ฉบับที่ 170 กระแสต่างแดน

รถเมล์ในเมืองหลวง กระแสต่างแดนฉบับนี้พาคุณไปดูความเคลื่อนไหวของวงการรถโดยสารสาธารณะในเมืองใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเรียกน้ำย่อย ก่อนจะไปพบกับเรื่องเด่นประจำฉบับที่ว่าด้วยสถานการณ์รถเมล์โดยสารในกรุงเทพมหานครของเรา เริ่มจากสิงคโปร์ ต้องยกให้เขาจริงๆ เรื่องความเป็นเลิศในการจัดบริการสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขนส่งมวลชนที่นักข่าวหลายสำนักจัดให้อยู่ในสิบอันดับที่ดีที่สุดของโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนสิงคโปร์เองยังไม่ค่อยพึงพอใจกับบริการรถเมล์ของเขาเท่าที่ควร เพราะยังต้องรอ “นานเกินไป” รัฐจึงต้องออกมาตรการ “ทำดีได้ ทำร้ายเสีย” เพื่อเพิ่มอัตราการตรงต่อเวลา ซึ่งก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียว ผลการประเมินระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาพบว่า เวลารอรถเมล์ลดลงประมาณ 12 – 36 วินาที(ย้ำวินาที) บริษัท SBS Transit ได้รับเงินรางวัลประมาณ 17 ล้านบาท จากการทำให้รถเมล์ของบริษัทวิ่งตรงเวลาขึ้น อีกบริษัท คือ SMRT Corp ก็ไม่น้อยหน้า ได้ไปประมาณ 8.3 ล้านบาท เช่นกัน บริษัทจะได้รางวัล 6,000 เหรียญ(ประมาณ 145,000 บาท) ทุกๆ 6 วินาทีของ “เวลารอรถเมล์” ที่ลดลง แต่เดี๋ยวก่อน บริษัทจะถูกปรับ 4,000 เหรียญ(ประมาณ 96,000 บาท ต่อทุกๆ 6 วินาทีที่คนต้องรอนานขึ้นด้วย และเพื่อให้ได้บริการที่ดียิ่งขึ้น รัฐบาลจึงส่งเสริมการแข่งขันด้วยการเปิดให้เอกชนที่มีรถเมล์ในสังกัดไม่ต่ำกว่า 250 คันเข้าร่วมประมูลเส้นทางเดินรถ ในเบื้องต้นมี 3 แพ็คเก็จ เริ่มจากบูลิมแพ็คเก็จที่มี 26 เส้นทาง ซึ่งข่าวระบุว่ามีผู้สนใจร่วมประมูลถึง 11 เจ้า ตั้งแต่เจ้าเก่าอย่าง SBS Transit และ SMRT Corp ไปจนถึงผู้ประกอบการผลงานเยี่ยมจากจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และออสเตรเลียด้วย ใครจะเป็นผู้ได้เซ็นสัญญาต้องติดตามในปลายเดือนพฤษภาคม มาเลเซีย กัวลาลัมเปอร์จัดว่ามีเครือข่ายการขนส่งมวลชนที่ดีอันดับต้นๆ ของภูมิภาคอาเซียน แต่ปัญหาเรื่องการวางผังเมือง สภาพการจราจรที่หนาแน่น และความสะดวกในการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัว ก็ยังทำให้การปรับปรุงคุณภาพการเดินทางบนท้องถนนโดยรถสาธารณะเป็นเรื่องยาก ปัจจุบันอัตราการใช้รถสาธารณะเพิ่มขึ้นเพราะผู้คนต้องการลดภาระจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น เลยทำให้ต้องยอมรับสภาพการเดินทางที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้บริการรถเมล์สายต่างๆ (ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ Rapid KL) เพราะยังต้องพบกับสถานการณ์รถขาดช่วง มาช้า หรือวิ่งนอกเส้นทาง แถมยังมีประเด็นเรื่องขาดแคลนพนักงานขับรถด้วย รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2015 นี้จะต้องมีผู้คนใน Klang Valley (รวมตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์) ใช้บริการขนส่งมวลชนไม่ต่ำกว่า 750,000 ไปที่อินโดนีเซียกันบ้าง ล่าสุด บริษัททรานส์จาการ์ตา ผู้ประกอบการรถ BRT ในเขตเมืองจาการ์ตาซึ่งเป็นระบบ BRT ที่ยาวที่สุดในโลก(208 กิโลเมตร) ครอบคลุม 12 เส้นทาง จะเป็นผู้ดูแลการขนส่งสาธารณะทางบกทั้งหมด รวมถึงรถเมล์ร่วมบริการด้วย คนขับรถร่วมก็สนับสนุนแผนการปรับปรุงบริการรถร่วมโดยบริษัทที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ เพราะปัจจุบันรายได้ของพวกเขาขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร จึงเน้นรับคนให้ได้จำนวนมากไว้ก่อน อาจจะละเลยเรื่องบริการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพไปบ้าง แต่ปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารลดลง รายได้ก็ลดลง พขร. รายหนึ่งบอกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนเขาเคยหาได้ถึงวันละ 200,000 รูเปีย(ประมาณ 500 บาท) แต่วันนี้ถ้าได้ 100,000 รูเปีย ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว จึงคิดว่าถ้ามีเงินเดือนเหมือนพนักงานบริษัทก็ย่อมดีกว่าแน่นอน(พวกเขาจะได้รับโอกาสเข้าทำงานกับทรานส์จาการ์ตา โดยมีเงื่อนไขว่าต้องผ่านการอบรมและรับรองก่อน) เงินเดือนพวกเขาจะเป็นเท่าไรข่าวไม่ได้บอก แต่ที่แน่ๆ ค่าแรงขั้นต่ำในจาการ์ตา คือ 6,000 บาท บรูไน ประเทศที่คนส่วนใหญ่มีฐานะดีและนิยมใช้รถส่วนตัวก็ประกาศแผนแม่บทเพื่อยกเครื่องขนส่งมวลชนให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวและสร้างความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันขนส่งมวลชนในบรูไนมี 3 ประเภทได้แก่ รถโดยสาร รถแท็กซี่ และเรือแท็กซี่ ซึ่งยังมีจำนวนไม่พียงพอ ไม่ครอบคลุมเส้นทาง และยังขาดประสิทธิภาพและคุณภาพ จึงไม่เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนท้องถิ่นและคนต่างชาติ สิ่งที่จะได้เห็นเป็นอันดับแรกๆ คือเส้นทางรถ BRT จำนวน 4 เส้นทางในเขตบรูไน-มัวรา รวมความยาว 48 กิโลเมตร ที่จะมีรถออกทุก 4 นาที และในนั้นก็มีเส้นทางที่สำรวจพบว่ามีผู้คนใช้มากที่สุดนั่นคือ ระหว่างมัสยิดทอง Masjid Jame'Asr Hassanil Bolkiah Mosque กับโรงพยาบาล Raja Isteri Pengiran Anak Saleha Hospital ที่รองรับผู้โดยสารถึง 60,000 คนต่อวันด้วย ฟิลิปปินส์ กรมการขนส่งและการสื่อสารของฟิลิปปินส์เชื่อว่า ระบบที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในกรุงโซล ประเทศเกาหลีจะใช้ได้ดีกับการปฏิรูปรถโดยสารในกรุงมะนิลา เขาต้องการลดอุบัติเหตุจากรถประจำทางและเพิ่มความคล่องตัวของการจราจร โดยเริ่มจากการทดลองใช้ระบบการประมูลเส้นทางรถเมล์ C5 ในเขตตัวเมืองของมะนิลา