ฉบับที่ 168 ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(ใครจะทำไม)

“ในโลกนี้ไม่มีใครอยากแก่ จะเป็นอย่างไรถ้าเราได้ค้นพบวิธี หยุดความแก่ชราได้จริง คำตอบ คือ สเต็มเซลล์” ข้อความโปรยหัวโฆษณาที่กระหน่ำส่งมาทางอีเมล์หลายอีเมล์ในช่วงเวลาไล่เรียงกันนี้ คงกระตุ้นต่อมกลัวแก่ของใครหลายต่อหลายคนได้บ้าง ยิ่งมันไม่ได้ส่งแค่ข้อความเดียวตามลำพัง แต่มันยังส่งอาวุธลับกระแทกต่อมกลัวแก่ซ้ำเข้าไปอีก ด้วยรูปใบหน้าที่เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังที่เหี่ยวย่นตามวัยกับผิวหนังที่ดูราบเรียบขึ้นมาอย่าน่าอัศจรรย์(อันที่จริงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำแบบนี้ได้นะครับ..ฮา) ยังไม่พอครับ เจ้าโฆษณานี้มันคงกลัวคนที่กลัวแก่จะไม่ใจอ่อน มันเลยงัดเอาไม้ตายที่เด็ดเสร็จทุกรายมากระทืบซ้ำ โดยการอ้างข้อมูลที่พยายามดูน่าเชื่อถือมากขึ้น “สเต็มเซลล์ เป็นสิ่งที่สามารถซ่อมแซมร่างกาย และสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ ในขณะที่เราอายุมากขึ้นเซลล์จะเสื่อมสภาพลง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเซลล์ใหม่เข้าไปทดแทน และสิ่งที่จะเข้าไปทดแทนได้นั่นก็คือ สเต็มเซลล์ (ขึ้นต้นเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่ทำไปทำมาเหมือนทำท่าจะขายของ ลองอ่านต่อไปอีก) ดังนั้น เราจึงได้คิดค้นและพัฒนา Growth Factor Complex Technology (เอาละเหวย ใช้ศัพท์หรู ดูดีมีความขลังเข้าไว้ มันน่าเชื่อถือดี) ซึ่งจะเข้าไปฟื้นฟูและชะลอกระบวนการแก่ชรา โดย ค้นหาสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะพบได้ในชั้นไขมันของมนุษย์ ด้วยการใช้ไซรินจ์พิเศษ ในภาวะปลอดเชื้อ (มันเป็นยังไงเนี๊ย ไอ้ไซรินจ์หรือเข็มฉีดยาชนิดพิเศษเนี่ย) ดึงเอาเนื้อเยื่อไขมันและสเต็มเซลล์กลุ่มที่มีความแข็งแรงออกมา (อย่ากังวลครับว่ามันคืออะไร เพราะยิ่งสงสัย ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือกับเทคโนโลยีนี้ที่พิเศษมากขึ้นไปอีก) จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์อีกครั้ง ด้วยการปั่นแยกโดยเครื่องระบบหมุนเหวี่ยงจากศูนย์กลาง จากนั้นนำสเต็มเซลล์มาเพาะเลี้ยง และให้สารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต ในขณะที่เซลล์กำลังเติบโต เซลล์จะแบ่งตัวมากขึ้น แบบทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อเติมเต็มให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ที่มีอยู่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการที่ร่างกายใช้รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง” เป็นไงครับ ถ้าชาวบ้านทั่วๆ ไปอ่านแล้วคงทึ่งกับขั้นตอนอันแสนมหัศจรรย์ของเขา ที่สามารถไปแสวงหาและดึงเอาเจ้าสเต็มเซลล์สุดเจ๋งออกมาจนได้ แล้วก็เอามาทนุถนอมเลี้ยงและเร่งให้แพร่พันธุ์แบ่งตัวเยอะๆเพื่อมาซ่อมแซมร่างกาย แต่หากใครพอมีความรู้ร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็คงได้แต่กุมขมับไปว่า อะไรมันจะมหัศจรรย์ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะเท่าที่ทราบมายังไม่มีเครื่องสำอางใดที่ได้รับอนุญาตเรื่องสรรพคุณของสเต็มเซลล์แบบที่โฆษณานี้เลยนี่นา แล้วไอ้ที่มาป่าวประกาศปาวๆ นี้มันโอเวอร์หลอกลวงเกินจริงไปหรือเปล่า คิดให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจคร่ำครวญเพลง “ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(สตางค์) จากกระเป๋า” นะเออ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 ตาดีได้ ตาโชคร้ายก็เสียเงิน

ดวงตาเป็นสิ่งที่คนทุกคนให้ความสำคัญ “จะดีหรือไม่หากมีผลิตภัณฑ์วิเศษที่ทำให้สายตาเราไม่สั้นลง ไม่เกิดเป็นต้อ สายตาไม่ล้า รับภาพชัดเจนตลอดกาล” หากคุณตอบว่าใช่ ฝันของคุณกำลังจะเป็นจริงแล้ว เพราะมีผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่อ้างว่า เป็นอาหารบำรุงสายตาออกมาจำหน่ายในอินเตอร์เน็ต มาสานต่อความฝันของเรากับสายตาที่ชัดแจ๋วตลอดกาล แต่...มันก็เป็นแค่ความฝันไม่สามารถเป็นความจริงหรอกนะครับ ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้โฆษณาแพร่หลายในอินเตอร์เน็ต แจ้งว่านำมาจากไต้หวัน โน้มน้าวและกล่าวอ้างสรรพคุณได้อย่างน่าทึ่ง ตั้งแต่การอธิบายว่าเมื่อเราลืมตามอง แสงไฟและออกซิเจนจะมากระแทกลูกตาจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดอันตรายต่อตา แต่อย่ากังวลไปเลย เพราะในผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะมีสารซานโทฟิว ซึ่งเป็นสารสกัดดอกดาวเรือง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นสูงมาก จะมาช่วยเหลืออันตรายที่เกิดขึ้น โดยจะกรองแสงสีน้ำเงินและลดการเกิดปัญหาต่างๆ โดยจะสะท้อนการออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระที่จอดวงตา ทำให้การมองเห็นที่กลับมาดีดังเดิม นอกจากนี้มันยังสามารถอยู่ในผลึกเลนส์ตาได้ ทำให้ป้องกันอนุมูลอิสระที่จะทำลายล้างโปรตีนในเลนส์ตาทำให้ไม่เกิดต้อได้ สรุปง่ายๆ คือโฆษณาสรรพคุณเป็นยารักษาโรค บรรยายสรรพคุณซะขนาดนี้แล้ว จึงตามด้วยข้อความที่ระบุบุคคลที่สมควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อย่างยิ่งคือ ผู้ที่มีสภาพลูกตาสั้นเทียม ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์มาเป็นช่วงเวลายาวนาน ผู้ที่มีจอตาปรวนแปรสภาพการณ์ที่เกิดจากเบาหวาน ผู้ที่ทำผลัดกลางคืนมาเป็นช่วงเวลายาวนาน ผู้ที่ขับรถเป็นระยะเวลานานมาก (เช่น คนขับ taxi รถบรรทุก) ผู้ที่อายุมากที่มีตาพร่ามัวที่มีความโอนเอียงที่น้ำนัยน์ตาจะไหลเมื่อเจอะแสงจ้า ผู้ที่มีสายตายาว  วุ้นในลูกตาโทรม เยื่อบุนัยน์ตาอักเสบ ต้อ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากๆ ผู้ที่มีปัญหาจอประสาทตา เลนส์สายตามีการแปรผัน ทำไปทำมา มันจะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาทางสายตาเกือบทุกอย่างเลย แต่ที่แน่ๆ ต้องมีสตางค์ด้วย เพราะราคากล่องละเกือบหนึ่งพันบาท แต่เมื่อผมดูส่วนประกอบที่ระบุในโฆษณา พบว่าผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนประกอบหลักๆ คือ สารสกัดจากดอกดาวเรือง สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ สารสกัดจากส้ม(มีสารQuercetin) ยีสต์สกัด เบต้า-แคโรทีน วิตามีน บี 2 เจลาติน น้ำ Brilliant Blue FCF ซึ่งดูในแง่วิชาการแล้ว ไม่น่าจะสามารถมีสรรพคุณตามที่อ้างได้เลย ยังไงก็ตั้งสติให้ดีนะครับว่าจะคุ้มค่าราคาเงินที่เสียหรือไม่ เพราะมันเป็นแค่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยาที่มีสรรพคุณรักษา ป้องกันโรคได้มากมายดังที่อ้างเลย ถ้ามีปัญหาทางสายตาปรึกษาจักษุแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขน่าจะปลอดภัยกว่านะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 166 หนูไม่รู้ เขาให้หนูมา

