ฉบับที่ 133 น้ำผลไม้ระเบิดไขมัน

  “น้ำผลไม้ระเบิดไขมัน นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีอย. รับรอง 30 ประเทศทั่วโลก จดทะเบียน อย.ในหมวดอาหาร ไม่ใช่ยา สามารถรับประทานได้ไม่จำกัดปริมาณ ยิ่งทานในปริมาณมากยิ่งเห็นผลเร็วขึ้น” ไม่กี่วันมานี้ เพื่อนฝูงผมหลายคนต่างได้รับอีเมล์ จ่อหัวเรื่องซะน่าสนใจว่า น้ำผลไม้ระเบิดไขมัน โดยในเนื้อหาของอีเมล์นี้บอกว่าน้ำผลไม้ที่ว่านี้คือ น้ำผลไม้มากี้เบอร์รี่ Maqui Berry ซึ่งมีส่วนผสมของผลไม้ที่สำคัญและแร่ธาตุในน้ำว่านหางจระเข้ที่มีประสิทธิภาพ ผลไม้นี้ถูกค้นพบในป่าของทวีปอเมริกาใต้ เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งแตกต่างจากผลไม้อื่นๆ ในโลก เพราะมากี้คือการผสมผสานของทุกอย่างไว้อย่างลงตัว ผมสงสัยว่าคำอธิบายเหล่านี้ คนขายคงกลัวว่า จะไม่น่าเชื่อถือ ในอีเมล์จึงมีการอธิบายคุณสมบัติมหาศาลเพิ่มเติมเข้าไปอีก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมียาใดมาเทียมทานได้ในสามโลก เช่น มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในโลก จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย  ช่วยในการลดน้ำหนัก 1 ขวด ช่วยลดน้ำหนักได้ 1-2 กก. ทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนักไม่ให้กลับมาเพิ่มขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีสารพิษ หรืออนุมูลอิสระในร่างกายมากๆ เช่น ผู้ที่อยู่ในโปรแกรมการกำจัดไขมันหรือลดน้ำหนักหรือในผู้ที่ภาวะความเครียดจากการทำงาน ... ยังไม่หมดนะครับ ยังมีบอกต่อไปอีกว่า ช่วยทำให้มีสุขภาพผิวพรรณที่ดี ปรับผิวให้กระจ่างใสและปกป้องจากการถูกทำลายของแสงอาทิตย์ ช่วยให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ กระตุ้นการล้างพิษในร่างกาย ปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง อัลไซเมอร์และพาร์คินสัน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง เพิ่มระดับพลังงาน สนับสนุนให้มีอายุยืนยาว  มีส่วนประกอบของวิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็กและโพแทสเซียม ทำให้กระดูกและข้อต่อแข็งแรง ช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวดจากข้อต่อโรคข้ออักเสบและกล้ามเนื้อ ป้องกัน LDL จากออกซิเดชัน มีส่วนผสมของ Resveratrol (เรสเวอราทรอล) ใน 1 ขวดเทียบกับ ไวน์แดง 7 ขวด  ประกอบด้วยวิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโนและธาตุอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยในการรักษาความสมดุล    ช่วยควบคุมความเป็นกรดกระเพาะอาหาร   มีวิตามินบีสูง เพื่อสุขภาพระบบประสาทไหลเวียนของหัวใจและหลอดเลือดทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันแร่ซีไอออนิก จำเป็นต่อการทำงานของตับและไตและการขับพิษในร่างกาย และยังระบุ หมายเลข อย. 10-3-07754-1-0005 อีกด้วย   อันที่จริงมีหลักง่ายๆ ฝากท่านผู้อ่าน สำหรับการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ว่าเป็นจริงหรือไม่ คือ ก่อนอื่นพิจารณาดูว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นอาหารหรือยา ถ้าเป็นยาต้องมีเลขทะเบียนยา ถ้าเป็นอาหารก็จะต้องมีเลขสารบบ ซึ่งจะอยู่ในเครื่องหมาย อย. และที่สำคัญคือ ถ้าเป็นอาหารจะไม่มีสรรพคุณทางการรักษาโรคแต่อย่างใด ถ้ามีถือว่า ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ผู้อ่านก็ลองตรวจสอบได้ด้วยตัวเองเลยครับว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ให้ข้อมูลเท็จหรือไม่ แล้วเราจะได้คำตอบเลยว่า ยิ่งกินมากยิ่งเห็นผล ไอ้ผลที่ว่านั้นคือผลในการรักษาหรือผลที่คนขายจะรวยกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมส่งอีเมล์นี้ก็ไปถึง อย.