ระบบเดิมของเขาคือ คนขับรถจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้ประกอบการเมื่อจบ “กะ” ของตนเองในแต่ละวัน แต่ในระบบใหม่รัฐจะให้เงินช่วยเหลือกับคนขับในบางเส้นทางเพื่อให้สามารถออกรถตามกำหนดเวลา ไม่ต้องถ่วงเวลาเพื่อรอรับคนหรือขับเร็วขับแซงเพื่อแย่งลูกค้าจากรถคันอื่น  ก่อนหน้านี้เคยมีข้อเสนอจากวุฒิสมาชิกให้จ่ายค่าตอบแทนคนขับรถเป็นเงินเดือนที่แน่นอน และปรับปรุงสภาพการทำงานให้ดีขึ้นเพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนนมาแล้ว กัมพูชา กัมพูชาเตรียมเปิดบริการรถสาธารณะอีกครั้ง(หลังจากเมื่อ 13 ปีที่แล้วเปิดดำเนินการได้เพียง 2 เดือนก็ต้องพับไป) เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจรในกรุงพนมเปญ ซึ่งมีประชากร 2 ล้านคน มอเตอร์ไซค์ 1 ล้านคัน และรถยนต์อีก 300,000 คัน เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้คนจะเลิกการใช้มอเตอร์ไซค์แล้วหันมาใช้บริการสาธารณะแทน รัฐมนตรีท่านหนึ่งให้ความเห็นว่าคราวก่อนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะผู้คนยังติดกับการมีรถมาส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ชอบเดินไกล จึงไม่ชอบขึ้นรถเมล์ อย่างไรก็ดีตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นมา มีรถปรับอากาศ 10 คันทดลองให้บริการระหว่าง 5.30 น. – 16.30 น. บนถนนมณีวงศ์ ด้วยค่าโดยสาร 1,500 เรียล (12 บาท) ตลอดสาย ซึ่งถูกกว่าการขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง “โมโตดุ๊บ” ถึง 5 เท่า ถ้าได้ผลตอบรับดีเขาก็จะพิจารณาเพิ่มรถและเพิ่มเส้นทางอีกที เวียดนาม ในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ การขนส่งมวลชนยังพัฒนาไปไม่ถึงเป้า รถส่วนตัวยังเต็มท้องถนน เวียดนามยังไม่มีระบบรถไฟฟ้าหรือรถ BRT ในเขตเมืองและยังขาดความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับรถโดยสารสาธารณะ นักวิจัยจากโครงการลดความแออัดของการจราจร ระบุว่าในช่วงปี 2011 – 2015 การใช้บริการขนส่งสาธารณะในเมืองนี้จะมีไม่เกินร้อยละ 15 ของความต้องการในการสัญจรไปมาเท่านั้น ที่ผ่านมาเทศบาลโฮจิมินห์ซิตี้ มุ่งแต่เรื่องการปรับปรุงสภาพรถ(มีการชงเรื่องขอจัดซื้อรถเมล์ใหม่ 1,670 คัน) แต่ถึงจะปรับปรุงสถานีขนส่งหรือเพิ่มบัสเลนแล้วก็ตาม ในปี 2015 นี้คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการรถเมล์เพียง 707 ล้านคน หรือร้อยละ 11.5 ของความต้องการในการเดินทางเท่านั้น สาเหตุหลักมาจากการไม่จำกัดการใช้รถส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถมอเตอร์ไซค์ กรมการขนส่งจึงเสนอให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนรถใหม่ เพิ่มภาษี คิดค่าจอดรถ รวมถึงจำกัดพื้นที่จอดรถบนทางเท้าด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 170 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนเมษายน 2558 พบกล่องทีวีดิจิตอลตกมาตรฐาน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช.ได้แจ้งมายังบอร์ด กสท.ว่าจากการสุ่มตรวจมาตรฐานทางเทคนิคของกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลในตลาดจำนวน 20 รุ่น พบว่ามีกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลจำนวน 6 รุ่น จาก 4 ยี่ห้อ มีการใช้ระบบเสียงไม่ถูกต้องตามตามที่แจ้งไว้ต่อ กสทช. ซึ่งจากนี้จะมีคำสั่งให้ผู้ประกอบการทั้ง 4 ยี่ห้อที่มีการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐานเดินทางมาชี้แจงยัง กสทช.โดยด่วน กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลที่ไม่ผ่านมาตรฐานทางเทคนิค ได้แก่ ยี่ห้อเอเจ รุ่น SVB-93 และ รุ่น DVB-92, ยี่ห้อครีเอเทค รุ่น CT-1 และ CT4, ยี่ห้อฟินิกซ์ รุ่น T2color และ ยี่ห้อโซเคน รุ่น DB233 สำหรับผู้บริโภคที่ได้นำคูปองไปแลกซื้อกล่องที่การตรวจพบว่าไม่ได้มาตรฐานไปแล้ว หากเกิดปัญหาจากการใช้สินค้า ทาง กสทช.จะหารือกับผู้ประกอบการเพื่อทางแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ ----------------------------------------------------------------------------------------   ห้ามใช้แล้ว!!! สาร “บีพีเอ” ในขวดนม จากนี้ไปคุณแม่ที่จะซื้อขวดนมให้ลูกน้อยต้องดูให้ดีว่าขวดนมพลาสติกที่ซื้อทำมาจากพลาสติกชนิดที่ชื่อว่า “พอลิคาร์บอเนต” หรือเปล่า เพราะอาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสาร “บีพีเอ” หรือ สารบิสฟีนอลเอ ซึ่งเป็นสารที่ อย.ยืนยันแล้วว่าอาจเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 369) พ.ศ. 2558 เรื่อง ขวดนม และภาชนะบรรจุนมสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อควบคุมการใช้สารพีบีเอในขวดนมและภาชนะสำหรับทารกอีกหลายประเภท กฎหมายฉบับนี้ควบคุบผลิตภัณฑ์สำหรับทารก ทั้งผลิตภัณฑ์ประเภทขวดนมและภาชนะบรรจุนมสำหรับทารกและเด็กเล็กแบบใช้ซ้ำ เช่น ถ้วยหัดดื่ม ห้ามใช้พอลิคาร์บอเนตโดยเด็ดขาด โดยวัสดุอื่นทดแทน ได้แก่ แก้วชนิดบอโรซิลิเคต และพลาสติกชนิดพอลิพรอพิลีน พอลิอีเทอร์ซัลโฟน ส่วนภาชนะบรรจุนมสำหรับทารกและเด็กเล็กแบบใช้ครั้งเดียว เช่น ถุงพลาสติกที่ใช้เก็บน้ำนมมารดา ถุงพลาสติกบรรจุนมแบบใช้ครั้งเดียวที่ต้องใช้ร่วมกับขวดนม ให้ใช้วัสดุที่อนุญาต ได้แก่ พอลิพรอพิลีน และ พอลิเอทิลีน สำหรับหัวนมยาง ให้ใช้วัสดุที่อนุญาตได้แก่ ยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ ปัจจุบันแม้องค์การอนามัยโลกยังไม่ได้จัดสารบีพีเอเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ก็มีข้อมูลการศึกษาในสัตว์ทดลอง ว่าสารพีบีเออาจมีผลไปขัดขวาง