ฉบับที่ 174 คอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า บนมิติความเหลื่อมล้ำ

ภายใต้การเร่งรัดของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้รถไฟฟ้าทั้ง 10 สายแล้วเสร็จภายในปี 2562 ลองมโนถึงวันที่โครงข่ายรถไฟฟ้าแผ่คลุมทั่วกรุงเทพ ชีวิตคนเมืองน่าจะสะดวกสบายกว่านี้ ไม่ต้องทุกข์ทนกับสภาพการจราจรอันเจ็บปวด มันเป็นภาพดีๆ ในอนาคตที่โครงสร้างพื้นฐานมอบให้เรา    ทว่า ยังมีอีกด้านของเหรียญที่ไม่ถูกพูดถึง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันไม่ได้กระทบโดยตรงต่อปัจเจกในเวลาอันสั้น แต่มีแนวโน้มจะหมักหมมเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่บ่มเพาะความเหลื่อมล้ำและปัญหาด้านผังเมืองในอีกหลายปีข้างหน้า เรากำลังพูดถึงการกระจุกตัวของที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าและการผุดคอนโดมิเนียมอย่างแทบจะไร้การควบคุม ซึ่งวันนี้เราเริ่มเห็นบ้างแล้วตามแนวรถไฟฟ้าทั้งเส้นเก่า เส้นใหม่ และเส้นที่กำลังจะสร้าง---------------------------------------------------------------------เส้นทางรถไฟฟ้า 10 สาย1.ชานเมืองสายสีแดงเข้ม เส้นทางหัวหมาก-บางซื่อ-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต2.ชานเมืองสายสีแดงอ่อน เส้นทางตลิ่งชัน-บางซื่อ-หัวหมาก3.ส่วนต่อขยายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เส้นทางพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง4.สายสีม่วง เส้นทางบางใหญ่-บางซื่อ5.สายสีเขียว เส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และแบริ่ง-สมุทรปราการ6.สายสีน้ำเงิน เส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค7.สายสีส้ม เส้นทางศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี8.สายสีชมพู เส้นทางแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี9.สายสีเหลือง เส้นทางลาดพร้าว-สำโรง10.สายสีเขียวเข้ม เส้นทางยศเส-สนามกีฬาฯ-สะพานตากสิน-บางหว้า---------------------------------------------------------------------รถไฟฟ้ามา ที่ดินราคาพุ่ง    จากการศึกษาของดวงมณี เลาวกุล และเอื้อมพร พิชัยสนิธ ในปี 2551 พบว่า พื้นที่รวมผู้ถือครองที่ดินเนื้อที่มากที่สุด 50 อันดับแรกในกรุงเทพฯ คือ 41,509.67 ไร่ ขณะที่พื้นที่รวมผู้ถือครองที่ดินเนื้อที่น้อยที่สุด 50 อันดับสุดท้ายมีเพียง 0.32 ไร่ เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนการถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับแรกต่อ 50 อันดับสุดท้าย ช่องว่างนี้เท่ากับ 129,717.72 ไร่ แม้ตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขปี 2551 แต่ในภาวะที่ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขข้างต้นน่าจะยังไม่ล้าสมัย     ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ถีบตัวสูงขึ้นอย่างมหาศาลคือการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าและปริมาณที่ดินในเขตเมืองมีน้อยลง ยกตัวอย่างย่านรัตนาธิเบศร์ ปัจจุบันราคาที่ดินตารางวาละประมาณ 2.5-3 แสนบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ประมาณร้อยละ 20 แต่ถ้าเทียบย้อนหลังไป 3 ปี พบว่าราคาขยับสูงขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 100-120การสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2558 ของ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ซึ่งมี ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นประธานกรรมการบริหาร พบว่า ในรอบ 16 ปี ตั้งแต่ปี 2541-2557 ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 84 แต่ในเขตชั้นในกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 158 เนื่องจากเขตใจกลางเมืองมีระบบขนส่งมวลชน ส่วนเขตชั้นนอกเพิ่มขึ้นร้อยละ 69-89 ขณะที่ในรอบ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2557 ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 55 ทำเลที่ราคาที่ดินเพิ่มสูงสูงสุดยังคงเป็นเขตชั้นใน เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.8 เขตชั้นนอกเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.9-49.9 โดยเฉพาะในศูนย์ธุรกิจ (CBD: Central Business District) ปรับตัวสูงสุดถึงร้อยละ 59.5-92.2ส่วนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา พบว่า ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าปรับเพิ่มร้อยละ 3.5 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 ส่วนต่อขยาย อ่อนนุช-แบริ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 ส่วนต่อขยายตากสิน-บางหว้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 ส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0ส่วนราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าใต้ดินหรือ MRT ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 แนวแอร์พอร์ต ลิงค์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 รถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 และสายหัวลำโพง-บางแค เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 โดยราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าที่มีอัตราการเพิ่มต่ำสุดคือสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7    ถามว่า ราคาที่ดินบริเวณใด เพิ่มขึ้นมากที่สุดในการสำรวจของ AREA ครั้งนี้ คำตอบคือที่ดินบริเวณรถไฟฟ้าสยาม ชิดลม และเพลินจิต คิดเป็นตารางวาละ 1.75 ล้านบาท หรือไร่ละ 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่ตารางวาละ 1.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 ทั้งยังคาดการณ์ว่า สิ้นปี 2558 ราคาที่ดินในบริเวณนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.9-2.0 ล้านบาท---------------------------------------------------------------------จำนวนคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าข้อมูลจาก TerraBKK Research สำรวจคอนโดมิเนียมตามแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2010-2015 และกำลังเปิดขายในปัจจุบัน มีดังนี้ส่วนต่อขยายสายสีเขียวหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จำนวน 12 โครงการ 4,253 ยูนิต ช่วงราคา 50,500-91,500 บาท/ตร.ม.แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว กรุงธนบุรี-บางหว้า จำนวน 8 โครงการ 4,958 ยูนิต ช่วงราคาตั้งแต่ 61,000-28,000 บาท/ตร.ม. แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว บางจาก-แบริ่ง จำนวน 21 โครงการ 7,353 ยูนิต ช่วงราคาตั้งแต่ 60,000-127,500 บาท/ตร.ม.แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี จำนวน 17 โครงการ 7,943 ยูนิต ช่วงราคาตั้งแต่ 43,000-72,000 บาท/ตร.ม.ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค จำนวน 20 โครงการ 16,857 ยูนิต ช่วงราคาตั้งแต่ 46,000-125,000 บาท/ตร.ม.สายสีม่วง เตาปูน–บางใหญ่ จำนวน 42 โครงการ 34,373 ยูนิต ช่วงราคาตั้งแต่ 45,000-85,000 บาท/ตร.ม.    ขณะที่ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ (14 พฤษภาคม 2558) รายงานจำนวนโครงการตั้งแต่ช่วงแคราย-หลักสี่ พบจำนวนโครงการดังนี้       บริเวณแยกแคราย 4 โครงการ ได้แก่ เดอะ พาร์คแลนด์ 635 ยูนิต สร้างเสร็จและขายหมดแล้ว, ศุภาลัย ปาร์ค แคราย-งามวงศ์วาน 697 ยูนิต, เดอะ ไพรเวซี่ ติวานนท์ 156 ยูนิต และศุภาลัย วิสต้า 404 ยูนิตบริเวณแจ้งวัฒนะ 8 โครงการ ได้แก่ โครงการฮอลล์มาร์ค 427 ยูนิต, แอสโทร 484 ยูนิต, เดอะซี้ด 210 ยูนิต, เดอะ เบส 2 อาคาร 1,231 ยูนิต, โครงการกรีเน่ 376 ยูนิต, เรียล 837 ยูนิต, ศุภาลัย ลอฟท์ 435 ยูนิต และศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท 752 ยูนิตโครงการใกล้ศูนย์ราชการ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการมิกซ์ทาวน์ 38 ยูนิต, เรสต้า แจ้งวัฒนะ เฟส 1 80 ยูนิต เฟส 2 78 ยูนิต และรีเจนท์ โฮม รวม 1,358 ยูนิต---------------------------------------------------------------------อนาคตจะเห็นคอนโดฯ ตารางวาละ 3 แสนบาทแน่นอนว่า ราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นย่อมส่งผลกระทบลูกโซ่ต่อราคาคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า ยิ่งใกล้สถานีมากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งขยับสูงขึ้น เช่น คอนโดมิเนียม 2 แห่งที่กำลังก่อสร้างใกล้สถานีรถไฟฟ้าสะพานควายอย่าง The Signature และ The Editor ของพฤกษา แห่งแรกราคาเริ่มต้นที่ 4.9 ล้านบาท ส่วนแห่งที่ 2 ราคาเริ่มต้นที่ 4.29 ล้านบาท เรียกว่าเป็นราคาที่ซื้อบ้านเดี่ยวในเขตชานเมืองและต่างจังหวัดได้สบายๆผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งยืนยันตรงกันในเรื่องนี้ว่า โครงข่ายรถไฟฟ้ามีส่วนสำคัญทำให้ที่ดินที่รถไฟฟ้าผ่านขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าราคาประเมินของราชการ บางแห่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว ยิ่งถ้าเป็นที่ดินตามเส้นสุขุมวิทราคาที่ดินจะปรับสูงกว่าบริเวณอื่น 3-4 เท่า ซึ่งการที่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมได้ที่ดินมาในราคาสูง จึงผลักให้ราคาขายคอนโดมิเนียมสูงตามเพื่อให้คุ้มกับต้นทุนราคาที่ดินเฉลี่ยแล้วราคาที่ดินจะปรับขึ้นปีละประมาณร้อยละ 8-20 โดยราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 9.4 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นจาก 8.8 หมื่นบาทต่อตารางเมตรในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และยังคาดว่าในอนาคต คนกรุงเทพฯ จะได้เห็นคอนโดมิเนียมราคา 3 แสนบาทต่อตารางเมตรอย่างเลี่ยงไม่ได้รถไฟฟ้ากับการจัดการที่ดิน    การเกิดขึ้นของโครงข่ายรถไฟฟ้าผูกโยงกับการพุ่งขึ้นของราคาที่ดินและราคาคอนโดมิเนียม หากมองในมิติเศรษฐกิจ มันก็ดูสมเหตุสมผลตามกลไกตลาดและกฎอุปสงค์-อุปทาน ใครมีกำลังซื้อย่อมสามารถเข้าถึงที่พักอาศัยตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งมีความสะดวกสบายในการเดินทางได้ ...ถือเป็นเรื่องปกติ    แต่จริงๆ แล้วไม่ปกติ ไม่ปกติตรงที่ โดยทั่วไปแล้ว การสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างรถไฟฟ้าในเมืองจะต้องคิดควบคู่ไปกับการจัดการที่ดิน เนื่องจากรถไฟฟ้าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน“บางครั้งการจัดการที่ดินที่ดีอาจไม่ต้องใช้รถไฟฟ้าก็ได้ หรือทำให้รถไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเปิดพื้นที่ให้รถไฟฟ้าวิ่งเข้าไปจุดหนึ่ง แล้วจัดรูปแบบการใช้ที่ดินให้ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่มองแต่จะเอารถไฟฟ้าถมลงไปที่ปากซอยหรือมองว่าที่ดินเป็นเรื่องของเอกชน” ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ และอาจารย์พิเศษ ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวหลักการประการหนึ่งของการจัดการที่ดินก็เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้ระหว่างเอกชนและชุมชน/สังคม เช่น คนที่รถไฟฟ้าผ่านที่ดินของตน ทำให้มูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้น ดังนั้น ส่วนหนึ่งของมูลค่าที่ได้เพิ่มขึ้นจะต้องถูกจัดสรรคืนให้แก่สังคม อาจจะเป็นพื้นที่บางส่วน ผศ.ดร.พิชญ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมสังคมไทยจึงคิดเรื่องการแบ่งปันที่ดินแค่ระหว่างคนจนแบ่งที่ดินกับราชการ แต่ไม่มีคนรวยในสมการนี้ ทั้งที่ถ้าพื้นที่หนึ่งแปลงได้กำไรมากมหาศาลจากรถไฟฟ้า ก็ควรเวนคืนครึ่งแปลงมาสร้างประโยชน์ให้คนอื่น เพราะพื้นที่ครึ่งแปลงเดิมก็ได้ประโยชน์อยู่แล้วทำไมต้องสนใจเรื่องนี้ทำไมเราต้องสนใจเรื่องรถไฟฟ้ากับการจัดการที่ดิน ทำไมเราต้องสนใจว่าราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าจะสูงขึ้นหรือไม่ ทำไมราคาคอนโดมิเนียมที่สูงถึงเกี่ยวข้องกับเรา มันเกี่ยวข้องกับเราๆ ที่เป็นผู้บริโภคอย่างไรในภาพเล็ก คอนโดมิเนียมที่ผุดขึ้นอย่างไร้การควบคุมย่อมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในละแวกนั้นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการถ่ายเทอากาศและความร้อน กระทบต่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและประชาชนใกล้เคียงหากเกิดเหตุไฟไหม้ แต่เพราะที่ดินมีราคาแพง ผู้ประกอบการจึงพยายามใช้สอยที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งอาจหมายถึงการละเลยพื้นที่สำหรับให้รถดับเพลิงเข้าถึงจุดเกิดเหตุ ในที่นี้หมายถึงทั้งตัวคอนโดมิเนียมเองและที่อยู่อาศัยใกล้เคียงในเชิงมหภาค รถไฟฟ้ากำลังผลักไสผู้คนที่เป็นฟันเฟืองของเมืองจำนวนมากให้ออกห่างจากเมืองยิ่งขึ้น และหากคุณเป็นผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลาง การเข้าถึงที่พักอาศัยตามแนวรถไฟฟ้าก็คงเป็นสิ่งที่เกินเอื้อม และนี่คือความเหลื่อมล้ำครั้งแรกที่รถไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีก่อนในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 วัตถุประสงค์หลักเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ณ เวลานั้น การจัดการที่ดินยังเป็นประเด็นที่ไม่มีใครกล่าวถึง แต่ผลของรถไฟฟ้าสายแรกเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันผศ.ดร.พิชญ์ อธิบายว่า ส่วนตัวแล้วไม่แน่ใจว่าภาครัฐไม่มีการวางแผนจัดการที่ดินหรือมีมุมมองในการวางแผนจัดการที่ดินในแบบที่ภาครัฐเข้าใจ แต่อาจไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสังคม เมื่อขาดกลไกการจัดการที่ดินที่ดีพอจึงทำให้ผลประโยชน์ไม่ตกแก่สังคมทั้งหมด โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรายได้น้อยที่เป็นจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนเมือง ขณะที่มิติการแก้ไขปัญหาจราจร การไม่จัดรูปที่ดิน ยังส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของกิจกรรมในสถานีสุดท้าย“คำถามคือคนที่มีรายได้น้อยจะสามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าได้มากน้อยแค่ไหน เขายังจะต้องต่อไปอีกกี่ต่อ เช่น รถเมล์ รถมอร์เตอร์ไซค์ รถสองแถว ที่อยู่อาศัยเดิมที่เขาเคยอยู่ราคาค่าเช่าอาจเพิ่มขึ้น จนเขาต้องขยับต่อไปอีก ส่วนพวกที่มีเงินก็ซื้อคอนโดฯ ปล่อยให้เช่า มีเก็บภาษีเขาไหม อันนี้ไม่นับการที่ขาดการวางแผนชุมชนที่ชัดเจนว่าจำนวนคอนโดฯ มากมายที่โถมถล่มลงมาในซอยบ้านแล้วมาแย่งพื้นที่ถนน พื้นที่กินข้าว หรือกระทั่งมาเปลี่ยนรูปแบการใช้ที่ดินเดิม มันจะส่งผลกระทบให้ชุมชนเดิมอย่างไร”กล่าวคือผู้ที่เข้าถึงคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าเป็นชนชั้นกลางระดับบนขึ้นไปที่มีรายได้ค่อนข้างสูง มีความสามารถผ่อนจ่ายได้ และเมื่อที่พักอาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้ามีราคาสูง ราคาค่าหอพักย่อมถีบตัวสูงตาม ภาระจึงตกอยู่บนบ่าของผู้ที่มีรายได้น้อย หากต้องการหอพักราคาย่อมเยาก็ต้องถอยห่างจากแนวรถไฟฟ้าออกไป กลายเป็นว่าจุดมุ่งหมายของรถไฟฟ้าที่ต้องการเป็นระบบขนส่งแก่คนทุกกลุ่ม ผู้ที่มีฐานะดีกลับได้ประโยชน์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงที่พักอาศัยใกล้แหล่งงานในเมืองไม่ได้ พวกเขาก็ต้องขยับออกไปไกลขึ้น ค่าเดินทางสูงขึ้น ทั้งที่คนกลุ่มนี้คือกลุ่มแรงงานที่ขับเคลื่อนเมือง-ผู้ใช้แรงงาน, แม่บ้าน, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, พ่อค้าริมทาง เมื่อจักรกลสำคัญของเมืองเหล่านี้ถูกกระทบ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองคงไม่สามารถเลี่ยงผลพวงที่ตามมาได้ นี้จึงเป็นความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่เกิดจากการขาดการวางแผนการจัดการที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า แต่ส่งผลแผ่คลุมคนเมืองส่วนใหญ่ สิ่งที่พอทำได้กับอนาคตรถไฟฟ้า 10 สายถึงตรงนี้ บางคนอาจคิดว่าการจัดการที่ดินให้สอดคล้องกับแนวรถไฟฟ้าคงเป็นไปไม่ได้ในมหานครอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งไม่จริง กรณีสิงคโปร์ถือเป็นต้นแบบความสำเร็จของการจัดการที่ดินกับระบบขนส่ง ในสิงคโปร์เราจะไม่เห็นที่พักอาศัยผุดเป็นดอกเห็ดตามแนวรถไฟฟ้า แต่ที่พักอาศัยจะขยับออกห่างจากแนวรถไฟฟ้าในระยะทางที่พอเดินถึง แต่อยู่ใกล้แนวรถเมล์มากกว่า ส่วนบริเวณที่มีรถไฟฟ้าก็มักจะเป็นจุดกระจายคนและท่ารถ“คำถามก็คือคุณจะวัดการประสบความสำเร็จจากอะไร? จากการที่คนมีบ้านอยู่ เข้าถึงรถไฟฟ้าได้ และมีทางเลือกในการจราจร หรือจะวัดจากการที่มีโครงการขึ้นมากมาย มีการเก็งกำไร และมีคนที่มีบ้านอยู่แล้วปล่อยคอนโดให้คนอื่นเช่า? คุณจะวัดความสำเร็จจากคนที่มีอาหารการกินที่ดีใกล้บ้าน หรือจะวัดจากโฆษณาตลกร้ายของคอนโดฯ หรูระยับที่ไม่เคยบอกเลยว่าพวกนี้หาข้าวหาปลากินที่ไหน ถ้าไม่ลงมาเบียดกับคนอื่นๆ บนถนนอยู่ดี” ผศ.ดร.พิชญ์ กล่าวอนาคตรถไฟฟ้า 10 สายในกรุงเทพฯ จึงไม่ได้มีภาพสวยงามของความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางเพียงอย่างเดียว ผศ.ดร.พิชญ์ ประเมินสถานการณ์ข้างหน้าว่า คนจะต้องออกไปอยู่ไกลขึ้นเรื่อยๆ เพราะสู้ราคาไม่ได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่สถานีสุดท้ายของรถไฟฟ้าแต่ละเส้นทางจะมีคนกระจุกตัวเพื่อต่อรถ ส่วนกรณีคนที่ต้องการพักอาศัยในบ้านเดี่ยวก็จะต้องอยู่ออกไปไกลขึ้นเช่นกัน ทำให้ต้องเลือกขับรถเข้ามาในเมืองเหมือนเดิม อีกคำถามที่ ผศ.ดร.พิชญ์ ชวนให้ขบคิดต่อคือ ในพื้นที่ที่มีแต่คอนโดมิเนียมเหล่านั้น มีโรงเรียน โรงพยาบาล และสิ่งอำนาวยความสะดวกเพียงพอหรือไม่ และใครจะรับผิดชอบให้มีสวนสาธารณะส่วนประเด็นระยะยาว คือคอนโดมิเนียมเหล่านี้มีวันหมดอายุเมื่อใด เนื่องจากคอนโดมิเนียมไม่สามารถทุบได้ตามอำเภอใจเพราะมีเจ้าของร่วม หากไม่มีการเตรียมรับมือในประเด็นนี้ ในอนาคตยาวๆ คอนโดมิเนียมสวยงามในวันนี้อาจเป็นแหล่งเสื่อมโทรมลอยฟ้าทว่า ในสถานการณ์ที่แผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าเดินหน้าไปแล้วโดยปราศจากแนวทางการจัดการที่ดินเช่นนี้ ยังพอมีหนทางใดที่จะบรรเทาปัญหาได้บ้าง ผศ.ดร.พิชญ์ แสดงทัศนะว่า ต้องเพิ่มอำนาจให้เขตต่างๆ เขตต้องมีอำนาจการจัดวางผังในระดับเขตโดยประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เพิ่มข้อบังคับการจัดหาพื้นที่สาธารณะให้เขตมากขึ้น“เขตในวันนี้ โครงสร้างขาดการมีส่วนร่วม เพราะผู้อำนวยการเขตเป็นข้าราชการแต่งตั้งมาจากส่วนกลางของ กทม. สมาชิกสภาเขตไม่มีอำนาจในการจัดทำงบประมาณ โครงการต่างๆ นอกจากจะต้องรับผิดชอบในพื้นที่ของตน จะต้องรับผิดชอบต่อส่วนรวมคือเขตด้วย จะสนใจแค่ค่าส่วนกลางของโครงการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเงินส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบค่าส่วนกลางของเขต เพราะคุณเข้ามาเปลี่ยนสภาพที่ดินอย่างมากมาย ทำให้คนที่อยู่เดิมเดือดร้อน“หรือเราอาจต้องจัดรูปแบบใหม่ เช่น รถไฟฟ้าวิ่งเข้าไปในพื้นที่ราชการขนาดใหญ่ที่แปรสภาพเป็นที่พักอาศัยให้เช่า เป็นต้น และจากนั้นเราจะสามารถออกแบบชุมชนทุกอย่างได้ สิ่งนี้จะทำให้เรามองเรื่องการแก้ปัญหาการใช้ที่ดินในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่มองแค่ว่าใครจะโชคดีที่มีที่ติดรถไฟฟ้า มาสู่การเอาที่ติดรถไฟฟ้ามาเวนคืน แล้วแบ่งสรรประโยชน์ เช่น เป็นทั้งที่พักอาศัยและแหล่งธุรกิจ เอาผลกำไรจากธุรกิจมารองรับส่วนของที่พักอาศัย”ขณะเดียวกัน การจัดการที่ดินจะต้องเน้นคุณภาพชีวิตของผู้คนให้มาก เช่น ถ้าโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใดเพิ่มความร้อนหรือเพิ่มมลพิษให้กับพื้นที่ โครงการนั้นก็จะต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ด้าน รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า การเก็บภาษีที่ดินรอบสถานีรถไฟฟ้าจะช่วยลดการเก็งกำไร และทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินมีประสิทธิภาพมากขึ้น และควรลดข้อกำหนดเกี่ยวกับที่จอดรถที่จะต้องมีสำหรับอาคารที่ก่อสร้างใกล้สถานี เพราะว่าในปัจจุบันนี้ แม้อาคารจะอยู่ติดสถานีรถฟ้า แต่ก็ยังต้องสร้างที่จอดรถเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่จำเป็นและทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงโดยใช้เหตุ ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงเกินไป อีกทั้งทำให้คนที่ไม่ใช้รถแต่ต้องการซื้อทรัพย์สินใกล้สถานีต้องแบกรับต้นทุนในส่วนนี้โดยไม่จำเป็น และกล่าวเสริมว่า“โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้สถานีบางส่วนกลับขับรถยนต์ ไม่ได้ใช้รถไฟฟ้า หรือพวกนักเก็งกำไร ซื้อแล้วไม่ได้อยู่ เป็นการเสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากที่พักอาศัยเหล่านั้น ขณะที่คนจนที่ต้องการใช้รถไฟฟ้าก็ไม่สามารถซื้อได้ รัฐจึงควรแทรกแซงโดยสร้างที่พักให้คนจน อาจไม่ต้องใกล้รถไฟฟ้ามาก เช่น ในรัศมี 1 กิโลเมตรก็พอ ไม่ต้องมีที่จอดรถ ทำทางเดินเท้าหรือจักรยานเชื่อมต่อให้ดี”ยังมีประเด็นน่าสนใจที่ ผศ.ดร.พิชญ์ ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าด้วยเทคโนโลยีและอำนาจ กล่าวคือในนิวยอร์คมีพื้นที่บางส่วนที่รถไฟฟ้าเข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงได้น้อย ทำให้เป็นแหล่งที่พักอาศัยของคนที่มีรายได้ไม่สูงนัก แต่ก็รัฐก็ยังสามารถจัดรูปที่ดินได้โดยใช้รถเมล์เข้าไปรองรับการเดินทาง วิธีคิดเรื่องการขนส่งจึงไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นในเชิงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องมองว่าเรื่องการจัดการเมือง การจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจเช่นเดียวกับการจราจร รถเมล์ควรต้องไปก่อนรถยนตร์หรือรถยนต์ต้องไปก่อนรถเมล์ รถเมล์เร็วหลายเมืองในโลกใช้รถเมล์เร็วแทนรถไฟฟ้าโดยใช้หลักการง่ายๆ ว่าใครควรไปก่อนใคร แล้วจึงกั้นเลนให้รถเมล์วิ่ง“อำนาจสำคัญกว่าเทคโนโลยีครับ เทคโนโลยีต้องรองรับอำนาจ ถ้าเราไม่จัดการอำนาจ เทคโนโลยีก็รองรับคนที่มีอำนาจเดิมนั่นแหละ”    อาจกล่าวได้ว่า ทั้งหมดนี้คือผลกระทบที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาการจราจรในเมือง โดยขาดการเชื่อมโยงกับมิติอื่นๆ –ที่ดิน คนเมือง แรงงาน การขนส่ง ฯลฯ  ผลลัพธ์ที่ได้ เมืองอาจดูทันสมัยและพัฒนา แต่ถึงที่สุดแล้ว ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนมีและไม่มีกลับไม่เคยหดแคบลงเลยในมหานครกรุงเทพฯ แห่งนี้---------------------------------------------------------------------ซื้อคอนโดฯ อย่างไรไม่เจ็บตัว    คอนโดมิเนียมเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูง มันอาจหมายถึงภาระผูกพันนานหลายสิบปี การซื้อคอนโดจึงจำเป็นยิ่งยวดที่ต้องมีสติพอๆ กับสตางค์ ไม่ว่าบริษัทที่ขายคอนโดมิเนียมให้คุณจะมีชื่อเสียงน่าเชื่อถือแค่ไหน หากคุณคิดจะซื้อคอนโดมิเนียมสักห้องเพื่ออยู่อาศัย สิ่งที่ นฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อธิบายต่อจากนี้ คุณควรทำโดยเคร่งครัดเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้บริโภคเช่นคุณ1.ประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ เป็นหัวใจสำคัญข้อแรกที่ต้องคำนึงถึง หากผ่านข้อนี้ได้จึงพิจารณาข้อต่อไป2.ตรวจสอบว่าคอนโดมิเนียมแห่งนั้นก่อสร้างหรือยัง ตรวจสถานะของผู้ประกอบการให้ชัดเจนว่ามีความมั่นคงมากพอที่จะก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรือไม่ ถ้าก่อสร้างแล้ว จะแล้วเสร็จประมาณเมื่อไหร่“ถ้าคุณซื้อคอนโดฯ ที่มีแต่ที่ดินก็มีโอกาสเสี่ยงที่คอนโดฯ อาจไม่สร้าง เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น เพราะการก่อสร้างคอนโดฯ มีกรอบกำหนดว่า การจะประกาศขายคอนโดฯ ได้ต้องผ่านการขออนุญาตก่อสร้างให้เรียบร้อย แต่ผู้ประกอบการบางรายลักไก่ขายเพื่อเอาเงินดาวน์มาสร้างบางส่วนก่อน ถ้าตรงไหนกฎหมายบอกว่าผิดก็ค่อยไปแก้ ทั้งที่ที่ดินตรงนั้นอาจสร้างไม่ได้ เพราะเป็นที่ดินที่ไม่เหมาะกับการก่อสร้างอาคารสูง”3.แบบของสัญญาที่ใช้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แบบสัญญาดังกล่าวเรียกว่า อช.22 ซึ่งจะมีการระบุรายละเอียดสำคัญและสิทธิของผู้บริโภคตามแนวทางที่กรมที่ดิน เช่น กำหนดความรับผิดของผู้ประกอบการว่า ถ้าไม่ส่งมอบตามระยะเวลา ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลิกสัญญาหรือใช้สิทธิ์เรียกค่าปรับ เป็นต้น ซึ่งถึงแม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องใช้แบบสัญญานี้ มิเช่นนั้นจะถือว่าโมฆะ ผู้บริโภคก็ควรตรวจดูให้แน่ใจ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาภายหลัง4.ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสภาพห้องก่อนรับโอน มีผู้บริโภคหลายรายที่ต้องประสบปัญหาห้องไม่ได้คุณภาพ อันเนื่องจากความเผลอเรอในจุดนี้ นฤมล แนะนำว่า ก่อนจะทำสัญญารับโอน ผู้บริโภคต้องตรวจสภาพห้องอย่างละเอียด ควรมีลิสต์รายการที่ต้องตรวจรับและช่างส่วนตัวร่วมตรวจสอบด้วย เช่น หลอดไฟสามารถใช้ได้ทุกดวงหรือไม่ ห้องน้ำมีจุดไหนชำรุดหรือเปล่า มีการติดตั้งสายดินเรียบร้อยหรือไม่ ฯลฯ หากตรวจภายในวันเดียวไม่เสร็จ ก็ต้องยอมเสียเวลาตรวจต่อวันที่ 2เมื่อพบจุดบกพร่องให้แจ้งผู้ประกอบการดำเนินซ่อมแซมแก้ไข โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจน ผู้บริโภคควรเก็บสำเนาไว้ที่ตนเอง 1 ฉบับ หากผู้ประกอบการไม่ดำเนินการแก้ไขให้เป็นที่เรียบร้อย อย่ารับโอนเด็ดขาดนฤมล อธิบายว่า ปกติแล้วการซื้อคอนโดมิเนียมจะมีการรับประกันตัวโครงสร้าง 5 ปีและส่วนควบ 2 ปี ซึ่งอายุการรับประกันจะเริ่มต้นเมื่อเกิดการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้น หากผู้บริโภครับโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จหรือรับโอนกรรมสิทธิ์โดยไม่ตรวจสภาพห้องอย่างถี่ถ้วน ผู้บริโภคอาจได้รับความเสียหายเมื่อห้องมีความชำรุดบกพร่อง กรณีที่มักเกิดขึ้นเสมอๆ คือผู้ประกอบการอ้างว่า ผู้รับยินยอมรับโอนห้องในสภาพนั้นเองหรือไม่ก็อ้างว่าความเสียหายส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคหลังจากที่เข้าอยู่อาศัยแล้วนอกจากนี้ การซ่อมแซมบางครั้งอาจยืดเยื้อเกินกว่าที่คาดไว้หรือผู้ประกอบการผัดผ่อนจนครบกำหนดการรับประกัน ถึงตอนนี้ผู้ประกอบการสามารถบอกปัดความรับผิดชอบได้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ผู้บริโภคจะกลายเป็นผู้รับภาระเอง เหตุนี้การตรวจสภาพห้องก่อนการรับโอนจึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากในการซื้อคอนโดมิเนียม“ถ้าเป็นคอนโดฯ มือสองมือสามก็ทำเหมือนกัน ไปเรียกร้องกับผู้ขายที่เป็นเจ้าของห้องเดิมให้จัดการห้องให้เรียบร้อยก่อนรับโอน แต่กรณีซื้อต่อมือสองจะแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า มันเป็นเรื่องที่สองฝ่ายจะตกลงกัน ผู้ขายอาจขายซากห้องก็ได้ ถ้าผู้ซื้อพอใจหรือต้องการตกแต่งเองก็สามารถทำได้ เป็นข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย”  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 อย่าให้ซ้ำรอยเดิม

เห็นแผนการประมูลคลื่นความถี่ 4G ของกสทช. แล้ว ปวดหัว เพราะทำท่าจะเข้าตำราเดิมในการประมูล 3G ที่ผ่านมา เพราะราคาตั้งต้นประมูลเพิ่มเพียง 0.32% ของคลื่น 3G ราคาตั้งต้นที่กำหนด 13,920 ล้านบาทต่อคลื่นความถี่ 1 ชุด (2 x 15 MHz) ของคลื่นระบบ 1800 MHz อนุญาตให้ใช้คลื่นนาน 15 ปี หรือเพียง 928 ล้านบาทต่อปี จากประมูล 3G เดิมที่ราคา 925 ล้านบาทต่อปีมากขึ้นเพียง 3 ล้านบาทต่อปีเท่านั้นเองปัญหาสำคัญในการประมูลคราวที่แล้ว คือ บริษัทประมูลคลื่นไปใช้งานในราคาต่ำ แต่ผู้บริโภคใช้บริการราคาแพงเท่าเดิม ความเร็ว 3G ต่ำไม่เร็วจริง คุณภาพบริการโดยรวมไม่ดีขึ้น ร้องเรียนยาก รอสายนาน เสาโทรคมนาคมเต็มบ้านเต็มเมือง ทั้งๆ ที่กสทช.มีกติกาให้ลดราคา 15% รับประกันความเร็วไว้ 345 กิโลบิทส์ต่อวินาที(kbps) สายร้องเรียนโทรฟรี หรือให้มีกติกาการใช้เสาโทรคมนาคมร่วมกันปัญหาราคาประมูลที่ได้จำนวน  41,625 ล้านบาท จากราคาตั้งต้น 40,500 ล้านบาท เพิ่มเพียง 2.7% เพราะมี 3 บริษัทเข้าร่วมประมูลเท่ากับจำนวนคลื่นจำนวน 3 ชุด ยังคงพอจำภาพประมูลคลื่น 3G ที่เคาะเพียง 7 ครั้งกันได้ดี ว่า บริษัทดีแทคและบริษัท ทรู ไม่ได้เคาะราคาประมูลเพิ่มเลยทำให้ได้คลื่นไปใช้ในราคาตั้งต้นที่ 13,500 ล้านบาทต่อ 15 ปี หรือราคา 900 ล้านบาทต่อปี ยกเว้นบริษัทเอไอเอส ที่เคาะเพิ่มอีก 1,225 ล้านบาท ทำให้ได้คลื่นไปในราคา 14,625 ล้านบาท หรือราคา 975 ล้านบาทต่อปีถึงแม้เที่ยวนี้ในการประมูล 4G จะมีการกำหนดกติกาสองชั้นในแต่ละคลื่น กรณีมีคนประมูลน้อยกว่าหรือเท่ากับชุดคลื่น (ใบอนุญาต) จะมีการตั้งต้นที่ราคา 100% ของราคาประเมิน แต่ถ้ามีจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลมากกว่าชุดคลื่นราคาตั้งต้นจะเริ่มที่ 70% ในคลื่น1800 MHz หรือราคาเริ่มต้นเพียง 13,920 ล้านบาทต่อ 15 ปี ซึ่งเป็นราคาที่เพิ่มเพียง 0.32 % ความคาดหวังที่ต้องการเห็นหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาตประมูลคลื่น 4 G ในครั้งนี้ ต้องกำหนดให้ครบถ้วน สมบูรณ์ บังคับได้จริง ไม่ว่าจะเป็นราคาตั้งต้นที่ประเทศได้ประโยชน์ ความเร็วที่คนหูหนวกสามารถใช้งานได้จริงปกติความเร็วในระบบ 4G จะมากกว่า 3G จำนวน 10 เท่า ความเร็วที่รับประกันควรจะเพิ่มเป็น 3.5 Mbps ไม่ใช่กำหนดไว้ 345 kbps จึงถือได้ว่าเป็นมาตรฐานที่ต่ำมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับความเร็วมาตรฐานของบริการ 4G ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้ถึง 100 Mbps รวมทั้งปัญหาเรื่องเสาโทรคมนาคมที่มีความขัดแย้งทั่วประเทศ ก็ควรกำหนดไม่ให้ตั้งในพื้นที่อ่อนไหว เช่น โรงเรียนโรงพยาบาลและชุมชนหรือหากจำเป็นก็ควรห่างไม่น้อยกว่า 400 -1,000 เมตร ส่วนราคาที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคก็ควรลดไปตามสัดส่วนของ3G อย่างเป็นระบบและควรเริ่มระบบการคิดค่าโทรศัพท์ตามการใช้งานจริงหรือไม่ปัดเศษวินาทีหากการประมูลครั้งนี้ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ให้ดีในใบอนุญาต ก็น่าจะเจอปัญหาซ้ำรอยเดิม คงต้องถามไว้ก่อนว่าใครจะรับผิดชอบ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 แกงเลียง

แกงตำรับไทยแท้ๆ ที่ทำง่าย แต่เป็นอะไรที่คนสมัยใหม่ชอบทำให้มันยาก    ดั้งเดิมเลยแกงเลียงนั้น เครื่องแกงหลักมีแค่ พริกไทย หอมแดง และกะปิ ตำพอแหลกแล้วละลายกับน้ำเดือดเป็นน้ำแกงใส่ผักริมรั้วหากินง่ายอย่าง ตำลึง ยอดฟัก บวบ หัวปลี แล้วแต่มี เมื่อผักสุกดีแล้วก็ใส่ใบแมงลักลงไป เป็นอันเสร็จ และถ้าอยากจะพิเศษให้น้ำแกงข้นขึ้นมาหน่อย ก็ตำกุ้งแห้งหรือกุ้งต้มละลายลงในน้ำแกง บางบ้านอาจใช้เนื้อปลาย่าง ซึ่งหากเป็นน้ำแกงจากเนื้อปลาก็ต้องตำกระชายตามไปเพื่อดับกลิ่นคาว แต่ธรรมดาครัวโบราณไม่นิยมนำปลาย่างมาแกงเลียงไปแกงอย่างอื่นดีกว่า     การทำแกงเลียงเดิมจะไม่ใส่ผักหลากหลายชนิดเพราะจะทำให้กลิ่นรสของผักตีกันเอง ไม่อร่อย เว้นแต่ตัวหลักคือใบแมงลักที่ขาดไม่ได้ แต่สมัยใหม่จะมีการเติมผักสารพัดชนิดเข้าไปในแกงเลียงทำให้รสชาติผิดเพี้ยนไปจากเดิม สำคัญคือมีการตำพริกขี้หนูสดใส่ไปด้วย จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็นเพราะแกงเลียงไม่ได้ต้องการความเผ็ดจัดจ้านแบบพริกขี้หนู แต่เป็นเผ็ดแบบพริกไทย ซึ่งช่วยทำให้กินผักได้ง่ายขึ้น พริกขี้หนูจะทำลิ้นรับรสเผ็ดเกินไปจนสัมผัสความอร่อยของรสแกงและรสผักไม่ได้       แกงเลียงเป็นอาหารไทยโบราณชนิดหนึ่งที่เหมาะที่จะนำมาบริโภคเป็นประจำ  เพราะทำง่าย ให้พลังงานไม่สูงมากนัก สามารถรับประทานได้บ่อย ให้ใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ตลอดจนสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 เลือดมังกร เสือ สิงห์ กระทิง แรด หงส์ : “Looking East” ไปสู่จีนาภิวัตน์

กว่าครึ่งศตวรรษผ่านไป นับแต่มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2504 (ปีเดียวกับที่ผู้ใหญ่ลีเคยตีกลองประชุม) สังคมไทยได้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากที่เคย “looking west” หรือปลาบปลื้มกับอารยธรรมความทันสมัยตามรีตตามรอยชาติตะวันตก หันมา “looking east” หรือมองอะไรใกล้ๆ ภายใต้ยุคสมัยที่ความเป็นตะวันตกถูกมองว่า อาจเป็นแค่ “ทันสมัย” แต่ “ไม่พัฒนา” จริงๆ     และคำตอบในการ “looking east” ของคนไทย ก็คือ การเปลี่ยนจากการชื่นชมลัทธิตลาดเสรีและจักรวรรดินิยมแบบตะวันตก มาสู่การเติบโตของทุนไทยที่หันไปจูบปากประสานมือกับทุนจีนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในยุคนี้ หรือที่บางคนอาจเรียกว่าเป็นการก่อร่างของกระแส “จีนาภิวัตน์” กันอย่างเข้มข้น    ความปรองดองกับกระแสจีนาภิวัตน์ เห็นได้จากประจักษ์พยานที่ทุนจีนขยายตัวเข้ามาในแทบจะทุกอณูของสังคมไทย ตั้งแต่กิจกรรมเศรษฐกิจการเมืองที่ไทยต้องอิงไปกับการขยับตัวของทุนจีน ภาคธุรกิจใหญ่น้อยที่มีทุนจีนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ประเพณีพิธีกรรมแบบจีนที่เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตผู้คน หรือแม้แต่รายการสอนภาษาทางโทรทัศน์ ที่สอนแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว ต้องฝึกพูดและ “ดูปาก” การออกสำเนียงภาษาจีนของน้องพรีเซ็นเตอร์ไปด้วย    ริ้วรอยการเติบโตของกระแสจีนาภิวัตน์แบบนี้ ก็ได้รับการขานรับเข้าสู่โลกของละครโทรทัศน์ด้วยเช่นกัน และอาจถือเป็นครั้งแรกที่หน้าประวัติศาสตร์ละครไทย มีการผลิตซีรีส์เนื้อหาของกลุ่มทุนจีนเป็นตัวละครเอกแบบยาว 5 เรื่อง 5 รส กันเลยทีเดียว    ซีรีส์ละครชุด “เลือดมังกร” 5 ตอน คือ เสือ สิงห์ กระทิง แรด และหงส์ นั้น ผูกโครงเรื่องขึ้นจากชีวิตของเพื่อนรัก 5 คน ที่มีเชื้อสายจีนหรือเติบโตมาในขนบประเพณีแบบจีนในช่วงยุคปี 2500 หรือช่วงของการเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับแรกนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ตัวละครหลักทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็น “ภรพ” จากแก๊งเสือ “ทรงกลด” แห่งแก๊งเขี้ยวสิงห์ “ธาม” จากแก๊งกระทิง “คณิน” จากแก๊งเหยี่ยวแดง และ “หงส์” จากแก๊งหงส์ดำ ก็คือตัวแทนของกลุ่มทุนจีนรุ่นใหม่ ที่เติบโตและมีบทบาททางเศรษฐกิจของไทยมาจนถึงปัจจุบัน    เมื่อเทียบกับการเข้ามาของกลุ่มชาวจีนรุ่นแรกหรือจีนโพ้นทะเล ที่เริ่มต้นด้วยทุนติดตัวอันน้อยนิดเพียงแค่ “เสื่อผืนหมอนใบ” พอสังคมไทยเข้าสู่ยุคการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย คนจีนในเจนเนอเรชั่นถัดๆ มา ได้มีการสั่งสมทุนเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นผ่านกิจการและธุรกิจภาคต่างๆ     ในแง่นี้ ละครก็ได้ชี้ให้เห็นว่า รากฐานหลักที่เป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญของชาว “เลือดมังกร” กลุ่มนี้ ก็อยู่ที่การเข้าไปจับจองธุรกิจใหญ่หลายประเภทในระบบเศรษฐกิจไทย นับตั้งแต่การถือครองสัมปทานธุรกิจรังนก การเป็นเจ้าของธุรกิจเซียงกงหรืออุตสาหกรรมยานยนต์ การยึดครองธุรกิจการค้าขายทองคำแท่ง การผูกขาดธุรกิจค้าข้าวและโรงสีข้าว และการเป็นเจ้าของกิจการโรงงิ้วและศาลเจ้าที่เยาวราช    ภายใต้การถือครองทุนและตัวอย่างกิจการใหญ่ๆ ในมือของกลุ่มชาวจีนเช่นนี้ ละครได้เซาะให้เห็นเบื้องหลังว่า อำนาจของกลุ่มทุนจีนอาจไม่ได้ดำเนินไปตามสัมมาอาชีวะเสมอไป เพราะบ่อยครั้งอำนาจดังกล่าวก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมิจฉาทิฐิ เช่น การใช้ความรุนแรง การขูดรีดเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์บนความขัดแย้งระหว่างกัน     จากคนรุ่นบุพการีของตัวละครทั้ง 5 ที่มารวมตัวกันเป็น “สมาคมเลือดมังกร” ด้านหนึ่งก็คือการผนวกผสานทุนและผลประโยชน์เอาไว้ในมือของกลุ่มตน แต่อีกด้านหนึ่ง ก็สะท้อนการได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่มีการใช้อาวุธและความรุนแรงประหัตประหารไม่ต่างจากมาเฟียหรืออั้งยี่แต่อย่างใด    แต่เมื่อมาถึงคนรุ่นลูก ละครเองก็กำลังบอกเราว่า ลึกๆ แล้วคนรุ่นหลังก็ไม่ได้เห็นพ้องกับการสั่งสมทุนที่เกิดจากวิถีการขูดรีดบนกองเลือดเท่าใดนัก ตัวละครอย่างภรพ ทรงกลด หรือคณิน ที่ขัดแย้งกับบิดาเพราะไม่อยากสืบต่อธุรกิจของสายตระกูล หรือตัวละครอย่างธามและหงส์ที่มีบาดแผลอันเนื่องมาแต่สถาบันครอบครัว สะท้อนให้เห็นแรงบีบคั้นของกลุ่มทุนจีนรุ่นใหม่ว่า เป็นภาวะจำยอมเข้าสู่อำนาจ มากกว่าจะมาจากความปรารถนาจริงๆ ของปัจเจกบุคคลเหล่านั้น    ในฟากหนึ่ง ละครก็มีมุมเล็กๆ เรื่องปมความรักของตัวละครอย่างภรพกับ “วันวิสา” ทรงกลดกับ “อาจู” ธามกับ “ย่าหยา” คณินกับ “แพน” และหงส์กับ “อาหลง” ซึ่งนั่นก็เป็น “จุดขาย” ของละครที่ต้องใช้โรมานซ์เป็นกลไกของการดำเนินเรื่องให้มีปมขัดแย้งและดึงดูดความสนใจของผู้ชม    แต่ในอีกฟากหนึ่ง การที่ตัวละครต้องเข้าไปอยู่ในสนามการแข่งขันเพื่อสร้างความจำเริญเติบโตของทุนจีนรุ่นใหม่ ก็ยังมีด้านที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธประหัตประหารไม่ต่างจากหัวหน้าแก๊งในรุ่นพ่อ แต่ทว่า “เลือดมังกร” รุ่นหลังก็พยายามสร้างความชอบธรรมขึ้นมาใหม่ว่า ไม่เพียงแต่พวกเขาและเธอจะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะหลุดพ้นไปจากอำนาจ แต่การขึ้นสู่อำนาจของคนกลุ่มนี้ก็พยายามสถาปนาโฉมหน้าใหม่จากระบอบทุนนิยมเดิมไปสู่ระบอบทุนนิยมแบบ CSR    ถึงแม้จะก่อรูปอำนาจของทุนขึ้นมาจากการใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง หรือใช้การขูดรีดอันเป็นพื้นฐานของระบอบทุนไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม แต่กลุ่มสหายทั้ง 5 คนกลุ่มนี้ก็คือ ทุน “เลือดมังกร” ที่ใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อผดุงคุณธรรม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีพื้นฐานเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินที่ให้ข้าวให้น้ำกับบรรพชนของคนเหล่านี้ตั้งแต่ยุค “เสื่อผืนหมอนใบ”    ขณะเดียวกัน การตัดสินใจขึ้นสู่อำนาจของพวกเขาก็ถูกประเมินว่า น่าจะดีเสียกว่าที่จะปล่อยให้มาเฟียในกลุ่มก๊วนและแก๊งอื่นๆ ขึ้นมามีอำนาจแทน เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวละครอย่าง “เถ้าแก่เฮ้ง” “เสี่ยเคี้ยง” “เสี่ยเล้ง” “เสี่ยบุ๊ง” และสหพรรคพวกลิ่วล้อและตัวร้ายอีกมากมาย ก็คือตัวแทนอีกปีกหนึ่งของทุนจีนที่ขาดซึ่งคุณธรรมใดๆ     ภายใต้วิถีการเติบโตของทุนจีนในกระแสจีนาภิวัตน์เยี่ยงนี้ ละคร “เลือดมังกร” ก็คือภาพสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงฉายให้เราเห็นการสั่งสมอำนาจของคนกลุ่มนี้ แต่ละครก็ยังมีนัยอีกด้านหนึ่งว่า ถึงแม้กลุ่มทุน “เลือดมังกร” รุ่นใหม่จะดำเนินชีวิตไปด้วยอำนาจเศรษฐกิจที่สั่งสมอยู่ในมือ แต่นั่นก็เป็นอำนาจที่ “ฟอกขาว” ไว้ด้วยสำนึกแห่งความรับผิดชอบและคุณธรรมแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในระบอบเศรษฐกิจยุคใดสมัยใด                                 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 สแกนแผ่นเอกสารเป็นไฟล์ด้วยมือถือ

