ฉบับที่ 153 บ้านเมืองนี้เป็นของเรา

ความตื่นตัวของคนจำนวนมากทั้งออกมาร่วมชุมนุม ร่วมเป่านกหวีด ที่ไม่ยอมจำนนต่อกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ทำให้เสียงข้างมากในรัฐสภาที่ไม่เคยฟังเสียงใครต้องถอยหลังสุดซอย ทำให้คนเล็กๆ ที่ไม่เคยมีความหมายใดๆ ในสังคมมีความหมายและได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นทันที แต่พอกลับมามอง ว่า แล้วจะทำอย่างไรให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดกับสังคมและเป็นไปแบบที่เราอยากจะเห็นในเรื่องอื่นๆ  เริ่มจะยากขึ้นกับทุกคน เพราะการมารวมกันมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือสกัดกฎหมายฉบับนี้ แต่การสร้างความเปลี่ยนในด้านอื่นๆ เช่น การไม่เอาการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 แบบเพิ่มอำนาจฝ่ายบริหาร ชนชั้นนำ ลดอำนาจรัฐสภาและประชาชน หลายฝ่ายอาจจะมองว่าดี เช่น รัฐบาลที่ต้องการมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ข้าราชการที่ยังเชื่อว่า การเจรจาได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ ธุรกิจจะได้เติบโต หรือข้าราชการที่รำคาญเรื่องการมีส่วนร่วมประชาชน บริษัทยาต่างประเทศ และที่สำคัญบริษัทในประเทศที่ได้ประโยชน์ ซึ่งแตกต่างจากพรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ที่ภาคธุรกิจหรือภาคส่วนอื่นๆ ในสังคมเห็นด้วย หรือแม้แต่ประเด็นเงินกู้ 2.2 ล้านล้าน หรืองบประมาณในการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่แทบทุกจังหวัดออกมาคัดค้าน คนคัดค้านที่มากมายในหลายจังหวัด อาจจะกลายเป็นเพียงมดหรือไร ที่สร้างความรำคาญ แต่เชื่อว่าหลายจังหวัดจะเป็นชนวนไม่พอใจการจัดการเรื่องนี้ที่ไม่เห็นหัวประชาชน  การพัฒนาและนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาจึงมักเอื้อประโยชน์ให้ชนชั้นนำทางสังคม และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมหาศาลในปัจจุบัน จนประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุดในเอเชีย ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยห่างกันถึง 15 เท่า ขณะที่อินเดียและจีนซึ่งมีพลเมืองมากกว่า ห่างกันเพียง 8 เท่า เท่านั้น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าในปี 2553 จำนวนคนจนในประเทศไทย ยังมีอยู่ถึง 5,076,700 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.5 % ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ต่ำจากเส้นความยากจนที่ 1,678บาทต่อคนต่อเดือน ขณะที่คนรวยที่สุด 10% แรกของประเทศ มีรายได้รวมกันมากถึง 38.41% ของรายได้รวมทั้งประเทศ ข้อเสนอหลายประการที่สังคมไทยควรได้ถกเถียง และลงความเห็นผ่านความตื่นตัวทางการเมือง เช่น อำนาจของจังหวัดในการจัดการตนเอง การกระจายงบประมาณที่เป็นธรรมให้กับจังหวัดแบบระบบจำนวนประชากร การปฏิรูปที่ดินขั้นต่ำผ่านการเก็บภาษีที่ดิน ภาษีมรดก การเก็บแบบอัตราก้าวหน้า แทนระบบภาษีทางอ้อมในปัจจุบัน การปฏิรูปการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจทั้งระบบ โดยยุติการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เอกชน แต่บริหารจัดการใหม่แบบทันสมัยโดยให้ประชาชนเป็นหุ้นส่วน การมีระบบสวัสดิการที่ดี เช่น ปริญญาตรีใบแรกเรียนฟรี ซึ่งไม่ใช่ประชานิยม หรือข้อเสนอในการปฏิรูประบบการเลือกตั้ง การปฏิรูปสื่อโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญ และในปัจจุบันยังไม่สามารถเป็นเครื่องมือที่ทำได้จริง หากเป็นข้อเสนอของเครือข่ายผู้บริโภค เราต้องการองค์กรของตนเองที่เป็นปากเป็นเสียงเมื่อมีปัญหา กฎหมายเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องการการปฏิรูปกลไกการจัดทำกฎหมายของประเทศ จัดโครงสร้างเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง เพราะคงไม่สามารถให้คนนับล้านออกมาเพื่อบอกว่าเราต้องการกฎหมายนี้ เราไม่เอาสิ่งนี้ อยู่ตลอดเวลา เพราะไม่อย่างนั้นมีรัฐบาลไปเพื่อเอาเปรียบหรือดูถูกประชาชนทำไม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 มีอะไรอยู่ในช็อกโกแลต?