การทำงานของฮอร์โมนเอสโทรเจนในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อระบบการสืบพันธุ์และระบบการผลิตฮอร์โมน นอกจากนี้หลายๆ ประเทศมีการห้ามผลิตหรือจำหน่ายขวดนมพอลิคาร์บอเนตแล้ว เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา เป็นต้น -------------------------------------------------------------------------------- “คะน้า - ถั่วฝักยาว” เจอสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้แถลงผลการสุ่มทดสอบการปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช พบว่ามีผักที่มีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขสูงถึง 22.5% โดยพบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานในกะเพรามากที่สุด 62.5% ถั่วฝักยาวและคะน้าพบ 32.5% ผักบุ้งจีน กวางตุ้ง และมะเขือเปราะพบตกค้าง 25% แตงกวาและพริก12.5% ส่วนผักกาดขาวปลีและกะหล่ำปลีไม่พบการตกค้าง จากผลที่ออกมาทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องออกสุ่มทดสอบผักในท้องตลาดด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรง ซึ่งผลที่ได้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ยอมรับว่ามีผักที่พบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานอยู่ในท้องตลาดจริง แม้จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วไม่เท่ากับผลของทาง Thai-PAN แต่นั้นก็เป็นการยืนยันชัดเจนว่าคนไทยอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพจากกินผัก โดยผัก 2 ชนิดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่าที่การตกต้างของสารเคมีค่อนข้างสูงคือ คะน้าและถั่วฝักยาว โดยหลังจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะส่งเจ้าหน้าที่ไปสุ่มตรวจผักตามตลาดต่างๆ เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ผู้บริโภคก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการซื้อผัก เลือกซื้อผักตามฤดูกาล และล้างผักให้สะอาดก่อนรับประทาน ------------------------------------------------------------------------------------ “ผักเม็ด-ส้มเม็ด” หลอกลวงสรรพคุณ คนป่วยกินอาการยิ่งทรุด คนไทยยังคงตกเป็นเหยื่อของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลอกลวงสรรพคุณ ล่าสุดพบอาหารเสริม “ผักเม็ด” และ “ส้มเม็ด” โฆษณาอวดอ้างว่าสามารถรักษาโรคเบาหวานได้ เมื่อมีผู้ป่วยหลงเชื่อคำโฆษณาหาซื้อมารับประทานกลับพบว่าอาการทรุดลง อาการแผลที่เท้าซ้ายบวมแดงและปวดมากกว่าปกติ อีกทั้งยังพบระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 552 mg (ซึ่งค่าปกติควรอยู่ที่ 82 - 110 mg) ผักเม็ดมีลักษณะภายในเป็นของเหลวคล้ายน้ำมันตับปลา ส่วนส้มเม็ดมีลักษณะเป็นผงบรรจุในแคปซูล โดยผู้ขายแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวชนิดละ 4 เม็ด เช้า - เย็น และให้ใช้ทาแผลด้วย อย.ฝากเตือนถึงที่คิดจะกินอาหารเสริมเพื่อหวังผลในการรักษาโรคนั้น ขอให้คิดไว้เสมอว่าเป็นเรื่องที่โอ้อวดหลอกลวง เพราะอาหารไม่ใช่ยา ไม่มีผลในการรักษาโรค ยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องรับประทานอาหารเสริมอย่างระมัดระวังเพราะอาจส่งผลต่อการเจ็บป่วยหนักได้ -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   เคลือบฟันเทียม “วีเนียร์” ระวังได้ไม่คุ้มเสีย การเคลือบสีฟันเทียม หรือ วีเนียร์ (veneers) ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยทำให้สีฟันขาวขึ้นและปรับรูปฟันให้สวยงาม กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะกับกลุ่มสาวๆ ที่อยากมีฟันขาวสว่างใส พร้อมกับการที่มีสถานเสริมความงามด้านทันตกรรมเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่การทำเคลือบสีฟันมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของฟันและเหงือกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การทำเคลือบผิวฟันเทียม คือการแปะวัสดุลงบนผิวฟันเพื่อเปลี่ยนสีผิวฟัน ซึ่งเดิมทีมีไว้ใช้แก้ปัญหาผู้ที่มีผิวฟันสีผิดปกติ เช่น ฟันตกกระ ฟันเป็นแถบสีน้ำตาลหรือดำ จากการกินยาแก้อักเสบกลุ่มเตตราไซคลิน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีการฟอกสีฟันได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะต้องกรอผิวฟันออกไปเล็กน้อยเพื่อแปะวัสดุใหม่ลงไปให้เท่ากับผิวฟันเดิมไม่ให้นูนขึ้นมามากเกินไป ทพ.สุธา เจียรมณีโชติชัย รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าการกรอฟันเป็นการทำลายผิวเคลือบฟันที่ดีออกไปและจะไม่มีวันขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้การปิดวัสดุนั้นต้องทำด้วยเทคนิคที่ดี วัสดุที่ปิดฟันต้องพอดีกับตัวเนื้อฟันไม่มีส่วนเกินเข้าไปในเหงือก หรือ มีรูรั่ว เพราะอาจทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เกิดหินปูน เหงือกร่น ทำให้เกิดพื้นที่ให้เชื้อโรคไปเกาะและเกิดปัญหากลิ่นปากได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะทำเคลือบฟันเทียมต้องศึกษาให้ดี เคลือบฟันเทียบย่อมไม่มีแข็งแรงเท่าเคลือบฟันแท้ และการทำให้สีฟันขาวขึ้นยังมีวิธีอย่างการฟอกสีฟันซึ่งไม่ส่งผลเสียต่อเคลือบฟัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 170 มีเพียงสคบ. ไม่เห็นด้วย ทำไมพลเมืองอย่างเราต้องยอม