เรื่องเล่าเฝ้าระวังฉบับที่แล้ว นำเสนอกระบวนการหลอกขายสินค้าให้กับผู้สูงอายุไปแล้ว แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าผู้บริโภคกลุ่มวัยอื่นๆ จะไม่ถูกหลอกลวง เพราะขึ้นชื่อว่าการค้าแล้ว มันสามารถโน้มน้าวหลอกลวงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มอย่างแน่นอน กระทั่งวัยอย่างผม (วัยไหนคงต้องเดากันเองนะครับ) ผมพบกับน้องคนนี้ในวันหนึ่ง เธอโผล่มาที่สำนักงานของผมในชุดนักศึกษา ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์แม้จะแต่งหน้าเข้มไปหน่อย แต่ก็พอเดาได้ว่าอายุเธอคงประมาณใกล้ๆ ยี่สิบ เธอยื่นจดหมายแนะนำตัวจากบริษัทให้ผม ข้อความในจดหมายระบุว่า “ขออนุญาตฝึกงานสาธิตนวดเพื่อสุขภาพ” พร้อมรายละเอียดแจ้งว่า “ทางบริษัทได้จัดส่งนักศึกษาที่กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทให้ออกฝึกงานนอกสถานที่ และขออนุญาตให้นักศึกษาได้พูดและสาธิตการนวดเพื่อสุขภาพ ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที โดยบริษัทจะเตรียมอุปกรณ์มาเองทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาได้ทดสอบการพูดและฝึกการสาธิตอุปกรณ์เพื่อหาประสบการณ์จริง” (โถ..เพื่อการศึกษา น่าสนับสนุน) เมื่อผมถามข้อมูลเพิ่มเติม เธออธิบายว่า บริษัทที่เธอฝึกงานให้เธอมาพูดอธิบายเครื่องมือนวดเพื่อสุขภาพ ซึ่งเธอจะได้แต้มในการพูดเป็นเงินจำนวนประมาณสามสิบบาทต่อครั้ง วันหนึ่งจะต้องพูดให้ได้สามสิบราย และต้องพยายามให้คนฟังยินยอมให้เธอสาธิตอุปกรณ์นวดเพื่อสุขภาพ อย่างน้อยสิบราย ซึ่งเธอจะได้ค่าเหนื่อยในการสาธิตอุปกรณ์อีกรายละหนึ่งร้อยบาท ถ้าทำได้ครบถ้วนดังกล่าวจึงจะถือว่าการฝึกงานผ่าน ส่วนอุปกรณ์ที่สาธิตนี้ ผู้ฟังจะซื้อไปใช้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เธอไม่ยอมโชว์อุปกรณ์ให้ผมเห็น แต่ที่แน่ๆ ผม คำนวณรายได้พบว่าหากเธอทำได้ครบถ้วน นอกจากเธอจะได้ฝึกงานแล้ว เธอยังจะได้ค่าตอบแทนอีกหนึ่งพันเก้าร้อยบาท (โถ...มากไม่ใช่เล่น) ผมถามเธอไปว่า การที่เธอจะเอาอุปกรณ์มาใช้ เธอรู้หรือเปล่าว่าอุปกรณ์นี้เป็นเครื่องมืออะไร และมีกฎหมายควบคุมดูแลหรือไม่ ปรากฏว่าเธอตอบว่าไม่ทราบ เอกสารหลักฐานอะไรที่ต้องมีตามกฎหมาย เธอไม่รู้ทั้งสิ้น เธอทราบแค่ว่า บริษัทสั่งให้มาฝึกงาน (โถ...ไร้เดียงสานะหนู) ผมจึงต้องอธิบายเพิ่มเติมไปว่า อุปกรณ์นวดเพื่อสุขภาพน่าจะเป็นเครื่องมือแพทย์ตามกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายเครื่องมือแพทย์ควบคุมดูแลอยู่ หากนำเข้ามาในประเทศก็ต้องไปติดต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อขออนุญาตเสียก่อน และหากจะทำการโฆษณาก็ต้องขออนุญาตด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ใครจะเอามาใช้ หรือโฆษณาได้อย่างตามใจชอบ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ เธอทำหน้าละห้อย พยายามคะยั้นคะยอเพื่อให้ผมใจอ่อนยอมให้เธอได้ทำตามที่บริษัทสั่งมา แต่ผมยังยืนกรานไม่ยอม และแนะนำให้เธอกลับไปดูเอกสารหลักฐานมาจากบริษัทก่อน ทั้งนี้เพื่อตัวของเธอเองจะได้ไม่ถูกใครหลอกให้กระทำผิด สุดท้ายเธอจึงยอมจากไป (โถ...อย่าหาว่าผมใจร้ายนะหนู) เมื่อเธอกลับไปแล้ว ผมลองสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ก็ไม่พบชื่อบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด ผมเลยไม่รู้ว่า เธอถูกเขาหลอกให้มาขายของ หรือผมถูกเธอหลอกว่าเธอถูกหลอกให้มาขายของกันแน่ (โถ...น่าสงสารทั้งหนูและผม) ยังไงก็ระวังการหลอกขายสินค้าในรูปแบบแปลกๆ นี้ด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 165 สูงวัยอาจถูกหลอก?

ปัจจุบันนี้ นอกจากเทคโนโลยีจะทันสมัยเพิ่มมากขึ้นแล้ว กลุ่มผู้สูงวัยก็เป็นพลเมืองอีกกลุ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย หน่วยงานต่างๆ หลายแห่งหันมาให้ความสนใจกับกลุ่มผู้สูงวัยมากขึ้น มีการสนับสนุนการรวมตัวหรือจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กลุ่มผู้สูงวัย  โดยบางทีก็ไม่รู้ว่าอาจจะตกเป็นเครื่องมือของคน(ไม่หวังดี) บางกลุ่ม ผู้เขียนได้รับแจ้งข่าวพร้อมภาพจากพลเมืองดีว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ได้ไปเยี่ยมกลุ่มชมรมผู้สูงอายุที่จัดกิจกรรมในพื้นที่แห่งหนึ่ง แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าครั้งนี้มันแปลกไป ไม่ได้หมายถึงผู้สูงวัยท่านจะกลับมาเป็นวัยหนุ่มสาวหรอกนะครับ หากแต่พบว่า มีกลุ่มบุคคลแจ้งว่าตนเองมาจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง มาตรวจแนะนำสุขภาพให้ผู้สูงวัย แหม..เริ่มต้นด้วยจิตอันเป็นกุศลอย่างนี้ไม่ว่าวัยไหนๆ คงระทวยไปตามๆ กัน การตรวจก็ง่ายๆ ครับ มีอุปกรณ์เครื่องมือชิ้นเล็กๆ หนีบนิ้ว แล้วมีสายต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะแสดงผลหน้าจอออกมาเป็นกราฟ เห็นอุปกรณ์ทันสมัยไฮเทคขนาดนี้แล้ว ยิ่งบุคคลผู้ตรวจ ซึ่งเป็นเพศชายดูมีบุคลิกดี ทะมัดทะแมง ทรงภูมิ ดูมีการศึกษา แถมอธิบายกราฟให้คุณตาคุณยายฟังเป็นฉากๆ เจอกับตาตนเองขนาดนี้แล้ว ผู้สูงวัยทั้งหลายต่างก็อ้าปากค้างกันไปเลย ทยอยมาต่อคิวกันตรวจกันใหญ่ แต่โลกนี้คงไม่มีอะไรฟรีๆ ดังนั้นถึงจะมาในนามมูลนิธิก็เถอะ บริการฟรีๆ จะมีที่ไหน ถัดไปอีกโต๊ะจะมีกลุ่มพนักงานหญิงมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์สินค้ามากมาย อย่าเพิ่งดีใจ เขาไม่ได้มาแจกฟรีนะครับ เอามาจำหน่ายครับ มีขายเป็นชุด เช่น ชุดสมอง-หัวใจ-ไต-กระดูก ชุดละ 6 ขวด ราคา 3,000 บาท แต่ถ้าคุณตาคุณยายเงินน้อยก็ยินดีขายแยกขวดนะครับ มีหลายผลิตภัณฑ์ ราคาประมาณขวดละห้าร้อยถึงหกร้อยบาท ถึงราคาจะสูง แต่คุณตาคุณยายเห็นทั้งกราฟจากจอคอมพิวเตอร์ แถมมีคนแนะนำกระหน่ำโรคให้หวั่นไหวหัวใจขนาดนี้แล้ว คุณตาคุณยายบางคนก็ยอมควักกระเป๋าจ่าย หมดเงินไปตามๆ กัน ฟังเรื่องราวแล้วก็ละเหี่ยใจ แทนที่จะเคารพดูแลผู้สูงวัย กลับมาหลอกลวงท่านให้เสียเงินเสียทองไปอีก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เท่าที่ดูจากรูปก็เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางขายทั่วๆ ไป คุณภาพสรรพคุณก็ไม่ได้สูงตามราคา พลเมืองดีท่านนี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางผู้ขายจะตระเวนไปเรื่อยๆ ตามสถานที่ประชุมกลุ่มหรือชมรมผู้สูงวัยทั้งหลาย  ไม่รู้ว่าจะวนเวียนไปแถวไหนอีก หากใครพบเห็น ขอให้รีบแจ้งกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้เลยนะครับ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้สูงวัยในพื้นที่ หากเจอใครมาติดต่อขอให้บริการผู้สูงวัยในลักษณะนี้ ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคเช่นกัน จะได้มาตรวจสอบและป้องกันการให้ข้อมูลบิดเบือนได้ทัน ก่อนที่คุณตาคุณยายทั้งหลายอาจจะตกเป็นเหยื่อได้นะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 ตาดีได้ ตาร้ายอย่าให้เสียของ

เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้า ความคาดหวังในคุณภาพสินค้าย่อมเกิดขึ้น แต่เมื่อกลับมาบ้านและพบว่าสินค้าที่ตนเสียสตางค์ซื้อมานั้น มีคุณภาพไม่เป็นดังที่หวัง อารมณ์ของผู้บริโภคยามนั้นคงเหมือนโลกาจะวินาศ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีช่องทางมากมายในการร้องเรียนและผู้บริโภคเองก็มีความตื่นตัวในเรื่องการเรียกร้องสิทธิ เรื่องราวการทวงสิทธิของผู้บริโภคด้วยวิธีต่างๆ จึงเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่วิธีการที่มาแรงแซงโค้งคือการเล่าเรื่องราวของตนที่ถูกกระทำ เพื่อฟ้อง(หรือประจาน) ผ่านทางโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค ไลน์ หรือเว็บไซต์ต่างๆ หลังจากนั้นก็จะมีผู้มาแสดงความเห็น หรือแชร์ส่งต่อกันเป็นทอดๆ เพียงไม่กี่นาที เรื่องราวก็กระจายไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าจรวดเสียอีก ผู้เขียนมีประสบการณ์ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ มีผู้แชร์คลิปสั้นๆ ผ่านทางเฟซบุ๊ค ในคลิปแจ้งว่า “ซื้อปลาทูจากดอนหอยหลอด เมืองแม่กลอง แล้วพบว่า ปลาทูในกล่อง ซึ่งผู้ขายซ้อนเป็นสองชั้นนั้น ชั้นบนเป็นปลาทูแม่กลองหน้างอ คอหัก เนื้อสวย ผิวเต่ง แต่เมื่อพลิกดูชั้นล่างกลายกลับเป็นปลาทูเก่า หน้าไม่งอ คอไม่หักแล้ว แต่ดันเป็น หน้าแก่ ท้องทะลัก ซะนี่” ผู้เขียนเข้าใจว่าตอนซื้อมานั้น ผู้บริโภคคงไม่เห็น เพราะปลาทูชั้นบนคงบังชั้นล่างอยู่ ในฐานะคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในจังหวัด ได้มีโอกาสร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ลงไปติดตามตรวจสอบข้อมูลสถานที่จำหน่ายในบริเวณดอนหอยหลอด แต่ก็พบว่าช่างยากลำบากในการติดตามตรวจสอบ จนผู้เขียนแทบจะหน้างอพอๆ กับปลาทูแม่กลอง เพราะมันแทบไม่มีข้อมูลที่จะติดตามขยายผลได้เลย ทราบจากคลิปเพียงว่า ซื้อมาจากดอนหอยหลอดเท่านั้น แต่ไหนๆ ก็ไปตรวจสอบแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ก็เลยถือโอกาสแนะนำ กำชับกับทางผู้ขายให้รักษามาตรฐานให้ดี อย่าให้เสียชื่อจังหวัด และได้ประสานกับผู้ขายและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้คอยสอดส่องดูแลด้วย หากพบข้อมูลใดๆ ขอให้รีบแจ้งให้ทราบด้วย เลยขอเอาประสบการณ์ตรงจากเหตุการณ์นี้ มาแนะนำว่า ไหนๆ เราก็พลาด ตาดีได้ ตาร้ายเสีย จนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิแล้ว อย่าให้เสียของนะครับ ผู้เขียนมีคำแนะนำง่ายๆ สำหรับการแชร์ข้อมูลหรือนำเสนอข้อมูลเพื่อเรียกร้องสิทธิผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า ถ้าเป็นไปได้ ขอให้บอกเล่ารายละเอียดให้มากพอที่เจ้าหน้าที่จะทำงานได้อย่างต่อเนื่องด้วย เช่น เกิดเหตุการณ์อะไรที่ไหน ใครทำอะไร อย่างไร ถ้าสามารถมีบุคคลยืนยันได้ยิ่งดี เพราะในหลายกรณีที่ผ่านมา เมื่อผู้เขียนได้ทราบข้อมูล ก็มักจะตามรอยข้อมูลที่แชร์ เพื่อพยายามติดตามไปยังแหล่งต้นตอว่ามาจากที่ใด เมื่อเจอแล้วก็จะส่งข้อความไปสอบถามเพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นทอดๆ จนกว่าจะพบต้นตอตัวจริง แต่ก็พบว่าหลายครั้งที่เมื่อตามไปเรื่อยๆ ก็มักจะพบว่าข้อมูลเหล่านี้แชร์ต่อๆ กันมาเป็นทอดๆแต่ไม่ทราบว่าต้นตอมาจากไหน สุดท้ายผู้เขียนก็ต้องหยุดการติดตามเพราะหาอะไรไม่เจอ ดังนั้นหากใครจะแชร์เรื่องราวต่างๆ อย่าลืมนะครับ ช่วยบอกแหล่งที่มาให้ชัดเจนหรือมากเท่าที่พอจะมากได้ก็จะยิ่งดี เพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้เร็วขึ้นและได้ผล คาหนังคาเขา มิฉะนั้นการเรียกร้องสิทธิของเรามันจะเสียของโดยเปล่าประโยชน์นะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 163 สินค้าชายแดน...แฟนๆ อย่าเพิ่งไว้ใจ

