ฉบับที่ 190 สารกันบูดใน “ขนมเปี๊ยะ”

ขนมเปี๊ยะ อีกหนึ่งขนมยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน จัดเป็นขนมที่นิยมซื้อหาไปเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือรับประทานเป็นของว่างแสนอร่อย ปัจจุบันจึงมีขนมเปี๊ยะวางขายอยู่ทั่วไปมากมายหลายแบบหลายรสชาติ อย่างไรก็ตามด้วยความที่ขนมเปี๊ยะมีส่วนประกอบหลักคือ แป้ง และไส้ขนมที่มีปริมาณค่อนข้างเยอะทำให้ขนมเปี๊ยะมีความชื้นสูง ซึ่งเหมาะต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ ทำให้โอกาสที่ขนมเปี๊ยะจะเน่าเสียหรือเกิดเชื้อราก่อนรับประทานหมดนั้นเกิดได้ค่อนข้างง่าย ดังนั้นผู้ผลิตรายหลายจึงเลือกที่จะใส่หรือเติมสารกันบูดลงไปด้วย เพื่อคงสภาพของขนมให้อยู่ได้นานๆ หลายวัน ทำให้ฉลาดซื้อ ฉบับนี้เลือก ขนมเปี๊ยะ จากหลายสถานที่ผลิต นำมาทดสอบหาปริมาณสารกันบูด มาดูกันว่าบรรดาเจ้าดังเจ้าอร่อยมียี่ห้อไหนบ้างที่พบการปนเปื้อนของสารกันบูดขนมเปี๊ยะ ใส่สารกันบูดได้หรือไม่?สารการบูดที่เราทำการทดสอบครั้งนี้คือ กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ซึ่งเป็นสารที่นิยมใส่ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเบเกอรี่ สามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ได้ดีโดยจะไปทำให้กระบวนการแทรกซึมของจุลินทรีย์เข้าไปในอาหารอาหารผิดปกติ ทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง ข้อกำหนดการใช้วัตถุเจือปนอาหาร ไม่ได้กำหนดเกณฑ์การใช้ กรดเบนโซอิก ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมอบ ซึ่งขนมเปี๊ยะจัดอยู่ในกลุ่มดังกล่าว เช่นเดียวกับขนมเค้ก ขนมพาย โดยในประกาศระบุเพียงว่า ให้ใช้ใน “ปริมาณที่เหมาะสม” ซึ่งถ้าลองนำไปเทียบกับกลุ่มอาหารชนิดอื่นๆ ส่วนใหญ่กฎหมายจะอนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ส่วน กรดซอร์บิก ไม่มีการกำหนดปริมาณการใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมอบ อย่างไรก็ตามข้อกำหนดที่อนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมนั้น เท่ากันกับที่กำหนดไว้ในมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ หรือ โคเด็กซ์ (Codex) ที่ก็อนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกสูงสุดได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ในกลุ่มอาหารประเภทขนมอบ ส่วน กรดซอร์บิก โคเด็กซ์ กำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมเช่นกัน แต่ทั้งนี้หากมีการใช้ทั้ง 2 ชนิดรวมกัน ปริมาณสูงสุดที่พบเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมผลการทดสอบผลทดสอบ ขนมเปี๊ยะ 13 ตัวอย่าง พบว่ามีเพียง 1 ตัวอย่างที่ไม่พบการปนเปื้อนของ เบนโซอิก และ ซอร์บิก คือ ขนมเปี๊ยะเหลือง จากร้าน เอส แอนด์ พี ขณะที่ตัวอย่างขนมเปี๊ยะอีก 12 ตัวอย่างพบการปนเปื้อนทั้งหมด แต่ปริมาณของ เบนโซอิก และ ซอร์บิก ในขนมเปี๊ยะจากการสุ่มสำรวจครั้งนี้ พบในปริมาณที่น้อยมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 20.47 มิลลิกรัม ต่อ กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อเทียบกับปริมาณที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้คือสูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม ต่อ กิโลกรัมข้อสังเกต-มี 3 ตัวอย่างที่มีการแจ้งบนฉลากว่า ไม่ใส่สารกันบูด คือ 1.ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว ยี่ห้อครูสมทรง 2.ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว ร้านหมู และ 3.ขนมเปี๊ยะบางกระบือ (โง้วฮั่วเตียง) แต่ทั้ง 3 ตัวอย่างพบการปนเปื้อนของเบนโซอิก แต่ก็พบในปริมาณเพียงเล็กน้อย จึงมีความเป็นไปได้ว่าเบนโซอิกที่พบนั้น อาจปนเปื้อนอยู่ในส่วนของวัตถุดิบโดยผู้ผลิตไม่ทราบมาก่อน หรือผู้ผลิตมีการใส่สารกันบูดลงไปในส่วนผสม-มี 1 ตัวอย่างที่แจ้งว่ามีการใช้สารกันบูด คือ ขนมเปี๊ยะกุหลาบ ยี่ห้อ แต้ เซ่ง เฮง-ขนมเปี๊ยะที่เราเลือกเก็บมาทดสอบส่วนใหญ่แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือ ขนมเปี๊ยะเจ้าดังที่เป็นที่รู้จักของคนที่ชอบกินขนมเปี๊ยะ และมักนิยมซื้อหากันในช่วงเทศกาลสำคัญของชาวจีนอย่าง วันไหว้พระจันทร์ ซึ่งร้านขนมเปี๊ยะชื่อดังเหล่านี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในย่านเยาวราช เช่น ขนมเปี๊ยะ อื้อ เล่ง เฮง และ ขนมเปี๊ยะแต้เล่าจิ้นเส็ง กลุ่มที่ 2 คือ ขนมเปี๊ยะที่ขายอยู่ในร้านเบเกอร์รี่ชื่อดังที่มีสาขาหลายสาขา เช่น เอส แอนด์ พี, กาโตว์ เฮาส์ และร้านขนมบ้านอัยการ และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มตัวอย่างขนมเปี๊ยะที่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่พบว่ามีวางจำหน่ายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังอย่าง เทสโก้ โลตัส และ บิ๊กซี ซึ่งถือว่าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก-ถ้าดูจากวันที่ผลิตและวันหมดอายุของตัวอย่างขนมเปี๊ยะที่สุ่มสำรวจครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 1-2 เดือน ถือว่าเก็บไว้ได้ไม่นาน แต่ก็มีหลายตัวอย่างที่ไม่ได้มีการแจ้งเรื่องวันที่ผลิตและหมดอายุ เพราะลักษณะของร้านค้าที่ขายขนมเปี๊ยะส่วนใหญ่จะเป็นแบบทำไปขายไป กฎหมายอนุโลมให้อาหารลักษณะนี้ไม่ต้องมีฉลาก ซึ่งดูแล้วอายุของขนมเปี๊ยะในกลุ่มนี้ก็น่าจะใกล้เคียงกับกลุ่มที่มีการแจ้งข้อมูลบนฉลาก คือไม่เกิน 1-2 เดือนฉลาดซื้อแนะนำ-เลือกซื้อขนมเปี๊ยะจากร้านที่มั่นใจ ดูที่ทำสะอาดผลิตใหม่ทุกวัน -ขนมเปี๊ยะที่ซื้อมาแล้วกินไม่หมด ควรเก็บในตู้เย็น ช่วยยืดอายุของขนมเปี๊ยะให้นานขึ้น-แม้ว่าผลทดสอบที่ออกมาจะบอกว่า ขนมเปี๊ยะ อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยจากสารกันบูด เบนโซอิก และ ซอร์บิก เพราะปริมาณที่พบค่อนข้างน้อย แต่ก็ควรเลือกกินแต่พอดี เพราะในขนมเปี๊ยะมีส่วนผสมทั้งน้ำตาลและน้ำมันเป็นส่วนประกอบ กินมากๆ ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพขนมเปี๊ยะที่ขายกันอยู่ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ โดยแบ่งได้เป็น 2 แบบหลักๆ คือ แบบที่เปลือกนิ่ม เช่น เปี้ยะไหว้พระจันทร์ เปี๊ยะลูกเต๋า เปี๊ยะโมจิ อีกแบบคือขนมเปี๊ยะที่เปลือกแป้งจะมีความกรอบร่วนมีลักษณะเป็นชั้นๆ เช่น เปี๊ยะใหญ่ เปี๊ยะกุหลาบ เปี๊ยะทานตะวัน เป็นต้นตามความเชื่อของประเทศจีน ขนมเปี๊ยะ ถือเป็นขนมมงคล สื่อความหมายถึงความปรารถนาดีต่อกัน ของทั้งผู้ให้และผู้รับ ขนมเปี๊ยะเป็นขนมที่คู่กับเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในภาษาจีนคำว่า ขนมไหว้พระจันทร์ เรียกว่า “เย่ว์ปิ่ง” ซึ่งมาจากคำ 2 คำ คือ “เย่ว์” ที่แปลว่า พระจันทร์ และคำว่า “ปิ่ง” ซึ่งหมายถึง ขนมเปี๊ยะ เพราะในเทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นช่วงเวลาที่คนจีนจะได้พบปะญาติพี่น้องแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ร่วมกันกินขนมและชมพระจันทร์ไปพร้อมกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ระยะเวลารับประกันสินค้า (ไม่) เป็นธรรม

บางครั้งระยะเวลาการรับประกันสินค้าก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างร้านค้ากับผู้โภค ซึ่งมักสร้างปัญหาได้หากผู้บริโภครู้สึกว่าระยะเวลารับประกันสินค้าดังกล่าวไม่มีความเป็นธรรม ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้คุณสุชัยนำคอมพิวเตอร์ไปซ่อมที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ เนื่องจากการ์ดจอเสีย โดยหลังซ่อมเสร็จเรียบร้อยทางร้านแจ้งว่าจะรับประกันงานซ่อมให้ 3 เดือน ซึ่งเมื่อใกล้วันหมดอายุการรับประกัน (เหลืออีก 5 วัน) เขาพบว่าคอมพิวเตอร์เสียอีกครั้ง จึงนำกลับไปซ่อมที่ร้านเดิม โดยหลังซ่อมเสร็จเรียบร้อยทางร้านแจ้งว่าจะรับประกันงานซ่อมให้อีก แต่รับประกันเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงทำให้ผู้ร้องสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่ และส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ชี้แจงว่าในกรณีการรับประกันสินค้าการซ่อมสินค้าของร้านค้าทั่วไป หากสินค้าชำรุดในขณะที่ยังอยู่ในระยะเวลาการรับประกัน ทางร้านก็ต้องซ่อมให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ในกรณีของผู้ร้องที่นำคอมพิวเตอร์ไปซ่อมอีกครั้งเพราะการ์ดจอเสีย โดยอีก 5 วันจะหมดระยะเวลาการรับประกันสินค้า ต้องพิจารณาว่าทางร้านซ่อมแซมให้อย่างไร ซึ่งหากเป็นการซ่อมการ์ดจออันเดิมจากครั้งแรก สามารถนับเวลาการรับประกันต่อจากเดิมที่เคยตกลงกันไว้ได้ แต่หากเป็นการเปลี่ยนการ์ดจอให้ใหม่ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการรับประกันใหม่เช่นกัน เนื่องจากอะไหล่ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีอายุการใช้งานที่จำกัดนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 บอกเลิก (บริการโทรคมนาคม) อย่างไรให้ได้ผล (ตอนที่ 3)

บริการโทรคมนาคม มือถือ อินเทอร์เน็ต ทุกวันนี้ สมัครง่ายแต่เลิกยาก เพราะทุกบริษัทมัวแต่แข่งกัน หาลูกค้า จนอาจลืมใส่ใจพัฒนาคุณภาพบริการให้เพียงพอกับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น หลายคนอยากยกเลิกบริการที่ใช้อยู่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะบริษัทจะมีข้ออ้างสารพัดที่จะปฏิเสธ ไม่ให้เรายกเลิกบริการได้ง่าย ๆ ซึ่งผมได้แนะนำวิธีรับมือไว้ 2 ตอนแล้ว สรุปสั้น ๆ อีกครั้ง ก็คือ คุณสามารถยกเลิกบริการโทรคมนาคมได้ โดยการทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งให้บริษัทรับรู้ จะส่งจดหมาย แฟกซ์ หรือ อีเมล์ ก็ได้ทั้งนั้น แค่แจ้งแล้วจบเลย สำหรับคนที่ใช้แบบรายเดือน (Post Paid) เมื่อจะยกเลิกบริการ จะมีประเด็นเรื่องการคิดค่าบริการเดือนสุดท้ายที่ต้องดูให้ดี เพราะรายการส่งเสริมการขายทุกวันนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นแพ็คเกจแบบเหมาจ่ายรายเดือน เช่น จ่าย 540 บาท โทรฟรีได้ 550 นาที และเล่นเน็ตได้ไม่อั้น ค่าโทรส่วนเกินคิดนาทีละ 1.50 บาท ถ้าคุณจะยกเลิกบริการในระหว่างที่ยังไม่ครบรอบบิล คำถามคือ คุณจะต้องจ่ายค่าบริการเต็มจำนวนไหม โดยหลักทั่วไป คำตอบ คือ จ่ายตามสัดส่วนการใช้งานจริง ไม่ต้องจ่ายเต็มแพ็คเกจ เช่น ถ้ายกเลิกบริการตอนครึ่งเดือน ก็จ่ายแค่ครึ่งเดียว 270 บาท แต่ในชีวิตจริง มันอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากเสียเปรียบบริษัท พอรู้ว่าจะกลางเดือนนี้จะยกเลิกบริการ ก็เลยใช้สิทธิโทรเต็มที่ โทรไป 540 นาที แต่ปรากฏว่าโดนบริษัทคิดค่าบริการเพิ่ม โดยอ้างว่าใช้บริการครึ่งเดือน บริษัทก็ลดค่าบริการให้ครึ่งหนึ่งแล้ว แต่สิทธิในการใช้บริการโทรฟรีก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่งเช่นกัน จึงเหลือสิทธิโทรฟรีแค่ 275 นาที ดังนั้น ส่วนที่เกินไป 265 นาที จะต้องจ่ายในอัตรานาทีละ 1.50 บาท ต้องจ่ายเพิ่มอีก 397.50 บาทสรุปว่า ลูกค้าใช้แพ็คเกจ 540 บาท/เดือน แต่พอยกเลิกบริการระหว่างรอบบิล กลายเป็นว่าต้องจ่ายเงิน 667.50 บาท ซึ่งแพงกว่าแพ็คเกจที่ใช้งานเต็มเดือนซะอีก งานนี้จึงมีการร้องเรียนว่าบริษัทคิดค่าบริการเกิน เขาควรจ่ายแค่ 270 บาทเท่านั้น เพราะยังโทรไม่เกินแพ็คเกจเลย ซึ่งบริษัทก็โต้แย้งว่า ถ้าจ่ายค่าบริการแค่ครึ่งเดียวแต่ใช้สิทธิเต็มที่ขนาดนี้เขาก็เสียเปรียบเหมือนกันตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเรื่องจริงนะครับ ซึ่งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนในลักษณะนี้ว่า บริษัทมีสิทธิปรับลดระยะเวลาการโทรฟรี และคิดค่าบริการแบบเฉลี่ยตามสัดส่วนวันที่มีการใช้งานจริง (คือ มีสิทธิคิดค่าบริการแค่ 270 บาท และลดสิทธิโทรฟรีเหลือแค่ 275 นาที) แต่ในกรณีนี้ บริษัทจะคิดค่าบริการในส่วนที่เกินจากสิทธิโทรฟรีโดยเฉลี่ยในอัตรา 1.50 บาท/นาที ไม่ได้ เพราะผู้ร้องเรียนมิได้ใช้สิทธิโทรฟรีเกินจากแพ็คเกจ (ผู้ร้องเรียนใช้โทรศัพท์ไป 540 นาที เกินจากสิทธิโดยเฉลี่ยไป 265 นาที แต่ไม่เกินสิทธิตามแพ็คเกจทั้งหมด 550 นาที) ค่าโทรในส่วนที่เกินสิทธิการใช้งานโดยเฉลี่ย จะต้องคิดในอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย คือ คิดตามราคาที่แท้จริงของบริการที่มีการใช้งาน สำหรับแพ็คเกจที่รวมทั้งค่าโทรและค่าเน็ตไว้ด้วยกัน ก็ต้องแยกแยะว่าค่าบริการแต่ละประเภท คิดอัตราเท่าไร ซึ่งอาจจะซับซ้อนหน่อยแต่สามารถทำได้ครับ โดยสรุป ตามตัวอย่างที่ยกมา อัตราค่าโทรในแพ็คเกจจะอยู่ที่ประมาณ 0.23 /นาที ดังนั้นส่วนที่เกินมาจากสิทธิโดยเฉลี่ย 265 นาที จะต้องคิดในอัตรานาทีละ 0.23 บาท ซึ่งเป็นเงินแค่ 60.95 บาท สรุปว่า ผู้บริโภคต้องจ่าย 270 + 60.95 = 330.95 บาท แต่บริษัทคิดเงินไป 667.50 บาท ก็ต้องคืนส่วนต่างให้ผู้บริโภคส่วนใครที่ใช้บริการแบบเติมเงิน (Pre Paid) เมื่อยกเลิกบริการก็จะไม่ต้องวุ่นวายกับการคิดคำนวณค่าบริการเดือนสุดท้าย แต่อย่าลืมตรวจสอบว่ามีเงินคงเหลือในระบบหรือไม่ ซึ่งถ้ามีเงินเหลือ คุณสามารถขอคืนจากผู้ให้บริการได้นะครับ เพราะเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรองไว้ ในข้อ 34 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 “เมื่อสัญญาเลิกกัน ในกรณีที่ผู้ให้บริการมีเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการต้องคืนเงินนั้นให้แก่ผู้ใช้บริการ ในการคืนเงินดังกล่าว เมื่อผู้ให้บริการได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้ใช้บริการหรือเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ใช้บริการอย่างถูกต้องแล้ว ให้ผู้ให้บริการคืนเงินภายในสามสิบวันนับแต่วันเลิกสัญญาทั้งนี้ การคืนเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ อาจคืนด้วยเงินสด เช็ค หรือนำเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ใช้บริการ หรือตามวิธีการที่ผู้ใช้บริการได้แจ้งความประสงค์ไว้ กรณีผู้ให้บริการไม่สามารถคืนเงินค้างชำระให้แก่ผู้ใช้บริการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดผู้ให้บริการจะต้องชำระค่าเสียประโยชน์ในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้บริการคิดจากผู้ใช้บริการกรณีผู้ใช้บริการผิดนัดไม่ชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการแก่ผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิผู้ใช้บริการที่จะเรียกค่าเสียหายอย่างอื่น” ก็เป็นอันว่า ถ้าทำตามคำแนะนำทั้ง 3 ตอนที่ผ่านมา ก็รับรองว่า ท่านผู้อ่านจะสามารถยกเลิกบริการโทรคมนาคมได้แบบ Happy Ending แน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 บอกเลิก (บริการโทรคมนาคม) อย่างไรให้ได้ผล (ตอนที่ 2)