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกโฆษณาว่า พลเมืองเป็นใหญ่ ซึ่งภาครัฐที่หวงอำนาจก็จะบอกว่าไม่ชอบเลยมากไป ส่วนคนในภาคประชาชนบางส่วนก็บอกว่าจะจริงหรือ ไม่ใช่แค่คำโฆษณาสินค้าหรือฉลากสินค้าที่เข้าข่ายโอ้อวดเกินจริง ก็ต้องบอกว่า ในหมวดสิทธิเสรีภาพมีความก้าวหน้ามากขึ้นจริง เช่นกลไกการเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อในการเสนอกฎหมายของประชาชน ยกตัวอย่างการเสนอกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีไปตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา โดยหลักการกฎหมายของสปช. รัฐบาลจะพิจารณาทันที รวดเร็ว ไม่เกิน 20 วัน แต่จนบัดนี้ยังไม่เห็นร่างกฎหมายหลุดรอดจากมือคณะรัฐมนตรีไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เหตุผลที่ยังไม่ผ่านคณะรัฐมนตรีเพราะ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีความเห็นต่อกฎหมายฉบับนี้ว่า มีความซ้ำซ้อนกับอำนาจของสคบ. ทำให้สคบ. มีเจ้านายเพิ่ม ไม่มีความจำเป็น ฯลฯ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีความซ้ำซ้อนเลย เพราะองค์การนี้ทำหน้าที่เหมือนสปช. เช่น การเสนอให้คิดค่าโทรศัพท์ไม่ปัดเศษวินาทีเป็นนาที สามารถตรวจสอบกสทช. ต่อเนื่องได้ว่า ทำไมไม่บังคับใช้การคิดค่าโทรศัพท์ตามที่ใช้จริงซะที แต่ไม่ได้มีหน้าที่ปรับบริษัทโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนั่นเป็นอำนาจของหน่วยงานรัฐ หรือการที่สปช. ช่วยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยไม่ใช่ลดดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเดียว เพราะสคบ. หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ คงไม่กล้าเถียงรัฐมนตรีคลังแน่นอน แต่กฎหมายฉบับนี้ถูกเตะสกัด โดนวางกรวยยางสามสี่ชั้น ขัดแข้งขัดขาอยู่อย่างเต็มที่ ท่ามกลางการทำหน้าที่กันไปวันๆ ไม่เต็มที่ ไม่ได้ทำอะไรให้ประชาชนอย่างเราได้รู้สึกอุ่นใจ มั่นใจว่าได้รับการคุ้มครอง   หากเทียบเคียงด้วยการเสนอกฎหมายนี้แล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ และเกิดมีประชาชนเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ เสนอกฎหมาย กฎหมายจะถูกพิจารณาในขั้นแรกของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะถูกนำส่งนายกรัฐมนตรีเพราะเกี่ยวข้องกับการเงิน(ให้มีการสนับสนุนที่เป็นอิสระ 3 บาทต่อประชากร) และนายกรัฐมนตรีจต้องพิจารณาภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จถือว่านายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ก็จะสามารถผ่านขั้นตอนรัฐสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และหากไม่เห็นชอบก็ต้องมีการตั้งกรรมาธิการ่วม โดยทุกขั้นตอน ต้องมีสัดส่วนของผู้เสนอกฎหมายไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ แต่หลังจากออกมายังกรรมาธิการร่วม สิ่งที่กรรมการยกร่างหลงลืมไปคือ ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจนในการพิจารณากฎหมายของทั้งสองสภา เพราะจากบทเรียนของกฎหมายองค์การอิสระฯ ในอดีต คือหลังจากผ่านกรรมาธิการร่วมแล้ว วุฒิสภา นำไปพิจารณาเห็นชอบทันที ส่วนสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการตั้งวาระ ไม่มีการพิจารณา จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภาและเกิดการรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ข้อดีอีกประการหนึ่งในร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ คือ คงเป็นสิทธิของผู้เสนอกฎหมาย เพราะหากสุดท้ายกฎหมายที่เข้าชื่อกันมาไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ผู้เข้าชื่อมีสิทธิร้องขอให้ทำประชามติกฎหมายฉบับนั้นได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกโฆษณาว่า พลเมืองเป็นใหญ่ ซึ่งภาครัฐที่หวงอำนาจก็จะบอกว่าไม่ชอบเลยมากไป ส่วนคนในภาคประชาชนบางส่วนก็บอกว่าจะจริงหรือ ไม่ใช่แค่คำโฆษณาสินค้าหรือฉลากสินค้าที่เข้าข่ายโอ้อวดเกินจริง ก็ต้องบอกว่า ในหมวดสิทธิเสรีภาพมีความก้าวหน้ามากขึ้นจริง เช่นกลไกการเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อในการเสนอกฎหมายของประชาชน ยกตัวอย่างการเสนอกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีไปตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา โดยหลักการกฎหมายของสปช. รัฐบาลจะพิจารณาทันที รวดเร็ว ไม่เกิน 20 วัน แต่จนบัดนี้ยังไม่เห็นร่างกฎหมายหลุดรอดจากมือคณะรัฐมนตรีไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เหตุผลที่ยังไม่ผ่านคณะรัฐมนตรีเพราะ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีความเห็นต่อกฎหมายฉบับนี้ว่า มีความซ้ำซ้อนกับอำนาจของสคบ. ทำให้สคบ. มีเจ้านายเพิ่ม ไม่มีความจำเป็น ฯลฯ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีความซ้ำซ้อนเลย เพราะองค์การนี้ทำหน้าที่เหมือนสปช. เช่น การเสนอให้คิดค่าโทรศัพท์ไม่ปัดเศษวินาทีเป็นนาที สามารถตรวจสอบกสทช. ต่อเนื่องได้ว่า ทำไมไม่บังคับใช้การคิดค่าโทรศัพท์ตามที่ใช้จริงซะที แต่ไม่ได้มีหน้าที่ปรับบริษัทโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนั่นเป็นอำนาจของหน่วยงานรัฐ หรือการที่สปช. ช่วยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยไม่ใช่ลดดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเดียว เพราะสคบ. หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ คงไม่กล้าเถียงรัฐมนตรีคลังแน่นอน แต่กฎหมายฉบับนี้ถูกเตะสกัด โดนวางกรวยยางสามสี่ชั้น ขัดแข้งขัดขาอยู่อย่างเต็มที่ ท่ามกลางการทำหน้าที่กันไปวันๆ ไม่เต็มที่ ไม่ได้ทำอะไรให้ประชาชนอย่างเราได้รู้สึกอุ่นใจ มั่นใจว่าได้รับการคุ้มครอง หากเทียบเคียงด้วยการเสนอกฎหมายนี้แล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ และเกิดมีประชาชนเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ เสนอกฎหมาย กฎหมายจะถูกพิจารณาในขั้นแรกของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะถูกนำส่งนายกรัฐมนตรีเพราะเกี่ยวข้องกับการเงิน(ให้มีการสนับสนุนที่เป็นอิสระ 