ฉบับที่ 141 รู้เท่าทัน การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวหน้า

คนเราทุกคนอยากให้ตัวเองดูดีและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงทำให้เทคโนโลยีด้านเสริมความงามพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง หนึ่งในเทคนิคเหล่านั้นที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ก็คือ เทคนิคการร้อยไหมด้วยไหมละลาย ดังนั้นเราจึงควรรู้ถึงข้อเท็จจริง ข้อดีและข้อเสียของเทคนิคดังกล่าวก่อนที่จะตัดสินใจเลือกรับบริการ การร้อยไหม คือ เทคนิคที่นำมาใช้ช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูเรียว  ด้วยไหมละลายโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี หลักการของเทคนิคนี้ คือ การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยเป็นเครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไปจะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ให้สร้างคอลลาเจนใหม่มาพันรอบแนวเส้นไหม มีผลให้เกิดการดึงรั้งผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและกระชับ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย   ชนิดของเส้นไหมและอายุของผู้ที่จะเข้ารับบริการ ไหมชนิดที่นิยมใช้กันมากทำมาจากโพลีไดอ๊อกซาโนน (polydioxanone หรือ PDO) ซึ่งเป็นไหมที่นำมาใช้ในการทำศัลยกรรมเย็บเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในและต่างประเทศ และสามารถสลายตัวได้เองภายใน 6-7 เดือน การร้อยไหมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 39-50 ปี และผู้ที่มีปัญหาการบกพร่องของผิวโดยที่ไม่มีเนื้อเยื่อยุบตัวมากเกินไป ถ้าอายุมากและมีผิวหย่อนคล้อยประกอบกับมีการยุบตัวของผิว การร้อยไหมอย่างเดียวอาจช่วยไม่ได้ต้องใช้วิธีอย่างอื่นร่วมด้วย สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยยังไม่พบการหย่อนคล้อยจะได้ผลในแง่ของการปรับรูปหน้ามากกว่า โดยเฉพาะคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปีลงไปไม่ควรทำเพราะไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไป หลักการร้อยไหม ผลข้างเคียง และข้อควรระวังหลังเข้ารับบริการ ก่อนทำแพทย์จะทายาชาร่วมกับฉีดยาชาในบางตำแหน่งก่อนร้อยไหม หลังจากนั้น แพทย์จะนำเส้นไหมที่อยู่ตรงปลายเข็มเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิว โดยจะใช้วิธีการร้อยเรียงเส้นไหมและแพทย์จะพิจารณาตามโครงหน้าของคนไข้เป็นหลักในเวลาเพียง 20-40 นาที ขณะทำจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อาจพบรอยช้ำตามแนวรอยไหมได้บ้าง ร่วมกับอาการบวม แต่จะหายไปเองโดยไม่ต้องพักฟื้นภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนในช่วงประมาณ 2 เดือนหลังร้อยไหม และอาจจะเห็นผลต่อเนื่องนานประมาณ 1-2 ปี หลังจากนี้ก็ต้องมาทำการร้อยไหมใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการร้อยไหมละลายไม่ได้เย็บไหมไว้ด้านในชั้นผิวหนัง SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) ซึ่งยู่ลึกกว่าผิวชั้นหนังแท้ จึงไม่อาจทำให้เกิดความแข็งแรงเทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า   ข้อควรระวังหลังจากทำร้อยไหม คือ ไม่ควรทำเลเซอร์หรือหัตถการใดๆ กับใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ควรนวดหน้าแรงๆ ในตำแหน่งที่ร้อยไหมประมาณ 2 เดือน นอกจากนี้ อาจจะมีการเกิดผิวหนังบวมแดง หรือ ตุ่มแดงตามแนวที่ร้อยไหมได้เนื่องจากเกิดการแพ้ไหมละลาย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออันมาจากการใช้เข็มสอดเส้นไหมจำนวนมากเข้าไปที่ผิวหนัง เช่นเดียวกับการฉีดโบท๊อกซ์และฟิลเลอร์ และอาจทำให้เกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง หรือ ผิวหนังทั้งสองข้างยกกระชับไม่เท่ากัน อีกทั้งคอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นโดยไหมละลาย อาจเป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่พบในแผลเป็นลักษณะคล้ายพังผืด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไหมละลายชนิด PDO จะได้การรับรองความปลอดภัยจาก อย. แต่นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยว่า อย. ไม่อนุญาตหรือไม่รับรองวิธีการร้อยไหมเพื่อวัตถุประสงค์ของการกระชับผิว แต่อนุญาตให้ใช้ในการเย็บแผลเท่านั้น นอกจากนี้ การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในทวีปยุโรป เพราะยังไม่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว ดังนั้น ผู้ที่กำลังสนใจที่จะทำการร้อยไหมละลายเพื่อกระชับผิวหน้าควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดีอีกครั้งถึงสิ่งที่จะได้มาว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ และไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีเสริมความงามวิธีใดก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง จิตใจแจ่มใส ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น ก็ช่วยให้คุณสวย สดใส ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย โดยไม่ต้องเสียเงินมาก ไม่ต้องเจ็บตัว ถึงจะเรียกได้ว่าสวยอย่างฉลาดตัวจริง เอกสารอ้างอิง Cosmetic Surgery Today, Threadlift, 2012. (Access October 30, 2012, at http://www.cosmeticsurgerytoday.com/threadlift/) Dolphin Sutures, Information on Monofilament Polydioxanone Suture, 2012. (Access October 30, 2012, at http://www.dolphinsutures.com/information-on-polydioxanone.html) ไทยรัฐออนไลน์. แพทย์เผย อย. ไม่อนุญาตการร้อยไหมกระชับผิว. 30 ตุลาคม 2555. (Access October 30, 2012, at http://www.thairathco.th/content/edu/263402)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 140 การฉีดสารเติมเต็ม ‘ฟิลเลอร์’ อันตรายถึงตายหรือเสียโฉมตลอดชีวิต ?

ข่าวการตาย รวมทั้งความเสียโฉมของใบหน้าของผู้บริโภค ที่ได้รับการฉีดสารเติมเต็ม หรือ ‘ฟิลเลอร์’ มีให้เห็นถี่ขึ้นทุกวัน ความเสียหายนี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะกับคลินิกแพทย์เถื่อน(ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือเป็นหมอเถื่อน) และคลินิกแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย(แพทย์ตัวจริง) เพราะการจับเข็มฉีดยา และฉีดสารเคมี(ไม่ว่าจะเป็นยาเพื่อการรักษาโรค หรือเพื่อความสวยงาม) เข้าร่างกายผ่านเส้นเลือดนั้น มีความเสี่ยงต่อร่างกายอยู่แล้วแม้ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงปกติ ก็อาจมีการแพ้สารเคมีตัวใดตัวหนึ่งอย่างรุนแรงจนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตหรือเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราได้ ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยที่แพทย์จะทราบได้นั้นเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องความสามารถและความชำนาญส่วนบุคคลของแพทย์ผู้ให้การรักษาอีกด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดยาเข้าเส้นเพื่อรักษาโรคและรักษาชีวิตไว้ ก็สมควรต้องยอมรับการฉีดยาจากแพทย์ที่มีความชำนาญ แต่เรื่องที่ไม่สมควรต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง เช่น เพื่อความสวยงาม ผู้บริโภคควรจะพิจารณาให้รอบคอบ จำเป็นอย่างยิ่งต้องพิจารณาแพทย์เฉพาะทาง ที่ร่ำเรียนแพทย์และมีความชำนาญ อยากสวยแต่เห็นแก่ถูก ไปเลือกเอาหมอเถื่อน เป็นการคิดสั้นและทำร้ายตัวเองอย่างคาดไม่ถึง วิชาแพทย์นั้น อย่างที่ทราบกันทั่วไป เข้าเรียนก็ยาก เรียนจบก็ยาก ต้องมีความรู้ความสามารถจริงๆ เพราะรายละเอียดร่างกายมนุษย์มีมากมายทั้งระดับที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และแม้แต่แพทย์เองก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกัน อย่างที่เราเห็นข่าวในทีวีหรือหนังสือพิมพ์เป็นประจำ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแน่นอน   ฉบับนี้ขอนำ ‘การแถลงข่าว’ บางตอนจาก พล.ต.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 25 กันยายน 2555 เรื่อง “อันตรายจากการฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์” ดังนี้ พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจากสมาชิกแพทย์ผิวหนังว่า มีผู้ที่ไปรับบริการฉีดสารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ แล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมาขอรับการรักษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอาการแทรกซ้อนไม่ร้ายแรง เช่น เขียวช้ำ เป็นจ้ำเลือด บวม หน้าไม่เท่ากัน แพ้เป็นผื่นแดง เป็นก้อน จนถึงรุนแรงขั้น ผิวหนังตาย ตามองไม่เห็น หรือถึงขั้นเสียชีวิต จึงอยากจะขอเตือนผู้ที่อยากมาฉีดสารเติมเต็ม โดยเฉพาะการฉีดเสริมดั้งจมูกหรือในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ขอให้พิจารณาศึกษาหาข้อมูล ทั้งสถานที่ ที่จะรับบริการ ชนิดของสารที่แพทย์จะฉีดให้ และตัวแพทย์ที่ฉีดด้วย ถึงแม้ว่าผลข้างเคียงที่ร้ายแรงพบได้ไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีอันตรายมาก ดังนั้นทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงว่า แม้ว่าสารที่ฉีดได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ใช้เครื่องมืออุปกรณ์การฉีดที่ได้มาตรฐาน แต่ผู้ที่ฉีดขาดความชำนาญ  หรือแม้กระทั่งผู้ที่มีความชำนาญฉีดถูกต้องตามหลักวิชาทุกประการ แต่ผู้รับบริการที่มีลักษณะทางกายวิภาคผิดไปจากที่ควร เช่น อาจได้รับอุบัติเหตุมีพังพืดหรือเคยเสริมจมูกมาแล้วหรือเป็นความแปรผันของเส้นเลือดที่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจเป็นสาเหตุของผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ด้าน นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ปัญหาแทรกซ้อนภายหลังการฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์(Filler) เกิดขึ้นได้ จะเห็นได้ว่าเราสามารถใช้ Filler ฉีดเพื่อเติมเต็มให้แก่เนื้อเยื่อได้หลายๆ ส่วน อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำการรักษาต้องเลือกชนิด และขนาดโมเลกุลของ Filler ให้เหมาะสมกับผิวหนังในแต่ละตำแหน่ง และควรใช้ Filler ที่มีคุณภาพมีความปลอดภัยสูงเพราะต้องฉีดเข้าไปในร่างกายของเรา และผลิตภัณฑ์ควรได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทยหรือสหรัฐอเมริกา มิฉะนั้นอาจเกิดผลข้างเคียงหรือาการแทรกซ้อนได้ เช่น 1.การเกิดผื่นแดงบริเวณที่ฉีด Filler เกิดจุดแดงหรือจ้ำเลือดอันเนื่องมาจากรอยเข็มที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปได้เอง 2.เกิดรอยนูนมากเกินไปแก่ผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษาเนื่องจากเลือกใช้ Filler ที่มีขนาดโมเลกุลไม่เหมาะสม หรือฉีดตื้นเกินไป เช่น ถ้าต้องการแก้ไขริ้วรอยตื้นๆที่อยู่บริเวณหางตา ควรเลือกใช้ Filler ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กๆ เพื่อมิให้เกิดรอยนูนบนผิว 3.เกิดปัญหาการเคลื่อนย้าย (migration) เช่น ฉีดดั้งจมูกแล้ว Filler เคลื่อนไหลไปที่ปลายจมูก ดังนั้นถ้าต้องการฉีด Filler เพื่อเสริมคางหรือจมูก ต้องเลือก Filler ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เพื่อให้ Filler ชนิดนั้นมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดปัญหาการเคลื่อนย้ายจากบริเวณที่ฉีด และทำให้มีอายุใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย 4.อาการแพ้สาร Filler ที่ให้ลักษณะเป็นก้อนนูนแดงอักเสบ อาการแพ้ชนิดนี้บางครั้งอาจพบได้ภายหลังการฉีด Filler ผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลาหลายๆ เดือนหรือเป็นปีๆ ทั้งนี้ขึ้นกับอายุใช้งานของ Filler ชนิดนั้นๆ และปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด คือ 5.การที่ฉีด Filler ผิดตำแหน่งโดยฉีดเข้าไปในหลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ โดยพบผู้ที่ไปฉีดFiller แล้วเกิดตาบอด เนื่องมาจาก Filler ที่ฉีดเกิดไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา มีผลทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ โดยที่ขณะนี้พบในประเทศไทยและต่างประเทศแล้ว นอกจากนี้เมื่อเข้าเส้นเลือดอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นแผลเนื้อตายอีกด้วย ด้าน ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า .....มีผู้ป่วยตาบอดจากการฉีดเสริมจมูกมากกว่าการฉีดที่บริเวณอื่นชัดเจน แสดงให้เห็นว่าบริเวณจมูกเป็นบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากมีแขนงหลอดเลือดจำนวนมาก ที่บริเวณจมูกที่เชื่อมต่อกับระบบหลอดเลือดของประสาทตาและสมองโดยตรง จึงขอให้หลีกเลี่ยงการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ เนื่องจากไม่คุ้มค่าความเสี่ยงตาบอดเพื่อแลกกับการทำให้จมูกโด่งเพียงชั่วคราว แม้แต่ฟิลเลอร์ที่ อย. รับรองก็อาจเกิดตาบอดได้เช่นกัน เพราะอาการตาบอดไม่ได้เกิดจากคุณภาพของสารที่ฉีดแต่เกิดจากกระบวนการฉีดที่มีการรั่วไหลของฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตาทำให้ตาบอดถาวรตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีผู้รายงานว่าพบมะเร็งเต้านมชนิดร้ายแรงในผู้ป่วยที่ฉีดเต้านม ทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ฟิลเลอร์ชนิดนี้ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. แต่มีการลักลอบนำมาใช้ฉีดกันอย่างแพร่หลายทั้งผู้ที่เป็นแพทย์จริงและแพทย์เถื่อน ประชาชนควรระมัดระวังและห้ามไปเชื่อหลงฉีดเด็ดขาด ก่อนฉีดต้องตรวจสอบกับแพทย์ที่ฉีดให้ชัดเจนถ้าสงสัยให้ปฏิเสธหรือเลื่อนไปก่อน แล้วไปถามความเห็นแพทย์ที่อื่นเพื่อความมั่นใจมีบางรายไปฉีดสารมาแต่ตนเองไม่รู้ว่าฉีดสารอะไรและมาพบอันตรายแทรกซ้อนในภายหลังทำให้ต้องทรมานไปตลอดชีวิต เอกสารอ้างอิง สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย  http://www.dst.or.th/news_details.php?news_id=71&news_type=oth

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 139 บ่มผิวให้สวยเนียนด้วยน้ำผึ้ง และ พรอพอลิส