ยังไม่ทันจะถึง AEC ในปี 2558 แต่ทุกวันนี้เราก็เห็นสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านหลากหลายชนิดเข้ามาเพ่นพ่านในไทย เพราะขึ้นชื่อว่าคนไทยแล้ว เราไม่เคยแพ้ชาติใดในด้านการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นสินค้าจากต่างประเทศหลายชนิดจึงมาชูคอกันสลอนวางขายในห้างกันมากมาย นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกบางประเภทที่แม้จะไม่ได้วางขายในห้าง แต่ก็มาลืมตาอ้าปากวางขายกันอย่างเอิกเกริกตามตะเข็บชายแดน แถมเป็นที่นิยมของคนไทยที่ได้ไปท่องเที่ยวบริเวณนั้นเสียด้วย มีข้อมูลจากกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ได้ออกไปสุ่มตรวจประเมินความเสี่ยงของคุณภาพผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ณ บริเวณ จุดผ่านแดนไทย-สหภาพเมียนม่า ด่านสิงขร เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากเพื่อนบ้านที่มาวางจำหน่ายในบริเวณนั้น ได้แก่ อาหาร 11 ตัวอย่าง(เช่น พริกป่น ถั่วลิสงบด ถั่วลิสงทอด ชายำ กุ้งปลาดอง  พุทราแห้ง พุทราดอง) และเครื่องสำอางอีก  25 ตัวอย่าง(เช่น ผงขัดผิวทานาคา แป้งทาหน้า สบู่ ) เพื่อตรวจดูความถูกต้องของฉลากและตรวจวิเคราะห์ว่ามีเชื้อโรคหรือสารเคมีปนเปื้อนมากน้อยแค่ไหน ผลการตรวจสอบพบว่า ฉลากของผลิตภัณฑ์อาหารไม่ถูกต้องทุกรายการ คือไม่มีภาษาไทยแม้แต่น้อย(แต่นักซื้อชาวไทยก็ยังกล้าซื้อ) ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แม้จะมีฉลากถูกต้องบ้างบางตัวอย่าง(หมายถึงได้มายื่นขออนุญาตจากสาธารณสุขแล้ว) แต่ก็พบว่ายังมีฉลากที่ไม่ถูกต้องเกินครึ่ง(15 ตัวอย่าง) เมื่อตรวจเชื้อโรค พบว่าผลิตภัณฑ์อาหารมีปริมาณเชื้อโรคสูงถึง 7 ตัวอย่าง และมี 2 ตัวอย่าง (พริกป่นและถั่วลิสงทอด) มีเชื้อราเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ยังพบสีที่ห้ามใช้ในพุทราเชื่อมและพุทราแห้ง ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางพบว่าผิดมาตรฐานด้านเชื้อโรค 8 ตัวอย่าง คือมีบักเตรีเกินมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ยังพบเชื้อราเกินมาตรฐาน ในผงขัดผิวทานาคา(สีเหลือง) และแป้งทาหน้า(กลิ่นกุหลาบ) เนื่องจากจุดผ่านแดนหลายแห่งในประเทศ ยังไม่ได้ถูกตั้งเป็นจุดผ่านแดนถาวร หน่วยงานที่ดูแลสินค้าเข้า-ออก ณ บริเวณนี้ คือ หน่วยงานของศุลกากร  ซึ่งไม่ได้กำกับดูแลในส่วนของผลิตภัณฑ์สุขภาพ แม้ว่าทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยายา ได้มีการติดตามลงมาดูพื้นที่บ้างแล้วก็ตาม  แต่ก็ยังทำได้ไม่ทั่วถึงเนื่องจากข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ดังนั้น ในยุคที่ ประเทศไทยกำลังจะกระโจนเข้าสู่ AEC นักซื้อชาวไทย อย่าเพิ่งไว้ใจสินค้าจากเพื่อนบ้านที่เข้ามาจำหน่ายตามตะเข็บชายแดนนะครับ ช่วงนี้ขอให้ช่วยกันสนับสนุนสินค้าในประเทศเราก่อน ส่วนสินค้าจากต่างแดน ถ้าดีจริง ต้องมายื่นขออนุญาตหรือปฏิบัติให้ถูกต้องจากสาธารณสุขก่อนนะครับ ตอนนี้ทราบว่าแต่ละประเทศก็พยายามเชื่อมโยงมาตรการต่างๆ กันอยู่ ยังไงก็หวังว่าเมื่อเริ่ม AEC ในปี 2558 สินค้าทั้งหลายในเขตแดนนี้จะมีมาตรฐานที่ปลอดภัยเท่าเทียมกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 162 เตรียมพร้อมให้ดี...อย่าให้ผีมารังควาน

ยุคนี้เหมือนยุคทองของพลเมืองดี ผู้บริโภคหลายรายเมื่อพบเห็นการถูกละเมิดสิทธิจากสินค้าต่างๆ เช่น พบสินค้าหมดอายุหรือไม่ได้คุณภาพ มักจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปเผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย แต่พบว่าผู้บริโภคหลายรายที่พยายามจะเป็นพลเมืองดีกลับถูกผู้ประกอบการที่กระทำผิดย้อนกลับมาข่มขู่ อันที่จริงการข่มขู่เจ้าหน้าที่หรือประชาชน จากผู้ประกอบการที่กระทำผิดมีมานานแล้ว มีหลายรูปแบบ เริ่มต้นอาจแค่ให้คนอื่นมาโน้มน้าวให้ยุติเรื่องโดยมาคุยโดยตรง หรือมาคุยกับคนใกล้ชิดแทน หรือไม่ก็ส่งจดหมายหรือโทรศัพท์มาข่มขู่ มาด้อมๆ มองๆ ให้เห็นเพื่อให้เกิดความหวาดกลัว หรืออย่างรุนแรงถึงขนาดใช้กำลังประทุษร้ายหรือไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทก็โดนกันมาแล้ว น้องๆ เภสัชกร ที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ก็โดนกันหลายราย “ถ้าเป็นแบบนี้ผู้บริโภคที่พร้อมจะเป็นพลเมืองดีจะทำอย่างไร?” “หากตั้งใจจะทำดี อย่าหวั่นไหวครับ” แต่สิ่งแรกที่เราต้องยึดให้แม่นคือ “ข้อมูลที่เราได้พบเห็นหรือรับรู้มานั้นต้องเป็นข้อเท็จจริง” หลายครั้งที่พลเมืองดีได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน แล้วผลีผลามรีบไปดำเนินการ กว่าจะรู้ว่าข้อมูลที่ได้มานั้น มันมีส่วนจริงบ้างไม่จริงบ้างก็ถลำลงไปเยอะแล้ว อันดับแรกขอให้ตรวจสอบให้ชัดว่า ผลิตภัณฑ์อะไร เกิดกับใคร เกิดอันตรายอย่างไร ถ้ารู้จักกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยิ่งดี ให้เขาช่วยกันตรวจสอบให้ชัดว่าอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากผลิภัณฑ์นี้จริงหรือไม่ และพยายามรักษาสภาพเดิมของสินค้าให้มากที่สุด เผื่อบางทีเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปวิเคราะห์ เจ้าของสินค้าเขาจะอ้างไม่ได้ว่ามีการสลับเปลี่ยนตัวอย่าง (หรือหากจะส่งพิสูจน์เองควรให้มีเจ้าหน้าที่หรือคนกลางเป็นพยานรับรู้เห็นด้วย) โดยปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลและพบว่า ผลิตภัณฑ์นั้นๆ อาจจะเกิดอันตราย ก็จะออกประกาศเตือนภัยให้ประชาชนรู้ แต่ผู้บริโภคบางรายหากอยากจะเตือนประชาชนด้วยตัวเองก็สามารถกระทำได้ แต่ขอให้เป็นการแจ้งข้อมูลเพื่อเตือนภัยจากสิ่งที่ตนเองพบ โดยอาจใช้ข้อความในลักษณะว่า “พบผลิตภัณฑ์สินค้าที่แสดงฉลากแบบนี้” ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือพบว่าทำให้ได้รับความเสี่ยงหรืออันตราย พยายามเลี่ยงข้อความที่ไประบุว่า “ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นทั้งหมด” มันเลวหรืออันตราย เพราะข้อมูลที่พบคือสิ่งที่เราเจอตรงหน้าเท่านั้น “หากเป็นพลเมืองดีแล้วโดนขู่” ขอให้ตั้งสติให้ดี ระลึกไว้เสมอว่าผู้ผลิตสินค้าที่ผิดกฎหมายมักไม่กล้าแสดงตัว เพราะหากแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เมื่อไร ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีแน่นอน เมื่อตั้งสติได้แล้ว ขอให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินค้าที่น่าจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้ถูกขู่ไปด้วย เพื่อจะได้มีการบันทึกข้อมูลให้เห็นความเชื่อมโยงกัน หลังจากนั้นให้ไปแจ้งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคทราบด้วย (เช่น โรงพยาบาลชุมชน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา แต่หากไม่ประสงค์จะแสดงตัว จะฝากคนอื่นๆ ไปแจ้งข้อมูลแทนตนเอง ขอให้มีข้อมูลที่ละเอียด ชัดเจนครบถ้วน เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว ให้กำลังใจพลเมืองดีทุกคนครับ “ถ้ามั่นใจในเจตนาดี อย่าให้ผีมารังควาน”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 161 ผีดิบ.สก๊อย.นมแตก