ช็อกโกแลต อาจเป็นขนมหวานสุดโปรดของใครหลายคน ด้วยรสชาติที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ หวานและขมที่ผสมอยู่รวมกัน ครองใจคนรักขนมหวาน แม้หลายคนจะออกตัวว่าโปรดปรานชอบรับประทานช็อกโกแลต แถมบางคนยังเลือกช็อกโกแลตเป็นของขวัญของฝากมอบให้กันในช่วงเทศกาลและวันสำคัญต่างๆ แต่ช็อกโกแลตที่วางขายอยู่ในบ้านเราส่วนใหญ่มักเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากต่างประเทศ ด้วยความที่ประเทศไทยเรายังไม่ค่อยนิยมผลิตช็อกโกแลตที่ดี หรือที่เรียกกันว่าช็อกโกแลตในกลุ่มพรีเมี่ยม ช็อกโกแลตที่ผลิตในประเทศส่วนใหญ่น่าจะใช้คำว่า “ผลิตภัณฑ์ขนมหวานรสช็อกโกแลต” มากกว่า เพราะมีส่วนประกอบของโกโก้อยู่น้อยมาก ประมาณแค่ 20% ของส่วนประกอบทั้งหมดเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่คนรักช็อกโกแลตจะอยากลิ้มลองของที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เพราะคุณภาพของวัตถุดิบที่ดีกว่า รสชาติอร่อยกว่า แถมบางคนก็ชื่อชอบเพราะแพ็คเก็จสวยกว่า เหมาะมากเวลานำมาเป็นของขวัญ ช็อกโกแลตที่นำเข้าส่วนใหญ่มาจากหลากหลายประเทศทางยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตช็อกโกแลต ไม่ว่าจะเป็น เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส และยังรวมถึงสหรัฐอเมริกา ไม่เว้นแม้แต่ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย หรือแม้แต่ประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมาอาหารที่นำเข้าแม้จะมาจากประเทศใหญ่ๆ ก็ยังเคยเกิดปัญหาเรื่องการปนเปื้อน ที่เป็นข่าวดังหน่อย คงไม่พ้นเรื่องของสารเมลามีนที่มากรพบปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตที่นำเข้ามาจากประเทศจีน  หรือแม้แต่เรื่องการปนเปื้อนของสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่าง เศษชิ้นส่วนเล็กๆ ของซากแมลง และขนของหนู ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราแทบไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะขนาดเล็กมากๆ แต่ดูแล้วน่าจะมีการปนเปื้อนในลักษณะนี้อยู่ไม่ใช้น้อย ขนาดที่องค์การอาหารและยาของอเมริกา (U S Food and Drug Administration) ต้องกำหนดค่าการปนเปื้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคประเทศเขาได้รับอันตรายจากการรับประทานช็อกโกแลต   ข้อกำหนดขององค์การอาหารและยาของอเมริกา เรื่องการปนเปื้อนของเศษแมลงและขนหนูในช็อกโกแลต - ห้ามให้มีเศษชิ้นส่วนแมลงเกินกว่า 60 ชิ้น ต่อช็อกโกแลต 100 กรัม โดยต้องเทียบตัวอย่างจากตัวอย่างปริมาณ 100 กรัม จำนวน 6 ชิ้น หรือถ้าคิดเป็นตัวอย่าง 1 ชิ้น ห้ามมีเศษชิ้นส่วนแมลงปนเปื้อนเกิน 90 ชิ้น - ห้ามมีเศษขนหนูมากกว่า 1 เส้น ต่อช็อกโกแลต 100 กรัม โดยต้องเทียบตัวอย่างจากตัวอย่างปริมาณ 100 กรัม จำนวน 6 ชิ้น หรือถ้าคิดเป็นตัวอย่าง 1 ชิ้น ห้ามมีเศษเส้นขนหนูปนเปื้อนเกิน 3 เส้น ฉลาดฉบับนี้จึงได้สุ่มเก็บตัวอย่างของช็อกโกแลตทั้งที่นำเข้าและที่ผลิตในไทย โดยเราเลือกเก็บตัวอย่างจากหลายๆ จังหวัด โดยเฉพาะที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มักเป็นจุดผ่านของสินค้าอาหารนำเข้า ไม่ว่าจะเป็น สตูล สงขลา เชียงราย พะเยา โดยมีตัวอย่างช็อกโกแลตรวมทั้งหมด 20 ตัวอย่าง โดยฉลาดซื้อได้ส่งตัวอย่างไปยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 อุบลราชธานี เพื่อตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของเศษชิ้นส่วนแมลงและขนหนู   ตารางรายชื่อตัวอย่างช็อกโกแลต สำหรับวิเคราะห์การปนเปื้อนทางชีวภาพ ผลการตรวจวิเคราะห์ จากการตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของเศษชิ้นส่วนแมลงและขนหนูจากตัวอย่างช็อกโกแลตทั้ง 20 ตัวอย่าง ได้ผลออกมาว่า ไม่พบสิ่งปนเปื้อนทางชีวภาพ ซึ่งหมายถึงไม่พบการปนเปื้อนของเศษชิ้นส่วนจากสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเศษชิ้นส่วนแมลงและขนหนู แต่ที่น่าสังเกตคือพบวัสดุคล้ายเส้นใยขนาดเล็กมาก ในบางตัวอย่าง ตั้งแต่ 1 – 4 เส้น ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเส้นใยของอะไร เพราะพบในจำนวนที่น้อยและมีขนาดเล็กมาก แต่ผู้บริโภคอย่าตกใจไป เพราะเส้นใยที่พบไม่เป็นอันตรายกับผู้บริโภค คนที่ชอบรับประทานช็อกโกแลตมั่นใจได้   เรื่องของปริมาณโกโก้ในช็อกโกแลต ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 83 (พ.