น้ำผึ้ง ถือเป็นยาอายุวัฒนะที่ได้รับการกล่าวถึงตั้งแต่ยุคโบราณ ชาวกรีกจะดื่มน้ำผึ้งก่อนลงแข่งกีฬาโอลิมปิก เพราะเชื่อว่า น้ำผึ้งช่วยขจัดความเมื่อยล้าได้ ชาวอียิปต์ได้ใช้น้ำผึ้งช่วยสมานแผลในการผ่าตัด เพื่อฆ่าเชื้อโรค รวมไปถึงการทำมัมมี่เพื่อช่วยรักษาสภาพร่างกายของมัมมี่ให้คงอยู่ทนนาน  นอกจากนี้น้ำผึ้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ถูกใช้เพื่อความงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันอย่างแพร่หลายอย่างที่เห็นกันในโฆษณาโทรทัศน์  น้ำผึ้งถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เช่น สบู่ แชมพู และครีมบำรุงผิวพรรณชนิดต่างๆ ส่วนประกอบของน้ำผึ้งจากธรรมชาติ น้ำผึ้ง เป็นผลิตผลของน้ำหวาน (nectar) จากดอกไม้ และจากแหล่งน้ำหวานอื่นๆ เช่น น้ำหวานจากเพลี้ย ที่ผึ้งไปเก็บมา ผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี และกายภาพบางประการ แล้วสะสมไว้ในรังผึ้ง  โดยน้ำผึ้งจะประกอบด้วย 1. น้ำ เป็นส่วนประกอบไม่เกิน 20% 2. คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มากที่สุด คือ มีปริมาณ 79% ในรูปของน้ำตาลฟรุกโทส และกลูโคส โดยมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโทส มากกว่าน้ำตาลกลูโคสเล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น 3. กรด มีประมาณ 0.5% ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมากคือ กรดกลูโคนิก   4.แร่ธาตุ มีประมาณ 0.5%  ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม สังกะสี เหล็ก แมงกานีส ทองแดง โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน 5. วิตามิน เช่น วิตามินบี 1,2 และ 6 วิตามินซี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามส่วนประกอบของน้ำผึ้งอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ด้วย   น้ำผึ้งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านความงาม ด้วยคุณสมบัติตามธรรมชาติ ดังนี้ 1.  น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Humectant) เนื่องจาก ในน้ำผึ้งมี เดกซทริน ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลของกลูโคสต่อกันเป็นโซ่ยาวเป็นส่วนประกอบ ทำให้น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการดึงและเก็บความชื้นไว้ได้ เมื่อนำมาทาผิวหนังจะทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ 2. น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีบทบาทในดูดซับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากรังสี UV และ มลพิษจากสิ่งแวดล้อม  ทำให้การทำลายเซลล์ร่างกาย  ถูกยับยั้ง หรือเกิดขึ้นน้อยลง 3. น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านจุลินทรีย์และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เนื่องจากในน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลสูง  ทำให้มีแรงดูดซึม (osmotic pressure)ที่มาก ดังนั้นจึงดูดซึมน้ำจากเซลล์จุลินทรีย์ต่างๆ ออกมาหมด ทำให้เชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถเติบโตได้หรือตายได้ นอกจากนั้นแล้วความเป็นกรดของน้ำผึ้งและสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำผึ้ง ยังช่วยป้องกัน และ ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด อีกด้วย "พรอพอลิส" (Propolis) คืออะไร ? นอกจากน้ำผึ้งแล้ว ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า "พรอพอลิส" กันมาบ้าง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย พรอพอลิส คือ สารเหนียวหรือยางเหนียวๆ ที่ผึ้งงานเก็บมาจากตาหรือเปลือกของต้นไม้เพื่อใช้ปิดรอยโหว่ของรัง และห่อหุ้มศัตรูที่ถูกฆ่าตายในรังแต่ไม่สามารถนำออกไปทิ้งนอกรังได้ และเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเหม็นในรังผึ้ง ชาวกรีกตั้งชื่อสารนี้ว่า "propolis"  ซึ่งมาจากคำว่า "pro" หมายถึง "ก่อน" และ "polis" หมายถึง "เมือง" ซึ่งในสมัยนั้นกรีกเองก็สันนิษฐานว่า ผึ้งคงจะใช้พรอพอลิสสำหรับป้องกัน "เมือง" หรือรังของตนเองให้พ้นจากเชื้อโรคและศัตรูต่างๆ ไม่ให้บุกรุกเข้ามา พรอพอลิสประกอบด้วย ยางไม้ร้อยละ 45 ไขมันร้อยละ  30 น้ำมันร้อยละ 10 และเกสรดอกไม้ร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังประกอบด้วยวิตามินบี  จากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่า พรอพอลิส มีคุณสมบัติที่ดีในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา และเมื่อเป็นส่วนผสมในสบู่จะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่ผิวกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นกายนั่นเอง แม้ว่าคุณสมบัติของน้ำผึ้งและพรอพอลิส จะได้รับการยอมรับในทางวิทยาศาสตร์  แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบนั้น ผู้บริโภคควรคำนึง ปริมาณ หรือความเข้มข้น และ ความคงตัวของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแหล่งที่มาของน้ำผึ้ง และ พรอพอริสที่ใช้เพื่อให้ได้รับคุณประโยชน์ตามต้องการได้. เอกสารอ้างอิง 1. สิริวัฒน์ วงษ์สิริ. ผึ้ง. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่มที่ 15. 2534 2. Majiene D, Trumbeckaite S, Pavilonis  A, Savickas  A, Martirosyan DM. Antifungal and Antibacterial Activity of Propolis. Current Nutrition & Food Science. 2007;3:304-308.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 เคล็ดลับการนอนเพื่อสุขภาพและชะลอวัย

ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการเรียน การทำงาน หรือการทำกิจกรรมต่างๆ จนลืมการพักผ่อนที่เพียงพอ และมักไม่คำนึงถึงความสำคัญของการนอนหลับ เพราะคิดว่าเป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ในทางกลับกันการนอนหลับที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมานอกจากนั้นยังมีผลทำให้อารมณ์ไม่คงที่ และมีสมาธิในการทำงานที่สั้นลง อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อผิวพรรณและทำให้แก่ก่อนวัยอีกด้วย การนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณอย่างไร? การนอนหลับหมายถึง สภาวะที่ร่างกายตัดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมและโดยปกติระหว่างการนอนหลับร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนที่ คนเราใช้เวลาถึงหนึ่งในสามของแต่ละวันไปกับการนอนหลับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด อีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่สึกหรอของเราและยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังมีสาระสำคัญต่างๆ  ที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เช่น สารเมลาโทนิน(Melatonin) ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่างเช่น ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตและที่สำคัญสารนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับอีกด้วย ถ้าคนเราอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายรวมทั้งผิวพรรณด้อยลง ทั้งนี้มีสาเหตุจาก   ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง โดยการอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนักขึ้นซึ่งเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นและเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะสลายตัวในเวลาต่อมาจึงทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเสียไป ระบบจัดเก็บความทรงจำหรือระบบประสาทจะมีประสิทธิภาพลดลง โดยอวัยวะที่สำคัญคือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) จะทำหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวันเข้าสู่ความทรงจำระยะยาวซึ่งอวัยวะชิ้นนี้จะทำงานตอนที่เรานอนหลับเท่านั้นและจะทำงานได้ดีหากร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อารมณ์เครียด และเปลี่ยนแปลงได้ง่ายโดยไม่มีเหตุผล มีอาการง่วงนอนหรือรู้สึกไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ โดยร่างกายจะต้องใช้เวลามากขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนานๆ จะทำให้แก่เร็ว หากเราอดนอนนาน 1 สัปดาห์ หรือนอนวันละ 4 ชั่วโมงโดยประมาณร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการควบคุมปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันน้อยลงทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น หากคนเรานอนไม่ถึงวันละ 8 ชั่วโมง ร่างกายก็จะผลิตสารเลปติน (Leptin) น้อยลงซึ่งเลปตินมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหาร เพราะฉะนั้นยิ่งเราอดนอน เลปตินก็จะถูกผลิตออกมาน้อยลงทำให้เรามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น เช่นอยากทานขนมหวาน และอาหารมันๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมและลดน้ำหนักได้ สูญเสียโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ในขณะหลับ ซึ่งโกรทฮอร์โมนจะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์ โดยการสร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร และช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ดังนั้น หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้ผิวหนังก็จะหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้ ในด้านของผิวหนัง สารเมลาโทนินเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระต่างๆ และสารเมลาโทนินจะถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ถ้าเราอดนอนหรือนอนน้อยก็จะทำให้มีการสร้างสารนี้ลดลง ส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือภูมิแพ้ของผิวหนังได้ง่ายขึ้น เทคนิคในการช่วยให้นอนหลับสบายเพื่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดี จัดตารางเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลา ซึ่งความต้องการในการนอนหลับของคนเราขึ้นอยู่กับช่วงอายุหรือวัย ยิ่งอายุน้อยยิ่งต้องการนอนมากและความต้องการนอนหลับสำหรับผู้ใหญ่โดยทั่วไปแล้วประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ช่วงเวลาเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนและสารต่างๆ ที่จำเป็นในการก่อให้เกิดสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดีจะผลิตเป็นเวลาตามที่ร่างกายกำหนด เวลาที่แนะนำให้ควรเข้านอนไม่ควรจะเกิน 4 ทุ่มของแต่ละคืน สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม เช่น ห้องนอนควรจะเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดีและควรจะปิดไฟให้มืด นอกจากนี้ไม่ควรนำอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เข้าไปไว้ในห้องนอนเช่น คอมพิวเตอร์ หรือโต๊ะทำงานจะทำให้เรารู้สึกกังวลตลอดเวลาจนเกิดอาการนอนไม่หลับ ควรเลือกหมอนและเตียงนอนให้เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย รวมทั้งหมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนหรือนำมาซักทุกอาทิตย์เพื่อจะได้ช่วยลดการสะสมของฝุ่นและไรซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าอ่อนแอ เกิดสิว และอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายก่อนนอน เช่น การอาบน้ำอุ่น ฟังเพลงจังหวะสบายๆ หรือการนั่งสมาธิซึ่งช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟีน(Endorphine) ออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้นอนหลับได้สบายยิ่งขึ้น 5. ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ดีต่อสุขภาพเพราะเป็นท่านอนที่ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอกช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้อย่างคล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังจะได้รับการรองรับจากที่นอนทำให้สามารถวางตัวอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด (ยกเว้นผู้ป่วยหรือสตรีมีครรภ์) นอกจากนี้ท่านอนหงายจะช่วยให้หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุดเพราะการนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำนานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับซึ่งก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า กดจุดบริเวณใบหน้าก่อนนอนด้วยการใช้ปลายนิ้วนวดวนเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ ตามหัวคิ้ว ขมับ ร่องจมูก คาง และมุมปาก ช่วยให้การนอนหลับสบายและหลับสนิทขึ้น กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ จะช่วยให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและช่วยให้การนอนหลับสบายยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก จึงแนะนำให้ดื่มชาคาโมมายด์อุ่นๆ หรือนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนเข้านอนเพราะอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึกบ่อยๆ เพื่อมาเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้อาหารจำพวกมันเทศ เผือก กลอย ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และผลิตภัณฑ์โฮลเกรนต่างๆ ช่วยให้ร่างกายผลิตสารเซโรโทนิน (serotonin) ทำให้นอนหลับสบาย เอกสารอ้างอิง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาชีววิทยา. สาระน่ารู้เกี่ยวกับการนอนหลับ. ตุลาคม 2553.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 แฟชั่นคอนแทคเลนส์ บิ๊กอายส์ : อันตรายและข้อควรระวังในการใช้

การสวมใส่คอนแทคเลนส์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะใส่เพื่อแก้ไขความผิดปกติของสายตา ใส่เพื่อรักษาโรคกระจกตาบางชนิด หรือเพื่อความสวยงาม หากใช้ไม่ถูกวิธี และไม่ดูแลรักษาความสะอาด อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ใช้คอนแทคเลนส์จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดเลนส์อย่างเคร่งครัด ปัจจุบันนี้มีน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดเลนส์ และแช่เลนส์เพื่อฆ่าเชื้อโรคหลายชนิด วิธีการใช้อาจแตกต่างกันไปบ้าง สิ่งสำคัญคือ ควรดูวันหมดอายุของน้ำยาและควรใช้ให้หมดขวดภายในระยะเวลา 2 เดือน แม้ว่าน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดเลนส์เหล่านี้จะมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรคส่วนใหญ่ได้แต่ก็ยังมีเชื้อโรคบางชนิดที่ไม่สามารถกำจัดได้ จึงควรศึกษารายละเอียดก่อนใช้ มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนจากการใส่คอนแทคเลนส์ได้ เช่น 1. การเกิดตุ่มอักเสบบนหนังตาด้านใน พบมากในผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม สาเหตุเกิดจากการระคายเคืองเนื่องมาจากเลนส์ถูกดึงขึ้นข้างบน ส่วนอาการอื่นที่เกิดต่อเนื่องมา คือ ภาวะหนังตาตก ตาแดง ระคายเคือง มองภาพไม่ชัด มีน้ำตาไหล และสายตาไม่สู้แสง   2. เกิดการอักเสบของกระจกตาและเยื่อตาขาวในส่วนที่สัมผัสกับคอนแทคเลนส์ อาการนี้ หากเกิดจากการแพ้หรือจากพิษข้างเคียงของวัตถุกันเสียหรือสารเคมีที่ใช้ฆ่าเชื้อ เยื่อตาขาวส่วนล่างจะแสดงอาการอักเสบ เนื่องจากน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดเลนส์จะไหลลงมาด้านล่าง เป็นอาการแพ้ที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 ปี นอกจากนี้ การเกิดสิ่งสะสมบนเลนส์หรืออาการตาแห้งจะทำให้อาการอักเสบเกิดมากขึ้น 3. อาการตาแห้ง พบในผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์มานาน 2-3 ปี การใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น การใช้ยาขับปัสสาวะหรือยารักษาโรคหัวใจบางประเภท เส้นประสาทตาอักเสบ ตาโปนผิดปกติ ผิวของลูกตาผิดปกติ เนื่องจากมีจุดเหลืองๆ บนกระจกตา หรือต้อลม หรือต้อเนื้อ และผิวคอนแทคเลนส์ไม่เรียบ 4. การอักเสบที่เยื่อบุผิวของกระจกตา ลักษณะเป็นจุดเล็กๆ ที่เยื่อบุผิวของกระจกตา เนื่องจากเกิดบาดแผลหรือการช้ำที่เยื่อตา ตาแห้ง มีอาการแพ้ หรือขาดออกซิเจน ซึ่งแผลจุดเล็กๆ อาจมารวมกันเข้าเป็นบริเวณใหญ่และเกิดการติดเชื้อซึ่งเป็นอันตรายได้ จึงจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยหยุดการใช้คอนแทคเลนส์จนกว่าแผลจะหายเสียก่อน 5. การติดเชื้อที่กระจกตา เป็นอาการของโรคที่เกิดจากการใช้คอนแทคเลนส์ที่เป็นอันตรายที่สุด อาจส่งผลให้ตาบอดถาวรได้ พบในผู้ที่ใช้เลนส์ชนิดที่ใส่ติดต่อกันได้นานๆ หรือจากการเกิดรอยถลอกเนื่องจากการเคลื่อนไหวของเลนส์ที่ใส่อยู่เป็นประจำจนทำให้เกิดแผลขึ้น โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานก็จะเกิดแผลที่กระจกตาได้ง่ายกว่าปกติ จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า 67% ของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ที่มีอาการติดเชื้อที่กระจกตา มีประวัติการใส่เลนส์ขณะนอนหลับในตอนกลางคืน และ 33% เกิดจากขั้นตอนในการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ได้มาตรฐาน ชนิดของคอนแทคเลนส์ที่พบว่ามีการใช้มากที่สุดเป็นคอนแทคเลนส์แบบนิ่ม   คำเตือน ข้อควรระวัง และข้อห้ามใช้สำหรับคอนแทคเลนส์ คำเตือน การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ ข้อควรระวังในการใช้ l. การเริ่มต้นใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับจากใบสั่งแพทย์เท่านั้น ไม่ควรไปซื้อเอง เพราะการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่พอดีกับดวงตา อาจทำให้กระจกตาเป็นแผล ติดเชื้อหรือตาบอดได้ ผู้สวมใส่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และคู่มือ หรือฉลากอย่างเคร่งครัด 2. ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง กระพริบตาไม่เต็มที่ ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ 3.  ควรใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งที่แช่คอนแทคเลนส์ และแม้ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ ควรเปลี่ยนน้ำยาใหม่ในตลับทุกวัน 4.   ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกสามเดือน 5. ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ขณะว่ายน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้และไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้จะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม 6. ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสเลนส์ 7. หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว 8. ผู้สวมใส่คอนแทคเลนส์ต้องมีเวลาให้ดวงตาได้พักหรือปลอดจากการใส่เลนส์ ถ้าเป็นผู้มีความผิดปกติของสายตา ควรมีแว่นสายตาไว้ใช้ในระยะเวลาพักของดวงตา ข้อห้ามใช้ 1. ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น 2. ห้ามสวมใส่คอนแทคเลนส์เกินระยะเวลาใช้งานที่กำหนด 3. ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ถ้าภาชนะบรรจุอยู่ในสภาพชำรุดหรือถูกเปิดก่อนใช้งาน   อย่างไรก็ตาม คอนแทคเลนส์ถึงแม้ว่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางสายตาแต่ไม่อยากสวมแว่น ปัจจุบันมีการดัดแปลงเพื่อใช้เพิ่มความสวยงามของดวงตาโดยการเปลี่ยนสีหรือรูปแบบของดวงตา แต่ไม่ว่าจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เนื่องจากเลนส์ที่ใช้ต้องสัมผัสผิวของดวงตาที่บอบบาง การติดเชื้อหรือฉีกขาดอาจเกิดได้ง่าย ดังนั้น ถ้าผู้ใช้คอนแทคเลนส์ปฏิบัติตามคำเตือน ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ดังกล่าวข้างต้นก็จะมีความปลอดภัยและสามารถลดความเสี่ยงจากการใช้คอนแทคเลนส์ได้   เอกสารอ้างอิง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส. กรกฎาคม 2552. Preechawat P, Ratananikorn U, Lerdvitayasakul R, Kunavisarut S. Contact Lenses -Related Microbial Keratitis. Journal of the Medical Association of Thailand. 2007; 90(4): 737-43.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 แฟชั่นคอนแทคเลนส์ บิ๊กอายส์: ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

เลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์ (Contact Lens) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหา และขจัดความรำคาญของการสวมใส่แว่นตาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตา ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้แก่ผู้ที่มีสายตาผิดปกติให้มีความสวยงามเหมือนธรรมชาติ ทำให้การมองเห็นภาพได้ชัดเจนเสมือนตาปกติโดยไม่ต้องสวมใส่แว่นตา ปัจจุบันได้มีกระแสแฟชั่นใส่คอนแทคเลนส์เพื่อความสวยความงามที่แพร่หลายอยู่ในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงาน ตัวอย่างเช่น   คอนแทคเลนส์ที่ใส่แล้วปรับสีดวงตาให้เป็นสีต่างๆ ได้ดังใจ ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาล เทา ฟ้า เขียว หรือคอนแทคเลนส์บิ๊กอาย ที่ใส่แล้วดวงตาจะกลมโตแบบดาราเกาหลีหรือญี่ปุ่น ซึ่งคอนแทคเลนส์ประเภทนี้เหมือนกับคอนแทคเลนส์ที่ใส่แล้วช่วยปรับสีดวงตา แต่บริเวณตรงกลางของคอนแทคเลนส์บิ๊กอายมีลักษณะเป็นเลนส์ใสและบริเวณขอบเลนส์มีสีดำหรือสีเข้มต่างๆ ที่จะทำให้มองเห็นว่าผู้ใส่มีตาดำขยายใหญ่และกลมโตกว่าปกติ   คอนแทคเลนส์ คืออะไร ? คอนแทคเลนส์ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุน้ำหนักโมเลกุลสูงที่เรียกกันว่าโพลีเมอร์หรือวัสดุอื่น มีลักษณะเป็นแผ่น ใช้ครอบบนกระจกตา (Cornea) เพื่อแก้ไขความผิดปกติของสายตา เพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับตา เพื่อความสวยงาม หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น คอนแทคเลนส์ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคอนแทคเลนส์ที่ใช้เพื่อแก้ไขความผิดปกติของสายตา จึงจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 อย่างไรก็ตามปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เลนส์สัมผัส เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันการใช้คอนแทคเลนส์ในทางที่ผิดโดยจะมีการบังคับใช้กับเลนส์สัมผัสทั้งชนิดที่ใช้แก้ไขความผิดปกติของสายตาเพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวกับตา และชนิดที่ใส่เพื่อความสวยงามหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น โดยกำหนดให้เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องได้รับใบอนุญาตและต้องมีคุณภาพมาตรฐานและข้อกำหนดตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเห็นชอบ   ชนิดของคอนแทคเลนส์ คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง (Hard Contact Lens) เป็นเลนส์ที่ทำจากพลาสติกเนื้อแน่นแข็ง จึงทำให้อากาศและน้ำไม่สามารถซึมผ่านได้ เลนส์ชนิดนี้จึงมีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถใช้ติดต่อกันได้นานๆ และการใส่เลนส์ชนิดนี้ในระยะแรก(ประมาณ 1-3 อาทิตย์) จะเคืองตามาก แต่เลนส์ชนิดนี้สามารถแก้ไขภาวะสายตาเอียงได้ดี และมีอายุการใช้งานทนทาน ไม่ค่อยมีอาการแพ้ หรือติดเชื้อ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม 2.  คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม (Soft Contact Lens) เป็นเลนส์ที่ทำด้วยวัสดุประเภทซิลิโคนไฮโดรเจล ซึ่งเป็นพลาสติกนิ่ม ยืดหยุ่น บิดงอได้ และยอมให้อากาศและน้ำซึมผ่านได้ เลนส์ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำสูง จึงเป็นที่นิยมใช้อย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถใส่ได้ง่าย ใส่ได้นาน และไม่ค่อยมีอาการเคืองตา แต่มีข้อเสียคือ มีอาการติดเชื้อและแพ้ได้บ่อยกว่า อายุการใช้งานสั้นกว่า และสามารถแก้ไขภาวะสายตาเอียงได้น้อย คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มมีหลากหลายชนิด ขึ้นกับรูปแบบการใช้งาน ปัจจุบันมีทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ชนิดที่ใช้แล้วทิ้ง (Disposable Contact Lens) เช่น คอนแทคเลนส์ชนิดใส่วันเดียวทิ้ง  และคอนแทคเลนส์ชนิดที่ใส่ต่อเนื่อง สามารถสวมใส่ได้ติดต่อกันตามระยะเวลาที่ระบุ 3.  คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งที่อากาศซึมผ่านได้ เป็นเลนส์ที่มีคุณสมบัติคล้ายเลนส์ชนิดแข็ง แต่ สามารถให้อากาศซึมผ่านตัวเลนส์ไปสู่กระจกตาได้ในปริมาณสูง จะทำให้เห็นภาพชัดเจน ละเอียดขึ้น มีราคาถูกกว่าเลนส์ชนิดนิ่ม เนื่องจากใช้ได้นานกว่าและจะมีความคงทนต่อการเกิดรอยขูดขีดและการเกาะติดของคราบมากกว่า สวมใส่สบายตากว่าชนิดแข็ง จึงเป็นการรวมข้อดีของเลนส์ชนิดแข็งและชนิดนิ่มมาไว้ด้วยกัน   ข้อแนะนำในการเลือกชนิดของคอนแทคเลนส์ คอนแทคเลนส์เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีสายตาผิดปกติ การเลือกใช้คอนแทคเลนส์คู่แรก ควรได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์เสียก่อน เพื่อตรวจสภาพตาว่าเหมาะสมจะใช้หรือไม่? มีโรคตาที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หรือไม่? เปลือกตาปกติดีหรือไม่? การกระพริบตาทำได้อย่างปกติหรือไม่? น้ำตามีพอเพียงหรือไม่? กระจกตาปกติดีหรือไม่? ตลอดจนทำการตรวจวัดระดับสายตาของผู้ใช้ว่าสั้น ยาว หรือเอียงเท่าไหร่? นอกจากนี้จักษุแพทย์จะถามถึงภารกิจประจำวัน ลักษณะของงานที่ทำ และความตั้งใจของผู้ใช้ว่า จะใช้เป็นประจำหรือเป็นบางโอกาส เพื่อจะได้เลือกคอนแทคเลนส์ชนิดและขนาดที่เหมาะสม อาทิ เช่น ถ้าต้องการใช้คอนแทคเลนส์ในขณะออกกำลังกายที่ต้องมีการเคลื่อนไหวรุนแรง ได้แก่ กีฬาเทนนิส ว่ายน้ำ ผู้ใช้ควรใช้คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม ชนิดแข็งไม่เหมาะเพราะหลุดง่าย ทั้งนี้จักษุแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์จะแนะนำวิธีใช้ วิธีใส่และถอด ตลอดจนการดูแลรักษา รวมทั้งการทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ และนัดผู้ใช้เพื่อการตรวจเป็นระยะๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้ใช้ใช้คอนแทคเลนส์ได้อย่างปลอดภัย ----------------------------------------------------------------- ข้อมูลที่ผู้บริโภคควรสังเกตบนฉลากของบรรจุภัณฑ์ก่อนการตัดสินใจซื้อ เมื่อตัดสินใจจะใช้คอนแทคเลนส์ และได้รับความเห็นชอบจากจักษุแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญแล้ว ผู้บริโภคควรพิจารณาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ก่อนการตัดสินใจซื้อ ในหัวข้อดังนี้ ชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำเลนส์ คุณสมบัติของคอนแทคเลนส์ เช่น กำลังหักเห ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรัศมีความโค้ง เป็นต้น ชื่อของสารละลายหรือน้ำยาที่ใช้แช่คอนแทคเลนส์ และชนิดของวัตถุกันเสียในน้ำยา ระยะเวลาการใช้งาน ยกเว้นคอนแทคเลนส์ชนิดแข็งที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีการระบุเดือน ปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อ และสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า   เอกสารอ้างอิง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส. กรกฎาคม 2552.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 อันตรายจากรังสีดวงอาทิตย์และครีมกันแดด

หน้าร้อนปีนี้ร้อนกว่าปีก่อนๆ อย่างชัดเจน อุณหภูมิขึ้นไปสูงสุดถึงกว่า 41°ซ แสงแดดจัดและจ้ามากแต่เช้าตรู่ อบอ้าวจนอึดอัด ผู้คนที่ต้องเดินทางบนท้องถนนต้องได้รับทั้งรังสีความร้อนและรังสีอุลตร้าไวโอเลตอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ความจำเป็นในการเลือกใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวหน้าและผิวกายนอกร่มผ้าจึงสำคัญต่อสุขภาพกายอย่างยิ่ง สภาวะโลกร้อนแผ่กระจายไปทั่วทุกมุกโลก ชั้นบรรยากาศของโลกถูกทำลายมากขึ้น ทำให้รังสีดวงอาทิตย์สามารถทะลุทะลวงพื้นโลกมากขึ้น อันตรายที่เกิดจากรังสีดวงอาทิตย์ก็ยิ่งน่ากลัว ข้อมูลจากต่างประเทศพบว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการป้องกันอันตรายจากรังสีดวงอาทิตย์มาก มีสถิติค่อนข้างสูงในการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยสูงถึงร้อยละ 50 ในสหรัฐอเมริกา และร้อยละ 35 ในยุโรป ส่วนผู้ที่ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนังสูงถึงร้อยละ 80 สำหรับประชากรในสหรัฐอเมริกา และเฉลี่ยประมาณร้อยละ 50 สำหรับในยุโรป ในปี 2012 ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกข้อกำหนดสำหรับฉลากของครีมกันแดดที่จำหน่ายในท้องตลาด หากต้องการเคลมว่าสามารถป้องกันความเสี่ยงจากมะเร็งผิวหนังหรือป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยต้องมีค่า SPF 15 หรือสูงกว่าและหากเคลมว่าสามารถกันน้ำได้ (water resistant) ต้องระบุให้ชัดเจนบนฉลากว่ากันน้ำได้ 40 หรือ 80 นาที ซึ่งหมายถึงความถี่ที่ผู้บริโภคต้องทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 40 หรือ 80 นาทีเมื่อลงว่ายน้ำ  หรือสำหรับผู้ที่เหงื่อออกง่ายหรือสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายและมีเหงื่อออกมาก  ซึ่งจำเป็นต้องทาครีมกันแดดซ้ำเป็นระยะ   ส่วนนิตยสารดังคือ Reader’s Digest แนะนำให้ผู้บริโภคทาครีมกันแดดเป็นประจำหรือให้บ่อยที่สุดเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีดวงอาทิตย์และแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า แนะนำให้ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่ปราศจากน้ำหอมและปราศจากการเติมแต่งสี พร้อมทั้งแนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารกรองรังสียูวีชนิดฟิสิคอล คือ ไทเทเนี่ยม ไดออกไซด์ ซึ่งจะปลอดภัยและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิวหนัง จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะพบว่าแม้ในประเทศทางตะวันตก จะมีความเข้มของรังสีดวงอาทิตย์น้อยกว่าประเทศไทยมากๆ แต่มีความระมัดระวังต่ออันตรายจากรังสีดวงอาทิตย์มาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะโลกร้อนที่ทำให้ปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ตกกระทบพื้นโลกสูงขึ้นทุกวัน แสงแดดแม้จะมีคุณอนันต์ต่อสิ่งมีชีวิต และมนุษย์บนโลก แต่ก็แฝงอยู่ด้วยอันตราย เมื่อร่างกายถูกแสงแดดปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เรามีอาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลม หรือในเวลาที่สะสมรังสีนานกว่านั้น จะทำให้ผิวคล้ำ แดดเผา และบางราย อาจถึงกับผิวหนังอักเสบปวดแสบปวดร้อน หรือ เป็นโรคมะเร็งที่บริเวณผิวหนังได้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจ้าโดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างเวลา 10 โมงเช้าถึง บ่าย 4 โมงเย็นซึ่งมีรังสียูวีมาก (สูงสุดช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมง) การหลบแดดใต้ต้นไม้ใหญ่ การถือร่มบังแดด การใส่เสื้อผ้าแขนยาวกางเกงขายาว การใส่แว่นกันแดดชนิดกรองรังสียูวี รวมถึงการเลือกใช้ครีมกันแดดเป็นประจำอย่างน้อยมีค่า SPF 15 หรือสูงกว่าและควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกรองรังสีทั้งชนิดยูวีเอและยูวีบีได้ด้วยจึงจะปลอดภัย   เรื่องน่ารู้ รังสีอัลตราไวโอเลต มนุษย์เรารับความรู้สึกและสัมผัสได้กับรังสีจากดวงอาทิตย์ เพียง 2 ชนิด คือ รังสีของแสงสว่าง ที่สามารถรับได้ทางตา จากการมองเห็น และรังสีความร้อน จากความรู้สึกสัมผัส จากทางร่างกาย เรารู้สึกร้อนมาก เมื่อเราเดินอยู่ท่ามกลางแสงแดด และรู้สึกหนาว ในเวลากลางคืน ที่ไม่มีแสงอาทิตย์ ดวงตามนุษย์ มองเห็นแสงอาทิตย์เป็นสีขาว แต่นักวิทยาศาสตร์ใช้ปริซึม สามารถแยกรังสีแสงออกได้ถึงเจ็ดสี คือ สีของรุ้งกินน้ำ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ รังสีที่ตาคนเรามองไม่เห็นคือรังสียูวี คือ ตัวย่อของคำว่า รังสีอัลตราไวโอเลต นักวิทยาศาสตร์ สามารถแยกออก เป็นสามกลุ่มตามพลังงาน ได้แก่ UV-A, UV-B และ UV-C โดยที่ UV-C มีพลังงานสูงสุด รังสีชนิดนี้ จะถูกชั้นบรรยากาศของโลกกั้นไว้ ส่วนรังสียูวีเอและยูวีบีจะตกกระทบถึงพื้นโลก รังสียูวีมีอันตรายต่อคนเรามาก ในทางการแพทย์พบว่า เมื่อร่างกายได้รับรังสียูวีในปริมาณมาก จะเป็นผลทำลายดีเอนเอของเซลผิวหนัง ทำลายเลนส์และม่านตา ทำให้เกิดต้อกระจกในตา และอาจเป็นบ่อเกิดมะเร็งผิวหนัง รังสียูวีเอสามารถทะลุทะลวงลงสู่ผิวหนังชั้นล่างได้ ทำลายเนื้อเยื่อและดีเอนเอของเซลล์ผิวอันเป็นสาเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ส่วนยูวีบีนั้นสามารถทะลุถึงชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น ดังนั้นอาการผิวไหม้จากแดดเผาจึงเกิดจากผลของรังสียูวีบี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 134 ผมร่วง: สาเหตุ วิธีป้องกันและรักษา

