปีเสือยิ้ม

ปีใหม่นี้ หากคุณอยากซื้ออุปกรณ์ไอทีดีๆ สักชิ้นเพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนที่คุณรัก แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออุปกรณ์อะไร ยี่ห้อหรือรุ่นไหนเพื่อจะให้ “คุ้ม” กับเงินและมี “ค่า” กับผู้รับที่สุด ฉลาดซื้อฉบับนี้ยินดีนำเสนอตัวเลือกเด็ดๆ ที่คัดสรรมาแล้วผลทดสอบตลอดปีให้คุณ   สำหรับใครที่ชอบท่องโลกไซเบอร์เราขอแนะนำ แอปเปิ้ล “iPhone 3GS” โทรศัพท์ที่ให้คุณมากกว่าดีไซน์เก๋ เพราะมาพร้อมระบบดาวเทียมค้นหาตำแหน่งรองรับโปรแกรม Google Maps และเข็มทิศดิจิตอล กล้องดิจิตอล 3 ล้านพิกเซลที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหว ใช้งานอินเตอร์เน็ต Full HTML รับ-ส่งข้อความอีเมล์ เอาใจคนชอบฟังเพลงด้วยเครื่องเล่นเพลง iPod รองรับชุดหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ที่สำคัญคือมีความทนทานและมีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน(แบตเตอรี่)ในระดับดีมาก นอกจากนี้ยังรองรับระบบ 3G ที่กำลังเริ่มใช้ในเมืองไทย แต่เพราะมีกล้องหลังตัวเดียวจึงอาจใช้งาน video call ได้ยากสักหน่อย 16GB 24,500 บาท และ32GB 28,500 บาท “โนเกีย N97” คงถูกใจผู้รักการฟังเพลงและการส่งเอสเอ็มเอสเป็นชีวิตจิตใจ เพราะได้คะแนนในด้านนี้ไปถึง 5 ดาว แถมยังได้คะแนนเรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับดีมาก มาพร้อมจอสัมผัส TFT-LCD 16 ล้านสี - 360 x 640 พิกเซล (3.5") แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด QWERTY เครื่องเล่นเพลงรองรับไฟล์เสียง MP3, AAC, eAAC, eAAC+, WMA กล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวและกล้องตัวที่ 2 รองรับระบบ video call ราคา 23,730 บาท มอบความปรารถนาดีให้คนที่คุณรัก“โทรไม่ถือ”ขณะขับรถ ด้วยอุปกรณ์บลูทูธ “Jabra BT500v” ได้คะแนนความสบายในการสวมใส่และการใช้โดยทั่วไปในระดับดีมาก สนทนาต่อเนื่องได้ 12 ชั่วโมง และเปิดรอรับสายได้นาน 300 ชั่วโมง สามารถโทรออกด้วยเสียง โทรออกเบอร์โทรล่าสุด ปฏิเสธสาย พักสาย รับสายเรียกซ้อน ระยะรับสัญญาณ 10 เมตร น้ำหนัก 19.4 กรัม ราคา 2,490 บาท ส่วนผู้ที่อยากใช้บลูทูธมากกว่าการโทรออกหรือรับสาย หูฟังสเตอริโอ “โซนี่ อีริคสัน HBH-DS970” จะตอบสนองความต้องการของคุณ บลูทูธที่สามารถฟังเพลงด้วยปลั๊กสองหู เรียกดูเพลงได้ และมีรีโมตควบคุมระดับเสียงเพลง ส่วนฟังก์ชั่นการโทรก็ไม่น้อยหน้า มีระบบการโทรด้วยเสียง การจัดการสายที่สอง โทรซ้ำและแสดงหมายเลขผู้โทรเข้า สนทนาต่อเนื่องได้นาน 6 ชั่วโมง เปิดเครื่องรอสายได้ 300 ชั่วโมง น้ำหนัก 29.6 กรัม ราคา 4,590 บาท อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจซื้อบลูทูธอย่าลืมตรวจสอบว่าอุปกรณ์รุ่นนั้นๆ สามารถใช้กับโทรศัพท์ของคุณได้หรือไม่ และหาโอกาสทดลองใส่ดูว่าสบายหูไหม ไม่เช่นนั้นหากอุปกรณ์ดีแค่ไหน หากใช้ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนนี่ มีประโยชน์กับคนขี้เหงาแน่นอน