ศ. 2527) เรื่อง ช็อกโกแลต ได้กำหนดคุณภาพและมาตรฐานเฉพาะของช็อกโกแลตแต่ละชนิดเอาไว้ สำหรับช็อกโกแลตนม ซึ่งเป็นชนิดของช็อกโกแลตที่เราเลือกสุ่มเก็บมาเป็นตัวอย่างในการตรวจวิเคราะห์ครั้งนี้ มีการกำหนดคุณภาพไว้ว่าต้องมีปริมาณโกโก้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของปริมาณช็อกโกแลต โก้โกปราศจากไขมันไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5 มีธาตุน้ำนมไม่รวมมันเนยไม่น้อยกว่าร้อยละ 10.5 และต้องมีน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 55 จากการอ่านดูข้อมูลส่วนประกอบบนฉลากของตัวอย่างช็อกโกแลตที่ฉลาดซื้อสุ่มสำรวจในครั้งนี้ พบว่าโกโก้ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในช็อกโกแลตนมนั้นจะเป็น “โกโก้แมส” หรือ “โกโก้เพสต์” ซึ่งเป็นส่วนที่ได้หลังจากการคั่วและบดเมล็ดโกโก้ เป็นโกโก้ที่ผ่านความร้อนไขมันจะหลอมละลายออกมา ซึ่งจากการตรวจสอบดูข้อมูลในฉลากพบว่าผ่านเกณฑ์ทุกตัวอย่าง ยกเว้นบางตัวอย่างที่ไม่มีข้อมูลฉลากภาษาไทย และไม่ได้แจ้งปริมาณส่วนประกอบเอาไว้ ส่วนปริมาณน้ำตาลก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทุกตัวอย่าง คือไม่เกินร้อยละ 55 ของปริมาณช็อกโกแลต แต่ที่อยากฝากไว้เป็นข้อสังเกตของคนที่ชอบช็อกโกแลตก็คือ เมื่อดูปริมาณส่วนประกอบทั้งหมดในผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตนม จะเห็นว่ากว่า 50% ของส่วนประกอบทั้งหมด คือ น้ำตาล เพราะฉะนั้นถ้าหากรับประทานมากๆ ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพแน่นอน ถึงจะชอบแค่ไหนก็ต้องยั้งใจไว้บ้าง ยิ่งเด็กๆ ยิ่งต้องระวัง เสี่ยงทั้งโรคอ้วน ฟันผุ และในช็อกโกแลตมีสารคาเฟอีนด้วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนติดช็อกโกแลต   ช็อกโกแลตที่ได้มาตรฐานควรมีลักษณะอย่างไร? -มีกลิ่นและรสตามลักษณะเฉพาะของช็อกโกแลตนั้น ๆ -ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค -ไม่ใช้วัตถุที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล -ไม่มีการเจือสีใดๆ ที่มา : ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 83 (พ.ศ. 2527) เรื่อง ช็อกโกแลต

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 อยากจะดีท๊อกซ์ระวังจะถูกหลอกให้เสียตังค์

คนที่สนใจการแพทย์ทางเลือกคงเคยได้ยินคำว่าดีท๊อกซ์ เช่น การสวนทวารเพื่อดีท๊อกซ์ล้างพิษในลำไส้ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างขึ้นกับความเชื่อของแต่ละบุคคล  ล่าสุดผมได้รับเอกสารจากผู้บริโภคให้ช่วยตรวจสอบด้วยว่าผลิตภัณฑ์ ดีท๊อกซ์เลือดนั้น มันดีท๊อกซ์เลือดได้จริงหรือเปล่า เพราะเขาโฆษณาในหน้าเฟซบุ๊คว่า ผลิตภัณฑ์ของเขาสามารถ ล้างสารพิษในตับ ไต ช่วยฟอกเลือดให้สะอาดและกำจัดเซลล์มะเร็ง แถมยังตั้งชื่อด้วยภาษาอังกฤษเป็นกลุ่มเลือด พร้อมยังแสดงรูปเม็ดเลือดบนฉลากอีกด้วย (เดาไม่ยาก กลุ่มเลือดมีไม่กี่ตัวเองครับ) ผมตรวจสอบฉลากจากรูปถ่ายในเอกสารที่ผู้บริโภคส่งข้อมูลมา พบว่าผลิตภัณฑ์นี้ มีส่วนประกอบที่เป็นสมุนไพรไม่กี่อย่าง แต่ในเอกสารโฆษณากลับพบว่ามีการบรรยายสรรพคุณของผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น ช่วยลดสารพิษในตับ ไต และฟอกเลือดให้สะอาด  ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส  ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยลดอาการปวดเมื่อย ตามเนื้อตามตัว ปวดหลัง ปวดเอว ฯลฯ   นอกจากนี้ยังมีการแสดงข้อมูลในลักษณะเชื่อมโยงกับการขับสารพิษออกจากเลือด ทำให้เลือดสะอาด โดยอ้างว่าเลือด เป็นส่วนหนึ่งที่นำเอาสารอาหารต่างๆ และออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย  จึงนับว่ามีความสำคัญอย่างมากในการหล่อเลี้ยงร่างกาย  การไม่กระจายตัวของเลือด  การไหลเวียนที่ไม่ดี  การสะสมสารพิษในกระแสเลือด  รวมทั้งสารอาหารส่วนเกินที่ตกค้างในหลอเลือด  เช่น ไขมัน  หรือโปรตีนที่ ดูดซึมไม่หมด  รวมทั้งโลหะหนักต่างๆ จากอาหารทะเล  หรือสารเคมีต่างๆ  ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลอดเลือด  เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หลอดเลือดตีบ หลอดเลือดโป่งพอง โรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้นการช่วยขับสารพิษออกจากเลือด  จะทำให้หลอดเลือดสะอาด  การไหลเวียนเลือดดีขึ้น  และสามารถนำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น  ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่ายอีกต่อไป โฆษณาสรรพคุณซะมากมายขนาดนี้ แต่ไหงเมื่อผมดูฉลากข้างขวด กลับระบุเพียงว่า ยานี้ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ สรรพคุณที่ได้รับอนุญาตที่ปรากฏบนฉลากคือ บำรุงโลหิตเท่านั้น แถมราคาก็ไม่เบานะครับ  ในหนึ่งขวดมี 60 แคปซูลราคา 1,500 บาทตกเม็ดละ 25 บาทนั่นเอง ไม่อยากจะพูดว่าอย่าหลงเชื่อเพราะสรรพคุณที่โฆษณาอย่างมากมายมันไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย ยังไงขอให้มีสติกันนะครับ อยากจะดีท๊อกซ์ แต่สุดท้ายจะถูกหลอกให้เสียตังค์เปล่าๆ ยิ่งสมัยนี้พวกผลิตภัณฑ์หลอกลวงมักชอบขออนุญาตอย่างหนึ่งแล้วโฆษณาอีกอย่างหนึ่ง จับมาดีท๊อกซ์จริยธรรมคุณธรรมของการค้าบ้างคงดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 มติแพทยสภามีผลผูกพันคู่ความและศาลแค่ไหน ? ตอนจบ