ตอนที่แล้ว ผมได้แนะนำวิธียกเลิกบริการโทรคมนาคมแบบง่าย ๆ แต่ได้ผล นั่นก็คือ การบอกเลิกสัญญาโดยทำเป็นหนังสือส่งถึงบริษัท ซึ่งจะส่งทางจดหมายไปรษณีย์ อีเมล์ หรือ แฟกซ์ ไปก็มีผลตามกฎหมายเหมือนกัน วิธีนี้สะดวกและประหยัดสุดเพราะทำการยกเลิกจากที่บ้านได้เลย ไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการและไม่ต้องเสียอารมณ์กับลูกตื้อกวนใจของพนักงานที่สำคัญ จำไว้นะครับ การโทรศัพท์ไปแจ้งยกเลิกบริการกับ call center ไม่มีผลในทางกฎหมาย ต้องแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรนะครับ ปัจจุบัน บริการมือถือและอินเทอร์เน็ต มักจะมีรายการส่งเสริมการขายที่ผูกสัญญาให้ลูกค้าต้องใช้บริการอย่างน้อยกี่เดือน กี่ปีก็ว่ากันไป เช่น ซื้อโทรศัพท์รุ่นยอดฮิตได้ในราคาพิเศษ แต่ต้องใช้บริการนาน 2 ปี หรือสมัครใช้บริการอินเทอร์เน็ต ฟรีค่าธรรมเนียม ค่าติดตั้ง ถ้าใช้บริการครบ 1 ปี เป็นต้นเมื่อสมัครใช้บริการแล้ว แต่มีเหตุจำเป็น ต้องยกเลิกบริการ เช่น ต้องย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน หรือใช้บริการแล้วคุณภาพสัญญาณไม่ดี ฯลฯ กรณีแบบนี้ หลายคนสงสัยว่า จะยกเลิกบริการก่อนครบกำหนดได้ไหม และจะต้องเสียค่าปรับ หรือไม่1. เรื่องนี้ โดยหลักการแล้ว “ผู้ใช้บริการ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาใช้บริการโทรคมนาคมเมื่อใดก็ได้” (รายละเอียดหาอ่านได้ในตอนที่แล้ว) และกรณีจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมอุปกรณ์โทรคมนาคมในราคาพิเศษ ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิคิดค่าปรับ ถ้าผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549ข้อ 15 ในกรณีที่ผู้ให้บริการได้ส่งมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือคิดค่าใช้จ่ายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดของค่าอุปกรณ์ ในขณะที่ส่งมอบเพื่อประโยชน์ในการใช้บริการโทรคมนาคมนั้น ผู้ให้บริการจะถือเอาเหตุดังกล่าวมากำหนดเป็นเงื่อนไขอันก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ใช้บริการหรือเรียกเก็บค่าปรับหรือค่าเสียหายจากการที่ผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดมิได้ผู้ใช้บริการที่ได้รับมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าว และต้องส่งคืนให้แก่ผู้ให้บริการเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง หากผู้ใช้บริการก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องอุปกรณ์นั้น ผู้ให้บริการมีสิทธิเรียกให้ผู้ใช้บริการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ จะต้องไม่เกินกว่าราคาตลาดของค่าอุปกรณ์ดังกล่าวในขณะนั้น ในกรณีที่ผู้ให้บริการประสงค์จะคิดค่าใช้จ่ายจากการส่งมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งจากผู้ใช้บริการ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด2. แม้ผู้ใช้บริการจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด แต่เพื่อความเป็นธรรมสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย สิทธิประโยชน์ที่บริษัทเขาให้มาอาทิ ส่วนลดค่าเครื่องต่าง ๆ ตามโปรโมชั่น ถ้าใช้บริการไม่ครบตามสัญญา ก็ต้องคืนเขาไป เช่น แพ็กเกจรายเดือน 599 บาท รับส่วนลดค่าเครื่องโทรศัพท์ 3,000 บาท เมื่อใช้บริการครบ 6 เดือน ถ้าเกิดใช้บริการไปได้ 3 เดือน แล้วเกิดเหตุต้องยกเลิกบริการ ก็สามารถยกเลิกบริการได้ แต่ผู้ใช้บริการก็ต้องคืนส่วนลดค่าเครื่องตามสัดส่วนที่ใช้งานไป ถ้าตามตัวอย่างนี้ แทนที่จะได้ส่วนลดค่าเครื่องเต็ม 3,000 บาท ก็เหลือแค่ 1,500 บาท แต่ก็ไม่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนส่วนที่เหลือ3. ในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ต ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อต้องยกเลิกบริการก่อนครบกำหนดก็คือ บริษัทผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าติดตั้งที่ได้ยกเว้นให้คืน กรณีนี้ นอกจากบริษัทจะคิดค่าปรับไม่ได้เพราะขัดกับข้อ 15 แล้ว ก็ยังไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียม ค่าติดตั้งย้อนหลังได้ด้วย แม้สัญญาใช้บริการจะระบุเอาไว้อย่างนั้น ก็ไม่มีผลบังคับใช้เพราะตามกฎหมาย สัญญาบริการโทรคมนาคมไม่ว่ามือถือ หรืออินเทอร์เน็ต จะมีผลบังคับใช้ได้ต้องได้รับความเห็นชอบจาก กสทช.ก่อน และที่ผ่านมา กสทช. ไม่เคยอนุญาตให้บริษัทคิดค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการอื่นใด หากผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ดังนั้น ข้อสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลเรื่องของการยกเลิกบริการ ยังไม่จบนะครับ เพราะจะเลิกกันโดยสมบูรณ์ก็ต้องจ่ายค่าบริการให้ครบถ้วนก่อน ดังนั้น ตอนหน้าเราจะมาดูกันว่า ค่าบริการรอบสุดท้ายจะต้องจ่ายเท่าไร ถึงจะเป็นธรรม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 เรียกเก็บเงินเกินโปรโมชั่น

โปรโมชั่นส่วนใหญ่ มักมีเงื่อนไขยิบย่อยที่อาจทำให้เราลืมสังเกตได้ ซึ่งเรามักจะมารู้ทีหลังก็เมื่อตอนที่จะต้องจ่ายเงินค่าบริการ เหมือนดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณชูชัยแจ้งว่าได้เปิดใช้บริการของ ทรูอินเทอร์เน็ต โดยเลือกใช้โปรโมชั่นซุปเปอร์สปีด ไฟเบอร์ (Super Speed Fiber) เหมาจ่ายราคา 799 บาท/เดือน (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) ซึ่งสามารถโทรฟรี 50 นาทีและเล่นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 30 เม็กกะไบต์ อย่างไรก็ตามเขาพบว่ามีการเรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม เดือนละ 100 – 120 บาททุกเดือน ทั้งที่ไม่ได้ใช้บริการเกินโปรโมชั่นที่กำหนดไว้ จึงส่งเรื่องมาร้องเรียนยังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องนำเอกสารสำคัญ เช่น ใบเรียกเก็บเงิน ใบเสร็จรับเงิน ใบโฆษณาต่างๆ มาเป็นหลักฐานประกอบการร้องเรียน จากนั้นจึงแจ้งเรื่องไปยังบริษัทดังกล่าว ซึ่งภายหลังการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ของบริษัทได้แจ้งกลับว่า กรณีที่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินราคาโปรโมชั่น เนื่องจากผู้ร้องได้ใช้เบอร์โทรศัพท์บ้าน โทรออกไปยังหมายเลขพิเศษ เช่น เบอร์โทรที่มี 4 หลัก ซึ่งการโทรไปยังเลขหมายดังกล่าว ไม่อยู่ในเงื่อนไขการโทรฟรี ทำให้ต้องจ่ายครั้งละ 3 บาท รวมทั้งมีการโทรเข้าบ้านด้วยกันเอง ทำให้ผู้ร้องต้องเสียค่าบริการเพิ่ม เพราะตามโปรโมชั่นการโทรฟรี 50 นาที สามารถใช้โทรเข้าเบอร์มือถือ (ทุกเครือข่าย) ได้เท่านั้น ด้านผู้ร้องเมื่อได้รับคำอธิบายดังกล่าวก็เข้าใจและยินดียุติเรื่องร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 ป้ายลดราคาปิดทับวันหมดอายุ

ความคุ้มค่าของสินค้าลดราคา สามารถวัดได้จากสินค้าที่ยังอยู่ในสภาพดี เพราะหากเราได้สินค้าที่เสื่อมสภาพหรือหมดอายุไปแล้วก็ไม่ต่างจากการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้ที่ไหวตัวทันก่อนเสียรู้ได้ของหมดอายุที่นำมาลดราคาคุณสมศักดิ์ต้องการซื้อไข่ไก่สดจากห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซึ่งมีโปรโมชั่นลดราคาจาก 89 บาท เหลือ 44.50 บาท อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจซื้อเขาได้พยายามหา ว/ด/ป หมดอายุที่ต้องระบุไว้ข้างกล่อง แต่ก็ไม่พบรายละเอียดดังกล่าว เขาจึงลองแกะป้ายลดราคาออกดูและพบว่าป้ายลดราคาได้ปิดทับวันหมดอายุไว้ ซึ่งภายหลังการตรวจสอบจึงทราบว่าไข่ไก่ดังกล่าวหมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 2 วันก่อน และเมื่อตรวจสอบกล่องอื่นๆ ก็พบว่ามีการติดป้ายราคาทับวันหมดอายุในลักษณะเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาจึงถ่ายรูปรายละเอียดต่างๆ เก็บไว้เป็นหลักฐาน และเขียนเล่าเหตุการณ์ลงสื่อสังคมออนไลน์ จากนั้นจึงมาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ เพื่อให้ช่วยทำข่าวและเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้บริโภคคนอื่นๆแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ช่วยผู้ร้องทำข่าวดังกล่าว และเผยแพร่ลงเว็บไซต์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (http://www.consumerthai.org) พร้อมแนะนำว่าหากผู้ร้องต้องการแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าวก็สามารถทำได้ เนื่องจากการที่ห้างสรรพสินค้ามีการแสดงป้ายราคา โดยปิดทับวันเดือนที่ผลิตหรือหมดอายุ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด อาจเข้าข่ายการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายมาตรา 343 โดยมีโทษจำคุก 5 ปีและปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องไม่ต้องการแจ้งความใดๆ เพียงแต่ต้องการแจ้งข่าวผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเตือนให้ผู้บริโภคคนอื่นมีความระมัดระวังในการเลือกซื้อสินค้าเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 กระแสต่างแดน

Shonky 2016ได้เวลาประกาศผลรางวัลผลิตภัณฑ์/บริการยอดแย่ประจำปี 2016 โดย CHOICE นิตยสารผู้บริโภคของออสเตรเลียกันแล้ว มาดูกันว่ามีใครติดบัญชีดำบ้าง• นม Camel Milk Victoria ติดโผเพราะคำกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง(และผิดกฎหมาย) คนออสซี่กัดฟันซื้อนมยี่ห้อนี้ในราคาลิตรละ 21 เหรียญ(ประมาณ 560 บาท) เพราะเป็นนมที่เชฟชื่อดังและรายการ Master Chef แนะนำ ... ใครจะไม่อยากจ่ายเพิ่มให้กับนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่านมชนิดอื่นๆ ดื่มแล้วระบบภูมิคุ้มกันจะแข็งแรงขึ้น และยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบาหวาน วัณโรค ฯลฯ• มันฝรั่งทอดพริงเกิลส์ Pringles ที่ “ลดราคา” ลงเมื่อเดือนมิถุนายน แต่ CHOICE พบว่าความจริงแล้วน้าหนวดเขาขึ้นราคาจากเดิมร้อยละ 9 ด้วยวิธีลดขนาดกระป๋องและขนาดชิ้นมันฝรั่งลง แต่ก็ชดเชยด้วยการเพิ่มปริมาณไขมันอิ่มตัวให้ถึงร้อยละ 60 เชียวนะ น้าหนวดบอกว่าไม่ได้ขึ้นราคามา 4 ปีแล้ว ... แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคของขนมขบเคี้ยวและขนมหวานเขาเพิ่มขึ้นแค่ร้อยละ 1.3 เองนะคุณน้า• เครื่องดื่มไมโล ที่ประทับตราความเป็นมิตรต่อสุขภาพ (Healthy Star Rating) ไว้ที่ 4.5 ดาวโดยใช้การคำนวณแบบสุดล้ำในสามโลก ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบร้อยละ 46 ได้คะแนนดีขนาดนั้นได้อย่างไร เนสเล่เขาคำนวณจากการชงไมโลด้วยนมพร่องมันเนยยังไงล่ะ ความจริงแล้วมีเพียงร้อยละ 13 ของผู้บริโภคออสซี่ที่ใช้นมพร่องมันเนยชงไมโล ร้อยละ 55 นิยมชงกับนมสดธรรมดา ซึ่งเครื่องดื่มที่เตรียมแบบนี้จะได้เรตแค่ 2.5 ดาวเท่านั้น• Samsung Note 7 ... ซึ่งทุกท่านคงทราบว่าบริษัทได้ประกาศหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวลงตลาดออสเตรเลียไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50,000 เครื่อง ปีที่แล้วซัมซุงก็ประกาศเรียกคืนเครื่องซักผ้าฝาบนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ไปกว่า 144,000 เครื่องด้วยเช่นกัน หลังจากพยายามปกปิดปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นหลายครั้ง• บัตรเครดิต American Express โฆษณาว่าไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ CHOICE ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ร้านค้าจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทบัตรเครดิตเสมอ และ Amex ก็เป็นเจ้าที่คิดค่าธรรมเนียมสูงกว่า Master หรือ VISA ถึงสองเท่าด้วย ถ้าร้านไม่สามารถเรียกเก็บจากผู้ซื้อได้เขาก็อาจจะเพิ่มราคาสินค้าในร้าน คราวนี้ก็ซื้อของแพงขึ้นกันหมดทั้งลูกค้าที่จ่ายเงินสดและที่ใช้บัตรเครดิตเจ้าอื่น• เว็บไซต์ www.commoncents.com.au ของบริษัทรับจำนำ Cash Converters ที่ให้คำปรึกษาเรื่องการเงินและการออม ได้รางวัลนักบุญจอมปลอมจาก CHOICE ไปเลย เพราะนอกจาก “คำแนะนำดีๆ เรื่องการใช้เงิน” แล้วคุณยังจะได้เป็นลูกหนี้ของ Cash Converters ด้วยค่าแรกเข้าร้อยละ 20 บวกค่าธรรมเนียมร้อยละ 4 ต่อเดือน เอาเป็นว่าถ้ากู้เขามา 2,000 เหรียญ เป็นเวลา 1 ปี คุณต้องจ่ายคืนถึง 3,360 เหรียญ เท่ากับคุณจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 68 … คุณพระ!• อากาศอัดกระป๋อง Green and Clean ที่เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องมลพิษในอากาศ อากาศบริสุทธิ์ในกระป๋องนี้ขายในราคาโหลละ 246 เหรียญ (ประมาณ 6,600 บาท) แต่เราต้องสูดอากาศที่ว่านี้มากแค่ไหน คนทั่วไปในขณะพักจะต้องการอากาศประมาณ 5 ถึง 8 ลิตร ต่อนาที แล้วอากาศอัดแค่หนึ่งกระป๋องจะช่วยอะไรได้ ... โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่หายใจวันละ 20,160 ครั้ง ลองคิดเล่นๆ หากหนึ่งกระป๋องใช้ได้ 255 ลมหายใจ (ตามโฆษณา) เราจะต้องใช้กี่กระป๋อง ... ผลลัพธ์อาจทำให้คุณหายใจไม่ออก• The Medical Weightloss Institute ขายฝัน เอ้ย! ขายโปรแกรมที่อ้างว่าช่วยให้ลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย “สถาบัน” นี้ใช้วิธีตรวจเลือดก่อนการรักษาด้วยฮอร์โมนและการควบคุมอาหาร และเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ลูกค้ารายหนึ่งลดน้ำหนักไป 2 กิโลกรัมในเดือนแรก เธอจ่ายไป 4,400 เหรียญ (โปรโมชั่นลด 50%) สำหรับยาที่ทานแล้วคลื่นไส้ การให้คำปรึกษาสัปดาห์ละครั้ง และเมนูอาหาร 2 หน้ากระดาษอีก รวมจ่ายไป 5,420 เหรียญสำหรับโปรแกรม 35 สัปดาห์ แต่เมื่อเธอขอพบแพทย์เพราะทานยาแล้วคลื่นไส้ สถาบันบอกให้เธอไปพบแพทย์ประจำของเธอเอง ... ใกล้ชิดจริงๆ• ผลิตภัณฑ์ Vanish Preen Powerpowder ประกาศตนว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะปฏิวัติการทำความสะอาดพรมด้วยความสามารถในการกำจัดคราบที่ดีขึ้นถึง 5 เท่า แต่การทดสอบของ CHOICE พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ราคาขวดละ 14.70 เหรียญ (395 บาท) กลับมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจากไวน์ น้ำมัน ดิน ซอส และกาแฟ น้อยกว่าน้ำเปล่าด้วยซ้ำ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเกินจริง

หากเราตัดสินใจเช่าซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามที่ตกลงกันไว้ ทางออกที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้บริษัทยึดรถคันดังกล่าวไปขายทอดตลาด และเราก็รอชำระหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องกลับถูกเรียกร้องให้ชำระหนี้เท่ากับราคาขายทอดตลาด ซึ่งเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเราลองมาดูกัน   เมื่อปี 2549 คุณสุชัยเช่าซื้อรถยนต์มือหนึ่งยี่ห้อ Honda รุ่น Accord ในราคาเกือบ 2 ล้านบาท จากบริษัทแห่งหนึ่ง โดยตกลงแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 60 เดือน หลังผ่อนชำระไปได้ 17 งวดก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ค้างชำระติดกันเป็นเวลาหลายเดือน จึงตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งให้ธนาคารมารับรถคืนไป โดยคิดว่าคงมีการนำรถไปขายทอดตลาด และให้ชำระหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลังผ่านไป 8 ปีกลับมีหมายศาลมาที่บ้านว่า เขาเป็นหนี้รถยนต์คันดังกล่าวอยู่กว่า 7 แสนบาท ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นราคาที่เกินจริง เนื่องจากไม่มีการแจ้งก่อนหน้านี้ว่ารถคันดังกล่าวขายได้ราคาเท่าไร ทำให้คุณสุชัยส่งเรื่องมาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายแนวทางการแก้ไขปัญหาทนายความของศูนย์พิทักษ์สิทธิช่วยทำคดีนี้ให้คุณสุชัย เพราะเมื่อตรวจสอบย้อนหลังพบว่า ทางธนาคารหรือผู้ให้เช่าซื้อ ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวขายทอดตลาดไปแล้ว ทั้งยังอ้างว่าได้ราคากว่า 7 แสนบาท แต่ทางบริษัทกลับมาเรียกร้องเอาเงินจำนวนดังกล่าวกับคุณสุชัยอีก อย่างไรก็ตามเมื่อฟ้องร้องคดีในศาลก็ได้รับข้อยุติว่า บริษัทไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดแจ้งว่า ทางธนาคารได้รับรถยนต์คันดังกล่าวคืนจากผู้ร้องเมื่อใด และขณะนั้นรถยนต์มีสภาพทรุดโทรมหรือได้รับความเสียหายเท่าใด ดังนั้นราคาขายทอดตลาดรถยนต์คันเช่าซื้อที่บริษัทอ้างจึงมีน้ำหนักน้อย ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าราคาเช่าซื้อที่ขาดเป็นจำนวนตามที่ฟ้องนอกจากนี้เบี้ยปรับตกลงไว้ ถือเป็นการกำหนดความรับผิดล่วงหน้าในลักษณะทำนองเบี้ยปรับ จึงเห็นว่าราคาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องมีการคิดราคาบวกด้วยผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่ราคาทรัพย์ที่แท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้รับค่าเช่าซื้อบางส่วนกับราคาขายรถยนต์คันนี้แล้ว จึงกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้เพียง 50,000 บาท โดยคำนวณจากราคาที่ผู้ร้องได้ชำระไปแล้ว รวมราคาที่บริษัทอ้างว่าขายทอดตลาดได้ นำไปหักลบจากราคารถยนต์ในขณะที่ทำสัญญา พร้อมให้จ่ายดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ตามหลักตามกฎหมายสัญญาเช่าซื้อ กำหนดเรื่องการคืนรถยนต์ไว้ว่า เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถยนต์คันดังกล่าวกลับคืนไปแล้ว ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน ผู้ร้องไม่ต้องชดใช้ค่างวดรถตามสัญญาแล้ว โดยเมื่อมีการนำรถขายทอดตลาด ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้เช่าซื้อทราบไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อได้ตามจำนวนหนี้คงค้างตามสัญญา หากนำรถขายได้ราคาน้อยกว่าหนี้ที่ค้าง ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดชอบส่วนที่ขาดเฉพาะในกรณีที่เจ้าของได้ขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสม ซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่ไม่ได้กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับภาระสูงเกินกว่าที่ควร นอกจากนี้สำหรับใครที่ต้องการคืนรถไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ควรเก็บหลักฐานสำคัญไว้ด้วย ดังนี้ รูปถ่ายสภาพรถหลายๆ มุม ใบประเมินราคารถว่าในขณะนั้นหากขายทอดตลาดจะได้ราคาประมาณเท่าไร รวมทั้งเอกสารการส่งรถคืน เนื่องจากจะได้มีหลักฐานยืนยันหากเกิดกรณีฟ้องร้องขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2559 แอบอ้างโลโก้ สธ. หลอกขายเครื่องสำอางสื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางหลักของบรรดาพ่อค้า-แม่ค้าในการลงโฆษณาขายสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารเสริม เครื่องสำอาง ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผ่านการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้บ่อยครั้งที่เราได้เห็นข่าวที่ผู้บริโภคหลงซื้อไปกินไปใช้เพราะเชื่อในสรรพคุณที่โฆษณา แต่สุดท้ายกับต้องเจอกับผลลัพธ์ที่น่าเศร้า เสียงทั้งเงิน เสียทั้งสุขภาพล่าสุดเจอกรณีที่น่าตกใจ เมื่อมีผู้ผลิตเครื่องสำอางเจ้าหนึ่ง เหิมเกริมถึงขั้นสร้างเพจเฟซบุ๊คแอบอ้างว่าเป็นเพจของ กระทรวงสาธารณสุข ใช้ภาพโลโก้ของกระทรวง พร้อมมีการใช้ข้อความที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม พร้อมแนบลิงค์เชิญชวนให้คลิ๊กต่อเพื่อไปยังหน้าเว็บไซต์ขายผลิตภัณฑ์นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และโฆษก สธ. ออกมายืนยันแล้วว่าหน้าเพจเฟซบุ๊คดังกล่าวไม่ใช่ของกระทรวง เป็นการแอบอ้างของผู้ไม่หวังดีที่จงใจให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิด พร้อมยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุข ไม่มีนโยบายขายสินค้าทางสื่อออนไลน์ ซึ่งทางกระทรวงเตรียมเดินหน้าเอาผิดผู้ที่กระทำการดังกล่าวตามกฎหมาย และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่าผ่านการรับรองหรือไม่ ทั้งนี้ได้ฝากเตือนมายังผู้บริโภคอย่าลืมตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ให้ชัดเจนถูกต้อง มีแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ ยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าปลอดภัย ได้รับการรับรองถูกต้องจาก อย. ชื่อ-ที่อยู่ผู้ผลิต-ผู้ขายถูกต้องตรวจสอบได้สมอ.ฟัน!!!เครื่องสำอางของเล่นเด็ก “BARBIE” ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายหลังจากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ได้ซื้อของเล่นเด็กที่มีลักษณะคล้ายเครื่องสำอางจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต โดยพบว่าของเล่นชิ้นดังกล่าวหมดอายุมากว่า 2 ปี ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้ทำหนังสือแจ้งไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง บริษัทนำเข้าสินค้า ห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้า และหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาล่าสุด ทาง สมอ. ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า จากการตรวจสอบบริษัท โซลิด เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด บริษัทฯ ที่นำเข้าสินค้าดังกล่าว พบว่าบริษัทฯ ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก สมอ.ให้นำเข้าผลิตภัณฑ์นั้น จึงได้อายัดผลิตภัณฑ์ไว้ และอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามกฎหมาย ทางด้าน อย. ได้แจ้งกลับมาว่าได้ตรวจสอบสถานที่นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเล่นดังกล่าวแล้ว ชี้ชัดว่าของเล่นดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง ซึ่งการไม่จดแจ้งถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ.2558ทางด้านบริษัทโซลิดฯ ส่งหนังสือใบอนุญาตมายังมูลนิธิฯ โดยแจ้งว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะนำเข้าสินค้าใดๆ ที่ไม่ตรงตามใบอนุญาต โดยบริษัทฯ ดำเนินการขอใบอนุญาตกับ สมอ.มาตลอด และมีใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์หลายฉบับ พร้อมกับส่งตัวอย่างใบอนุญาตนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร แต่อย่างไรก็ดี เอกสารที่บริษัทฯ ส่งมาไม่มีใบอนุญาตของผลิตภัณฑ์ตัวที่เป็นข่าวแต่อย่างใดทั้งนี้ทางมูลนิธิฯ มีข้อเรียกร้องไปยังหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในเรื่องนี้ ต้องเข้มงวดในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้า ให้ถูกต้องตรงตามมาตรฐาน และผ่านการรับรองยืนยืนว่าปลอดภัยก่อนอนุญาตให้วางจำหน่าย และเอาผิดกับผู้ลักลอบไม่ปฏิบัติตามกฏหมายอย่างจริงจังผู้ประกันตนเฮ!!! สิทธิทำฟัน 900 บาท เต็มวงเงินไม่มีเงื่อนไขคณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เห็นชอบยกเลิกประกาศแนบท้าย สิทธิค่าบริการทันตกรรรมที่ปรับเพิ่มจาก 600 บาท เป็น 900 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข จากเดิมที่มีการกำหนดเพดานเงินในการรักษาแต่ละประเภทเอาไว้ดังนี้ 1.ขูดหินปูนทั้งปาก อัตราค่าบริการ(เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน) 400 บาท 2. อุดฟันด้วยวัสดุอะมอลทัม (Amalgam) 1 ด้าน 300 บาทอุด 2 ด้าน 450 บาท 3.อุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน 1 ด้าน กรณีฟันหน้า 350 บาท กรณีฟันหลัง 400บาท อุด 2 ด้าน กรณีฟันหน้า 400 บาท กรณีฟันหลัง 500 บาท 4.ถอนฟันแท้ 250 บาท ถอนฟันที่ยาก 450 บาท และ 5.ผ่าฟันคุด 900 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากข้อเรียกร้องของกลุ่มภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็น  คณะทำงานการปฏิรูประบบประกันสังคม  เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) เครือข่าย ฟ.ฟันสร้างสุข และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ที่ได้ทำหนังสือเรียกร้องไปยัง สปส. เพราะเห็นประกาศแนบท้ายฉบับดังกล่าวเป็นการกำจัดสิทธิในการรักษาทางทันตกรรมของผู้ประกันตน และอาจทำให้เกิดความสับสนในการใช้สิทธิทั้งนี้สิทธิด้านทันตกรรม ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิการรักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ในวงเงินค่ารักษาไม่เกิน 900 บาท หากกรณีที่มีค่ารักษาสูงกว่า 900 บาท สถานพยาบาทต้องแจ้งให้ผู้ประกันตนทราบก่อนดำเนินการรักษาตรวจจับ ปรับจริง เต็นท์รถยนต์มือสองสคบ. เปิดตัวโครงการ "ตรวจจับ ปรับจริง เต็นท์รถยนต์มือสอง" เอาผิดกับผู้ประกอบการขายรถยนต์มือสองที่เอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา สคบ.ได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาจากการซื้อรถยนต์มือสองผ่านเต็นท์รถต่างๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ความยุ่งยากในการนำรถไปจดทะเบียนต่อ รถที่นำไปใช้เกิดการชำรุดง่าย โดยผู้ประกอบการไม่รับแก้ไข และปัญหาตกแต่งตัวเลขระยะทางการใช้รถ ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่ปัญหาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก สคบ.ยอมรับว่ามาจากการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดความเข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการไม่ยำเกรงโดยโครงการนี้เจ้าหน้าที่ของ สคบ.จะทำการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเต็นท์รถยนต์มือสอง โดยจะดูเรื่องการติดฉลากแจ้งข้อมูลของรถยนต์มือสองที่จำหน่าย และความถูกต้องเรื่องการทำสัญญาซื้อขาย เพราะปัจจุบันมีกฎหมายจำนวน 2 ฉบับ ที่ใช้ควบคุมการประกอบธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 35(2556) เรื่อง ให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าควบคุมฉลาก กำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจต้องจัดทำฉลากสินค้า ระบุรายละเอียดสำคัญ คือ ชื่อ ประเภทหรือชนิดของสินค้า ชื่อและสถานที่ประกอบการของผู้ขาย ขนาดหรือน้ำหนัก สมุดคู่มือการบำรุงรักษารถ และข้อมูลการประสบภัย  อีกฉบับคือ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้วเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2550 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีหลักฐานการรับเงินให้กับผู้บริโภค โดยระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนชัดเจนผู้บริโภคค้านโอนย้ายตรวจอาหารนำเข้าให้กระทรวงเกษตรฯ ห่วงอาหารไม่ปลอดภัยกลับสู่ตลาดอนุกรรมการด้านอาหารและยา องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คบอช.) ออกแถลงถึงความกังวลต่อการที่ อย. ออกประกาศถ่ายโอนย้ายหน้าที่ในเรื่องการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหารกลุ่มที่ยังไม่แปรรูป ไปให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแล หวั่นผู้บริโภคเสี่ยงต่อการได้รับอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในส่วนของอาหารที่ถูกตีกลับ ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ ก็ดูแลในส่วนของการส่งออกอาหารอยู่แล้ว อนุกรรม คบอช. กังวลว่าจะใช้เรื่องการนำเข้าอาหารซึ่งต้องยึดเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลักสำคัญไปเป็นการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าน.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล อนุกรรมการด้านอาหารและยา คบอช. ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปรกติของประกาศฉบับนี้ว่า เป็นประกาศ อย. ที่ไม่ได้อ้างอิงถึงอำนาจตามกฎหมาย แต่อ้างอิงนโยบายรัฐมนตรีและข้อเสนอคณะทำงานจัดทำแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ภายใต้คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีเพียงแค่ภาครัฐและนักธุรกิจ แต่ไม่มีตัวแทนผู้บริโภค นอกจากนี้การตรวจสอบสินค้าอาหาร อย.ไม่สามารถถ่ายโอนภารกิจให้กระทรวงเกษตรฯได้เพราะ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ไม่ได้ให้อำนาจ อย.กระทำเช่นนั้น การถ่ายโอนภารกิจของ อย.ไปให้กระทรวงเกษตรฯ จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายน.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหารและยา คบอช. กล่าวว่าจากประกาศฉบับนี้ ส่งผลโดยตรงให้กระทรวงเกษตรฯ มีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ถ้าดูจากที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ เองก็เคยเจอปัญหาเรื่องที่มีการพบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานในผัก-ผลไม้ที่ได้รับมาตรฐาน Q และ Organic Thailand จากกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการกำกับดูแลมาตรฐานสินค้าของกระทรวงเกษตรฯ ยังมีปัญหาอนุกรรมการด้านอาหารและยา คบอช. เสนอให้มีการทบทวนประกาศฉบับดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้กระทรวงเกษตรฯ ชี้แจงอย่างละเอียดว่า มีกระบวนการตรวจสอบสินค้าตีกลับอย่างไร มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยและการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 จ่ายจริงมากกว่าราคาที่แสดงไว้

สินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ มักมีราคาติดไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่าหากต้องการซื้อสินค้าดังกล่าว ต้องจ่ายเงินเท่าไร อย่างไรก็ตามหากเรานำสินค้านั้นๆ ไปจ่ายเงินที่พนักงานคิดเงิน แล้วพบว่าราคาไม่ตรงตามป้าย สิ่งที่เราควรทำคือ ปกป้องสิทธิของตัวเอง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณจอห์นเป็นชาวต่างชาติที่มักซื้อสินค้าจากร้านค้าวิลล่า มาร์เก็ต (Villa market) เป็นประจำ เพราะร้านดังกล่าวจำหน่ายสินค้าต่างๆ มากมาย ทั้งของสด ของแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภคในครัวเรือน รวมทั้งสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ วันหนึ่ง ภายหลังจากการเลือกซื้อขนมคบเขี้ยวยี่ห้อหนึ่งเป็นจำนวนมาก ซึ่งป้ายแสดงราคาว่า 49 บาทต่อถุง แต่เมื่อนำไปชำระเงินกลับพบว่ากลายเป็น 59 บาทต่อถุง คุณจอห์นไม่แน่ใจว่าตัวเองดูราคาผิดไปหรือไม่ ดังนั้นเมื่อชำระเงินเสร็จเรียบร้อย เขาจึงกลับไปถ่ายรูปราคาสินค้าจากชั้นวางขายเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมสอบถามไปกับผู้จัดการสาขา ผู้จัดการสาขาได้ชี้แจงกลับมาว่าราคา 49 บาทเป็นโปรโมชั่นเก่า อย่างไรก็ตามเมื่อออกมาจากร้านเขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปสอบถามที่ร้านดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งพบว่าคำตอบกลับไม่เหมือนเดิม ครั้งนี้ผู้จัดการร้านคนเดิมกลับแจ้งว่า ราคา 49 บาทเป็นโปรโมชั่นล่าสุดสำหรับวันนี้ดังนั้นคุณจอห์นจึงตัดสินใจแวะไปร้านค้าดังกล่าว ในอีกสาขาหนึ่งและซื้อสินค้าชนิดเดียวกัน ซึ่งพบว่าบนชั้นวางขายก็ติดราคาไว้ที่ 49 บาท แต่เมื่อนำมาชำระเงินก็ถูกคิดราคา 59 บาทเช่นเดิม เขาจึงเชื่อว่าการกระทำของร้านค้าดังกล่าว ถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค จึงส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ ได้ส่งเอกสารการร้องเรียนไปยังกรมการค้าภายใน เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของร้านค้า โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายกับร้านค้า และขอให้แจ้งผลการดำเนินการกลับมายังศูนย์ฯ โดยสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน คือ ใบเสร็จรับเงิน และรูปถ่ายราคาสินค้าจากชั้นวางขาย ทำให้ภายหลังได้รับเรื่อง กรมการค้าภายในจึงดำเนินการสั่งปรับ นิติบุคคลของร้านค้า วิลล่า มาร์เก็ต 3,000 บาท และผู้จัดการร้านทั้ง 2 สาขา คนละ 1,500 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลนำจับให้ผู้ร้องอีก ร้อยละ 25 ของราคาปรับ คือ 1,500 บาท 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 น้ำซึมเข้าห้องพักทำของเสียหาย ใครรับผิดชอบ

ปัญหาน้ำรั่วซึมภายในห้องพัก นับเป็นเรื่องกวนใจผู้เช่าอย่างมาก เพราะสามารถทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเราสามารถเรียกร้องให้ทางหอพักชดเชยค่าเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้คุณปาริชาตเช่าห้องพักอยู่แถวปิ่นเกล้า วันดีคืนดีมีน้ำสกปรกออกมาจากท่อน้ำทิ้งในห้องน้ำ และภายหลังได้ล้นเข้ามาจนถึงห้องนอน ทำให้ทรัพย์สินภายในห้องเสียหาย ซึ่งรวมๆ แล้วเป็นมูลค่ากว่า 8,000 บาท เธอจึงไปแจ้งเจ้าของห้องเช่าเพื่อให้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่เจ้าของก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาพบหน้า ทำให้เธอร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาภายหลังเจ้าของหอพักได้รับการติดต่อก็ยินดีที่จะรับผิดชอบ โดยรับปากว่าจะดำเนินการซ่อมแซมท่อน้ำและจะชดใช้ค่าเสียหายให้ 1,000 บาท ด้านผู้ร้องเห็นว่าเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป ศูนย์ฯ จึงแนะนำให้ผู้ร้องเสนอจำนวนเงินที่ต้องการให้เจ้าของหอรับผิดชอบอย่างไรก็ตามเมื่อมีการเจรจาอีกครั้ง เจ้าของหอเสนอค่าชดเชยความเสียหายที่ราคา 2,000 บาท และแจ้งว่าหากผู้ร้องไม่พอใจสามารถย้ายออกได้และจะคืนเงินค่าประกันให้ ทำให้ผู้ร้องต้องยินยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวไป เพราะเธอไม่ต้องการย้ายออก เนื่องจากหอพักดังกล่าวอยู่ใกล้ที่ทำงาน ทั้งนี้หากเจ้าของหอพักไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือซ่อมแซมท่อน้ำดังกล่าว ผู้ร้องสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ เพราะอาจเข้าข่ายความผิดตามหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ให้เช่า ตามมาตรา 550 ที่กำหนดให้ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องและจัดการซ่อมแซม ซึ่งไม่สามารถปัดภาระการซ่อมมาให้ผู้เช่าห้องได้ เพราะตามมาตรา 547 กำหนดให้ผู้เช่าเสียค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติ และเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 179 สำรวจ “ร้านค้าออนไลน์” เจ้าไหนน่าช้อปกว่ากัน

เพราะปัจจุบันนี้ชีวิตของเราสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสั่งการผ่านทางหน้าจอสมาร์ทโฟน ด้วยเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารที่ถูกพัฒนามาไกล ล่าสุดก็เพิ่งจะประมูลคลื่น 4จี กันไป สัญญาณอินเตอร์เน็ท และ ไว-ไฟ ก็หาใช้ได้ไม่ยาก ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่หลายๆ คนหันมาทำผ่านทางออนไลน์มากขึ้นก็คือ “การช้อปปิ้ง” ซึ่งเดี่ยวนี้ก็มีร้านค้าและสินค้าให้เลือกซื้อผ่านทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากไว้คอยเอาใจขาช้อป ถือเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบรับกับยุคสมัย ยุคที่เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น           รูปแบบของ “ร้านค้าออนไลน์” ในปัจจุบัน 1.เว็บไซต์ที่เป็นของผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้าเองโดยตรงเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในลักษณะนี้จะเป็นเว็บไซต์ที่ทางร้านค้าทำขึ้นเพื่อเปิดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง เช่น www.apple.com/th หรือ shop.adidas.co.th เป็นต้น หรือไม่ก็เป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าเฉพาะกลุ่มชัดเจน เช่น www.jib.co.th/web/ (ร้าน เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์) ที่ขายเฉพาะอุปกรณ์ด้านไอที หรือ www.naiin.com (ร้านนายอินทร์) ที่ขายเน้นขายหนังสือและนิตยสารต่างๆ เป็นหลัก เป็นต้น เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้านปกติอยู่แล้ว แต่มาขยายช่องทางเปิดเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ รองรับกระแสที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาช้อปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟนและหน้าจอคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น 2.เว็บไซต์แบบ ตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Marketplaceเป็นเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เหมือนตลาดกลางที่รวบรวมสินค้าจากร้านค้าหรือบริษัทต่างๆ เอาไว้ภายในเว็บไซต์เดียว เหมือนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีร้านค้าต่างๆ มากมายมาเช่าพื้นที่เปิดร้านขายสินค้า จุดเด่นของเว็บไซต์ในลักษณะนี้ก็คือการมีสินค้าหลากหลายประเภทให้เลือกซื้อ มีสินค้าให้เลือกเยอะ ทำให้สามารถเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติของสินค้าที่เราต้องการได้จากหลายๆ ร้านค้าที่อยู่ในเว็บไซต์ ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลเพราะในเว็บไซต์จะจัดแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าแต่ละประเภทเอาไว้แล้ว เว็บไซต์รูปแบบ e-Marketplace ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมี 2 แบบ คือแบบที่เว็บไซต์ทำหน้าที่ตั้งแต่การขาย การสั่งซื้อ การรับชำระค่าสินค้า ไปจนถึงการจัดส่ง สินค้าที่ขายส่วนใหญ่เป็นสินค้ายี่ห้อดังเป็นที่รู้จักทั่วไป ได้แก่ www.shopat7.com และ www.itruemart.com เป็นต้น อีกแบบจะเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะร้านค้าจากผู้ค้ารายย่อยสามารถสมัครเข้ามาขายสินค้าของตัวเองได้ ตัวเว็บไซต์จะรับหน้าที่เป็นตัวกลางดูแลเรื่องระบบการสั่งซื้อและชำระค่าสินค้าเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการส่งสินค้าร้านจะดำเนินการเองเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละร้านค้า เว็บไซต์ในกลุ่มนี้ได้แก่ www.weloveshopping.com, www.tarad.com, www.lazada.co.th และ www.ensogo.co.th เป็นต้น 3.เว็บไซต์แบบ ตลาดนัดออนไลน์ หรือ e-Classifiedเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในแบบ  e-Classified  เป็นเว็บไซต์ขายสินค้าที่ไม่ว่าใครก็สามารถลงขายสินค้าได้โดยไม่เสียค่าบริการหรือค่าคอมมิชชั่นใดๆ ความรู้สึกคล้ายกับการเปิดแผงลอยในตลาดนัด ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าหรือบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ก็สามารถมาลงขายสินค้ากับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์แบบ e-Classified ได้ มีสินค้าแค่ชิ้นเดียว เป็นสินค้าเก่า ของมือสอง ของที่ใช้เองแล้วอยากขาย ก็สามารถนำมาลงขายได้ เพียงแต่ขั้นตอนในการซื้อขาย ตัวผู้ประกาศลงขายสินค้าก็ต้องรับหน้าที่ดำเนินการต่อเองทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการติดต่อซื้อขายกับผู้ซื้อ การชำระค่าสินค้า การจัดส่ง เว็บไซต์ e-Classified เป็นแค่พื้นที่กลางในการลงประกาศขายสินค้าเท่านั้น เว็บไซต์แนวนี้ที่เป็นที่รู้จักกันก็คือ www.kaidee.com4.ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ (Facebook, Instagram, Line) ในการขายสินค้าโซเชียลมีเดีย หรือ สังคมออนไลน์ ถือเป็นมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ การซื้อขายสินค้าและการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันมีจำนวนผู้ที่ใช้เว็บไซต์และโปรแกรมโซเซียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่องทางดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อการประกอบธุรกิจ ทั้งกลุ่มสินค้าชื่อดังและกลุ่มผู้ค้ารายย่อย ต่างก็หันมาใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการขายสินค้า ทั้งวิธีการทำหน้าเพจเพื่อค้าสินค้าโดยตรง หรือการนำไปประกาศขายตามกลุ่มที่มีการขายสินค้าต่างๆ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากใน Facebook ที่สามารถทำได้โดยง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่ใน Instagram ที่เป็นแอพลิเคชั่นสำหรับแช่ร์รูปถ่าย ก็ยังถูกนำไปใช้เพื่อเปิดเป็นร้านค้าออนไลน์ ช่องทางโซเชียลมีเดียเหล่านี้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อได้เป็นจำนวนมากแต่ใช้การลงทุนที่แทบจะเป็นศูนย์ การติดต่อพูดคุยเพื่อซื้อขายรวมถึงการชำระค่าสินค้าทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว จบทุกอย่างได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว ทำให้ไม่ใช้เรื่องน่าแปลกใจที่จะเกิดพ่อค้า-แม่ค้าหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากตามโซเชียลมีเดียต่างๆ (ในปี 2015 ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยใช้ Facebook มากถึง 35 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศทั้งหมด, Line มีจำนวนผู้ใช้อยู่ที่ 33 ล้านคน ส่วน Instagram มีผู้ใช้จำนวน 2 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะมีแนวโน้นของจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ที่มา: www.zocialinc.com) ข้อดี - ข้อเสียของการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ข้อดี-สะดวกสบาย สามารถซื้อสินค้าผ่านทางสมาร์ทโฟน หน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องเดินทางไปซื้อที่ร้าน ประหยัดค่าเดินทาง ประหยัดเวลา-สามารถซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั้วโมง -มีสินค้าให้เลือกเป็นจำนวนมาก ง่ายต่อการเปรียบเทียบราคา คุณภาพของสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ-มีจัดโปรโมชั่นและให้ส่วนลดในการซื้อสินค้าอยู่เสมอข้อเสีย-ผู้ซื้อต้องมีความรู้เรื่องการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์โฟน และอินเทอร์เน็ต-ไม่ได้เห็นสินค้าตัวจริง สินค้าจับต้องไม่ได้ -การจัดส่งต้องใช้เวลาหลายวัน และต้องเสียค่าจัดส่ง-ต้องศึกษาข้อมูลหรือมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการซื้ออยู่บ้างแล้ว-ต่อรองราคาไม่ได้วิธีป้องกันการถูกหลอกจากการซื้อสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ควรเลือกเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ชื่อดังที่เป็นที่นิยมและเป็นที่ยอมรับ เพราะเว็บไซต์เหล่านี้มีมาตรฐานเรื่องความปลอดภัย มีที่ตั้งบริษัทหรือร้านค้าที่แน่นอน หากเกิดปัญหาจากการสั่งซื้อสินค้าก็สามารถติดตามเพื่อดำเนินการแก้ไขได้ง่าย มีระบบการจ่ายเงินและการส่งสินค้าที่ปลอดภัย มีนโยบายคืนสินค้าและคืนเงินที่เป็นมาตรฐาน แต่ที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษก็คือการซื้อสินค้าออนไลน์จากพ่อค้า-แม่ค้ารายย่อย ที่โพสต์ขายสินค้าเองตามโซเชียลมีเดียต่างๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อาจมีปัญหาในการติดตามตัวเวลาที่การปัญหาหลังจากซื้อสินค้า รวมทั้งอาจมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้าด้วย โดยที่ผู้ซื้อยากต่อการตรวจสอบ ข้อควรปฏิบัติเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์กับร้านค้าในโซเชียลมีเดีย-เลือกซื้อกับร้านค้าหรือผู้ขายที่แสดงตัวตนชัดเจน มีการเปิดเผยหลักฐานบัตรประชาชน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถติดตามตัวได้-ดูประวัติการซื้อขายก่อนหน้านี้ของผู้ขายว่ามีประวัติที่ไม่ดีหรือเปล่า เช่น สินค้ามีปัญหา หรือส่งของไม่ตรงเวลา โดยดูได้จากการแสดงความคิดเห็นของลูกค้าคนอื่นๆ ที่เคยซื้อสินค้ากับผู้ขายรายนี้มาก่อน ในหน้าเว็บหรือหน้า Facebook หรือนำชื่อผู้ขายชื่อร้านค้าไปลองเสิร์ชหาข้อมูลใน Google-ข้อดูรูปถ่ายสินค้าตัวจริง ขอดูภาพมุมต่างๆ ของสินค้าให้มากที่สุด สอบถามตำหนิต่างๆ ของสินค้าจากผู้ขายให้ชัด ก่อนตัดสินใจซื้อ-สอบถามเรื่องวิธีการส่งสินค้าและวันที่จะได้รับสินค้าจากผู้ขายเสมอ-ขอหลักฐานการส่งสินค้า เช่น ใบเสร็จจากไปรษณีย์ เพื่อใช้ยืนยันว่ามีการส่งสินค้าจริง-บันทึกการสนทนาการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเก็บไว้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดปัญหา-ควรบันทึกภาพหน้าเพจร้านค้าใน Facebook หรือข้อความโพสต์ขายสินค้าบนโซเชียลมีเดียเก็บเอาไว้ เพื่อใช่เป็นหลักฐานเมื่อเกิดปัญหา เพราะบ่อยครั้งที่ผู้ขายที่ตั้งใจหลอกลวงจะปิดหน้าเพจ Facebook หรือลบข้อความทิ้ง-เมื่อถูกโกงจากการซื้อของออนไลน์ให้นำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ประกอบการ E-Commerce หรือ การทำธุรกรรมซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ไทยในปัจจุบันมีจำนวน 502,676 ราย มูลค่าของ E-Commerce ในประเทศไทย เมื่อปี 2557 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเท่ากับ 2,033,493.4 ล้านบาท มูลค่า E-Commerce แยกตามแต่ละประเภทธุรกิจ (ปี 2558)1.การให้บริการที่พัก 658,909.76 ล้านบาท2.การผลิต 350,286.83 ล้านบาท3.ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 303,1111.48 ล้านบาท4.การค้าปลีก และ การค้าส่ง 325,077.48 ล้านบาท5.การขนส่ง 59,572.42 ล้านบาท6.ศิลปะ ความบันเทิง และนันทนาการ 11,694.22 ล้านบาท7.กิจกรรมการบริการด้านอื่นๆ 4,348.23 ล้านบาท8.การประกันภัย 1,751.62 ล้านบาท มูลค่าของสินค้าและบริการ แต่ละประเภทในธุรกิจ E-Commerce 1.คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ 25.66%2.เครื่องสำอาง และอุปกรณ์เสริมความงาม 24.42%3.แฟชั่น เครื่องแต่งกาย 17.27%4.สินค้าปลีกและส่งอื่นๆ 16.01%5.เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน 5.65%6.ห้างสรรพสินค้าออนไลน์ 5.61%7.อาหาร และเครื่องดื่ม 2.54%8.อุปกรณ์การกีฬา ของเล่นและของที่ระลึก 2.48%9.การจำหน่ายยายยนต์และผลิตภัณฑ์ 0.37% ที่มา: รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในประเทศไทย ปี 2558, สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 125 Call center ปฏิบัติการ โทรหาเธอวันละ 3 เวลา

  ฉลาดซื้อลงเรื่องทดสอบประสิทธิภาพของโทรศัพท์มือถือมาแล้วหลายครั้ง คราวนี้ขอลองทดสอบดูการให้บริการลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์หรือคอลเซ็นเตอร์ ของแต่ละเครือข่ายดูบ้าง หลายคนคงอยากรู้ว่าคนอื่นๆ ที่เป็นลูกค้าของเครือข่ายอื่นๆ เขาต้องรอนานเหมือนเราหรือเปล่า  อาสาสมัครช่างโทรของเรา รับหน้าที่โทรเข้า Call center ของผู้ประกอบการโทรคมนาคม 3 บริษัท ได้แก่ AIS DTAC และTRUE MOVE วันละ 3 เวลา (09:00 น. 12:30 น. และ 20:00 น.) ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มิใช่เพื่อการเม้าท์มอยด้วยความคิดถึง แต่เพื่อจับเวลาในการรอสาย   โดยเริ่มนับจากเวลาที่โทรติด จากนั้นฟังขั้นตอนต่างๆ จากระบบให้ข้อมูลอัตโนมัติของเครือข่าย จนกระทั่งได้ข้อมูลว่าต้องกดหมายเลขอะไรเพื่อติดต่อโอเปอเรเตอร์ และหยุดนับเวลาเมื่อโอเปอเรเตอร์รับสาย แต่ทั้งนี้อาสาสมัครจะวางสายเองถ้าต้องรอมากกว่า 5 นาที   จากการโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ของแต่ละบริษัท บริษัทละ 45 ครั้ง ทำให้เราได้ข้อมูลเรื่องระยะเวลาในการรอสายมาเล่าสู่กันฟังดังนี้   เวลาเฉลี่ยในการรอสายของแต่ละเครือข่าย1 นาที 15 วินาที  DTAC  1 นาที 59 วินาที  TRUE MOVE 2 นาที 39 วินาที  AIS   เวลาเฉลี่ยในการรอสายเมื่อโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ ในช่วงเวลาต่างๆ ของแต่ละเครือข่าย เวลา / เครือข่าย AIS DTAC TRUE MOVE 9:00 น. 3 นาที 03 วินาที 1 นาที 12 วินาที 1 นาที 46 วินาที 12:30 น. 1นาที 52 วินาที 1 นาที 49 วินาที 1 นาที 58 วินาที 20:00 น. 3 นาที 04 วินาที 1 นาที 56 วินาที 3 นาที 02 วินาที   • ถ้าคุณเป็นลูกค้า AIS เวลาที่เหมาะจะโทรปรึกษาคอลเซ็นเตอร์ คือช่วงเที่ยงๆ เพราะตอนเช้าและหัวค่ำนั้นคุณอาจจะต้องรอไม่ต่ำกว่า 3 นาที• ลูกค้า DTAC นั้นจะโทรเช้า เที่ยง หรือเย็นก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่ข่าวดีคือรอไม่เกิน 2 นาที• ลูกค้า TRUE MOVE กรุณาอย่าโทรช่วงหัวค่ำเพราะต้องรอมากกว่า 3 นาที เปลี่ยนมาโทรช่วงเช้าหรือเที่ยงจะดีกว่า___  อาสาสมัครของเราทดลองโทรเข้าไปขอข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนไปใช้บริการของเครือข่ายอื่น พบว่าแต่ละเครือข่ายยินดีให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจ พูดจาสุภาพ และไม่พยายามจะตื้อให้เราใช้เครือข่ายเดิมต่อแต่อย่างใด ___ โพลล์ “ครอบครัวฉลาดซื้อ” รอสายกันนานไหมคราวนี้เราได้รับความร่วมมือจาก “ครอบครัวฉลาดซื้อ” สมาชิกฉลาดซื้อ และผู้เข้าร่วมการสัมมนาเรื่ององค์การอิสระผู้บริโภคที่โรงแรมเอเชีย ในวันคุ้มครองผู้บริโภค 30 เมษายน 2554 ทั้งหมด 275 คน ในการช่วยให้ข้อมูลเรื่องการรอสายรับบริการจากศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์   ___  ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 275 คน• ร้อยละ 37 เป็นลูกค้าของดีแทค DTAC • ร้อยละ 35.8 เป็นลูกค้าของเอไอเอส AIS• ร้อยละ 24.2 เป็นลูกค้าของทรูมูฟ TRUE MOVE• ร้อยละ 3 เป็นลูกค้าของฮัทช์ HUTCHผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 87.5) ใช้บริการมาแล้วกว่าสองปี ___ • ร้อยละ 76.8 ของผู้ให้ข้อมูล เคยประสบปัญหาจากการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัญหาเรื่องระบบสัญญาณ   ร้อยละ 59.5  ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบริการเสริมต่างๆ  ร้อยละ 20 ปัญหาค่าบริการ    ร้อยละ 13.6 และปัญหาอื่นๆ     ร้อยละ 6.8   • การสำรวจครั้งนี้พบว่า  ทรูมูฟ มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา  ร้อยละ 82.8เอไอเอส มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา ร้อยละ 75.3ฮัทช์ มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา  ร้อยละ 75ดีแทค มีลูกค้าที่เคยประสบปัญหา  ร้อยละ 74.7  • สามอันดับปัญหายอดฮิตปัญหาเรื่องสัญญาณ  ร้อยละ 59.7ปัญหาเรื่องบริการเสริม  ร้อยละ 19.9ปัญหาเรื่องค่าใช้บริการ  ร้อยละ 13.4   • ร้อยละ 75.8 ของผู้ให้ข้อมูล เคยใช้บริการคอลเซ็นเตอร์ ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 34.2  รอสายประมาณ 3 ถึง 5 นาที ร้อยละ 32.9  รอสายน้อยกว่า 3 นาที ร้อยละ 21  รอสาย 5 ถึง 10 นาที ร้อยละ 11.9  รอสายเป็นเวลามากกว่า 10 นาที  ----ร้อยละ 12 ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยรอสายมากกว่า 10 นาทีร้อยละ 38.5 ของคนที่เคยรอสายนานกว่า 10 นาทีเป็นลูกค้าของ TRUE MOVE ----

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 122 “ฮัลโหล ฮัลโหล ...ใช้โปรฯ ไหนอยู่ค่ะ”

มาเลือกซิมและโปรโมชั่มมือถือให้เหมาะกับการใช้งานกันดีกว่า   “โทรศัพท์มือถือ” กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะมันมีประโยชน์อย่างมากในการติดต่อสื่อสาร การทำงาน เรียกว่าโทรศัพท์มือถือช่วยทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น บางคนถึงขั้นยอมรับว่าถ้าขาดโทรศัพท์มือถือไปก็เหมือนกับขาดใจ ทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว   ยิ่งทุกวันนี้โทรศัพท์มือถือถูกพัฒนาออกมาให้มีระบบการทำงานและลูกเล่นต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ทั้ง ถ่ายรูป ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต (ฉลาดซื้อเราก็นำเสนอผลทดสอบประสิทธิภาพต่างๆ ของโทรศัพท์มือถืออยู่บ่อยๆ) แต่ไม่ว่าโทรศัพท์มือถือจะถูกพัฒนาไปไกลแค่ไหน หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของโทรศัพท์มือถือก็คือ “การเป็นอุปกรณ์สำหรับติดต่อสื่อสาร” ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องพึ่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือจากผู้ให้บริการ ซึ่งในบ้านเราก็มีอยู่ไม่กี่เจ้า แต่ว่ามีรูปแบบการใช้งานออกมาให้เลือกมากมายจนทำเอาผู้บริโภคอย่างเรามึนแล้วมึนอีกกว่าจะเลือกได้ ฉลาดซื้อขออาสาคัดเลือกซิมและโปรโมชั่น โดยเราจะขอเลือกมาเฉพาะที่เป็นโปรโมชั่น ”แบบเติมเงิน” เพราะในบ้านเรามีผู้ใช้ระบบนี้ถึง 90%1 ของคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งหมด มาลองดูกันสิว่าซิมแบบไหน โปรโมชั่นอะไร ที่คุ้มค่าคุ้มราคาและเหมาะกับการใช้งานของแต่ละคนมากที่สุด   (1รายงานโครงการวิจัยระบบวิเคราะห์รายการส่งเสริมการขายในกิจการโทรคมนาคม โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง)++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   มาเลือกซิมและโปรโมชั่นมือถือที่เหมาะสมกับการใช้งานกันดีกว่า   คุยสั้น เมาท์ขำๆ พูดไม่กี่คำก็รู้เรื่อง   ซิมที่อยากแนะนำ เครือข่าย ค่าโทรนาทีแรก นาทีต่อไป ราคา ค่าโทรที่ได้รับเมื่อเปิดใช้ซิม เงื่อนไขที่ควรรู้ ซิมฮักกัน ทรูมูฟ 75 สตางค์ 75 สตางค์ 49 15 บาท -ได้สิทธิ์สมัครโปรโทรไม่อั้น 3 วัน 9 บาท ในเครือข่ายทรูมูฟ ช่วงเวลา 23.00 น.- 16.59 น -ฟรี SMS 10 ครั้ง และ EDGE/GPRS 30 นาที แต่ต้องใช้ภายใน 30 วันหลังจากเปิดใช้บริการ ซิมถูกใจ ทรูมูฟ 99 สตางค์ 99 สตางค์ 49 บาท 75 บาท -ได้รับโบนัสโทรฟรีเท่ากับมูลค่าของเงินที่เติม -ได้รับวันใช้งานเพิ่มเป็น 2 เท่าจากการเติมเงิน -ฟรี (SMS) จำนวน 10 ข้อความ และบริการ EDGE/GPRS 100 นาที แต่ต้องใช้ภายในระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่เปิดใช้บริการ ซิมสะตอ ดีแทค 30 วินาทีแรก 30 สตางค์ ต่อไปคิดนาทีละ 1 บาท 1 บาท 49 บาท 15 บาท   ฉลาดซื้อแนะนำ สำหรับคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือติดสื่อสารพูดคุยเรื่องสั้นๆ ครั้งหนึ่งไม่ถึงนาทีหรือแค่ไม่กี่นาที เวลาเลือกโปรโมชั่นซิมแบบเติมเงิน ควรดูที่ค่าโทรนาทีแรกเป็นหลัก เพราะเราคุยสั้น ถ้าคุยไม่ถึงนาทีจะยิ่งคุ้มค่าและประหยัดมาก แต่การศึกษาข้อมูลค่าโทรนาทีถัดไปเอาไว้ด้วยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะแม้จะเป็นคนคุยสั้นแต่บางครั้งก็อาจเผลอคุยยาวโดยไม่รู้ตัว คุยนาน เมาท์กระจาย โทรได้ทั้งวัน(ทุกเครือข่าย) ซิมที่อยากแนะนำ เครือข่าย ค่าโทรนาทีแรก นาทีต่อไป ราคา ค่าโทรที่ได้รับเมื่อเปิดใช้ซิม เงื่อนไขที่ควรรู้ ซิมแฮปปี้ ดีแทค 2 บาท 25 สตางค์ 99 บาท และ 199 บาท -ราคา 99 บาท ได้ 35 บาท -ราคา 199 บาท ได้ 50 บาท + SMS/MMS ในเครือข่ายดีแทค 250 บาท ค่าโทรเฉพาะช่วง 4 ทุ่ม – 6 โมงเย็น นอกช่วงเวลา คิดค่าโทรนาทีแรก 2 บาท ต่อไปคิดนาทีละ 1 บาท   ซิมวัน-ทู-คอล เอไอเอส 2 บาท 50 สตางค์ 99 35 บาท ทันทีเมื่อเปิดใช้บริการ และรับเพิ่มเติมอีกเดือนละ 30 บาท ในเดือนที่ 2 และ 3   ซิมสุดคุ้ม ทรูมูฟ 1 บาท 77 สตางค์ 1 บาท เมื่อซื้อของใน 7-11 ครบ 40 บาท หรือชำระค่าบริการเคาเตอร์เซอร์วิส 1 บิล 30 บาท -ได้รับโบนัสโทรเพิ่มเท่ากับมูลค่าของเงินที่เติม สำหรับใช้โทรไปยังเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเครือข่ายทรูมูฟ ช่วงเวลา 23.00 – 16.59 น. เท่านั้น -ได้รับวันใช้งานพิเศษเพิ่มเป็น 2 เท่าจากการเติมเงินตามปกติ     (เฉพาะเครือข่ายเดียวกัน) ซิมที่อยากแนะนำ เครือข่าย ค่าโทร ราคา ค่าโทรที่ได้รับเมื่อเปิดใช้ซิม เงื่อนไขที่ควรรู้ ซิมไชโย ทรูมูฟ นาทีละ 50 สตางค์ ตลอด 24 ชม. 49 บาท และ 99 บาท -ราคา 49 บาท ได้ 15 บาท -ราคา 99 บาท ได้ 35บาท   ซิมสุดคุ้ม ทรูมูฟ นาทีละ 77 สตางค์ ตลอด 24 ชม. 1 บาท เมื่อซื้อของใน เซเว่น อีเลเว่น ครบ 40 บาท หรือชำระค่าบริการเคาเตอร์เซอร์วิส 1 บิล 30 บาท -ได้รับโบนัสโทรเพิ่มเท่ากับมูลค่าของเงินที่เติม สำหรับใช้โทรไปยังเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเครือข่ายทรูมูฟ ช่วงเวลา 23.00 – 16.59 น. เท่านั้น -ได้รับวันใช้งานพิเศษเพิ่มเป็น 2 เท่าจากการเติมเงินตามปกติ ซิมรีโมท ทรูมูฟ ครั้งละ 1 บาท โดยเลือกช่วงเวลาระหว่าง 05.00 – 16.59 น. หรือ17.00 – 04.59 น.  ช่วงใดช่วงหนึ่ง โดยโทรได้นานสูงสุดครั้งละ 30 นาที และตั้งแต่นาทีที่ 31 เป็นต้นไป คิดค่าใช้บริการนาทีละ 1.25 บาท 49 บาท 15 บาท ผู้ใช้บริการสามารถเลือกเปลี่ยนช่วงเวลาได้ตลอด โดยไม่เสียค่าบริการเฉพาะการเปลี่ยนแพ็กเกจครั้งแรกของแต่ละวัน หลังจากนั้นคิดค่าบริการในการเปลี่ยนแพ็กเกจครั้งละ 5 บาท     ฉลาดซื้อแนะนำ คนที่ชอบคุยโทรศัพท์นานๆ ต้องดูที่ค่าโทรเฉลี่ยแต่ละนาที และต้องดูเรื่องข้อจำกัดต่างๆ ที่ผู้ให้บริการกำหนดเอาไว้ให้ดี เช่น การจำกัดช่วงเวลา การกำหนดค่าโทรที่แตกต่างกันของเบอร์ในเครือข่ายกับนอกเครือข่าย คนที่ชอบคุยนานๆ ถือเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์มากที่สุดตามปริมาณการโทร ดังนั้นจึงควรศึกษาเรื่องโปรโมชั่นต่างๆ ให้มากที่สุด เพราะนอกจากโปรโมชั่นหลักจากซิมที่ใช้อยู่แล้ว เดี๋ยวยังมีโปรโมชั่นเสริมอื่นๆ สำหรับคนโทรนานให้เลือกใช้ เช่น โทรถูก 1 เบอร์พิเศษ หรือคิดค่าโทรแบบเหมาจ่ายเป็นช่วงเวลา   โทรน้อย ชอบให้คนอื่นโทรหา แบบว่ามีโทรศัพท์ไว้รับอย่างเดียว ชื่อซิม เครือข่าย จำนวนวันที่ได้ ค่าโทรนาทีแรก ราคา ค่าโทรที่ได้รับเมื่อเปิดใช้ซิม เงื่อนไขที่ควรรู้ ซิมเปิ้ล ดีแทค 365 วัน แต่ต้องเติมเงินอย่างน้อย 1 ครั้ง ช่วง 90 วันแรกตั้งแต่เปิดใช้ โทรนาทีละ 1 บาท ทุกเครือข่าย 24 ชม. หลังจาก 90 วันแรก คิดค่าโทรนาทีละ 2 บาท   49 บาท 15 บาท   ซิมสวัสดี น้าน นาน เอไอเอส 365 วัน แต่ต้องเติมเงินอย่างน้อย 1 ครั้ง ทุกเครือข่าย นาทีละ 2.50 บาท 24 ชั่วโมง 50 บาท 15 บาท ระงับการให้บริการ ในกรณีที่ไม่มีการโทรออก รับสาย หรือ เติมเงิน เป็นเวลานาน 90 วัน   ซิมไชโย ทรูมูฟ 365 วัน แต่ต้องเติมเงินอย่างน้อย 1 ครั้ง โทรในเครือข่ายทรูมูฟ คิดค่าใช้บริการนาทีละ 50 สตางค์ ตลอด 24 ชม. โทรนอกเครือข่าย คิดค่าใช้บริการนาทีละ 1 บาท 50 สตางค์ ตลอด 24 ชม 49 บาท 15 บาท ระงับการให้บริการ ในกรณีที่ไม่มีการโทรออก รับสาย หรือ เติมเงิน เป็นเวลานาน 90 วัน และยกเลิกบริการทันทีหากระงับให้บริการติดต่อกันเกิน 18 วัน ฉลาดซื้อแนะนำ สำหรับคนที่ตั้งใจจะมีโทรศัพท์ไว้สำหรับให้คนอื่นโทรหามากว่าโทรหาคนอื่น เรื่องจำนวนวันใช้งานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ไว้ก็คือ ไม่ว่าโปรโมชั่นนั้นจะบอกว่าแจกวันหรือเติมเงินแล้วอยู่นานขนาดไหน เต็มที่ก็ไม่มีทางมากกว่า 1 ปี  โชว์เบอร์แต่ไม่โชว์ใจ...10 เรื่องที่ควรรู้ไว้ก่อนเติมเงิน 1.การเติมเงินสามารถทำได้หลายช่องทาง ตั้งแต่ บัตรเติมเงิน เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้ ATM ผ่านบัญชีธนาคารออนไลน์  หรือแม้แต่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ (เฉพาะของทรูมูฟ)  2.ถ้าเติมเงินมือถือเรียบร้อยแล้วต้องมี sms แจ้งเตือนยอดเงินคงเหลือและวันหมดอายุ  3.ถ้าเผอิญเป็นคนมือหนักขูดรหัสบัตรเติมเงินแล้วตัวเลขหาย ไม่ต้องตกใจ สามารถนำไปเปลี่ยนบัตรใหม่ได้ที่สำนักงานของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือที่เราใช้บริการ  4.เวลาซื้อบัตรเติมเงินมือถือต้องดูเรื่องวันหมดอายุให้ดี เพราะถ้าซื้อมาแล้วหมดอายุ ไม่สามารถเอาไปเปลี่ยนหรือแลกคืนได้  5.ขั้นต่ำสุดในการเติมเงินคือ 10 บาท   6.ไม่ว่าจะเติมเงินมากแค่ไหน (สูงสุดของเอไอเอส คือ 1,500 บาท, ทรูมูฟอยู่ที่ 1,000 บาท และดีแทคอยู่ที่ 800 บาท) ยังไงเราก็ได้วันใช้งานไม่เกิน 1 ปี   7.คนที่อยากเปลี่ยนโปรโมชั่นต้องจ่าย 30 บาท   8.ทุกอัตราค่าบริการไม่ว่าจะเป็นค่าโทร sms mms อินเตอร์เน็ต อย่าลืมบวกค่าภาษีอีก 7%   9.Call center ของทุกเครือข่ายไม่ได้โทรฟรี   10.ถ้ากดรหัสเติมเงินผิดเกิน 4 ครั้ง ติดต่อกัน หมายเลขโทรศัพท์ของเราถูกระงับการให้บริการ2 (2ที่มา ถาม-ตอบ ทุกปัญหา ทุกบริการ ทุกการใช้งาน ของ วัน-ทู-คอล!)     ---------------------------------------------------------------------- ซิม (sim) คือแผ่นวงจรขนาดเล็กที่เก็บหน่วยความจำข้อมูลเอาไว้เป็นจำนวนมาก เปรียบเสมือนกับสมองของคนที่มีหน้าที่จดจำสิ่งต่างๆ รวมทั้งคอยสั่งการการทำงานของโทรศัพท์มือถือ ---------------------------------------------------------------------- การให้บริการโทรศัพท์มือถือมีอยู่ 2 ระบบ คือ   แบบจดทะเบียน (postpaid) เป็นแบบที่ต้องมีการทำสัญญาระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการ จ่ายค่าบริการเป็นรายเดือน   แบบเติมเงิน (prepaid) เป็นระบบที่ผู้ใช้ควบคุมการจ่ายเอง แค่ซื้อบัตรเติมเงินก็ใช้โทรศัพท์ได้เลย ง่ายและสะดวก แต่ผู้ใช้ระบบเติมเงินต้องคอยตรวจสอบค่าบริการเป็นระยะ รวมทั้งตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่วางไว้ ----------------------------------------------------------------------   โทรเท่าทัน...ศึกษาการเลือกโปรโมชั่น   @ ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไขอย่างละเอียด เพราะโปรโมชั่นเดี๋ยวนี้มีเงื่อนไขให้อ่านกันเล่นๆ 10 – 20 ข้อ ถ้าไม่อ่านและทำความเข้าใจให้ดี อาจมีปัญหาตามมาที่หลัง   @ ต้องดูข้อยกเว้นของแต่ละโปรโมชั่น เช่น โปรโมชั่นนี้มีเงื่อนไขสำหรับใครบ้าง อาจเฉพาะแค่ลูกค้าใหม่เท่านั้น   @ ดูระยะเวลาของโปรโมชั่น เริ่มใช้เมื่อไหร่ หมดอายุวันไหน บางโปรโมชั่นให้ค่าโทรถูกแต่ใช้ได้แค่ 3 เดือน หลังจากนั้นก็ปรับให้แพงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคบางคนไม่ทราบก็ยังใช้โปรโมชั่นนั้นต่อไปเพราะคิดว่ายังคิดค่าโทรถูกเหมือนตอนแรก   @ การคิดค่าโทร ว่าเป็นการคิดในอัตรานาทีละเท่าไหร่ และมีการแบ่งช่วงเวลาการใช้ด้วยหรือเปล่า ถ้ามีแล้วแบ่งเป็นช่วงเวลาใดบ้าง เพราะแน่นอนว่าเมื่อมีการแบ่งช่วงเวลาอัตราค่าโทรก็ย่อมแตกต่างกัน ยิ่งบางโปรโมชั่นคิดในอัตราที่แตกต่างกันมากๆ เช่น โทรช่วง 6 โมงเช้า – 6 โมงเย็น คิดนาทีละ 25 สตางค์ ถ้าช่วงเวลาอื่น คิดนาทีละ 2 บาท เป็นต้น   @ การคิดค่าโทรจริง ว่าค่าโทรที่แจ้งในโปรโมชั่น รวมภาษีแล้วหรือยัง หากโทรเกินเป็นเศษของนาที คิดค่าบริการเป็นนาทีหรือวินาที รวมทั้งค่าบริการส่วนเกินอื่นๆ ทั้ง sms mms อินเตอร์เน็ต การขอเปลี่ยนโปรโมชั่น   @ สิทธิของโปรโมชั่น เช่น ให้ค่าโทรฟรีเท่าไหร่ ให้ได้เฉพาะช่วงไหน มีวันหมดอายุหรือเปล่า เป็นค่าโทรเฉพาะในประเทศ ฯลฯ     ---------------------------------------------------------------------- ประเทศไทยมีคนใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ประมาณ 34.8 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีถึง 31.5 ล้านคน ที่ใช้โทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน   (ที่มา : สำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในครัวเรือน พ.ศ. 2552 สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)   AIS มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 43.61 รองลงมาคือ DTAC มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ร้อยละ 29.80 TrueMove มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ร้อยละ 23.76 (ที่มา: สำนักพัฒนานโยบายและกฎกติกา สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ----------------------------------------------------------------------

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 180 สะดวกสบายกับแอพพลิเคชั่นค่าน้ำค่าไฟ

สาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐเป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน เมื่อตื่นขึ้นมาทุกคนต้องอาบน้ำ แปรงฟัน เปิดเครื่องทำน้ำร้อน เป่าผม ฯลฯ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทุกย่างก้าวของการดำรงชีวิตนั้น เราทุกคนต้องใช้น้ำและไฟในการดำเนินชีวิต น้ำและไฟเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เมื่อมีเหตุขัดข้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นน้ำประปาไม่ไหล ไฟไม่ติด หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำและไฟ ก็จะสร้างความลำบากให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก   ฉบับนี้ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงแอพพลิเคชั่นของการไฟฟ้านครหลวง และแอพพลิเคชั่นการประปานครหลวง ที่ได้ผลิตออกมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีความสะดวกสบายมากขึ้น และช่วยเพิ่มช่องทางที่มีความรวดเร็วในการขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานได้อย่างทันถ่วงที แอพพลิเคชั่นของการไฟฟ้านครหลวง มีชื่อว่า “Smart Life”  ส่วนแอพพลิเคชั่นการประปานครหลวง มีชื่อว่า “MWA on Moblie” เมื่อดาวน์โหลดทั้งสองแอพพลิเคชั่นนี้มาไว้บนสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว แอพพลิเคชั่นจะให้ผู้ใช้ลงทะเบียน โดยกรอกหมายเลขโทรศัพท์และหมายเลขบัตรประชาชน ซึ่งเป็นขั้นตอนในการเข้าใช้แอพพลิเคชั่นในหมวดต่างๆ หลังจากนั้นผู้ใช้ต้องกรอกรหัสเฉพาะ ดังนี้ แอพพลิเคชั่นของการไฟฟ้านครหลวง จะให้กรอกเลขบัญชีแสดงสัญญาและรหัสเครื่องวัดฯ บ้านของผู้ใช้ ส่วนแอพพลิเคชั่นการประปานครหลวง จะให้กรอรกเลขสาขา เขต และเลขทะเบียนผู้ใช้น้ำ เมื่อกรอกเลขรหัสเฉพาะเสร็จสิ้น ข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้จะปรากฏขึ้น คุณสมบัติของแอพพลิเคชั่น “Smart Life”  จะมีหมวดค่าไฟฟ้า ประวัติการใช้ไฟ สถานที่ชำระเงินที่ใกล้บริเวณที่ผู้ใช้ยืนอยู่ แผนที่แสดงจุดให้บริการ นอกจากนี้ยังมีหมวดของข่าวสารที่จะแจ้งข้อมูลความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการไฟฟ้านครหลวง หมวดประกาศดับไฟเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่าบริเวณใดบ้างที่จะไม่สามารถใช้ไฟได้ และหมวดที่สำคัญที่สุดคือ หมวดรับแจ้งไฟฟ้าขัดข้อง เมื่อมีเหตุไฟฟ้าขัดข้องผู้ใช้สามารถกดแจ้งผ่านแอพพลิเคชั่นนี้ได้ทันที สำหรับคุณสมบัติของแอพพลิเคชั่น “MWA on Moblie” จะมีหมวดแอพพลิเคชั่นคล้ายคลึงกับ “Smart Life”  ได้แก่ หมวดข้อมูลผู้ใช้น้ำ ค่าน้ำ สถิติการใช้น้ำในแต่ละเดือน แจ้งข่าวสารพื้นที่ที่น้ำไม่ไหล สาขาหน่วยงานที่สามารถติดต่อได้สะดวกที่สุด รวมถึงมีหมวดการแจ้งปัญหาน้ำไม่ไหล ท่อรั่ว ท่อแตก ฯลฯ ได้อีกด้วย โดยทั้งแอพพลิเคชั่นทั้งสองนั้น สามารถเปลี่ยนจากแอพพลิเคชั่นมาเป็นใบแจ้งค่าน้ำค่าไฟได้ด้วย เพราะภายในแอพพลิเคชั่นได้สร้างบาร์โค้ด (Barcode) เพื่อเพิ่มความสะดวกโดยการกดสัญลักษณ์เครื่องหมายบาร์โค้ด (Barcode) แล้วนำสมาร์ทโฟนนั้นยื่นให้กับผู้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสเพื่อชำระเงินได้ทันที เพียงมีแอพพลิเคชั่นภายในสมาร์ทโฟน ก็ช่วยเพิ่มช่องทางในการติดต่อกับการไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวง และยังช่วยลดความกังวลในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์น้ำไม่ไหล ท่อรั่ว ท่อแตก ไฟดับ หม้อแปลงระเบิด ฯลฯ ได้บ้าง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนกรกฎาคม 2559“บินถูกแต่ไม่มีที่นั่ง” โฆษณาเอาเปรียบผู้บริโภคโปรโมชั่นเที่ยวบินราคาถูกของบรรดาสายบิน “โลว์คอสต์” ต่างๆ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากของผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำและกลุ่มผู้ที่รักการท่องเที่ยว แต่ล่าสุดได้เกิดปัญหาจากโฆษณาโปรโมชั่นของสายบินโลว์คอสต์ที่สร้างความเข้าใจผิดกับผู้บริโภค จนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ต้องออกมาเตือนพร้อมกำหนดแนวทางให้กับบรรดาสายการบินต่างๆ ในการทำโปรโมชั่นเที่ยวบินราคาถูกโดย สคบ.ออกมาเตือนสายการบินโลว์คอสต์แห่งหนึ่ง ที่มีการโฆษณาว่าบินเที่ยวออสเตรเลียจ่ายเพียง 1,200 บาท ซึ่งเมื่อมีการตรวจสอบแล้วพบว่า ราคาที่โฆษณามีที่นั่งจำกัดแค่ 1-2 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งการโฆษณาดังกล่าวถือเป็นโฆษณาในลักษณะที่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะเป็นการโฆษณาโดยให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ทาง สคบ.จึงทำเอกสารชี้แจงไปยังผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน ว่าการโฆษณาโปรโมชั่นเที่ยวบินราคาพิเศษต่างๆ สามารถทำได้ แต่ต้องระบุข้อความให้ชัดเจน ครบถ้วน เกี่ยวกับเงื่อนไขและรายละเอียด วันเริ่มต้น วันสิ้นสุดของโปรโมชั่นที่โฆษณา จำนวนที่นั่งที่มีให้ หากผู้ประกอบการธุรกิจรายใด กระทำการโฆษณาโดยใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการจะมีความผิดตามกฎหมาย ถอนทะเบียน 40 ตำรับยาต้านแบคทีเรีย ทำคนป่วยเพราะดื้อยามีข้อมูลว่าในแต่ละปีมีคนไทยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 88,000 คน และเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอย่างน้อยปีละ 20,000 - 38,000 คน ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการใช้ยาต้านแบคทีเรียที่ไม่เหมาะสมศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายนักวิชาการจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกันแถลงข่าว “เตือนภัยตำรับยาต้านแบคทีเรียที่ควรถอดถอนออกจากประเทศไทย” โดยเป็นการแถลงข้อมูลที่ได้จากการศึกษารายการยาต้านแบคทีเรียในประเทศ พบว่ามีมากกว่า 40 สูตรยาตำรับ ที่ควรถอนทะเบียนตำรับยาออกจากประเทศไทยเนื่องจากเป็นยาที่ไม่ได้มีประสิทธิผลในการรักษาโรค เช่น “ยาอมแก้เจ็บคอ” ที่ไม่ควรมียาต้านแบคทีเรียเป็นส่วนประกอบ เพราะโรคเจ็บคอมากกว่า 80% ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หากเกิดจากแบคทีเรียปริมาณยาก็ไม่เพียงพอต่อการฆ่าเชื้อในลำคอให้หาย แถมการกลืนยาลงสู่กระเพาะอาหารยังทำให้เกิดเชื้อดื้อยาของแบคทีเรียในลำไส้ หรือ ยาต้านแบคทีเรียที่เป็นสูตรผสมชนิดฉีด ที่ไม่ควรเป็นสูตรผสมเพราะอาจเกิดปัญหาประสิทธิภาพการรักษา และเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับทั้งนี้จะมีการยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถอนบัญชียาเหล่านี้ออกจากประเทศ โดยผู้บริโภคสามารถตรวจสอบบัญชียาดังกล่าวได้ที่ www.thaidrugwatch.org หรือ www.thaihealth.or.th10 อาการป่วยใช้สิทธิ์ฉุกเฉินได้ทันทีฟรี 24 ชม. สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้กำหนดกลุ่มอาการฉุกเฉินวิกฤต 10 อาการ เพื่อเป็นหลักให้ประชาชนสามารถเข้าใจได้ง่าย ในการใช้บริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน สายด่วน 1669 ซึ่งหากพบผู้ป่วยด้วยอาการ 10 ลักษณะต่อไปนี้ สามารถเข้ารับการรักษากรณีฉุกเฉินได้ทันที ไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอด 24 ชั่วโมง1.หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ, 2.หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง, 3.ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือ มีอาการชักร่วม, 4.เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง, 5.แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด แบบปัจจุบันทันด่วน หรือ ชักต่อเนื่องไม่หยุด, 6.ได้รับบาดเจ็บ ต่อสมอง ต่อกระดูกสันหลัง มีแขนขาอ่อนแรง มีบาดแผลที่เสียเลือดมาก ถูกไฟฟ้าแรงสูง แผลไฟไหม้บริเวณกว้าง, 7.ถูกยิง ถูกแทง ที่ศีรษะ ลำตัว อวัยวะสาคัญ, 8.งูพิษกัด ซึม หายใจลำบาก หนังตาตก, 9.ตั้งครรภ์และชัก ตกเลือดมาก มีน้ำเดิน เด็กโผล่ และ 10.บาดเจ็บต่อดวงตาจากสารพิษ มองไม่ชัดคนไทยถูกค่ายมือถือเอาเปรียบ?รู้หรือไม่ว่า? คนไทยต้องจ่ายค่าบริการโทรศัพท์มือถือสูงกว่าความเป็นจริง  หลังจากมีข่าวว่า คณะอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปประเทศ (สปท.) ได้เรียกให้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มาให้ข้อมูลที่ทั้ง 3 บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ คือ เอไอเอส ดีแทค และ ทรู คิดค่าบริการเกินกว่าที่หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตให้บริการ ซึ่งทาง กสทช. ก็รับว่าปัจจุบันทั้ง 3 ค่ายมือถือยังมีการคิดค่าบริการที่สูงกว่าอัตราที่ กสทช. กำหนดโดยตามประกาศ เรื่องอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ให้บริการบนคลื่นความถี่ 2.1 จิกะเฮิรตซ์ (GHz) ที่ กสทช. กำหนดนั้น การคิดค่าบริการจะต้องคิดอัตราค่าบริการตามการใช้งานจริง แยกเป็น การบริการเสียง ห้ามเกินนาทีละ 69 สตางค์ บริการข้อความสั้น (SMS) ไม่เกิน 1.15 บาท/ ข้อความ บริการข้อความมัลติมีเดีย (MMS) ไม่เกิน 3.11 บาท/ข้อความ และบริการอินเตอร์เน็ต (Mobile Internet) ไม่เกิน 0.26 บาท/เมกกะไบค์ (MB)ซึ่งจากนี้ กสทช. ต้องทำหน้าที่ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล เร่งดำเนินการเอาผิดกับผู้ประกอบการค่ายมือถือที่เอาเปรียบผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบโปรโมชั่นต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนด สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหากพบว่าค่าบริการที่ใช้อยู่สูงกว่าอัตราที่ทาง กสทช. กำหนด สามารถร้องเรียนไปได้ที่ สายด่วน กสทช.1200 ฉลากอาหารแบบใหม่เป็นมิตรกับผู้บริโภค เครือข่ายผู้บริโภควอนรัฐเดินหน้าอย่ายกเลิกคณะอนุกรรมการด้านอาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) นำเสนอผลการสำรวจการแสดงฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร พบว่าส่วนใหญ่มีการปรับปรุงตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 367) พ.ศ.2557 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ โดยข้อมูลผลสำรวจที่ได้นำมาใช้เป็นข้อมูลโต้แย้งกับแนวคิดของประชารัฐกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารขอให้ยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าว ให้กลับมาใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 194 พ.ศ.2543 เรื่องฉลาก ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคน้อยกว่าฉบับที่ 367 โดยประชารัฐกลุ่มนี้อ้างว่า ไม่สามารถทำตามประกาศ สธ.ที่ 367 เพราะมีข้อจำกัดมากมาย ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงและสับสน และไม่สามารถทำฉลากใช้ร่วมกับประเทศอื่นได้ ต้องมีสต็อกฉลากเฉพาะขายในประเทศไทยทำให้ต้นทุนสูง    ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 367 พ.ศ.2557 จะมีการให้แสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคมากกว่าประกาศฉบับที่ 194 เช่น สำหรับผู้แพ้อาหาร กรณีใช้ส่วนประกอบหรือปนเปื้อนในกระบวนการผลิตของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไข่ ถั่ว นม นอกจากนี้ต้องแสดงชื่อกลุ่มหน้าที่ของวัตถุเจือปนอาหารร่วมกับชื่อเฉพาะหรือตัวเลขตามระบบเลขรหัสสากล (International Numbering System : INS for Food Additives)รศ. ดร. จิราพร ลิ้มปานานนท์ คณะอนุกรรมการฯ คอบช. กล่าวว่า จากข้อมูลการสำรวจฉลากแสดงชัดเจนว่า ข้ออ้างของประชารัฐที่ไม่สามารถทำตามประกาศ สธ.ที่ 367 นั้น ไม่เป็นความจริง จึงขอเรียกร้องให้ อย. บังคับใช้ประกาศฉบับดังกล่าว และให้มีกระบวนการตรวจสอบการแสดงฉลากของผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2557 ใช้ “พ.ร.บ.ทวงหนี้” จัดการเจ้าหนี้โหด คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน นักกฎหมาย ตัวแทนลูกหนี้  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล  ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ...” เพื่อเสนอความเห็นและข้อเสนอต่อ คณะกรรมาธิการฯ ให้พิจารณาแก้ไขบทบัญญัติในกฎหมายเพื่อให้เกิดการคุ้มครองลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบให้ได้รับความเป็นธรรมจากการทวงถามหนี้  พร้อมเสนอให้เพิ่มเติมมาตรการเยียวยาความเสียหายแก่ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากการทวงหนี้  และขอให้เร่งการออกกฎหมายฉบับนี้โดยเร็วเพื่อเป็นมาตรการคุ้มครองลูกหนี้และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ปัจจุบันปัญหาเรื่องการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม กลายเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งในสังคม โดยวิธีการที่เจ้าหนี้ใช้มีทั้ง การข่มขู่ การใช้วาจาหยาบคาย ยึดทรัพย์โดยพลการ หรือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งผลจากการคุกคามของเจ้าหนี้ทำให้ลูกหนี้ต้องกู้เงินนอกระบบมาชำระหนี้ในระบบเพิ่มอีก บ้างก็ตัดสินใจออกจากงานเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว, ครอบครัวมีปัญหา รวมไปถึงการฆ่าตัวตายดังที่เป็นข่าว ซึ่งการมายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณา พ.ร.บ.ฯ ครั้งนี้ เพื่อต้องการให้มีการเร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้โดยเร็วที่สุด พร้อมกับมีข้อเสนอเพิ่มเติม ทั้งการควบคุมให้สถาบันการเงินที่ปล่อยบัตรสินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อให้กับลูกหนี้ ห้ามยึดเงินเดือนจากบัญชีธนาคารของลูกหนี้เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย การยึดเงินเดือนของลูกหนี้ตามกฎหมายต้องฟ้องศาลก่อน เมื่อศาลมีคำสั่งจึงเข้าสู่กระบวนการอายัดเงินเดือนได้สูงสุด 30% ของเงินเดือนเท่านั้น หรือการคิดดอกเบี้ยเกินที่กฎหมายระบุ ซึ่งนายมนตรีรับปากว่า จะผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้ประกาศใช้ได้ก่อนสิ้นปี 2557 นี้   เครือข่ายผู้บริโภคขอ “พ.ร.บ. ยา” ที่เป็นธรรมกับประชาชน แนะตัดภาคธุรกิจออกจากคณะกรรมการฯ ผศ.ภญ.สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา  และตัวแทนคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนร่วมกับภาคประชาสังคม 15 องค์กร เข้าพบเลขาธิการอย. เพื่อยื่นหนังสือโดยขอให้นำความเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อร่าง “พระราชบัญญัติยา พ.ศ.....” ฉบับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.)  เพื่อให้แก้ไขและบรรจุในพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดตามมติดังนี้ 1. สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติยา พ.ศ...... ฉบับประชาชน  เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและพัฒนาระบบยาของประเทศ 2. เสนอให้ตัดผู้แทนจากภาคธุรกิจออกจากคณะกรรมการยาทั้ง 4 ชุด เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่สมควรเข้ามากำกับดูแลนโยบาย 3. เสนอให้คงไว้และห้ามตัดออกสาระที่ดีมากใน พ.ร.บ. ยาฉบับกฤษฎีกา คือ ข้อมูลการขึ้นทะเบียนยา โดยเฉพาะ โครงสร้างราคายาและข้อมูลสิทธิบัตร เพราะมีส่วนในการกำหนดราคายาที่เหมาะสมและเป็นการเข้าถึงยาของประชาชนเมื่อยานั้นหมดสิทธิบัตรลง 4. เสนอให้เพิ่มหมวดการควบคุมราคายา เพื่อป้องกันการกำหนดราคายาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยให้นำสาระจากร่าง พ.ร.บ. ยา ฉบับประชาชน 5. การจัดการกับการโฆษณาและการส่งเสริมการขายยาจะต้องเข้มงวดมากขึ้น โดยยกระเบียบต่างๆ ขึ้นมาอยู่ในระดับกฎหมาย 6. ต้องไม่ขยายคำจำกัดความของ “ยาปลอม” ไปครอบคลุมเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นกลวิธีของอุตสาหกรรมยาข้ามชาติที่ต้องการขัดขวางการเข้าถึงยาของประชาชนและทำลายอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญ   สปสช., สคบ., มพบ. จับมือทำงาน “ผู้บริโภค มาด้วยใจ ก้าวไกลด้วยกัน” เมื่อวันที่ 24-25 กันยายน 2557 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการด้านการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค “Consumer Convergence: ผู้บริโภค มาด้วยใจ ก้าวไกลด้วยกัน” ซึ่งการเสวนาและระดมความคิดเพื่อยกระดับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย สร้างความร่วมมือกันในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งการเสวนาวิชาการเกี่ยวกับผู้บริโภค การแลกเปลี่ยนเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคในต่างประเทศจากประสบการณ์ของคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภคจากเวียดนามและอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการร้องเรียนปัญหา แนวทางการพัฒนาให้ผู้บริโภคเข้มแข็ง การนำเสนองานวิจัยที่เกียวกับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย มีการจัดการประชุมกลุ่มย่อยในหัวข้อ “What’s next? ความร่วมมือในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัดและระดับประเทศในอนาคต” เพื่อช่วยกันระดมความคิดในการพัฒนาระบบการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของการมีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนภาคประชาชน เรื่องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการมีส่วนร่วมในการคุมครองผู้บริโภค และเรื่องของนวัตกรรมด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ภายในงานยังมีการมอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการดีเด่นระดับประเทศปี 2556 โดยผู้ได้รับรางวัลประเภทโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปอันดับที่ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด อันดับที่ 2  โรงพยาบาลนครพนม จังหวัดนครพนม และอันดับที่ 3  โรงพยาบาลพะเยา จังหวัดพะเยา ส่วนรางวัลชมเชยได้แก่ โรงพยาบาลสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ในส่วนของประเภทโรงพยาบาลชุมชน อันดับที่ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลกันตัง จังหวัดตรัง อันดับที่ 2 โรงพยาบาลสนม จังหวัดสุรินทร์ และอันดับที่ 3 โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนรางวัลชมเชยได้แก่โรงพยาบาลมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และโรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการดีเด่นระดับเขต ประจำปี 2556 ประเภทโรงพยาบาลชุมชนได้แก่ โรงพยาบาลบ้านค่าย จังหวัดระยอง และโรงพยาบาลเรณูนคร จังหวัดนครพนม   ยกเลิกสัญญาอินเตอร์เน็ตไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ปัญหาเรื่องการถูกเรียกเก็บเงินจากการขอยกเลิกบริการอินเตอร์เน็ตภายในบ้าน เป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนมายัง กสทช. เป็นจำนวนมาก จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน มีการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่าถูกผู้ประกอบการโทรคมนาคมคิดค่าปรับ ค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด เมื่อผู้ใช้บริการต้องการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด โดยมีจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมด  757 กรณี ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตมักอ้างเหตุผลว่า ฟรีค่าติดตั้งและค่าธรรมเนียมแรกเข้า แต่หากผู้ใช้บริการบอกเลิกการใช้บริการก่อนกำหนดจะต้องจ่ายค่าบริการที่เป็นโปรโมชั่นดังกล่าว เหมือนเป็นการผู้มัดผู้ใช้บริการว่าต้องใช้สินค้าของตนแม้จะใช้แล้วรู้สึกไม่พอใจในสินค้าแต่ก็ห้ามยกเลิก หากยกเลิกต้องเสียเงิน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อ 15 ของประกาศ กทช. เรื่อง “มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549” ซึ่งห้ามบริษัทผู้ให้บริการคิดค่าปรับ หรือค่าเสียหายจากการที่ผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ผู้บริโภคจึงมีสิทธิยกเลิกสัญญาใช้บริการอินเตอร์เน็ตกับผู้ให้บริการได้ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ หากผู้บริโภคพบเจอปัญหาดังกล่าวสามารถร้องเรียนไปได้ที่ สายด่วน กสทช. 1200   นักวิชาการชี้ “ยาอมแก้เจ็บคอ” ไม่ช่วยรักษาอาการ นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ยาอมแก้เจ็บคอที่วางขายในท้องตลาดเป็นจำนวนมากนั้น พบว่า มีการผสมยาปฏิชีวนะ 2 ประเภท คือ นีโอมัยซิน (Neomycin) และเบซิทราซิน (Bacitracin) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำคอให้ตาย แต่กลับเข้าไปรบกวนแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการต่อต้านและกลายพันธุ์เป็นเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาทั่วโลก ส่วนที่กินแล้วรู้สึกอาการเจ็บคอดีขึ้น เป็นเพราะมียาชา จึงอยากให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งทบทวน และยกเลิกตำรับยาประเภทนี้ เพราะถือเป็นการใช้ยาที่ไม่จำเป็น การเจ็บคอเนื่องจากหวัดนั้นกว่า 70-90% ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาปฏิชีวนะสูตรเดี่ยว หรือยาที่มียาปฏิชีวนะเป็นส่วนผสมมาใช้ในการรักษา เพราะสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเอง เช่น 1. ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง 2. ยาอมสมุนไพรฟ้าทลายโจร 3. อมน้ำเกลือกลั้วคอ 4. พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมกราคม 2556 ระวัง “กลลวงทดสอบคุณภาพน้ำ” การประปานครหลวง (กปน.) ฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการทดสอบความสะอาดและคุณภาพของน้ำดื่ม เพราะทั้งสร้างความเข้าใจผิดเรื่องความสะอาดของน้ำดื่ม แถมยังหวังหลอกลวงผู้บริโภคให้หลงซื้อผลิตภัณฑ์ปรับคุณภาพน้ำ   มีการโฆษณาชวนเชื่อโดยการนำเครื่องมือทดสอบ ชนิดเครื่องแยกสารละลายด้วยไฟฟ้า หรือ เครื่องอิเล็กโทรไลซิส (Electrolysis) ซึ่งประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า 2 ขั้ว คือเหล็ก และอะลูมิเนียม โดยเมื่อนำเครื่องมือทดสอบดังกล่าวจุ่มลงไปในน้ำดื่มทั่วไปที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุ และทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านน้ำที่ทดสอบ ขั้วไฟฟ้าที่ทำด้วยเหล็กจะละลายและทำปฏิกิริยากับน้ำ ทำให้เกิดตะกอนที่มีสีน้ำตาลแดงคล้ายสนิมเหล็ก เรียกว่า เหล็กไฮดรอกไซด์ ซึ่งตะกอนที่ละลายออกมาจากเครื่องมือนี้เอง ที่สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนว่าน้ำที่มีตะกอนละลายคือน้ำที่ไม่สะอาด มีสิ่งเจือปน และไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งความจริงแล้ว น้ำดื่มที่เหมาะแก่การบริโภค ต้องมีส่วนประกอบของแร่ธาตุอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม จึงไม่แปลกที่เมื่อนำเครื่องมือดังกล่าวมาทดสอบแล้วเกิดสีหรือตะกอน ในขณะที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำน้ำบริสุทธิ์หรือน้ำที่ผ่านกระบวนการ Reverse Osmosis หรือการขจัดแร่ธาตุทุกชนิดออกไปจากน้ำ จนไม่มีสิ่งใดๆ เจือปนอยู่เลยเทียบเท่าได้กับน้ำกลั่นมาทดสอบ จึงไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ ขึ้นทั้งสิ้น และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าน้ำดังกล่าวคือน้ำที่สะอาดที่สุด   กปน.ยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้นั้น ได้มาตรฐานน้ำดื่มตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก     ขึ้นราคาค่ารักษาพยาบาล นโยบายปรับขึ้นค่าแรงของรัฐบาลเริ่มส่งผลกระทบกับหลายภาคส่วนของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของการรักษาพยาบาล เมื่อกระทรวงสาธารณสุขเตรียมปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาล โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปรับตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากที่ไม่ได้ปรับราคามาตั้งแต่ปี 2547 โดยทางกระทรวงฯ เชื่อว่าจะไม่กระทบกับคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งมีระบบหลักประสุขภาพรองรับ ทั้งระบบบัตรทอง ระบบประกันสังคม และระบบราชการ แต่ต้องไม่ลืมว่ายังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เลือกใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน ที่จะต้องรับผลกระทบโดยตรงแน่นอน เพราะเมื่อมีประกาศเรื่องการขึ้นราคารักษาพยาบาลจากกระทรวงฯ โรงพยาบาลเอกชนเองก็จะต้องปรับขึ้นราคาตามประกาศ หรือแม้แต่กลุ่มผู้ที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพทั้ง 3 ระบบ ก็อาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในกลุ่มประกันสังคมอาจมีการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มจากทั้งนายจ้างและลูกจ้างที่ใช้สิทธิประกันสังคม   ค่าบริการใหม่ครั้งนี้มีรายการที่จะออกประกาศใหม่ทั้งหมด 2,713 รายการ หมวดที่เพิ่มขึ้นสูงสุด คือ ค่าตรวจรักษาโรคโดยวิธีพิเศษซึ่งเพิ่มขึ้น 53% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีใหม่ รองลงมา คือค่าบริการรังสีวินิจฉัย เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีรักษา เพิ่ม 23%รายการที่เพิ่มต่ำสุด คือ ค่าบริการเทคนิคการแพทย์ 8%     กสทช. แจกคูปองส่วนลดกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การรับชมโทรทัศน์ในบ้านเราจะมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาณเป็นระบบดิจิตอลที่มีความคมชัดของทั้งภาพและเสียงดีกว่าสัญญาณระบบอนาล็อกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการส่งสัญญาณในครั้งนี้จะมีผลทำให้แต่ละบ้านต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในการรับชม แต่ผู้บริโภคว่าไม่ต้องกังวลว่าถึงขนาดต้องเปลี่ยนโทรทัศน์ใหม่ เพราะสามารถใช้กล่องรับสัญญาณหรือ set top box รับสัญญาณชมรายการโทรทัศน์ระบบดิจิตอลได้ตามปกติ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมแจกจ่ายคูปองส่วนลดให้กับประชาชนทุกครัวเรือนเพื่อนำไปซื้อ Set-top-box เพื่อเตรียมพร้อมสู่การรับชมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล   ข้อดีของทีวีดิจิตอล คือ ในหนึ่งช่องสัญญาณจะสามารถนำมาส่งได้หลายรายการโทรทัศน์ สำหรับรายการดิจิตอลทีวีของประเทศไทยจะมีจำนวน 48 ช่อง ได้แก่ ช่องบริการชุมชน 12 ช่อง ช่องบริการสาธารณะ 12 ช่อง ช่องบริการธุรกิจ (เชิงพาณิชย์) 24 ช่อง ซึ่งยังแบ่งออกเป็นในหมวดรายการเด็กและเยาวชน 5 ช่อง หมวดข่าวสารและสาระ 5 ช่อง หมวดช่องทั่วไป 10 ช่อง หมวดช่องรายการที่มีคุณภาพความคมชัดสูง (HD) 4 ช่อง     โทรนาทีละ 99 สตางค์ จากนี้ไปผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือทุกเครือข่ายต้องคิดค่าโทรในอัตรานาทีละไม่เกิน 99 สตางค์ หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีประกาศเรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ.2555 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2555   จากการตรวจสอบของ กสทช. พบว่าต้นทุนการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ที่ไม่เกินนาทีละ 1 บาท ประกาศฉบับนี้จึงทำให้ผู้บริโภคได้ใช้บริการในราคาที่เป็นธรรม   โดยตั้งแต่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นบริการในระบบเติมเงินหรือเหมาจ่ายรายเดือน ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือห้ามคิดค่าโทรเกิน 99 สตางค์ หากใครพบว่ามีการฝ่าฝืนสามารถแจ้งข้อมูลหรือร้องเรียนเข้ามาได้ทางสายด่วนรับเรื่องร้อนของ กสทช. หมายเลข 1200     ปั่นจักรยานดันกฎหมายผู้บริโภค กลุ่มผู้บริโภคจากทั่วประเทศรวมกันขี่จักรยานและเดินเท้า ถือป้ายรณรงค์กฎหมายองค์การอิสระเพื่อผู้บริโภค และนำรายชื่อประชาชน 107,905 รายชื่อ สนับสนุนการออกกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา สมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว. ให้ช่วยเร่งจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญมาตรา 61 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556   โดยกิจกรรมการ “ปั่นจักรยานทวงสิทธิของคุณคืนมาด้วยมาตรา 61” ถือเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่เริ่มต้นตั้งแต่การรวมตัวปั่นจักรยานของกลุ่มเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศที่บริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556 และกิจกรรมครั้งที่ 2 คือการปั่นจักรยานที่สวนรถไฟในวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ก่อนจะปิดท้ายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ด้วยกิจกรรมขบวนจักรยานและเดินเท้าของกลุ่มพี่น้องเครือข่ายผู้บริโภคจากทั่วประเทศกว่า 500 คน จากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า มายังหน้ารัฐสภา เพื่อเป็นการแสดงพลังและส่งเสียงทวงถามถึงความคืบหน้าในการออกกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับสำคัญที่มาจากประชาชน พร้อมกันนี้มีการยื่นหนังสือต่อ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวัฒนา เซ่งไพเราะ และ ส.ส. ส.ว. อีกหลายท่าน เช่น นายบุญยอด สุขถิ่นไทย  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์  นางสาวรสนา  โตสิตระกูล  สว.สรรหากรุงเทพมหานคร  นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย   สมาชิกวุฒิสภา สรรหา และนายวิทยา บูรณะศิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ตำแหน่งประธานวิปรัฐบาล เพื่อให้ช่วยกันผลักดันให้เกิดกฎหมายฉบับนี้   แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 61 กำหนดให้รัฐมีหน้าที่จัดตั้งองค์การอิสระเพื่อผู้บริโภคขึ้น ซึ่งประชาชนได้ทำการเข้าชื่อกันกว่า 10,000 ชื่อเพื่อเสนอกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณาไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2552 แต่ปัจจุบันการพิจารณาก็ยังค้างคาอยู่ในกระบวนการจัดตั้งกรรมาธิการร่วม ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งกลุ่มองค์กรผู้บริโภคเห็นว่ากระบวนการออกกฎหมายฉบับนี้ล่าช้าเกินไป ทั้งที่เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ และเกรงว่าร่างกฎหมายจะตกไปหากหมดสมัยประชุมสภา กลุ่มเครือข่ายผู้บริโภคจึงต้องออกมารวมพลังเรียกร้องในครั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายฉบับนี้ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์ กันยายน 2553 5 กันยายน 2553 “คอนแท็กเลนส์” ขึ้นทะเบียนสินค้าควบคุม ต้องมีฉลาก+คำเตือนกระทรวงสาธารณสุข ประกาศควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยผู้ใช้คอนแทคเลนส์ โดยกำหนดให้คอนแทคเลนส์เป็นเครื่องมือแพทย์ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องมีฉลากภาษาไทย แสดงชื่อคอนแทคเลนส์ วัสดุที่ใช้ทำ คุณสมบัติของเลนส์ เช่น กำลังหักเห รัศมีความโค้ง บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ส่วนคอนแทคเลนส์ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน ให้ระบุวันหมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตด้วย   พร้อมทั้งต้องแสดงข้อห้ามการใช้ เช่น ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินระยะเวลาที่กำหนด ห้ามใช้ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม รวมถึงข้อความควรระวัง ผู้ที่ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ และระบุข้อปฏิบัติหากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาอย่างมากร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัว น้ำตาไหลมาก หรือตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันทีและรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว -------------------------------------------------- 13 กันยายน 2553 ตรวจ “ผลไม้รถเข็น” พบสารพิษเพียบ!!!คนที่ชอบซื้อผลไม้จากรถเข็นมาทานต้องระวัง!!! เมื่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยข้อมูลผลทดสอบความไม่ปลอดภัยในผลไม้รถเข็นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งพบว่า ผลไม้153 ตัวอย่างปนเปื้อนแบคทีเรียโคลิฟอร์มหรือเชื้อจุลินทรีย์เกินกว่าที่มาตรฐานกำหนดถึง 67.3% นอกจากนี้ยังพบการปนเปื้อนของสีสังเคราะห์ ในตัวอย่างผลไม้ 161 ตัวอย่าง และพบการปนเปื้อนของสารกันรา (ซาลิซิลิค) ส่วนผลไม้แปรรูปจำพวกของดอง พบการปนเปื้อนหรือเจือปนของสารเคมี และสารปนเปื้อนของสารกันรา ที่อาจก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะ ฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียวเข้ม และสีแดงเข้มจนม่วง   นอกจากนี้ในการลงพื้นที่แหล่งผลิตและกระจายผลไม้ 5 แห่งได้แก่ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ริมคลองผดุงกรุงเกษม ซอยลูกหลวง 7 (ข้างวัดญาณ) ชุมชนริมทางรถไฟยมราช พบพฤติกรรมผู้ผลิตและจำหน่าย ใช้วัสดุ วัตถุดิบ และกระบวนการผลิตไม่ถูกสุขลักษณะและมีการเติมสารเคมีจำพวกสารกันรา และสีสังเคราะห์ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับผู้บริโภคทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน และอาจก่อให้เกิดมะเร็ง รวมทั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอขาดความต้านทานโรคจนถึงแก่ชีวิตได้----------------------------------------------------------------------- 24 กันยายน 2553“ดื่มแล้วไม่ฉลาด” อย.เตือน!!! อย่าเชื่ออาหารโม้สรรพคุณคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ออกโรงเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาสรรพคุณของสารอาหารที่อ้างว่าทำให้ฉลาดขึ้น ซึ่งการโฆษณาที่ไม่ระบุสรรพคุณ คุณประโยชน์ คุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก อย.จากนั้นผู้ประกอบการจะออกโฆษณาชุดใหม่เพื่อบอกว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีสารอาหารดังกล่าว เช่น มีวิตามินบี 12 โดยมุ่งหมายให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าถ้ากินผลิตภัณฑ์ของตนก็จะได้วิตามินบี 12 ก็จะทำให้ฉลาดเกิดความคิดดีๆ ซึ่งวิธีโฆษณาแบบนี้เป็นวิธีที่ขาดจริยธรรม-------------------------------------------------- 28 กันยายน 2553กทม. ใส่ใจผู้บริโภค เตรียมส่งเสริมความรู้สิทธิ 5 ประการกรุงเทพมหานคร เตรียมออกแผนการดำเนินงาน ในการดูแลและคุ้มครองประชาชนในฐานะผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจในสิทธิของผู้บริโภค 5 ประการ ประกอบด้วย 1.สิทธิในการรับข่าวสาร/คำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าและบริการ 2.สิทธิในการเลือกสินค้าหรือบริการ 3.สิทธิที่ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ 4.สิทธิที่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา และ 5.สิทธิที่ได้รับพิจารณาและชดเชยความเสียหายจากการบริโภคสินค้า ซึ่งทางกรุงเทพมหานครมีสำนักงานเขต และสำนักอนามัย เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน โดยมีชมรมคุ้มครองผู้บริโภคของกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต คอยสนับสนุนการดำเนินงานต่างๆ ให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ ป้องกันผู้ประกอบการเอาเปรียบผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองตามสิทธิสูงสุด-------------------------------------------------- บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรีทั่วประเทศกระทรวงสาธารณสุขประเกศดีเดย์ 1 ต.ค.นี้ ใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรีได้ทั่วประเทศ หลังจากเตรียมความพร้อมมากว่า 6 เดือน โดยประชาชน 48 ล้านคนที่มีสิทธิการรักษาพยาบาลในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สามารถใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ ผ่านระบบการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ออนไลน์ระหว่างหน่วยบริการกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ส่วนสถานีอนามัยและโรงพยาบาลตำบลที่อยู่ห่างไกลและไม่มีระบบคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต เจ้าหน้าที่จะสำเนาฐานข้อมูลรายชื่อจากส่วนกลางและปรับให้ทันสมัยทุกเดือน สำหรับใครที่ยังไม่ได้รับบัตรประชาชน สามารถใช้บัตรอื่นๆ ที่ทางราชการออกให้ มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และรูปถ่าย ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีซึ่งยังไม่มีบัตรประชาชน ให้ใช้สำเนาสูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้านแทนได้ ซึ่งสิทธิการรักษาฟรีนี้ครอบคลุมเกือบครบทุกโรค ทั้งบริการทำฟัน การตรวจสุขภาพ และการฟื้นฟูสภาพหลังเจ็บป่วยในรายการที่เหมาะสม เช่นโรคเอดส์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต ถ้าจำเป็นสามารถผ่าตัดเปลี่ยนไต ล้างไต และมีบริการส่งน้ำยาล้างไตถึงบ้านฟรี ยกเว้นการล้างไตผ่านเครื่อง มีค่าใช้จ่ายครั้งละ 1,500 บาท รัฐจ่ายให้ 1,000 บาท ผู้ป่วยร่วมจ่ายเพิ่มเพียง 500 บาท แต่ไม่ได้ครอบคลุมการผ่าตัดตกแต่ง การปลูกถ่ายตับ ปอด และหัวใจ ซึ่งมีราคาสูง-------------------------------------------------- ปรับลดค่าธรรมเนียมธนาคารการทำธุรกรรมข้ามเขต ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติร่วมกับธนาคารพาณิชย์เรื่องการปรับลดค่าธรรมเนียม ในการทำธุรกรรมทางการเงินข้ามเขตทั้งการถอนเงินโอนเงิน เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันทันสมัยขึ้น สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยระบบออนไลน์ซึ่งทำให้ต้นทุนลดลงไปมาก ซึ่งค่าธรรมเนียมใหม่ที่ออกมามีดังนี้ 1.อัตราค่าธรรมเนียมใหม่ของการโอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต จากหมื่นละ 10 บาท สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท บวกค่าบริการ 20 บาท เป็นโอนฟรีครั้งแรกส่วนครั้งต่อไปคิดไม่เกิน 15 บาท   2.การถอนเงินในธนาคารเดียวกันข้ามเขต ปัจจุบันธนาคารพานิชย์ส่วนใหญ่คิดหมื่นละ 10 บาท สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท บวกค่าบริการ 20 บาท เป็นไม่เกิน 15 บาทต่อรายการ 3.การถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต ปัจจุบันคิดหมื่นละ 10 บาท ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 20 – 25 บาท ครั้งที่ 5 ขึ้นไปใน 1 เดือน คิดเพิ่ม 5 บาท ปรับเป็นไม่เกิน 20 บาทต่อรายการ 4.การถอนเงินและถามยอดผ่านตู้ ATM ต่างธนาคารในจังหวัดเดียวกัน ปัจจุบันถอนและสอบถามยอดในเขตกรุงเทพฯ ใช้ฟรี 4 ครั้งต่อเดือน ครั้งที่ 5 คิดครั้งละ 5 บาท ต่างจังหวัดคิดค่าธรรมเนียม 20 – 25 บาทต่อครั้ง ครั้งที่ 5 ขึ้นไปคิดเพิ่ม 5 บาท เป็นให้ใช้บริการฟรี 4 ครั้งต่อเดือน ครั้งที่ 5 ขึ้นไปคิดไม่เกิน 10 บาท ซึ่งค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะเริ่มใช้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมครั้งนี้จะช่วยเหลือประชาชนรายย่อยหรือคนที่ไม่ได้มีธุระต้องทำธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ เช่นการโอนเงินที่ให้ฟรีได้ 1 ครั้งในแต่ละเดือน แต่ที่น่าจะส่งผลกับคนที่ถอนเงินบ่อยตรงที่การปรับค่าธรรมเนียมการถอนเงินผ่านตู้ ATM ต่างธนาคาร จากที่เสีย 5 บาท ในครั้งที่ 5 ของเดือน สำหรับตู้ ATM ในจังหวัดเดียวกัน ส่วนตู้ในต่างจังหวัดคิด 20 - 25 บาท ปรับเป็น 10 บาท ราคาเดียวทั่วประเทศ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 165 เมื่อเซเลบโกหก

ผู้เขียนตั้งใจไว้นานแล้วว่า วันหนึ่งจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าในประเทศไทย โดยจะมุ่งเน้นให้เห็นว่า ทำไมพวก เซเลบ (เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่ย่อมาจากคำว่า celebrity ซึ่งหมายถึง คนที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมชมชอบของคนกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่ม ศัพท์คำนี้ส่วนใหญ่ใช้กับคนที่มีอาชีพแกล้งทำเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตนเองเพื่อการบันทึกภาพไปออกโทรทัศน์หรือโรงภาพยนตร์ แต่ก็สามารถรวมถึงคนที่มีความสามารถอื่นๆ เช่น นักกีฬา นักร้อง แม้แต่นักการเมืองและ/หรือขอทานก็เป็นเซเลบได้ ถ้าเขาคนนั้นดูดีและประชาชนชื่นชอบ) ถึงยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อพูดเท็จแลกกับเงินในการรับจ้างโฆษณาสินค้าที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาคงไม่ยอมใช้ เมื่อช่วงน้ำท่วมกรุงเทพปี 2554 นั้น มีการโฆษณารถยนต์อีโคคาร์ โดยเซเลบคนหนึ่ง(ซึ่งมีพฤติกรรมขายอาหารไร้สาระในยูทูป) ทั้งที่เมื่อดูพฤติกรรมเซเลบคนนี้ก็รู้ได้ว่า ในชีวิตประจำวันนั้นเขาคงต้องใช้รถแรงราคาหลายล้านบาทแน่ๆ นอกจากนั้นเมื่อนานมาแล้วมีดาราชายหน้ายาวคนหนึ่งเปิดตู้เย็นมีสินค้าที่เป็นเครื่องดื่ม(ซึ่งมีงานวิจัยว่า อาหารลักษณะนี้มีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนระหว่างการผลิต) เต็มตู้และป่าวประกาศผ่านจอโทรทัศน์ว่า ดื่มเป็นประจำ หรือดาราหนังทำรายได้หลายร้อยล้านบาทจากภาพยนตร์กวนโอ๊ยออกมาบอกว่า เครื่องดื่มชนิดหนึ่งซึ่งรสชาติไม่เอาอ่าวนั้น สามารถทำให้สติปัญญาคนดีขึ้นมาได้ ที่แย่กว่านั้นก็คือ แม้แต่หมาแมวก็ถูกนำมาโฆษณาขายอาหารของสายพันธุ์ โดยผู้ชมไม่สามารถรู้ได้ว่า สัตว์ที่มาทำหน้าที่โฆษณานั้นถูกทารุณกรรม เพื่อให้แสดงออกถึงความชอบอาหารที่คนผลิต จึงมีการตั้งประเด็นว่า หมาแมวมันรู้สึกอร่อยจริงหรือเพราะถูกปล่อยให้อดอาหารมาหลายมื้อก่อนเข้าฉาก ยังมีโฆษณาสินค้าอีกมากมาย ทั้งที่เป็นอาหาร ผ้าซับประจำเดือนสตรี เสื้อชั้นนอก กางเกงชั้นใน เครื่องดื่มต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงการขี้ปดของเซเลบหลายคน สำหรับถ้าท่านผู้อ่านที่สนใจอยากดูหน้าเซเลบขี้ปดเหล่านี้ ก็ไปดูได้ที่ www.adintrend.com จากนั้นเมื่อดูแล้ว ท่านลองถามตนเองสิว่า ท่านเชื่อคนที่มาเยินยอสินค้าที่ท่านเข้าไปดูหรือไม่ หรือว่าสักแต่ดูไปอย่างนั้นเองยังไงๆ ก็จะซื้อหรือจะไม่ซื้อสินค้ายี่ห้อนั้นเมื่อต้องการสินค้าประเภทนั้น แต่ที่สำคัญคือ เขาหรือหล่อนทั้งหลายทำไมถึงมีสิทธิมาโกหกท่านผ่านสื่อต่างๆ ทั้งที่การโกหกเพื่อให้คนเสียเงินนั้นน่าจะเป็นความผิดทางแพ่ง ขอนักกฎหมายช่วยอธิบายด้วยแล้วกัน   อย่างที่เกริ่นในตอนต้นแล้วว่า เรื่องเซเลบมาโม้ว่าสินค้าดีนั้น ผู้เขียนอยากเขียนเรื่องนี้มานานแต่ไม่มีใครชงประเด็นให้ จนกระทั่ง 19.00 น.ตรง ของวันที่ 12 กันยายน 2557 ผู้เขียนได้ดูข่าวจากสปริงนิวส์ ซึ่งรายงานข่าวที่ทำให้ตื่นเต้นว่า จีนแผ่นดินใหญ่นั้นกำลังทำร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สาระสำคัญมีว่า “แต่นี้ไปเซเลบจะมีโทษทางแพ่งเมื่อโฆษณาสินค้าอะไรก็ตามที่ตนเองไม่เคยใช้มาก่อน” พอได้ยินข่าวนี้ผู้เขียนก็ได้รีบเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตเพื่อหาว่า ข่าวดังกล่าวนี้มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง จาก google นั้นผู้เขียนก็พบรายงานข่าวดังกล่าวบ้างในหลายเว็บ แต่ที่น่าสนใจและให้รายละเอียดดีพอควรนั้นคือ เว็บ www.wantchinatimes.com ได้รายงานหัวข้อข่าว “Tougher laws to regulate star endorsements in China” ในวันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2014 โดยมีเนื้อหาอ้างถึงรายงานของหนังสือพิมพ์ Yangtse Evening News ที่นานจิงว่า ผู้บริหารของจีนแผ่นดินใหญ่ได้มองประเด็น การที่เซเลบต่างๆออกมาบอกผู้บริโภคว่า สินค้าของบริษัทที่ตนรับสตางค์ (ผ่านบริษัทครีเอตีฟทั้งหลาย) ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้โดยไม่เคยใช้สินค้านั้นเลยนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี สมควรทำร่างกฎหมายเพื่อแก้รัฐบัญญัติเกี่ยวกับการโฆษณาเสนอแก่ Standing Committee of the National People's Congress ครั้งที่ 10 (ผู้เขียนไม่แน่ใจว่ามันคือ การประชุมของสภาประชาชนแห่งชาติจีนหรือไม่) ร่างประกาศฉบับนี้ได้แก้ไขประเด็นที่สำคัญมากคือ เซเลบที่ไม่เคยใช้สินค้าไม่ควรเสนอหน้ามาบอกประชาชนว่า สินค้านั้นดีอย่างไร โดยจะมีการปรับเป็นเงิน 2-3 เท่า ของค่าจ้างที่ได้จากการโฆษณาสินค้าที่ทำให้ผู้บริโภคเสียหายเนื่องจากความเข้าใจผิดในโฆษณานั้น ๆ มีคำอธิบายความหมายของการโฆษณาลวงกว้างๆในร่างประกาศว่า คือการโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ไม่มีขายจริง อ้างอิงคุณภาพเกินจริงเกี่ยวกับสินค้า(ซึ่งรวมถึงประเทศที่ผลิต ปริมาณสินค้า คุณสมบัติ ราคา ผู้ผลิต) วันหมดอายุ การขายประกอบรางวัล หรือการอ้างอิงข้อมูลปลอมทางวิทยาศาสตร์ ทางสถิติ การสำรวจ หรืออ้างถึงใครสักคนบอกว่าสินค้าหรือบริการนั้นสุดจะดีทั้งที่ไอ้หมอนั่นไม่เห็นจะน่าเชื่อถือ ทั้งนี้เพราะจำนวนการโฆษณาสั่วๆ ที่พบในประเทศจีนเมื่อปีที่แล้ว(2013) มีถึงราว 31,500 ชิ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มจากเดิมถึงร้อยละ 19.3 และที่น่าตกใจคือ หนึ่งในสามของโฆษณาดังกล่าวนี้มันเกี่ยวกับ ยา อาหาร และเครื่องมือทางการแพทย์ ที่สำคัญประการหนึ่งของร่างกฎหมายคือ มีการบัญญัติห้ามองค์กรหรือใครก็ตามส่งคำโฆษณาทางโทรศัพท์ไปหาผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้าน มือถือธรรมดา หรือมือถือที่ใช้นิ้วเขี่ยไปมา ทางจดหมายอิเล็กทรอนิค ถ้าผู้บริโภคไม่ได้ร้องขอหรือยินยอม ทั้งนี้เพราะปีที่แล้วมีการส่งโฆษณาไปรบกวนชาวจีนทั้งประเทศถึง 2 แสนล้านครั้ง (200 billion mobile advertisements) ซึ่งหมายความว่า มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นถึง 2 แสนล้านครั้งที่ผู้บริโภคต้องเสียเวลากดรับสาย (หรือกดปิดแบบผู้เขียนทำเป็นประจำ) โดยที่ข้อมูลไร้สาระนั้น เป็นการยกยอสินค้าทั่วไปเสียร้อยละ 65 และอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 15 ที่เหลือนั้นเป็นอะไรนั้นเว็บไม่ได้บอกไว้ ที่น่าสนใจอีกประเด็นสำหรับองค์กรที่รับภาษีบาปของไทยเพื่อนำมาใช้ในการบริหารงาน น่าจะลองพิจารณาเรื่องนี้ดูคือ ร่างประกาศนี้ห้ามการโฆษณายาเส้นและบุหรี่ทางวิทยุ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ไม่ว่าในรูปภาพและ/หรือเสียง ป้ายโฆษณาทุกชนิดในที่เป็นสาธารณะ หนังสืออิเล็กทรอนิค เครือข่ายโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ท ทั้งนี้เพราะมีคนจีนถึง 300 ล้านคนที่เป็นขี้ยาได้ตายไปด้วยโรคที่สมัครใจเป็นสิงห์อมควันนี้ถึงกว่าล้านศพต่อปี การปรับแก้กฎหมายนี้พ้องกับการที่มีดาราไต้หวันชื่อ Kai Ko หรือ Ko Chen-tung และดาราฮ่องกงลูกของแจ๊คกี้ ชาน คือ Jaycee Chan ถูกจับในข้อหาดูดกัญชา ซึ่งทำให้สินค้า 19 ชนิดที่ Kai Ko โฆษณาอยู่มีภาพพจน์ที่ไม่ดี เพราะคนโฆษณาเป็นคนไม่ดี สินค้าเลยถูกมองว่าไม่ดีตามไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายของจีนท่านหนึ่งชื่อ Liu Kewi กล่าวว่า เซเลบจะเจ๊งทันทีถ้าโม้กับผู้บริโภคว่าตัวเองเคยใช้สินค้าชิ้นนั้นๆ มาแล้ว ทั้งที่ไม่เคยใช้จริง ที่น่าสนใจคือ เซเลบแต่ละคนที่ไม่รู้เรื่องการแพทย์จะไม่สามารถโฆษณาเกี่ยวกับการขายบริการทำหมันของโรงพยาบาล(บ้านเราคงต้องเป็นเรื่องอุ้มบุญ) และอื่นๆ ถ้าเขาเหล่านั้นไม่มีทักษะในสินค้านั้นๆ มีเว็บหนึ่งได้ตั้งประเด็นที่น่าสนใจว่า ถ้าเซเลบเป็นแมนทั้งแท่ง ก็ไม่ควรโฆษณาชุดชั้นในสตรี แต่ถ้าเขาได้ข้ามเพศหรือหวังจะข้ามเพศแล้วจะสามารถโฆษณาชุดชั้นในสตรี(ซึ่งน่าจะรวมถึงยาคุมกำเนิดของสตรีด้วย) ได้หรือไม่ เพราะเขาผู้ฉิงทั้งหลายได้ใช้สินค้านั้นๆ เป็นประจำ ประเด็นนี้คงต้องตีความกันต่อไปถ้ามีการผ่านกฎหมายนี้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point