ท่านทราบหรือไม่ว่าเส้นผมบนหนังศีรษะของคนเราตั้งแต่งอกจากรากผมจะมีอายุอยู่บนหนังศีรษะเราได้นาน 2-3 ปี แต่ละเส้นจะงอกยาวประมาณ 1 เซ็นติเมตรต่อเดือน ประมาณ 90  % ของเส้นผมบนหนังศีรษะจะอยู่ในระยะของการเจริญเติบโต และอีก 10 %   จะอยู่ในระยะพักตัว     หลังจากพักตัวได้ 3 ถึง 4 เดือน เส้นผมที่พักตัวแล้วก็จะหลุดร่วงออกไป และเส้นผมใหม่ก็จะงอกแทนที่ ในคนที่สุขภาพปกติจะมีเส้นผมร่วงได้ประมาณวันละ 100-150 เส้น ในวันที่สระผมจะเห็นผมร่วงชัดเจน หลายๆ คนอาจมีเส้นผมร่วงมากผิดปกติจนเป็นกังวล พบทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย   อะไรคือปัจจัยร่วมที่ทำให้ผมบางและหัวล้าน? ผมบางและหัวล้านมักเป็นรูปแบบที่พบในผู้ชาย ซึ่งมีสาเหตุหลักจากฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน ผู้ชายที่มีผมร่วงผมบางตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม มักจะต้องประสพปัญหาหัวล้านในวัยชรา และยังสืบทอดจากกรรมพันธุ์อีกด้วย ผู้หญิงที่มีปัญหาผมบาง มักจะมีเส้นผมร่วงกระจายทั้งศีรษะ ส่วนในผู้ชายมักจะเห็นเป็นล้านที่หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอย   อะไรคือสาเหตุทำให้เส้นผมร่วงมากผิดปกติ? มีหลายสาเหตุ หากเส้นผมร่วงมากผิดปกติในระยะเวลาสั้นๆ มักจะมีสาเหตุจากสุขภาพที่มีปัญหารุนแรงจากโรครุมเร้า จากโรคติดเชื้อบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื้อราที่พบบนหนังศีรษะในเด็กจนทำให้เส้นผมร่วงมากผิดปกติ หรือคนไข้หลังจากการผ่าตัด เป็นต้น จากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยารักษาโรคเก๊า ยารักษาโรคหัวใจ ยาลดความดันเลือด ยาแก้เครียด ยาคุมกำเนิด และวิตามิน เอ ถ้าได้รับมากเกินไปทำให้เส้นผมร่วงมากผิดปกติได้ สาเหตุจากความเครียดของปัญหาหน้าที่การทำงานหรือจากปัญหาครอบครัว สาเหตุจากการลดน้ำหนักอย่างหักโหมและรุนแรง ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม สาเหตุจากอาหารการกินที่ไม่เหมาะสม ผู้ที่มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ เช่น ไม่กินอาหารเพราะกลัวอ้วนจนผอมโซ หรือหลังการกินอาหารจะกินยาล้างท้องหรือทำให้อาเจียน มีผลทำให้เส้นผมหลุดร่วงมากผิดปกติได้ สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ผมร่วงมากหลังการคลอดบุตร โรคจากฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไปหรือต่ำเกินไปก็ทำให้เส้นผมร่วงมากผิดปกติได้เช่นกัน สาเหตุการตกแต่งทรงผมด้วยน้ำยาเคมีที่รุนแรงไม่ได้มาตรฐาน และทำซ้ำๆ บ่อยเกินไปจนหนังศีรษะอักเสบ   การแก้ปัญหาและการป้องกันผมร่วงผิดปกติ ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรักษาโรคและสุขภาพ หรือให้แพทย์ปรับเปลี่ยนยารักษาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่ทำให้ผมร่วง เมื่อหยุดรับประทานวิตามิน เอที่มากไป อาการข้างเคียงจากพิษสะสมของวิตามินจะหมดไป เส้นผมจะกลับงอกขึ้นใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องรักษา ผู้ที่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารกลุ่มโปรตีนเพียงพอ เส้นผมจะหยุดเติบโตและหลุดร่วง ดังนั้นควรจะปรับการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้เพียงพอ เส้นผมจะหยุดร่วงได้ การขาดธาตุเหล็กก็ทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้เช่นกัน ธาตุเหล็กหาได้จากอาหารประเภท ถั่ว ฟักทอง ผักใบเขียว หอยแครง และเนื้อแดง เป็นต้น   เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยับยั้งผมร่วง ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำยาบำรุงหรือแชมพูหยุดผมร่วง ที่มีจำหน่ายทั่วไปยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่ามีกลไกช่วยยับยั้งเส้นผมร่วงมากผิดปกติได้ ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงมากควรพิจารณาถึงต้นเหตุและพยายามแก้ที่ต้นเหตุจากที่กล่าวมาข้างต้น เช่น พบแพทย์เพื่อรักษาโรค หรือปรับเปลี่ยนการกินอาหาร เป็นต้น ส่วนผมร่วงมากที่มีสาเหตุจากพันธุกรรม อาจจะเสริมแต่งทรงผมด้วยวิกผมหรือวิธีอื่นๆ ได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่สามารถช่วยได้ ยาปลูกผม มีทั้งชนิดที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารับรองและไม่รับรอง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง วิตามินเสริม เช่น ซิงค์ แคลเซียม วิตามินบี ธาตุเหล็ก วิตามินดี และไบโอติน ได้รับการยอมรับว่าดีต่อร่างกายและเส้นผม แต่ยังไม่มีงานวิจัยรองรับที่แน่นหนา อย่างไรก็ตามวิตามินเสริมเหล่านี้สามารถได้จากการรับประทานอาหารครบทุกหมู่ได้ เอกสารอ้างอิง 1. American Academy of Dermatology. http://www.aad.org/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 133 ผมขาวผมหงอก

  สีเส้นผมเกิดจากเม็ดสีซึ่งรากผมสร้างขึ้นมา ทำให้เส้นผมมีสีต่างๆ ตามพันธุกรรม ถ้าเม็ดสีมีมากและเข้มข้น เส้นผมจะเข้ม แต่ถ้าเม็ดสีถูกสร้างมาน้อย สีเส้นผมก็จะอ่อน ระดับของเม็ดสีของเส้นผมจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของร่างกาย ธรรมชาติของสีผมมีทั้งสีดำ เช่น คนเอเชีย สีน้ำตาลและสีบลอนด์ เช่น ชาวตะวันตก สีเส้นผมจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธุกรรม และสีผิวกับสีนัยน์ตา เส้นผมสีดำนับเป็นสีที่พบมากที่สุดของคนทั่วโลก รองลงมาคือผมสีน้ำตาลซึ่งพบทั่วไปในทวีปยุโรป เส้นผมสีดำโดยทั่วไปมักจะประกอบด้วยเม็ดสีเข้มข้นน้อยกว่าผมสีอื่นๆ สีดำของเส้นผมโดยธรรมชาติมีหลายเฉดสี ตั้งแต่สีดำจัดคล้ายผงถ่าน ดำอ่อน ดำน้ำตาล จนถึงดำน้ำเงิน ผมสีเทาและผมสีขาว ผมสีเทาหรือสีขาว หรือที่เรียกว่าผมหงอก ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้นไม่ได้มีสาเหตุจากการสร้างเม็ดสีขาวแทนเม็ดสีดำ แต่เกิดจากการที่รากผมไม่สร้างเม็ดสี ทำให้เส้นผมไม่มีสี กลายเป็นผมสีขาวหรือเทาเงินเมื่อสะท้อนแสง ผมสีเทาหรือขาวมักเกิดขึ้นเมื่อคนเรามีอายุสูงวัย แต่ก็สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 10 ปี ด้วยต้นเหตุเดียวกันคือรากผมไม่สร้างเม็ดสีให้เส้นผม ทำให้เส้นผมไม่มีสี ในบางกรณีผมสีเทาอาจเกิดได้จากโรคต่อมไทรอยด์ หรือในคนที่ร่างกายขาดวิตามินบี12 จากงานวิจัยปี ค ศ.2005 ในวารสารการแพทย์พบว่าคนเอเชียจะเริ่มมีผมหงอกหรือผมขาวตั้งแต่อายุปลาย 30 ส่วนฝรั่งหรือชาวตะวันตกจะพบผมเริ่มขาวตั้งแต่อายุ 35 แต่ชาวอัฟริกัน-อเมริกันจะพบผมขาวได้ช้ากว่าเมื่ออายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีสีผิวและเส้นผมเป็นสีเผือกนั้นมีสาเหตุจากเม็ดสีทั่วร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมีน้อยมากนั่นเอง ความเข้าใจที่ว่าถ้าดึงเส้นผมหงอกออก 1 เส้น ผมหงอกจะงอกขึ้นเป็นทวีคูณ เป็นความเข้าใจที่ไม่มีมูลทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยที่มีผลต่อสีผมธรรมชาติ 1. อายุ เด็กทารกแรกเกิดสีผมจะอ่อน และจะค่อยๆ ดำเข้มขึ้นตามวัยจนถึงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงของสีผมจะเป็นไปโดยธรรมชาติ เมื่ออายุเจ้าของสูงวัยขึ้นจนเป็นผมสีเทาหรือสีดอกเลาหรือสีผมหงอก บางคนเกิดมาก็มีผมขาวทั้งหัวซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมก็มี 2. สาเหตุทางการแพทย์ เช่น คนที่มีปัญหาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด ทำให้เส้นผมด่างขาวเป็นกลุ่มๆ คนที่มีปัญหาร่างกายขาดสารอาหาร มีผลทำให้เส้นผมไม่แข็งแรง ผมเส้นบางและเบา สีผมอ่อนและขาวไวกว่าอายุ เส้นผมที่ดำอาจเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำตาลแดงคล้ายกากมะพร้าวเนื่องจากรากผมไม่สามารถผลิตเม็ดสีได้ปกติ หากร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและแข็งแรง สภาพเส้นผมจะกลับคืนมีชีวิตชีวาได้ในกรณีนี้ อีกกรณี เช่น คนที่มีปัญหาโรคโลหิตจางหรือซีด อาจมีผลทำให้เกิดเส้นผมขาวหรือหงอกได้เร็วเพราะรากผมขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหรือไม่เพียงพอ นอกจากนี้ทางการแพทย์ยังมีข้อสังเกตว่า คนที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี และมีเส้นผมขาวแต่มีขนคิ้วดำ มีสถิติว่าจะมีโรคเบาหวานร่วมด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกันที่มีผมขาวและขนคิ้วสีขาวไปด้วยกัน   3. ปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น- คนที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มของผมขาวเร็วกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า - ผมขาวบางครั้งอาจค่อยๆ ดำขึ้นเมื่อร่างกายมีอาการอักเสบและกินยาบางชนิดร่วมด้วย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่อยารักษา- คนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ร่างกายตกใจหรือเสียใจอย่างรุนแรง ทำให้รากผมชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราวและผมร่วงเป็นกระจุก อาจทำให้เห็นผมหงอกได้เร็วเสมือนหนึ่งผมหงอกชั่วข้ามคืน- เมื่อคนเราอายุ 30 เส้นผมจะหงอกขาวเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ทุกๆ 10 ปี- คนที่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายพักผ่อนน้อย รวมทั้งการรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ทำให้การเจริญเติบโตของรากผมไม่แข็งแรง นอกจากเส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายแล้ว การสร้างเม็ดสีก็ลดน้อยลง ทำให้เส้นผมขาว 4. เป็นที่น่าเสียใจว่า ไม่พบว่ามีอาหารชนิดพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออาหารเสริมพิเศษชนิดใด รวมทั้งไม่พบหลักฐานทางการแพทย์ว่าโปรตีนเสริมหรือวิตามินใดๆ ที่สามารถเสริมเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเกิดผมสีขาวหรือผมหงอกได้   คุณค่าอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์บำรุงให้เส้นผมแข็งแรง วิตามินเอ จำเป็นต่อสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมที่แข็งแรง พบทั่วไปในผักใบเขียวเข้ม ผลไม้สีผมและสีเหลือง วิตามินบี ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำมันธรรมชาติเพื่อหล่อลื่นเส้นผมให้เงางามและชุ่มชื้น พบในผักใบเขียว มะเขือเทศ กล้วย โยเกิร์ต และธัญพืช แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ช่วยบำรุงให้เส้นผมแข็งแรง ได้จากแหล่งอาหาร เช่น เนื้อแดง เนื้อไก่ ไข่แดง อาหารทะเล และธัญพืช โปรตีน ช่วยบำรุงให้เส้นผมเงางามและมีความยืดหยุ่นดี ไม่ขาดตอน พบทั่วไปในเนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้ ฯลฯ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 132 หนังศีรษะแห้งและคัน เกาจนผมร่วง?