ความเดิม เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 1  ( สามี) และผู้ตาย( ภริยา )เป็นคนไข้ที่มารับบริการตรวจรักษา ใช้บริการ(คลอดบุตร) ที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 (โรงพยาบาลสมิติเวช) แต่แพทย์ผู้รักษาคือจำเลยที่ 3 เป็นวิสัญญีแพทย์ จำเลยที่ 4 เป็นสูติแพทย์ได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ภริยาและบุตรโจทก์ที่ 1 ตาย โจทก์ที่ 1  ถึงที่  6  จึงฟ้องคดีเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้โรงพยาบาลเอกชน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7634/2554 ความต่อจากคราวที่แล้ว... ข้อบกพร่องของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงนำไปสู่การเยียวยาเพื่อช่วยชีวิตผู้ตายและบุตรไม่ได้อย่างรวดเร็วและดีที่สุดตามที่ควรเป็น จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 3  และที่ 4  เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้รักษามาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระดับดีที่สุดตามข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพฯ หมวดที่ 3 การประกอบวิชาชีพเวชกรรม ข้อที่ 1 ทอดทิ้งผู้ตายไปรักษาพยาบาลผู้ป่วยรายอื่นเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4ประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย   มติของแพทยสภาที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2  ถึงที่ 4 ไม่ได้กระทำผิดหรือไม่ได้รักษาผิดมาตรฐานนั้น มติแพทยสภามิใช่กฎหมายและไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า มติแพทยสภามีผลผูกพันคู่ความและศาล  ถ้าศาลเห็นว่ามติของแพทยสภาถูกต้องและเป็นธรรมก็จะนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่ 3  และที่ 4  ได้ แต่มติเรื่องนี้มีข้อสงสัยว่าจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ เพราะเมื่อนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการแพทยสภา มีกรรมการมาประชุม 30 คน ลงมติโดยเปิดเผยโดยการยกมือฝ่ายที่เห็นว่าจำเลยที่ 4  ผิดมี 12  เสียง ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ผิดมี 13  เสียง ส่วนมติเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ลงมติว่าไม่ผิด 12  เสียง ต่อ 10  เสียง แต่มีกรรมการที่ลงมติว่าไม่ผิด 1 คนเป็นญาติและนามสกุลเดียวกับผู้ถูกกล่าวหา หลังลงมติมีกรรมการแพทยสภาลาออกเพื่อประท้วงคณะกรรมการแพทยสภา กรรมการแพทยสภาลงมติโดยไม่ได้ศึกษาสำนวนโดยละเอียด กรรมการบางคนไม่เคยประชุมแพทยสภามาก่อนแต่ลงมติว่าไม่ผิด มติแพทยสภาดังกล่าวที่ยังมีข้อโต้แย้งว่าถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ ศาลจึงเพียงแต่นำมารับฟังประกอบการพิจารณาเท่านั้น โดยไม่จำต้องถือตามมติแพทยสภา พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ทั้งหก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 ทำบัตร ATM แต่ถูกยัดเยียดให้ซื้อประกันพ่วงด้วย

พอดีผู้เขียนได้รับคำปรึกษาของผู้บริโภคท่านหนึ่งจากจังหวัดอยุธยา  กรณีการถูกยัดเยียดขายประกัน  ก็เลยได้พูดคุยรายละเอียดกัน  จึงได้ทราบว่าเหตุเกิดจากคุณ อ๋อ(นามสมมุติ)มีความประสงค์จะทำบัตร ATM เพื่อความสะดวกด้านการเงิน   ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไปที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาอยุธยา   และแจ้งความประสงค์ต่อพนักงานธนาคารพนักงานแจ้งข้อมูลว่า หากคุณอ๋อต้องการทำบัตรATM ในวันนี้  คุณอ๋อ ต้องซื้อประกันอุบัติเหตุพ่วงไปด้วย   คุณอ๋อบอกว่า “อ๋อ งง..มาก” เพราะความตั้งใจคือต้องการแค่บัตรเพื่อความสะดวก ทำไม! ต้องถูกบังคับให้ซื้อประกันด้วย  คุณอ๋อ จึงปฏิเสธพร้อมยืนยันว่าต้องการทำแค่บัตรATM อย่างเดียว   พนักงานจึงแจ้งว่าหากจะทำบัตร ATM   อย่างเดียว วันนี้ทำไม่ได้เพราะบัตรหมด เหลือแต่บัตรที่บวกประกันด้วย  หากยืนยันจะทำแค่ ATM  คุณอ๋อต้องมาใหม่วันหลัง   ตกลงวันนั้นคุณอ๋อต้องกลับบ้านมือเปล่า   แต่คุณอ๋อก็ยังไม่ละความพยายามที่จะทำ    เดินทางไปที่ธนาคารอีกหลายครั้ง  แต่ก็ได้คำตอบเดิม  คือบัตรหมด  ยังไม่มา  มีแต่บัตรที่พ่วงประกัน   สุดท้ายคุณอ๋อก็ไม่ได้ทำบัตรATMคำถามที่ตามมาก็คือ “เกิดอะไรขึ้นที่ธนาคาร” ที่เกิดเหตุนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากปัจจุบันธนาคารหันมาทำธุรกิจประกันภัย  และการทำธุรกิจนี้ทำให้เกิดตัวชี้วัดกับพนักงาน  ว่าแต่ละคนต้องขายประกันได้กี่ราย   หรือไม่?  