3 บาทต่อประชากร) และนายกรัฐมนตรีจต้องพิจารณาภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จถือว่านายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ก็จะสามารถผ่านขั้นตอนรัฐสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และหากไม่เห็นชอบก็ต้องมีการตั้งกรรมาธิการ่วม โดยทุกขั้นตอน ต้องมีสัดส่วนของผู้เสนอกฎหมายไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ แต่หลังจากออกมายังกรรมาธิการร่วม สิ่งที่กรรมการยกร่างหลงลืมไปคือ ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจนในการพิจารณากฎหมายของทั้งสองสภา เพราะจากบทเรียนของกฎหมายองค์การอิสระฯ ในอดีต คือหลังจากผ่านกรรมาธิการร่วมแล้ว วุฒิสภา นำไปพิจารณาเห็นชอบทันที ส่วนสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการตั้งวาระ ไม่มีการพิจารณา จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภาและเกิดการรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ข้อดีอีกประการหนึ่งในร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ คือ คงเป็นสิทธิของผู้เสนอกฎหมาย เพราะหากสุดท้ายกฎหมายที่เข้าชื่อกันมาไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ผู้เข้าชื่อมีสิทธิร้องขอให้ทำประชามติกฎหมายฉบับนั้นได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 หอมเจียว

หอม เป็นพืชผักที่นิยมรับประทานกันมาอย่างยาวนานไม่ต่ำกว่าสี่พันปี หอมมีญาติมากกว่า 300 ชนิด แต่ที่รู้จักกันดีได้แก่ หอมหัวใหญ่ กระเทียม หอมแดง หอมต้น และกุยช่าย ไทยเราจะนิยมหอมแดง ซึ่งเป็นหอมที่สันนิษฐานว่ากลายพันธุ์มาจากหอมหัวใหญ่ และได้ถูกคัดเลือกพันธุ์ไว้เพื่อประกอบอาหารที่ต่างไปจากหอมหัวใหญ่ ฝรั่งเรียก หอมใหญ่ ว่า onion ซึ่งไม่ได้มีแต่สีขาว ยังมีสีเหลืองและสีแดงด้วย ดังนั้นถ้าต้องการหอมแดงแบบที่เราใช้ตำน้ำพริก จะต้องเรียกว่า  shallot ไม่ใช่ red onion หอมแดงที่ขึ้นชื่อของไทยคือ หอมแดงศรีสะเกษ แต่ปัจจุบันก็มีหอมแดงแขกที่เป็นหอมแดงหัวเดี่ยวๆ มาวางขายคู่กัน ซึ่งกลิ่นรสจะไม่ได้ หากต้องการนำมาทำน้ำพริกหรืออาหารไทย หอมไทยดีกว่า หอมแดงสดรสชาติและกลิ่นอาจฉุนเกินไป ส่วนใหญ่จึงใช้ในเครื่องแกง เครื่องยำและน้ำพริก เพื่อให้กลิ่นหอมของมันช่วยชูรสอาหาร แต่ถ้าเอามาเจียวให้กรอบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งคาวหวานและช่วยเพิ่มกลิ่น รสได้มาก ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอดหาดใหญ่ ก๋วยจั๊บญวน ยำถั่วพู ไข่ลูกเขย ขนมหม้อแกง และหน้าปลาแห้งที่กินกับข้าวเหนียวมูน  ถือว่าเปลี่ยนจากฉุนเป็นหอมน่ากิน เทคนิคการเจียวหอมให้กรอบและเป็นแผ่นสวยๆ  คือการหั่นต้องหั่นตามขวาง(แนวยาว) เพื่อไม่ให้หอมหลุดมาเป็นวงๆ หั่นให้บางเสมอกันและเมื่อเจียวจนเหลืองอ่อนๆ ก็นำขึ้นจากน้ำมันไม่ต้องรอจนสีคล้ำจะไหม้จนกินไม่ได้ เมื่อขึ้นจากไฟแรกๆ จะยังไม่กรอบรอจนความร้อนผ่อนลงจะกรอบเอง เดี๋ยวนี้ถ้าขี้เกียจเจียวเองเขาก็มีแบบเจียวสำเร็จขาย แต่ต้องเลือกซื้อให้ดี เพราะอาจได้พวกวัตถุกันเสียและแป้งตามมาด้วย

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 169 ถึงเวลาจัดการชาเขียว

การทำการตลาดแบบชิงโชคแถมพก ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการขายสินค้ากลุ่มอาหารเป็นอย่างดี เห็นได้จากปรากฎการณ์การแจกรถเบนซ์ รางวัลเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ของชาเขียวอิชิตัน จนผู้บริโภคไม่มั่นใจว่าจะดื่มชาหรือเสี่ยงโชค ทางออกที่ชะงัด ในการแก้ปัญหาชาเขียวโฆษณาแบบชิงโชคแถมพก มีสี่ประการที่สำคัญ หนึ่ง ต้องทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลให้มากที่สุด ว่ายี่ห้อไหนบ้างที่มีน้ำตาลมากสุด โดยต้องสังเกตปริมาณน้ำตาลข้างขวด จากการสำรวจ 32 ยี่ห้อ พบว่า มีจำนวน 24 ยี่ห้อ ที่มีน้ำตาลตั้งแต่ระดับ 6 ช้อนชาสูงถึง 18.12 ช้อนชา มีเพียง 8 ยี่ห้อเท่านั้นที่มีน้ำตาลต่ำกว่า 6 ช้อนชา เพราะจะทำให้สติของผู้บริโภคกลับคืนมาว่านอกจากไม่ได้รถเบนซ์แล้ว ยังจะได้เบาหวานแถมมาด้วย เรียกว่าหากดื่มชาที่มีน้ำตาล 18 ช้อน ต้องหยุดกินน้ำตาลไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยปกติคนเราไม่ควรกินน้ำตาลมากกว่า 6 ช้อนชาต่อวัน สอง ต้องทำให้มาตรการในการควบคุมสินค้ากลุ่มนี้ใกล้เคียงกับสินค้ากลุ่มอื่นๆ หากเปรียบเทียบคงเป็นเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน  ซึ่งมีกติกาหลายอย่างในการกำกับการโฆษณา เช่น ห้ามโฆษณาชิงโชค แถมพก มีคำเตือนทุกครั้งในการโฆษณา “ห้ามดื่มเกินวันละ2 ขวด” ฉลากข้างขวดต้องมีการระบุคำเตือน “เด็กสตรีมีครรภ์ ไม่ควรบริโภค” แต่ขณะที่สินค้ากลุ่มชาเขียวโฆษณาได้อย่างอิสระเสรีรวมทั้งชิงโชคและแถมพก เพียงแต่ต้องขออนุญาตเท่านั้น ซึ่งหากมีการแจกรางวัลจริงก็สามารถโฆษณาได้ สาม น่าจะถึงเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องมีมาตรการฉลากไฟจราจร(เขียวเหลืองแดง) สำหรับอาหาร ซึ่งพบว่า ทุกๆ ปีจะมีคนเสียชีวิตสูงถึง 11 ล้านคนทั่วโลก และยังมีปัญหาอ้วนหรือน้ำหนักเกินมากถึง 4,000 ล้านคน การมีฉลากนี้จะช่วยทำให้ผู้บริโภคเลือกสินค้าได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการของตนเอง และส่งเสริมให้ธุรกิจปรับตัวทำสินค้าที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น   มาตรการสุดท้าย เป็นมาตรการทางภาษีที่ควรจะต้องริเริ่มเก็บภาษีน้ำตาล ซึ่งในวาระการปฏิรูปครั้งนี้ หากสามารถทำได้จริง การบริโภคน้ำตาลของประชาชนก็จะลดลงและมีส่วนช่วยในการลดภาวะโรคอ้วน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการวิจัยที่พบว่า กว่า 30 ปีที่ผ่านมา คนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มเป็น 3 เท่า และจากการเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์ ประเทศไทยเป็นผู้บริโภคน้ำตาลสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากโรคอ้วนแล้ว น้ำตาลยังเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเกิดโรคหัวใจ เช่น หัวใจวายมากขึ้นด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 “ไอศกรีม” เช็คปริมาณ “สี” และ “สารกันบูด"