  หนังศีรษะประกอบไปด้วยเซลล์ผิวหนังปกติซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ทุกๆ 28 วัน เซลล์เก่าที่ตายแล้วจะถูกผลัดออกไป แต่ถ้าผิวหนังแห้งและใช้ชีวิตประจำวันในห้องปรับอากาศที่เย็นและมีความชื้นต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนังศีรษะได้รับเคมีรุนแรงเป็นประจำ เช่น น้ำยาดัดผม น้ำยาโกรกสีผม แชมพูแรงๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ บนเส้นผมและหนังศีรษะ หนังศีรษะจะถูกกระทบมากทำให้แห้งและทำให้มีการเร่งผลัดเซลล์ผิวในอัตราเร็วกว่าปกติ เซลล์ที่ตายแล้วที่ถูกผลัดออกจะสะสมเป็นกลุ่มก้อนหนาๆ สังเกตได้เวลาหวีผมหรือเกา จะหลุดออกเป็นเกร็ดขาวๆ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ‘รังแค’ นั่นเอง อาการคันศีรษะมักจะตามมาเนื่องจากการสะสมของรังแคเหล่านี้ ซึ่งพบเห็นง่ายตามปกเสื้อ การสะสมของรังแคยังมีผลไปอุดรูขุมขนของเส้นผม ทำให้น้ำมันจากต่อมไขมันที่รากผมไม่สามารถระบายออกมาได้ ยิ่งทำให้หนังศีรษะขาดน้ำมันหล่อลื่นและแห้งคันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผู้ที่มีปัญหารังแคเรื้อรัง อาจทำให้หนังศีรษะอักเสบและมีเชื้อราเจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งในสภาวะปกติหนังศีรษะคนเราจะมีเชื้อราอาศัยอยู่ในปริมาณน้อยและไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่ในสภาวะที่หนังศีรษะมีรังแคมาก เชื้อราจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดอาการอักเสบของหนังศีรษะ (Pityriasis capitis) ถ้าอาการรุนแรงขึ้น หนังศีรษะจะมีอาการแดงและมีรังแคเป็นเกร็ดใหญ่ขึ้นและเหลืองเป็นไข ซึ่งเป็นอาการของต่อมไขมันของหนังศีรษะอักเสบ พบมากและบ่อยในวัยรุ่นและอาจมีอาการอักเสบลามถึงเปลือกตาได้ วิธีแก้ไขปัญหาหนังศีรษะคันและแห้ง 1) หลีกเลี่ยงการเกาหนังศีรษะที่รุนแรงระหว่างสระผมด้วยเล็บคมยาว อาจทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงยิ่งขึ้น2) เลือกใช้แชมพูสระผมที่อ่อนโยนและมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของหนังศีรษะ3) ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหนังศีรษะโดยตรง เช่น ครีมนวดผมชนิดเข้มข้น หรือ น้ำมันนวดหนังศีรษะ นวดทิ้งไว้บนหนังศีรษะอย่างน้อย 15-20 นาทีก่อนล้างออก เนื้อครีมและน้ำมันจะช่วยขจัดรังแคส่วนเกินให้หลุดลอกออกไปได้ และ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ4) ใช้แชมพูขจัดรังแค อาทิตย์ละ 1 ครั้งเพื่อช่วยขจัดรังแคที่สะสมออกและบางเบาลง5) ควรลดการใช้น้ำอุ่นสระผม เพราะน้ำอุ่นจะทำให้น้ำมันธรรมชาติถูกชะล้างออกมากเกินไป ทำให้หนังศีรษะขาดน้ำมันที่จะปกป้องไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรลดอุณหภูมิในการเป่าและจัดแต่งทรงผมอีกด้วย หากการดูแลเบื้องต้นตามข้อแนะนำทั้ง 5 ข้อไม่ได้ผล ขั้นต่อไปควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาอักเสบของหนังศีรษะต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 ผิวแห้ง ผิวคัน สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา

  ผิวหนังแห้งและคัน เป็นปัญหาที่พบทั่วไปโดยเฉพาะคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องปรับอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน จากความชื้นในอากาศที่ต่ำ จะทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นสู่บรรยากาศโดยรอบได้ง่าย ปัญหาผิวแห้งนี้เกิดขึ้นได้กับทุกวัยโดยไม่จำเป็นต้องมีอาการโรคผิวหนังชนิดอื่นแทรก อาการผิวแห้งมีลักษณะอย่างไร? คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับลักษณะผิวหนังแห้ง ตึง มีขุยขาวๆ ร่วมด้วย ริ้วรอยละเอียดบนผิวหนังจะปรากฏชัดมากขึ้น ผิวหนังจะแลดูหยาบกร้าน ในกรณีที่แห้งมาก จะเห็นผิวแตกคล้ายหนังงูหรือเกล็ดปลา ส่วนใหญ่พบมากบริเวณแขนและขา อาจพบได้ตามลำตัวด้วย ปัญหาที่เกิดร่วมกับผิวแห้ง ผิวแห้งก่อให้เกิดอาการคันร่วมด้วย ซึ่งรบกวนการนอนหลับและกิจวัตรอื่นๆ ประจำวัน การเกาแรงๆ ซ้ำๆ ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวหนาตัว ด้านและหยาบ ผิวหนังที่หนาและแห้งจะแตกได้ง่ายทำให้แสบและเจ็บ ตามมาด้วยอาการอักเสบ บางคนเป็นนานๆ อาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อมีตุ่มน้ำเหลืองตามผิวหนัง หากรุนแรงควรพบแพทย์ผิวหนัง สาเหตุของผิวแห้ง ผิวหนังที่มีสุขภาพดีจะประกอบด้วยชั้นหนังกำพร้าหลายๆ ชั้นห่อหุ้มปกปิดชั้นหนังแท้ หนังกำพร้าชั้นนอกสุดประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลายชั้นเรียงตัวกัน ผสมผสานกับน้ำมันธรรมชาติที่หลั่งจากต่อมไขมัน ทั้งน้ำมันธรรมชาติและเซลล์หนังกำพร้าทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นสู่บรรยากาศ และปกป้องสารเคมีและเชื้อโรคอื่นไม่ให้เข้าสู่ผิวหนังชั้นในได้ ทั้งเซลล์หนังกำพร้าและน้ำมันธรรมชาติบนผิวหนังร่วมกันทำหน้าที่กักเก็บปริมาณน้ำไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวหนังคนเราชุ่มชื้น และเนียนนุ่ม ผิวแห้งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปริมาณน้ำที่กักเก็บในชั้นหนังกำพร้ามีน้อยเกินไป อาจสืบเนื่องมาจากการสูญเสียน้ำมันธรรมชาติของผิวหนังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เข้มข้นหรือแรงเกินไป ประสิทธิภาพการชะล้างมากเกินความจำเป็น ทำให้ชะล้างเอาน้ำมันธรรมชาติออกไปหมดหรือเกือบหมด ทำให้ปริมาณน้ำที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหนังกำพร้าระเหยออกจากผิวหนังได้ง่าย มีผลทำให้ผิวหนังแห้งและหดตัวหรือผิวแตกจนเกิดอาการคันตามมานั่นเอง การแก้ปัญหาผิวแห้ง การแก้ปัญหาผิวแห้งโดยการเติมน้ำหรือความชุ่มชื้นให้ผิวหนังอย่างเดียวอาจไม่ช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวหนังได้รับน้ำอุ่นมากๆ จากการอาบน้ำอุ่นทุกวัน จะทำให้ผิวหนังยิ่งแห้งมากขึ้น เพราะน้ำอุ่นจะสามารถชะล้างน้ำมันธรรมชาติผิวออกไปมากขึ้นร่วมกับน้ำสบู่ ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดอ่อนโยน หรือควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารหล่อลื่นและสารมอยส์เจอร์ นอกจากนี้ควรชโลมผิวหนังภายหลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งสนิทด้วยโลชั่นบำรุงผิวกายและผิวหน้าบางๆ ทุกครั้ง เพื่อให้สารหล่อลื่นในโลชั่น ช่วยเคลือบผิวหนังชดเชยการสูญเสียของน้ำมันธรรมชาติของผิวหนังระหว่างการชำระล้างร่างกาย ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ควรชโลมผิวหนังด้วยโลชั่นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งทั้งตอนเช้าและก่อนนอน   ระวังไม่ควรไปหาซื้อครีมทาผิวหนังแก้คันหรือแก้อักเสบ เนื่องจากอาการจากผิวแห้งไม่ได้เกิดจากการอักเสบ แต่คันเนื่องจากผิวหนังขาดความชุ่มชื้น จึงควรใช้โลชั่นที่เข้มข้นทาผิวหนังเป็นประจำ อาการผิวแห้งและคันจะค่อยๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 130 น้ำกัดเท้าและยารักษา

  โรคที่มากับมหาอุทกภัยน้ำท่วม 2554 คือโรคน้ำกัดเท้า ซึ่งเกิดจากการเดินลุยน้ำบ่อยๆ นานๆ หรือเป็นประจำ จึงเรียกโรคนี้ว่า “โรคน้ำกัดเท้า” ในประเทศที่เจริญแล้ว มักพบบ่อยในนักกีฬาที่สวมใส่รองเท้าที่เปียกชื้นจากเหงื่อระหว่างเล่นกีฬา จึงได้ชื่อว่า “โรคเท้านักกีฬา” (Athlete’s foot) โรคน้ำกัดเท้าเกิดจากผิวหนังบริเวณเท้าที่ชื้นแฉะมีเชื้อราสะสม เป็นเชื้อราในกลุ่มเดียวกับโรคขี้กลาก ซึ่งมักเจริญเติบโตได้ดีในที่อับชื้น เปียกน้ำ เปียกเหงื่อ เช่น จากการลุยน้ำท่วมขัง รองเท้าเปียก พื้นห้องอาบน้ำที่ใช้ร่วมกันหลายๆ คน และพื้นบริเวณสระว่ายน้ำ เมื่อเดินหรือย่ำบนพื้นดังกล่าว หรือใส่รองเท้าที่มีเชื้อราอยู่ เชื้อราจึงรุกรานเข้าสู่ผิวหนัง และก่อโรคน้ำกัดเท้าได้ นอกจากนี้ยังอาจติดต่อได้ง่ายจากการใช้รองเท้าร่วมกัน ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันและใช้ถุงเท้าไม่สะอาด นอกจากเท้าแล้วยังเชื้อราชนิดนี้ยังทำให้เกิดโรคได้กับผิวหนังส่วนอื่นๆ เช่น เล็บ และขาหนีบ อาการเด่นชัดที่พบ เช่น ง่ามเท้าแห้งตกสะเก็ด เป็นขุย ผิวหนังแตกเป็นร่องแผลสด บวม เจ็บและคัน อาจมีตุ่มน้ำใสๆ ร่วมด้วย แนวทางการรักษา การใช้ยาต้านเชื้อราทาเฉพาะที่บริเวณแผล ขี้ผึ้งแก้น้ำกัดเท้า ซึ่งเป็นตำรับในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ขี้ผิ้งวิทฟิวด์ (Whitfield ointment) มีตัวยาหลักคือ ยาต้านเชื้อราเบนโซอิคแอซิด 6% และซาลิไซลิคแอซิด 3% จะพบว่าขี้ผึ้งชนิดนี้มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง จึงควรระวังไม่ทาผิวหนังส่วนอื่นที่บอบบาง ตำรับยาต้านเชื้อราอื่นๆ เช่น คลอไตรมาโซลหรือคีโตโคนาโซลครีมที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน แต่ราคาจะแพงกว่ามาก  ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาด ใช้สบู่ขัดถูตามซอกและง่ามนิ้วเท้าซึ่งมักมีเชื้อราสะสมและหมักหมมจนก่อให้เกิดโรค ต้องซับผิวหนังให้แห้งสนิทก่อนทาขี้ผึ้งบางๆลงบริเวณผิวหนังที่มีปัญหา วันละ 1-2 ครั้ง แนะนำให้ทาก่อนนอนและไม่ควรย่ำไปไหนเมื่อทายาเสร็จ ตัวยาจะได้ไม่หายหรือเลอะเลือนไปกับรองเท้าหรือพื้น   ข้อควรระวังการใช้ยา อาการคันที่เท้าจากโรคน้ำกัดเท้า ไม่ควรซื้อยาแก้คันที่มีส่วนผสมของยาสเตียรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลให้แผลอักเสบที่เท้ามีอาการอักเสบมากขึ้น และเกิดหนองได้ ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ เพื่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคน้ำกัดเท้า - ผู้ที่ยังไม่ทันเป็นโรคน้ำกัดเท้า ไม่ควรทายาต้านเชื้อรา แต่ควรป้องกันโดยการล้างเท้าให้สะอาด ซับให้แห้งสนิททันทีภายหลังจากการย่ำน้ำ และใช้แป้งฝุ่นโรยง่ามเท้าให้ทั่วเป็นการป้องกันผิวหนังไม่ให้ชื้นแฉะ และควรพยายามหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำหรือการสวมใส่รองเท้าบู้ทหรือสวมถุงพลาสติกหุ้มเท้าก่อนย่ำน้ำ - รองเท้าที่สวมใส่ทุกวัน ควรดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ คือต้องให้ภายในรองเท้าแห้ง ไม่อับชื้น ควรมีรองเท้าอย่างน้อย 2 คู่ เพื่อสวมสลับกัน ซักด้านในรองเท้าให้สะอาด ปัจจุบันนี้มีสเปรย์สำหรับรองเท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค - ไม่ใช้รองเท้าร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าสาธารณะโดยไม่จำเป็น - ต้องรักษาความสะอาดถุงเท้า เมื่อเปียกต้องเปลี่ยนเสมอ -ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น นอกจากนั้น ผ้าเช็ดเท้า และผ้าเช็ดตัว ควรเป็นคนละผืนกัน   เอกสารอ้างอิง1, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์: http://haamor.com/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ปิโตรเลียม เจลลี