ที่เป็นสาเหตุของปัญหาที่เขียนไว้เบื้องต้น   หากเป็นจริง  คนที่เดือดร้อนคือผู้บริโภค ที่ถูกละเมิดสิทธิตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค  ในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ   การที่ผู้บริโภคถูกผู้ให้บริการใช้เทคนิคยัดเยียดบริการผู้บริโภคโดยมิได้สมัครใจเยี่ยงนี้    คำถามที่ตามมาคือ ปัญหานี้ ใครมีหน้าที่ดูแลและควบคุม  เพราะปรากฏการณ์เช่นนี้   น่าจะไม่ได้เกิดที่ธนาคารใดธนาคารหนึ่ง  แต่เกิดขึ้นเกือบทุกธนาคารในประเทศไทย  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงหนีไม่พ้นธนาคารแห่งประเทศไทย  ที่ต้องออกกฎ ระเบียบมาควบคุมการให้บริการของธนาคาร  ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยให้ผู้บริโภคมาเผชิญชะตากรรมอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ขณะนี้คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน  ได้เดินหน้าเรื่องนี้ อย่างเต็มกำลังโดยสรุปสถานการณ์ปัญหาพร้อมเสนอแนะวิธีแก้ไข ต่อธนาคารแห่งประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 7  ตุลาคม 2556  ผู้บริโภคอย่างเราๆ คงต้องคอยเฝ้าระวังว่าปัญหาเหล่านี้จะถูกคลี่คลายหรือเพิ่ม  คนที่ให้ข้อมูลที่ดีที่สุดคือผู้บริโภคที่ประสบปัญหานั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 มะเร็ง บัตรทองและการส่งต่อผู้ป่วย

มะเร็งเป็นโรคร้ายที่มีคนไทยป่วยเป็นจำนวนมากและคาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณวิภาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายแรงนี้และคาดหวังถึงการรักษาที่จะช่วยให้เธอผ่านพ้นความเจ็บป่วยนี้ไปได้คุณวิภามีสิทธิในบัตรทองหรือสิทธิการรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ยามเจ็บไข้เธอมักจะไปใช้บริการการแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเสมอ โดยจ่ายเงินเองไม่พึ่งระบบหลักประกัน แต่ในการตรวจรักษาครั้งล่าสุดจากอาการเลือดออกทางช่องคลอด แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 3 ซึ่งการรักษาพยาบาลต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีค่าใช้จ่ายสูง แพทย์จึงแนะนำให้เธอติดต่อกับสถานพยาบาลต้นสังกัดที่เธอมีสิทธิในระบบหลักประกันเพื่อลดภาระในเรื่องค่ารักษาพยาบาลปัญหาแรกคือ เธอไม่แน่ใจว่าเธอมีสิทธิบัตรทองที่สถานพยาบาลไหน ปัญหานี้แก้ไม่ยากเพราะเพียงตรวจสอบจากฐานข้อมูล ก็พบว่าเป็นสถานพยาบาลใดปัญหาที่สองคือ เมื่อสามีพาเธอไปติดต่อเพื่อขอรับการรักษาสถานพยาบาลดังกล่าว ทั้งสองพบว่าสถานพยาบาลแห่งนี้ไม่มีศักยภาพพอในการรักษาโรคร้ายของเธอ จึงร้องขอให้ทางสถานพยาบาลทำเรื่องส่งต่อ โดยประสงค์ให้ส่งต่อไปรักษาตัวที่ รพ.รามาธิบดี ซึ่งคุณวิภาคุ้นเคยและมีประวัติการตรวจวินิจฉัยโรคพร้อมอยู่แล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยบอกเพียงว่าจะทำเรื่องส่งตัวผู้ป่วยให้ไปรักษาที่สถาบันมะเร็งเท่านั้น ถ้าจะรักษาที่รามาธิบดีผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเอง สามีของคุณวิภาจึงโทรศัพท์มาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และขอให้ช่วยเหลือให้ทางสถานพยาบาลต้นสังกัดทำเรื่องให้ภรรยาได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.รามาธิบดี การแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคได้ประสานไปยังสถานพยาบาลที่คุณวิภามีสิทธิบัตรทองอยู่ ทราบข้อมูลตรงกับที่สามีคุณวิภาร้องเรียนมา แต่ทางสถานพยาบาลแห่งนี้แจ้งว่า ไม่สามารถทำตามประสงค์ของผู้ร้องได้เนื่องจาก รพ.รามาธิบดีไม่ได้เป็นโรงพยาบาลในเครือข่าย หากเกินกว่าความสามารถในการรักษาทั้งระดับสถานพยาบาลปฐมภูมิและทุติยภูมิ จะส่งต่อไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายเท่านั้น   หากผู้ป่วยยังยืนยันจะรักษาพยาบาลที่ รพ.รามาธิบดี ก็ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง โดยไปทำเรื่องตามขั้นตอนการย้ายสิทธิกับทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)เรื่องการส่งตัวนี้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ทาง สปสช.ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดปัญหาหนึ่ง ซึ่งยังคงต้องมีการสื่อสารให้ผู้มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเข้าใจในระบบของบัตรทองหรือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะมีลำดับขั้นของการดูแลรักษา คือถ้าสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิหรือคลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ ไม่สามารถรักษาได้ จะส่งต่อการรักษาไปที่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่รักษาผู้ป่วยได้ หากยังรักษาไม่ได้อีกจึงจะส่งต่อไปรักษาในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงสุด ซึ่งอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดย สปสช.จะติดตามดูแลค่ารักษาของผู้ป่วยไปตามสถานพยาบาลที่ผู้ป่วยถูกส่งตัวไปรักษาเมื่ออธิบายให้ทั้งคุณวิภาและสามีเข้าใจ ทั้งสองก็ยินดีให้ทางสถานพยาบาลทำเรื่องส่งตัวคุณวิภาไปรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ แต่สามีคุณวิภาก็แอบกังวลว่า ภรรยาอาจต้องรอคิวการรักษานานแล้วจะทำให้อาการของภรรยาทรุดหนักลง ซึ่งปัญหานี้ทางสถานพยาบาลตามสิทธิของคุณวิภาได้ช่วยประสานกับทางสถาบันมะเร็งฯ เป็นที่เรียบร้อย และเร่งทำใบส่งตัวให้อย่างเร็วที่สุด ปัจจุบันคุณวิภาได้เข้ารับการรักษา ณ สถาบันมะเร็งแห่งชาติแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 ความอึดอัดของผู้บริโภค กรณี เครื่องทำน้ำอุ่นได้น้ำร้อนเกินไป