ฉลาดซื้อขอต้อนรับหน้าร้อน ด้วยผลทดสอบที่จะทำให้ทุกคนเย็นชุ่มฉ่ำชื่นใจ กับผลทดสอบ “ไอศกรีม” เมนูโปรดของหลายๆ คน ฉลาดซื้อจะมาพิสูจน์ดูว่าไอศกรีมที่วางขายมากมายหลากหลายยี่ห้อในบ้านเรามีการใช้ “สี” และ “สารกันบูด” มากน้อยแค่ไหน เราเลือกสุ่มสำรวจไอศกรีมจำนวน 14 ยี่ห้อ โดยเลือก 1 ในไอศกรีมรสชาติยอดฮิตตลอดกาลอย่างรส “ช็อกโกแลต” ไปดูกันสิว่าไอศกรีมรสช็อกโกแลตยี่ห้อดังๆ มีการใช้สีและสารกันบูดหรือเปล่า                         สรุปผลการทดสอบ   -ไอศกรีมรสช็อกโกแลตทั้ง 14 ตัวอย่าง ไม่พบสารกันบูด -มีไอศกรีมรสช็อกโกแลต 3 ตัวอย่างที่พบการใช้สีสังเคราะห์ คือ 1.Walls 3 in 1 ทริปเปิล ช็อกโกแลต, 2.Melt Me Hokkaido Chocolate & Healthy Gelato และ 3. F & N Magnolia Double Choc ซึ่งปริมาณสีสังเคราะห์ที่พบอยู่ในเกณฑ์ตามมาตรฐาน สีผสมอาหารที่ใช้ก็เป็นสีที่ได้รับการอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข แฟนฉลาดที่รักการกินไอศกรีม ก็ยังคงกินกันได้อย่างสบายใจ ปลอดภัย ไร้ปัญหา -          ข้อสังเกต สีสังเคระห์ที่พบในการทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ สีในกลุ่มสีแดง คือ เออริโธรซีน (Erythrosine E127) และ คาร์โมอีซีนหรือเอโซรูบีน (Carmoisine or Azorubine E122) สีในกลุ่มสีเหลือง คือ ซันเซต เยลโลว์ เอฟซีเอฟ (Sunset yellow FCF E110) และ ตาร์ตราซีน (Tartazine E102) สุดท้ายคือสีในกลุ่มสีน้ำเงิน คือ บริลเลียนต์บลู เอฟซีเอฟ (Brillian blue FCF E133) ซึ่งตัวอย่างไอศกรีมที่พบปริมาณสีมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้คือ Walls 3 in 1 ทริปเปิล ช็อกโกแลต พบว่ามีใช้สี 3 ชนิดจากสีถึง 3 กลุ่ม ขณะที่อีก 2 ตัวอย่างที่พบการใช้สีสังเคราะห์ พบว่าใช่แค่ตัวอย่างละ 1 ชนิดสีเท่านั้น         “ไอศกรีม” ที่ดีต้องเป็นแบบไหน? หลายคนอาจยังไม่รู้ ว่า “ไอศกรีม” ถือเป็นอาหารที่มีการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งไอศกรีมที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ -ไอศกรีมนม ต้องมีมันเนยเป็นส่วนผสมไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของน้ำหนัก และมีธาตุน้ำนม ไม่รวมมันเนยไม่น้อยกว่าร้อยละ 7.5 ของน้ำหนัก - ไอศกรีมดัดแปลง ต้องมีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของน้ำหนัก -ไม่มีกลิ่นหืน -ใช้วัตถุที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือใช้ร่วมกับน้ำตาล โดยวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ใช้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานอาหารที่ อย. รับรอง -ใส่วัตถุแต่งกลิ่น รส และสีได้ -ไม่มีวัตถุกันเสีย -มีแบคทีเรีย (Bacteria) ได้ไม่เกิน 600,000 ต่ออาหาร 1 กรัม -ต้องตรวจไม่พบมีแบคทีเรีย ชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) -ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่พบจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่มา : ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 354) พ.ศ. 2556 เรื่อง ไอศกรีม   --------------------------------------------------------------- เมื่อปี 2550 ที่ประเทศอังกฤษ กลุ่มนักวิชาการได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกข้อบังคับกับผู้ผลิตอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารเด็ก ขนมหวาน เครื่องดื่ม  ให้ยกเลิกการใช้สีสังเคราะห์ 6 ชนิด ได้แก่ ซันเซต เยลโลว์ เอฟซีเอฟ (Sunset yellow FCF E110), ตาร์ตราซีน (Tartazine E1022), ปองโซ 4 อาร์ (Ponceau 4 R), ควิโนลีนเยลโลว์ (Quinoline Yellow E104), คาร์โมอีซีน (Carmoisine E122) และ อัลลูราเรด Allura red (E129) เนื่องจากมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าสารจากสีสังเคราะห์เหล่านี้ส่งผลให้เด็กป่วยด้วยโรคสมาธิสั้น นอกจากนี้สีสั้งเคระห์เหล่านี้ไม่มีความจำเป็นต่อการนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร เพราะไม่ได้เพิ่มคุณค่าทางอาหาร มีแต่จะสร้างผลเสียต่อสุขภาพเท่านั้น ซึ่งการออกมาเรียกร้องครั้งนี้แม้ทางภาครัฐจะยังไม่ได้มีการรับรองอย่างเป็นทางการแต่ก็สามารถทำให้เกิดการตื่นตัวของทั้งผู้บริโภค พ่อ-แม่ผู้ปกครอง รวมถึงบริษัทผู้ผลิตอาหารทั้งในอังกฤษเอง ประเทศในยุโรปประเทศอื่นๆ และอเมริกา ก็เริ่มปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้มีการใช้สังเคราะห์อาหารลดลง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 รู้สภาพการจราจรบนทางด่วน