  ฉบับนี้ อ.พิมลพรรณ ฝากขออภัยแฟนๆ นะคะ เนื่องจากอาจารย์ไม่สะดวกจริงๆ ทางกองบรรณาธิการ จึงขอนำเสนอเรื่องสวยๆ งามๆ แทน เรื่องที่ขอเสนอคราวนี้เป็นเรื่องของปิโตรเลียม เจลลี(Petroleum Jelly) ค่ะ งงๆ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเรียกว่า วาสลีน(Vaseline)  ล่ะก็ คงร้องอ๋อกันใช่ไหม ปิโตรเลียมเจลลี นั้นเป็นชื่อสามัญ ซึ่งไม่ฮิตติดตลาดเท่าชื่อเจ้าของดั้งเดิมต้นตำรับ คือ วาสลีน ทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องนี้ มันก็เป็นเหตุจากช่วงชุลมุนวุ่นวายเก็บของหนีน้ำท่วมและแพ็กถุงยังชีพส่วนตัว ซึ่งขอแนะนำว่าควรเลือกพกปิโตรเลียม เจลลี 1 กระปุกไว้ในถุงด้วย เพราะอะไรเหรอคะ ก็เพราะว่ามันเป็น เครื่องสำอางอเนกประสงค์มากๆ ค่ะ   ประโยชน์ของปิโตรเลียม เจลลี ปิโตรเลียม เจลลี ถูกค้นพบจากกระบวนการขุดเจาะน้ำมัน เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ที่ล้ำค่าไม่แพ้น้ำมันเลยค่ะ และด้วยคุณสมบัติที่ว่ามาจากน้ำมันข้อนี้ ทำให้เราสามารถใช้ปิโตรเลียม เจลลี ทดแทนโลชั่นเพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งกร้านได้เป็นอย่างดี นอกจากช่วยถนอมผิวแล้ว ยังใช้ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันได้ดีอีกด้วย เรียกว่า ทดแทนครีมล้างเครื่องสำอางได้เลย และสำหรับคนที่มีริมฝีปากแห้ง ปิโตรเลียม เจลลี ช่วยทำหน้าที่แทนลิปมันได้เลย บางคนว่าโบกที่ริมฝีปากหนาๆ ก่อนนอนช่วยให้ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นไปทั้งวัน เมื่อใช้กับปากได้ กับมือหรือเท้าที่หยาบกร้านเนื่องจากการทำงาน ทาปิโตรเลียม เจลลีก็ช่วยทำให้ผิวกลับมานุ่มนวลขึ้นได้เช่นกัน   สารพัดประโยชน์ยามผจญน้ำท่วม 1.แก้อาการแสบร้อนจากแดดเผา กรณีต้องตากแดดแรงๆ ลุยน้ำท่วม แล้วมีอาการแสบร้อนผิว  ทาหนาๆ หน่อย บริเวณผิวที่โดนแดดโดนลมทำร้าย จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดแสบปวดร้อน ได้ 2. แก้ผิวแตกจากลมหนาว บางพื้นที่นอกจากภัยน้ำแล้ว ยังเจอภัยหนาวด้วย ทาผิวที่แห้งแตกจากลมหนาวด้วยปิโตรเลียม เจลลี จะช่วยบรรเทาอาการคันยิบๆ ได้ แล้วผิวก็ไม่แห้งเป็นขุยด้วย 3. ป้องกันน้ำกัดเท้า ถ้าต้องออกไปลุยน้ำท่วมแบบเลี่ยงไม่ได้ ให้ทาบริเวณซอกนิ้วเท้าให้หนาๆ ไว้ จะช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวไม่ถูกน้ำแทรกซึมทำร้ายเอาได้ง่ายๆ เป็นการป้องกันน้ำกัดเท้าได้อีกวิธีหนึ่ง 4. ห้ามเลือด อันนี้สำหรับกรณีฉุกเฉิน เราสามารถใช้ปิโตรเลียม เจลลี ห้ามเลือดกรณีบาดแผลไม่ลึกมากได้ เป็นเทคนิคที่เรียนรู้มาจากเวทีมวยอีกที แต่เมื่อเลือดหยุดแล้วต้องรีบล้างแผลทำความสะอาดนะคะ เห็นไหมล่ะ ว่าพกไว้เพียง 1 กระปุก เจ้าปิโตรเลียม เจลลี ที่มีหน้าตาเป็นน้ำมันใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นนี้ สามารถช่วยเราได้เยอะเชียว และราคาต้องบอกว่า ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คุณสมบัติใกล้กัน ปัจจุบันมีให้เลือกหลายยี่ห้อนะคะ ไม่จำเป็นต้องซื้อในชื่อ วาสลีน เท่านั้น อ้อ...ข้อเสียอย่างเดียวของปิโตรเลียม เจลลี ก็คือ ความเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งบางคนไม่ชอบเอาเลย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคุณสมบัติมากกว่าโทษสมบัตินะคะ โดยเฉพาะกรณีที่ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ปิโตรเลียม เจลลีเขาจะเคลือบและแทรกซึมเข้าระหว่างเซลล์ผิวได้ดี ทำให้สามารถป้องกันการสูญเสียน้ำผ่านออกจากผิวหนังได้ถึง 99% แต่เพราะความเหนียว ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็ควรใช้เฉพาะในบริเวณที่แตกแห้งพิเศษ เช่น บริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ผื่นผิวหนังที่หนาๆ  ผิวแตกแห้ง จะได้ไม่รู้สึกเหนอะหนะเกินไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 128 แก้ปัญหาเท้าเหม็น ส้นเท้าแตก อย่างถูกวิธี

  เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกเพศทุกวัยในคนที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้น ทำให้อับชื้นเพราะอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้สะดวก น้ำเหงื่อที่คายออกมาจากผิวหนังจะส่งกลิ่นเหม็นได้อย่างรวดเร็วเมื่อระเหยออกไม่ได้ กลิ่นเหม็นนี้แน่นอนเกิดจากการหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ฝ่าเท้าและรองเท้าหรือถุงเท้าที่อับชื้นทั้งวัน สาเหตุหนึ่งที่พบคือการเลือกใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่หนาแน่นเกินไป ไม่สามารถระบายความชื้นได้ เช่น รองเท้าที่ทำด้วยพลาสติกหรือใยสังเคราะห์ไนล่อนที่ไม่มีรูระบายอากาศ หรือวัสดุที่ไม่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้ ทำให้ฝ่าเท้าชื้นตลอดเวลา รวมทั้งการสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าคับและแน่นเกินไป   การจัดการกับถุงเท้า 1 ถุงเท้า ควรเลือกซื้อถุงเท้าที่ดูดซับความชื้นได้ดี และระบายอากาศได้ดี 2 เลือกถุงเท้าที่ไม่คับจนเกินไป 3 เปลี่ยนถุงเท้าที่สะอาดทุกวัน เวลาซักต้องตากให้แห้งสนิท และถ้าซักด้วยน้ำร้อนได้ยิ่งดีเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค 4 ควรพิจารณาใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ โรยผิวเท้าและฝ่าเท้าก่อนสวมใส่ถุงเท้าเป็นครั้งคราวเมื่อพบกลิ่นเหม็น แป้งฝุ่นจะช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ในขณะเดียวกันยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่บริเวณฝ่าเท้าและถุงเท้าได้ อย่างไรก็ตามการใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะไม่ได้ผลหากไม่ยอมรักษาความสะอาดของเท้าและถุงเท้า   การจัดการกับรองเท้า 1 ตรวจสอบผ้าซับที่บุอยู่ภายในรองเท้า รองเท้าหนังมักจะมีผ้าใยสังเคราะห์เป็นไนล่อนบุภายในรองเท้า ซึ่งจะทำให้เท้าอับชื้นได้ง่าย ควรเลือกรองเท้าที่บุภายในด้วยหนังล้วน ซึ่งจะช่วยคายความชื้นได้ดีกว่า 2 เลือกรองเท้าชนิดที่สามารถซักล้าง/ทำความสะอาดได้ และควรทำความสะอาดทุกวัน วางรองเท้าไว้ในที่อากาศถ่ายเท ไม่ความเก็บในตู้รองเท้าที่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นการบ่มเพาะเชื้อโรคได้รวดเร็ว 3 ทุก 2-3 สัปดาห์ ควรทำความสะอาดภายในรองเท้าด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์หมาดๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรค 4 ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน ควรเปลี่ยนทุก 2 วัน เพื่อให้รองเท้าได้พักและระบายความอับชื้น   การจัดการกับเท้า 1 ตรวจสอบส้นเท้าว่าแห้งและแตกเป็นขุยหรือไม่ หนังหนาๆ ที่แห้งแตกเป็นขุยจะเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้ง่ายที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชื้นแฉะ หากพบว่าส้นเท้าแห้งเป็นขุย อาจใช้ตะไบหรือหินสำหรับขัดส้นเท้าเพื่อขจัดหนังหนาๆ ให้บางลง หรืออาจใช้ครีมผสมตัวยาซาลิไซลิค แอซิด จากร้านขายยา ทาทุกวันเพื่อลอกหนังที่หนาและแตกออก 2 ล้างเท้าและแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นครั้งละ 10-15 นาที หลังจากซับให้แห้งสนิท หากมีน้ำมันไพลหรือครีมผสมน้ำมันไพล ให้ทาบางๆ ให้ทั่วฝ่าเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามซอกนิ้วเท้า น้ำมันไพลมีสรรพคุณฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ดี นอกจากนั้นยังเป็นน้ำมันหล่อลื่นธรรมชาติ ช่วยให้ฝ่าเท้าไม่แห้งแตกอีกด้วย 3 หากพบอาการผิดปกติ เช่น คัน/แดง อาจใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทสเปรย์เท้า ซึ่งมีส่วนผสมของยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งมีขายตามร้านขายยา สเปรย์ให้ทั่วตามซอกนิ้วเท้าหรือบริเวณที่มีปัญหา ควรใช้ยาต่อเนื่องจนกว่าอาการจะหายสนิท หากไม่ดีขึ้นหรือพบการติดเชื้อรุนแรง ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง 4 สำหรับผู้ที่เท้ามีเหงื่อออกมาก ชื้นและแฉะ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทระงับเหงื่อ ซึ่งมีส่วนผสมของเกลืออลูมิเนียมคลอไรด์ ทาบริเวณฝ่าเท้าและซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาดและซับให้แห้งสนิทก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ ควรใช้ตอนกลางคืนก่อนนอนและล้างออกตอนเช้า ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 วัน และทุกสองสัปดาห์ แต่หากพบว่าฝ่าเท้ามีอาการอักเสบ คาดว่าน่าจะมีการติดเชื้อ ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อชนิดนี้ แต่ควรไปปรึกษาแพทย์แทน 5 ครีมบำรุงผิวเท้า คนที่ผิวเท้าแห้งและแตก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วจากข้อแนะนำข้างต้น ควรจะบำรุงผิวเท้าด้วยครีมบำรุงผิวเท้าอย่างสม่ำเสมอ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่ข้นและเหนียว ไม่ต้องกลัวครีมเหนียวเหนอะหนะ เพราะครีมที่ยิ่งข้นและยิ่งเหนียวเหนอะหนะ จะให้ความชุ่มชื้นได้มากและปกป้องผิวได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าเท้าที่ทั้งแห้งและแตกเป็นขุย หากบำรุงเป็นประจำ ฝ่าเท้าจะไม่กลับมาแห้งแตกอีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 127 มาสคาร่าและขนตางอนยาว

  มาสคาร่า เป็นเครื่องสำอางที่ช่วยเน้นให้ดวงตาคมและเข้มขึ้น ช่วยเพิ่มความหนาและความยาวให้ขนตาดูดกดำ บางครั้งก็สามารถใช้ตกแต่งขนคิ้วได้เช่นกัน มีเอกสารอ้างอิงการใช้มาสคาร่าจากสมัยอียิปต์โบราณ กรีกและชาวโรมัน ส่วนใหญ่ใช้กันมากในหมู่ดาราหนังที่มีการแสดงบนเวที ปัจจุบันเป็นความนิยมในสังคม ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงสาวใหญ่  สูตรตำรับของมาสคาร่า มีการพัฒนามาหลายยุคหลายสมัย ในอดีต(ค.ศ.1933) มีคนถึงขั้นตาบอดและถึงตายในที่สุดจากการใช้มาสคาร่าที่มีองค์ประกอบของสารเคมีที่รุนแรง ทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกาต้องเข้าควบคุมผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางอย่างเข้มงวดตั้งแต่ปี ค.ศ.1938 เป็นต้นมา  ปัจจุบันมาสคาร่ามีพัฒนาการไปมากเพื่อให้สะดวกต่อผู้บริโภคในการใช้งาน องค์ประกอบหลักทางเคมีพื้นฐานที่คล้ายๆ กันในหลายๆ ยี่ห้อคือ เม็ดสี น้ำมัน ไขหรือขี้ผึ้ง และสารกันเสีย รวมทั้งสารบำรุงเส้นขนให้แข็งแรง เช่น วิตามิน โปรตีน  เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสูตรตำรับชนิดที่กันน้ำและชนิดไม่กันน้ำ คุณสมบัติของมาสคาร่าที่ช่วยให้เส้นขนตายืดยาวขึ้นและหนาขึ้น โดยใช้องค์ประกอบทางเคมีของสารกลุ่มไนล่อนหรือไมโครไฟเบอร์พวกเส้นไหมเรยอน และสารจำพวกแป้งเปียกเพื่อให้มาสคาร่าเหนียวข้น เส้นขนตาจะได้หนาขึ้นอย่างที่เห็น  ข้อควรระวัง การใช้มาสคาร่าและการต่อขนตาให้ยาวและหนาขึ้น  1. ระวังโฆษณามาสคาร่าที่ชวนเชื่อว่าขนตาจะยาวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเห็นผลในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้มีการนำสารเคมีที่เป็นตัวยาในการรักษาโรคความดันตาสูงผิดปกติมาใส่ในมาสคาร่า ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดอยู่ในประเภท ‘ยา’ ไม่ใช่เครื่องสำอาง การนำมาใช้เป็นมาสคาร่าในคนที่ไม่เป็นโรค จะก่อให้เกิดอันตรายต่อเยื่อบุลูกตา สีม่านตาเปลี่ยน ตาบวมและอักเสบ และมีผลข้างเคียงต่อผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ตัวยาสำคัญชนิดนี้มีประสิทธิผลทำให้เส้นขนดกดำและหนาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นหากมีโฆษณาชวนเชื่อเช่นนี้ขอให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสินค้าดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ออกมาประกาศเตือนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2011 ที่ผ่านไปถึงข้อห้ามการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าว และให้ผู้บริโภคระวังสินค้าประเภทนี้   2. เปลี่ยนแปรงปัดขนตาบ่อยๆควรเปลี่ยนแปรงปัดขนตา หลังการใช้งานนาน 4-6 เดือน หรือหากพบกลิ่นเปลี่ยนแปลง ควรทิ้งทันทีรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหลือทันที เพราะองค์ประกอบทางเคมีของมาสคาร่าจะขึ้นเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย หากใช้ต่อจะทำให้ตาอักเสบ คันและบวมเพราะติดเชื้อได้   3. ใช้กาวติดขนตาอย่างระมัดระวังการต่อเส้นขนตา นอกจากมาสคาร่าแล้ว ยังมีการใช้ขนตาปลอมทำเป็นแผงโดยใช้เส้นใยไนลอนหรือโพลีเอสเตอร์และใช้เทปกาวเพื่อแปะติดกับหนังตาบน อาการข้างเคียงที่พบทั่วไปคือ ทำให้ขนตาธรรมชาติหลุดร่วงง่าย ในบางรายที่ใช้ขนตาปลอมติดเป็นประจำ ขนตาธรรมชาติหลุดร่วงไปหมดอย่างถาวรก็มี นอกจากนี้เทปกาวอาจทำให้หนังตาระคายเคืองและอักเสบได้หากใช้ไม่ถูกต้อง และบางรายอาจมีอาการระคายเคืองจากการแพ้เทปกาว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ครีมกำจัดขน ใช้เป็นประจำมีอันตรายหรือไม่?

