ฉบับที่ 155 ปากของเรา อย่าให้ของเสี่ยง เข้ามา

สิงหาคม 2552 มีข่าวเศร้าทางหน้าสื่อมวลชน เด็กนักเรียนหญิง ม.5 จากสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น ขอเงินแม่ 2 พันบาท เข้าคลินิกเสริมความงามใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่น กลับมาไม่กี่วันปวดฟันจนเหงือกบวม สุดท้ายทนไม่ไหวต้องนำส่งโรงพยาบาล ตรวจพบเป็นโรคหัวใจ – ไทรอยด์ติดเชื้อ และเสียชีวิตในสามวันต่อมา การใส่เหล็กดัดฟันที่วัยรุ่นนิยมกันมากจนเกิดเป็นแฟชั่นหลากหลายนั้น ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ หรือใครก็ทำให้ได้ เราต้องให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำเท่านั้น และเหล็กที่ใส่จะต้องเป็นเหล็กสเตนเลสสตีลหรือเหล็กที่ใส่แล้วไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และการจัดฟันหรือใส่เหล็กดัดฟันนั้นจะไม่สามารถใส่ได้ทันที ทันตแพทย์จะต้องตรวจสุขภาพของผู้จัดฟันให้ละเอียดเสียก่อนถึงสามารถใส่ได้ แต่การไปใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่นจากผู้ที่ไม่มีความรู้หรือไม่ใช่ทันตแพทย์ที่ได้รับอนุญาต จะมีอันตรายทั้งจากวัสดุที่ใช้ทำลวดดัดฟัน ซึ่งจะเป็นลวดราคาถูก ไม่ใช่ลวดที่ใช้ทางการแพทย์ จึงอาจเป็นสนิมและมีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนักต่างๆ เช่น ตะกั่ว พลวง ซีลีเนียม โครเมียม สารหนู สีสังเคราะห์ นอกจากนี้พบว่าผู้ให้บริการบางรายใช้กาวช้างหรือกาวทั่วไปในการยึดติดซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ผู้ให้บริการจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้จะไม่มีความรู้ด้านทันตกรรม การจัดฟันจึงมักใช้กรดกัดฟันหรือกรอเคลือบฟันที่ดีๆ ออกไป จนทำให้ซี่ฟันเคลื่อนไปจากเดิมจนฟันตาย หากการใส่ลวดดัดฟันยึดไม่แน่นพอจะทำให้ลวดมีโอกาสหลุดลงคอ และอาจบาดช่องปากจนเกิดแผลติดเชื้อในเลือดจนเสียชีวิตได้  นอกจากนี้หากเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดฟันมีคุณภาพต่ำก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสนิม และหากฆ่าเชื้อโรคเครื่องมือไม่หมดจะทำให้ติดเชื้ออันตราย เช่น ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค คอตีบ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ฯลฯ จนอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด ตามที่เป็นข่าว แม้หน่วยงานสาธารณสุขจะพยายามติดตามดูแล ไม่ให้มีผู้ลักลอบจัดฟันด้วยลวดดัดฟันแฟชั่นที่อันตราย แต่ผู้ประกอบการก็หาทางออกหลบหลีกไปเรื่อยๆ ล่าสุด มีพลเมืองดีแจ้งเตือนภัยให้ทราบว่ามีการจำหน่ายชุดเซ็ตจัดฟันเองที่บ้านและชุดอุปกรณ์จัดฟันทุกชนิด มีการหลอกลวงอ้างว่า ใช้อุปกรณ์จัดฟันเกรดดี ปลอดภัย เทียบเท่ากับคลินิกทันตกรรม มีให้เลือกทั้งแบบติดแน่น และแบบถอดได้หรือรีเทนเนอร์ (ซึ่งมีทั้งแบบ ลวดเส้นเดียว ลวดสี แบบติดเม็ด) นอกจากนี้ยังอ้างว่าไม่มีผลกระทบกับฟัน  แถมมีวิธีติดพร้อมภาพประกอบอย่างละเอียด พร้อมส่งจำหน่ายให้กับเด็กวัยรุ่นที่หลงเชื่อ ขอแจ้งเตือนผู้ปกครองตลอดจนอาจารย์โรงเรียนทุกแห่ง ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลเด็กนักเรียนด้วย หากพบว่าเด็กวัยรุ่นไปจัดฟันแฟชั่นที่อันตราย ขอให้รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อถอดเหล็กดัดฟันได้โดยด่วน และหากพบเบาะแสการจัดฟันแฟชั่น หรือมีการเชิญชวนไปรับบริการดังกล่าว ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดทราบ เพื่อช่วยเด็กๆ วัยรุ่นให้ปลอดภัยจากอันตรายนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 มติแพทยสภามีผลผูกพันคู่ความและศาลแค่ไหน ? ตอน 4

ความเดิม เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 1  (สามี) และผู้ตาย(ภริยา)เป็นคนไข้ที่มารับบริการตรวจรักษา ใช้บริการ(คลอดบุตร) ที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 (โรงพยาบาลสมิติเวช) แต่แพทย์ผู้รักษาคือจำเลยที่ 3 เป็นวิสัญญีแพทย์ จำเลยที่ 4 เป็นสูติแพทย์ได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ภริยาและบุตรโจทก์ที่ 1 ตาย โจทก์ที่ 1  ถึงที่  6  จึงฟ้องคดีเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้โรงพยาบาลเอกชน...   เหตุใดแพทย์จึงกำหนมาตรฐานการประกอบวิชาชีพว่า “ ดีที่สุด “ 3. การรักษาของแพทย์ขึ้นอยู่กับความยินยอมของคนไข้  เนื่องจากการที่แพทย์ใช้เข็มแทงก็ดี  ใช้มีดผ่าก็ดี วางยาสลบก็ดี ผ่าตัดก็ดี หากไม่มีความยินยอมของคนไข้ย่อมเป็นการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายทั้งสิ้น ( Assualt and Battery ) เมื่อคนไข้ยินยอมให้แพทย์รักษา  แพทย์จึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามหลักความยินยอม ไม่เป็นละเมิด (Volunti non fit injuria) (Puteri N.J.Kassim,Medical Negligence Law in Malaysia, (Interntional Law Book Service, 2003), pp.3-5) ด้วยเหตุนี้การรักษาคนไข้ของแพทย์จึงเกิดหลักคนไข้ยินยอมหรือ Informed Consent ขึ้น   ปัญหาว่าแพทย์จะรักษาคนไข้ต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้ดังกล่าวสร้างปัญหาแก่แพทย์ตลอดมา  โดยเฉพาะในอดีตที่แพทย์เชื่อว่าแพทย์มีเจตนาดีประสงค์จะช่วยคนไข้ เหตุใดจึงต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้ด้วย  ทำให้แพทย์ในอดีตรักษาคนไข้โดยไม่ใส่ใจว่าคนไข้ต้องให้ความยินยอมหรือไม่ เช่น ในสมัยพุทธกาลหมอชีวกทำการรักษาอาการประชวรของพระเจ้าปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนี พระเจ้าปัชโชต ขอไม่ให้หมอให้ยาที่มีส่วนผสมของเนยใส  และไม่ยินยอมให้หมอรักษาหากผสมยาด้วยเนยใส หมอชีวกได้หุงเนยให้มีสี กลิ่น และรสเหมือนน้ำฝาด   เป็นยารักษาพระเจ้าปัชโชต  โดยขอรางวัลในการรักษาเป็นช้างภัททวดีซึ่งเป็นช้างที่เดินเร็วที่สุด แล้วขึ้นช้างหนีไปจากกรุงอุชเชนีทันที (พระไตรปิฎก , พระวินัยปิฎก เล่มที่ 5 มหาวรรต ภาค 2 เรื่องพระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงประชวรโรคผอมเหลือง หน้า 144-145) ปัญหาแพทย์รักษาโดยไม่ใสใจความยินยอมของคนไข้ดังกล่าว ก่อปัญหาว่าเมื่อคนไข้ไม่ยินยอมหรือไม่ได้ให้ความยินยอมแล้วแพทย์ทำการรักษาจะไม่ผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือ  ปัญหานี้ได้ถูกวางแนวทางแก้ไขโดย Hippocrates ซึ่งถือว่าเป็นบิดาแห่งวงการแพทย์ Hippocrates เห็นว่า แพทย์ต้องปฏิญาณว่าจะทำการต่อคนไข้ดีที่สุดดังเช่นบิดามารดาเลี้ยงดูบุตร  ทำให้เกิดคำปฏิญาณของ Hippocrates เรียกว่า Hippocratic oath และเกิดแนวคิดว่าบิดามารดาเลี้ยงดูบุตร ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่บุตรโดยไม่จำต้องอาศัยความยินยอมของบุตรที่ตนเลี้ยงดู ทำให้เกิดหลัก Paternityship ( ความเป็นบิดามารดา ) ขึ้น อันนำมาซึ่งการรักษาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้ หรือที่เรียกว่าเอกสิทธิ์ในการรักษา ( Therapeutic Privilege ) ( Puteri N.J.Kassim, op. Cit.p.13 ) ต่อมาใน พ.ศ.2457 วงการแพทย์ทั่วโลกยอมรับวิธีปฏิบัติในการรักษาว่า คนไข้ต้องให้ความยินยอม เว้นแต่เป็นเหตุฉุกเฉินคนไข้ไม่อยู่ในฐานะให้ความยินยอมได้เท่านั้นแพทย์จึงจะทำการรักษาได้ หาไม่แล้วการรักษาของแพทย์ที่คนไข้ไม่ยินยอม  แพทย์ผู้รักษาต้องมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นไปตามคำพิพากษาคดี Schloendorff v.Society of New York Hospital ( 105 N.E 92 ( N.Y.1914 ) นอกจากนี้ในคดี Largey v. Rothman (110 N.J.204,540 A 2d. 504 (1998) ยังวางหลักต่อไปว่าความยินยอมของคนไข้จะสมบูรณ์เมื่อแพทย์ได้แจ้งวิธีรักษาและความเสี่ยงของการรักษาให้คนไข้ประกอบการตัดสินใจให้ความยินยอมเรียกว่าหลัก Prudent Patient(Kenneth A. Bamberger , Medical Maipractice & Professionna Liability , handout for Thai Judiciary Course , June 2009 , P .2 ) หรือที่เรียกว่า Informed Consent  ทำให้การรักษาของแพทย์ต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้เสมอ และความยินยอมต้องมาจากการที่แพทย์ให้ข้อมูล ( inform ) ในวิธีรักษาและความเสี่ยงของการรักษาแก่คนไข้ (ยังมีต่อนะครับ)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 ร้องเรียนกรณี ถูกฉ้อโกงค่าใช้บริการ