หลังจากผลิตภัณฑ์กลูต้านานาชนิดได้ประกาศยึดอำนาจจู่โจมจิตใจสาวๆ ผู้อยากขาวแล้ว มันยังทำให้คำว่า “กลูต้า” กลายเป็นนิยามของความขาว ที่ติดหูผู้คนไปทั่ว เราจึงพบผลิตภัณฑ์กลูต้าผุดออกมาชุมนุมในโลกโซเชียลมีเดียมากมาย “กลูต้านมแตก กลูต้าสก๊อย กลูต้าผีดิบ” ผลิตภัณฑ์ชื่อชวนตะลึงเหล่านี้มีออกมาโฆษณาขายแล้ว ขายได้หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ชื่อของมันจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างระทวยใจแน่นอน “กลูต้านมแตก ขาวอึ๋มเด้ง เสริมหน้าอกโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาอกเล็กได้ ทำให้หน้าอกคุณกระชับ เต่งตึง มีขนาดใหญ่ ผิวขาวขึ้น หน้าไม่มัน ลดกลิ่นตัว ช่องคลอดกระชับ” … “กลูต้าสก๊อย ขาวที่สุดในสามโลก ใส่กางเกงขาสั้นลุยท้าแดดได้เลย ตัวใหม่ล่าสุด ประสิทธิภาพดีเยี่ยมเป็นหัวเชื้อกลูต้าจากประเทศสวิส ส่วนผสมครบเป๊ะ ขาวเร็วและแรง ขาวออร่าท้าแดด ทานตัวสก๊อยแล้วไม่ต้องกลัวดำอีกต่อไป มีสารต้านยูวี พิสูจน์แล้วว่ามาแรงแซงโค้ง และยังช่วยการเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว ช่วยลดระดับโคเรสเตอรอลในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้มีปัญหาโรคหัวใจ ทานคู่กับ กลูต้าผีดิบ ขาวไว 2 เท่าแน่นอน” ... “กลูต้าผีดิบ เปลี่ยนผิวหมองคล้ำดูไร้ชีวิตชีวาขาวไวปรอทแตก ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยโมเลกุลของยาที่เล็ก ไม่ต้องฉีดกลูต้าไม่ต้องเข้าสปา กลูต้าผีดิบทำงานได้แสดงผลให้ขาวใส ช่วยรักษาแผลและรอยแผลเป็น  ป้องกันริ้วรอยและความชรา รอยสิว จุดด่างดำ ดูจางลง ป้องกันการเกิดสิว”   ผมเหลือบไปเห็นส่วนประกอบที่แจ้งในโฆษณาก็เลยถึงบางอ้อ ตัวนมแตก อ้างว่ามีส่วนผสมของ ออร์โมนเอสโตรเจนจากกวาวเครือ มารวมกับกลูต้าไธโอน วิตามินซีและอี เลยเอามาเป็นจุดขายว่าทำให้อกอึ๋ม แต่ดันอวดอ้างจากอกไปถึงช่องคลอดอีกว่ากระชับ(เอาเข้าไป) ส่วนตัวสก๊อยที่ว่าขาวของสาวสก๊อย ก็อ้างว่ามีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน รวมกับพวกวิตามินสองสามชนิด อันนี้กล้าหาญถึงขนาดมาบอกว่า ช่วยลดระดับโคเรสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้มีปัญหาโรคหัวใจ สุดท้ายเจ้าตัวผีดิบที่ให้ทานคู่กัน อ้างว่ามีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน รวมกับสารอีกหลายๆ ชนิด ทั้งยาแก้สิว กรดอ่อน และสารพัดสารที่อ้างมา เห็นแล้วเพลีย สรุปว่าถ้าเหล่ากลูต้าทั้งหลายมีส่วนผสมดังที่อ้างจริง เข้าข่ายยาแน่นอน และเมื่อเข้าข่ายยา ก็จำเป็นจะต้องมาขอขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อพิสูจน์ว่ามีตัวยาและมีสรรพคุณจริงดังที่อ้างหรือไม่ และที่สำคัญต้องปลอดภัยต่อผู้ใช้ด้วย หากพิสูจน์ได้จริง อย. ถึงจะให้เลขทะเบียนตำรับยาเพื่อแสดงบนฉลากด้วย รวมทั้งการโฆษณาก็ต้องผ่านการตรวจสอบด้วย ดังนั้นถ้าเห็นผลิตภัณฑ์เหล่านี้วางขายโดยไม่มีทั้งฉลากและยังโฆษณาชวนเชื่อจนผิดปกติ ให้ฟันธงได้เลยว่าเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ใครมีพยานหลักฐานอะไร แจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยครับ จะได้จับผีดิบไม่ให้ไปสูบเลือดผู้บริโภคอีกต่อไป   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 ยัดอาหาร หยอดยา อย่าอ้วน !

ในยุคที่สังคมกำหนดมาตรฐานความสวยความงามให้เหลือไม่กี่อย่าง ผู้หญิงคนไหนจะสวย จะต้องขาว ต้องผอม ดังนั้นความอ้วนจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนตระหนกตกใจ และพยายามหาวิธีการต่างๆ มายับยั้งไม่ให้ตนเองอ้วน หลายๆ คนอาจเริ่มจากการลดการรับประทานอาหาร ขนมนมเนย ที่ตนเองชอบ แต่อย่างว่าล่ะ! การหักห้ามกิเลสตนเอง ไม่ให้เผลอไปอ้าปากรับประทานอาหารที่ล่อตาล่อใจ จึงไม่ใช่สิ่งง่าย เมื่อเป็นดังนี้ กลุ่มผู้หากินกับผู้บริโภคที่รู้ไม่เท่าทัน(ขอตั้งชื่อกลุ่มให้เลย) จึงขอนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับสาวๆ ที่อยากลดความอ้วนแต่ไม่อยากหุบปากรับประทานอาหาร ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อ้างตัวว่ามันคือ HCG (Human Chorionic Gonadotropin) นำเสนอว่าสามารถนำไปใช้ลดไขมันและลดความอ้วน โดยมีวิธีใช้ 2 วิธี คือ การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ(วิธีนี้อ้างว่า ได้ผลดีที่สุด ง่าย รวดเร็ว เห็นผลทันตา แต่ต้องผสมยาเอง และต้องยอมเจ็บตัวฉีดมันเข้าไป) ส่วนอีกวิธีคือ การหยอดใต้ลิ้น(โฆษณาว่า เป็นวิธีที่นิยมที่สุด สามารถเลือกทำได้ 2 แบบ จะใช้แบบที่ผสมมาแล้ว (homeopathic drops) หรือแบบผสมเองก็ได้) แต่ที่ผู้ขายมักจะแนะนำคือการซื้อไปผสมเองตามใจชอบ โดยโน้มน้าวให้สาวๆ ที่อยากผอมซื้อชุดผลิตภัณฑ์ไปผสมเองตามความชอบใจ มีทั้งขนาดทดลอง ขนาดมาตรฐาน หรือขนาดสุดยอด ราคามีตั้งแต่ พันกว่าบาทถึงเกือบๆ สี่พันบาท และอ้างว่าจะลดน้ำหนักได้ถึง 4-10 กิโลกรัมใน 3 สัปดาห์ เห็นผลใน 4 วัน   แต่สาวๆ ที่อยากผอม อย่าเพิ่งระทดระทวยรีบซื้อนะครับ ลองมาทำความรู้จักกับเจ้า HCG ก่อนนะครับว่ามันคืออะไร เจ้า HCG ที่ว่านี้ คือฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่พบในหญิงที่ตั้งครรภ์ ทางการแพทย์ได้นำมาใช้สำหรับหญิงที่มีลูกยาก หรือใช้กับผู้ชายที่มีฮอร์โมนบางอย่างบกพร่อง มันก็อยู่ของมันดีๆ แต่จู่ๆ ก็มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสเอามาขายเป็นยาลดความอ้วน บางที่ใช้ตัวย่อว่า HCG หรือ hCG หรือ hcg ผลิตภัณฑ์นี้ เคยมีข้อมูลจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เตือนว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนยาสำหรับการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังเตือนอีกว่า ยังไม่เคยมีการวัดประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้สำหรับการลดน้ำหนักอย่างเป็นทางการ และที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือ เคยมีรายงานความผิดปกติอย่างรุนแรงจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้มาแล้ว เช่น เกิดลิ่มเลือดอุดตันในปอด ซึมเศร้า ระบบหลอดเลือดสมองผิดปกติ หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตมาแล้ว ทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว สาวๆ ที่อยากผอมจะเสี่ยงนำมาใช้หรือเปล่าครับ แต่ที่แน่ๆ ผลิตภัณฑ์ที่นำมาโฆษณาขายแบบนี้ ผิดกฎหมายนะครับ เพราะไม่มีการขึ้นทะเบียนที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในประเทศไทยครับ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 159 เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือมะนาวมีน้ำมะนาวเทียม

มะนาวเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่ออกผลไม่สม่ำเสมอ เราจึงพบราคาผลมะนาวถูกๆ แพงๆ แซงกันไปมาในแต่ละฤดูกาล บางช่วงราคาสูงถึงลูกละ 10 บาท ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของผลมะนาวจากธรรมชาติ แถมรูปแบบของผลิตภัณฑ์นี้ยังแสนสะดวกซื้อ สะดวกใช้ เป็นของเหลวสีเหลืองอมเขียว รสชาติเปรี้ยวไม่แพ้กัน ตามกฎหมายอาหาร ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เรียกว่า ผลิตภัณฑ์วัตถุแต่งกลิ่นรสมะนาว ซึ่งหมายถึง วัตถุปรุงแต่งรสอาหาร ที่มีจุดมุ่งหมายให้รสเปรี้ยวเพื่อใช้แทนมะนาว และมีการจำหน่ายโดยบรรจุในภาชนะ แต่งสี กลิ่น และรสชาติ ให้มีลักษณะคล้ายน้ำมะนาว จัดเป็นผลิตภัณฑ์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 223) พ.ศ. 2544  ซึ่งจะต้องขออนุญาต อย.และแสดงรายละเอียดบนฉลากให้ครบถ้วน กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุข 8 จังหวัด ในเขต 5 (สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี) และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม ได้ร่วมกันทำโครงการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์วัตถุแต่งกลิ่นรสมะนาว ที่จำหน่ายในท้องตลาด โดยการสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่วางขายในพื้นที่ 8 จังหวัด จำนวน 22 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์คุณภาพ ผลการตรวจ พบว่าทุกตัวอย่างมีการใส่สี และยังพบว่ามีการใช้วัตถุกันเสียผสมลงไป จำนวน 9 ตัวอย่าง โดย 1 ใน 9 ตัวอย่างมีการใช้วัตถุกันเสียสูงถึง 1,633.6 มก/กก (มาตรฐานที่กำหนดต้องไม่เกิน 1,000 มก/กก) และเมื่อตรวจค่าความเป็นกรด พบว่าทุกตัวอย่างมีความเป็นกรดมากกว่ามะนาวผงด้วยซ้ำ มิน่ามันถึงได้เปรี้ยวบาดท้องบาดไส้สะใจจริงๆ แต่ที่น่าสนใจคือ ผลจากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภค พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์วัตถุแต่งกลิ่นรสมะนาวที่จำหน่ายในท้องตลาดมีส่วนผสมอะไรบ้าง สูงถึงร้อยละ 60.58 หลายรายเข้าใจว่ามันคือน้ำมะนาวที่คั้นมาให้เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ เมื่อไปดูผลิตภัณฑ์วัตถุแต่งกลิ่นรสมะนาวที่วางจำหน่ายในที่ต่างๆ ก็พบว่าส่วนผสมมีหลายหลายต่างกันไป มีทั้งชนิดน้ำมะนาวคั้นอย่างเดียว น้ำมะนาวคั้นผสมกับกรดซิตริก และกรดซิตริกล้วนๆ ก็จะไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจสับสนได้อย่างไร เพราะเกือบทุกชนิดมีภาพลูกมะนาวโตงเตงบนฉลาก ชวนให้ผู้บริโภคสับสนเองนี่นา นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ต้องการให้กฎหมายบังคับให้ ผลิตภัณฑ์วัตถุแต่งกลิ่นรสมะนาว แสดงข้อความเพิ่มเติมให้ชัดเจน เช่น ระบุข้อความให้ชัดเจนไปเลยว่าไม่ใช่น้ำมะนาวแท้ และถ้ามีส่วนผสมของน้ำมะนาว ก็ต้องระบุปริมาณสัดส่วนของมะนาวให้ชัดเจนด้วย นอกจากนี้ต้องระบุคำเตือนและข้อควรระวังในการบริโภค ตลอดจนข้อความอื่นๆ เช่น วิธีการเก็บ ฉลากโภชนาการ ปริมาณที่บริโภคได้ในแต่ละวัน ก็ยิ่งดี ตอนนี้ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุข 8 จังหวัด ในเขต 5 และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม กำลังขับเคลื่อนให้มีการออกประกาศเพิ่มเติมให้ชัดเจน ส่วนรายที่ผสมวัตถุกันเสียเกิดมาตรฐาน ก็ถูกจัดการเรียบร้อยโรงเรียนสารกันบูดไปแล้ว   // Powered by SelectionLinks about this ad

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 สายลับจับโกหก..รกปลา

ละครที่มีพล๊อตเรื่องแบบพระเอกงี่เง่า นางเอกงุนงง ปล่อยให้ตัวอิจฉาตีหน้าเศร้าเป่ารูหูไปค่อนเรื่อง ก่อนจะมาทราบความจริงตอนใกล้จบนั้น แม้จะเป็นละครน้ำเน่าแต่ผู้ชมหลายคนก็ยังชื่นชอบ บางคนบอกดูแล้วสนุกดี แต่ถ้าในชีวิตจริงของเรามีคนเอาผลิตภัณฑ์อันตรายมาหลอกขายมันคงไม่ใช่สนุกแบบละครแน่นอน เมื่อเร็วๆ นี้มีกระทู้ดังในเว็ปพันทิป (http://pantip.com/topic/31736836 ) เล่าว่าเพื่อนของเขาไปซื้อยาแก้ปวดจากเภสัชกรร้านยาแห่งหนึ่ง ได้ยาแก้ปวดมาหนึ่งมาแผง ซึ่งยานี้ใน 1 เม็ด จะมีส่วนประกอบเป็นพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ผสมกับยาอื่นอีกตัว แต่ที่เขาต้องมาเล่าจนกลายเป็นกระทู้ฮิตก็เพราะเพื่อนของเขาบอกว่า ยาเม็ดที่ได้จากเภสัชกรนั้น เป็นเม็ดสี่เหลี่ยมขอบมน มีตัวอีกษร MERA บนเม็ด เมื่อนั่งดู นอนดู ตะแคงดู มันดันเหมือนกับผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่มีการโฆษณาขายในอินเตอร์เน็ตในชื่อ มีรา รกปลา 100มก. (MERA FISH PLACENTA 100 mg) ยังกับแกะ   ที่แสบทรวงคือ ไอ้เจ้าผลิตภัณฑ์ที่ดันอ้างว่าเป็นรกปลา(ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็รู้ว่า ปลามันวางไข่ไม่มีรก) มันดันโฆษณาสรรพคุณโอเวอร์กระแทกกระทั้นสนั่นโลกแบบไม่กลัวรกกระจุย เช่น ลดริ้วรอย รอยแดง รอยดำ ฝ้า กระ ลดอาการอักเสบของผิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดความเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย ทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากระชับและทำให้ผิวเนียนเรียบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง เพิ่มความนุ่ม ชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ลดอาการบวมของถุงใต้ตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านโรค กระตุ้นความตื่นตัวและเสริมสร้างสมาธิ เสริมสร้างพละกำลังและความทนทาน ลดอาการของหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน และชะลอการหมดประจำเดือน ทำให้หน้าอกกระชับและเพิ่มขนาดเต้านมในรายที่หน้าอกเล็กกว่ามาตรฐาน เพิ่มความต้องการทางเพศ พละกำลังทางเพศ ฯลฯ  ที่น่ากลัวคือ เจ้าผลิตภัณฑ์รกปลานี้ ดันระบุให้ กินก่อนนอนหรือเช้าตอนตื่นนอนครั้งละ 3-4 เม็ด นั่นหมายความว่าถ้าผู้บริโภคที่หลงไปซื้อมารับประทานแบบนี้ ก็จะได้รับยาพาราเซตามอล ครั้งละ 3 – 4 เม็ด หรือปริมาณ 1500 – 2000 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าสูงเกินขนาดใช้ปกติด้วยซ้ำ (ปกติคนทั่วไปรับประทานครั้งละ 1 เม็ด)  ซึ่งปริมาณที่สูงอย่างนี้จะมีอันตรายต่อตับแน่นอนหากกินติดต่อกันไปเรื่อย ผมลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็พบว่า ในเฟซบุ๊คที่โฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ เริ่มบล็อกไม่ให้คนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนเข้าไปอ่านแล้ว แต่ทราบว่าเรื่องนี้ไปถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว และกำลังติดตามจัดการอยู่ ช่วงนี้เลยต้องรีบมาเตือนผู้บริโภค ให้ระวังภัยนะครับ ยุคนี้ทำมาค้าขายกันแบบไม่คำนึงถึงชีวิตผู้คนกันแบบนี้ ไม่ใช่รกปลาครับ น่าจะรกโลกมากกว่า //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 157 คู่มือนักร้อง (เรียน) ตอนที่ 2

ฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอ คู่มือนักร้อง (เรียน) ไปแล้วในขั้นตอนแรก โดยเสนอให้จัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมพรรค ซึ่งมีเคล็ดลับเพิ่มเติมง่ายๆ ดังนี้   เคล็ดลับ : การตรวจสอบเลขที่อนุญาตโฆษณา ยาที่ได้รับอนุญาตโฆษณา จะมีเลขที่โฆษณาระบุ   ฆท .../..... อาหารที่ได้รับอนุญาตโฆษณา จะมีเลขที่โฆษณาระบุ   ฆอ .../..... เครื่องมือแพทย์ที่ได้รับอนุญาตโฆษณา จะมีเลขที่โฆษณาระบุ   ฆพ .../..... เครื่องสำอางจะไม่มีเลขที่โฆษณา เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าสามารถทำการโฆษณาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เคล็ดลับ : การตรวจสอบเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ ยาแผนโบราณที่ผลิตในประเทศ จะมีเลขทะเบียน G .../..... ยาแผนปัจจุบันที่ผลิตในประเทศ จะมีเลขทะเบียน 1A .../..... หรือ 2A .../..... อาหาร จะมีเลขสารบบ 13 หลัก  เช่น xx-x-xxxxx-x-xxxx เครื่องสำอาง จะเลขที่จดแจ้ง 10 หลัก xx-x-xxxxxxx   2. หลักฐานครบถ้วน นอกจากข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว หากมีพยานหลักฐานชัดเจน จะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้กระทำผิดไม่สามารถอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องได้ พยานหลักฐานเบื้องต้นที่เราควรรวบรวมให้ได้ เช่น พยานเอกสาร     ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณามีเอกสาร ใบปลิว แผ่นพับ ประกอบการโฆษณาด้วยหรือไม่ พยานบุคคล       นอกจากเราแล้ว มีบุคคลใดที่รับรู้หรือเห็นเหตุการณ์การโฆษณาที่ไม่ถูกต้องอีก พยานวัตถุ          ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สินค้าที่ทำการโฆษณา   3. เรื่องด่วนส่งทัน เราควรรีบส่งเรื่องร้องเรียนให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยเร็วที่สุด  แนะนำว่าไม่ควรเกิน  7  วัน ซึ่งเราสามารถส่งข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องไปยังหน่วยงานสาธารณสุขได้ในทุกระดับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ รพ.ชุมชน รพ.ทั่วไป  รพ.ศูนย์  สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา   4. ช่วยกันบอกต่อ นอกจากนี้ เราควรแจ้งให้คนในชุมชนทราบข้อมูลผลิตภัณฑ์อันตรายโดยด่วนที่สุด โดย ผ่านช่องทาง หรือวิธีการต่างๆ  แต่ถ้าเราไม่มั่นใจเราอาจสอบถามกับเจ้าหน้าที่ให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัยอย่างไรก่อนดำเนินงานแจ้งข่าว หรือหากเรากังวลว่าอาจถูกผู้กระทำผิดฟ้องกลับ หรือมีปัญหาในชุมชน ควรประสานงานให้เจ้าหน้าที่ เป็นผู้กระจายข่าวออกจากหน่วยงานราชการ ก็ได้   เคล็ดลับ ในการร้องเรียน หากเราไม่อยากเปิดเผยตัวเอง เราควรรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานให้ชัดเจนมากที่สุด เพื่อให้ข้อมูลที่เราร้องเรียนมีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ เพื่อกลั่นแกล้ง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 156 คู่มือนักร้อง (เรียน) ตอนที่ 1

คอลัมน์เรื่องเล่าเฝ้าระวัง ได้นำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมาหลายฉบับแล้ว และเป็นข่าวดีที่ผู้เขียนทราบว่า ผู้บริโภคที่ติดตามอ่านคอลัมน์นี้หลายท่าน ได้ลุกขึ้นมาเป็นหูเป็นตาในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยในท้องตลาด  โดยแจ้งข้อมูลผลิตภัณฑ์อันตรายที่ตนพบเห็นไปให้หน่วยงานราชการดำเนินการต่อ แต่เนื่องจากข้อมูลที่ส่งต่อบางชิ้นมีรายละเอียดไม่มากพอ เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถนำข้อมูลไปดำเนินการต่อได้ทันที ทำให้ต้องไปเริ่มต้นหาข้อมูลกันใหม่อีกรอบ เพื่อให้ประชาชน ผู้บริโภค และเครือข่ายต่างๆ สามารถรวบรวมข้อมูล หลักฐานต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ผู้เขียนขอนำเสนอวิธีง่ายๆ ในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลก่อนส่งเรื่องร้องเรียน โดยมีคาถาง่ายๆ ที่ควรท่องให้ขึ้นใจดังนี้ ข้อมูลพร้อมพรรค -  หลักฐานครบถ้วน – เรื่องด่วนส่งทัน – ช่วยกันบอกต่อ  ก่อนที่เราสวมวิญญาณจะเป็นพลเมืองดี นำข้อมูลมาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่นั้น  เราควรตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่เรามีว่าครบถ้วน สมบูรณ์หรือไม่ เพราะถ้าข้อมูลที่เราส่งต่อให้เจ้าหน้าที่นั้นครบถ้วนหรือเพียงพอ เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถนำไปดำเนินการได้ทันที แต่ถ้าข้อมูลที่เราร้องเรียนไม่ครบถ้วน ขาดข้อมูลที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถนำไปดำเนินการได้ และจะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาในการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม จนอาจทำให้เรื่องที่เราร้องเรียนล่าช้าไม่ทันเหตุการณ์ มี 4 ขั้นตอนง่ายๆ ให้เราตรวจสอบความพร้อมในการร้องเรียนดังนี้   1. ข้อมูลพร้อมพรรค ในขั้นตอนนี้ ขอให้เราตรวจสอบข้อมูลที่เราจะนำไปร้องเรียนว่าครบถ้วน หรือเพียงพอหรือไม่ จากประสบการณ์พบว่า ข้อมูลที่ครบถ้วนจะประกอบด้วยประเด็นหลักๆ ดังนี้ 1) ชื่อผู้ร้องเรียน หรือผู้บันทึกข้อมูล ตลอดจนที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อได้ หากต้องการข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมในภายหลัง 2) ควรตรวจสอบหน่วยงานที่เราจะร้องเรียนให้ถูกต้อง  เช่น ร้องเรียนเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ(อาหาร ยา เครื่องสำอาง ฯลฯ) ให้ร้องเรียนที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กรณีที่เป็นการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และวิทยุสามารถร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ 3) ระบุสื่อที่พบการโฆษณาและข้อมูลเกี่ยวกับสื่อดังกล่าวให้ชัดเจนที่สุด เช่น วัน เวลาที่พบการโฆษณา พื้นที่ที่พบโฆษณา คลื่นความถี่/ช่องรายการ  ชื่อสถานี ชื่อรายการ  ชื่อผู้จัดรายการ 4) รายละเอียดข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่โฆษณา เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์ และถ้าทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นยา อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตรายให้ระบุไปด้วย  นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ให้ตรวจสอบด้วยว่าโฆษณานั้นมี เลขที่โฆษณาผลิตภัณฑ์ หรือไม่ ทั้งนี้ต้องไม่สับสนระหว่างเลขที่อนุญาตโฆษณา กับเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ เช่น เลขทะเบียนตำรับยา หรือเลขทะเบียนตำรับอาหาร หรือเลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง 5) รายละเอียดวิธีการโฆษณา เช่น การจัดรายการ มีผู้เล่าประสบการณ์ สปอตโฆษณา หรืออื่น ๆ 6) ประเด็นที่เราสงสัยว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัย  เช่น การอวดอ้างสรรพคุณอย่างเกินจริง หรือมีการรับรองสรรพคุณอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เราสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้เองโดยเปรียบเทียบกับข้อกฎหมายในกฎหมายยา อาหาร หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (ต่อฉบับหน้า)   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 ปากของเรา อย่าให้ของเสี่ยง เข้ามา

สิงหาคม 2552 มีข่าวเศร้าทางหน้าสื่อมวลชน เด็กนักเรียนหญิง ม.5 จากสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น ขอเงินแม่ 2 พันบาท เข้าคลินิกเสริมความงามใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่น กลับมาไม่กี่วันปวดฟันจนเหงือกบวม สุดท้ายทนไม่ไหวต้องนำส่งโรงพยาบาล ตรวจพบเป็นโรคหัวใจ – ไทรอยด์ติดเชื้อ และเสียชีวิตในสามวันต่อมา การใส่เหล็กดัดฟันที่วัยรุ่นนิยมกันมากจนเกิดเป็นแฟชั่นหลากหลายนั้น ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ หรือใครก็ทำให้ได้ เราต้องให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำเท่านั้น และเหล็กที่ใส่จะต้องเป็นเหล็กสเตนเลสสตีลหรือเหล็กที่ใส่แล้วไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และการจัดฟันหรือใส่เหล็กดัดฟันนั้นจะไม่สามารถใส่ได้ทันที ทันตแพทย์จะต้องตรวจสุขภาพของผู้จัดฟันให้ละเอียดเสียก่อนถึงสามารถใส่ได้ แต่การไปใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่นจากผู้ที่ไม่มีความรู้หรือไม่ใช่ทันตแพทย์ที่ได้รับอนุญาต จะมีอันตรายทั้งจากวัสดุที่ใช้ทำลวดดัดฟัน ซึ่งจะเป็นลวดราคาถูก ไม่ใช่ลวดที่ใช้ทางการแพทย์ จึงอาจเป็นสนิมและมีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนักต่างๆ เช่น ตะกั่ว พลวง ซีลีเนียม โครเมียม สารหนู สีสังเคราะห์ นอกจากนี้พบว่าผู้ให้บริการบางรายใช้กาวช้างหรือกาวทั่วไปในการยึดติดซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ผู้ให้บริการจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้จะไม่มีความรู้ด้านทันตกรรม การจัดฟันจึงมักใช้กรดกัดฟันหรือกรอเคลือบฟันที่ดีๆ ออกไป จนทำให้ซี่ฟันเคลื่อนไปจากเดิมจนฟันตาย หากการใส่ลวดดัดฟันยึดไม่แน่นพอจะทำให้ลวดมีโอกาสหลุดลงคอ และอาจบาดช่องปากจนเกิดแผลติดเชื้อในเลือดจนเสียชีวิตได้  นอกจากนี้หากเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดฟันมีคุณภาพต่ำก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสนิม และหากฆ่าเชื้อโรคเครื่องมือไม่หมดจะทำให้ติดเชื้ออันตราย เช่น ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค คอตีบ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ฯลฯ จนอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด ตามที่เป็นข่าว แม้หน่วยงานสาธารณสุขจะพยายามติดตามดูแล ไม่ให้มีผู้ลักลอบจัดฟันด้วยลวดดัดฟันแฟชั่นที่อันตราย แต่ผู้ประกอบการก็หาทางออกหลบหลีกไปเรื่อยๆ ล่าสุด มีพลเมืองดีแจ้งเตือนภัยให้ทราบว่ามีการจำหน่ายชุดเซ็ตจัดฟันเองที่บ้านและชุดอุปกรณ์จัดฟันทุกชนิด มีการหลอกลวงอ้างว่า ใช้อุปกรณ์จัดฟันเกรดดี ปลอดภัย เทียบเท่ากับคลินิกทันตกรรม มีให้เลือกทั้งแบบติดแน่น และแบบถอดได้หรือรีเทนเนอร์ (ซึ่งมีทั้งแบบ ลวดเส้นเดียว ลวดสี แบบติดเม็ด) นอกจากนี้ยังอ้างว่าไม่มีผลกระทบกับฟัน  แถมมีวิธีติดพร้อมภาพประกอบอย่างละเอียด พร้อมส่งจำหน่ายให้กับเด็กวัยรุ่นที่หลงเชื่อ ขอแจ้งเตือนผู้ปกครองตลอดจนอาจารย์โรงเรียนทุกแห่ง ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลเด็กนักเรียนด้วย หากพบว่าเด็กวัยรุ่นไปจัดฟันแฟชั่นที่อันตราย ขอให้รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อถอดเหล็กดัดฟันได้โดยด่วน และหากพบเบาะแสการจัดฟันแฟชั่น หรือมีการเชิญชวนไปรับบริการดังกล่าว ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดทราบ เพื่อช่วยเด็กๆ วัยรุ่นให้ปลอดภัยจากอันตรายนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 เสน่ห์สาว.. " ฟิต เฟิร์ม ใหญ่ "

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก...และยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีกหลายร้อยเท่าถ้าดันต้องมาเกิดในยุคนี้ จะไม่ให้ลำบากอย่างไรเล่าครับ หันไปทางไหนก็มักจะเจอโฆษณาลวงโลกเต็มไปหมด อาศัยความไม่รู้และความอยากทั้งหลาย หลอกให้หญิงเสียเงินและเสี่ยงสุขภาพไปอีก สำนวน “อกฟู รูฟิต” ที่กุลสตรียุคคุณพ่อคุณแม่ยังไม่กล้าเอ่ย กลับกลายเป็นสำนวนคู่บ้านคู่เมือง ที่ผลิตภัณฑ์หลอกลวงเจาะลงกลุ่มเป้าหมายสตรีนำมาใช้เรื่อยๆ ล่าสุดผมได้ข้อมูลจากผู้บริโภคท่านหนึ่ง แจ้งมาว่าไม่ใช่แค่ อกฟูรูฟิตแล้วล่ะครับ หากจะไม่ตกกระแสต้อง “อกฟู รูฟิต ไร้กลิ่น ผิวขาวผ่อง ไม่ทำให้อ้วน” ผู้บริโภครายนี้ยังส่งภาพถ่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาให้ดู ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ตั้งชื่อให้เย้ายวนสตรีทั้งหลายในทำนองว่า “สมุนไพรเสน่ห์ของน้องนาง” นอกจากชื่อแล้ว ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ได้แสดงฉลากระบุว่าเป็นยาแผนโบราณ มีเลขทะเบียนเสร็จสรรพ ระบุส่วนประกอบได้แก่ ว่านชักมดลูก ว่านมหาเมฆ ว่านสากเหล็ก ฝานเสน ตังกุยและสมุนไพรอื่นๆ อีก 19 ชนิด ดูไปแล้วก็เป็นยาสมุนไพรสำหรับสุภาพสตรีแบบที่เราคุ้นเคย แต่พอเห็นข้อความที่โฆษณาข้างกล่อง ผมถึงกับตะลึงไปกับความคิดสร้างสรรค์(ที่ดันมาหลอกลวง) เพราะพี่แกเล่นตอกย้ำอีกว่า “สำหรับผู้หญิง ที่อยากให้อวัยวะของตัวเองนั้นฟิตขึ้น เต่งตึงขึ้น   ด้วยธรรมชาติ 100% ใช้แล้ว  รู้สึกได้ภายใน 3-5 วัน”   นิยามของ " ฟิต เฟิร์ม ใหญ่ " แถมระบุสรรพคุณอีกว่า “ เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องการบำรุงเต้านมให้เต่งตึง ผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นไม่เสื่อมก่อนวัยอันควร วัยทองที่มีอาการเครียดก่อนหลังมีประจำเดือน บำรุงความงามที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การไหลเวียนโลหิตบริเวณผิวหนังและบนใบหน้าดีขึ้น ปรับสมดุลประจำเดือน ลดอาการปวดก่อนมีประจำเดือนอย่างรุนแรง บำรุงเลือด ขับเสมหะ แก้ปอดพิการ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ขับระดูขาว แก้อาการมดลูกต่ำ มดลูกโตหรือ ปวดหน่วงมดลูกเป็นประจำ นอกจากนี้ยังกลัวว่าจะไม่ใช่ยาเทวดา เลยแถมไปอีกว่า ป้องกันมะเร็ง ได้อีกด้วย ขออนุญาตเตือนกันตรงๆ เลยว่า ข้อความโฆษณาสรรพคุณแบบนี้ไม่ได้รับอนุญาตแน่นอน การดูผลิตภัณฑ์ยา อย่าดูแค่ว่ามีเลขทะเบียนอย่างเดียวนะครับ หากพบว่าผลิตภัณฑ์ที่เราสงสัย อ้างสรรพคุณร้อยแปดพันเก้าจนกลายเป็นยาเทวดา ฟันธงได้เลยว่าหลอกลวง บางทีขออนุญาตระบุข้อความสรรพคุณแบบหนึ่ง เวลาทำขายก็ไปทำอีกแบบหนึ่ง เจอที่ไหนแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้ไปจัดการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้สิ้นจากแผ่นดินเสียที   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 อยากจะดีท๊อกซ์ระวังจะถูกหลอกให้เสียตังค์

คนที่สนใจการแพทย์ทางเลือกคงเคยได้ยินคำว่าดีท๊อกซ์ เช่น การสวนทวารเพื่อดีท๊อกซ์ล้างพิษในลำไส้ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างขึ้นกับความเชื่อของแต่ละบุคคล  ล่าสุดผมได้รับเอกสารจากผู้บริโภคให้ช่วยตรวจสอบด้วยว่าผลิตภัณฑ์ ดีท๊อกซ์เลือดนั้น มันดีท๊อกซ์เลือดได้จริงหรือเปล่า เพราะเขาโฆษณาในหน้าเฟซบุ๊คว่า ผลิตภัณฑ์ของเขาสามารถ ล้างสารพิษในตับ ไต ช่วยฟอกเลือดให้สะอาดและกำจัดเซลล์มะเร็ง แถมยังตั้งชื่อด้วยภาษาอังกฤษเป็นกลุ่มเลือด พร้อมยังแสดงรูปเม็ดเลือดบนฉลากอีกด้วย (เดาไม่ยาก กลุ่มเลือดมีไม่กี่ตัวเองครับ) ผมตรวจสอบฉลากจากรูปถ่ายในเอกสารที่ผู้บริโภคส่งข้อมูลมา พบว่าผลิตภัณฑ์นี้ มีส่วนประกอบที่เป็นสมุนไพรไม่กี่อย่าง แต่ในเอกสารโฆษณากลับพบว่ามีการบรรยายสรรพคุณของผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น ช่วยลดสารพิษในตับ ไต และฟอกเลือดให้สะอาด  ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส  ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยลดอาการปวดเมื่อย ตามเนื้อตามตัว ปวดหลัง ปวดเอว ฯลฯ   นอกจากนี้ยังมีการแสดงข้อมูลในลักษณะเชื่อมโยงกับการขับสารพิษออกจากเลือด ทำให้เลือดสะอาด โดยอ้างว่าเลือด เป็นส่วนหนึ่งที่นำเอาสารอาหารต่างๆ และออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย  จึงนับว่ามีความสำคัญอย่างมากในการหล่อเลี้ยงร่างกาย  การไม่กระจายตัวของเลือด  การไหลเวียนที่ไม่ดี  การสะสมสารพิษในกระแสเลือด  รวมทั้งสารอาหารส่วนเกินที่ตกค้างในหลอเลือด  เช่น ไขมัน  หรือโปรตีนที่ ดูดซึมไม่หมด  รวมทั้งโลหะหนักต่างๆ จากอาหารทะเล  หรือสารเคมีต่างๆ  ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลอดเลือด  เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หลอดเลือดตีบ หลอดเลือดโป่งพอง โรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้นการช่วยขับสารพิษออกจากเลือด  จะทำให้หลอดเลือดสะอาด  การไหลเวียนเลือดดีขึ้น  และสามารถนำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น  ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่ายอีกต่อไป โฆษณาสรรพคุณซะมากมายขนาดนี้ แต่ไหงเมื่อผมดูฉลากข้างขวด กลับระบุเพียงว่า ยานี้ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ สรรพคุณที่ได้รับอนุญาตที่ปรากฏบนฉลากคือ บำรุงโลหิตเท่านั้น แถมราคาก็ไม่เบานะครับ  ในหนึ่งขวดมี 60 แคปซูลราคา 1,500 บาทตกเม็ดละ 25 บาทนั่นเอง ไม่อยากจะพูดว่าอย่าหลงเชื่อเพราะสรรพคุณที่โฆษณาอย่างมากมายมันไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย ยังไงขอให้มีสติกันนะครับ อยากจะดีท๊อกซ์ แต่สุดท้ายจะถูกหลอกให้เสียตังค์เปล่าๆ ยิ่งสมัยนี้พวกผลิตภัณฑ์หลอกลวงมักชอบขออนุญาตอย่างหนึ่งแล้วโฆษณาอีกอย่างหนึ่ง จับมาดีท๊อกซ์จริยธรรมคุณธรรมของการค้าบ้างคงดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 152 ผิวขาวของคน ทำไมต้องซุกซนมาถึงหมีและหอย?

“เกิดเป็นคนโชคดี” ข้อความสั้นๆ ในโฆษณาที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ เรียกร้องความสนใจจากผม เพราะโฆษณาชิ้นนี้ไม่ได้มีแค่ข้อความข้างต้นเท่านั้น  แต่มันยังมีภาพสาวผิวขาวหันหลังให้หมีขนคล้ำ พร้อมกับภาพผลิตภัณฑ์สุขภาพชนิดหนึ่ง สัญชาติญาณที่รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ผมพยายามค้นหาสิ่งที่ผิดปกติในโฆษณาชิ้นนี้ คนมาเกี่ยวอะไรกับหมีหรือหมีมาเกี่ยวอะไรกับคน  ผมตามไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านี้ในอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่ามีคลิปโฆษณาใน Youtube เป็นอนิเมชั่น เรื่องราวของหมีขนคล้ำนั่งคุยกับสาวผิวขาว ทำนองว่าหมีอิจฉาหญิงสาวที่ผิวขาว แต่ตัวเองมีขนคล้ำ ก่อนจบลงด้วยสาวผิวขาวกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผมลองตามรอยเข้าไปหาข้อมูลต่อไปอีกว่าผลิตภัณฑ์นี้มันคืออะไร ก็พบข้อความบรรยายว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อบำรุงผิวให้สวยใส มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวทำให้ผิวขาวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็บรรยายว่ามีส่วนประกอบสามัญประจำบ้านที่เราแทบจะพบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนานาชนิด และตามเคยนอกจากจะบรรยายว่าผิวขาวแล้ว ยังตามมาด้วยการอ้างสรรพคุณมากมายทั้งผอม ลดน้ำหนัก ป้องกันกระดูกพรุน ป้องกันมะเร็งลำไส้ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ผิดกฎหมายเพราะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแต่โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณจนเข้าข่ายผลิตภัณฑ์ยา ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อผมลองสืบค้นไปเรื่อยๆ พบว่าข้อมูลเหล่านี้มีการแพร่กระจายไปตามเว็บอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการขายสินค้าอีกมากมาย กระทั่งเว็บเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กๆ  ผมเข้าไปเจอกระทู้ที่เด็กมัธยมปลายเข้าไปถามในเว็บว่า มีใครเคยใช้ผลิตภัณฑ์นี้แล้วได้ผลอย่างไรบ้าง ตามด้วยข้อความที่มีคนมาตอบกระทู้มากมายหลากหลาย ทั้งเชียร์ให้ใช้และห้ามไม่ให้ใช้  จนผมต้องไล่ตามไปอธิบายข้อเท็จจริงในที่ต่างๆ   ไม่กี่วันผมเห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกยี่ห้อ โฆษณาในทำนองเดียวกัน เน้นผิวขาวดุจประกายมุก แถมใช้ภาพประกอบเป็นหอยมุกสดๆ แหกฝาให้เห็นเม็ดมุกอยู่ข้างใน  ถึงผมไม่ใช่ผู้ชำนาญเรื่องหอย แต่ก็อดตะลึงไปกับความคิดสร้างสรรค์ของคนทำโฆษณาไม่ได้ ไม่รู้บอกอย่างไรดี โฆษณาทั้งสองชิ้นที่เล่ามา ดูผ่านๆ อาจไม่ผิดกฎหมาย เพราะมันแล้วแต่ใครจะตีความ แต่จากการตามรอยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโฆษณา มันมีอิทธิพลให้เด็กๆ หรือคนบางกลุ่มโน้มเอียงที่จะหลงเชื่อ แถมผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีวางขายเกลื่อนตามร้านสะดวกซื้ออีกด้วย ผู้ใหญ่ท่านใดเห็นโฆษณาชิ้นนี้คอยเหลือบดูแลบุตรหลาน คนใกล้ตัวด้วยนะครับ เพราะโฆษณาปัจจุบันนี้มันเนียนมาก มันไม่ใช้ดารามาแนะนำอย่างเดียวแล้วครับ มันมีหลายวิธีที่จะใช้ชักจูง ไม่เว้นแม้กระทั่งหมีและหอย...แถมคนก็ดันหลงเชื่อเสียด้วย...กรรมจริงๆ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 151 ระวังสเต็มจะมาเซลล์จนหมดตัว