ต้องยอมรับว่าคนที่ใช้ชีวิตประจำวันในกรุงเทพมหานคร ต้องเคยใช้บริการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือทางด่วน แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรถยนต์ส่วนตัว และคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ตาม แต่ก็ต้องมีสักครั้งที่มีโอกาสได้ใช้บริการรถแท็กซี่ เพื่อเดินทางจากที่หนึ่งไปยังจุดหมายอีกที่หนึ่ง โดยใช้ทางด่วนเป็นตัวเชื่อมระยะทางเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วขึ้น จากการที่ได้ใช้ทางด่วนเป็นประจำ ทำให้รู้ว่าในบางจุดบางช่วงเวลาคนใช้บริการทางด่วนมักจะเจอกับปัญหาทางด่วนที่มีการจราจรไม่ด่วน  เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหานี้ ทำให้สงสัยว่าจะมีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยบอกให้ได้ว่าควรเลือกใช้ทางด่วนในขณะนั้นหรือไม่ หรือควรใช้ทางธรรมดาดีกว่ากัน หรือจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมากน้อยแค่ไหน และรถติดเพียงใด มีแอพพลิเคชั่นที่ผู้เขียนอยากแนะนำมีอยู่ 2 ตัวเกี่ยวกับทางด่วน ซึ่งมีชื่อเดียวกันว่า “EXAT  ITS” โดยความสามารถใน 2 แอพพลิเคชั่นนี้จะมีความแตกต่างกัน และสามารถใช้ควบคู่กันตามความต้องการของผู้ใช้ได้ และถูกพัฒนาจากคนละหน่วยงาน แอพพลิเคชั่นอันแรก จะบอกเกี่ยวกับสภาพการจราจรบนทางด่วนในภาพรวม ซึ่งสามารถเห็นหน้าจอเดียว มีแผนที่อัจฉริยะสำหรับนำทางจากจุดที่ยืนเพื่อเดินทางไปยังด่านเก็บเงินที่ใกล้ที่สุดได้ และสามารถค้นทางเส้นทางบนทางด่วนได้ด้วย ในแผนที่อัจฉริยะผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้อะไรปรากฏบนแผนที่อัจฉริยะบ้าง อย่างเช่น ป้ายจราจรอัจฉริยะ,  อุบัติเหตุ ,กล้อง CCTV,  ด่านเก็บค่าผ่านทาง,  สถานีตำรวจทางด่วน,  จุดกลับรถในทางพิเศษ และจุดพักรถในทางพิเศษ  โดยสามารถเลือกได้ทั้งหมด หรือเลือกเพียงอันใดอันหนึ่งก็ได้  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมในการรายงานสถานการณ์หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางด่วน พร้อมทั้งได้มีการบอกข้อมูลเกี่ยวกับบัตร easy pass และช่วยรวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินให้ผู้ที่ใช้แอพพลิเคชั่นนี้ด้วย แอพพลิเคชั่นอันที่สอง เป็นแอพพลิเคชั่นที่ลงรายละเอียดบริเวณด่านเก็บเงินแต่ละด่าน ว่ามีเส้นทางการเดินทางเป็นอย่างไร และมีเส้นทางบอกถึงสภาพการจราจรให้ผู้ใช้ทางด่วนทราบได้ ทั้งนี้ยังสามารถค้นทางเส้นทางบนทางด่วนได้เหมือนกับแอพพลิเคชั่นอันแรก แต่มีข้อแตกต่างตรงแอพพลิเคชั่นนี้จะคำนวณเวลาในการเดินทางจากด่านทางด่วนหนึ่งไปยังอีกด่านทางด่วนหนึ่งได้ด้วย อย่างน้อยแอพพลิเคชั่นนี้ก็น่าจะช่วยให้ผู้เดินทางและใช้บริการทางพิเศษรู้ว่าสภาพการจราจรบนทางด่วนเป็นอย่างไร รู้ว่าต้องขึ้นทางด่วนที่ด่านบริเวณใดที่ใกล้ที่สุด และรู้ทิศทางการเดินทางที่ชัดเจน แอพพลิเคชั่น “EXAT  ITS”  อาจจะช่วยเรื่องการตัดสินใจในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้ ลองใช้ดูสิคะ...

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 รู้เท่าทันการทำบ้านให้ปลอดเชื้อโรค

ฉบับนี้ขอนำเรื่องเบาๆ มาเล่าสู่กันฟัง  เพราะจะได้พักสายตาและพักสมองจากบทความต่างๆ ที่เต็มแน่นไปด้วยเนื้อหาสาระ  นอกจากนี้ ก็ใกล้วันสงกรานต์ ซึ่งแทบทุกบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านและสรงน้ำพระพุทธรูปที่บ้าน  จึงถือโอกาสนี้นำเรื่องการทำบ้านให้ปลอดเชื้อโรคที่อ่านจากเว็บไซต์ webmed ซึ่งมีความรู้ที่มีประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้ 1. เครื่องซักผ้าอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้ คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่า เครื่องซักผ้าเป็นที่ที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค  แต่เครื่องซักผ้าที่สกปรกอาจเป็นแหล่งที่เก็บและแพร่เชื้อโรคได้  โดยเฉพาะแบคทีเรีย และไวรัส เพราะเชื้อโรคต่างๆ จากการซักผ้านั้นสามารถตกค้างอยู่ตามซอกมุม และส่วนต่างๆ ของเครื่องซักผ้า  นอกจากนี้ การซักผ้า ยังทำให้เครื่องเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา  จึงเป็นที่เพาะเชื้อราได้เป็นอย่างดี ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าสัปดาห์ละครั้ง ด้วยการใช้น้ำยาฟอกขาวที่ใช้ฟอกขาวผ้า  1 ถ้วย ใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า แล้วก็เปิดเครื่องซักผ้าให้ทำงานตามปกติโดยไม่ต้องใส่เสื้อผ้า  แค่นี้ก็จะทำให้เครื่องซักผ้าสะอาดได้  2. ทำความสะอาดจุดที่มือสัมผัสมากหรือบ่อยๆ บริเวณที่มือจับหรือสัมผัส จะเป็นแหล่งที่เกิดเชื้อโรคได้ง่าย  ได้แก่ โทรศัพท์ รีโมทโทรทัศน์ รีโมทเครื่องปรับอากาศ  โต๊ะกาแฟทั้งที่บ้านและที่ทำงาน  ลูกบิดประตู  ราวเกาะ  สวิตซ์ไฟ และอื่นๆ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาด  น้ำยาล้างจาน  แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด  3. แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค  โทรศัพท์มือถือบริเวณเหล่านี้เป็นบริเวณที่เราใช้งาน ใช้มือสัมผัสมากที่สุด  จึงควรทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ  หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดเช็ด  หรือจะใช้ลูกยางบีบลมไล่ฝุ่นแล้วเช็ดด้วยผ้าอีกที  และต้องเช็ดหน้าจอให้สะอาด เพราะเดี๋ยวนี้โทรศัพท์เป็นระบบสัมผัส ที่สำคัญ เมื่อมีใครยืมใช้อุปกรณ์เหล่านี้ของเรา  ต้องทำความสะอาดทุกครั้งหลังจากถูกยืมไปใช้  4. ทำความสะอาดอ่างล้างจาน อ่างล้างจานเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้มากในบ้าน  จึงควรทำความสะอาดอ่างล้างจานทุกครั้งหลังการใช้งาน  ที่สำคัญ ฟองน้ำและวัสดุทำความสะอาดจานชามนั้นจะสะสมเชื้อโรคและไขมันต่างๆ ไว้ในฟองน้ำ จึงต้องทำความสะอาดทุกวันหลังเลิกใช้งาน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีโคไล และซัลโมเนลลา การทำความสะอาดฟองน้ำล้างจานทำได้โดยล้างด้วยสบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อทุกวัน  หรือแช่ฟองน้ำให้เปียกแล้วนำเข้าในไมโครเวฟ เปิดไมโครเวฟนาน 2 