30 หมู่ที่ 8 ตำบล บางแก้วอำเภอ เมือง จังหวัดสมุทรสงคราม วันที่   28   พฤศจิกายน  2556 เรื่อง  ร้องเรียนกรณี ถูกฉ้อโกงค่าใช้บริการ เรียน   กสทชด้วยดิฉัน  นางสาวบุญยืน  ศิริธรรม  หมายเลขบัตรประชาชน 37501-00253-723    เป็นผู้ใช้โทรศัพท์ หมายเลข 081- 3089020   ใช้แบบชำระค่าบริการรายเดือนของบริษัท DTAC  ได้รับความเสียหาย ถูกฉ้อโกงค่าใช้บริการ หลายเดือนโดยที่ไม่ได้ใช้บริการวันที่ 28 พฤศจิกายน  2556  ดิฉันได้ไปจ่ายค่าบริการโทรศัพท์ ที่ศูนย์ DTAC จังหวัดสมุทรสงคราม ด้วยตัวเอง(ซึ่งเดือนก่อนๆ ให้ลูกน้องไปจ่ายแทน) ซึ่งมียอดต้องชำระ 2 เดือน มียอดรวม 1,622  บาท  จึงได้ถามว่าดิฉัน ใช้บริการโปรฯ 599 ต่อเดือน(รวมอินเตอร์เน็ต) ทำไมค่าบริการจึงสูงกว่า 599  บาท  ได้คำตอบว่า  ส่วนที่เกินมาจากค่าใช้บริการบันเทิงดารา  และการสมัครข่าวฮอตนิวส์  ซึ่งดิฉันไม่เคยสมัครใช้บริการดังกล่าว และไม่เคยได้รับบริการใดๆ (นอกจากสมัครรับข่าวของสำนักข่าวอิศรา) มีเพียงได้รับข้อความทาง SMS เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน  2556  ว่า “ระบบจะต่ออายุบริการHotNews-FT 15D&Normal 29.00 บาท 30 วัน ในวันที่ 2013 -11-14 สอบถามโทร 02-9412815”  ซึ่งดิฉันไม่สนใจและไม่คิดจะรับบริการ  จากนั้นวันที่  14 พฤศจิกายน  2556  ดิฉันก็ได้รับข้อความว่า ระบบได้ต่ออายุบริการแล้ว(ดิฉันได้นำข้อมูลนี้ให้คุณฐากร  ตันฑสิทธิ  เลขา กสทช ดูแล้ว) ส่วนค่าบริการบันเทิงดาราดิฉันมาทราบภายหลังว่า มีการให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2556  ทั้งที่ดิฉันไม่เคยสมัครและไม่เคยรับบริการข่าวบันเทิงใดๆ พฤติกรรมการให้บริการของ  DTAC   เข้าข่ายฉ้อโกงผู้บริโภค อย่างชัดเจน  จึงขอร้องเรียน ให้ DTAC ชดเชยค่าเสียหายดังนี้ เรียกร้องค่าบริการที่เรียกเก็บเกิน  ตามที่เก็บเกินไปจริง เรียกร้องค่าเสียหายกรณีเสียเวลา เสียค่าโทรศัพท์ เสียค่าเดินทางและอื่นๆในกระบวนการร้องเรียน   กรณีถูกฉ้อโกง  จำนวน 5,000  บาท (เพราะผู้บริโภคไม่ได้มีหน้าที่ร้องเรียน  แต่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ให้บริการอย่างตรงไปตรงมา มิใช่ช่อโกงผู้บริโภคได้ตามที่ต้องการ) ห้ามมิให้ DTAC ส่งบริการเสริมใดๆโดยไม่ได้มีการส่งคำร้องขอ   ลงชื่อ  นางสาวบุญยืน  ศิริธรรม ผู้ร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 กลุ่มคนใช้รถเชฟโรเลต ครูซ รวมพลังสู้

ร้องบริษัทรับผิดชอบ รถเสียซ่อมไม่หาย เป็นอีกครั้งที่การรวมพลังกันของผู้บริโภคไทยสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งสำคัญต่อมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ เชฟโรเลต รุ่นครูซ และ แคปติวา หลาย 10 คัน ทนไม่ไหวกับปัญหาสภาพรถที่เสี่ยงต่อความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น เกียร์ค้าง เปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ ขับๆ ไป เครื่องดับโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งแต่ละปัญหาล้วนแล้วแต่นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุรุนแรง เพราะเห็นว่าชีวิตยังมีค่าไม่น่านำไปเสี่ยงกับรถที่ไม่มีคุณภาพ ผู้ใช้รถยนต์ เชฟโรเลต ที่เจอปัญหาตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน จึงนัดรวมตัวเพื่อแสดงพลังปกป้องสิทธิของผู้บริโภค เรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ออกมาแสดงความรับผิดชอบ เริ่มต้นจากการไปร้องเรียนผ่านสื่อ จนผู้ผลิตอยู่เฉยไม่ไหวต้องออกมาดูแลผู้เสียหายแต่ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายเหมือนฝัน เพราะยังมีผู้เสียหายอีกหลายคัน ที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าทางบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จะนำรถกลับไปตรวจสอบแก้ไข แต่พอผู้เสียหายนำรถกลับมาใช้ปัญหาก็ยังคงอยู่ และปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่ล้วนเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิต ทางออกที่ดีที่สุดที่ผู้ผลิตควรทำเพื่อแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา คือรับซื้อคืนรถที่เสี่ยงต่ออันตรายทั้งหมดคืนไป เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของผู้บริโภคแต่เมื่อข้อเรียกร้องนี้ไม่ได้รับการตอบรับ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ เชฟโรเลต ครูซ ที่พบปัญหา จึงต้องเพิ่งพากฎหมาย เดินหน้าร้องเรียนต่อ สคบ. โดยมีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคช่วยดำเนินการ จนในที่สุดบริษัทผู้ผลิตก็ยินยอมที่จะนำรถยนต์ เชฟโรเลต ครูซ ที่พบปัญหาจำนวน 12 คัน เข้ารับการทดสอบเพื่อตรวจดูคุณภาพรถยนต์ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพดำเนินการทดสอบ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทดสอบทั้งหมดทางบริษัท เชฟโรเลต ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งถ้าผลออกมาพบว่ารถยนต์ที่ทดสอบมีปัญหา บริษัทควรต้องซื้อคืนรถยนต์และจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้กับเจ้าของรถ สถานการณ์ล่าสุด สคบ. แถลงผลการทดสอบรถยนต์เชฟโรเลต พบปัญหาทุกคัน13 ม.ค. 57  นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จัดประชุมเพื่อแจ้งผลการทดสอบรถยนต์เชฟโรเลต ครูซ 12 คัน เมื่อวันที่ 14-18 ต.ค. 56 ณ สนามแก่งกระจานเซอร์กิต จ.เพชรบุรี ซึ่งมีผู้ร้องเรียน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และตัวแทนบริษัท เชฟโรเลตฯ เข้าร่วมรับฟัง โดยมีนายศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข ประธานคณะทำงานสืบค้นข้อเท็จจริง เป็นผู้ชี้แจงผลการทดสอบพบ  ปัญหาในรถทุกคันที่ทดสอบ จากการรายงานของทีมนักขับและผลจากเครื่องมือที่ใช้ติดตั้งเพื่อตรวจสอบ พบปัญหาระบบส่งกำลัง ได้แก่ เกียร์เปลี่ยนขึ้น-ลงกระตุก เกียร์ไม่ Kick-down เกียร์กระตุกในช่วงเครื่องเย็น และในสภาวะรถติดเคลื่อนตัวช้า เบรก RF ค้าง รถยนต์คันที่เกิดปัญหาดังกล่าวมีการรายงานอาการซ้ำๆ มากที่สุดถึง 38 ครั้งภายหลังทราบผล นายอำพล เลขาฯ สคบ. ยืนยันว่า สคบ.ผลการทดสอบของคณะทำงานสืบค้นฯ ถือเป็นที่สุด และขอให้บริษัทฯ เยียวยาความเสียหาย โดยคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ สคบ. จะนัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจาในสัปดาห์หน้า และขอให้บริษัทฯ ส่งผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นผู้มาเจรจา ซึ่งตัวแทนบริษัทฯ ขอนำผลการทดสอบในครั้งนี้ไปเปรียบเทียบกับผลการทดสอบที่เก็บข้อมูลมา และหารือเรื่องการเยียวยาความเสียหายกับผู้บริหารต่อไป ปัญหารถยนต์ใหม่เกิดปัญหาจากสถิติการร้องเรียนของ ผู้บริโภคทั่วประเทศ ที่ส่งเรื่องร้องเรียนเข้ามายังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) พบว่า ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้น การร้องเรียนด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ ขยับขึ้นมาครองแชมป์อันดับหนึ่ง แซงการร้องเรียนด้านอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้ใช้รถยนต์เชฟโรเลตครูซและแคปติวา จำนวน 26 ราย เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ สคบ. เรียกร้องให้เชิญบริษัทรถยนต์เข้า มาไกล่เกลี่ยภายใน 7 วัน เนื่องจากคันเร่งค้าง เครื่องเร่งเองโดยไม่เหยียบคันเร่ง ระบบเกียร์อัตโนมัติมีอาการกระตุกรุนแรง และระบบเกียร์ล็อคขณะเปลี่ยนเกียร์ โดยขอให้ สคบ.จัดทดสอบเพื่อพิสูจน์ปัญหา ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่ารถยนต์มีความชำรุดบกพร่องตามที่ร้องเรียนจริง ขอให้ทางบริษัทรับซื้อรถยนต์คืนในปี 2555 มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่ สคบ. กว่า 2,000 กรณี โดยเป็นการร้องเรียนด้านรถยนต์ 877 กรณี ซึ่งปัญหาที่ร้องเรียนมากที่สุดเกิดจากรถยนต์ชำรุด บกพร่อง รองลงมาคือของแถมไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ และสัญญาเช่าซื้อที่ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ซื้อรถส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องการผิดนัดชำระเงิน ขณะที่สถิติร้องเรียนด้านรถยนต์ล่าสุด ตั้งวันที่ 1 ต.ค. 2555 ถึง วันที่ 31 ก.ค. 2556 รวมทั้งหมด 682 กรณี แบ่งเป็น รถยนต์ชำรุด 208 ขอเงินจองคืนกรณีไม่ได้รถ 96 ค้างค่างวด/คืนรถ/ส่วนต่างสูง 23 ไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญา 65 ยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน 83 ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย 32 ขอคำปรึกษา 36 ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง 67 ค่าปรับสูง 32 กรณี และขอให้ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ 40นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) เปิดเผยว่า ในแต่ละปีผู้บริโภคที่ประสบปัญหาด้านต่างๆ จะร้องเรียนเข้ามา ประมาณ 2,000 ราย ซึ่ง สคบ.จะจำแนกประเภทการร้องเรียนออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ โดยการร้องเรียนเกี่ยวกับรถยนต์ แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ คือ 1.ปัญหารถยนต์ป้ายแดง 2.ปัญหารถยนต์มือสอง 3.ปัญหาการเช่าซื้อ และ 4.ปัญหาการซ่อมแซม ซึ่งแม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การร้องเรียนด้านรถยนต์จะ ขยับสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 แต่ประมาณ ร้อยละ 80-90 เกี่ยวกับความรู้สึกของผู้ใช้งาน เช่น ไม่พอใจในเสียงดัง ไม่พอใจในกลิ่น ขณะที่เรื่องของคุณภาพและมาตรฐานของรถยนต์นั้น หากช่วงใดเกิดกระแสและมีการรวมตัวกันของผู้ประสบปัญหา ก็จะมีการร้องเรียนเข้ามายัง สคบ.ค่อนข้างมาก รับเรื่องร้องเรียน 2 ลักษณะนายจิรชัย กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการหลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.บริษัทรถยนต์เป็น ผู้ดำเนินการตรวจสอบ และดำเนินการปรับเปลี่ยนซ่อนแซมอุปกรณ์ที่มีปัญหา โดยจะต้องยืดระยะเวลาในการประกันออกไปด้วย และ 2.ประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ เข้ามาดำเนินการตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นว่าตรงตามข้อร้องเรียนหรือไม่ รวมถึงหาสาเหตุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นเกิดจากกระบวนการผลิตหรือไม่ ซึ่งการดำเนินการในส่วนที่ 2 นี้ จะเกิดขึ้นหลังจาก การเจรจาระหว่างบริษัทรถยนต์กับผู้บริโภค ไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ส่วนขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพรถยนต์นั้น ทาง สคบ.จะประสานไปยังสถาบันยานยนต์ ซึ่งเป็นคณะกรรมการด้านยานยนต์ของ สคบ.