เรียน บรรณาธิการ นิตยสารฉลาดซื้อผมเป็นสมาชิกฉลาดซื้อครับ ได้ซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นยี่ห้อฮิตาชิ รุ่น HES-35R(BL) จากพาวเวอร์บาย สาขา โรบินสันแฟชั่นไอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 ราคา 3,676 บาท โดยชำระเป็นเงินสดหลังจากใช้เครื่องได้พบความผิดปกติ คือ แม้จะปรับระดับวอลุ่มที่ต่ำสุด แต่น้ำมีความร้อนสูง จึงได้แจ้งไปยังศูนย์ซ่อมฮิตาชิ คือ หจก. เค.เอ็นวี.เอ็นจิเนียริ่ง ในวันที่ 8 ตุลาคมทางศูนย์ฯ ได้ส่งช่างมาตรวสอบและดำเนินการเปลี่ยนแผงวงจรให้ใหม่ แต่อาการดังกล่าวยังไม่หายช่างแจ้งว่าต้องเปลี่ยนตัวปรับวอลุ่มด้วยจึงจะหาย ในวันที่ 18 ตุลาคม ศูนย์ฯ ได้เข้ามาเปลี่ยนให้ แต่ช่างแจ้งว่าอาการยังเป็นเหมือนเดิมในที่สุดช่างของ บ.ฮิตาชิ สำนักงานใหญ่ก็มาเอง ปรากฏว่า เรียกผมเข้าไปทดสอบดูว่าใช้ได้แล้ว ซึ่งก็จริงเพราะเปิดปุ๊บไม่ร้อนปั๊บ แล้วช่างก็พากันกลับไปโดยแจ้งว่าจะต้องเข้ามาเปลี่ยนอะไหล่ให้อีกตัวหนึ่ง แต่พอตกตอนค่ำผมเข้าไปอาบน้ำ ปรากฏว่าใช้ไปสักพัก น้ำก็มีความร้อนสูงทั้งที่ปรับวอลุ่มอยู่ต่ำสุดแล้วผมจึงแจ้งไปยัง บริษัท ฮิตาชิเซลส์(ประเทศไทย)จำกัด ให้ดำเนินการเปลี่ยนเครื่องตัวใหม่ เนื่องจากลูกค้าไม่สบายใจต่อคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องเดิม เพราะซ่อมหลายครั้งไม่หาย ไม่นานทางฮิตาชิก็อนุมัติให้พาวเวอร์บาย สาขาแฟชั่นฯ เข้ามาเปลี่ยนสินค้าตัวใหม่ให้ ในวันที่ 30 ตุลาคม แต่พอติดตั้งเสร็จช่างไม่ได้ให้ใบรับประกันตัวใหม่ เมื่อผมทวงและดูเลขเครื่องจากใบรับประกันกลับไม่ตรงกัน เพราะยังเป็นฝาครอบอันเก่า ฝักบัวอันเก่า(เข้ามาเปลี่ยนฝาครอบให้ แต่ไม่รู้ว่าเครื่องข้างในอันเก่าด้วยหรือเปล่า) ผมจึงถามช่างว่าตกลงได้เปลี่ยนเครื่องให้ผมจริงหรือเปล่า ผมยังโทรไปแจ้งทั้งทางบริษัทฮิตาชิกับพาวเวอร์บาย ซึ่งก็เพียงแค่รับฟังจึงเรียนมายังผู้บริโภคว่าก่อนซื้อสินค้าอะไรพิจารณาให้จงดีก่อนว่าบริษัทฯ เขาเก่งเรื่องอะไร บทเรียนนี้ได้รับรู้เรื่องการปัดความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ(ทั้งพาวเวอร์บายและฮิตาชิ) บรรยากาศจะผิดกันมากระหว่างก่อนซื้อและหลังซื้อครับ เพราะเขาทำงานกันเป็นทีมจริงๆจึงเรียนมาเพื่อพิจารณาเผยแพร่เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้บริโภคสมาชิก 5464ปล. ผมไม่เรียกร้องอะไรแล้วครับ เพราะเสียทั้งเงิน 320+เวลา+ค่าโทรศัพท์ เลยไปซื้อเครื่องใหม่มาติดแทนไม่พบว่าคุณสมาชิก 5464 จะทำผิดขั้นตอนตรงไหนในการใช้สิทธิ แต่นั่นแหละสุดท้ายซื้อใหม่อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด? ขอบคุณที่เขียนมาเล่าประสบการณ์ให้ทราบนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 ซื้อคอนโดมาใหม่ 1 ปี ร้าวทุกเดือนทำยังไงดี

เรื่องมาทางกระทู้ร้องเรียนในเว็บ consumerthai.org ผู้บริโภคคงเหลืออดจริง จึงโพสต์ร้องทุกข์และระบายความคับข้องใจมาได้แสบๆ คันๆ แท้คุณบุญโพสต์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 55 ว่า ซื้อคอนโดของ AP มา 1 ปี ร้าวทุกเดือนทำยังไงดี เป็นคอนโดใหม่เพิ่งสร้างเสร็จชื่อ Life 18 หลังจากโอนเข้าอยู่มีร้าวแทบทุกเดือนไม่หยุด รอยล่าสุดเพิ่งเกิดเดือนนี้ตรงขอบประตูทางเข้าห้อง โครงการฯ แจ้งหมดประกันเมื่อไหร่ลูกบ้านก็ไปซ่อมเอง น่ากลัวจังตอนที่ซื้อ sale บอกเป็นแบรนด์เดียวกับแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ดูโครงการก็น่าเชื่อถือ แต่พอเข้าอยู่ ปัญหาร้าวไม่เว้นแต่ละเดือน ซ่อมก็ช้าชอบรอให้ร้าวหลายรอบแล้วซ่อม แต่ก็มีรอยใหม่ตามมาอีก กังวลว่าปีแรกเป็นขนาดนี้ ถ้าตึกเก่าไปจะขนาดไหน17 กรกฎาคม 55 เดือนนี้ฝนตก ท่อน้ำดันขยะไปถึงเพดาน กระเบื้องในห้องน้ำร้าวอีกแล้ว ผนังฝั่งครัวก็ไม่รอด เมื่อเช้าไปตากผ้า ร้าวเพิ่มตรงระเบียง...จะบ้าตาย...27 กรกฎาคม 55 พื้น laminate ปูขอบเกยกันทั้งห้องและมีขอบบวม แจ้งซ่อมไปตั้งแต่เช้า โครงการฯ ผัดวันประกันพรุ่งมาปีกว่าแล้ว ก็สรุปว่า ไม่แก้ ผนังห้องน้ำคนละสีและปูไม่ได้ระดับ ส่วนนอกห้องก็ไม่รอด โครงการเนียนเอาหินโรยถนนมาโรยแทนหินแม่น้ำได้ใจจริงๆผนังเตียงนอนมีหรือจะรอด โครงการฯ อะไรทำไมมันร้าวได้ทุกส่วน...ดูแล้วมันต้องเป็นผู้รับเหมาเดียวกันกับสนามบินสุวรรณภูมิแน่นอน การแก้ไขปัญหาครั้งแรกที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ติดต่อกลับไปยังไม่สามารถคุยรายละเอียดกับทางผู้ร้องคุณบุญได้ แต่เมื่อติดต่อได้ภายหลังและเริ่มประสานกับทางโครงการ AP ก็ทราบว่าทางคุณบุญได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทางโครงการฯ จัดการซ่อมแซมรายการร้าวๆ และปัญหาต่างๆ ที่พบ รวม 7 รายการ ซึ่งทางโครงการฯ ได้เข้ามาจัดการและขอให้ทางคุณบุญลงลายมือรับรอง ซึ่งบางรายการคุณบุญไม่ได้ลงลายมือรับรอง ทราบต่อมาภายหลังว่า “รับไม่ไหว รายการซ่อมบางรายการไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงว่ามีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด”   คุณบุญอธิบายกับทางศูนย์พิทักษ์สิทธิฯต่อมามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งมีท่าทีรับผิดชอบกับปัญหาน่าอึดอัดใจของคุณบุญ สุดท้ายก็สามารถจัดการปัญหาในจุดต่างๆ จนเป็นที่พอใจของผู้บริโภคได้ แต่ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดการปัญหานี้เกือบ 1 ปีทีเดียวหวังว่ารอยร้าวจะไม่มาสร้างปัญหาให้กับคุณบุญอีกต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 กระแสต่างแดน