ด้วยเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลขนาดเล็กที่สุดในโลก “Apple iPod Shuffle” ไปที่ไหนก็ไม่เหงาเพราะมีเสียงเพลงเป็นเพื่อน ได้คะแนนความสะดวกในการพกพาถึง 5 คะแนน คุณภาพเสียงอยู่ในระดับดี พร้อมฟังก์ชั่น VoiceOver สำหรับบอกชื่อเพลงและชื่อศิลปิน (เสียอย่างเดียวคือมันยังไม่พูดภาษาไทย) เล่นเพลงต่อเนื่องได้นาน 12 ชั่วโมงต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง น้ำหนักเพียง 9 กรัม ราคา 2,800 บาทแต่หากใครชอบสะสมเพลงโปรด ขอแนะนำ “Apple iPod classic 160GB hard disk” เครื่องเล่นเพลง MP4 ที่จุ???เพลง???ได้???สูงสุด?? 40,000 ??เพลง?? ??ให้คุณภาพเสียงระดับดี เล่นเพลงต่อเนื่อง?? 46.5 ??ชั่วโมง???และ???ชมวิดี???โอ?? 7 ??ชั่วโมง พร้อมจอแสดงผลสีขนาด?? 2.5 ??นิ้ว น้ำหนัก 137 กรัม ราคา 10,200 บาท “Samsung YP-Q2” เครื่องเล่นเพลงสารพัดประโยชน์ เพราะมีทั้งฟังก์ชั่น วิทยุ FM เล่นเกม บันทึกเสียง และบันทึกจากเสียงวิทยุ หน้าจอขนาด 2.4 นิ้วสำหรับดูภาพและคลิปวิดีโอ มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในระดับดีมาก เล่นเพลงต่อเนื่องได้ 53.5 ชั่วโมง น้ำหนัก 58 กรัม ราคา 3,490 บาท คุณภาพเสียงที่ดีนอกจากจะมาจากเครื่องเล่นเพลงที่ดีแล้ว ยังมาจากหูฟังที่มีคุณภาพด้วย “Beyerdynamic DTX800” ให้คุณภาพเสียงดีเลิศในระดับ 5 ดาวในราคาที่ต่ำกว่าหูฟังยี่ห้ออื่นๆ กว่าครึ่ง ตอบสนองความถี่ 10 Hz-22 kHz ได้คะแนนปราศจากเสียงรบกวนจากสายหรือตัวเครื่องในระดับดีมาก น้ำหนักรวมสาย 290 กรัม ราคา 4,373 บาท  หากงบประมาณไม่เกิน 1,000 บาท แต่ต้องการหูฟังคุณภาพสูง “Sennheiser HD 201” ราคาเพียง 990 บาท แต่ได้คุณภาพเสียง ความทนทาน ความสะดวกในการใช้งานและความสบายในการสวมใส่ถึง 4 ดาว ตอบสนองความถี่ 21 Hz-18 kHz น้ำหนักรวมสาย 188 กรัม เตรียมเก็บภาพประทับใจตลอดปีขาลด้วยกล้องวิดีโอ “Canon Legria HF200” ระบบบันทึกภาพแฟลชเมมโมรี่ เลนส์วีดีโอ HD ออพติคอลซูม 15 เท่า ให้ภาพความละเอียดสูงแบบ Full HD คุณภาพภาพเคลื่อนไหวในระดับดีมาก ฟังก์ชั่น Dual Shot สามารถบันทึกภาพนิ่งที่ความละเอียด 3.3 ล้านพิกเซล และบันทึกภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งในขณะเดียวกันที่ความละเอียด 3 ล้านพิกเซล ราคา 29,900 บาท จิ๋วแต่แจ๋วต้องตัวนี้ “Canon Legria FS200” กล้องวิดีโอที่มาพร้อมฟังก์ชั่นซูมออฟติคอลถึง 37 เท่าและระบบป้องกันภาพสั่นไหว ได้คะแนนระยะเวลาในการบันทึกภาพในระดับดีมาก เพราะบันทึกภาพได้นานสูงสุดถึง 3.5 ชั่วโมงต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง น้ำหนัก 279 กรัมราคา 12,900 บาท ฉลาดซื้อหวังว่าคุณคงจะได้ไอเดียในการเลือกซื้ออุปกรณ์ไอทีที่คุณภาพดีและเหมาะสมกับการใช้งานให้เป็นของขวัญแด่คนที่คุณรัก เพราะการพิถีพิถันในการเลือกซื้อ เลือกใช้ นอกจากผู้ใช้จะได้ประโยชน์แล้วยังส่งผลดีต่อธรรมชาติด้วย เพราะหมายความว่าคุณจะสามารถใช้อุปกรณ์นั้นๆได้นานก่อนจะทิ้งให้เป็นภาระกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point