นาที  น้ำจะร้อนเป็นการฆ่าเชื้อและทำความสะอาดไปพร้อมๆ กัน  ถ้าไม่มีไมโครเวฟ ก็ต้มน้ำให้เดือด แล้วแช่ฟองน้ำด้วยน้ำร้อน ทิ้งไว้จนเย็นแล้วบีบเอาน้ำออก 5. กดชักโครกให้ถูกวิธี คนส่วนใหญ่เมื่อกดชักโครกมักจะไม่ปิดฝาครอบ  การไม่ปิดฝาครอบเวลากดน้ำ  จะเป็นการทำให้เกิดการกระจายของอุจจาระ ปัสสาวะจากโถส้วมฟุ้งกระจายไปทั่วในห้องน้ำได้  ควรทำความสะอาดโถส้วมทุกสัปดาห์  6. การทำน้ำยาทำความสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำได้ง่ายๆ และราคาถูก  โดย ใช้ น้ำส้มสายชู 1 ส่วน  น้ำเปล่า  9  ส่วนผสมกัน  แล้วบรรจุในขวดที่ฉีดน้ำเป็นฝอย    ใช้ฉีดตามอ่างล้างหน้าหน้า ชักโครก ห้องน้ำ  อ่างล้างจาน  และฉีดได้ทุกที่ที่ต้องการทำความสะอาด  น้ำยานี้จะช่วยชะล้างไขมันได้ดีอีกด้วย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 หินสี: เชื่อก็ต้องรู้ ดูก็ให้เป็น (ตอนที่ 1)

สาวน้อยสาวใหญ่เมื่อมีแฟชั่นเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ ฯลฯ ก็ไม่วายจะต้องหามาใช้เพื่อเกาะกระแสตามๆ กันไป ความจริงแล้วสาวๆ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องประดับร่างกาย เพื่อเสริมสร้างความสวยงามนั่นเอง ซึ่งถ้านับรองจากโทรศัพท์ถือมือแล้วก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ 6 ของบรรดาสาวๆ เลยทีเดียว สำหรับเทรนด์แรงประจำปี 2557 จนต่อเนื่องมาปีนี้ คือ “หินสี”  ที่มีผู้คนมากมายหลากหลายวงการพากันหามาใส่กัน อาจมีอิทธิพลมาจาก “ความเชื่อ” ในการสวมใส่เพื่อเสริมดวง นำโชค แก้ปีชง ตามที่แต่ละคนได้หาข้อมูลมา ฉลาดซื้อขอเกาะกระแสเรื่องนี้ด้วย แต่จะเสนอมุมมองที่ว่า หินสี: เชื่อก็ต้องรู้ ดูก็ให้เป็น   ความรู้เกี่ยวกับหิน หินสี ที่เราหามาใส่กันนั้นมันมาจากไหน หิน(rock)  คือ มวลสารที่เป็นของแข็ง ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเปลือกโลกอย่างหนึ่ง จะแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะการเกิด ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร ซึ่งหินทั้ง 3 ชนิดนี้ อาจเปลี่ยนแปลง จากหินชนิดหนึ่งไปเป็นหินอีกชนิดหนึ่งได้ หินทุกชนิดต้องประกอบด้วยแร่ อาจมีแร่เพียงชนิดเดียว เรียกว่า หินแร่เดี่ยว (monomineralic rock) เช่น หินปูน ประกอบด้วยแร่แคลไซต์ (calcite) หินควอร์ตไซต์ (quartzite) ประกอบด้วยแร่ควอตซ์ (quartz) แต่หินส่วนมาก มักประกอบด้วยแร่มากกว่าหนึ่งชนิดดังกล่าว เรียกว่า หินแร่ประสม (polymineralic rock) เราจึงเห็นหินมีสีสันต่างๆ ตามแร่ธาตุที่แตกต่างกัน และหินสีที่สวยๆ คุณภาพดีก็คือ “อัญมณี” ที่มีราคานั่นเอง   “จุดกำเนิดหินสีมีทั้งแบบที่เป็น “หิน” และแบบที่เป็น “แร่” ซึ่งหินสีธรรมชาติทั้งหมดล้วนเกิดจากจุดกำเนิดเดียวกัน คือกระบวนการทางธรณีวิทยาใต้ชั้นเปลือกโลก แหล่งเก็บรวมรวมแร่ธาตุที่จะปะทุตัวขึ้นมาในรูปแบบลาวาของภูเขาไฟ หรือรูปแบบอื่นๆ ก่อนจะแข็งตัวกลายเป็นหินอัคนี ที่จะสามารถแตกกลุ่มหินออกได้อีกเป็น 2 แบบคือ “หินชั้น” ที่เกิดจากทับถมกันของหินประเภทต่างๆ เป็นเวลานานจนเกาะตัวเป็นเนื้อเดียวกัน และหินแปรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหินอัคนีหรือหินชั้นแบบเดิม จากอุณหภูมิและความดันสูงๆ จนเกิดเป็นหินชนิดใหม่ที่มีโครงสร้างทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหินสีในปัจจุบันสามารถเป็นได้ทั้งหินอัคนี หินชั้น และหินแปร” (รศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักธรณีวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านหินและแร่) หินสีที่ก่อกำเนิดจากหินอัคนี พบได้จำพวกแก้วธรรมชาติ ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่อง สปิเนล ควอตซ์ แบริล คริสโซแบริล เพอริโด ทัวร์มาลีน อาความารีน โทปาซ เพทาย(เซอร์คอน) หินสีที่ก่อกำเนิดจากหินแปร พบได้จำพวก ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่อง สปิเนล ควอตซ์โกเมนชนิดต่างๆ แบริล คริสโซแบริล เพอริโด ทัวร์มาลีน หยกเจดไดท์ หยกเนฟไฟรต์ ลาปิสลาซูลี ไอโอไลท์ ซอยไซท์ หินสีที่ก่อกำเนิดจากหินชั้น(หรือหินตะกอน) พบได้จำพวก ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่องควอตซ์ สเปสซาร์ไทต์(โกเมนสีส้ม) แบริล คริสโซแบริล ทัวร์มาลีน โทปาซ สปอดูมีน อะพาไทต์ มรกต หินสีที่ก่อกำเนิดจากน้ำบนผิวโลก ได้แก่ โอปอ เทอร์คอยซ์ มาลาไคท์ โรโดโครไซท์ อะมีทิสต์ อาเกต   ความต่างของอัญมณีกับหินสี อัญมณีส่วนใหญ่เป็นแร่ เราจึงสามารถเรียนรู้ และเข้าใจถึงโครงสร้าง และคุณสมบัติในด้านต่างๆ ของอัญมณีได้อย่างค่อนข้างสะดวก แร่ทุกชนิดจะจัดแบ่งแยกจากกันได้ โดยลักษณะโครงสร้างทางผลึก และส่วนประกอบทางเคมี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก เนื่องจากว่าจะไม่มีแร่ หรือ อัญมณี 2 ชนิดใด ที่มีลักษณะโครงสร้างทางผลึกและองค์ประกอบทางเคมีที่เหมือนกันทุกประการ คือ อาจมีความแตกต่าง ในคุณสมบัติทางกายภาพ ทางแสง และทางเคมี ดังนั้นจึงสามารถใช้ความแตกต่างในคุณสมบัติดังกล่าว มาช่วยในการตรวจจำแนกชนิดและคุณค่าราคาของอัญมณีต่างๆ ได้ แตกต่างจาก “หินสี”  ที่มีความไม่แน่นอนในส่วนประกอบ จึงจัดให้เป็น “ของคุณภาพต่ำ” หรือ “อัญมณีคุณภาพต่ำ”  ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพลอยแต่เป็นพลอยแฟชั่น ที่ไม่มีคุณค่าทางการลงทุนเหมือน เพชร หรือพลอยน้ำดี  เพราะหินสีส่วนมากจะมีเนื้อขุ่นและมีมลทินอยู่ภายใน ทำให้หินสีมีราคาถูกมาก(ย้ำถูกมาก) เมื่อเทียบกับอัญมณีชนิดอื่นๆ   ในตอนถัดไป เราจะมาต่อกันด้วยเรื่อง “ความเชื่อ” และ “การเลือก” หินสีแบบคนฉลาดซื้อกันนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >