ฉบับที่ 214 ขออนุญาตเห็นแก่ตัว เรื่องบุหรี่

คนที่ซื้อบ้านในหมู่บ้านที่ราคาไม่แพงนักมักไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ได้ จึงพยายามต่อเติมบ้าน เพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์และ(คิดเอาเองว่า) เพิ่มความสวยงาม โดยไม่ค่อยคิดถึงใจเพื่อนบ้านว่า อาจเดือดร้อนจากกลิ่นควันบุหรี่ ซึ่งร้อยทั้งร้อยของช่างที่ต่อเติมบ้านต้องดูดเข้าปอดเกือบตลอดเวลาทำงาน เสมือนว่าเพื่อเพิ่มการเกิดอนุมูลอิสระในปอดให้มีแรงทำงานให้ตลอดรอดฝั่ง        ควันบุหรี่นั้นก่อให้เกิดความไม่สบายกายและใจของผู้เขียนมาตลอด เนื่องจากเป็นคนไม่ชอบกลิ่นของมันและเกิดความอึดอัดทุกครั้งที่ได้กลิ่น สมัยไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกานั้น โชคดีสบายปอดมากที่ได้เรียนในรัฐยูทาห์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมอร์มอน ซึ่งไม่สูบบุหรี่ตามข้อกำหนดทางศาสนา         เป็นที่น่าดีใจที่ไทยติดแค่ลำดับที่ 68 (เฉลี่ย 925.00 มวนต่อคนต่อปี) ในการจัดลำดับชาติที่มีคนสูบบุหรี่จัดที่สุดในโลกโดย World Cancer Report 2014 ขององค์การอนามัยโลก (อ้างอิงจาก List of countries by cigarette consumption per capita ปรากฏใน www.wikipedia.org) โดยมีมอนเตเนโกร (4124.53 มวนต่อปี) เป็นแชมป์โลกและเบลารุส (3831.62 มวนต่อปี) เป็นรองแชมป์ ส่วนจีนเข้าสู่ลำดับที่ 9 (2249.79 มวนต่อปี) ควบตำแหน่งแชมป์เอเชีย ตามด้วยเกาหลีใต้อยู่ลำดับที่ 15 (2072.57 มวนต่อปี) ญี่ปุ่นอยู่ลำดับที่ 21 (1713.00 มวนต่อปี)เกี่ยวกับควันบุหรี่ที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น มีประเด็นหนึ่งซึ่งคนไทยหลายส่วนมักลืมหรือไม่รู้เอาเลยว่า สภาผู้แทนราษฏรของไทยได้เคยออกกฏหมายที่ดีคือ พ.ร.บ. คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 พ.ร.บ. นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่แต่จำใจหรือจำเป็นต้องอยู่ใกล้ผู้สูบ จึงต้องกลายเป็น second-hand smoker โดยห้ามการสูบบุหรี่ในบางสถานที่ พร้อมให้มีการจัดเขตให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ ซึ่งกระบวนการนี้หน่วยงานรัฐใช้ความประณีตมากถึงเกือบ 20 ปี ที่ทำให้ประเทศไทยได้มี ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2553 เพื่อกำหนดชื่อหรือประเภทของสถานที่สาธารณะที่ให้มีการคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ และกำหนดส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่สาธารณะดังกล่าวเป็นเขตสูบบุหรี่หรือเขตปลอดบุหรี่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ดีผู้เขียนนึกไม่ออกว่า ใครคือผู้รักษากฎหมายนี้และได้ทำให้กฎหมายนี้ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ เพราะที่เห็นอยู่ตำตาคือ การสูบบุหรี่ที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งเป็นสถานที่กำหนดห้ามนั้น คนในเครื่องแบบต่างๆ ยังถุนควันบุหรี่หน้าตาเฉยเหมือนไม่เคยรู้ว่า พ.ร.บ. คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ยังมีผลบังคับอยู่        นอกจากนี้เรายังมีแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสูงสุดหนึ่งในสามข้อว่า ต้องการทำให้สิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยมีเป้าหมายหนึ่งของแผนว่า ในปี พ.ศ. 2557 อัตราการได้รับควันบุหรี่มือสองของประชาชน ลดลงร้อยละ 50 จากปี พ.ศ. 2552 ส่วนผลต่อมาจากปี 2557 นั้น ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปดู สถานการณ์การบริโภคยาสูบ ได้เองที่ www.trc.or.th/th/สถานการณ์การบริโภคยาสูบ.htmlในหลายประเทศวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันเพื่อลดความเข้มข้นในอากาศของควันบุหรี่คือ ผลักดันให้ผู้นิยมการใช้ยาสูบไปสูบบุหรี่ปลอมที่ไม่สร้างควันให้คนอื่นเดือดร้อนมากนัก โดยที่ผู้สูบยังได้รับนิโคตินสมดังใจหมาย บุหรี่ปลอมดังกล่าวนั้นคือ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ผู้เขียนเห็นว่า เป็นทางออกที่ดูง่ายกว่าการโน้มน้าวให้คนที่นิยมสูบบุหรี่เลิกสูบ (ผู้เขียนขออนุญาตไม่สนใจประเด็นการลดอัตราการตายของผู้ป่วยเนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้า ณ วันนี้ก่อน เพราะคิดว่าการลดปัญหา second-hand smoker นั้นสำคัญกว่า และมีความหวังกว่าการพยายามให้คนไทยเลิกสูบบุหรี่)บุหรี่ไฟฟ้าเป็นนวัตกรรมค่อนข้างใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยแพทย์ชาวจีนที่หวังช่วยให้คนไข้เลิกบุหรี่ ซึ่งต่อมามีการแพร่ไปหลายประเทศที่มีผู้บริหารซึ่งคำนึงถึงสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 2007 และสามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์ในแต่ละปี เพราะได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นซึ่งยังไงๆ ก็ดิ้นรนสูบบุหรี่ให้ได้เหมือนไอดอลชายชาวอเมริกันในภาพยนตร์ทั้งหลาย จากสถิติการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเยาวชน(National Youth Tobacco Survey) ที่เป็นนักเรียนอเมริกัน 2 ล้านคน เมื่อปี 2557 พบว่า ในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.5 เป็นร้อยละ 13 และในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมต้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.1 เป็นร้อยละ 3.9 ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวภายใน 1 ปี นี่อาจแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลอเมริกันสมัยนั้น ในการลดควันบุหรี่ที่ทำลายสุขภาพผู้ไม่ประสงค์ได้รับควันพิษนี้ ทั้งที่บริษัทผู้ผลิตบุหรี่นั้นมีอิทธพลต่อนักการเมืองมากในประเทศนี้แม้บุหรี่ไฟฟ้ามีผลเสียต่อสุขภาพของ ผู้ยินดีสูบและไม่กลัวความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด ดังที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดในไทยหลายคนแสดงความกังวล แต่ในทัศนะของผู้เขียนแล้วคิดว่า คนข้างเคียงของผู้ติดบุหรี่ที่หันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าคงสบายใจและสบายปอดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นลูกน้องของ เจ้านาย/หัวหน้างาน ผู้บังคับบัญชาที่ติดบุหรี่และใจแคบไม่ยอมคิดถึงใจผู้ไม่สูบบุหรี่ และสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ กรณีที่สตรีผู้โชคร้ายต้องร่วมหอกับผู้นิยมควันพิษแล้วเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ถ้าสามีเป็นคนมีสมองพอรู้บ้างว่า สารพิษในควันบุหรี่นั้นเป็นสารที่ทำให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปรกติได้ แล้วพยายามงดสูบบุหรี่ในบ้าน เด็กก็อาจพอมีบุญเกิดมาเป็นผู้เป็นคนธรรมดา แต่ถ้าไปเจอกรณีคู่ผัวตัวเมียที่สามีไม่สนใจสุขภาพของเด็กในท้องและแม่ สุดท้ายทั้งสองก็ต้องรับกรรมรับสารพิษเข้าร่างกายไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นกรณีที่ควรคิดกันอย่างจริงจังได้แล้วในสังคมไทยเคยมีผู้ให้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่า บุหรี่ไฟฟ้าอาจช่วยให้คนไข้ เลิกบุหรี่ได้ถึง 81% แม้ว่าการเลิกบุหรี่นั้นมักทำให้คนไข้ทรมานอย่างแสนสาหัส จนคนไข้บางส่วนท้อใจหันกลับไปสูบเพื่อลงนรกเมื่อแก่ด้วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ แต่มีผู้หวังดีแก่สังคมโดยรวมได้กล่าวไว้บนอินเทอร์เน็ตว่า น่าเป็นห่วงเด็กวัยรุ่นที่มีโอกาสเข้าถึงสินค้านี้ เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าอาจเป็นขั้นตอนแรกก่อนเข้าสู่การพัฒนาไปใช้บุหรี่จริงหรือยาเสพติดชนิดอื่นง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามผู้เขียนสรุปเอาเองด้วยประสบการณ์ว่า เด็กนั้นถ้าจะเลวไม่ว่าเพราะพันธุกรรมและ/หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถึงไม่มีบุหรี่ไฟฟ้า การเสาะแสวงเพื่อการเสพสารเสพติดย่อมเกิดขึ้นเสมอ เพราะสารเสพติดนั้นดูว่าหาง่ายนักในสังคมไทยปัจจุบัน โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนรู้สึกสลดใจทุกครั้งที่เห็นคนไทยสูบบุหรี่(ซึ่งตอนนี้คงต้องรวมผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วย) ทั้งนี้เพราะเป็นการรับสารเสพติดคือ นิโคติน เข้าสู่ปอดด้วยความตั้งใจของผู้สูบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยต่อร่างกายพุทธศาสนิกชน ถ้าย้อนไปในในยามที่พระพุทธองค์คงพระชนม์ชีพและสมมุติว่า คนอินเดียมีบุหรี่สูบ พระพุทธองค์อาจกำหนดให้บุหรี่เป็นสิ่งต้องห้ามคู่กับสุราในศีลข้อ 5 สำหรับผู้ที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะด้วยก็ได้ ทั้งนี้เพราะไม่ว่าศีลข้อใดใน 5 ข้อที่เป็นนิจศีลนั้น พระพุทธองค์ได้บัญญัติขึ้นเพื่อความสงบสุขของสังคม ซึ่งปัจจุบันนี้ผู้เขียนขอเสนอว่า ควันบุหรี่นั้นเป็นภัยต่อการมีสุขภาพดีของคนในสังคนไทย 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 ความเคลื่อนไหวเดือนธันวาคม 2561

ศาลยกฟ้อง คดีมาสด้าฟ้องลูกค้ากว่า 84 ล้านบาทกรณี บจก.มาสด้า เซลล์ (ประเทศไทย) ฟ้องเรียกค่าเสียหายลูกค้ากว่า 84 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 เหตุผู้ใช้รถมาสด้า 2 เครื่องยนต์ดีเซลที่พบปัญหาการใช้งานและออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัท โดยบริษัทมาสด้าให้เหตุผลการฟ้องคดีว่า ผู้เสียหายใช้สิทธิเกินส่วนที่ผู้บริโภคควรใช้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง และทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงนั้น         เมื่อวันที่ 28 พ.ย.61  ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดี  ชี้ว่าการออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบของผู้เสียหาย เป็นการปกป้องสิทธิตามสิทธิผู้บริโภคโดยสุจริต เพราะรถมีความบกพร่องจริง และผู้เสียหายได้สอบถามไปยังผู้ผลิตแต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงมีสิทธิเรียกร้องทวงถาม ซึ่งไม่ถือเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนตามที่บริษัทอ้าง ด้าน นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ผู้เสียหายที่ถูกฟ้อง ได้กล่าวฝากถึงผู้บริโภคทุกคนให้ตระหนักถึงสิทธิที่ตัวเองมีตามกฎหมาย และเมื่อเกิดความเสียหายก็ต้องได้รับการชดเชยเยียวยา3 โรค 1 ภัยสุขภาพสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2562นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค  กล่าวว่า ภัยสุขภาพที่สำคัญในปี 2562 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ การพยากรณ์โรคติดต่อ และการพยากรณ์โรคไม่ติดต่อและภัยสุขภาพ ดังนี้ โรคติดต่อที่สำคัญในปี 2562 มี 3 โรค ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และไข้เลือดออก ซึ่งไข้หวัดใหญ่คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงเกือบ 1.8 แสนราย ขอให้ประชาชนใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปิด คือ ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ล้าง คือ ล้างมือบ่อยๆ เมื่อสัมผัสสิ่งของ เลี่ยง คือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย และ หยุด คือ เมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัดส่วนโรคหัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ผู้ปกครองควรพาเด็กเล็กไปรับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็กอายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่งกรณีโรคไข้เลือดออก ต้องร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โรคไม่ติดต่อและภัยสุขภาพ มี 1 เรื่อง คือ การบาดเจ็บจากการจราจรทางถนน เนื่องจากทุกปีประเทศไทยจะพบอุบัติเหตุจากการจราจรเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ จึงขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ขับรถเร็ว ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ผู้ขับขี่รถยนต์ใช้เข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง หากดื่มสุราแล้วไม่ควรขับรถ และง่วงต้องไม่ขับ ‘ออมสิน’ ชะลอฟ้อง - งดบังคับคดี ตุ๊กตุ๊ก โครงการสามล้อเอื้ออาทรเมื่อวันที่ 27 พ.ย.61 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมผู้เสียหายจากการกู้สินเชื่อเพื่อซื้อสามล้อ ในโครงการสามล้อเอื้ออาทร กว่า 150 ราย เดินทางไปยังธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้ถอนฟ้องคดีผู้เสียหายทุกรายที่ทำสัญญากู้ยืมเงินในลักษณะเดียวกัน และขอให้งดการบังคับคดีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของโครงการสินเชื่อดังกล่าวนายประเสริฐ กองจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานบริหารหนี้และกฎหมาย กลุ่มปฏิบัติงาน ได้ตอบรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้เสียหาย โดยจะยื่นขอให้ศาลจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว และงดการบังคับคดี และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของธนาคารฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการสามล้อเอื้ออาทร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน โดยได้นัดให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและกลุ่มผู้เสียหาย มารับฟังคำตอบอีกครั้งในวันที่ 15 ม.ค.6213 เม.ย. 62 รพ.เอกชนยอมกางบัญชี "ราคายา-ค่ารักษา" ขึ้นเว็บไซต์          กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งเตรียมเผยแพร่ราคายา-ค่ารักษาบนเว็บไซต์ รพ.และเว็บไซต์กลาง ในวันที่ 13 เม.ย. 2562 เพื่อให้ประชาชนได้เปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจใช้บริการ พร้อมชี้ว่า รพ.เอกชนเผยแพร่ข้อมูลเรื่องราคาได้ แต่คงบังคับให้ลดราคาไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนแต่ละแห่งไม่เท่ากัน สำหรับข้อมูลที่นำมาเผยแพร่จะต้องง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน ไม่ใช่เป็นข้อความทางเทคนิค ซึ่งยาที่จะประกาศราคานั้น เบื้องต้น จะมีประมาณ 1,000 รายการ จากทั้งหมดกว่า 5,000 รายการ หวังเพื่อให้ประชาชนรับทราบราคายาและค่ารักษาและเกิดการเปรียบเทียบ ทำให้โรงพยาบาลเอกชนไม่กล้าคิดราคายาและค่ารักษาที่แพงเกินความเหมาะสม ยื่นฟ้อง ไทยพาณิชย์ เหตุคนร้ายโจรกรรมเงินฝากผ่านแอพฯ กว่า 2 ล้านบาทเมื่อ 15 พ.ย.61 นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มพบ. และ น.ส.ธนิตา จิราพณิช อาชีพนักแสดงอิสระ ซึ่งเป็นผู้เสียหายสูญเงินกว่า 2 ล้านบาท จากการถูกโจรกรรมข้อมูลและเงินในบัญชีเงินฝาก เดินทางไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง รัชดาฯ โดยผู้เสียหายได้ยื่นฟ้อง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน (จำเลยที่ 1) และ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (จำเลยที่ 2)        กรณีนี้ คนร้ายได้หลอกลวงเอาข้อมูลของผู้เสียหาย ได้แก่ หมายเลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เพื่อใช้สมัครอินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้งบนมือถือของคนร้าย และโจรกรรมเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ กองทุนเปิด SCBFP กองทุนเปิด WINR และกองทุนตราสารหนี้ที่ผู้เสียหายเปิดบัญชีไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท หลักทรัพย์จัดการรองทุน ไทยพาณิชย์ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 วัน ตั้งแต่ 27 ธ.ค.60 - 4 ม.ค.61 รวมกว่า 50 ครั้ง นับรวมความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อผู้เสียหายทราบเรื่องก็ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงตัดสินใจยื่นฟ้องศาล โดย นายเฉลิมพงษ์ ให้ความเห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้เป็นไปอย่างครบถ้วนถูกต้อง ทั้งการตรวจสอบสิทธิในการเข้าถึงระบบสารสนเทศ การติดตามแจ้งเตือน การแจ้งข้อมูลการทำธุรกรรมไม่มีมาตรฐาน จนทำให้คนร้ายสามารถทำการโจรกรรมเงินในบัญชีและกองทุนของผู้เสียหายได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 อันดับโลกอันแสนเศร้า

ไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดปี 2560 มีอัตราผู้เสียชีวิต 36.2 รายต่อแสนประชากร                                                                                                                                                                The World Atlasใกล้วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทีไร เราจะเห็นภาพมวลชนจำนวนมหาศาลที่ต้องเดินทางกลับบ้านหาครอบครัวหรือไปพักผ่อนท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ หลังจากทำงานหนัก ทุกปีจะมีคนเรือนแสนเบียดเสียดอัดแน่นแทบจะไม่มีที่ยืนที่สถานีขนส่งหมอชิตเพื่อรอรถโดยสารกลับบ้านต่างจังหวัด คนที่วางแผนซื้อตั๋วล่วงหน้าก็สบายหน่อย รับประกันความผิดหวังมีรถขึ้นแน่นอน แต่คนไปที่หวังหาเอาดาบหน้าล้วนต้องผิดหวังทุกราย หลายคนต้องรอรถนานข้ามคืนกว่ารถจะมี อีกหลายคนต้องขึ้นรถเสริมซึ่งไม่รู้เลยว่ารถคันที่ขึ้นเป็นรถผีรถเถื่อนหรือเปล่า รถคันนั้นผ่านการตรวจสภาพมีประกันภัยมั้ย บนถนนก็มีรถมากเคลื่อนตัวตามกันได้ช้าในทุกเส้นทาง เรียกได้ว่าเกือบจะถึงบ้านกันก็อ่วมอรทัยกันทีเดียวเชียวทั้งนี้แต่ละปีในช่วงหยุดยาวปีใหม่ 7 วันอันตราย ที่มีคนเดินทางกลับบ้านกันเป็นจำนวนมากนั้น มีหลายคนโชคดีที่ได้กลับไปกอดพ่อแม่ กอดลูกหลานด้วยความดีใจหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน กลับกันมีอีกหลายคนที่กลับไม่ถึงบ้าน  หรือถึงบ้านแต่ก็กลับในสภาพร่างที่หมดลมหายใจ ด้วยสาเหตุสำคัญ คือ อุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นซึ่งช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ในทุกๆ ปี ตามสถิติที่รวบรวมไว้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนทางถนนสูง เป็นสาเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งๆ ที่หน่วยงานและภาคีอาสาในแต่ละจังหวัด ล้วนต่างจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี แต่ก็ยังคงมีสถิติการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่สูงในช่วง 7 วันอันตรายอยู่เช่นเดิมโดยในปี 2561 ที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุทางถนนสะสมเฉพาะแค่ในช่วง 7 วันอันตรายทั่วประเทศทั้งหมด 3,841 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 423 คน ผู้บาดเจ็บ 4,005 คน โดยมีสัดส่วนลดลงจากปี 2560 เล็กน้อย แต่จากจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่เกิดขึ้น ต้องยังถือว่ามีจำนวนมากเกินกว่าจะรับได้ และเป็นวิกฤตของความสูญเสียที่ต้องเจอกันแบบนี้ทุกปีปัญหาของอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยและทุกประเทศจึงเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ และร่วมวางแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนน ตัวเลขจากการประมาณการขององค์การอนามัยโลก WHO ในปี 2015 มีผู้เสียชีวิตต่อปีทั่วโลกมากถึง 1.25 ล้านคนต่อปี และเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 90 ) อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางถนนระดับโลก 2558 พบว่าประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนเป็นอันดับ 2 ของโลก หรือ 24,237 คนขณะที่ในปี 2559 ประเทศไทยมีจำนวนยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 22,356 คน หรือเฉลี่ยวันละ 62 ราย หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 2-3 ราย โดยผู้เสียชีวิตมีอายุอยู่ในช่วง 15-29 ปี มีผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลจากกรณีอุบัติเหตุทางถนนประมาณ  1 แสนคน และกลายเป็นผู้พิการราว 60,000 คนต่อปี โดยรัฐต้องสูญเสียงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท นับว่าเป็นความสูญเสียอย่างมากมายมหาศาลสอดคล้องกับข้อมูลจากการเปิดเผยของเว็บไซต์เวิลด์แอตลาส The World Atlas ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 เกี่ยวกับประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดในโลกปี 2560 ปรากฎว่า ประเทศไทยได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก มีอัตราผู้เสียชีวิต 36.2 รายต่อแสนประชากร จากเดิมที่รั้งอันดับ 2และล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยรายงาน Global Status Report on Road Safety เรื่องรายงานความปลอดภัยทางถนนระดับโลก  ระบุว่า จากข้อมูลในปี 2018 อุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้น ทำให้มีคนเสียชีวิตทุกๆ 24 วินาที ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากถึง 1.35 ล้านคนต่อปี (มากกว่าที่รายงานในปี 2015 ถึง 10 ล้านคน) ขณะที่ประเทศไทยถูกจัดลำดับให้เป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในลำดับที่ 9 (ลดลงจากเดิมเมื่อปี 2015 ที่อยู่ลำดับที่ 2) มีอัตราผู้เสียชีวิต 32.7 รายต่อแสนประชากร หรือเสียชีวิตประมาณ 22,491 คนต่อปี  ในขณะที่ 10 อันดับแรกจากการจัดอันดับของ WHO ล้วนเป็นประเทศจากแอฟริกาทั้งสิ้น มีเพียงประเทศไทยประเทศเดียวที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นอันดับ 1 ในประเทศกลุ่มอาเซียน นำห่างเวียดนามซึ่งตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 26.7 เป็นอันดับ 1 สองปีซ้อนของเมืองหลวงที่มีรถติดติดอันดับโลกจากรายงานประเมินสภาพจราจรทั่วโลก หรือ Global Traffic Scorecard ประจำปี 2017 ของ INRIX และเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์เป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วยจากผลงานติดอันดับโลกของประเทศไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา และโดยเฉพาะผลรายงาน Global Status Report on Road Safety ในปีล่าสุด แม้ว่าประเทศไทยจะมีอันดับที่ดีขึ้นจากอันดับที่ 2 มาอยู่อันดับที่ 9 แต่ถ้าพิจารณาตามรายละเอียดที่มีในรายงานจะพบว่า อัตราการตายของประเทศไทยไม่ได้ลดลงเหมือนที่เข้าใจกัน แถมแผนปฏิบัติการหลายอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ด้วย  ท้ายที่สุดถ้าทุกฝ่ายยังไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้จริงๆ เป้าหมายที่จะลดอัตราการตายทางถนนลงคงไม่มีวันเกิดขึ้น อันดับโลกของไทยในเรื่องนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 พระอาทิตย์เป็นของเรา “กองทุนแสงอาทิตย์” เพื่อคุณภาพชีวิตทุกคน

ฉลาดซื้อ ฉบับส่งท้ายปีกับเรื่องราวดีๆ ของโครงการกองทุนแสงอาทิตย์ และอัพเดทสถานการณ์พลังงานของบ้านเรา กับผศ.ประสาท มีแต้ม กรรมการผู้เชี่ยวชาญ ด้านการบริการสาธารณะ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน นักวิชาการอิสระที่ติดตามและเสนอความเห็นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงานทางเลือก ปัจจุบันเป็นอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภาพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบประมาณ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP ประมาณ15-16 เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่ปีไหนน้ำมันถูกหรือน้ำมันแพง ซึ่งบางปีขึ้นไปถึง 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันสูงมาก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าใน 2 ล้านล้านนั้นมันนำเข้า เราพึ่งตัวเองได้ประมาณไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เกือบๆ 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเราต้องนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้ามา ในจำนวน 2 ล้านล้านนี้ ก็จะเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 6-7 แสนล้านบาทต่อปี ทีนี้โดยรูปการแล้วพลังงานนี้ก็ถูกผูกขาด พลังงานฟอสซิลมันถูกผูกขาดและรวมศูนย์ และมีผู้ลงทุนอยู่ไม่กี่ราย ในขณะที่บริการให้กับคนทั้งประเทศ ผู้ซื้อมีจำนวนมาก แต่ผู้ผลิตมีน้อยนิดเดียว ผูกขาดก็ส่งผลกระทบหลายเรื่อง เรื่องสำคัญก็คือเรื่องโลกร้อน ซึ่งเราไปตกลงที่ปารีสเอาไว้จนต้องลด 15 เปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ว่าไป หนึ่งโลกร้อน สองสร้างความเหลื่อมล้ำเพราะว่าคนส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ซื้ออย่างเดียว ผลิตไม่ได้ ผู้ผลิตก็ผูกขาด ผู้ซื้อกระจายทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่เรามีแหล่งพลังงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแดด ลม และชีวมวล ทีนี้แดดกับลมเมื่อก่อนมันแพง โดยเฉพาะแสงแดด พลังงานโซลาร์นี้มันแพงมาก หน่วยหนึ่งเราเรียกว่าสู้ไม่ไหว ส่วนชีวมวลก็เรามีเองของเหลือจากการเกษตร เช่น ปาล์ม ซึ่งมีทะลายปาล์มหรือน้ำเสียจากจำนวนการสกัดน้ำมันปาล์ม ซึ่งตัวนี้เราเอาทำเป็นก๊าซชีวภาพได้ มีคุณสมบัติเหมือนแก๊สที่เขาขุดจากใต้ดิน เหมือนกันเลย เพียงแต่ว่ามันกระจายอยู่ตามท้องถิ่น จังหวัด ใกล้ๆ โรงผลิตน้ำมัน เสร็จแล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ถูก ใช้คำว่าถูกกีดกันจากรัฐ เช่น อ้างว่าไม่เสถียรบ้าง ไม่มั่นคงบ้าง ซึ่งมันก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง สายส่งเต็ม ที่เราได้ยินกันอยู่นะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว บางทีผมใช้คำว่าจริงบ้างไม่จริงบ้าง เช่นคำว่า “ไม่เสถียร” น้ำมันปาล์มซึ่งตอนนี้ออกมาล่าสุด คลิปไม่บอกชื่อผู้ผลิตด้วย ที่บอกมานี้ บอกว่าน้ำมันปาล์มนี้ ของเสียจากน้ำมันปาล์มมันเป็นฤดูกาล แล้วบางฤดูกาลก็ขาด แปลว่าอย่างไง ซึ่งถ้าคุณอนุญาตให้เขาทำ เขาก็สามารถเก็บเชื้อเพลิงไว้ใช้ทั้งปีได้ ปาล์มนี้มันมีฤดูเหมือนกัน แต่ว่านิดเดียวเอง ต่ำสุดกับสูงสุดกระจายกันอยู่ทั้งปีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็สามารถสต็อกเชื้อเพลิงเอาไว้ได้ พื้นที่เยอะแยะไป แล้วที่ผมไปดูในโรงน้ำมันปาล์มที่กระบี่ พวกทหารพาไปดู ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องกรรมการสามฝ่าย ก็มีฝ่ายทหาร ฝ่ายชาวบ้าน และฝ่ายทุน ที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและชาวบ้านค้าน พึ่งไปดูข้อมูลเขาบอกว่าเขาสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชม. 300 วันติดต่อกันไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเอาทั้งปีเหรอ เขาก็จัดการได้ ใช่ไหม จัดการได้ มีหลายโรงที่ขออนุญาตอยู่ ถ้าเขายังไม่ได้รับอนุญาต แล้วเขาอ้างว่าสายส่งเต็ม ที่จริงคำว่าสายส่งเต็มนี้มันเป็นการบิดเบือน ในต่างประเทศอย่างเยอรมันเขาจะมีกฎหมายเป็นระเบียบเลย เขาบอกว่ามันอยู่ที่การจัดลำดับความสำคัญว่าจะใช้ใครใช้ก่อน สายส่งก็เหมือนกับถนนจะให้ใครวิ่งก่อน อย่างในกรุงเทพฯ ห้ามรถสิบล้อวิ่งเวลานั้นเวลานี้ มันห้ามได้ สายส่งก็เหมือนกัน เขาจะให้ผู้ที่ผลิตจากเชื้อเพลิงที่เป็นมิตร พลังงานหมุนเวียนนี้ส่งได้ก่อน ข้อที่หนึ่งให้พวกนี้ส่งได้ก่อนโดยที่ไม่จำกัดจำนวน สองค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นภาระของคนทั้งประเทศ ข้อหนึ่งส่งได้ก่อน ข้อสองไม่จำกัดจำนวน และข้อสามก็คือว่าถ้าค่าใช้จ่ายสูงขึ้นก็เป็นภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ทีนี้เราก็มาบอกว่ามันเต็ม ที่มันเต็มเพราะว่าอะไร เพราะว่าเราไปให้พลังงานฟอสซิลส่งก่อน ขายได้ก่อน เพราะการบิดเบือนความจริง ที่จริงจัดลำดับความสำคัญอย่างนี้ ทำไมต้องจัดลำดับความสำคัญอย่างนี้ เพราะว่าเชื้อเพลิง พลังงานหมุนเวียน พลังงานแสงแดด พลังงานลม หรือชีวมวลนี้มันกระจายอยู่กับคนทั่วไปๆ ก็ให้เขาผลิตไปก่อน และมันไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วมันก็กระจายรายได้ แล้วมันก็ไปเพิ่มผลิตจากปาล์ม ใช่ไหม มันไปทำให้ราคาปาล์มสูงขึ้นได้ เพราะว่าเขาขายไฟฟ้าได้ เอากำไรจากไฟฟ้าไปหมุนปาล์มได้ ราคาอาจจะสูงขึ้น มีตัวเลขอยู่ แต่ผมจำตัวเลขไม่ได้ เรื่องพลังงานต้องคิดให้เป็นระบบเรื่องของพลังงานมันต้องคิดทั้งระบบ จะคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้ เรื่องกำไรขาดทุนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดถึงสิ่งแวดล้อม น้ำเสียคุณปล่อยไป คุณไปทำลายลูกหอยลูกปู ซึ่งเป็นอาหารของชาวบ้านอีก อาหารของคนทั้งประเทศอีก ต้องคิดเป็นทั้งระบบเลย  พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียนสถานะตอนนี้อยู่ตรงไหน พลังงานทดแทน คำว่าทดแทนนี้ผมค้าน คือคำว่า “ทดแทน” มันไม่มีศัพท์นี้ ที่ถูกต้องใช้ “พลังงานหมุนเวียน” เพราะคำว่า “ทดแทน” ไม่มีนิยาม เอาอะไรไปทดแทนอะไร เอาถ่านหินไปทดแทนนิวเคลียร์ หรือ เอานิวเคลียร์มาแทนก๊าซธรรมชาติ มันก็ทดแทนกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันทำให้เบลอหมด ความหมายมันก็เบลอหมด แท้ที่จริงแล้วก็คือ พลังงานหมุนเวียนกับพลังงานฟอสซิล พลังงานจะมีสองตัวเท่านั้น คือ หมุนเวียน กับ ฟอสซิล ส่วนนิวเคลียร์นี้มันตีความยากนิดหนึ่ง มันจะเป็นนิวเคลียร์ก็ไม่ใช่ มันจะเป็นหมุนเวียนก็ไม่ใช่ แต่รวมแล้วมันรวมศูนย์มันผูกขาด แล้วมันก็มีน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็พูดสองอย่างคือ ฟอสซิล กับ หมุนเวียน renewable  แปลว่าเอามาใช้ใหม่ได้ มันไม่หมด renew แปลว่า มันเหมือนหางจิ้งจก พอขาดไปมันก็สร้างใหม่ มันไม่หมด        พลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ คือโซลาร์หรือแสงแดด ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพราะว่าแดดอยู่ที่หัวเรา เราเข้าถึงได้ง่ายมากเลย มีเยอะมาก แต่ฟอสซิลอยู่ใต้ดิน 4-5 พันเมตร มีคนไม่กี่คนในโลกนี้ที่จะใช้ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมาส่งเสริมตรงนี้ว่า ผู้บริโภคที่เคยถูกบังคับให้ซื้ออย่างเดียว เราก็เลยสามารถที่จะผลิตเองได้ด้วย ขายได้ด้วย ผู้บริโภคก็จะกลายมาเป็นเรียกว่าเป็น Pro-Sumer ก็คือ Production บวกกับ Consumer เป็นศัพท์เกิดมา 30-40 ปีแล้ว ของ ท็อปปา ถ้าผมจำไม่ผิดนะ เดวิล ทอปปา เพราะฉะนั้นไฟฟ้านี้ในความเป็นจริงมันสามารถเดินได้สองทาง ภายในสายส่งไฟฟ้าเดินได้สองทาง ไปก็ได้กลับก็ได้ แต่พอเรามาใช้ในบ้านเรา มันแค่ไหลเข้าบ้านเราอย่างเดียว มันไม่ได้ไหลออกจากบ้านเรา แล้วขณะเดียวกันเงินของเราก็ไหลสวนกับไฟฟ้า เงินไหลออกจากกระเป๋าเราไปที่ต้นทาง แต่ไฟฟ้ามาจากต้นทางเป็นพันพันกิโลเมตร จากแม่เมาะเข้ามาถึงกรุงเทพฯ แล้วเงินเราก็ไหลจากกรุงเทพฯ ไปสู่บริษัทไฟฟ้า ซึ่งมันผิดหลัง ทั้งๆ ที่เขาให้เดินสองทางได้ เราเดินสองทางก็คือว่า ทันทีที่เราผลิตเองได้ก็ส่งออก ส่งออกจากหลังคาบ้านเรา พอกลางวันเราผลิตจากโซลาร์เซลล์ ปกติคนส่วนใหญ่เขาไม่อยู่บ้านกัน เราก็ไม่ได้ใช้ไฟในบ้าน เพราะฉะนั้นพอเราผลิตได้มันก็นี้มันก็ต้องส่งไปสาย ตอนกลับบ้าน พระอาทิตย์ก็กลับบ้านเหมือนกัน พอพระอาทิตย์กลับบ้านเราไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อเราไม่มีไฟฟ้าใช้เราก็เอาไฟฟ้าจากสายส่งเข้ามาใช้ แล้วพอสิ้นเดือนก็หักลบกลบหนี้กัน ที่เราส่งออกไปกับที่เรานำเข้ามาใช้มากกว่ากัน คิดบัญชีกัน เรียกว่าเป็น net metering ซึ่งตรงนี้เขาใช้กันทั่วโลก ไม่ว่าประเทศเคนยา ปากีสถาน อินเดีย อเมริกา ออสเตรเลีย เยอรมัน ฯลฯ เขาก็ใช้ตัวนี้กันทั้งนั้น ทั่วโลกเขาก็ใช้ตัวนี้กัน แต่บ้านเรานี้ไม่ยอมให้ใช้ เนื่องจากอ้างเหตุผลสารพัด เช่น ไม่เสถียร สายส่งเต็ม ต้องเสียค่าแบ็คอัพไฟฟ้าไว้ให้กับกลางคืน เขาเรียกแบ็คอัพ เพราะว่า พอเราจะใช้ พระอาทิตย์ก็กลับบ้านแล้ว ใช่ไหม ก็ดึงเข้ามาตอนค่ำ ไฟฟ้าเก็บไว้ได้ดึงเข้ามาใช้ ตรงนี้เขาไปอ้างว่าเป็นค่าแบ็คอัพ ซึ่งผมเรียกว่าเป็น ภาษีแดด ตอนนี้รัฐไทยเก็บจากบริษัทใหญ่ๆ อยู่ แต่ในหลังคาบ้านเขาไม่ยอมให้ติด ถ้าติดแล้วไฟย้อนกลับเขาก็จะมาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นดิจิทัล ซึ่งทำให้แรงดึงดูดในการที่เราจะติดตั้งโซลาร์เซลล์นี้มันไม่มี มันก็เลยไม่เกิด ที่เรากำลังทำเรื่องโครงการโซลาร์ กองทุนแสงอาทิตย์นี้ ก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ ซึ่งเขาทำกันทั่วโลกแล้ว แต่บ้านเราไม่ทำกองทุนโซลาร์แท้จริงคืออะไรกองทุนโซลาร์นี้เราเริ่มต้นด้วยการหาทุนเพื่อที่จะไปติดโซลาร์เซลล์ให้โรงพยาบาล เริ่มต้นโรงพยาบาลก่อน ต่อไปจะเป็นโรงเรียนและเป็นชุมชนต่างๆ ก็ว่าไป ทำไมเราถึงเลือกโรงพยาบาล เพราะว่าตอนนี้โรงพยาบาลขาดทุนอยู่ ต้องจ่ายเงินโรงพยาบาลเดือนละเป็นหลายแสน บางทีก็หลายล้าน เพื่อที่จะเสียค่าไฟฟ้า ทั้งๆ ที่หลังคาก็ว่างอยู่ โรงพยาบาลนี่กลางวันก็ใช้ไฟ เสาร์อาทิตย์ก็ใช้ไฟ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรเราจะปล่อยให้พลังงานมันหายไป เราก็มาผลิต ทีนี้เหมือนที่หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา พูด เราผลิตไฟฟ้าจากหลังคานี้มันไม่ใช่ได้แค่ไฟฟ้าอย่างเดียว มันได้จิตสำนึกมาด้วย จิตสำนึกของคน ของพยาบาล ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตรงนี้จิตสำนึกมันสร้างได้ แต่ว่ามันค่อยๆ เกิดจากโครงการเหล่านี้ เพราะฉะนั้น เราหวังว่า “โครงการพลังงานกองทุนแสงอาทิตย์” เริ่มจากจุดเล็กๆ เอาเงินที่คนบริจาค ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็บริจาคให้วัด ส่วนใหญ่นะ ต่อไปนี้ถ้าคิดถึงเรื่องคนยากคนจนทางโรงพยาบาล เราก็มาที่ชุมชนในโรงพยาบาลเขา ให้เขาลดค่าไฟแล้วเอาเงินที่ลดได้ไปซื้อยาซื้อแพมเพิสให้คนไข้ ซึ่งยากไร้อยู่ ก็เป็นการทำบุญที่อยู่ได้นาน โซลาร์เซลลล์นี้จะอยู่ได้ประมาณ 25 ปี เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เราคิดว่า 1 กิโลวัตต์นี้ประมาณ 35,000 บาท แต่มันอยู่ได้ 25 ปี มันจะได้ 5 เท่า สมมติเราทำบุญไป 100 บาท มันจะทวีคูณไปเป็น 500 บาท เพราะว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นมันสูงกว่าการลงทุน การลงทุนนี้คุ้มทุนนี้เขาเรียกว่าประมาณ 5-6 ปีเท่านั้น นี่เป็นการทำบุญในมิติใหม่ เงินเราจะหมุนไปๆ อย่างรวดเร็ว 5 เท่า ซึ่งตอนนี้เราก็มีโครงการที่จะติดอยู่ 7 โรงพยาบาล 30 กิโลวัตต์ ก็คิดๆ ประมาณ 1.1 ล้านต่อโรง 7 โรงก็ประมาณ 7.7 ล้าน ซึ่งตอนนี้เมื่อกี้ดูตัวเลขล่าสุด เปิดตัวมาตั้งแต่วันที่ 29 วันนี้ก็ประมาณ 4-5 วัน ตอนนี้เราได้ 6 หมื่นแล้ว ก็ทยอยเข้ามา ที่สำคัญเงินบริจาคหักภาษีได้ เงินบริจาคหากบริจาคตอนนี้ถึงสิ้นเดือนธันวาฯ หักของปีนี้ได้ บริจาคปีหน้าก็หักภาษีของปีหน้า ดังนั้นก็ขอเชิญชวนช่วยกันบริจาค เพราะว่าบางโรงพยาบาล เมื่อก่อนที่เชิญหมอมา ผอ.โรงพยาบาลชุมพร บอกว่าโรงพยาบาลเขาถูกจัดระดับเป็นระดับ 7 ถ้าเป็นเอกชนก็ล้มละลายแล้ว เป็นหนี้เยอะ เป็นหนี้อยู่ 85 ล้านจากเงินได้ต่อหัวที่ สปสช.เขาให้มา แล้วหมอเขาก็จะทำให้ลดลงมาแล้วเหลือ 65 เป็นหนี้อยู่ 65 ล้าน แต่บางโรงก็ไม่ถึง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นการช่วยโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการช่วยเชิงโครงสร้างเชิงระยะยาวให้เขาพึ่งตัวเองได้ระดับหนึ่ง แล้วก็ไปสร้างจิตสำนึกให้กับคนของโรงพยาบาลเองด้วยพลังงานโซลาร์จะช่วยโรงพยาบาลประหยัดเดือนหนึ่งกี่เปอร์เซ็นต์30 กิโลวัตต์นี้ก็ประมาณ เอา 30 กิโลวัตต์คูณด้วย 135 ก็จะได้เป็นหน่วยต่อปี แล้วคูณด้วย 4.5 บาท เท่ากับ 18,000 ต่อเดือน แล้วคูณด้วย 12 เท่ากับ 210,000 นี่คือประหยัด 2 แสนต่อปี เอาตัวเลขกลมๆ แล้วมันอยู่ได้ถึง 25 ปี ก็เอา 25 คูณ เท่ากับ 5 ล้าน(จากที่เขาขาดทุนก็จะช่วยตรงนี้) เราลงทุน 1.1 ล้าน ใน 25 ปี เราจะได้ 5.5 ล้าน นี่คือพลังบุญที่มันทวีคูณขึ้นไป(คิดที่ค่าไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 4.5 บาทต่อหน่วย)        สถานการณ์ต่างๆ เราจะอัพเดทตลอด สามารถเข้าไปดูที่เว็บไซต์ได้ thailandsolarfund.org บริจาคที่นั่นแล้วก็มีใบเสร็จออกมาให้ได้เลย ซึ่งออนไลน์ ไม่ต้องมาบริจาคที่มูลนิธิก็ได้ ทั้งโครงการทั้งหมดนี้อยู่ในนามของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ทันทีที่เราได้ 1.1 ล้าน เราก็จะทำที่โรงพยาบาลแรก ซึ่งยังไม่รู้ว่าโรงพยาบาลไหน  ก็คัดเลือกกันไว้แล้ว ดูความเหมาะสม ดูความกระตือรือร้นของแต่ละโรงพยาบาลด้วย เขาก็เงินเข้ามาสมทบ คนของเขาตื่นตัวไหม เสร็จโรงที่หนึ่งก็ดำเนินการโรงที่สอง ระหว่างนั้นเราก็รับบริจาคไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนด แต่ว่าเดือนมกราฯ นี้เราคาดหวังว่าควรจะได้โรงแรก พี่ตูนวิ่งได้เยอะแยะ แล้วเราเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการนี้ประมาณ 15 องค์กร ซึ่งแต่ละองค์กรก็จะมีเครือข่ายของตัวเองอยู่ ท่านพระครูวิมลปัญญาคุณเป็นประธาน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าเราจะได้จิตสำนึกของคนเพื่อมาลดโลกร้อน ขณะเดียวกันเราจะส่งแรงให้รัฐขับเคลื่อนเชิงนโยบาย เพราะรัฐกีดกัน net metering อยู่ แต่ถ้ามีกระแสแบบนี้ สร้างกระแสแบบนี้ มีข้อแนะนำอย่างไรสำหรับการเริ่มติดตั้งโซลาร์เซลล์คือตัวบ้านผมนี้ยังไม่ติดเลย เพราะว่าคนที่เขาติดแล้ว คนที่ค้านโรงไฟฟ้า สมมติค้านรัฐหน่อยก็จะถูกกลั่นแกล้ง เป็นที่หมายปอง ถ้าไปติดปุ๊บเขาจะมาถอดมิเตอร์ออกไป ทำให้ไฟฟ้าออกไปไม่ได้ หรือตอนนี้ก็ต้องติดอุปกรณ์ตัวหนึ่งเพื่อไม่ให้ไฟออก มันก็เลยลงทุนไปเปล่าประโยชน์ ฉะนั้นไม่คุ้มทุน คือคนติดแล้วนี่ลงทุน 1 กิโลวัตต์ ประมาณ 35,000 บาทใช่ไหม ถ้า 600 มันก็ประมาณ 2-25,000 บาท ประมาณนั้น พอติดแล้วมันจะจัดการกันเอง ไฟฟ้าไม่ต้องไปยุ่งมัน จะกระติกน้ำร้อนหรือว่าดูทีวีมันจัดการกันเอง (ลงทุนเล็กๆ อย่างนี้ก่อน) ใช่ แล้วมันจะคุ้มทุนประมาณ 4-5 ปีคือรอเวลาที่จะมีโครงการรับซื้อไฟใช่ ที่ออสเตรเลียเขาประกาศเป็นนโยบายแล้ว ติดแบตเตอรี่ 1 แสนหลัง ภายในกี่ปีผมจำตัวเลขไม่ได้ บ้านละ 2,000 เหรียญที่รัฐจะอุดหนุน  แต่สำหรับประเทศไทยเราไม่รอแล้ว เรารณรงค์แล้ว รณรงค์เรื่องติดโซลาร์เซลล์ในโรงพยาบาล ในขณะเดียวกันก็สร้างจิตสำนึกสร้างการเรียนรู้ของสังคมไทยว่า เราสามารถพึ่งตัวเองได้ว่าแสงอาทิตย์มีประโยชน์แล้วคนเหล่านี้ คนเล็กๆ เหล่านี้มารวมตัวกันบริจาคคนละร้อยสองร้อยเพื่อไปให้กับโรงพยาบาล ให้เขาเห็นสิ่งนั้น ในขณะเดียวกันเขาก็เรียนรู้ เมื่อเขาเรียนรู้เขาก็ไปคิดเองได้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ เขาควรจะไปผลักนโยบายในระดับรัฐยังไง เขาควรจะปรับปรุงตัวเองยังไง         ผมเคยพูดไว้วันที่แถลงข่าวว่าคนเล็กๆ เหมือนกับผีเสื้อขยับปีก บางจังหวัดสามารถทำให้เกิดพายุทอนาโดได้ แต่มันไม่ได้เกิดทันทีหรอกนะ ขยับปีก ทฤษฎีเขาว่า ใช้หลักผีเสื้อขยับปีกที่ฮองกงวันนี้ อาจจะส่งผลให้เกิดพายุทอนาโดในสหรัฐอเมริกาในอีก 3 เดือนต่อไป เพราะฉะนั้นของเราไม่ใช่ขยับปุ๊บได้ปั๊บ แต่ตรงนี้มันเป็นการสะสมพลังไปในสังคมว่าคนเล็กๆ อย่างเราก็มีอำนาจ ก็มีพลังที่จะสามารถแสดงพลังออกมาให้สังคมได้เห็น และร่วมกันสร้างโลกใหม่ที่เราอยากจะเห็น ที่ไม่ร้อน ที่จะแก้ปัญหาโลกร้อน โลกร้อนเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 โอคราท็อกซิน เอ ในผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว

กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงาน ที่ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพากาแฟเป็นจุดเริ่มต้นของเช้าวันสดใส เพื่อสร้างความตื่นตัวก่อนเริ่มงาน ไม่ว่ากาแฟกระป๋อง กาแฟซองสำเร็จรูป หรือกาแฟสด ต่างก็สร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับคอกาแฟได้ไม่ต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมความชื่นชอบของแต่ละคน             กาแฟ 2 สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในไทย คือ โรบัสต้า ที่ปลูกมากในภาคใต้ คิดเป็นร้อยละ 99 ของกาแฟที่ปลูกในประเทศ และ อะราบิก้า (ร้อยละ 1) ในภาคเหนือ ทั้งสองสายพันธุ์แม้มีกระบวนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกัน  แต่ในระหว่าง กระบวนการเก็บเกี่ยว สภาพแวดล้อมและภาวะอากาศ ตลอดจนระยะเวลาระหว่างการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ ทุกอย่างมีผลเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราชนิด ไมโคท็อกซิน (mycotoxins) ที่สามารถผลิตสารพิษ ชื่อ โอคราท็อกซิน เอ (Ochratoxin A; OTA)  ที่เป็นอันตรายต่อการบริโภค ได้ไม่ต่างกันและเมล็ดกาแฟที่ปนเปื้อนสารพิษโอคราท็อกซินแล้ว สารพิษนี้ยังคงตกค้างในเมล็ดต่อไป แม้ว่าจะผ่านการตากแห้ง หรือนำเมล็ดไปคั่ว ก็ไม่สามารถทำลายสารพิษได้ ดังนั้นการควบคุมปริมาณสารพิษในเมล็ดให้อยู่ระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จึงต้องใช้วิธีการป้องกันในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตกาแฟ                 ขณะเดียวกันการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถป้องกันความชื้นได้ ก็เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อรา(mold)  เพราะเมล็ดกาแฟที่แห้งสามารถดูดความชื้นกลับได้ การเก็บรักษาจึงต้องมีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิในห้องเก็บให้คงที่ มีระบบระบายอากาศออกเป็นระยะๆ            เพราะกาแฟเป็นที่นิยมมาก หลายคนยังชื่นชอบกาแฟแบรนด์ดังเพราะกลิ่นรสที่มีความพิเศษด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังทั้งเชื้อราและสารพิษจากเชื้อรา ฉลาดซื้อและโครงการเฝ้าระวังฯ จึงสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว จำนวน 20 ตัวอย่าง จากห้างสรรพสินค้า และร้านกาแฟสด ในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม 2561 โดยมีทั้งเมล็ดกาแฟที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ มาสุ่มตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนของเชื้อรา และ สารพิษโอคราท็อกซิน เอ (Ochratoxin A) มาตรฐานการปนเปื้อนของ OTA ในเมล็ดกาแฟคั่ว ตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป กำหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้พบสารพิษโอคราท็อกซิน เอ (OTA) ในเมล็ดกาแฟคั่ว และกาแฟคั่วบดได้ ไม่เกิน 5 ไมโครกรัม/กิโลกรัม (ug/kg) และปนเปื้อนในกาแฟสำเร็จรูปพร้อมชงได้ไม่เกิน 10 ug/kg ส่วนองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เสนอปริมาณ OTA ที่ยอมรับให้บริโภคได้ใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 100 นาโนกรัม/กิโลกรัม (ng/kg) ของน้ำหนักตัว (JECFA, 2001) สรุปผลการทดสอบผลการตรวจวิเคราะห์หาเชื้อราและสารพิษโอคราท็อกซิน เอ จากตัวอย่างผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว จำนวน 20 ตัวอย่าง พบว่า ทุกตัวอย่าง ตรวจพบเชื้อราปริมาณน้อยกว่า 10 CFU/g และตรวจไม่พบสารพิษโอคราท็อกซิน เอ (OTA)ข้อสังเกตวันผลิต วันหมดอายุ หรือ วันที่ควรบริโภคก่อน บนบรรจุภัณฑ์- พบผลิตภัณฑ์ที่ ไม่ได้ระบุ วันผลิต แต่ระบุวันหมดอายุ หรือวันที่ควรบริโภคก่อน จำนวน 6 ตัวอย่าง            ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Espresso Roast (Dark Roast) ยี่ห้อ STARBUCKS, ผลิตภัณฑ์ Doitung Espresso Roast ยี่ห้อ Doitung, ผลิตภัณฑ์ Espresso Italian-style, traditional, dark-roasted espresso ยี่ห้อ BONCAFE, ผลิตภัณฑ์ Premium Blend Medium Dark Roast ยี่ห้อ Suzuki Coffee, ผลิตภัณฑ์ Roasted Coffee Bean ยี่ห้อ illy และ ผลิตภัณฑ์ Coffee Bean Roasted Coffee Bean ยี่ห้อ COFFMAN- และพบผลิตภัณฑ์ที่ ระบุวันผลิต แต่ไม่ได้ระบุวันหมดอายุหรือวันที่ควรบริโภคก่อน จำนวน 4 ตัวอย่าง            ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ The Impression of Espresso Finest 100% Arabica (Premium A5 Dark Roast Level) ยี่ห้อ Bluekoff, ผลิตภัณฑ์ Café KALDI Fresh Roasted Coffee (Premium Dark) ยี่ห้อ KALDI, Roasted Coffee Beans : House Blend ยี่ห้อ mezzo และ ผลิตภัณฑ์ Full City Roast ยี่ห้อ Akha Ama ตารางผลตรวจวิเคราะห์เชื้อราและสารพิษโอคราท็อกซิน เอ ในผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว (เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เดือน กันยายน - ตุลาคม 2561)หมายเหตุ หน่วย CFU/g หมายถึง Colony forming unit เป็นหน่วยที่ได้จากวิธีตรวจนับปริมาณกลุ่มจุลินทรีย์ หน่วย ug/kg หมายถึง ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเมล็ดกาแฟคั่ว หน่วย ug/kg หมายถึง ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเมล็ดกาแฟคั่ว หน่วย ug/kg หมายถึง ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเมล็ดกาแฟคั่ว หน่วย ug/kg หมายถึง ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเมล็ดกาแฟคั่ว หน่วย ug/kg หมายถึง ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเมล็ดกาแฟคั่ว* การตรวจวิเคราะห์เชื้อรา ใช้วิธี FDA BAM Online, 2001 (Chapter 18). ** การตรวจวิเคราะห์สารพิษโอคราท็อกซิน เอ ใช้วิธี In house method SOP LBLC-13024 based on Agronomy Research 9 (Special Issue II), 461-468,2011, HPLC-MS-MS.ข้อแนะนำในการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟคั่ว        แม้ว่าเมล็ดกาแฟคั่วในบรรจุภัณฑ์จะปลอดภัยจากเชื้อราและสารพิษโอคราท็อกซิน เอ (OTA)  แต่หลังจากเปิดห่อบรรจุภัณฑ์เพื่อนำเมล็ดกาแฟไปบด ก็เป็นช่วงเวลาที่เมล็ดกาแฟอาจได้รับความชื้นจนเกิดเชื้อราได้ จึงควรบดเมล็ดกาแฟเฉพาะในปริมาณที่พอเหมาะกับการบริโภค (ผงกาแฟจะมีพื้นที่สัมผัสอากาศมาก กว่ากาแฟที่อยู่ในรูปแบบเมล็ด ทำให้กาแฟเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น) และปิดผนึกห่อเมล็ดกาแฟคั่วส่วนที่เหลือให้มิดชิด (อาจเทเก็บเอาไว้ในขวดโหลที่ปิดสนิท) นำผงกาแฟที่บดแล้วใส่กล่องสุญญากาศ เก็บไว้ในที่แห้งและไม่มีความชื้น      นอกจากนี้ ยังสามารถนำผงกาแฟที่บดแล้วใส่กล่องสุญญากาศ แช่ไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาก็ได้ เป็นการลดโอกาสที่จะเกิดกลิ่นหืนจากน้ำมันในผงกาแฟ ซึ่งผงกาแฟจะเสื่อมสภาพเร็ว หากทิ้งไว้ให้สัมผัสกับอากาศและความชื้น ควรใช้ช้อนที่แห้งสนิทตักผงกาแฟ เพื่อเก็บรักษาผงกาแฟสุดรักสุดโปรด ให้คงกลิ่นความหอม และปลอดภัยจากเชื้อราแหล่งข้อมูล:- เว็บไซต์ สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม - งานวิจัย การตรวจสอบโอคราทอกซินเอในกาแฟคั่วที่จำหน่ายในกรุงเทพมหานคร (สิทธิพร ชมภูรัตน์ และคณะ) - ไทยรัฐออนไลน์ สารพิษจากเชื้อรา ในกาแฟคั่วบด ( - งานวิจัย การตรวจสอบโอคราทอกซินเอในกาแฟคั่วที่จำหน่ายในกรุงเทพมหานคร (สิทธิพร ชมภูรัตน์ และคณะ) - ไทยรัฐออนไลน์ สารพิษจากเชื้อรา ในกาแฟคั่วบด ( - งานวิจัย การตรวจสอบโอคราทอกซินเอในกาแฟคั่วที่จำหน่ายในกรุงเทพมหานคร (สิทธิพร ชมภูรัตน์ และคณะ) - ไทยรัฐออนไลน์ สารพิษจากเชื้อรา ในกาแฟคั่วบด (https://www.thairath.co.th/content/360759) - กรมวิชาการเกษตร. - กรมวิชาการเกษตร. - กรมวิชาการเกษตร. 2548. สารพิษ ออคราทอกซิน เอ และมาตรฐานคุณภาพเมล็ดกาแฟ. สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ แนะนำทำความรู้จัก ‘ โอคราท็อกซิน เอ ’ โอคราท็อกซิน เอ (Ochratoxin A; OTA) คือ สารพิษที่ถูกผลิตขึ้นโดยเชื้อราไมโคท็อกซิน (Mycotoxin) ที่ชื่อ Aspergillus achraceus และ Penicillium viridicatum โดยที่พบจะมี 2 ชนิด คือ A และ B แต่ที่พบตามธรรมชาติคือชนิด A ซึ่งมักปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดธัญชาติ และผลไม้อบแห้ง เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดโกโก้ องุ่นอบแห้ง รวมถึงเมล็ดกาแฟ และอาจพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ หากว่าสัตว์กินอาหารที่ทำจากพืชที่ปนเปื้อนสารพิษนี้เข้าไป สารพิษโอคราท็อกซิน เอ หรือ OTA มีโครงสร้างที่มีความคงตัว ทนความร้อน ไม่สามารถถูกทำลายที่อุณหภูมิหุงต้มปกติได้ ชอบความชื้น และอุณหภูมิที่ 25 – 28 องศาเซลเซียส OTA เป็นสารพิษที่มีพิษต่อตับและไต หากร่างกายได้รับ OTA สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อ ไตเกิดอาการติดเชื้อจนอาจนำไปสู่การเกิดเนื้องอกในต่อมไต และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง  OTA ยังเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ดังนั้นจึงควรหาวิธีลดปริมาณ OTA ที่พบในอาหารให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีการผลิตอาหารจะสามารถทำได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 ผลไม้อบแห้ง ปริมาณพลังงานและน้ำตาล

             ผลไม้แห้ง เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้ จัดอยู่ในกลุ่มอาหารแห้ง(dried food) หรืออาหารกึ่งแห้ง การอบแห้งผลไม้เป็นหนึ่งในวิธีการดั้งเดิมที่ใช้ในการถนอมรักษาอาหารให้สามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน โดยใช้หลักการในการลดความชื้นของอาหารให้อยู่ในระดับที่เชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญได้ การอบแห้งโดยทั่วไปจะอาศัยพลังงานความร้อนในการระเหยน้ำออก ผลไม้อบแห้งที่ฉลาดซื้อเลือกมาดูปริมาณพลังงานและน้ำตาลในคราวนี้ เป็นผลไม้กึ่งแห้งที่มีวางจำหน่ายบนชั้นวางทั่วไปในห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ ได้แก่ ลูกเกด ลูกพรุน และมะม่วง             ผลไม้อบแห้งสามารถใช้เป็นของว่างที่มีประโยชน์ทดแทนขนมหวานหรือขนมขบเคี้ยวได้ อย่างไรก็ตามบางผลิตภัณฑ์มีการปรุงแต่งให้มีรสหวานเพิ่มขึ้นจากความหวานดั้งเดิมที่อยู่ในเนื้อผลไม้ จึงควรตรวจสอบฉลากเพื่อรับประทานให้เหมาะสม นอกจากนี้กลุ่มผลไม้อบแห้งนี้ในกระบวนการผลิตจะมีการใช้สารประเภทซัลไฟต์เพื่อคงสภาพสีของผลไม้ให้น่ากิน หรือใช้เป็นวัตถุกันเสีย ซึ่งอาจมีผลต่อคนที่มีความไวต่อสารชนิดนี้เป็นพิเศษ ควรพิจารณาฉลากก่อนรับประทานมีอะไรในผลไม้อบแห้งนอกจากผลไม้ กรด การใช้กรดในผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ เพื่อช่วยปรับปรุงกลิ่น รส และยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การเลือกใช้กรดจะขึ้นอยู่กับชนิดของกรดที่มีอยู่มากในผลไม้ ส่วนมากจะมีกรดซิตริก (กรดมะนาว) องุ่นมีกรดทาร์ทาริก (หรือเรียกว่ากรดมะขาม) เป็นต้น  สารที่ให้คงรูปสารคงรูป เพื่อปรับปรุงคุณภาพทางด้านเนื้อสัมผัสของผลไม้ให้ดีขึ้น สารคงรูปที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยโบราณ คือ ปูนขาว ปูนแดง และสารส้ม แต่เนื่องจากสารเหล่านี้มักมี องค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันในอุตสาหกรรมการแปรรูปผักและผลไม้จึงใช้แคลเซียมคลอไรด์ สารที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดสีน้ำตาลส่วนมากใช้วัตถุเจือปนอาหารเพื่อป้องกันปฏิกิริยาดังกล่าว ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และสารประกอบซัลไฟต์ วัตถุกันเสียเป็นสารประกอบเคมีที่ช่วยในการถนอมหรือยืดอายุการเก็บอาหาร หรือช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุในการเสียของผลิตภัณฑ์ประเภทผักและผลไม้การใช้สารประเภทซัลไฟต์ในผลไม้แห้ง             ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นสารเคมีที่สำคัญที่ใช้ในการรักษาสีของผลไม้อบแห้ง มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทำหน้าที่ยับยั้งปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลในผลไม้ สารประกอบที่ใช้ได้แก่ เกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งได้รับการยอมรับจาก GRAS ให้สามารถใช้ได้ในผลิตภัณฑ์อาหาร (Generally recognized as safe คือ สารเคมีที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยา ว่าสามารถใช้เติมลงไปในอาหารได้อย่างปลอดภัย สารที่ได้รับรองว่า เป็น GRAS ส่วนใหญ่ จะไม่จำกัดปริมาณการใช้ แต่จะให้ใช้เท่าที่จำเป็น)  การรมก๊าซกำมะถัน เป็นการนำผลไม้เก็บไว้ในห้องปิดสนิท ที่ได้ทำการเผาผงกำมะถันไว้ ห้องที่ใช้สามารถทำด้วยวัสดุต่างๆ เช่น ไม้ PVC หรือซีเมนต์ มักใช้กับผลไม้ที่ทำแห้ง โดยการตากแดด เช่น แอพริคอต พีช แพร์ ลูกเกด ปริมาณการดูดซึมและปริมาณซัลเฟอร์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ระยะเวลาในการรม ความเข้มข้นของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ขนาด สภาพของผลไม้ ระดับความสุก พันธุ์ของผลไม้ ฯลฯ ผลไม้ที่มีความแก่จะดูดซึมได้มากกว่าแต่มีซัลเฟอร์ที่อยู่ในเนื้อผลไม้น้อยกว่าผลไม้ที่อ่อนกว่า อุณหภูมิที่สูงมีแนวโน้มที่จะลดการดูดซึมแต่จะทำให้มีระยะเวลาที่ซัลเฟอร์อยู่ในผลไม้ได้นานกว่า            ผลไม้ที่ผ่านการรมหรือแช่สารประกอบซัลเฟอร์ ไม่บรรจุในภาชนะประเภทโลหะ เนื่องจากซัลเฟอร์จะทำปฏิกิริยากับโลหะทำให้ผลไม้เกิดการเปลี่ยนสี หากต้องบรรจุในภาชนะโลหะให้บรรจุในถุงพลาสติกก่อน อายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้งจะประมาณ 1 ปี ที่ 15 oซ ที่มา: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร  http://www.tistr-foodprocess.net/fruit_dry.htmlภูมิแพ้ซัลไฟต์ หรือภูมิแพ้สารกันบูดซัลไฟต์ ถูกใช้ในเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายชนิด เพื่อเป็นสารกันเสีย (Preservatives) อาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงอาการที่ถึงแก่ชีวิตไม่ว่าจะเป็นคัน ไอ มีเสมหะ หายใจไม่สะดวก ลมพิษปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียนเวียนศีรษะหน้ามืดเป็นลมหลอดลมหดเกร็งจากการบวมของหลอดลมทำให้หายใจลำบากความดันโลหิตลดลงอาจจะต่ำจนช็อกชีพจรเต้นเร็วภาวะหอบหืด หน้ามืดเป็นลม และหมดสติ เราเรียกอาการนี้ว่า Anaphylaxis ที่อาจถึงแก่ชีวิตซัลไฟต์จะอยู่บนฉลากอาหารดังปรากฏด้านล่างนี้ INS ชื่อ 227 Calcium hydrogen sulfite 228 Potassium bisulfite 224 Potassium metabisulfite 225 Potassium sulfite 222 Sodium hydrogen sulfite 223 Sodium metabisulfite 221 Sodium sulfite 220 Sulfur dioxide  ตารางแสดงรายละเอียดผลไม้อบแห้ง ลูกเกด ลูกพรุน มะม่วง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 เมื่อรถถูกยึดขายทอดตลาด ระวังถูกลักไก่โกงส่วนต่าง

เมื่อรถถูกยึดขายทอดตลาด ระวังถูกลักไก่โกงส่วนต่างเมื่อเช่าซื้อรถยนต์แล้วผ่อนต่อไม่ไหว ต้องปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถไป ผู้บริโภคไม่ควรเพิกเฉยและคิดว่าถูกยึดไปแล้วก็ช่างมันเถอะ เพราะการที่รถยนต์ถูกนำไปขายทอดตลาดนั้น จำนวนเงินที่ขายได้จะมีผลต่อหนี้ที่ผูกพันกันอยู่ระหว่างผู้บริโภคกับสถาบันการเงิน บางทีความเผอเรออาจทำให้ถูกโกงส่วนต่างได้โดยไม่รู้ตัว         กรณีที่ถูกเรียกค่าส่วนต่างเกินกว่าที่ควรจะเป็น คุณสัญญาเช่าซื้อรถกระบะในราคาประมาณ 800,000 บาท ทำสัญญากับไฟแนนช์ระบุการชำระค่างวดทั้งสิ้น 84 งวด  ซึ่งคุณสัญญาก็ชำระค่างวดได้ราบรื่นผ่านไปถึงงวดที่ 48 จากนั้นจำเป็นต้องหยุดผ่อนชำระเพราะมีปัญหาด้านการเงิน จึงถูกยึดรถและเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาด ซึ่งขายได้ในราคา 340,000 บาท มีส่วนต่างที่ถูกเรียกเก็บจากไฟแนนช์ 290,000 บาท และเรียกให้คุณสัญญาชำระหนี้ในส่วนนี้         คุณสัญญาคำนวณแล้ว รู้สึกว่าตนเองโดนเอาเปรียบเพราะถูกเรียกค่าส่วนต่างเกินค่าใช้จ่ายที่เป็นจริง จึงขอคำปรึกษากับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค   แนวทางแก้ไขปัญหา         ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ. 2543 ข้อ 3 (5) ก. กำหนดว่า ก่อนขายให้แก่บุคคลอื่น ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้เช่าซื้อทราบเป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อได้ตามมูลค่าหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 3 (5) ข. กำหนดว่า ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ออกขาย หากได้ราคาเกินกว่ามูลหนี้ในส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อ จะรับผิดชอบส่วนที่ขาดนั้น เฉพาะกรณีการขายโดยวิธีประมูลหรือขายทดอดตลาดที่เหมาะสมเท่านั้น         ดังนั้นเมื่อถูกยึดรถ แนวทางปฏิบัติคือ         1.ถ้าได้รับแจ้งจากไฟแนนซ์ ให้รับผิดชอบส่วนต่าง หากเห็นว่าส่วนต่างที่ถูกเรียกเก็บนั้นไม่เป็นธรรมหรือสูงเกินสมควร ลูกหนี้สามารถเจรจาต่อรองกับไฟแนนซ์ โดยลูกหนี้จะต้องหาข้อมูลก่อนว่า รถยนต์ยี่ห้อ รุ่นและปีผลิตเดียวกันกับรถยนต์ของลูกหนี้มีราคาขายในตลาดมือสองเท่าไร เพื่อใช้ในการคำนวณให้ลดส่วนต่างได้ เช่น เช่าซื้อรถยนต์มาในราคา 300,000 บาท ราคารถยนต์ตามตลาดรถยนต์มือสองอยู่ที่ 200,000 บาท แต่ไฟแนนซ์กลับนำไปขายได้ราคาเพียง 100,000 บาท แล้วเรียกเก็บส่วนต่างกับลูกหนี้ 200,000 บาท เช่นนี้ลูกหนี้จะสามารถต่อรองได้ เนื่องจากขายทอดตลาดได้ราคาที่ต่ำเกินไป         2. หากไฟแนนซ์ฟ้องคดีแล้ว โดยส่วนใหญ่จะฟ้องให้ลูกหนี้ชำระ ค่าส่วนต่างราคารถที่เช่าซื้อ ค่าบอกกล่าวทวงถาม ค่ายกเลิกสัญญา ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ค่ายึดรถ เป็นต้น ลูกหนี้จะต้องทำคำให้การเพื่อขอให้ศาลพิจารณาลดยอดหนี้ที่ฟ้องมา ให้เป็นไปตามความจริง เช่น ส่วนต่างราคารถยนต์ที่ไฟแนนซ์ขายทอดตลาดต่ำกว่าราคาที่ควรได้จริงหรือไม่ หรือลูกหนี้เป็นผู้ไปคืนรถยนต์ด้วยตนเอง เท่ากับว่าบริษัทไม่มีการไปยึดรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เรียกเก็บนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยจะต้องมีหลักฐานประกอบเพื่อให้ศาลใช้ในการพิจารณาพิพากษา         3. เมื่อศาลพิพากษาแล้วได้ยอดหนี้เท่าใดนั้น ก็อยู่ที่ลูกหนี้ว่าตนเองจะสามารถปิดบัญชีหนี้ได้ตามที่ศาลพิจารณาหรือไม่           ดังนั้นคำแนะนำของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคต่อคุณสัญญาคือ ถ้าเห็นว่าถูกเอาเปรียบโดนเก็บค่าส่วนต่างเกินจริงไป สามารถต่อรองกับทางไฟแนนซ์ได้ ซึ่งถ้าตกลงกันไม่ได้ไฟแนนซ์จะฟ้องศาลเพื่อให้ผู้ร้องจ่ายหนี้ส่วนต่างนี้ สิ่งที่ต้องทำคือหาทนายเพื่อเขียนคำให้การต่อสู้คดี โดยทางศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ มีทนายเพื่อผู้บริโภคช่วยทำคำให้การต่อสู้ได้ หากผู้ร้องต้องการ           กรณีโดนลักไก่ คุณสายัณห์ เช่าซื้อรถยนต์เมื่อเดือนเมษายนปี 2551 ในราคา 449,663.40 บาท สัญญาระบุการผ่อนชำระ 60 งวด แต่ด้วยสภาพทางการเงินที่ไม่เอื้ออำนวย คุณสายัณห์กัดฟันผ่อนไปได้เพียง 11 เดือนก็ต้องยุติการผ่อนชำระ แน่นอนว่ารถได้ถูกยึดไปเพื่อขายทอดตลาด ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม 2561 คุณสายัณห์ถูกฟ้องเป็นจำเลย เรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อ ค้ำประกัน และเรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน 131,824.77  บาท จึงมาขอคำปรึกษากับทางศูนย์พิทักษ์สิทธิ เพื่อให้ช่วยเหลือด้านคดี         เมื่อพิจารณาสำนวนฟ้องแล้ว ทนายเพื่อผู้บริโภคพบว่า ทางไฟแนนซ์เรียกเก็บค่าส่วนต่างเกินไปมาก เนื่องจากจำเลยผ่อนค่างวดไป 11 งวด รวมเป็นเงิน 88,205 บาท ยังคงค้างอีกประมาณ 271,515 บาท แต่โจทก์ทำสำนวนฟ้องว่า รถยนต์ขาดทอดตลาดได้ 228,000 บาท แต่เอกสารการขายทอดตลาดระบุชัดเจนว่า ขาดได้เงินทั้งสิ้น 288,000 บาท ดังนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นคือ ส่วนที่เหลือจากการขายทอดตลาด เป็นเงิน 16,455 บาท ต้องคืนให้แก่จำเลย เมื่อศาลพิจารณาคำให้การแล้ว ได้แจ้งให้ทนายโจทก์ถอนฟ้อง ต่อมาในการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561ทราบว่าโจทก์ถอนฟ้องแล้ว เนื่องจากการขายทอดตลาดในคดีนี้คุ้มทุนกับหนี้ที่จำเลยค้างชำระแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 รถมือสองต้องระวัง

หนึ่งเดือนถัดมา รถเริ่มมีปัญหาสตาร์ทไม่ติด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด เมื่อนำเข้าอู่เพื่อตรวจอาการช่างแจ้งว่า มีปัญหาไดสตาร์ทต้องเปลี่ยนใหม่ มีค่าใช้จ่าย 4,000 บาท คุณพิภพจึงติดต่อพนักงานขายที่เคยแจ้งว่าทางเต็นท์รับประกันสามเดือนเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาให้ ทางพนักงานขายแจ้งกลับว่า จะช่วยซ่อมรถยนต์ให้แต่ต้องมาซ่อมกับอู่ของทางเต็นท์เท่านั้น รถมือสองต้องระวัง      สำหรับยุคปัจจุบัน รถเป็นปัจจัยสำคัญไม่ด้อยกว่าปัจจัยสี่ ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย และหลายคนก็มีไว้เพื่อการประกอบอาชีพ แต่เพราะพาหนะชนิดนี้มีราคาสูงมาก การจะเป็นเจ้าของรถใหม่สักคันจึงต้องมีทุนทรัพย์พอสมควร สำหรับผู้ที่ทรัพย์ไม่มากแต่จำเป็นต้องมีรถ รถยนต์มือสองจึงเป็นทางเลือกที่เพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของ แต่ก็มีข้อพึงระวังหลายอย่าง เช่นที่ผู้ร้องรายนี้กำลังปวดหัวอยู่      คุณพิภพกับคุณปานวาด ได้ติดต่อกับเต็นท์รถยนต์มือสองแถวถนนกาญจนาภิเษก เพื่อซื้อรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นแคปติวา โดยคุณปานวาดเป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อกับทางไฟแนนซ์ ในราคาประมาณ 400,000 บาท ส่วนผู้ใช้งานตัวจริงคือคุณพิภพ ซึ่งวันที่ไปดูรถก็ได้ทดสอบรถที่บริเวณเต็นท์รถเท่านั้น โดยไม่พบปัญหาใด ในการทำสัญญาพนักงานขายแจ้งว่า มีการรับประกันเกียร์ แอร์และเครื่องยนต์ 3 เดือน และจะติดฟิล์มรถยนต์ เปลี่ยนยางขอบ แบตเตอรี่ พร้อมถ่ายน้ำมันเครื่องให้ใหม่ ซึ่งมีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในเอกสาร ยกเว้นแต่การรับประกัน 3 เดือน ที่พนักงานแจ้งด้วยวาจา      ประมาณหนึ่งเดือนถัดมา รถเริ่มมีปัญหาสตาร์ทไม่ติด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด เมื่อนำเข้าอู่เพื่อตรวจอาการช่างแจ้งว่า มีปัญหาไดสตาร์ทต้องเปลี่ยนใหม่ มีค่าใช้จ่าย 4,000 บาท คุณพิภพจึงติดต่อพนักงานขายที่เคยแจ้งว่าทางเต็นท์รับประกันสามเดือนเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาให้ ทางพนักงานขายแจ้งกลับว่า จะช่วยซ่อมรถยนต์ให้แต่ต้องมาซ่อมกับอู่ของทางเต็นท์เท่านั้น ซึ่งคุณพิภพตอบตกลง แต่เมื่อรถยนต์ซ่อมเสร็จ พอนำมาใช้งานกลับพบปัญหาเพิ่มคือ รถมีเสียงดังเมื่อเหยียบคันเร่งหรือเบรก และยังมีการแจ้งรหัสปัญหาหลายอย่างบนหน้าจอแสดงผลของรถยนต์ ซึ่งคุณพิภพได้ลองสอบถามไปทางศูนย์รถเชฟโรเลต ทำให้ทราบว่ารหัสที่ขึ้นมานั้น แจ้งปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า เซนเซอร์ที่ล้อเกิดปัญหา 1 ล้อ กล่อง ETU และโช้คมีปัญหา หากจะซ่อมต้องเสียค่าใช้จ่ายในหลักแสนบาทขึ้น ทางคุณพิภพจึงปรึกษากับทางศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า เขาต้องการให้เต็นท์รับผิดชอบซ่อมแซมรถให้มีสภาพปกติ เพราะรับประกันไว้สามเดือน ควรทำอย่างไรดี แนวทางแก้ไขปัญหา      เมื่อพิจารณาปัญหาของคุณพิภพแล้ว ทางศูนย์ฯ แนะนำว่า ควรรีบไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจเพราะเข้าข่ายว่าเต็นท์รถฉ้อโกง และเนื่องจากอายุความกรณีฉ้อโกงมีระยะเวลาเพียงสามเดือน นับแต่ที่รู้ว่าถูกฉ้อโกงจึงควรดำเนินการเรื่องนี้ก่อน อย่างไรก็ตามทางคุณพิภพอยากให้เริ่มจากการเจรจา หากไม่เป็นผลจึงจะดำเนินการแจ้งความต่อไป     ในการติดต่อประสานงานเพื่อให้เกิดการเจรจานั้น ทางฝ่ายเต็นท์ยินดีที่จะไกล่เกลี่ยกับทางผู้ร้อง แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันที่นัดหมายทางฝ่ายผู้ร้องติดธุระสำคัญที่ต่างจังหวัดไม่สามารถมาตามนัดได้ จึงเปลี่ยนเป็นการแจ้งความไว้ก่อนเพื่อไม่ให้กระทบอายุความ ดังนั้นขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เมื่อมีความคืบหน้าอย่างไรจะได้นำมาเสนอต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 เมื่อ ปีเตอร์ เริงร่าในน้ำซุป

คุณภูผาอยากจะซึมซับความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ จึงยกถ้วยซุปสาหร่ายขึ้นดื่ม เจ้ากรรม สายตาอันเฉียบคมดันไปพบกับแมลงสาบตัวน้อยซึ่งลอยอยู่ในน้ำซุปเข้าพอดี    เมื่อ ปีเตอร์ เริงร่าในน้ำซุป     ใครๆ ก็ชอบกินอาหารญี่ปุ่นกันทั้งนั้น ยิ่งเดี๋ยวนี้มีร้านให้เลือกมากมาย แต่ละร้านจะมีจุดเด่นต่างกันไป บ้างก็ว่า ร้านฉันสั่งวัตถุดิบนำเข้ามาจากญี่ปุ่น ร้านฉันมีพ่อครัวชาวญี่ปุ่นแท้ๆ หรือร้านฉันซื้อแฟรนไชส์มาจากญี่ปุ่น ซึ่งการแข่งขันย่อมก่อผลดีให้ผู้บริโภคทำให้มีตัวเลือกหลากหลาย อย่างไรก็ตามสำคัญสุด ร้านอาหารต้องสะอาดและถูกสุขลักษณะด้วยยามเที่ยงของวันหนึ่ง คุณภูผาและเพื่อนได้ไปเยือนร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ซึ่งมีแฟรนไชส์กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อนแต่ละคนต่างก็สั่งอาหารชุดและรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนคุณภูผานั้น สั่งข้าวหน้าไก่ พร้อมสั่งน้ำซุปสาหร่ายเพิ่ม ซึ่งระหว่างรับประทานคุณภูผาอยากจะซึมซับความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ จึงยกถ้วยซุปสาหร่ายขึ้นดื่มแทนการใช้ช้อน เจ้ากรรม สายตาอันเฉียบคมดันไปพบกับแมลงสาบตัวน้อยซึ่งลอยอยู่ในน้ำซุปเข้าพอดี        คุณภูผาตกใจมาก แทบสำลักน้ำซุป เพื่อนที่มาด้วยกัน รีบถ่ายรูป “ปีเตอร์น้อย” ไว้เป็นหลักฐาน ด้วยความกังวล คุณภูผานำถ้วยน้ำซุปไปแจ้งพนักงานเสิร์ฟของร้านทันที พนักงานแจ้งว่า เดี๋ยวเปลี่ยนให้ครับ คุณภูผาจึงถามว่าเปลี่ยนให้เฉยๆ ได้อย่างไร กินน้ำซุปไปแล้ว พนักงานจึงแจ้งว่า เช่นนั้นทางร้านจะคืนเงินให้ มื้อนี้ฟรีไม่คิดเงิน         การจัดการปัญหาเพียงแค่นี้ของทางร้านนั้น คุณภูผารู้สึกไม่ค่อยดีไร เพราะร้านนี้เป็นร้านที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น เมื่อมาเปิดสาขาในไทยควรมีมาตรฐานเรื่องความสะอาดไม่ด้อยไปกว่าที่ญี่ปุ่น ซึ่งรู้กันดีว่ามาตรฐานสูงด้วยเช่นกัน แต่ทำไมร้านจึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ คุณภูผาจึงขอคุยกับพนักงานที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าคนแรก ซึ่งพนักงานคนที่รับเรื่องต่อมาได้ขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไว้ แจ้งว่าจะติดต่อทางบริษัทให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับคุณภูผา         ต่อมามีพนักงานฝ่ายมาร์เก็ตติ้งจากบริษัทที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร ชื่อคุณบี โทรศัพท์มาขอโทษและแจ้งให้คุณภูผาไปตรวจสุขภาพก่อน คุณภูผาสอบถามว่า ถ้าต้องมีการรักษาต่อเนื่อง ทางบริษัทจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยใช่ไหม คุณบีส่งอีเมลตอบกลับมาว่า  ตัวคุณบีนั้นจะพาคุณภูผาไปตรวจร่างกายและจัดการค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง จากนั้นจึงนัดกันไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย เมื่อมาเจอกันคุณบีก็กล่าวขอโทษอีกหลายครั้ง กรณีดื่มน้ำซุปที่มีแมลงสาบเข้าไปนี้ แพทย์แนะนำว่า ให้ตรวจแบบเบื้องต้นไปก่อน โดยการตรวจเลือดและตรวจอุจจาระ แล้วจะแจ้งผลการตรวจให้ทราบทางอีเมล ซึ่งการตรวจนี้มีค่าใช้จ่ายประมาณเกือบเจ็ดพันบาท ทางคุณบีตัวแทนบริษัทก็รับผิดชอบทั้งหมด         จากผลการตรวจพบว่าคุณภูผาติดเชื้อ Plesiomonas shigelloides เป็นเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งปกติพบได้ในนํ้าธรรมชาติ ปลา สัตว์นํ้า (Shellfish) จำพวกปู หอยและกุ้ง และสัตว์ จำพวกเลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป สำหรับคนมักจะได้รับเชื้อชนิดนี้จากการดื่มนํ้าหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อนี้เข้าไป ซึ่งหลังรับเชื้อเข้าไป เชือจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 20 - 24 ชั่วโมง และอาจทำให้เกิดอาการไข้ หนาวสั่นปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสียและอาเจียน แต่มักเป็นอาการแบบไม่รุนแรง ซึ่งบางคนที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการป่วย แพทย์แจ้งผลวินิจฉัยให้คุณภูผาทราบ และแจ้งให้ไปรับยา โดยขอให้นำอุจจาระมาตรวจเพิ่มอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้คุณภูผาได้แจ้งให้คุณบีทราบทั้งหมดแต่เมื่อจะไปในครั้งที่สอง คุณบีติดต่อมาว่า ไม่มีคนจากบริษัทจะไปโรงพยาบาลพร้อมกับคุณภูผาได้ หลังจากนั้นคุณภูผายังต้องเข้าออกโรงพยาบาลอีกประมาณ 5 ครั้ง เมื่อสอบถามไปยังคุณบีว่า ทางบริษัทจะสามารถช่วยค่าน้ำมันรถได้ไหม รวมทั้งค่ารักษาอีกประมาณสี่พันบาท (ค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 11,000 บาท) คราวนี้เมื่อติดต่อไปที่คุณบี ปรากฏว่า เธอแจ้งว่าได้ย้ายฝ่ายแล้ว แต่ได้ฝากเรื่องไว้กับพนักงานอีกคนหนึ่งชื่อ คุณส้ม พอคุณภูผาติดต่อกับคุณส้มก็ได้ความว่า ทางบริษัท โดยฝ่ายมาร์เก็ตติ้งที่รับผิดชอบปัญหาลูกค้ามีวงเงินเพื่อการดูแลเพียง 10,000 บาท ส่วนเกินมาไม่สามารถรับผิดชอบได้ และเมื่อทางบริษัทตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลพบว่า ผลการตรวจรอบแรกปกติ การตรวจหลังจากนั้นจึงถือว่า เป็นการรักษาต่อเนื่อง ซึ่งทางบริษัทไม่สามารถรับผิดชอบได้เจอแบบนี้คุณภูผารู้สึกว่า บริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะผลการตรวจครั้งแรกก็พบว่าติดเชื้อแต่บริษัทกลับบอกว่า ปกติ คุณภูผารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาขอคำปรึกษาและร้องเรื่องที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหา         ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ได้ทำหนังสือนัดเจรจาระหว่างคู่กรณีทุกฝ่ายคือ ร้านค้า เจ้าของห้าง และผู้ร้อง หลังจากร้านได้รับหนังสือนัดเจรจา ทางบริษัทติดต่อโดยตรงกับคุณภูผาแจ้งว่า ทางฝ่ายมาร์เก็ตติ้งมีวงเงินเหลืออีก 4,000 บาท ซึ่งจะมอบเป็นค่ารักษาต่อเนื่องให้ คุณภูผาจึงขอคำแนะนำจากทางศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ว่า ตนเองมีสิทธิอะไรเพิ่มเติมอีกบ้างไหม  ซึ่งทางศูนย์ฯ แนะนำว่า กรณีที่ไม่พอใจเงินจำนวนดังกล่าวที่ถูกเสนอมา คุณภูผาสามารถปฏิเสธไม่รับได้ และสามารถเรียกเพิ่มได้ตามความเหมาะสม หากบริษัทไม่ยินดีผู้ก็สามารถฟ้องดำเนินคดีได้ ต่อมาคุณภูผาได้แจ้งว่า ตนสามารถตกลงค่าเสียหายกับบริษัทได้แล้ว 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 การฟ้องร้องคดีประวัติศาสตร์ ขององค์กรผู้บริโภคเยอรมนี

จากเหตุการณ์ กรมควบคุมมลพิษของอเมริกา (EPA) ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อ บ. โฟล์คสวาเกน (VW) ว่า จงใจที่จะหลอกลวงการแสดงข้อมูลการวัดค่าไอเสียจากรถยนต์ดีเซลรุ่น Jetta, Beatle, Passat และ Audi A 3 เนื่องจากซอฟท์แวร์แสดงผลการวัดต่ำกว่าค่าความเป็นจริงถึง 10- 40 เท่าในสภาวะการขับแบบปรกติ ซึ่งเกินกว่าค่าที่ทางกรมควบคุมมลพิษของอเมริกากำหนด เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข่าวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และกฎหมายการฟ้องคดีแบบกลุ่ม ของเยอรมนี(Musterfeststellungsklage) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา องค์กรผู้บริโภคเยอรมนี(The consumer protection federal association: VZBV) ร่วมกับ สมาคมยานยนต์แห่งเยอรมนี(The German automobile club: ADAC) ได้เป็นแกนนำในการฟ้องร้องคดีแบบกลุ่มขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะในการฟ้องคดีที่มีผู้บริโภคเสียหายเป็นจำนวนมาก ลักษณะการฟ้องคดีแบบเฉพาะนี้เรียกว่า Musterfeststellungsklage(Pattern Declaratory Action) ผมขออนุญาตนำประเด็นและสาระสำคัญขององค์กรผู้บริโภค ที่จำเป็นต้องดำเนินการการฟ้องคดีด้วยวิธีพิเศษนี้ มาเล่าสู่กันฟังครับ1 ทำไมองค์กรผู้บริโภคต้องฟ้องคดีองค์กรผู้บริโภคได้รณรงค์ให้มีการฟ้องคดีแบบกลุ่ม(Pattern Declaratory Action) มาเป็นเวลากว่า 10 ปี เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับผู้บริโภคในการจัดการกับปัญหาที่เกิดจากการใช้สินค้าและบริการ ที่กระทบกับประชาชนในฐานะผู้บริโภคในวงกว้าง เกิดความเสียหายเป็นมูลค่าสูง และด้วยวิธีการฟ้องคดีแบบพิเศษนี้ จะช่วยให้ข้อจำกัดในเรื่องของอายุความหมดไป        2 บทบาทหน้าที่ของสมาคมยานยนต์แห่งเยอรมนีคดีประวัติศาสตร์นี้ เป็นคดีแรกที่ทั้งสององค์กรได้ร่วมมือกันฟ้องคดี ซึ่งการร่วมกันฟ้องคดีของทั้งสององค์กร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะคดีมากกว่าการแยกกันฟ้อง และสมาคมยานยนต์แห่งเยอรมนีเองก็มีหน้าที่ในการดูแลปกป้องผลประโยชน์ของสมาชิก ที่เป็นผู้บริโภค คือ ผู้ใช้ และผู้ซื้อรถยนต์        3 ใครสามารถมาร่วมฟ้องคดีนี้ได้อีกบ้าง ?ผู้บริโภคทุกคนที่เป็นเจ้าของ รถยนต์ยี่ห้อ VW, Audi, Seat และ Skoda ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล รุ่น EA 189 ขนาด 1.2, 1.6 และ 2 ลิตร)        4 ประเด็นอะไรที่ศาลพิจารณาในคดีนี้ศาลพิจารณาว่า VW ที่ ผลิตรถยนต์รุ่นดังกล่าว แสดงข้อมูลการวัดค่าไอเสียจากรถยนต์ดีเซลผิดพลาด เนื่องจากซอฟท์แวร์แสดงผลการวัดต่ำกว่าค่าความเป็นจริงถึง 10- 40 เท่าในสภาวะการขับแบบปรกติ ซึ่งเกินกว่าค่าที่ทางกรมควบคุมมลพิษกำหนด ทำให้เกิดความเสียหาย จากการชำรุดบกพร่อง อันเป็นผลมาจากการจงใจ แสดงข้อมูลอันเป็นเท็จ(Software Manipulation) 5 ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายแต่ไม่สามารถเข้าร่วมการฟ้องคดีครั้งนี้สามารถทำอะไรได้บ้างสำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายแต่ไม่ได้เข้าร่วมลงชื่อฟ้องคดีในครั้งนี้ ควรปรึกษาทนายความหรือ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคอื่นๆ        6 เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว จะต้องทำอย่างไรต่อไปการฟ้องคดีแบบพิเศษนี้ มีไว้เพื่อให้ศาลตัดสินว่า การกระทำของ บริษัท VW มีความผิด แต่ไม่ใช่การฟ้องคดี เพื่อเรียกชดใช้ค่าเสียหาย  ซึ่งหากศาลตัดสินคดีทางผู้บริโภคแต่ละรายต้องไปฟ้องเรียกค่าเสียหายอีกครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามคำตัดสินของศาล จะส่งผลให้การดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับการฟ้องร้องคดีนี้สะดวกรวดเร็วในการดำเนินคดีในศาล ข้อดีของการฟ้องคดีด้วยวิธีการแบบนี้ คือ ความเสี่ยงจะตกอยู่กับองค์กรผู้บริโภคไม่ใช่ ตัวผู้บริโภค และผู้บริโภคยังมีเวลาในการตัดสินใจฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายหากผลของการตัดสินคดี เป็นคุณกับโจทก์ที่เป็นองค์กรผู้บริโภค7 ในกรณีที่องค์กรผู้บริโภคแพ้คดี มีผลอย่างไร ในกรณีที่ศาลตัดสินว่า VW ไม่ได้กระทำผิด ผลของคำพิพากษามีผลผูกพันไปยังศาลอื่นๆ ด้วย องค์กรหรือบุคคลที่ร่วมฟ้องคดี ไม่สามารถอุทธรณ์คดีได้        8 ผู้บริโภคสามารถเข้าร่วมฟ้องคดีได้อย่างไรผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายสามารถลงชื่อเข้าร่วมการฟ้องคดีได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และทางองค์กรผู้บริโภคจะส่งรายชื่อผู้ร่วมฟ้องร้องไปยัง สำนักงานกระทรวงยุติธรรมยุติธรรม (Bundesamt fÜr Justiz) เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะหลังจากนั้น ทางสำนักงานจะส่ง คำฟ้องคดีและรายชื่อผู้ร่วมฟ้องไปยังฝ่ายจำเลย ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลา 14 วัน        9 ผู้บริโภคสามารถถอนรายชื่อในภายหลังได้หรือไม่สามารถทำได้ จนกว่าศาลจะนัดคู่ความมาศาลครั้งแรก ซึ่งหากศาลบอกวันนัดมาแล้วทางองค์กรผู้บริโภคจะแจ้ง ผู้ที่ลงชื่อร่วมฟ้องทันทีที่ได้รับหมายนัดจากศาล10 ในกรณีที่ผู้บริโภคใช้สิทธิในการฟ้องคดีเองไปแล้วยังสามารถร่วมฟ้องคดีนี้ได้อีกหรือไม่ ผู้บริโภคสามารถร่วมลงชื่อฟ้องร้องคดีได้ หากกระบวนการทางศาลยังไม่ถึงที่สุด(คำพิพากษาศาลยุติธรรมสูงสุดแห่งรัฐ (Bundesgerichthof) แต่กระบวนการทางศาลของผู้บริโภคจะถูกระงับไว้ เพื่อรอผลของการฟ้องร้องคดีนี้11 จะสามารถร่วมฟ้องคดีได้หรือไม่ถ้า เคยทำสัญญาไกล่เกลี่ยกับ บริษัท VW มาแล้วโดยทั่วไปการทำสัญญาไกล่เกลี่ย มักจะมีข้อสัญญาที่ไม่ให้คู่ความไกล่เกลี่ยใช้สิทธิฟ้องคดีทางศาลได้ ในภายหลัง ดังนั้นหากสนใจจะลงชื่อ ร่วมฟ้องคดี ผู้บริโภคต้องปรึกษากับทนายความ และฝ่ายกฎหมายขององค์กรผู้บริโภคที่เป็นโจทก์ฟ้องคดีก่อน        12 ผู้บริโภคที่ขายรถไปแล้วสามารถร่วมฟ้องคดีได้หรือไม่กระบวนการลงชื่อร่วมฟ้องเปิดโอกาสให้ทุกคนที่ซื้อรถยี่ห้อ และรุ่นดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2008 สามารถร่วมลงชื่อได้ รวมทั้งผู้บริโภคที่ซื้อรถใช้แล้ว ด้วยเช่นกัน13 ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะมีคำพิพากษาออกมาเป็นประเด็นที่ตอบได้ยาก เนื่องจากเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ กระบวนการนี้ เริ่มที่ศาลสูงแห่งรัฐ(Oberlandesgericht: OLG) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 2  ปี ในการพิจารณาพิพากษาคดี และอาจไปจบที่ศาลยุติธรรมสูงสุดแห่งรัฐ (Bundesgerichthof) ในเวลา 2-3 ปี        14 ผู้บริโภคที่ร่วมฟ้องคดีสามารถติดตามความคืบหน้าของคดีได้อย่างไรผู้บริโภคสามารถติดตามความคืบหน้าของคดีได้ ที่เวบไซต์ของสมาคมยานยนต์แห่งเยอรมนี (adac.de/musterfeststellungsklage) และสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค  (www.musterfeststellungsklagen.de* (vzbv))กระบวนการฟ้องคดีแบบกลุ่มตาม เยอรมนีโมเดลนี้ ค่อนข้างใช้เวลานาน กว่าที่ผู้บริโภคจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย อย่างไรก็ตาม การฟ้องคดีแบบกลุ่ม(Musterfeststellungsklage) ได้ถูกบรรจุไว้ในนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา และประกาศบังคับใช้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2018  และเมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้ว องค์กรผู้บริโภคก็ได้ทดลองใช้เครื่องมือในกระบวนการยุติธรรมเลยทันที สำหรับประเทศไทยในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 46 ก็บัญญัติให้  “สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองบุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคองค์กรของ  ผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลัง ในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้ง อํานาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ” ผมมองว่า องค์กรผู้บริโภคที่เป็นอิสระควรมีส่วนร่วมในการร่างและพิจารณากฎหมาย ที่มีผลกระทบกับผู้บริโภคทุกฉบับ และควรมีบทบาทในฐานะกรรมาธิการในวุฒิสภา ซึ่งทำหน้าที่ ให้ความเห็นและกลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภค จนต้องใช้การฟ้องร้องคดี หรือใช้ความรุนแรง ในการทวงถามความยุติธรรมเหมือนหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรายวัน เท่าที่เราพบเห็นในข่าวสารทุกวันนี้

อ่านเพิ่มเติม >