  ความสวยงามบนเรือนร่างของหญิงและชาย เป็นจุดสนใจของเจ้าของโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงมักให้ความสนใจกับความเกลี้ยงเกลาของเรือนร่าง จึงไม่ต้องการให้มีเส้นขนโผล่ตามผิวหนังไม่ว่าจะเป็น แขน ขา ใต้วงแขน หรือแม้แต่ในร่มผ้า ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกำจัดเส้นขนตามร่างกายที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งวิธีทั่วไปที่ใช้กันในปัจจุบัน มี 3 วิธีคือ  1. ใช้ครีมกำจัดเส้นขน (Dipilatories)2. ใช้วิธีถอนเส้นขนออกทั้งราก (Epilation) โดยใช้อุปกรณ์ช่วย หรือใช้แวกซ์ถอนขน 3.ใช้อุปกรณ์การแพทย์ เช่น แสงเลเซอร์  สองวิธีแรกมีใช้กันมาตั้งแต่อดีตเพราะง่ายและประหยัด ส่วนวิธีที่ 3 เป็นการใช้อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ลงมือทำให้ ค่าใช้จ่ายก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประเภทครีมกำจัดเส้นขนจึงเป็นที่นิยมมากที่สุด รูปแบบที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดมีทั้ง เจล ครีม โลชั่น แอโรโซลชนิดสเปรย์ โรลออน และรูปแบบแป้งฝุ่นโรยผิว นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีใช้มานานตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน เพียงแต่สูตรครีมชนิดนี้ในอดีตอาจมีกลิ่นฉุนรุนแรงของทั้งกรดและด่าง แต่ในปัจจุบันได้พัฒนาให้มีกลิ่นฉุนลดลง  องค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์ครีมกำจัดเส้นขน มีส่วนประกอบของสารเคมีที่มีความเป็นด่างสูง คือ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งมีอยู่ในเนื้อครีมปริมาณมาก และตัวยาแคลเซียม ไทโอไกลโคเลท (Calcium thioglycolate) หรือ (sodium thioglycolate) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับโปรตีนของเส้นขน ทำให้เส้นขนนุ่มลงและถูกตัดขาดจากรากขนหรือส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ง่าย   ข้อดี • เป็นวิธีที่ประหยัด ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงทาครีมบนผิวหนังทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วเช็ดออก และเป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดเลย • ทำเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ หรือไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ด้วย • ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด มีหลายความเข้มข้นให้เลือกซื้อสำหรับเส้นขนที่หนาและแข็ง อาจต้องใช้ชนิดความเข้มข้นสูง  สำหรับผู้ที่มีเส้นขนไม่หนาและอ่อนควรเริ่มต้นเลือกทดลองใช้ความเข้มข้นที่น้อยที่สุดก่อน • หาซื้อได้ง่ายทั่วไป  ข้อเสีย • ได้ผลในระยะสั้นๆ เท่านั้น เส้นขนจะกลับเจริญเติบโตขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วภายใน 2-5 วัน • ผู้ที่มีเส้นขนสีดำ อาจจะมองเห็นเป็นรอยดำๆ บนผิวหนัง ซึ่งเป็นสีดำของเส้นขนที่ตกค้างอยู่ใต้ผิวหนังที่ยังคงอยู่ • ผลิตภัณฑ์มักมีกลิ่นฉุนและเลอะเทอะเวลาใช้ แม้ว่าหลายยี่ห้อได้พัฒนาสูตร แต่ยังมีกลิ่นเคมีหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย • ระคายเคืองผิวหนังได้ง่าย เนื่องจากมีความเป็นด่างสูง   ข้อแนะนำและข้อควรระวังเนื่องจากชั้นของผิวหนัง มีองค์ประกอบของโปรตีนคีราตินเช่นเดียวกับโปรตีนของเส้นขน ดังนั้นเคมีในเนื้อครีมจะทำลายโปรตีนชั้นผิวหนังที่สัมผัสตัวยาเช่นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเนื้อครีมกำจัดเส้นขนถูกพอกทิ้งไว้นานเกินไป ผิวหนังจะระคายเคืองและอักเสบได้  ก่อนการใช้งาน ควรทดสอบอาการแพ้หรือไม่แพ้ด้วยตนเองบนผิวหนังบริเวณเล็กๆ โดยทาเนื้อครีมในบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ทิ้งไว้สัก 10-15 นาที หรือตามที่ระบุไว้บนฉลาก จากนั้นเช็ดเนื้อครีมออกด้วยกระดาษหรือผ้าชื้น และสังเกตอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการไหม้ แต่อาจมีเพียงอาการแดงเล็กน้อย แสดงว่าสามารถใช้ครีมสำหรับกำจัดเส้นขนได้โดยไม่เกิดอันตราย แต่หากมีอาการไหม้ และปวดแสบปวดร้อน ไม่ควรใช้ต่อ อย่างไรก็ดี สถาบันประเมินความเสี่ยงจากการใช้สินค้าของผู้บริโภค ประเทศเยอรมนี (BfR) ได้ออกมาเตือนการใช้ครีมกำจัดขนชนิดนี้ว่า ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองไม่มากก็น้อยต่อผิวหนังบริเวณที่ใช้ได้ และหากมีการใช้เป็นประจำ และใช้ซ้ำบ่อยๆ ในบริเวณเดียวกัน อาจระคายเคืองมากได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ซ้ำบ่อยๆ ในบริเวณเดียวกัน เช่น มีการพอกบนผิวหนังทุก 2-5 วันซ้ำๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงรุนแรงขึ้น อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความเป็นด่างสูงหรืออาจเกิดจากสารเคมีไทโอไกลโคเลท ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป  นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มีข้อบ่งใช้เฉพาะกำจัดเส้นขนตามแขนและขาเท่านั้น ไม่ควรใช้กับใบหน้าเพื่อกำจัดหนวด เครา หรือขนคิ้วเด็ดขาด รวมถึงบริเวณที่ลับใต้ร่มผ้าหรือผิวหนังบริเวณใกล้อวัยวะเพศ  หรือเส้นขนในรูจมูก ซึ่งเป็นบริเวณผิวหนังที่อ่อนไหวและชั้นหนังกำพร้าบาง จะเป็นอันตรายได้ง่าย ผู้บริโภคควรอ่านฉลากกำกับ และใช้ตามข้อแนะนำในฉลากเท่านั้น   เอกสารอ้างอิง 1. http://depilatories.info/ 2. http://www.cosmeticsdesign-europe.com/Regulation-Safety/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 เติมความรู้เรื่อง สารลบริ้วรอย

  กลายเป็นเรื่องค่อนข้างปกติแล้วสำหรับการเห็นดารานักร้องและบุคคลสำคัญที่ปรากฏในจอทีวีล้วนแต่มีใบหน้าเต่งตึง ไม่พบริ้วรอยแม้เพียงน้อยนิด คนอายุร่วม 60 กลับดูเหมือนเพียง 30 ปลาย ดารา นักร้องวัยรุ่นที่ไม่มีดั้ง คางสั้น กลับกลายเป็นมีดั้ง จมูกโด่ง คางแหลม คิ้วโก่ง ส่วนดาราสูงวัยกลับดูเด็กลงอย่างมากมาย ด้วยใบหน้าเรียบตึงปราศจากริ้วรอยตีนกาหรือร่องแก้มลึก  ภาพความสวยความสาวราวปั้นแต่งนี้ ย่อมยั่วยวนให้ผู้หญิงทั้งหลาย อยากเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงามทั้งหลายเพื่อเสริมแต่งใบหน้าให้ได้รูปตามที่ปรารถนา บทความนี้จึงอยากแนะนำข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามจากแพทย์  สารเติมเต็มคืออะไรสารเติมเต็ม ถูกจัดหมวดหมู่ให้เป็น ‘อุปกรณ์การแพทย์’ ชนิดหนึ่ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองและอนุญาตให้ใช้เพื่อฉีดเข้าใต้ผิวหน้า ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างจมูกและรอบริมฝีปาก เติมเต็มวงลึกใต้ตา ใช้ฉีดเข้าหางตาเพื่อยกหางตาและหางคิ้วไม่ให้ตก นอกจากนี้ยังนิยมใช้ฉีดเข้าปลายจมูกให้มีติ่งเป็นหยดน้ำ หรือฉีดเข้าปลายคางให้แหลม หรือฉีดเพื่อเสริมดั้งจมูกให้โด่งขึ้น บางคนฉีดเพื่อให้ริมฝีปากนูน เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เหล่านี้ ช่วยทำให้หญิงชายในยุคปัจจุบันสวยได้ทันใจ โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อดึงหน้าหรือยกกระชับเหมือนสมัยก่อน   วัสดุวิทยาศาสตร์ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ ชนิดให้ผลถาวร และชนิดให้ผลชั่วคราว   ชนิดถาวร ได้แก่  โพลีเมทธิลเมทาไคลเลต (Polymethylmethacrylate, PMMA) มีลักษณะเป็นเม็ดบีดส์หรือลูกบอลขนาดละเอียดและเรียบ สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเราได้ดีและไม่ถูกดูดซับหรือดูดซึมโดยร่างกาย นิยมใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้มรอบปากและข้างจมูก ข้อเสียคือเมื่อฉีดแล้ว หากไม่พอใจต้องให้แพทย์ผ่าเอาออก ชนิดชั่วคราว จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะสลายไป ตัวอย่างของสารเติมเต็มที่ใช้ทั่วไป มี 4 ชนิดที่นิยม คือ 1. คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะสกัดจากวัวหรือเซลล์ของคน ให้ผลระยะสั้นเพียง 3-4 เดือน 2. ไฮยารูโลนิค แอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘เรสไตเลน’ (Restylane) จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ในเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เช่น กระดูกอ่อน และผิวหนัง วัสดุชนิดนี้สามารถรวมกับน้ำหรือความชื้นได้ดีและบวมน้ำกลายเป็นเจลนุ่มๆ เมื่อนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกข้างจมูก ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นเลือนหายไปทันตา ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบขึ้น ร่องลึกจะถูกลบเลือนจนหมดหรือเกือบหมดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วัสดุชนิดนี้มักจะถูกสกัดและเตรียมขึ้นจากไบโอเทคโนโลยีหรือใช้เชื้อแบคทีเรียเป็นสารตั้งต้นในการเตรียม ในปัจจุบันมีการดัดแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารกลุ่มนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถมีอายุได้นานขึ้นใต้ผิวหนังประมาณ 6-12 เดือน 3. แคลเซียม ไฮดรอกซี่อปาไทด์ (Calcium hydroxylapatite) จัดเป็นวัสดุแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่พบทั่วไปในฟันและกระดูก การใช้เป็นสารเติมเต็ม สารชนิดนี้จะถูกเตรียมโดยแขวนกระจายในน้ำยาคล้ายเจล และนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ระยะเวลาที่ให้ผลประมาณ 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง  4. โพลี แอล แลคติด แอซิด (Poly-L-lactic acid, PLLA) จัดเป็นวัสดุโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายเองได้ในร่างกาย นับเป็นวัสดุวิทยาศาสตร์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้เข้ากับร่างกายคนเราได้ดี ใช้มากในการช่วยละลายไหมเย็บแผลและสกรูกระดูกในศัลยกรรมกระดูก สารเติมเต็มชนิดนี้นิยมใช้กันมากในยุโรปและอเมริกา กลไกการทำงานของวัสดุชนิดนี้คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ เพื่อเติมเต็มล่องลึกและริ้วรอยเหี่ยวย่น มีอายุประมาณ 2 ปี  ความเสี่ยงของการฉีดสารเติมเต็มอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และมักจะเลือนหายไปเองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ในบางกรณีอาจมีอาการข้างเคียงประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือเป็นปีได้ สารเติมเต็มทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ในระยะยาว หรืออาการข้างเคียงถาวร หรือทั้งสองชนิดได้ อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น บวม แดง เป็นผื่น คัน เจ็บ ฟกช้ำ ส่วนอาการข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ผิวหนังมีลักษณะเป็นเนื้อนูน ซึ่งต้องให้แพทย์ผ่าตัดออก ความเสี่ยงในการติดเชื้อ มีแผลเปิด มีอาการแพ้ หรือเกิดเนื้อตายบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏพบอาการข้างเคียงที่มีรายงาน เช่น การเคลื่อนที่ของสารเติมเต็มจากตำแหน่งเดิม การรั่วไหลของสารเติมเต็มออกสู่ผิวหนังชั้นบน ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดจากการอักเสบจากการติดเชื้อหรือเกิดจากปฏิกิริยาของสารเติมเต็มต่อผิวหนังบริเวณที่ฉีด หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือมีสายตาพร่าฟาง ก่อนเข้ารับบริการควรตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะข้อจำกัดและร่างกายแต่ละคนมีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนต่อสารเคมีหรือวัสดุวิทยาศาสตร์ไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่แพ้ ฉีดหลายๆ ครั้งก็ไม่เป็นไร แต่บางคนฉีดเพียงเล็กน้อยก็อาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้   สวยอย่างฉลาด - รับบริการจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังโดยตรง- ควรจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แพทย์เลือกฉีดให้คืออะไร ชื่ออะไร และมีอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างไร- ควรจะข้อดูฉลากที่ขวดยาว่า เป็นชนิดที่ผ่านการรับรองจากอย.หรือไม่- ควรจะปรึกษาแพทย์ที่ให้บริการถึงผลคาดหวังที่จะได้รับ ว่าเราคาดหวังอย่างไร และแพทย์ผู้ให้บริการคาดหวังอย่างไร ตรงกันหรือไม่ เช่น ร่องแก้มที่ลึกมาก ควรฉีดสารมากน้อยเท่าไหร่ หรือให้ผลนานกี่เดือน รวมถึงราคาที่ตกลงกันในปริมาณของสารเติมเต็มที่ฉีด- ควรรู้ว่า สารเติมเต็มที่อย.รับรองให้ใช้นี้ เป็นผลที่ได้จากการศึกษาทดลองจากการศึกษาทางคลินิกบนผิวหน้า ส่วนการฉีดซ้ำหลายๆ ครั้งหรือบ่อยๆ ทุกๆ ระยะเวลาเมื่อสารเสื่อมสภาพนั้น ยังไม่ได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการใช้สารเติมเต็มจะไม่ได้อยู่ครอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขของการประกันสุขภาพ- ความปลอดภัยที่จะใช้ในคนท้องหรือหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร และผู้รับบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ยังไม่มีข้อมูล   เอกสารอ้างอิง1. http://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/CosmeticDevices/WrinkleFillers/default.htm2. http://www.wisegeek.com/what-is-a-wrinkle-filller.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 วิธีเลือกเครื่องสำอางสำหรับผู้สูงวัย

  ผิวหนังของผู้สูงวัย มักจะแห้ง มีริ้วรอย ความชุ่มชื้นน้อย ผิงหนังมักจะบาง เพราะเซลล์ผิวหนังมีการเจริญเติบโตลดน้อยลง และมักจะซีดลง อันเนื่องมาจากการสร้างเม็ดสีของผิวหนังทำงานลดลง และบ่อยครั้งที่พบว่าสีผิวมักจะไม่สม่ำเสมอ   คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องสำอาง1) เริ่มต้นจากพื้นฐานสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิวหนังผู้สูงวัยคือ ต้องมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้นผิวในปริมาณสูง และควรจะใช้ควบคู่กับครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง สารมอยส์เจอร์สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยทันที จำเป็นต้องบำรุงผิวหน้าเป็นลำดับแรก ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามักจะแห้งมากกว่าส่วนอื่น ริ้วรอยรอบดวงตาจะเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความชราของผิวหนังเจ้าของ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาจะมีองค์ประกอบที่ปกป้องผิวหนังรอบตาได้ดีกว่าผิวหน้าทั่วไป มักจะมีองค์ประกอบที่มีมอยส์เจอร์สูงกว่าและมีสารอีมูเลียน (Emollients) ที่มันกว่าเพื่อเคลือบปกป้องไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นนั่นเอง ทุกครั้งที่อาบน้ำล้างหน้า แนะนำให้บำรุงด้วยครีมมอยส์เจอร์รอบผิวหน้าและดวงตาทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนนอน แนะนำให้ทาครีมบำรุงทุกครั้ง   ภายหลังจากบำรุงผิวหน้าและรอบดวงตาด้วยมอยส์เจอร์แล้ว ควรปกป้องผิวหน้าด้วยครีมกันแดดให้ทั่วผิวหน้าก่อนที่จะแต่งแต้มด้วยครีมรองพื้น ครีมกันแดดจะประกอบไปด้วยสารกรองรังสียูวีเอและยูวีบี       รังสียูวีเอจะสามารถทะลุผิวหนังชั้นล่างได้ ทำให้ผิวหนังคนเราเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ส่วนรังสียูวีบีมีผลทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมและดำคล้ำ ในวัยสูงอายุจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านในระหว่างวัน เพื่อปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วก่อนวัย   2) การเลือกครีมรองพื้น ครีมรองพื้นมีองค์ประกอบของแป้งที่เป็นเม็ดสีละเอียด ทำหน้าที่เคลือบผิวหน้าเพื่อช่วยให้ผิวหน้าแลดูเนียนละเอียด ช่วยปกปิดริ้วรอยและแผลเป็นหรือหลุมลึกของสิวได้ดี การเลือกชนิดของครีมรองพื้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีมหรือโลชั่นชนิดน้ำมัน ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นน้ำ เพราะเมืองไทยอากาศร้อนชื้น เวลาเหงื่อออก จะทำให้รองพื้นชนิดน้ำแตก ดูคล้ายผิวหน้าแตกลาย ไม่น่าดู และหมดสวย ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวหน้าของเรามากที่สุด ที่สำคัญคือควรทารองพื้นเพียงบางเบาและเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรทาหนา เพราะจะยิ่งไปเน้นริ้วรอยให้เห็นชัดเจนมากขึ้น   3) การแต่งแต้มแก้มให้เป็นสีชมพู ผิวหน้าวัยสูงอายุมักจะแลดูซีดเซียว แห้ง และไม่สดใส ดังนั้นการเติมสีสันให้ผิวแก้มเป็นสีชมพู จะช่วยได้มาก เพิ่มชีวิตชีวา แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นครีมเพราะมีองค์ประกอบของอีมูเลียน (Emollients) หรือน้ำมันบำรุงผิวอีกด้วย ช่วยให้ผิวแก้มชุ่มชื้นและติดทนนานมากขึ้น อย่าลืมว่าควรเลือกสีให้บางเบาเพื่อให้แลดูเป็นธรรมชาติ   4) การเลือกสีอายเชโด้ควรเลือกสีอายเชโด้ให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าของ แต่ที่สำคัญคือบางเบา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แต่งเป็นงิ้ว เพราะจะค้านกับวัยและแลดูแก่กว่าวัยทันที ก่อนทาสีอายเชโด้ แนะนำให้ใช้ครีมรองพื้นเฉพาะของเปลือกตาป้ายบางๆ นอกจากจะบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยให้สีอายเชโด้ติดทนนานได้ตลอดวันอีกด้วย   5) การเลือกลิปสติก ผิวหนังริมฝีปากของผู้สูงอายุ มักจะแห้งและบางครั้งมีหนังลอก การทาลิปสติกมักไม่ค่อยติดหรือหลุดลอกได้ง่าย วิธีแก้ปัญหา ควรหมั่นบำรุงผิวริมฝีปากด้วยครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เวลาหลับ สารมอยส์เจอร์ในครีมบำรุงจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งและไม่มีหนังลอก ลิปสติกที่ทาไว้จะติดโดยไม่หลุดลอกง่าย สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เมื่อทาลิปสติก แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมมีองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยมากมาย ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ในคนที่มีผิวบอบบางและแพ้สารเคมีง่าย การใช้ลิปสติกไม่ควรใช้นานเกิน 1-2 ปี เพราะองค์ประกอบในลิปสติกส่วนใหญ่เป็นไขมัน เมื่อเก็บไว้นานจะเหม็นหืน หากมีกลิ่นหืน ควรทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียดาย เพราะถ้าใช้ต่อ จะทำให้แพ้และริมฝีปากลอกได้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้หญิงควรจำไว้คือ ลิปสติคส์ควรใช้เฉพาะคน ไม่ควรแบ่งเพื่อนใช้หรือใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จากคนหนึ่งสู่อีกคนได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 123 เคลนเซอร์กับโทนเนอร์

  หลายคนอาจจะสับสนเรื่องเคลนเซอร์กับโทนเนอร์ ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ยิ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคลนเซอร์กับโทนเนอร์ออกมาวางจำหน่ายมากมายยิ่งทำให้เกิดความสับสนไม่รู้จะเลือกใช้อะไรดี หรือจะไม่ใช้ได้ไหม เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า “ตกยุค” ฉบับนี้จึงมีคำอธิบายเพื่อคลายข้อสงสัยค่ะ   ผิวสะอาดคือเรื่องสำคัญที่สุด การจะมีผิวพรรณสดใส ปราศจากความหมองคล้ำ ความมันหรือสิว ขั้นตอนในการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญ การจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะก็ต้องดูลักษณะผิวหน้าของตัวเองว่าอยู่ในประเภทใด ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย ซึ่งฉลาดซื้อได้นำเสนอไปในฉบับก่อนหน้านี้   ในขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้าโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนสำคัญ 2 ขั้นตอนคือ   1.การทำความสะอาดผิวหน้า 2.การปรับสภาพผิวหน้าหลังทำความสะอาด   การทำความสะอาดผิวหน้า Cleanser หมายถึงการทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ทำความสะอาดผิวหน้า หลายคนจึงเรียกให้ง่ายว่า เคลนเซอร์  ซึ่งโดยทั่วไปที่วางขายในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบที่ต้องอาศัยน้ำ อาจมาในรูปของโฟมหรือเจล เพื่อการล้างหน้า กลุ่มนี้จะมีส่วนผสมของตัวชะล้างหรือ detergent เป็นส่วนประกอบหลัก  อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือเคลนเซอร์ที่ช่วยในการเช็ดคราบเครื่องสำอาง กลุ่มนี้จะไม่อาศัยน้ำในการทำความสะอาดแต่จะมีน้ำมันหรือส่วนผสมอื่นที่สามารถละลายเครื่องสำอางให้ออกไปได้ง่าย เพราะปกติส่วนผสมในเครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้าจะเป็นน้ำมันหรือสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ ดังนั้นจึงต้องใช้สารเคมีเฉพาะสำหรับการเช็ดคราบเครื่องสำอางออกไปก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอีกครั้ง  ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า Cleanser บนฉลากเครื่องสำอาง ให้พิจารณาดูว่าสำหรับขจัดคราบเครื่องสำอางเป็นหลัก หรือว่าเป็นพวกที่อาศัยน้ำเพื่อชำระล้างคราบฝุ่นละอองทั่วไป  ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับสบู่   การปรับสภาพผิวหลังทำความสะอาด เมื่อเช็ดเครื่องสำอางด้วยเคลนเซอร์และล้างหน้าตามปกติแล้ว คำแนะนำสำหรับการทำความสะอาดผิวหน้าในขั้นตอนถัดมาก็คือ การใช้โทนเนอร์ ซึ่งมาในรูปของโลชั่นหรือน้ำที่จะหยดลงบนสำลีเพื่อเช็ดผิวหน้าเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกที่ยังอาจตกค้างอยู่หลังการล้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็มีส่วนในการช่วยปรับสภาพผิวหน้าก่อนบำรุงผิวต่อไป   สมัยก่อนโทนเนอร์จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงมาก เพราะผลิตขึ้นเพื่อช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกและความมันให้หมดไป ดังนั้นโทนเนอร์สมัยก่อนจึงมีส่วนทำให้ผิวแห้งตึง แต่ปัจจุบันโทนเนอร์ถูกพัฒนามากขึ้น จุดเด่นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทำความสะอาดแต่ช่วยปรับสภาพผิวให้สมดุลชุ่มชื้น โทนเนอร์ในปัจจุบันจึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ 1.เฟชรเชนเนอร์ เป็นโทนเนอร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์  จะอ่อนโยนและดีสำหรับผิวแห้งมักมีส่วนผสมที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นสำคัญ 2. แคลิฟายอิ้งโลชั่นโทนเนอร์โทนเนอร์ที่มีความเข้มข้น(แอลกอฮอล์)ปานกลาง จะช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรก รวมทั้งช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ผิว เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวผสม  3. แอสตรินเจนท์เป็นโทนเนอร์ชนิดเข้มข้น  จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง จึงเหมาะสำหรับคนผิวมัน  เนื่องจากสามารถเช็ดคราบมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ดี  และยังช่วยลดความมันบนผิวหน้าอีกด้วย   ถ้าถามว่าผิวหน้าจำเป็นต้องใช้โทนเนอร์หรือไม่ สำหรับบางคนอาจจำเป็นโดยเฉพาะสาวๆ ที่แต่งหน้า การใช้โทนเนอร์จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดยิ่งขึ้นและช่วยปรับสภาพผิว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งหน้าและไม่ใช่คนผิวมันมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้   และสำหรับสาวๆ ที่อยากได้โทนเนอร์แบบธรรมชาติปราศจากสารเคมี เรามีสูตรโทนเนอร์ธรรมชาติมาฝากด้วยค่ะ  สร้างความชุ่มชื้นให้ผิวแบบธรรมชาติ โลชั่นน้ำผลไม้   ใช้น้ำแตงกวา มะเขือเทศ มะนาว และแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า น้ำผลไม้ผสมสูตรนี้จะช่วย สมานผิวและกระชับรูขุมขนเหมือนกับการใช้แอสตรินเจนท์และโทนเนอร์ มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง  น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความชุ่มชื้นจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียน วิธีการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ตัวนี้ไม่ยาก ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ ครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงเช็ดออกด้วยสำลีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น คุณจะรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น วิธีนี้ช่วยกำจัดสิวหัวดำและจุลินทรีย์ที่หมักหมมอยู่ตามขุมขนได้หมดจด ช่วยให้เลือดลมเดินดีขึ้นด้วย โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม   ล้างเปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผลให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทนโลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละอองที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้าด้วย โลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถใส่ขวดเข้าตู้เย็นเก็บไว้ได้นานอีกด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 122 การดูแลผิวมันและผิวผสม

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  สิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในสองฉบับก่อนเรานำเสนอ ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายไปแล้ว คราวนี้ปิดท้ายด้วยผิวมันและผิวผสมค่ะ  ผิวมัน (OILY SKIN)คนที่มีผิวมัน มักจะเป็นสิวได้ง่าย สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวได้โดยไม่ค่อยรู้สึกระคายเคือง แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวมันค่อนข้างชัดเจน หลังล้างหน้า จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่น แต่พอตกบ่ายจะพบว่าผิวหน้ามันเยิ้มอีกแล้ว ผิวหน้าจะแลดูหยาบเพราะมีรูขุมขนใหญ่และมีผิวหนากว่าผิวแบบอื่นๆ  การดูแลผิวมันผิวมันมักจะมีสิวเสี้ยนหัวดำแทรกอยู่ตามรูขุมขนได้มาก น้ำมันหรือซีบุ้มธรรมชาติเหล่านี้จะค่อยน้อยลงด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ความเครียด ปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมนในร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีสิวเสี้ยนมาก อาจล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ครั้งต่อวัน และเช็คตามด้วยโลชั่นชนิดแอสตรินเจนท์เพื่อลดความมัน และช่วยปิดรูขุมขนให้เล็กลง นอกจากการล้างหน้าด้วยสารทำความสะอาดแล้ว แนะนำให้พอกหน้าด้วยดินหรือโคลนพอกหน้า ซึ่งคุณสมบัติของโคลนจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและน้ำมันออกจากผิวหน้าส่วนที่ลึกลงไปได้ดีเยี่ยม ควรทำทุก 2 อาทิตย์ จะเป็นตัวช่วยให้ผิวหน้าสะอาดห่างไกลจากสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ คนที่มีผิวมัน มักประสพกับปัญหาผิวแห้งเร็วได้ เนื่องจากความพยายามที่จะล้างหน้าบ่อยๆ หรือบ่อยเกินไปในแต่ละวัน และหลายคนคิดว่าผิวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวอีกต่อไป อันนี้คงไม่จริงและความเข้าใจผิดนี้เองทำให้คนผิวมัน กลายเป็นคนผิวแห้งและแก่ได้ง่าย ดังนั้นภายหลังจากล้างหน้า ควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่มีสารให้ความชุ่มชื้นแต่มีน้ำมันน้อยหรือเบาบาง ทาเคลือบผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ควรนวดคลึงเนื้อครีมเบาๆ ให้ดูดซึม และใช้กระดาษทิชชูเช็ดส่วนเกินของครีมบำรุงออกไปเพื่อไม่ให้ผิวหน้ามันเยิ้ม  ผู้ที่มีผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่รับประทานผลไม้และผักสดมากๆ  สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับคนผิวมันสิ่งที่ควรทำ:1. ให้มั่นใจว่ามือสะอาดหรือล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสผิวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เป็นสิว 2. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ล้างออกด้วยน้ำในการทำความสะอาดผิวหน้า ไม่แนะนำให้ใช้ครีมเช็ดเครื่องสำอาง เพราะมีน้ำมันมากเกินไป3. ควรพอกหน้าด้วยโคลนเป็นประจำเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกินออกไป ช่วยให้หน้าสะอาดและนุ่มนวล 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดความเครียดในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ไม่ควรทำ:1. ไม่ควรบีบสิว ทำให้เกิดริ้วรอยและแผลเป็น2.  ไม่ควรเข้านอนโดยมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวหน้า ผิวผสม (COMBINATION SKIN)คนที่มีผิวผสม จะมีน้ำมันเยิ้มบริเวณที-โซน และผิวแห้งบริเวณแก้ม มักเกิดจากตอนเป็นวัยรุ่นเป็นคนผิวมัน เมื่ออายุถึง 20 ปี ปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังจะค่อยๆ ลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้บางส่วนของผิวหน้ามีน้ำมันเยิ้ม แต่บางบริเวณเป็นผิวแห้ง วัยที่เปลี่ยนแปลงไปจึงควรตรวจเช็คสภาพผิว เพราะผิวผสมจะแปรเปลี่ยนตามวัย ฮอร์โมน และสภาวะสิ่งแวดล้อม  การดูแลผิวผสมใช้วิธีดูแลแบบคนที่มีผิวแห้งและผิวมันผสมกัน ควรดูแลให้บริเวณทีโซนแห้งไม่มันเยิ้ม ไม่ให้รูขุมขนอุดตัน และดูแลให้ผิวบริเวณแก้มชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ  ในแต่ละวัน ควรล้างหน้าด้วยครีมโฟม เพื่อขจัดความมันบริเวณทีโซน และในตอนเย็นควรใช้ครีมหรือโลชั่นเช็ดหน้า ทำความสะอาดเพื่อบำรุงให้ผิวหน้าไม่แห้งกร้าน เป็นการปรับสมดุลของผิวผสม แม้ว่าจะดูแลผิวทั้งสองแบบในขณะเดียวกันลำบาก แต่ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยเสมอ ภายหลังจากล้างหน้า ควรเช็ดหน้าบริเวณทีโซนด้วยโลชั่นแอสตรินเจนท์ที่อาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อเช็ดเอาความมันออกไป แต่ควรใช้โทนเนอร์ที่อ่อนละมุนสำหรับแก้ม ลำคอและส่วนอื่นที่มีผิวแห้ง และควรบำรุงผิวทั่วทั้งหน้าด้วยครีมมอยส์เจอร์ที่อุดมด้วยสารอาหารและวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ   วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก  อ่านวิธีการดูแลผิวธรรมดา (ฉลาดซื้อ ฉบับ 120) การดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย (ฉลาดซื้อ ฉบับ 121)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point