อมใต้ลิ้น ละลายทันที ซึมเข้าระบบ เข้าไปฟื้นฟูเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ข้อความนี้ไม่ใช่โฆษณายาอมแก้ไอมะแว้ง หรือยาโรคหัวใจแบบอมใต้ลิ้นที่หลายคนรู้จัก แต่มันคือข้อความโฆษณาผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง ใช้วิธีส่งมาทางอีเมล์ของหลายต่อหลายคน ผู้โฆษณาบอกว่าเขาเป็นเจ้าแรกที่นำ ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ ชนิดรับประทานเข้ามาจำหน่าย โดยบรรยายสรรพคุณว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รางวัลชนะเลิศจากต่างประเทศ บรรดาคนดังของโลก ตลอดจนดาราภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดต่างก็รับประทาน เพราะเมื่อรับประทานไปแล้ว จะทำให้หน้าอ่อนลง 10 ปี หน้าใส รูปหน้ากระชับ เนียนเรียบตื้นทันใจภายใน 1 เดือน แถมยังคุยโวเกทับผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ที่ผสมสารกลูต้าไธโอนหรือคอลลาเจนอีกว่า ผลิตภัณฑ์ของตนเห็นผลเร็วกว่า หลังจากนั้นก็พรั่งพรูด้วยสรรพคุณอวดอ้างสามัญประจำบ้านอีกมากมาย อาทิเช่น  เบาหวานหาย ความดันหาย ปวดเข่าหาย ผมร่วงหาย ปวดหัวหาย หลังจากอ่านสรรพคุณที่โอ้อวดจนเพลิน ผมก็สะดุดกับข้อความที่บอกว่า ผลิตภัณฑ์ของเขาคือ สเต็มเซลล์ของต้นแอปเปิ้ล และต้นองุ่น  อ้าวไปกันใหญ่แล้ว จู่ๆ เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ในร่างกายไหงกลายเป็นสเต็มเซลล์ของพืชไปแล้ว มั่วได้ใจจริงๆ ยิ่งมาอวดอ้างว่ารับประทานโดยอมใต้ลิ้น ขอบอกให้โลกรู้เลยนะครับว่า เท่าที่ทราบมา ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ มันไม่มีแบบรับประทาน แล้วไอ้ที่อ้างว่าได้ผลต่างๆ น่ะ แค่ กลืนลงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารก็ฟัดซะย่อยยับแล้ว กำลังคิดว่าจะนำข้อมูลไปเตือนผู้บริโภคอย่างไร สายตาดันเหลือบไปเห็นข้อความในย่อหน้าต่อมาอีกว่า   บริษัทของเราเพิ่งนำเข้ามาเมื่อปลายปี 2555 และแนะนำข้อมูลของบริษัทและเลขทะเบียน สคบ.อีกด้วย ตามมาด้วยข้อความว่าการันตีคุณภาพว่า “ประกันภัยสูงถึง 30 ล้านบาท ถ้ากินแล้วอันตรายถึงแก่ชีวิต” ตรงนี้แหละที่เล่นเอาผมสะดุ้ง เพราะหากผู้บริโภคที่รู้ไม่เท่าทัน อ่านผ่านๆ อาจเข้าใจไปผิด ผมขออธิบายง่ายๆ แบบนี้ครับ ที่อ้างเลขทะเบียน สคบ.น่ะ ไม่ได้หมายถึงเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์นะครับ มันหมายถึงบริษัทนี้ไปจดทะเบียนทำธุรกิจขายตรงกับ สคบ. ตามที่ สคบ.เขากำหนดว่า ใครจะทำธุรกิจขายตรงต้องไปยื่นจดทะเบียนตามกฎหมายของเขา ส่วนประกันภัย 30 ล้านบาทน่ะ ดูให้ดีนะครับ มันประกันภัยบริษัทหรือประกันว่าหากรับประทานแล้วตายโหงกันแน่ กำลังคิดว่าจะอธิบายต่ออย่างไร ดันเหลือบไปเห็นย่อหน้าท้ายๆ โปรยข้อความชวนเชื่ออีกว่า ขนาดยังไม่เปิดเป็นทางการ ผู้สมัครกับบริษัทเรา ยังสามารถทำรายได้ 2.5 ล้าน 1 ท่าน ยังไม่พอครับ มีอีก 1 ท่านทำรายได้ 2.1 ล้าน และมีถึง 4 ท่านทำรายได้ 1 ล้านกว่าๆ แถมยังยกตัวอย่างตนเองด้วยว่า แค่ปลายปีตนได้รายได้จากการจำหน่ายถึง 150,000 บาท แม่เจ้าไม่กล้าโว๊ย! ถ้ามันกำไรขนาดนี้ ผมคงต้องไปกระซิบรัฐบาลให้เลิกโครงการต่างๆแล้วให้พลเมืองไทยทุกคนทำธุรกิจนี้ มิดีกว่าหรือ ยังไงช่วยกันเตือนสติคนรอบข้างอย่าได้หลงเชื่อนะครับ โฆษณาสรรพคุณอวดอ้างเกินจริงจนเคลิ้มยังไม่พอ ยังเอารายได้มหาศาลมาโน้มน้าวให้ผู้คนระทวยอีก ใครไม่มีสติพออาจโดนสเต็มเซลล์ มาเซลล์จนหมดตัวได้นะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 ยาฤาษีทั้งทีก็ต้องมีอภินิหารสิ

น้องเภสัชกรจากโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ลงไปทำงานตรวจแนะนำร้านชำในหมู่บ้าน พบว่า ร้านชำบางร้านมียาแผนโบราณชนิดหนึ่งวางจำหน่าย ฉลากของยาดังกล่าวแสดงข้อความว่า ยาธาตุตราฤาษี น้องเภสัชกรท่านนี้เห็นจุดที่แปลกพิสดาร ไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะให้แปลกหรือเป็นอภินิหารของยาฤาษี เลยแจ้งเรื่องมาให้ผมทราบเพื่อป่าวประกาศให้ผู้อ่านได้รู้เพื่อจับตาเฝ้าระวัง ยานี้ มีเอกสารประกอบยา แสดงข้อความว่า ยาธาตุตราฤาษี แม้จะระบุสรรพคุณไปในแนวด้านแผนโบราณ แต่ก็ระบุสรรพคุณหลายอย่างชอบกล ทั้งโรคกษัย บำรุงสมอง บำรุงตับ บำรุงหัวใจ ไล่ไปถึง แก้ปวด บวมพอง โรคเหน็บชา แก้ท้องร่วง ท้องเดิน บิด รวมทั้ง แก้ไอ ไอหืด ไอหอบ ไอปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ เอ้อ....สรรพคุณอย่างหลังๆ นี่มันทะแม่งๆหรือเปล่าครับ เพราะดูส่วนประกอบที่แสดงบนฉลากก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก นอกจากสมุนไพร 5 อย่าง ทำไมรักษาได้หลายโรคอย่างนี้ หรือมันคืออภินิหารของท่านฤาษี นอกจากนี้ ในเอกสารกำกับยา ยังมีคำอธิบายว่า “เนื่องจากมีผู้ทำเทียมและทำยาปลอมเป็นจำนวนมาก จึงถ่ายรูปตราฤาษีติดรูปเจ้าของ เป็นเครื่องหมายการค้าให้จำได้แม่นยำ” บอกกันตรงๆ เลยว่าขายดีจนมีคนทำเทียมและเลียนแบบ? ยาชนิดนี้ หากดูเผินๆ ก็น่าจะเป็นยาแผนโบราณทั่วๆ ไป แต่จุดที่น่าสงสัยคือ ยาจะขายเป็นห่อ ในหนึ่งห่อมีประมาณ 30 เม็ด มีฉลากที่ห่อระบุว่าผลิตจากจังหวัดแพร่ แต่ในเอกสารประกอบการขายกลับเขียนคลุมเครือ ให้สับสนเพราะมีสถานที่ให้ติดต่อที่จังหวัดน่าน ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่คนที่จำหน่ายทำข้อความเพิ่มเติม แต่ที่ผิดกฎหมายแน่ๆ คือ ยาแผนโบราณก็ต้องขายในร้านขายยาแผนโบราณ ไม่ใช่มาเร่ขายตามร้านชำ ดังที่ เจ้าของร้านชำบอกว่า “ร้านค้าในเมืองจะเป็นผู้นำยามาส่ง ใช้แล้วกินดี เจริญอาหาร ราคาที่รับมาไม่มีใครจำได้แต่ขายเม็ดละ 10 บาท ห่อหนึ่งมีประมาณ 30 เม็ด” จุดที่ไม่ถูกต้องอีกประการหนึ่งคือ ฉลากยามีข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งเลขทะเบียนตำรับยา ส่วนประกอบ สรรพคุณ วันผลิต วันหมดอายุ ส่วนในเอกสารประกอบยา แม้จะมีข้อความว่าได้จดทะเบียนแล้ว พร้อมแสดงหมายเลขต่างๆ แต่ข้อความก็ไม่สอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ เพราะกฎหมายจะระบุว่าต้องใช้คำว่า ทะเบียนตำรับยา ซึ่งเป็นจุดที่มีพิรุธให้สงสัยอีกว่าเข้าใจผิด หรือได้รับการจดทะเบียนจริงหรือไม่ เพื่อเป็นการทดสอบอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ น้องเภสัชกรท่านนั้นจึงดำเนินการส่งเรื่องให้ทั้งจังหวัดแพร่ และจังหวัดน่านติดตามตรวจสอบแล้ว หากท่านผู้อ่านเจอยาที่มีอภินิหารทำนองนี้ รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อช่วยกันตรวจสอบด้วยนะครับ จะได้ไม่ต้องเสียงภัยจากอภินิหารที่ไม่คาดฝัน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 149 กระชายดำบำรุงกำลัง

สมุนไพรไทยมีดีไม่แพ้ชาติใดในโลก ถึงตอนนี้ใครๆ กำลังให้ความสนใจ “ถั่งเช่า” ที่ถูกกล่าวขานว่ามีสรรพคุณสุดยอดบำรุงกำลังและ ...ก็ตาม แต่ของแท้มันแสนจะหายาก และราคาแพงเว่อร์ มาลองสมุนไพรไทยที่ฮิตกันมาช่วงหนึ่งแต่เพิ่งจะซากระแสไป “กระชายดำ” นั่นเอง โดยทั่วไปเราก็กินกระชายเป็นอาหารกันมานานแล้ว แต่เป็นกระชายเหลือง ส่วนกระชายดำจะมีลักษณะหัว กลิ่นและรสชาติ ไม่เหมือนกับกระชายเหลือง คือกระชายดำจะมีกลิ่นฉุนและแรงกว่า จึงเหมาะจะใช้ทำเป็นยาสมุนไพรมากกว่าทำอาหาร กระชายดำ จะเรียกว่า โสมไทย ก็ได้ เชื่อกันว่าเป็นยาสมุนไพรอายุวัฒนะชั้นหนึ่งมาแต่โบราณ  เป็นสมุนไพรลับของชาวเผ่าม้ง ซึ่งมักพกติดตัวไว้ในย่ามแทบทุกคน เพื่อใช้กินแก้ปวดเมื่อย เหนื่อยหอบ หืดหอบ ที่สำคัญเชื่อว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี และถือว่าเป็นความลับประจำเผ่ามาหลายร้อยปี แต่ความลับไม่มีในโลก กระชายดำได้กลายเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจไปเรียบร้อยโรงเรียนไทย โดยเฉพาะแหล่งเพาะปลูกสำคัญอย่างจังหวัดเลย สรรพคุณของกระชายดำมีมาก ตั้งแต่รากเหง้า เป็นยาขับปัสสาวะ  ขับลม แก้บิด แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้โรคกระเพาะอาหาร โดยใช้รากเหง้าดองกับสุราขาว หรือนำไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ผสมน้ำสุกรับประทาน หรือผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดประมาณเม็ดพุทรารับประทานทุกวันเป็นยาอายุวัฒนะ กระตุ้นประสาททำให้กระชุ่มกระชวย และเป็นยาบำรุงกำลัง ปัจจุบันนอกจากใช้กระชายดำเพื่อประกอบเป็นตัวยาโดยตรงแล้ว ยังนำไปบดเป็นผง บรรจุซองชงน้ำร้อนดื่มบำรุงสุขภาพ ใช้ดองดื่มเพื่อให้เกิด ความกระชุ่มกระชวย ทำลูกอมและที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ทำไวน์กระชายดำสินค้าโอท็อปชั้นดี แม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรื่องสรรพคุณด้านชูรักชูรส แต่ด้วยราคาไม่แพงมีเงินเป็นร้อยก็หาซื้อได้ ทำให้ตลาดกระชายดำมาแรง อย่างไรก็ตามถ้าไปถามนักวิชาการ ยังไม่กล้ายืนยันเรื่องสรรพคุณทางเพศเพียงแต่ บอกเป็นนัย ๆ ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้กระชุ่มกระชวย แต่พึงต้องระวังเรื่อง สรรพคุณร้อน ของกระชายดำ ดังนั้นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงต้องระวัง

อ่านเพิ่มเติม >