ตึกตึก ใจเต้นรัวๆ นั่งมองผ่านกระจกเห็นผู้คนเดินขวักไขว่  “บางพลัดขึ้นเลย” ได้ยินเสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกน จึงหันไปดู พร้อมกับถอนหายใจ  คิดในใจ เมื่อไรจะออกสักทีค้า  ฉันรีบบบบบ ผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะคะ ไม่ใช่นิยายที่ไหนค่ะ เป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนประสบมาโดยตรง ในขณะที่รีบร้อนต้องการที่จะให้ถึงที่ทำงานอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะงานเข้าค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าก่อนหน้านั้นมีโทรศัพท์สายด่วนโทรมาให้ส่งเอกสารสำคัญภายในครึ่งชั่วโมงไปยังเมลหนึ่ง จะให้น้องที่อยู่ที่ทำงานส่งให้ก็ไม่ได้ เนื่องจากเอกสารอยู่ที่มือผู้เขียน ที่สำคัญปลายสายบอกว่าให้สแกนเอกสารเป็น pdf ด้วยนี่สิด้วยความตื่นเต้นที่มีอยู่นั้นก็ยังมีสติค่ะ แทนที่จะปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ จึงหยิบมือถือมาค้นหากูเกิ้ล เผื่อจะเจอแอพพลิเคชั่นดีๆ  และแล้วก็ได้เจอแอพพลิเคชั่นนี้ “CamScanner” ตอบโจทย์ที่ต้องการในเวลาเร่งด่วนกับการสแกนเอกสารเป็นไฟล์ pdfสิ่งแรกที่ทำคือรีบควานหาเอกสารที่ต้องการสแกนเป็นไฟล์ pdf ขึ้นมา รวม 5 แผ่น เปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมาจะปรากฏสัญลักษณ์กล้องถ่ายรูป หลังจากนั้นก็กดถ่ายรูปเอกสารแผ่นแรก เมื่อได้ภาพแรกแล้ว แอพพลิเคชั่นจะมีให้เลือกความขาวสว่าง ภาพขาวดำ ภาพสีเทา และเลือกเฉพาะส่วนที่ต้องการของภาพได้ นอกจากนี้ถ้าภาพถ่ายของเรากลับด้านอยู่ ก็สามารถหมุนภาพได้ตามต้องการ เมื่อตกแต่งภาพเรียบร้อย ให้กดเครื่องหมายถูกด้านล่างขวา ก็จะได้ภาพไฟล์ pdf หน้าที่ 1 ต่อจากนั้นให้กดสัญลักษณ์กล้องถ่ายรูปด้านล่างซ้าย เพื่อถ่ายเอกสารแผ่นต่อไป ภาพของแผ่นต่อไปก็จะมาต่อภาพแรกที่ได้ทำไว้ในไฟล์ pdf  จากนั้นทำเหมือนเดิมจนครบทั้ง 5 แผ่น และสามารถย้ายรูปแบบการเรียงแผ่นเอกสารได้ตามที่ต้องการนอกจากนี้ยังสามารถนำภาพที่มีอยู่เดิมภายในเครื่องมาทำเป็นไฟล์ pdf ได้เช่นกัน เพียงแค่กดสัญลักษณ์ที่เขียนว่า import แทนสัญลักษณ์กล้องถ่ายรูป  เมื่อทำเอกสารแต่ละไฟล์เรียบร้อยแล้ว ไฟล์ทั้งหมดจะปรากฏอยู่ในหน้าแรกของแอพพลิเคชั่น โดยสามารถจัดการไฟล์ด้วยตนเองว่าต้องการเรียงไฟล์อย่างไร สำหรับขั้นตอนการนำไฟล์ออกจากเครื่องมี 3 วิธีที่แนะนำ อย่างแรกใช้วิธีการอัพโหลดไฟล์ไปยัง Dropbox , Google Drive เป็นต้น  อย่างที่สอง สามารถเลือกปริ๊นเอกสารได้ทันที แต่ต้องใช้ AirPrint หรือเครื่องปริ๊นที่สามารถเชื่อมต่อด้วยระบบ wifi ได้ อย่างที่สาม ง่ายที่สุด คือ ส่งไฟล์ไปยังเมลที่ต้องการขอเพิ่มเติมอีกอย่างค่ะ แอพพลิเคชั่น “CamScanner” ยังสามารถส่งไฟล์ได้หลายสกุล เช่น ไฟล์สกุล doc , ไฟล์สกุล jpg , ไฟล์สกุล pdf  เป็นต้น โดยให้เลือกชนิดของไฟล์ที่ต้องการก่อนที่จะถึงขั้นตอนการส่งออกค่ะเท่านี้เอกสารในมือทั้ง 5 แผ่น ก็สามารถทำเป็นไฟล์ pdf เพื่อส่งต่อไปยังเมลได้ภายในครึ่งชั่วโมงทันเวลา      

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 คุณภาพสมาร์ทโฟนระหว่าง รุ่นเก่า Vs. รุ่นใหม่

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ...เก่าไป ใหม่มา คลื่นลูกเก่าหายไป คลื่นลูกใหม่ย่อมมีมาแทน... เวลาที่เราได้ฟังเพลงฮิตเพลงนี้ ของวงนูโว เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ทำให้เราเข้าใจว่า ของใหม่ที่ผลิตมาแทนของรุ่นเก่านั้นย่อมดีกว่า มีคุณภาพดีกว่า มายาคตินี้ ได้ตอกย้ำให้เห็นว่าไม่จริงเสมอไป โดยผลการทดสอบสมาร์ตโฟนล่าสุดของ มูลนิธิทดสอบสินค้าแห่งเยอรมนี (Stiftung Warentest) ฉบับที่ 8/2015 มีผลสรุปดังนี้1.    Samsung S6 สวยกว่า แต่ Samsung S5 ดีกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของ Samsung S6 โครงของสมาร์ตโฟน (body) ทำจากพลาสติก ทำให้ดูดีมีสไตล์ ในขณะโครงของ Samsung S5 ทำจาก โลหะและกระจกแก้ว นอกจากนี้ข้อด้อยของรุ่น S6 คือ ผู้บริโภคไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรีได้เองอีกแล้ว เพราะแบตเตอรีจะติดแน่นกับตัวเครื่อง ข้อด้อยอีกอย่างหนึ่งของสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ เมื่อเทียบกับรุ่นเก่าคือ พลังงานไฟฟ้าของแบตเตอรีหมดเร็วกว่า จากการทดสอบการโทรศัพท์ ปรากฏว่า แบตเตอรีของรุ่นใหม่ หมดเร็วกว่ารุ่นเก่าถึง 6 ชั่วโมงตัว memory card ภายใน สำหรับเพิ่มปริมาณการเก็บข้อมูลก็ไม่สามารถขยายต่อเติมได้ ราคาสมาร์ตโฟน Samsung S6 ในเยอรมันราคาอยู่ที่ 700 ยูโร ในขณะที่ ราคาของ รุ่น S5 อยู่ที่ 430 ยูโร แนะนำว่าถ้าไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกและอยากประหยัดก็แนะนำว่า รุ่น S5 ก็ยังมีคะแนนโดยรวมจากการทดสอบสูงกว่ารุ่น S62.    สมาร์ตโฟน LG G4 คุณภาพไม่ได้แตกต่างจาก รุ่น G3 แต่ราคาแพงกว่า ราคาของ LG G4 อยู่ที่ 665 ยูโร ในขณะที่ รุ่น G3 อยู่ที่ 290 ยูโร สมาร์ตโฟนถึงแม้นว่า คุณภาพของกล้องและ วิดีโอจะดีกว่า รุ่น G3 แต่แบตเตอรีของรุ่น G4 หมดเร็วกว่ารุ่น G3 ถึง 6 ชั่วโมงครึ่ง 3.    สมาร์ตโฟน HTC One M9 Vs. HTC M8 จากผลการทดสอบ ทั้งรุ่นเก่า ( HTC M8) และรุ่นใหม่ (HTC One M9) ยังอยู่ในกลุ่ม คุณภาพดีทั้งคู่ แต่รุ่นใหม่ก็ยังด้อยกว่ารุ่นเก่า ดังนี้•    คุณภาพในการรับสัญญาณคลื่นของ รุ่น HTC One M9 แย่กว่า รุ่น HTC M 8 เพราะในการทดสอบ network sensitivity ที่ทดสอบในสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นสัญญาณต่ำ ปรากฏว่า สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดขาดง่ายกว่า•    ผลการทดสอบแบตเตอรี จากการใช้งานอินเตอร์เนต แบตเตอรีของสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่หมดเร็วกว่ารุ่นเก่าถึง 2 ชั่วโมง โดยที่ราคาของรุ่นใหม่อยู่ที่ 695 ยูโร แต่ราคาของรุ่นเก่าอยู่ที่ 450 ยูโร4.    สมาร์ตโฟน Motorola G 2 Vs. G1 ผลการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างรุ่นเก่า (G 1) กับรุ่นใหม่ (G 2) น่าแปลกใจว่า รุ่นเก่ามีคุณภาพดีกว่ารุ่นใหม่ โดยเฉพาะผลการทดสอบของ network sensitivity และ ความละเอียดของภาพถ่ายที่ 8 Megapixel ก็ไม่ได้ทำให้ผลการทดสอบดีขึ้นแต่อย่างใดเมื่อรู้ผลอย่างนี้แล้ว ก็คงต้องพิจารณานะครับว่า ชอบรุ่นเก่าหรือชอบรุ่นใหม่ หรือ เก็บออมไว้สำหรับของใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่า คอลัมน์นี้จะนำผลการทดสอบมานำเสนอให้เพื่อนสมาชิกทราบอย่างสม่ำเสมอเมื่อผลการทดสอบได้เผยแพร่ออกมา(ที่มา: วารสาร Test ฉบับที่ 7/ 2015 และ ฉบับที่ 7/ 2014) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 รู้เท่าทันการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำประปา

เมื่อร่างกายเกิดแผลขึ้น  ความเชื่อที่ถูกสอนกันมาอย่างต่อเนื่องและสอนกันผิดๆ ก็คือ เราต้องใช้ยาฆ่าเชื้อโดยเฉพาะทิงเจอร์ไอโอดีนเทลงบนแผลหรือทาที่แผลสดเลยเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค  ความจริงแล้วเราสามารถใช้น้ำประเภทต่างๆ มาทำความสะอาดแผลได้  โดยไม่ต้องหรือที่ถูกก็คือห้ามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทาที่แผล  น้ำที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ น้ำเกลือธรรมดา(น้ำเกลือธรรมดาที่มีความเข้มข้นร้อยละ 0.9 ซึ่งเท่ากับกับความเข้มข้นของเกลือในกระแสเลือดของคนปกติ)  เหตุที่ทางการแพทย์นิยมใช้น้ำเกลือธรรมดาเพราะว่ามีเข้มข้นของเกลือเท่ากับเลือดและไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการเยียวยาของแผลตามปกติ  อย่างไรก็ตาม น้ำเกลือมีจำหน่ายเฉพาะในร้านขายยาและใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น  เราสามารถใช้น้ำประปาในการทำความสะอาดแผลแทนน้ำเกลือได้หรือไม่?  และมีผลในการหายของแผลได้เหมือนน้ำเกลือธรรมดาหรือไม่?  