อยู่แล้ว ให้เข้ามาดำเนินการตรวจสอบปัญหาว่าเกิดจากอะไร เช่น เหยียบคันเร่งให้รถเดินหน้าแต่รถไม่ขยับ เข้าเกียร์ถอยหลังแต่ไม่ถอยหลัง หรือเกิดเสียงดังเวลาเปลี่ยนเกียร์ ตรงนี้ต้องตรวจสอบดูว่าตามสภาพจริงของรถยนต์เป็น แบบนี้หรือไม่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ผู้เชี่ยวชาญสามารถตรวจสอบได้ไม่อยาก และหากว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากความผิดพลาดในการผลิต ทางบริษัทรถยนต์ก็จะต้องดำเนินการแก้ไขตามขั้นตอน เช่น ซ่อมแซม เปลี่ยนอุปกรณ์ที่ชำรุด เปลี่ยนรถคันใหม่ หรือรับซื้อคืน ตามลำดับ เคลียร์เชฟโรเรตในเดือนนี้"ที่ผ่านมาการร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพและมาตรฐานของรถยนต์ มีทั้งแบบผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามารายเดียว และผู้บริโภคที่ประสบปัญหาเดียวกันหรือคล้ายกันรวมกลุ่มเข้ามาร้องเรียน ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา สคบ.ได้ประชุมพิจารณากรณีของผู้ใช้รถยนต์เชฟ โลเรต พบว่าก่อนหน้านี้ได้ร้องเรียนมายัง สคบ.แล้ว 13 ราย ซึ่งทางบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการอยู่ ส่วนที่เหลือได้ยืนความจำนงไปยังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้เข้ามาช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามข้อสรุปจากการประชุม สคบ.สั่งให้ทางบริษัทเร่งดำเนินการเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้"นายจิรชัย กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามเมื่อผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามายัง สคบ. ส่วนใหญ่ปัญหาจะจบอยู่ในขั้นตอนเจรจาไกลเกลี่ย ดังนั้นที่ผ่านมาการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพมาตรฐาน และปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ จึงไม่ไปถึงขั้นฟ้องร้องในชั้นศาลด้านนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(มพบ.) กล่าวว่า การร้องเรียนปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานรถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคที่ประสบปัญหาให้ความสำคัญ เนื่องจากมูลค่าค่อนข้างสูง แต่กว่าที่ผู้บริโภคจะร้องเรียนเข้ามายัง มพบ. ส่วนใหญ่จะมีการติดต่อไปยังบริษัทรถยนต์ เพื่อเจรจาพูดคุย รวมถึงส่งรถยนต์เข้า ไปตรวจเช็คและซ่อมแซมมาแล้วในระดับหนึ่ง ในขณะที่บางรายก็ได้ร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) แล้ว แต่สุดท้ายอาจจะทนรอขั้นตอนการดำเนินการ ของทางบริษัทรถยนต์หรือหน่วยงานราชการไม่ไหว จึงตัดสินใจร้องเรียนมายัง มพบ. ให้เป็นหน่วยงานกลางเร่งรัดการดำเนินการ และเป็นไปตามกฎหมายผู้บริโภค ปัญหาเครื่องยนต์กลไก 'ต้องฟ้องร้อง'ส่วนความเสียหายเป็นไปตามมาตรฐานของรถยนต์หรือ ไม่นั้น ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.ปัญหาจุกจิกลำคาญใจ เช่น มีเสียงเข้าไปในห้องโดยสาร เสียงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งไม่สนิท เบรกหรือโชคแข็ง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะสามารถแก้ไขได้ เพราะตามกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบ และ 2.ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์กลไก เช่น ระบบเกียร์ คันเร่ง หรือสมองของรถยนต์ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงเทคนิคต้องมีการพิสูจน์ ส่วนใหญ่จึงนำไปสู่การฟ้องร้อง เนื่องจากบริษัทรถยนต์ไม่มีนโยบายเปลี่ยนรถคันใหม่ เมื่อลูกค้ามีปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์ ก็จะให้นำเข้ามาซ่อมแซม ซึ่งแม้ว่าหลังจากซ่อมแล้วยังเกิดอาการเดิม ทางผู้ประกอบการก็จะยืนยันว่าสามารถซ่อมได้ แต่ตามหลักจิตวิทยาของคนซื้อรถใหม่ หากรถที่ซื้อมาใหม่ถูกชำแหละราคาจะตกทันที ส่วนใหญ่ผู้บริโภคจึงต้องการให้ทางบริษัทเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่"หลังจากผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามายัง มพบ. จะมีการตรวจข้อร้องเรียนและปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงติดต่อไปยังบริษัทรถยนต์ เพื่อให้เข้ามาเจรรจาพูดคุย ส่วนใหญ่จะเป็นการชี้แจงและยืนยันว่าสามารถซ่อมได้ ตรงนี้ผมมองว่าเป็นการประวิงเวลา รับผิดชอบตามระยะประกันและอายุกฎหมาย ที่กำหนดไว้ 1 ปี หลังจากรับสินค้า หากผู้บริโภคฟ้องร้องหลังจากหมดอายุความก็จะแพ้ทางเทคนิค แต่หากเรื่องเข้าสู่กระบวนการเจรจาไกลเกลี่ยผู้บริโภค ตามกฎหมายอายุความจะหยุดทันที แต่ประชนส่วนใหญ่จะไม่รู้"จากการดำเนินการฟ้องร้องที่ผ่านมา แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายชนะ เช่น กรณีประกอบรถไม่ดีแล้วเขม่าควันเข้ามาในห้องผู้โดยสาร แต่ทางบริษัทรถยนต์ก็ ยื่นอุทธรณ์ กระบวนหลังจากฟ้องร้องจึงยาวนานมาก ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าคนไทยมีกลไลศาลเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือ แต่ความรู้เรื่องกลไลการทำงานของรถยนต์ จำเป็นต้องอาศัยผู้เชียวชาญโดยตรง เข้ามาเป็นตัวกลางในการตรวจสอบซ้ำ เพราะหากทางบริษัทนำรถไปตรวจสอบ และออกมาแถลงว่าไม่พบปัญหา ตรงนี้ไม่มีใครสามารถเชื่อถือได้ จี้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้านายอิฐบูรณ์ กล่าวต่อว่า การที่ประเทศไทยไม่มีหน่วยงานที่มีอำนาจโดยตรง ในการตรวจสอบหรือเรียกคืนยานยนต์ ที่ถูกตรวจพบปัญหาหรือถูกร้องเรียนเข้ามา ทำให้ผู้บริโภคในบ้านเราเสียเปรียบ เพราะความรู้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเทคนิคเครื่องยนต์กลไก เป็นข้อมูลที่มาจากผู้ประกอบการทั้งหมด ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าในขณะที่ประเทศไทยรถยนต์เป็น สินค้าส่งออก 5 อันดับแรก แต่การกำกับดูและมาตรฐานสินค้ายังไม่เข้มข้นมากพอ แม้ว่าล่าสุดทาง สคบ.ได้แก้ไขข้อกฎหมายให้มีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจไปตรวจสอบสินค้า แต่ก็ยังคงมีการคำถามในเรื่องการดำเนินการอยู่ดีสำหรับสถิติร้องเรียนด้านมาตรฐานรถยนต์ส่วน บุคคล ที่ร้องเรียนเข้ามายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ตั้งแต่ปี 2553-2556 รวมทั้งหมด 93 กรณี โดย 10 อันดับ บริษัทที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด คือ 1.เชฟโลเรต 38 กรณี 2.โฟตอน 29 กรณี 3.โตโยต้า 18 กรณี 4.มิซูบิชิ 12 กรณี 5.ฮอนด้า 8 กรณี 6.ฟอร์ด ประเทศไทย 7 กรณี 7.นิสสัน 4 กรณี 8.เมอร์เซเดสเบนซ์ ประเทศไทย 2 กรณี 9.มิลเลนเนียม ออโต้ จำกัด 2 กรณี และ 10.คูโบต้า 2 กรณี ซึ่งปัญหาด้านมาตรฐที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ร้องเรียน เช่น เกียร์กระชาก สมองเกียร์พัง เกียร์กระตุกเวลาเร่งเครื่องรอบขึ้นแต่ความเร็วไม่ขึ้น เครื่องยนต์ร้อนและมีเสียงดังผิดปกติ คันเร่งค้าง เครื่องเร่งเอง เครื่องพุ่ง มีกลิ่นและเขม่าควันเข้ามาในห้องโดยสาร และถุงลมนิรภัยไม่ทำงานที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สถิติร้องเรียนปัญหารถยนต์'ป้ายแดง'7เดือนพุ่ง วันที่ 3 กันยายน 2556   สถิติรับร้องทุกข์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มกราคม – พฤศจิกายน 2556                                                             กลุ่มปัญหา ปี 2556 ร้อยละ มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย ตค. พย. ธค. รวม   ธุรกิจศูนย์ออกกำลังกาย 8 3 2 1 3 1 1 0 1 0 0   20   เครื่องใช้ไฟฟ้า 1 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0   2 1.79 ธุรกิจซื้อขายสัตว์เลี้ยง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0   0 0.00 บริการท่องเที่ยว 0 1 0 0 1 0 0 0 0 0 0   2 1.79 บริการห้างร้าน 2 0 2 4 1 0 2 3 0 2 0   16 14.29 บริการให้เช่า 0 0 0 0 0 0 1 0 1 0 0   2 1.79 วัสดุก่อสร้าง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0   0 0.00 อุปกรณ์อิเล็คทรอนิค 1 1 1 1 0 0 0 2 0 1 0   7 6.25 ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ 1 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0   2 1.79 อุปกรณ์ในครัวเรือน 0 0 0 0 0 0 0 1 0 2 1   4 3.57 ยานพาหนะ 0 1 0 0 3 5 30 7 5 4 1   56 50.00 สินค้าเกษตร 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0   0 0.00 เครื่องแต่งกาย 0 0 0 0 0 0 0

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 กระแสต่างแดน