มาดริดอาจต้องคิดใหม่ ช่วงนี้ชาวเมืองมาดริดมีเรื่องให้ได้เซ็งกันอย่างต่อเนื่อง เพิ่งจะได้ทราบข่าวร้ายว่าไม่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 2020 ไปได้ไม่นาน ล่าสุดพนักงานกวาดถนนและเก็บขยะในเมืองก็พากันประท้วงหยุดงานอีก ผู้ประท้วงไม่พอใจที่เทศบาลประกาศปลดพนักงานกว่า 1,135 คน (จากทั้งหมด 7,000 คน) และลดเงินเดือนพนักงานที่ยังได้ทำงานต่อลงไปเกือบร้อยละ 40  รวมถึงบริษัทที่รับเหมางานจากเทศบาลก็บอกเลิกจ้างคนงานไป 350 คนแล้วเช่นกัน ทั้งหมดเป็นผลจากการที่ส่วนหน่วยงานราชการต้องรัดเข็มขัดตัดงบประมาณ   หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นการบริหารจัดการที่แย่มากของนายกเทศมนตรี อนา โบเทลลา เธอเลือกที่จะไม่พูดถึงการแก้ปัญหาเรื่องการจ้างงานหรือการเพิ่มค่าแรง แต่กลับขู่ผู้ประท้วงว่าถ้าไม่กลับไปจับไม้กวาดมาทำงานต่อภายใน 48 ชั่วโมง เธอจะเลิกจ้างพวกเขาไปเลย เนื่องจากไม่มีการกวาดถนนหรือเก็บขยะมาตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน ภาพเมืองหลวงของสเปนที่มีประชากร 3.2 ล้านคนที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกจึงเป็นภาพเมืองที่มีขยะกองเกลื่อนเต็มถนนหนทาง คนมาดริดอาจเซ็งต่อได้อีกถ้าผู้ว่าฯ และทีมงานยังไม่เริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ก่อนการประท้วง จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาดริดลดลงไปร้อยละ 7.7 ทั้งๆ ที่จำนวนคนที่เดินทางมาสเปนนั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 คงจะถึงเวลาแล้วที่มาดริดจะต้องทำให้เหมือนกับในคลิปวิดีโอที่ส่งเข้าประกวดชิงตำแหน่งเจ้าภาพโอลิมปิกที่ย้ำว่า “Madrid makes sense” ไม่เช่นนั้นมาดริดอาจจะถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่ 4   มีขึ้น แต่ไม่มีลง ข่าวบอกว่าคอกาแฟที่เดนมาร์ก (และอาจจะที่บ้านเราด้วย) ยังจ่ายเงินซื้อกาแฟในราคาเท่าเดิมทั้งๆ ที่ราคาเมล็ดกาแฟต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี ปัจจุบันราคาเมล็ดกาแฟอาราบิกาในตลาดโลกอยู่ที่กิโลกรัมละ 14 โครน (80 บาท) แต่ราคาที่คนเดนมาร์กรับรู้ยังคงเป็นราคากาแฟในช่วงที่อากาศในอเมริกาใต้ไม่เป็นใจกับการเพาะปลูก ซึ่งสูงถึง 34 โครน (195 บาท) ต่อกิโลกรัม ผู้เชี่ยวชาญบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาในประเทศตะวันตกที่ผู้ประกอบการมักได้ประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคไม่รู้ความเป็นไปในตลาด และมักให้เหตุผลเดิมๆ เรื่องค่าใช้จ่ายในการขนส่ง บรรจุหีบห่อ ภาษีและค่าจ้างพนักงานเวลาที่ตั้งราคาสินค้า แสดงว่าถ้าภาษีลด ราคาสินค้าก็จะลดลง? มันอาจไม่เป็นเช่นนั้นเพราะหลังจากที่รัฐบาลเดนมาร์กประกาศลดภาษีเบียร์และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ลงร้อยละ 15 ราคาขายปลีกของสินค้าเหล่านี้ก็ยังคงเท่าเดิม ในเดือนมีนาคมปี 2012 เทศบาลโคเปนเฮเกนประกาศลดค่าธรรมเนียมการประกอบการร้านอาหารกลางแจ้ง เพื่อช่วยผู้บริโภคให้สามารถซื้อเครื่องดื่มในราคาที่ถูกลง แต่ผลการสำรวจปรากฏว่าแทบไม่มีร้านไหนปรับราคาเครื่องดื่มลงเลย ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการกลับใช้โอกาสที่รัฐเรียกเก็บภาษีมาเป็นเหตุผลในการขึ้นราคาสินค้า คงยังจำกรณีภาษีไขมันที่เรียกเก็บจากผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 2.3 กันได้ งานสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและกระทรวงภาษีของเดนมาร์กพบว่ามีการตั้งราคาสินค้าเกินจากส่วนที่ต้องเสียภาษีไขมันเพิ่มไปมากทีเดียว เช่น ราคาซาวครีมน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.6 เมื่อรวมภาษีแล้ว แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตตั้งราคาขายแพงขึ้นจากเดิมไปถึงร้อยละ 17.3 และที่ตลกที่สุดคือ ปัจจุบันภาษีดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ราคาสินค้าเหล่านั้นก็ยังไม่ถูกลง ค่อยๆ เรียน ไม่ได้มีแต่เมืองไทยที่ปรับลดเวลาเรียนลง หลักสูตรประถมศึกษาของเวียดนามหลังปี 2015 ก็จะทำให้เด็กๆ ได้มีเวลาเล่นมากขึ้น ระยะเวลาเรียนจะลดลงจาก 37 สัปดาห์เป็น 35 สัปดาห์ และวิชาเรียนจะมีเพียง 3 วิชาเท่านั้น จากปัจจุบันที่เรียนอยู่ 8 วิชา