ถ้าได้จะเป็นการประหยัดและสะดวกอย่างมาก  เราลองมารู้เท่าทันการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำประปากันเถอะ    ห้องสมุดคอเครน  ได้ทำการทบทวนข้อมูลและการศึกษาวิจัยจากงานการทบทวนของคอเครนเอง และงานวิจัยของ MEDLINE, EMBASE และ EBSCO CINAHL โดยได้ทำการคัดกรองการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมที่เปรียบเทียบการใช้น้ำกับสารอื่นๆ ในการทำความสะอาดแผล  การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลใช้นักวิชาการสองท่านทำงานแยกจากกัน    ผลการทบทวนงานการศึกษาทดลอง 11 การศึกษา พบว่า  การใช้น้ำประปาในการทำความสะอาดแผลในผู้ใหญ่และเด็กไม่มีผลต่อการติดเชื้อที่แผลอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำเกลือ  และไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการติดเชื้อที่แผลระหว่างการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำประปากับการไม่ทำความสะอาดแผลด้วยวิธีการใดๆ  ในแผลเรื้อรังก็ไม่พบมีความแตกต่างของการติดเชื้อเช่นเดียวกัน  การใช้น้ำเกลือธรรมดา น้ำกลั่น และน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วในการทำความสะอาดแผลกระดูกหักแบบเปิดก็ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการติดเชื้อที่กระดูก     ผลการทบทวนสรุปว่า  ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการใช้น้ำประปาในการทำความสะอาดแผลสดในผู้ใหญ่หรือเด็กจะเพิ่มหรือลดการติดเชื้อ  ยังไม่มีหลักฐานหนักแน่นพอว่า การล้างแผลนั้นช่วยให้การหายของแผลเร็วขึ้นหรือลดการติดเชื้อ  ในกรณีที่ไม่มีน้ำประปา อาจใช้น้ำที่ต้มสุกและเย็นแล้ว เช่นเดียวกับน้ำกลั่นในการทำความสะอาดแผลได้    ท่านผู้อ่านคงสบายใจได้แล้วนะครับว่า  ถ้ามีแผลสด แผลเรื้อรัง  เราสามารถใช้น้ำประปา (ที่สะอาดและดื่มได้) หรือน้ำดื่มที่มีตราของอย. มาทำความสะอาดแผลได้โดยไม่ต้องวิ่งหาซื้อน้ำเกลือธรรมดา  โรงเรียนในชนบทก็ไม่ต้องซื้อน้ำเกลือธรรมดามาเก็บตุนไว้เพื่อรอทำแผลเด็กนักเรียน  ใช้น้ำเปล่าบรรจุขวดที่มีตราอย.แทนได้เลย ที่สำคัญเลิกใช้ยาฆ่าเชื้อทาที่แผลสดโดยตรง  อย่างมากก็ทารอบๆ แผลก็พอหมายเหตุ:  ศึกษาเพิ่มเติมใน  Water for wound cleansing  โดย  Ritin Fernandez, Rhonda Griffiths ตีพิมพ์ออนไลน์เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 เขาบอกว่าถ้า…หัวจะล้าน

เพราะ “ผม” ไม่ใช่แค่เส้นขนตายแล้วที่ไร้ประโยชน์ แต่สามารถช่วยปกป้องหนังศีรษะของเรา ไม่ให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากเกินไป ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความงามหรือความมั่นใจให้แต่ละคนได้ อย่างไรก็ตามผมไม่สามารถคงอยู่จำนวนเท่าเดิมได้ตลอดไป ต้องมีการหลุดร่วงในทุกๆ วัน คนส่วนใหญ่จึงหมั่นดูแลสุขภาพผมให้ดีอยู่เสมอ เพื่อคงสถานะผมดกให้อยู่นานที่สุด แต่สำหรับคนที่ผมร่วงมากๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจกังวลว่าจะกลายเป็นคนหัวล้านได้ และเกิดเป็นความเชื่อต่างๆ ว่าถ้า…(ทำนั้น ทำนี่) แล้วจะทำให้หัวล้าน ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอพาผู้อ่านไปเปิดตำนานความเชื่อบางประการว่า สามารถทำให้ผมร่วงจนอาจหัวล้านได้จริง หรือเป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่า ถ้าจัดแต่งทรงผมบ่อยๆ เช่น ดัดผม ย้อมผมจะทำให้ผมร่วงความจริง อะไรที่มากเกินไปมักจะส่งผลเสียอยู่แล้ว การจัดแต่งทรงผมบ่อยๆ ก็เช่นกัน เพราะสารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทำผม ไม่ว่าจะเป็นยาย้อมผม ยาดัด หรือเจลจัดแต่งทรงผม อาจจะไปขัดขวางการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมแห้ง แตกปลาย หรือเกิดอาการแพ้สารเคมีจนหลุดร่วงง่าย แต่ไม่มีผลทำให้หัวล้านหากเราหยุดใช้สารเคมีเหล่านั้น แล้วกลับมาบำรุงเส้นผมของเราให้ดีขึ้นเหมือนเดิมเชื่อว่า ถ้าใส่หมวกบ่อยๆ จะทำให้หัวล้านความจริง การสวมหมวกจะทำให้หัวล้าน ถ้าเราใส่หมวกที่แน่นเกินไปบ่อยๆ เพราะเลือดอาจจะไปเลี้ยงรากผมไม่สะดวก และทำลายรูขุมขนของเส้นผม หรือถ้าสวมหมวกขณะที่เหงื่อเยอะเป็นเวลานานๆ ก็สามารถทำให้หนังศีรษะอับชื้น และเกิดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของผมร่วงได้ อย่างไรก็ตามการสวมหมวกแบบปกติทั่วไปไม่สามารถทำให้หัวล้านได้ เชื่อว่า ถ้าเช็ดผมแรงเกินไปจะทำให้ผมร่วงความจริง การเช็ดผมอย่างรุนแรงขณะที่ผมเปียก มีส่วนทำให้เส้นผมหลุดร่วง โดยเฉพาะเส้นผมเส้นเล็กๆ ที่เพิ่งขึ้นใหม่มาทดแทน เพราะผมของเราจะอ่อนแอที่สุดเมื่อเปียกน้ำ ดังนั้นควรเช็ดศีรษะอย่างเบามือ หรือใช้การซับแทนการเช็ดแบบถูอย่างรุนแรงจะดีต่อเส้นผมมากกว่าเชื่อว่า ถ้าหนังศีรษะหรือผมมันจะทำให้ผมร่วง ดังนั้นจึงควรสระผมบ่อยๆ ความจริง เมื่อหนังศีรษะมัน ไขมันที่ถูกสร้างจากต่อมไขมันบริเวณรากผม จะจับตัวกันและไปเบียดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงรากผม ซึ่งสามารถทำให้รากผมขาดเลือดและไม่แข็งแรงจนหลุดร่วงได้ อย่างไรก็ตามหากคนที่มีลักษณะผมมันอยู่แล้วแก้ปัญหาด้วยการสระผมบ่อยๆ ก็จะช่วยลดการหลุดร่วงได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีลักษณะผมแห้ง การสระผมบ่อยๆ จะกระตุ้นหนังศีรษะให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ผมร่วงได้ ดังนั้นความถี่ในการสระผมควรขึ้นอยู่กับสภาพของหนังศีรษะ และกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนมากกว่าเชื่อว่า ถ้ารวบผมตึง หรือถักเปียบ่อยๆ จะทำให้ผมร่วงความจริง การใช้ยางรัดผมจนแน่นเกินไปไม่ว่าจะรวบหรือถักเปีย อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเฉพาะที่กับหนังศีรษะได้ ซึ่งสามารถทำให้รากผมได้รับความกระทบกระเทือน หรือเนื้อเยื่อรอบๆ ที่ยึดรากผมถูกทำลาย จึงมีส่วนทำให้ผมเปราะหักง่ายและหลุดร่วงได้เหมือนกันเชื่อว่า ถ้าท้องแล้วห้ามกินเผ็ดเพราะจะทำให้ลูกหัวล้านความจริง พันธุกรรมของพ่อแม่จะเป็นตัวกำหนดสภาพเส้นผมของลูก ซึ่งการกินเผ็ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ลูกหัวล้านได้ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารของแม่ โดยอาจจะทำให้ปวดท้องหรืออาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ผู้หญิงหลังคลอดอาจจะผมร่วงมากจนสังเกตได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำความรู้จักอาการผมร่วงที่ผิดปกติตามธรรมชาติคนเราจะผมร่วงไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน หากมากกว่านั้นและมักร่วงเฉพาะบริเวณ เช่น กลางศีรษะหรือร่วงเป็นหย่อมถือว่าผิดปกติ สาเหตุหลักของผมร่วงร้อยละ 90 มาจากพันธุกรรม อายุที่เพิ่มมากขึ้นและฮอร์โมน(โดยเฉพาะฮอร์โมนผู้ชายที่ส่งผลให้ผมร่วงมากกว่าผู้หญิง) ขณะที่ร้อยละ 10 ที่เหลือมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคผิวหนังบางชนิด(เชื้อราบนหนังศีรษะ สะเก็ดเงิน) การใช้ยาเพื่อรักษาโรค (มะเร็ง เบาหวาน ไทรอยด์) หรือความเครียด อย่างไรก็ตามเราสามารถป้องกันผมร่วงด้วยการรับประทานอาหาร ที่มีส่วนต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม เช่น อาหารที่มีวิตามินบี 2 อย่างถั่วเหลือง ปลา ผักใบเขียวหรือข้าวกล้อง ทั้งนี้สำหรับปัจจุบันการรักษาสามารถทำได้โดยการกินยา ทายาหรือผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผม แต่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 สบู่มีไว้ถู หนูหนูอย่าถูกหลอก

หน่วยงานของผมเพิ่งจัดกิจกรรม อย.น้อย ปีนี้เราเน้นประเด็น “เชื่อมโยงเครือข่าย เตือนภัยสุขภาพ” เมื่องานเลิก อาจารย์ท่านหนึ่งเดินมาหาผม เปิดภาพจากสมาร์ทโฟนพร้อมให้ข้อมูลว่า “เดี๋ยวนี้เด็กๆ เขานิยมใช้สบู่ชนิดนี้ ซื้อทางเน็ตมาใช้กันมาก เห็นเด็กๆ บอกว่าใช้แล้วขาวจริงๆ” ผมตามไปค้นข้อมูลต่อในอินเตอร์เน็ต พบโฆษณาสบู่ชนิดนี้ (ซึ่งตั้งชื่อให้คล้ายผงซักฟอก โอโม่พลัส) ราคาก้อนละ 50 บาท ในภาพระบุข้อความว่า “ฟอกผิวขาวเนียนใส ขาวทะลุมิติ เป็นสบู่ 5 สี จาก ทับทิม (ผิวขาวใส ลดรอย)  องุ่น (คอลลาเจน ผิวเต่งตึง กระชับ) เลมอน กีวี่ (ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดสิว) สับปะรด วิตามินซี (ผลัดเซลล์ผิว ขาวกระจ่างใส) และกลูต้าน้ำนม (ผิวขาวเนียนนุ่ม) ฟอกให้ทั่วตัว ทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออก ใช้เป็นประจำ เช้า-เย็น” ผมพยายามเอาหลักวิชาการมาตรวจสอบว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ถูสบู่แล้วผิวจะขาววอกอย่างที่โฆษณา แต่ยังไม่ทันไร ก็ดันไปพบโฆษณาสบู่อีกชนิดหนึ่ง“สบู่เซลลูไลท์ ลดไขมันส่วนเกิน ลดหน้าท้องเร่งด่วน ลดพุง ลดหุ่น ลดพุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรธรรมชาติ ช่วยสลายไขมัน บริเวณใต้ผิวหนัง  ปัญหาผิวเปลือกส้ม และยังช่วยกระชับสัดส่วน มีวิตามินอีเพิ่มความกระชับของผิว