โนอั่งเปา ปกติแล้วเทศกาลเต็ด (หรือตรุษจีน) เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนตั้งตารอ รอวันหยุดยาวและรอโบนัสจากเจ้านาย แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะคล่องตัว ปีนี้หลายคนคงจะผิดหวัง สาวโรงงานทำรองเท้ารายหนึ่งในจังหวัดไฮฟอง คาดการณ์ว่าปีนี้เธอคงได้โบนัสจากบริษัทไม่เกิน 300,000 ดอง(ประมาณ 500 บาท) แต่นั่นก็ยังดีกว่าโบนัสตอนปีใหม่ที่ได้แค่  10,000 ดอง(ประมาณ 15 บาท) ซึ่งเธอบอกว่าไม่พอซื้อเฝอ(ก๋วยเตี๋ยว) ชามหนึ่งด้วยซ้ำไป ในขณะที่หนุ่มโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ในเมืองฮานอยก็บอกว่าตรุษจีนปีนี้คงไม่สนุก แม้จะได้เงินโบนัสถึง 2,000,000 ดอง(ประมาณ 3,100 บาท) แต่เขาบอกว่าเงินแค่นี้ไม่พอซื้อของขวัญดีๆ ให้ญาติผู้ใหญ่ได้  เต็มที่เขาคงทำได้แค่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว   ด้านนายจ้างก็กลุ้มใจไม่แพ้กัน ว่าจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายโบนัสให้พนักงาน เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งบอกว่าปี 2556 เป็นปีที่ฝืดเคืองมากสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ปีนี้เธอต้องกู้เงินคนอื่นมาจ่ายโบนัสให้พนักงาน แม้จะให้ได้คนละไม่มาก(ประมาณ 800 – 1,500 บาท แล้วแต่ระยะงาน) แต่เธอก็อยากตอบแทนความขยันขันแข็งของลูกน้อง และธุรกิจของเธอก็นับว่าโชคดีมากแล้วที่ยังไม่ล้มละลาย เธอบอกว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจขนาดเล็กในเวียดนามกำลังประสบปัญหา ถ้าไปถามใครแล้วเขาตอบว่า “ก็สบายๆ ชิลๆ” แสดงว่าเขาพยายามพูดในทางที่ดีไว้ก่อนเพื่อรักษาหน้า ตัวเลขของทางการก็ช่วยยืนยันความเห็นของเธอ ในปี 2013 เขตโฮอันเกี่ยมมีผู้ประกอบการรายย่อย 546 ราย(จากทั้งหมด 4,000 ราย) ต้องปิดกิจการ สรรพากรเองก็เก็บภาษีได้เพียงร้อยละ 64 ของที่เคยเก็บได้ ไม่เป็นไร ปีนี้พลาดไปแล้ว ปีหน้าฟ้าใหม่ขอให้เฮงๆ กันกว่านี้ก็แล้วกันนะ     ใครช่างคิด? วันนี้ทุกคนสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองทางอินเตอร์เน็ต ขอแค่มีบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นการจองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน ซื้อบัตรคอนเสิร์ต ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหนคือ “ค่าธรรมเนียมการดำเนินการ” (ที่เราดำเนินเอง *-*) ซึ่งยังไม่มีใครทราบว่ามันเป็นค่าอะไรบ้าง นอกจากค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิตอย่างที่เคยรู้มา CHOICE องค์กรผู้บริโภคออสเตรเลียออกมาแฉว่า สายการบินเวอร์จิ้น เจ็ทสตาร์ และแควนตัส คิดค่าธรรมเนียมการจองผ่านบัตรเครดิตถึง 7.70 เหรียญ 8.50 เหรียญ และ 7 เหรียญต่อหัว สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ทั้งๆ ที่ค่าดำเนินการอยู่ที่ร้อยละ 0.81 ของมูลค่าธุรกรรมเท่านั้น จึงเกิดคำถามว่าสายการบินเหล่านี้อ้างการเก็บ “ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิต” เพื่อเป็นช่องทางหารายได้หรือเปล่า ทั้งนี้เพราะธนาคารกลางของออสเตรเลียได้ออกมาตรการควบคุมการคิดค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิตในการจ่ายค่าแท็กซี่และซื้อตั๋วเครื่องบินตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้ว ผู้ประกอบการบัตรเครดิตก็สนับสนุนการกำหนดเพดานค่าธรรมเนียม เพราะรู้ดีว่าถ้าเก็บมากไป ผู้บริโภคก็จะไม่อยากใช้บัตร การสำรวจในเดือนกันยายนก็พบว่ามาสเตอร์การ์ดและวีซ่าคิดค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเฉลี่ยร้อยละ 0.80 ต่อรายการชำระเงินจริงๆ แล้วที่จ่ายกันไปมากกว่านั้น นี่ใครคิดกันเนี่ย??? คนจนงดเจ็บป่วย สิงคโปร์มีประชากร 5.4 ล้านคน รายได้เฉลี่ยต่อปีของประชากรอยู่ที่ 65,048 เหรียญ(1,677,000 บาท) และมีอัตราส่วนเศรษฐีต่อประชากรสูงที่สุดในโลก เมื่ออยู่ในเมืองที่มีค่าครองชีพแพงเป็นอันดับ 6 ของโลก คุณต้องมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 1,400 - 1600 เหรียญ (36,000 – 41,500 บาท) ถึงจะพออยู่ได้ ปีเตอร์ พนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งบนถนนออชาร์ด คือหนึ่งในตัวอย่างของคนรายได้น้อยในสิงคโปร์ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น เขามีรายได้เดือนละ 1,600 เหรียญ และมีหนี้ที่เกิดจากค่ารักษาภรรยาจากอาการข้อเท้าหักเมื่อสองปีก่อนอีก 20,000 เหรียญ(ประมาณ 515,500 บาท)  ในขณะที่ตัวเองก็เป็นต้อหิน ซึ่งการผ่าตัดรักษาต้องใช้เงินถึง 4,000 เหรียญ(ประมาณหนึ่งแสนบาท) ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่แพงขึ้นทำให้ร้อยละ 72 ของคนสิงคโปร์ เชื่อว่าตัวเองไม่มีเงินพอจะรักษาอาการเจ็บป่วยได้ ทั้งๆ ที่มีระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินสมทบจากรัฐ เช่นในกรณีของปีเตอร์ เขาสามารถเบิกจากกองทุนได้แค่ 1,700 เหรียญเท่านั้น สถิติระหว่างปี 2002 ถึงปี 2011 ระบุว่ารัฐบาลสิงคโปร์ร่วมจ่ายไม่ถึงหนึ่งในสามของค่ารักษาพยาบาล ในขณะที่โดยเฉลี่ยแล้วรัฐบาลของประเทศที่พัฒนาจะร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลประมาณร้อยละ 60 ถึง 70 เฮ้อ .. จนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่อย่าป่วยไข้ก็แล้วกัน     ยาดีต้องมีที่มา ไม่เพียงแต่คนไข้เท่านั้นที่ถูกบริษัทยาละเมิดสิทธิโดยไม่รู้ตัว แม้แต่นักวิจัยและแพทย์เองก็ไม่เคยได้รับทราบข้อมูลสำคัญๆ เกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกของยาบางตัว ก่อนที่จะนำไปใช้รักษาคนไข้ด้วยเช่นกัน งานสำรวจพบว่า ความเป็นไปได้ที่บริษัทจะลงพิมพ์ผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์นั้นมีเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น และผลการทดลองที่ให้ผลเป็นบวกนั้นมีแนวโน้มจะได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะมากกว่า บริษัทมักอ้างว่ามันเป็นความลับทางธุรกิจที่เปิดเผยไปแล้วจะทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง จึงเลือกที่จะปกปิดข้อมูลไว้ แม้กระทั่งจากแพทย์ที่จะนำยาไปใช้รักษาคนไข้ บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษจึงออกมาเรียกร้องให้มีการเปิดเผยวิธีการและผลการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกของยาทุกตัวที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เพราะมันมีผลต่อการใช้งบประมาณของประเทศ ในปี 2013 กรมสุขภาพของอังกฤษใช้เงินไปถึง 424 ล้านปอนด์(22,700 ล้านบาท) ในการกักตุนยาทามิฟลูที่เชื่อกันว่าสามารถต้านไว้รัสไข้หวัดใหญ่  โดยที่แพทย์ก็ยังไม่สามารถฟันธงเรื่องผลการรักษาของมันได้ เพราะมีข้อมูลไม่เพียงพอ   เปิ้ลพร้อมเปลี่ยน คณะกรรมาธิการการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภคของออสเตรเลีย Australian Competition and Consumer Commission ยื่นคำขาดต่อแอ๊ปเปิ้ลให้ปรับเปลี่ยนนโยบายหลังการขายให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคบัดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นเรื่องจะถึงศาล คำขู่นี้ได้ผล แอ๊ปเปิ้ลขอสัญญาว่าจากนี้ต่อไปเขาจะอบรมพนักงานใหม่เรื่องสิทธิในการขอเปลี่ยนหรือซ่อมสินค้าตระกูลไอทั้งหลาย และหยิบเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์ที่ขายไปในรอบสองปีที่ผ่านมาขึ้นมาพิจารณาใหม่ และดูและให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิตามที่ควรจะได้ ก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาได้สิทธิการเรียกร้องต่ำกว่าที่ระบุไว้ตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ของออสเตรเลีย สาวกไอโฟน ไอแพด และไอพอด เชื่อมั่นว่าตนเองได้รับสิทธิเต็มที่แล้วตามแอ๊ปเปิ้ลจัดให้ ด้วยระยะเวลารับประกันหนึ่งปี แต่ตามกฎหมายฉบับนี้ ผู้ขายต้องรับประกันคุณภาพสินค้า “ในระยะเวลาที่เหมาะสม” ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เข้าข่ายเป็นคอมพิวเตอร์ จึงมีระยะประกัน 2 ปี และผู้ขายจะต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่ขายในร้านทั้งหมดแม้จะไม่ใช่ของแอ๊ปเปิ้ลด้วย นอกจากนี้บริษัทยังรับปากว่าจะแจ้งสิทธิผู้บริโภคไว้ที่หน้าแรกของเว็บไซต์เป็นเวลาสองปี และมีจุดแจกเอกสารของคณะกรรมาธิการการแข่งขันฯ ในร้านทุกสาขาด้วย //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนธันวาคม 2556 ภาชนะอะลูมิเนียม อันตรายแฝงเพียบ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทำการสุ่มทดสอบภาชนะประเภทอะลูมิเนียม เพื่อตรวจสอบดูคุณภาพความเหมาะสม และความปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหาร โดยได้ทำการสุ่มเก็บตัวอย่างภาชนะอะลูมิเนียม จำนวน 21 ตัวอย่าง ประกอบด้วย หม้อ กระทะ ถาดใส่อาหาร ฯลฯ ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงราย นครพนม การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การหาองค์ประกอบทางเคมี และการทดสอบการละลายของโลหะหนักจากภาชนะตัวอย่าง ซึ่งจากการทดสอบองค์ประกอบทางเคมีพบว่าตัวอย่างที่ไม่ผ่านเกณฑ์กำหนดเกือบทั้งหมดเป็นภาชนะประเภทอะลูมิเนียมโลหะผสม ซึ่งพบปริมาณตะกั่ว สังกะสี และทองแดง สูงเกินเกณฑ์กำหนด สำหรับการทดสอบการละลายของโลหะหนักจากภาชนะตัวอย่าง ซึ่งเลียนแบบการใช้งานเวลาหุงต้มหรือปรุงอาหารประเภทกรด พบว่ามีปริมาณอะลูมิเนียม ตะกั่ว เหล็ก และสังกะสี ละลายออกมาในสารละลายตัวแทนอาหาร โดยเฉพาะภาชนะอะลูมิเนียมโลหะผสม มีโลหะเหล่านี้ละลายออกมาสูงกว่าภาชนะอะลูมิเนียม ดังนั้นคำแนะนำในการปรุงอาหารประเภทกรด การใช้ภาชนะอะลูมิเนียมน่าจะปลอดภัยจากโลหะปนเปื้อนมากกว่าการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมโลหะผสม   สำหรับข้อสังเกตในการเลือกซื้อระหว่างภาชนะประเภทอะลูมิเนียม และอะลูมิเนียมโลหะผสมคือภาชนะอะลูมิเนียมโลหะผสมผิวไม่ค่อยเรียบอาจมีรูพรุน มีความมันวาวน้อยกว่า และมีสีเข้มกว่า อย่างไรก็ตาม การปนเปื้อนของโลหะจากภาชนะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย เช่น ประเภทอาหารที่ปรุง ระยะเวลา อุณหภูมิ------------------------------------------------------------------------------   “น้ำหมัก” ขายดี แถมมีงบ กสทช. ช่วย!? ปัญหาเรื่องการหลอกลวงขายสินค้าพวกผลิตภัณฑ์สุขภาพอาหารเสริม ยังคงเป็นมหาวายร้ายทำลายสุขภาพและหลอกปล้นเงินผู้บริโภค ที่ยิ่งนับวันก็มีแต่จะสร้างปัญหารุนแรงมากขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการปัญหาหลงลืมหน้าที่ตัวเองหรืออ่อนด้อยฝีมือ ปัญหาเหล่านี้ถึงยังไม่ถูกกวาดล้างจัดการสักที แถมล่าสุดมีการออกมาแฉโดยเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดร้อยเอ็ด ว่างบประมาณที่ทาง กสทช. จัดสรรลงพื้นที่เพื่อจัดให้มีการอบรบผู้ประกาศระดับภูมิภาคเป้าหมายเพื่อให้ความรู้ที่ทุกต้องเรื่องการรับฟังสื่อโฆษณาต่างๆ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของสินค้าโอ้อวดหลอกลวงสรรพคุณ แต่ลับหลังกลับมีการแอบขายน้ำหมักกันเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขนาดที่มีการสร้างเครือข่ายให้ผู้อบรมเอาไปขายต่อยังสถานีวิทยุของตัวเอง นายประวิทย์ หันวิสัย เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดร้อยเอ็ด ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ในพื้นที่มีปัญหาการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพเกินจริงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตามคลื่นวิทยุชุมชน มีการเปิดสปอตโฆษณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 30 รอบ ใน 1 วัน ทั้งยังใช้เทคนิคนำผู้มีชื่อเสียงอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ประกอบวิชาชีพมาอวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ มีการใช้ของรางวัลล่อใจ เช่น ซื้อผลิตภัณฑ์แล้วส่งมาชิงโชคมอเตอร์ไซค์ และทองคำ รวมถึงมีการสัมภาษณ์ผู้ใช้ที่เป็นหน้าม้าว่าผลิตภัณฑ์ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการเปิดเสียงของเก่า ทั้งที่คนที่สัมภาษณ์ว่าใช้ดี ตายเพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ไปแล้วก็มี ซึ่งพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดเท่าที่ทราบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย โดยรายแรกเกิดจากการใช้ยาแผนโบราณ แต่พบว่ามีส่วนประกอบของยาแผนปัจจุบัน และมีจุลินทรีย์ในอัตราที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อีก 2 รายเสียชีวิตจากการดื่มน้ำหมัก เพราะมีโรคประจำตัวอยู่คือ มะเร็วกระดูกและพาร์กินสัน ปัญหาหนึ่งที่ทำให้หน่วยงานภาครัฐจับไม่ได้ไล่ไม่ทันสถานีวิทยุเหล่านี้ เพราะสินค้าที่เป็นปัญหามักจะคอยเปลี่ยนชื่อสินค้าไปเรื่อยๆ เวลาที่เกิดปัญหามีเรื่องร้องเรียน เมื่อสินค้าถูกนำไปตรวจสอบก็จะรีบเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ทันทีทั้งที่เป็นตัวเดิม ทำให้ อย. ต้องนำผลิตภัณฑ์เดิมในชื่อใหม่ไปตรวจสอบอีกครั้ง กว่าจะส่งต่อให้ กสทช.ดำเนินการสั่งปิดสถานี ซึ่งกว่าจะทราบผลก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน เจ้าของผลิตภัณฑ์ก็เปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว สินค้าก็ถูกโฆษณาขายใหม่ไปแล้วเรียบร้อย     สธ.ตัวการ ทำเมืองไทยเป็นเมือง “แร่ใยหิน” รศ.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) เปิดเผยว่า จากการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มี นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รักษาการ รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ได้มีมติตามการนำเสนอของ นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ.เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้คงการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ ซึ่งมติดังกล่าวเป็นการสวนทางกับการยกเลิกการใช้แร่ใยหินทั่วโลก เครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย (T-BAN) เปิดเผยว่ามีความพยายามที่จะให้ข้อมูลลดทอนความเป็นอันตรายของแร่ใยหินไครโซไทล์ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การว่าจ้างทำวิจัย จัดประชุมนำเสนอข้อมูล เพื่อทำให้สังคมสับสน ซึ่งมติของทาง สธ.ที่ยังคงให้ใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ได้ในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการค้ากับทางรัสเซียที่เป็นประเทศส่งออกแร่ใยหินให้กับไทย ซึ่งทั้งๆ ที่ผ่านมา สธ.เองเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอข้อมูลในเรื่องนี้ว่าแร่ใยหินเป็นอันตรายและต้องยกเลิก ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ แต่ในยุค นพ.ประดิษฐ พบว่า มีขบวนการสนับสนุนให้มีการขายสินค้าอันตราย เครือข่าย T-BAN จึงมีมติเดินหน้าตรวจสอบการทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกมติรับให้สินค้าแร่ใยหินไม่เป็นอันตราย พร้อมเรียกร้องให้เปิดเผยผลการประชุมของคณะทำงานศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหินต่อสังคมด้วย   คาราบาวแดงทำแสบ หลอกชิงทอง 100 บาท พอถูกรางวัลจ่ายเงินแค่ 100 เดียว เหตุการณ์เกิดขึ้นกับแม่ค้าชาว จ.สุโขทัย ท่านหนึ่ง ที่ได้ร่วมชิงโชคกับเครื่องดื่มชูกำลัง “คาราบาวแดง” โดยได้ขูดสติกเกอร์ "ขูดปั๊บรับโชคร้อยถึงล้านกับแพคบาวแดง" แล้วพบข้อความระบุว่า "คุณคือผู้โชคดี ได้รับทองคำมูลค่า 100 บาท" แม่ค้าท่านนี้ดีใจสุดขีดเพราะโชคดีจะได้เป็นเศรษฐี แต่ฝันก็มีอันต้องสลายเมื่อโทรศัพท์ติดต่อไปยังบริษัทเครื่องดื่มคาราบาวแดงเพื่อขอรับรางวัล กลับได้รับคำตอบว่า ข้อความที่ระบุในสติกเกอร์นั้น หมายถึงได้รับเงินสด 100 บาท ไม่ใช่ทองคำหนัก 100 บาท ทางคาราบาวแดงได้ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า การทำโปรโมชั่นขูดปั๊บรับโชคจะแจกเป็นทองคำตามมูลค่าที่แจ้งไว้นั้น หมายถึงมูลค่าราคา ไม่ได้หมายถึงน้ำหนัก เป็นเรื่องน่าเจ็บใจที่ผู้บริโภคต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาที่จงใจเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างชัดเจนแบบนี้ แม้ผู้บริโภคที่หลงเชื่อคำโฆษณาท่านนี้จะไม่ได้ฟ้องเอาผิดกับทางบริษัท แต่ในทางกฎหมายสามารถนำเรื่องฟ้องร้องต่อศาลได้ โดยให้ศาลตีความ ว่าการใช้ถ้อยคำที่หวังสร้างให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ฝากเตือนเรื่องการชิงโชคชิงรางวัลจากการซื้อสินค้าต่างๆ ซึ่งพบว่ามีมากในปัจจุบัน ซึ่งนั้นเป็นเพียงกลยุทธ์หวังกระตุ้นยอดขายของผู้ผลิตสินค้าเท่านั้น มีผู้โชคดีเพียงไม่กี่รายที่ได้รับรางวัล และแทบไม่มีการตรวจสอบว่ารางวัลที่แจกนั้นมีการแจกจริงอย่างที่โฆษณาหรือไม่     ปัญหาอาหารปี 56 ปนเปื้อนเรื่องน่าห่วง ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด พะเยา ลำปาง สุราษฎร์ธานี สงขลา และสตูล ได้ทำการสรุปเรื่องร้องเรียนปัญหาอาหารไม่ปลอดภัยระหว่างช่วง ก.ย. 55 - ธ.ค. 56 มีรวมกันทั้งสิ้น 152 กรณี แบ่งปัญหาได้เป็นประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาอาหารปนเปื้อน ปัญหาคุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การแสดงฉลากอาหารไม่ถูกต้อง การโฆษณาอาหาร/ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ปัญหาอาหารเสียก่อนวันหมดอายุ การผลิต/แหล่งผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ ฯลฯ สำหรับปัญหาอาหารปนเปื้อนนั้น ที่พบจากกรณีร้องเรียนเช่น พบการปนเปื้อนของ เส้นผม ขน เล็บ แมลงสาบ หรือเกิดความผิดปกติขออาหาร เช่น มีตะกอน ขึ้นรา และเน่าเสีย รวมถึงการใช้สารเคมีที่ไม่ควรใช้ในอาหาร เช่น ฟอร์มาลิน บอแรกซ์ โดยมีตัวอย่างปัญหาที่พบบ่อยและต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ เชื้อราในขนมปัง ก้อนขาวในนมกล่อง และสิ่งแปลกปลอมในนมผงสำหรับเด็ก สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านอาหาร เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคได้นำเรื่องเข้าหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยประเด็นที่จะทำการหารือร่วมกันประกอบด้วย 1.การพัฒนากลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารที่เป็นรูปธรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม 2.ปรับปรุงนโยบายฉลากโภชนาการให้เป็นแบบสีสัญญาณไฟจราจรเขียว เหลือง แดง แทนที่การใช้ฉลากโภชนาการแบบสีเดียว (GDA) 3.ให้บังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 อย่างเคร่งครัด และ 4.ในการแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร ฉบับใหม่ ให้เพิ่มบทลงโทษให้มีความรุนแรงมากขึ้น   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 เงิบแห่งปี

ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปี 2557 เราลองมาทบทวนประสบการณ์เงิบจากข่าวเกี่ยวกับผู้บริโภค ที่ทางทีมฉลาดซื้อได้รวบรวมมาและจัดให้เป็น “เงิบแห่งปี” กันนะคะ   1 ประสบการณ์เงือก เมื่อสตาร์บัคส์ประกาศฟ้องร้านกาแฟรถพ่วงสตาร์บัง โทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้ารูปนางเงือกสองหาง ที่เขาบอกว่าเขาใช้เวลากว่า 40 ปีเพื่อทำให้มันเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั่วโลก หลายคนฟังแล้วขำที่บังสองพี่น้องเจ้าของร้านกาแฟเคลื่อนที่เจ้านี้ เข้าใจโหนกระแสร้านกาแฟระดับโลก นอกจากตั้งชื่อคล้ายแล้วทำโลโก้แนวเดียวกันอีกด้วย โลโก้ของบังเป็นรูปบังโพกผ้า มือหนึ่งถือกระบวยน้ำร้อน อีกมือชูสองนิ้ว แต่เราก็คงไม่แวะซื้อกาแฟบังเพราะเข้าใจสับสนว่าเป็นสตาร์บัคส์อยู่แล้ว (เอ๊ะหรือว่ารอบๆมอเตอร์ไซค์บังจะมีไวไฟให้ใช้เหมือนกันด้วย) นักการตลาดให้ความเห็นว่านี่เป็นการ “ล้อเลียน” มากกว่า “ลอกเลียน” แต่เพื่อเป็นการ “รักษาประสบการณ์สตาร์บัคส์” ตามความคาดหวังของลูกค้า บริษัทบอกว่า “จำเป็นต้องฟ้อง” ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเรียกค่าเสียหาย 300,000 บาท และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี จากบังสองพี่น้อง รวมถึงให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี สตาร์บัคส์บอกว่าเจอแบบนี้มาหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมาใช้วิธีเจรจากับผู้ที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ และให้ความช่วยเหลือจนฝ่ายนั้นยินยอมปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าของตัวเองให้แตกต่างไปจากสตาร์บัคส์ บังเอิญว่าคราวนี้ผู้ประกอบการสตาร์บังเขาขัดขืน ผู้บริโภคอย่างเราเลยได้เห็นอะไรแปลกๆ คำตัดสินในคดีอาญาข้อหาเลียนเครื่องหมายการค้านี้จะเป็นอย่างไร เราจะรู้ผลวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 นี้   2 ขาวดีมีทุนให้ !!? ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สังคมทั้งออนไลน์และออฟไลน์หงุดหงิดกันไม่น้อยเมื่อบริษัทยูนิลิเวอร์ปล่อยแคมเปญโฆษณาครีมผิวขาวตัวใหม่ ที่มุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษาสาว ท่ามกลางกระแสความอยากขาว บริษัทเลยจัดกิจกรรม “ซิตร้าค้นหาสาวใสเด้งวิ๊ง 3D” เพื่อตามล่าหานักศึกษาสาวผิวขาวใส ที่ผู้เข้าแข่งขันไม่ต้องทำอะไรนอกจาก “แต่งชุดนักศึกษา โพสต์ท่าโชว์ผิวเด้ง 3 มิติ พร้อมถือซิตร้า เพิร์ลลี่ไวท์ ซีรั่ม หรือโลชั่น แล้วแชะรูปเต็มตัว ส่งมาที่ www….” ข้อความที่ปรากฏในโฆษณาโทรทัศน์ระบุว่า ผู้ชนะจะได้รางวัลเป็นทุนการศึกษากว่า 100,000 บาท (พร้อมโอกาสในการได้ร่วมถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร Cheeze) เท่านั้นแหละท่านผู้ชม เกิดการถกเถียงกันมากมายทั้งกลุ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์การให้ทุนการศึกษากับคนที่ผิวขาว คนผิวคล้ำไม่มีโอกาสเลยหรือ บ้างก็ตั้งคำถามเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท แต่หลายคนก็เข้าอกเข้าใจ บอกว่าเขาขายครีมผิวขาว จะให้ไปแจกรางวัลคนผิวคล้ำมันก็ไม่ตรงคอนเซปต์สิ และที่เรียกรางวัลว่า “ทุนการศึกษา” ก็เพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาษีไง ว่ากันไป … เรื่องนี้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ของอังกฤษและออสเตรเลียหลายฉบับ คนที่นั่นคงจะอ่านไปขำไป ... ไอ้เราก็อยากจะกำจัดความขาวเหลือเกิน ให้เอาตัวเองไปปิ้งย่างกลางแดดก็ยอม สุดท้ายบริษัทออกมาขอโทษว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของการเหยียดสีผิว ว่าแล้วก็ถอนแคมเปญ “ขาวในฟอร์ม” นี้ออกไป แต่มันก็ทำให้นักศึกษา หรือวัยรุ่นทั่วไปได้เห็นความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือคนที่มาถ่ายรูปชิงรางวัลนั้น ขาวมาเองจากบ้านอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผลิตภัณฑ์ที่ถืออยู่ในมือสักหน่อย เพราะเขาเพิ่งจะเปิดตัวปีนี้เองนะ   3 ขาขึ้น ข่าวนี้รับประกันความเงิบสามชั้น  เมื่อราคาแก๊สหุงต้ม ค่าไฟฟ้า และค่าทางด่วน พร้อมใจกันขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา จะให้ลดการใช้ไฟฟ้า หรืองดใช้ทางด่วนนั้นเป็นเรื่องพอจะทำได้ แต่จะให้ประหยัดแก๊สด้วยการหันมากินอาหารดิบๆสุกๆ คงจะทำยาก เขาบอกว่าราคาแก๊สหุงต้ม (แอลพีจี) นั้นจะปรับขึ้นเพียงกิโลกรัมละ 50 สตางค์ ต่อเดือนเท่านั้น ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนมากนัก แต่ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานเขาประกาศให้ความช่วยเหลือผู้เดือดร้อน (.. ตกลงเรามีผู้เดือดร้อนนะ) เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย (บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วยต่อเดือน) กลุ่มร้านค้าหาบเร่ แผงลอยร้านอาหาร ที่ยังสามารถซื้อแก๊สหุงต้มได้ในราคาต่ำกว่าคนอื่น ณ วันที่เขียนเรื่องนี้ราคาแก๊สขึ้นมาอยู่ที่ 20.13 บาทต่อกิโลกรัม (ถังละ 15 กิโลกรัม จึงราคา 301.95 บาทเป็นอย่างต่ำ) แต่สุดท้ายแล้วราคาแก๊สจะขึ้นไปจนราคาต่อกิโลกรัมอยู่ที่ 24.82 บาท (ถังละ 372.30 บาท ซึ่งหมายความว่า เราคงเสียเงินค่าแก๊สไม่ต่ำกว่า 400 บาท (พ่อค้าไม่นิยมเศษสตางค์จ้า) ... แย่แล้วซาร่า จะหนีไปใช้เตาไฟฟ้าค่าเอฟทีก็ขึ้น เราคงต้องพึ่งพาอาหารนอกบ้านกันแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน ... เราต้องจ่ายแพงขึ้นด้วยหรือเปล่า? กรมการค้าภายในยืนยันว่ามันส่งผลกระทบน้อยมาก อธิบดีเขาบอกว่าก๊าซหุงต้ม 1 ถังใช้ประกอบอาหารได้ประมาณ 300 จาน การปรับขึ้นก๊าซเดือนละ 50 สตางค์/กก. ทำให้ต้นทุนราคาอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มขึ้นจานละ 2-3 สตางค์เท่านั้น จิ๊บๆ กรมฯ ยังบอกด้วยว่า เขาขอความร่วมมือจากทางร้านไว้ ให้ช่วยตรึงราคาอาหารปรุงสำเร็จเอาไว้จนถึงสิ้นปี ... ปีหน้าฟ้าใหม่ ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันพี่น้อง   4 รับรองซิมไม่ดับ วันที่ 15 กันยายน 2556   บริษัทดิจิตอลโฟน  จำกัด(มหาชน) หรือทรู ย้ำหนักแน่นว่า ซิมไม่ดับแน่นอน ก็คงไม่ดับแน่ล่ะ เพราะ กสทช. เอื้ออาทรด้วยการอนุญาตให้ต่ออายุสัมปทานไปอีก 1 ปี (สัมปทานคลื่นความถี่ 1800 MHz หรือระบบ 1800) การต่ออายุโดยงดประมูลเพื่อหารายใหม่นี้จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศและประชาชนเป็นมูลค่าสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท ข้อมูลโดยมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กสทช. อ้างไม่ต่ออายุไม่ได้หรอกจะมีคนถึงเกือบ 20 ล้านคนต้องถูกทอดทิ้ง จึงประกาศมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ขึ้น พร้อมอนุญาตให้ทรูครอบครองสัมปทานไปอีก 1 ปี และแถมท้ายด้วยการฟ้องหมิ่นประมาท อาจารย์เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน ที่ร่วมกันเผยแพร่ข่าวนี้ทางช่องไทยพีบีเอส เงิบไหมล่ะ นักวิชาการ นักข่าว ทำหน้าที่ก็ถูกฟ้อง @#$%$#@ และหลังจากติดตามผลมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ของ กสทช. จากงานเสวนาเรื่อง “60 วัน ประกาศเยียวยา 1800 MHz ประชาชนได้อะไร” ยังพบว่า 3-4 ข้อห้ามทั้งห้ามซิมดับ ห้ามขายเบอร์คลื่น 1800 อีก ห้ามโอนย้ายเลขหมายโดยไม่บอกผู้บริโภค ทรูก็จัดให้มีทุกข้อหลัง 15 กันยายน โดยเฉพาะห้ามโอนย้ายเลขหมายตามอำเภอใจ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ยังโดนกับตัวเอง ว่าไปเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น หาก กสทช.เตรียมการประมูลเอาไว้ล่วงหน้าก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในทุกคลื่นความถี่ นี่ก็แว่วเสียงจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิด กสทช. บอกมาว่า ต่ออายุ 1800 ให้ทรูไป 1 ปี คงต้องต่อให้ เอไอเอส กับ ดีแทค ด้วย ไม่งั้นจะถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ (สองค่ายนี้เหลือเวลาสัมปทานอีกสองปี) อืม...คิดได้   5 ตกลงหมูหรือไก่ ตอนเดือนมีนาคม ฉลาดซื้อโดยคอลัมน์ซูมลงเรื่อง ฉลากเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูย่าง ที่มันไม่ใช่หมูย่างล้วนๆ อย่างที่เข้าใจตามชื่อสินค้า แต่มันมีเนื้อไก่ผสมอยู่ด้วย ทำเอาหลายคนอึ้ง ประมาณไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี้ย พอมีคนเอาข้อมูลไปแชร์กันต่อ(รวมทั้งหาข้อมูลเพิ่ม) ในเว็บไซต์ต่างๆ โดยเฉพาะพันทิป เลยกลายเป็นกระแส ผู้คนหันมาพลิกอ่านฉลากอาหารในร้านเซเว่นฯ กันคึกคัก และได้ค้นพบโลกใหม่ ที่ต้องทำให้อึ้ง อย่างเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริกหนุ่ม อันนี้ปริมาณหมูกับไก่ พอฟัดพอเหวี่ยง หมู 10% ไก่ 9.9% มีหลายคนมาตอบว่า เขาทำกันแบบนี้มานานแล้ว บ้างก็ว่าเพื่อให้มันอร่อยขึ้น แต่อีกหลายเสียงตอบว่า ผสมอะไรให้อร่อยขึ้นก็ไม่ว่าหรอก แต่ทำไมต้องตั้งชื่อให้เข้าใจผิดด้วย ประโยคหลังนี้ตัดพ้อโดยผู้บริโภคที่พลาดมาหลายครั้ง ทางผู้ผลิตเขาก็อธิบายว่า เพื่อความอร่อยนั่นแหละจึงต้องมีการผสมให้เนื้อสัมผัสมันดีขึ้น (แต่มันไม่ใช่หมูอยู่ดี) และอ้างว่า ใครเขาก็ทำกัน ฉลาดซื้อเลยไปดูฉลากอาหารประเภทเดียวกันเพิ่มเติมอีกหลายยี่ห้อ พบว่า ก็จริงอย่างซีพีว่าแฮะ ฉลาดซื้อสำรวจไป 76 ตัวอย่าง 46 ตัวอย่างฉลากไม่ไปกับชื่ออาหารเลย กุ้งทอดก็มีปลาผสม ไส้กรอกชีส ไม่มีชีสระบุในส่วนประกอบ เกี๊ยวปู ไม่บอกว่ามีปูเท่าไหร่ บอกแต่ว่า เนื้อสัตว์และแผ่นแป้ง ฯลฯ ความลำบากจะไม่เกิดกับคนที่กินอะไรก็ได้ แต่คนที่จำเป็นหรือมีข้อห้ามประจำตัว กินนี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ คงลำบากหน่อยนะ อ่านฉลากดีๆ ล่ะกัน   6 โฟมในกำแพง “The Base คอนโด” สะท้อนความเป็นตัวคุณ แล้ว “โฟมที่อยู่ในกำแพง” สะท้อนอะไร ใครจะไปคิดว่าคอนโดหรูเลิศอลังการ ราคาหลายล้าน จะใช้วัสดุที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความแข็งแรงทนทานอย่าง “โฟม” มาทำผนังห้อง!? เงิบกันเลยท่าน เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของห้องชาวต่างชาติที่ชื่อว่า Mr.Kristopher George Houston ผู้อาศัยในคอนโด The Base park east สุขุมวิท 77 ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เรียกช่างมาทุบผนังห้องเพื่อจะดูว่าทำไมถึงมีน้ำรั่วซึมออกมา แต่ผลจากการลงมือทุบผนังห้อง ไม่ได้ช่วยให้ Mr.Houston พบที่มาของการซึมของน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เจ้าตัวยังพบเรื่องที่ทำให้ทั้งตกใจ ประหลาดใจ และไม่เข้าใจ เมื่อผนังที่ควรก่อด้วยอิฐและซีเมนต์ กลับกลายเป็นโฟมและแผ่นกระดาษที่ถูกสอดไว้อยู่ข้างใน Mr.Houston จึงถ่ายภาพโฟมที่พบหลังจากการทุบผนัง