สถาบันวิจัยการศึกษาเวียดนามเสนอหลักสูตรใหม่สำหรับระดับประถมศึกษาเพราะเชื่อว่าเวียดนามควรมีระบบการศึกษาที่เน้นการบูรณาการและให้ความสนใจกับความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน มากกว่าการให้เพียงความรู้ทางวิชาการแบบเมื่อก่อน ปัจจุบันเด็กชั้นประถมปีที่ 1 ต้องเรียนทั้งหมด 8 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาเวียดนาม ศีลธรรม ธรรมชาติและสังคม ดนตรี ศิลปะ งานฝีมือ และพลศึกษา รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาอีก 2 กิจกรรม แต่หลังจากปี 2015 พวกเขาจะเรียนแค่ คณิตศาสตร์ ภาษาเวียดนาม และวิชา “ชีวิตรอบตัวเรา” ซึ่งคาดว่าจะเป็นวิชาที่บูรณาการความรู้ในเรื่องธรรมชาติและสังคม รวมกับกิจกรรมเสริมหลักสูตรอย่าง ศิลปะและกีฬา เป็นต้น เด็กๆจะได้เรียนภาษาต่างประเทศเมื่อพวกเขาขึ้นชั้นประถมปีที่ 3  ส่วนนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 – 5 นั้นจะมีวิชาเรียนไม่เกิน 6 วิชา แต่ปัญหาหลักของเวียดนามขณะนี้คือการไม่มีองค์กรที่ทำหน้าที่รวบรวม/จัดทำตำราเรียน หนังสือที่ใช้กันอยู่เป็นตำราที่เขียนโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือครูผู้สอน ซึ่งแม้จะมีความรู้ความชำนาญในสาขาต่างๆ แต่ก็ยังไม่เชี่ยวชาญการเขียนตำราเรียน เห็นมากับตา โฆษณามาสคาร่ามักจัดเกินเสมอเพราะรู้ว่าขนตาหนางอนงามในสามโลกเป็นสิ่งที่สาวๆ ปรารถนา และนั่นคือสิ่งที่เมย์เบลลีนใช้กับโฆษณามาสคาร่ารุ่น Volume Express the Rocket ในนิตยสารแฟชั่น ที่นางแบบมีขนตาหนาสุดๆ ด้วยมาสคาร่า ... และขนตาปลอม หลังจากที่มีการร้องเรียน หน่วยงานที่ดูแลเรื่องโฆษณาของออสเตรเลีย National Advertising Division ได้ออกข้อกำหนดว่าต่อไปนี้ห้ามใช้ขนตาปลอมในโฆษณามาสคาราเด็ดขาด หรือถ้าจะใช้ก็ต้องแจ้งในตัวโฆษณาให้ผู้บริโภคมองเห็นได้ชัดเจน โฆษณาดังกล่าวที่อ้างว่าผลิตภัณฑ์สามารถทำให้ขนตาหนาขึ้น 8 เท่านั้น มีตัวหนังสือเล็กๆ ระบุไว้ด้านล่างว่านางแบบใช้ขนตาปลอม แต่คำตัดสินฟันธงว่าการมีข้อความที่ขัดต่อหรือเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสิ่งที่ต้องการสื่อในโฆษณานั้น ไม่สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภคได้ เมย์เบลลีนกำลังอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการตรวจสอบโฆษณาแห่งชาติ National Advertising Review Board ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการควบคุมกันเองโดยความสมัครใจของภาคธุรกิจ ผู้ใหญ่ของบริษัทลอรีอัลซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เมย์เบลลีน ยืนยันว่าเขียนตัวเล็กๆ ก็พอแล้ว สาวๆ เขารู้ดีว่าผลจากการใช้ผลิตภัณฑ์มันแตกต่างกันตามรูปลักษณ์และเทคนิคการแต่งหน้าของแต่ละคน พวกเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะตัวเองจะมีขนตาเหมือนนางแบบหรอก ด้านเลขาธิการขององค์กร Truth in Advertising องค์กรไม่แสวงหากำไรที่รณรงค์คัดค้านการโฆษณาหลอกลวง ตั้งคำถามว่า “ถ้าคุณจะขายของผ่านโฆษณาที่เป็นภาพถ่าย อย่างน้อยๆ ภาพถ่ายนั้นก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมิใช่หรือ?” ใครเอาเนยแข็งของร้านไป? การขโมยของในห้างที่อังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากเมื่อสองปีก่อน ร้อยละ 36 ของการขาดทุนของร้านค้าปลีกในอังกฤษก็เกิดจากการถูกมือดีมาขโมยของในร้านนั่นเอง ข่าวบอกว่าอาจเป็นเพราะความกดดันที่เกิดขึ้นกับภาวะการเงินครอบครัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ มีข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ผู้กระทำผิดมักเป็นคนรายได้น้อย แต่เดี๋ยวนี้คนชั้นกลางจำนวนหนึ่งก็หันมาลักขโมยกับเขาด้วยเพราะยังอยากมีวิถีชีวิตแบบเดิมแม้รายได้จะลดลง ร้านค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตพบว่าปัจจุบันสินค้าที่ถูกขโมยมากขึ้นคือ อาหารราคาแพง เช่น เนื้อสด แฮม เบคอน อกไก่ เนยแข็ง กาแฟ ไวน์ และว้อดกา ถ้ารวมมูลค่าความเสียหายแล้วก็ตกประมาณ 3,400 ล้านปอนด์ (1.7 แสนล้านบาท) นอกจากนี้ Euromonitor International ยังระบุว่าหนึ่งในสามของการลักขโมยสินค้าในร้าน เกิดจากพนักงานของทางร้านเอง ความจริงแล้วไม่ใช่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ข้อมูลจาก Global Retail Theft Barometer ระบุว่าการขโมยสินค้าในห้าง ทั้งโดยคนทั่วไปและโดยขบวนการต่างๆ นั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกแห่งในโลก พูดง่ายๆ คือมีคนลงมือขโมยกันมากขึ้น และแต่ละครั้งที่ขโมยก็จะขโมยในปริมาณมากขึ้นด้วย ทางออกของห้างร้านเหล่านี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการลงทุนกับระบบรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่าราคาสินค้าก็คงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย กลุ้มกันไปทุกฝ่าย เพราะดูเหมือนว่าสาเหตุที่เนยแข็งหายไปนั้น เป็นเพราะรายได้ที่หายไปนั่นเอง   //

อ่านเพิ่มเติม >