ลดเซลลูไลท์ได้ดีเมื่อใช้เป็นประจำและต่อเนื่อง เห็นผลแน่อน” โฆษณายังอ้างว่า สบู่ของตนเองผลิตจากสาหร่ายในทะเลน้ำลึก ผสมน้ำแร่ และพริกไทย ประสิทธิภาพล้ำหน้าด้วยเนื้อสบู่นาโน  ซึ่งจะเข้าแทรกซึมเพื่อขจัดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวให้มีขนาดเล็กลง ทำให้ชั้นผิวภายในเรียบเสมอกัน สาหร่ายจากทะเลลึกมีส่วนช่วยในการจับไขมัน และพริกไทยจะออกฤทธิ์ช่วยเผาผลาญได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เกิดอาการแสบร้อนใดๆ สามารถแทรกซึมลงสู่ชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วขณะฟอก ตรงเข้าทำงานในการช่วย เผาผลาญและสลายไขมัน เซลล์ลูไลท์ ที่สะสมมานานให้สลายตัวได้อย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้ไขมันมีการแตกตัวและกระจายตัวได้ดี โดยเฉพาะ หน้าท้อง จะเห็นผลได้ดีที่สุด ใช้ขณะอาบน้ำ ควรถูนวด วนๆ บริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ 2 นาที แล้วจึงล้างออก (เอาล่ะซิ ทั้งสาหร่าย ทั้งพริกไทย และยังนาโนอีกเอากันเข้าไป แล้วยังบรรยายกลไกการทำงานแบบอ่านแล้วยังตะลึง) อันที่จริง เครื่องสำอางตามกฎหมาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อความสะอาด ความสวยงาม ไม่สามารถอ้างว่า วินิจฉัย บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ต้องมาแจ้งเพื่อขออนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ต้องแสดงเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากด้วย โดยเลขที่ใบรับแจ้ง จะประกอบด้วยตัวเลข 10 หลัก แต่ไอ้เจ้าสบู่ทั้งสองชนิดนี้ ตัวมันเองเป็นเครื่องสำอางแน่นอน แต่ดันแอบมาอวดอ้างสรรพคุณในลักษณะเป็นยา ผมพยายามเพ่งบนฉลากในรูปก็ไม่เห็นเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากแต่อย่างใด ซึ่งถ้าไม่ตรงตามที่กฎหมายกำหนด สบู่ทั้งสองชนิดนี้น่าจะผิดกฎหมายแน่นอน ผลิตภัณฑ์สุขภาพสมัยนี้ มันมีขายมากมายยังกับดอกเห็ด หากเราเชื่อมเครือข่ายผู้บริโภคได้ ก็จะเกิดเครือข่ายที่จะเป็นหูเป็นตา ช่วยเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ดังเช่น เครือข่าย คุณครูและ อย.น้อย ที่มาแจ้งข้อมูลเรื่องสบู่ให้ผมทราบไงครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 รถยนต์หายในห้างฯ บิ๊กซี

ฉบับนี้เป็นเรื่องรถยนต์หายอีกครั้ง ในฉบับก่อนๆ ผู้เขียนเคยเขียนถึงกรณีรถยนต์หายในห้างฯ แห่งหนึ่ง   เดิมแต่ละห้างฯ ใช้วิธีการแจกบัตรจอดรถสำหรับรถของลูกค้า ซึ่งเป็นวิธีที่มีการตรวจสอบการเข้าออกของรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้า โดยพนักงานของห้าง และค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่านเข้าออก กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของห้างฯ  ต่อมามีรถยนต์ของลูกค้าหายโดยที่บัตรเข้าออกยังอยู่ที่ตัวลูกค้า  ในคดีนั้น ต่อมามีการฟ้องร้องต่อศาลให้ห้างฯ และบริษัทฯ รปภ. ซึ่งห้างฯ จ้างมาดูแลความปลอดภัยในบริเวณห้างฯ ให้ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่ารถยนต์คันที่หาย  ในคดีดังกล่าวศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า หากพนักงาน รปภ.ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบตรวจสอบบัตรเข้าออกโดยละเอียดรอบคอบแล้วคนร้ายก็ไม่สามารถโจรกรรมรถยนต์ออกไปจากห้างได้  จึงพิพากษาให้ห้างฯกับบริษัท รปภ. ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่ารถยนต์ให้แก่ลูกค้า  จากผลของคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวเป็นเหตุให้บรรดาห้างสรรพสินค้าทั้งหลายเลิกแจกบัตรเข้าออกรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการในห้าง(คงคิดว่าไม่แจกบัตรเข้าออก ก็ไม่ต้องตรวจบัตร จะได้ไม่มีกรณีที่จะอ้างว่าห้างประมาทเลินเล่ออีก)ต่อมามีผู้บริโภคไปใช้บริการของห้างฯ บิ๊กซี แล้วรถยนต์หาย  บริษัทประกันของลูกค้าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่ารถยนต์ให้แก่ลูกค้าไปแล้วช่วงสิทธิมาฟ้องห้างฯ บิ๊กซี กับ บริษัท รปภ. เป็นจำเลยร่วม ให้ ร่วมกันรับผิด  ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556 คดีระหว่าง บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) โจทก์ กับ บริษัทบิ๊กซี ซูปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด จำเลย บริษัทพีเคเอฟเซฟตี้การ์ด จำกัด จำเลยร่วม ดังนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “....พิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่รถยนต์ของนายวินัยสูญหายเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีฐานะเป็นบริษัทจำกัด(มหาชน) มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภคต่างๆ ดังนี้ ลูกค้าที่มาใช้บริการยังสาขาต่างๆ ของจำเลยรวมทั้งสาขาลำลูกกาที่เกิดเหตุ  ซึ่งเป็นผู้ที่มาอุดหนุนสินค้าของจำเลย จำเลยย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้า ความปลอดภัย ความสะดวกสบายเพื่อสร้างความพึงพอใจและดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการและซื้อสินค้า หรือใช้บริการอื่นๆ หรือไม่  หากจำเลยจัดสถานที่จอดรถไว้กว้างขวางมีปริมาณเพียงพอสะดวกสบาย ย่อมดึงดูดลูกค้าให้เข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ทั้งตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8(9) , 34 ยังได้บัญญัติให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารต้องมีพื้นที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับว่า การจัดสถานที่จอดรถของจำเลยเป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว  แต่อย่างไรก็ดีจำเลยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน และมีหน้าที่ดูแลด้วยตามสมควร มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยกันเอาเอง ได้ความจากนายชานุ หัวหน้าฝ่ายป้องกันความสูญหายของจำเลยสาขาลำลูกกาเบิกความว่า รถยนต์ของนายวินับหายไปขณะจอดอยู่ในลานจอดรถของจำเลยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2552  เวลาประมาณ 15.00 นาฬิกา และเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยได้จัดให้มีการแจกบัตรสำหรับสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุยกเลิกไปแล้ว โดยใช้กล้องวงจรปิดแทน แสดงให้เห็นว่าจำเลยเคยใช้วิธีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้า ซึ่งเป็นวิธีการตรวจสอบการเข้าออกของรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าของจำเลยโดยพนักงานและค่อนข้างรัดกุมเพราะหากไม่มีบัตรผ่านเข้าออก กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย  แต่จำเลยกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียเป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกจากลานจอดรถห้างสรรพสินค้าของจำเลยและโจรกรรมรถได้ง่ายยิ่งขึ้น  การที่รถยนต์ของนายวินัยสูญหายขณะที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถของจำเลยจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย  และที่จำเลยปิดประกาศไว้ว่า จะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใดๆ ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยฝ่ายเดียว ไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลย และการที่นายวินัยหรือลูกค้าซึ่งทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังคงเข้ามาจอดรถเพื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่นที่ห้างสรรพสินค้าของจำเลยจะถือว่าเป็นการเสี่ยงภัยเองของนายวินัยดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา พยานหลักฐานโจทก์นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการที่รถยนต์ของนายวินัยสูญหายไปเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน ( ให้ใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์)

อ่านเพิ่มเติม >