ไปโพสยังหน้าเฟสบุ๊คของแสนสิริ ทีนี้ก็เป็นเรื่อง เพราะหลังจากนั้นก็มีคนนำเอาภาพและข้อความที่ Mr.Houston ที่โฟสในเฟสบุ๊ค ไปขยายต่อในเว็บไซต์พันทิป เรื่องเลยกลายเป็นที่สนใจในสังคม นักข่าวก็สนใจ สุดท้ายทางแสนสิริเจ้าของโครงการจึงต้องออกมายอมรับผิด โดยยอบรับว่าเป็นความบกพร่องของช่างผู้ทำงาน ที่อาจจะรีบร้อนให้งานเสร็จไวจึงใช้โฟมมาอุดผนังตรงบริเวณเต้ารับไฟฟ้าที่ติดอยู่ตรงผนัง ขนาดประมาณ 30 x 20 ซม. แต่ยืนยันว่าไม่ผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ตรงกับทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ที่ออกมาให้ความเห็นว่า โฟมที่พบเป็นการพบในบางจุด ไม่ใช่ทั้งส่วนของผนัง ถ้าไม่ใช่ความจงใจของทางโครงการ ก็คงเป็นเพราะความสะเพร่าของช่าง(ก็ไม่รู้สินะว่าคนในคอนโดนั้นจะกล้าลองทุบผนังห้องตัวเองพิสูจน์บ้างไหม) ก่อนหน้านี้ในเว็บไซต์พันทิปเคยมีคนออกมาแฉเรื่องความไม่จริงใจกับผู้บริโภคของคอนโด The Base 77 มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เรื่องของวัสดุที่ใช้และการออกแบบโครงสร้างอาคาร ที่ของจริงแตกต่างคนละอย่างกับที่เห็นในโฆษณา แม้ Mr.Houston จะบอกว่าที่เขาโพสภาพของโฟมที่พบในผนังห้องไปยังหน้าเฟสบุ๊คของแสนสิริ เพราะว่าแค่อยากให้ทางโครงการดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องและให้ช่วยตรวจสอบห้องอื่นๆ ในโครงการว่าเจอปัญหาเดียวกันหรือเปล่า ไม่ได้ต้องการเรียกร้องค่าชดเชยหรือฟ้องร้องเป็นคดีความ แต่เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นกระแส ก็ช่วยทำให้คนที่กำลังอยากเป็นเจ้าของคอนโดเริ่มต้องฉุกคิดถึงเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ความถูกต้องและความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร มากกว่าที่จะดูกันแค่ ความสวยงาม หรือสิ่งอำนวยความสะดวก   7 ตามหาช้างกับเมเจอร์ แม้จะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจโรงภาพยนตร์ของประเทศไทย แต่ “เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์” ก็ยังคงสร้างเรื่องให้ผู้บริโภคปวดใจได้เสมอ ไม่ใช่แค่เรื่องโฆษณาในโรงหนังที่ฉายกันยืดยาวคนดูต้องนั่งรอแล้วรออีกกว่าจะได้ดูหนัง เมื่อกลางปีก็มีคลิปที่ถูกกระหน่ำแชร์ในโลกออนไลน์ ถึงเหตุการณ์ที่ผู้จัดการโรงหนังโต้เถียงกับลูกค้าอย่างดุเดือดเรื่องการบริการ สิ่งที่ตามมาคือกระแสวิจารณ์ในทางลบต่อโรงหนัง จนเมเจอร์อยู่เฉยไม่ไหวต้องทำหนังสือชี้แจงบวกกับการลงโทษพนักงานของตัวเอง ล่าสุดเมเจอร์ทำให้คนดูหนังต้องปวดใจอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆ หนังไทยฟอร์มใหญ่อย่าง “ต้มยำกุ้ง 2” ถูกปรับขึ้นราคาค่าตั๋วอีก 20 บาทต่อที่นั่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า “หนังลงทุนสูงกว่า 500 ล้านบาท ด้วยเทคโนโลยีระดับฮอลลีวูด” งานนี้เลยมีคนตั้งข้อหาว่าเอาเปรียบผู้บริโภคเกินไปหรือเปล่า ขนาดทางสหมงคลฟิล์มเจ้าหนังแท้ๆ ยังออกตัวว่าไม่มีเอี่ยวเรื่องการขึ้นราคาตั๋วนะครับ โบ้ยว่าทางเมเจอร์เป็นคนทำเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว คราวนี้ก็เลยมีคนมาสืบสวนหาสาเหตุที่มาของราคาเพิ่ม 20 บาท แล้วจึงถึงบางอ้อ เพราะมันมีโปรโมชั่นพิเศษ หากนำชิ้นส่วนฉลากมาม่ามาแสดงตอนซื้อตั๋วจะได้ลดราคาค่าตั๋วทันที 20 บาท โอ้ เป๊ะ รับกับราคาที่ปรับขึ้นพอดี(ใครไม่ได้กินมาม่า ก็จ่ายไปสิ) คงไม่อาจปฏิเสธได้หรอกนะ ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่วิธีส่งเสริมการตลาดที่ทั้งเมเจอร์และมาม่าตั้งใจทำร่วมกัน ความจริงแล้วเรื่องการปรับขึ้นราคาค่าตั๋วหนังฟอร์มใหญ่ๆ โดยเฉพาะหนังจากต่างประเทศของโรงหนังเมเจอร์เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เกิดกับหนังต้มยำกุ้งภาค 2 เป็นเรื่องแรก ซึ่งทางโรงจะอ้างเหตุผลว่าหนังเรื่องนั้นเป็นหนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้างสูง จำเป็นต้องขึ้นราคาตั๋ว แต่เหตุผลจริงๆ คงไม่พ้นเรื่องการ “ฉวยโอกาส” หวังฟันกำไรเพิ่มจากหนังดังๆ ที่ดูแล้วยังไงคนก็ต้องแห่กันมาดู เชื่อว่าหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั๋วหนังปรับขึ้นราคา พนักงานออกตั๋วมาก็จ่ายเงินไป อาจตะขิดตะขวงใจว่าทำไมแพงจัง แต่ไม่รู้จะทำยังไง เราจึงขอเสนอวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่ไม่อยากถูกเอาเปรียบจากโรงหนังเจ้าปัญหาอย่างเมเจอร์ ก็คือการไม่สนับสนุน เลิกไปดูหนังที่โรงเมเจอร์เสีย ซึ่งจากหลายหลากปัญหาที่เมเจอร์ได้สร้างไว้ ทำให้เกิดการทำแฟนเพจในเฟสบุ๊คที่ชื่อว่า “เครือข่ายคนรักหนังต่อต้านการโฆษณามหาโหดของโรงหนังเครือเมเจอร์” ที่ตอนนี้มีคนมากดถูกใจกว่า 2 หมื่น 5 พันคน แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบใจกับการเอาเปรียบผู้บริโภคของโรงหนังในเครือนี้   8 จุดเทียนถาม หาความเป็นธรรม เพราะ กฟภ. ตัดไฟที่ค้างชำระไว้ 441 บาท 14 สตางค์!!! ทำให้เด็กสองคนตาย หรือเป็นความประมาทไม่รู้ความของเด็กเอง เรื่องเศร้าที่ไม่ควรจะเกิดจริงๆ เมื่อ 2 พี่-น้องชาวพิษณุโลก คนพี่อายุ 13 ปี ส่วนคนน้องอายุ 9 ขวบ เสียชีวิตคากองเพลิง จากเทียนไขที่จุดทิ้งไว้ เนื่องจากที่บ้านถูกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.พิษณุโลก ตัดไฟ เพราะไม่ได้จ่ายค่าไฟ เลยจำเป็นต้องจุดเทียนเพื่อส่องสว่างตอนทำการบ้าน แต่(อาจเผลอหลับ)ไฟเกิดลุกไหม้บ้านจนเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กฟภ. ว่าใจดำไปหรือเปล่าที่ตัดไฟฟ้าคนยากคนจนแบบนี้ ทั้งๆ ที่ยอดค่าไฟที่ค้างอยู่ของครอบครัวนี้คือ 441 บาท 14 สตางค์เท่านั้น ขณะที่มีคนเปรียบเทียบว่าที่หน่วยงานราชการหลายแห่ง ค้างค่าไฟเป็นหลักล้านแต่ กฟภ. ไม่เห็นดำเนินการใดๆ ทาง กฟภ. เองก็ทำได้แค่ออกมาแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และชี้แจงว่าการตัดไฟบ้านที่ค้างชำระค่าบริการ เจ้าหน้าที่ต้องทำไปตามหน้าที่ แต่เรื่องนี้ก็ปลุกให้ กฟภ. ตื่นตัว ลุกขึ้นมาปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนค้างจ่ายค่าไฟฟ้า โดยจะขยายเวลาก่อนที่จะดำเนินการตัดไฟ จากเดิม 7 วัน เพิ่มเป็น 2 เดือน เริ่มตั้งแต่การส่ง sms ให้ชำระค่าบริการไปยังโทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาถึงบ้าน แต่หากครบกำหนด 2 เดือนแล้วยังไม่มีการชำระค่าบริการจึงจะมีการดำเนินการตัดไฟ แถมยังมีแนวคิดยกเลิกเรื่องการตัดไฟแต่จะให้ผู้ใช้เลือกจ่ายเป็นดอกเบี้ยแทน แต่ก็ต้องศึกษาความเป็นไปได้ เพราะในความเป็นจริงหากผู้ใช้ไฟไม่สามารถชำระค่าไฟได้แล้วจะมีกำลังพอที่จะชำระดอกเบี้ยได้หรือเปล่าคงต้องมีการพิจารณาหาความเหมาะสมกันต่อไป ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 8 แสนรายที่มีปัญหาค้างค่าไฟ และในจำนวนนี้ 2 แสนรายมีโอกาสเสี่ยงที่จะต้องถูกตัดไฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวยากจนตามชนบท กฟภ. ต้องหามาตรการดูแลจัดการในเรื่องนี้ที่ไม่เป็นการทำร้ายและเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอีก   9 เปิบข้าว สุดยอดไฮไลท์ เงิบ คือวิวาทะเรื่องข้าว ผลอันเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวอันลือลั่นบวกข่าวข้าวเน่า ข้าวปนเปื้อนสารพิษ ทั้งแชร์ ทั้งดราม่าจึงกระหน่ำกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง มิไยที่รัฐจะแถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานดูแลเรื่องข้าวทั้งหลายออกมาบอกว่า ไม่จริง ไม่มี แต่คนก็ไม่เชื่อมั่น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับมูลนิธิชีววิถี เลยจับมือกัน(ลงขัน) ซื้อข้าวถุงบรรจุ 5 กิโลกรัมไปทดสอบหาสารรมควันข้าว ชื่อเมทิลโบร์ไมด์ ว่ามี/ไม่มี เกิน/ไม่เกิน เพื่อหวังช่วยหาคำตอบให้กับสังคม หลังมูลนิธิฯ ทั้งสองแถลงว่า ข้าวถุงที่นำไปทดสอบ พบว่ามีเมทิลโบร์ไมด์ ตั้งแต่ “ไม่มีเลย และมีน้อยมากไปจนถึงมากเกินมาตรฐาน” (1 ยี่ห้อเกินมาตรฐานสากลไปโขอยู่สามารถตามอ่านย้อนหลังได้ที่ ฉบับ 149) โอ้แม่เจ้า...สายโทรศัพท์ที่มูลนิธิฯ ทั้งสองอื้ออึงมาก รวมทั้งการแชร์ข้อมูลกันกระหน่ำ สำนักข่าวทั้งหลายไม่มีที่ไหนพลาดข่าวนี้ ฝ่ายเชียร์ก็ว่ามูลนิธิฯ ทำดีแล้ว ฝ่ายค้านก็พยายามเหลือเกินในการดิสเครดิต มูลนิธิฯ ทั้งกล่าวหาว่า ทำการทดสอบหลังบ้าน รับเงินฝ่ายค้าน ข้อมูลมั่ว ฯลฯ แต่เผอิญเหลือเกินที่ อย. ก็มีผลทดสอบตรงกับของมูลนิธิฯ (แถลงหลังมูลนิธิฯ 1 วัน) ยืนยันว่า เป็นยี่ห้อเดียวกันเสียด้วยที่เกินมาตรฐาน งานนี้ต้องบอก เงิบ นะขอรับ เมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมี เลยกลายเป็นแก้เกี้ยวว่า “เอาข้าวล้างน้ำเยอะหน่อย” ก่อนหุงเท่านี้ก็ปลอดภัย   เงิบ คืออะไร รู้จักอาการหงายหลังใช่ไหมคะ จะเกิดเมื่อตัวเราไปปะทะกับวัตถุอะไรก็ตามที่แรงพอจะผลักให้เราหงายลงไปได้ แต่ถ้าไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นอะไรที่มีความแรงพอก็น่าจะทำให้เราหงายได้เช่นกัน อย่างคำด่าแรงๆ หรือเกิดภาวะตกใจอย่างแรง อาการ“หงายหลัง” ก็เกิดขึ้นได้ แต่ พ.ศ. นี้ หงายหลังดูจะยาวไป ต้องนี้เลย “เงิบ” ที่พจนานุเกรียนระบุว่า - ใช้เป็นคำแสดง "อาการตกใจจนแทบหงายหลัง ในคำพูดของคนอื่นที่กล่าวขึ้นในขณะนั้น " คล้ายกับคำว่า "เหวอ" - ใช้แทนคำอุทานว่า "ตาย... ตายห่า" - ใช้ในลักษณะโดนเบรคในการสนทนาจนหน้าหงาย - "ฮาจนหงายท้อง" - "แปลกใจมาก ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น" http://pojnanukrian.com/เงิบ     //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 องค์กรอิสระของผู้บริโภค ถูก SET SERO

สังคมไทยกำลังเถียงกันอย่างมาก ว่าเราควรจะปฏิรูปก่อนแล้วค่อยจัดการเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งเสร็จแล้วค่อยไปทำการปฏิรูป หลายกลุ่มมีความขัดแย้ง ถกเถียง โกรธกัน เพราะเห็นไม่ตรงกัน ทั้งๆ ที่การปฏิรูปก่อนหรือหลังเป็นมุมมองทางการเมืองที่มีความแตกต่างกัน และดูเหมือนจะยอมรับกันได้ยาก แต่หากถามว่า เราควรปฏิรูปหรือไม่ ทุกคนจะให้คำตอบเหมือนกันว่า ต้องปฏิรูปและยอมรับว่าต้องทำทันที จริงๆ คำถามนี้ไม่ควรถามกันเอง แต่หากใครชอบแบบไหนก็สนับสนุนแนวทางนั้น แต่จำเป็นต้องช่วยกันคิดแล้วว่า เราต้องปฏิรูปอะไรบ้าง ที่สำคัญ หรือเราจะบอกว่า “ต้องปฏิรูปวันนี้ และเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์” เพราะไม่มีผู้บริโภคไทยคนไหนไม่เคยถูกเอารัดเอาเปรียบ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการซื้อขนม การคิดค่าโทรศัพท์และบริการอินเตอร์เน็ตที่สามารถซื้อบ้านได้ถึงหนึ่งหลัง(1.3 ล้านบาท) หรือแม้แต่การคุ้มครองผู้บริโภคในระดับพื้นฐานที่สำคัญและควรจะมีให้ดีให้ถูกต้อง เช่น ฉลากสินค้า วันหมดอายุ ที่ควรจะต้องเป็นภาษาไทยอ่านง่าย ชัดเจน รวมทั้งคุณภาพชีวิตในหลายๆ ด้าน เช่น บริการรถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่นับตั้งแต่มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาไม่น้อยกว่า 30  ปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2522  หรือข้อตกลงสหประชาชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531  ยังได้รับรองไว้ว่า “ผู้บริโภคควรจะมีสิทธิที่จะได้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีอันตราย  รัฐต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับความยุติธรรม ความเสมอภาคและการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม ตลอดจนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม” ข้อเสนอการปฏิรูประบบการคุ้มครองผู้บริโภคที่สำคัญ คือ การจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐและภาคธุรกิจเอกชน ผ่านร่าง พรบ. องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งการจะมีองค์กรของผู้บริโภคได้เองนี้ คงจะสำเร็จได้ยาก หากยังไม่มีการปฏิรูปกระบวนการจัดทำกฎหมายของรัฐสภา จากบทเรียนความไม่สำเร็จของกฎหมายทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาในขั้นตอนรัฐสภามากกว่า 4  ปี นับตั้งแต่วันที่ 19  กุมภาพันธ์ 2552  ที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย และกฎหมายเดียวกันอีก 6  ฉบับของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ผ่านขั้นตอนการรับหลักการไปตั้งแต่วันที่ 5  ตุลาคม 2553  ผ่านสภาผู้แทนราษฎร  ส่งต่อไปวุฒิสภาเข้าสู่การพิจารณาของกรรมาธิการวุฒิสภา รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา ทำให้กฎหมายตกไปตามมาตรา 153 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ   รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ และรัฐสภาเห็นชอบ กฎหมายไปสู่ขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาโดยมีการแก้ไข สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบการแก้ไขกฎหมาย ตั้งกรรมาธิการร่วมในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้  ออกจากรรมาธิการ่วม ส่งให้สองสภาเห็นชอบอีกครั้ง วุฒิสภามีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9  กันยายนที่ผ่านมา แต่สภาผู้แทนราษฎรยังไม่หยิบขึ้นพิจารณา จนรัฐบาลนี้ยุบสภาเมื่อวันที่ 9  ธันวาคม กฎหมายก็ตกไปสู่มาตรา 153 เช่นเดิม ไปสู่ขั้นตอนการกราบกรานให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้อีกครั้ง เพื่อให้รัฐสภาเห็นชอบกฎหมาย จึงจะทำให้กฎหมายฉบับนี้อยู่ในขั้นตอนเดิมคือ รอการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และคงไม่ได้มีปัญหาเฉพาะองค์กรของผู้บริโภค แต่มีกฎหมายที่ดีอีกหลายฉบับที่ไม่ได้รับการพิจารณาจากรัฐสภา เช่น ร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข 4  ปีที่อยู่ในรัฐสภาไม่มีแม้แต่ขั้นตอนการรับหลักการ  กฎหมายประกันสังคมของเครือข่ายแรงงานที่ไม่รับหลักการทำให้กฎหมายตกไป บทเรียนเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นที่ต้องปฏิรูปกระบวนการจัดทำกฎหมายได้เป็นอย่างดี //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 หม้อหุงข้าว

หม้อเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานคู่ครัวมนุษย์มาตั้งแต่ยุคหิน ยิ่งเพื่อการหุงข้าวด้วยแล้วคนเอเชียนี่แหละที่พัฒนาหม้อได้ล้ำยุคมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หม้อในยุคโบราณปั้นจากดินเหนียวแล้วเผาเพื่อเสริมความแข็งแรง ความก้าวหน้าของคนโบราณคือการต่อขาให้กับหม้อ แบบที่เรียกกันว่า หม้อสามขา ขาหม้อจะช่วยยกให้ตัวหม้อสูงขึ้นจากพื้นสามารถยัดฟืนไฟเข้าไปข้างใต้หม้อได้สะดวก พกพาไปไหนก็ไม่ลำบากเหมาะแก่การโยกย้ายถิ่นที่ จนเมื่อเริ่มตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนไม่อพยพแล้ว การมีเตาไฟประจำบ้านทำให้สะดวก ขาหม้อจึงไม่จำเป็นอีก หม้อใช้ทั้งหุงข้าว ต้มอาหาร แต่ชาติที่ว่ากันว่ามีหม้อเฉพาะสำหรับการหุงข้าวคือ ญี่ปุ่น เรียกว่า มูชิ-คามาโดะ และก็เป็นคนญี่ปุ่นอีกเช่นกันที่สร้างหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอันแสนสะดวกสบายขึ้นมา ปลายทศวรรษ 1940 บริษัท มิตซูบิชิ อิเลคทริก ได้ผลิตหม้อหุงข้าวที่มีหม้อและขดลวดนำความร้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับหม้อหุงข้าวในปัจจุบัน จากหม้อของมิตซูบิชิที่ยังไม่เวิร์ก บริษัทที่สร้างความลงตัวให้กับหม้อหุงข้าวไฟฟ้ามากที่สุดคือ บริษัทโตชิบา จาก 700 ใบเมื่อวันแรกโชว์สินค้า(10 ธันวาคม 1956) โตชิบาต้องผลิตหม้อหุงข้าวอีก 200,000 ใบ ในเวลาเพียง 1 เดือน เพื่อจำหน่ายตามคำสั่งซื้อ และ 4 ปีต่อมาหม้อหุงข้าวไฟฟ้าได้แพร่หลายไปเกือบครึ่งประเทศญี่ปุ่น หม้อหุงข้าวไฟฟ้ายังได้รับการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา มีทั้งแบบมาตรฐาน แบบอุ่นในตัว แบบดิจิตอลและก้าวหน้าขนาดสั่งให้หุงได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งญี่ปุ่นอีกเช่นกันที่คิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 3 ฤดูกาลกับ EDT แหล่งเที่ยว กิน ช้อป

อากาศหนาวในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวกันใหญ่ จะเลือกภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้หรือภาคกลาง นั้น อยู่ที่ความต้องการของนักท่องเที่ยวว่าอยากได้บรรยากาศแบบใด แต่พูดได้เลยว่าทุกคนต้องอยากสัมผัสอากาศหนาวแน่นอน ดังนั้นภาคเหนือจึงตกเป็นอันดับหนึ่งที่จะเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวกัน สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทย มีสถานที่ที่น่าสนใจหลายที่ อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ จนไม่สามารถเลือกได้ถูก  www.EDTguide.com  เป็นเว็บไซต์ที่หลายคนรู้จักกันมานาน โดยได้รวบรวมข้อมูลกินดื่มเที่ยวในประเทศไทย พร้อมแผนที่ให้ได้ค้นหาข้อมูลอย่างง่ายดาย นอกจากเว็บไซต์แล้ว ยังมีแอพพลิเคชั่นออกมา 3 แบบ คือ EDT in Winter , EDT in Summer และ EDT in Rainy ให้ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนสามารถเข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว แหล่งอาหาร ได้อย่างรวดเร็ว แอพพลิเคชั่น EDT in Winter เป็นแอพพลิเคชั่นที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวในฤดูหนาวที่น่าสนใจ สถานที่กิน และที่พักบริเวณใกล้เคียง ส่วนแอพพลิเคชั่น EDT in Summer และ EDT in Rainy ก็มีลักษณะเหมือนกัน เพียงแต่แหล่งท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลของประเทศไทย   ภายในแอพพลิเคชั่นจะมี 4 หมวดให้เลือก ดังนี้ Home จะแสดงภาพและชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดอันดับในช่วงฤดูกาลนั้นๆ โดยสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดว่ามีความสำคัญอย่างไร พร้อมมีแผนที่แสดงให้ทราบถึงตำแหน่งแหล่งท่องเที่ยว และมีข้อมูลแนะนำถึงสถานที่กิน แนะนำเรื่องดื่ม แนะนำเรื่องเที่ยว และแนะนำเรื่องที่พัก เมื่อคลิกเข้าไปดูรายละเอียดแอพพลิเคชั่นนี้ได้รวบรวมภาพแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ให้ได้ดูอีกด้วย หมวดที่สอง คือ EDT index จะมีข้อมูลเรื่องต่างๆ ไม่ว่าเรื่องกิน ดื่ม เที่ยวและที่พัก โดยทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงเหมือนกันหน้า Home หมวดที่สาม คือ Favorites เป็นหมวดที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นได้ตั้งค่าไว้ว่าสถานที่ใดเป็นสถานที่ที่ชื่นชอบ โดยจะต้องลงทะเบียนกับทาง EDT ในหมวดที่สี่ คือ Setting ซะก่อน  เพื่อ log in เข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ได้ หมวดสุดท้ายเป็นหมวด More App จะเป็นหน้าที่รวบรวมแอพลิเคชั่นต่างๆ ไว้ในหัวข้อที่ทางแอพพลิเคชั่นนี้สร้างไว้ ได้แก่ หัวข้อ Recommend New Release, Travel, Horoscope, Food ลองดูกันนะคะว่า ภาพในแอพพลิเคชั่นนี้น่าจะช่วยทำให้การตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นบ้าง คราวนี้ก็เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางไปพักผ่อนในช่วงสิ้นปีได้เลยค่ะ   //

อ่านเพิ่มเติม >