เรียบร้อยแล้วครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 ก.เอ๋ย ก.กระเทียม

  มิตรผู้ติดตามนิตยสารไร้สปอนเซอร์โฆษณาหนึ่งเดียวของสยามประเทศ ย่อมเคยพบกับคอลัมน์ “ทำเองใช้เอง” มาบ้างแล้ว คราวนี้กลับมาใหม่เพราะแพ้ใจให้กับ บก.สาว “ฉลาดซื้อ” ที่ปรารถนาให้ผู้อ่านได้ตระเตรียมตัวและสิ่งรอบตัวให้พร้อมเสมอเมื่อเจอภัย โดยเฉพาะภัยน้ำที่ยังหลอกหลอนจิตใจคนหลายล้านคนในปีกลายที่ผ่านมา เพราะพอมีความรู้เรื่องสมุนไพรและการดูแลสุขภาพแนวพึ่งตนเองอยู่บ้าง บก.สาว(ตัวใหญ่)จึงอยากให้มาเล่าเรื่องทำนองนี้แบบสบายๆ แต่ขอให้ทำได้จริงคล้ายของเดิม “ทำเองใช้เอง” ที่ผ่านมา จึงตั้งใจไล่เรียงกันแบบท่องอักษรไทย ๔๔ ตัว ไม่รู้ว่าทั้งผู้อ่านและ บก.สาวจะเบื่อกันไปหรือเปล่า ดังนั้นเสียงสะท้อนจากผู้อ่านจึงมีความสำคัญมาก ขอขอบคุณข้อแนะนำจากท่านไว้ที่นี้ มาดูกันว่า ทำไมจึงแนะนำให้รู้จัก กระเทียม เหตุผลแรกบ้านเรือนไทยส่วนใหญ่ แม้อยู่คอนโด(น้ำท่วมไม่ถึง) แต่บ้านใดนิยมทำอาหารกินเองจะต้องมีกระเทียมประจำครัว เหตุที่สองกระเทียมที่ยังอยู่เป็นพวง หรือแม่ค้าแกะเป็นกลีบแล้วสามารถเก็บได้นาน ภัยมาเมื่อใดหยิบใช้ได้ทันกาล กระเทียมนับเป็นยอดสมุนไพรในครัวเรือน ประโยชน์อย่างแรกใช้แก้โรคผิวหนัง นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้วิจัยยอมรับตามภูมิปัญญาโบราณแล้วว่า มีฤทธิ์พิชิตเชื้อราได้ โดยเฉพาะเชื้อราที่มากวนใจและกวนกายของเราตามผิวหนัง เช่น กลาก แกลื้อน และเชื้อราตามนิ้วมือนิ้วเท้า เชื้อรามาจู่โจมเมื่อใดให้เอากระเทียมมาโขลกคั้นเอาน้ำทาเท่านั้น ให้ทาอย่างน้อยวันละ ๒-๓ ครั้ง บางคนไม่รอครกตำ แค่แกะเปลือกออกเอากระเทียมสดทาๆ ที่เป็น น้ำมันในกระเทียมคือโอสถกำจัดเชื้อราได้อย่างดี นอกจากราที่ผิวหนังแล้ว เด็กๆ ที่ไปตัดผมกับร้านที่ไม่ค่อยดูแลเรื่องความสะอาด ก็มักเป็น “ขี้กลาก”บนหนังศีรษะ หรือที่อับชื้นในร่มผ้าจนเป็น “สังคัง” ดังที่เคยเป็นข่าวว่าเหล่าทหารมายืนแช่น้ำหรืออยู่ในชุดเปียกชื้นทั้งวันเป็นสัปดาห์ อาจเกิดเชื้อราในขาหนีบหรืออัณฑะ บอกกันดังๆ ว่า ยาดีไม่ใช่อื่นไกล ก.กระเทียม คือทหารสมุนไพรเผด็จศึกราได้ มีข้อความรู้นิดเดียวว่า บางคนไม่ชอบกลิ่นกระเทียม และบางคนทาแล้วรู้สึกแสบๆ (ในช่วงแรกเท่านั้น ทิ้งไว้สักพักจะหาแสบเอง) กระเทียมยังเป็นยาอายุวัฒนะที่คนโบราณใช้มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อบำรุงสุขภาพหรือบำรุงกำลัง ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า กระเทียมมีสรรพคุณในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ จึงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และยังมีผู้ใช้เป็นอาหารลดความดันโลหิตสูงที่คนไทยเป็นกันมากด้วย โดยเฉพาะยามอยู่ในภาวะวิกฤติไม่ว่าจะภัยธรรมชติหรือเครียดจากงาน ความดันมักจะขึ้นสูง มีสูตรกินข้าวกับกระเทียมสดๆ เป็นทั้งยาอายุวัฒนะและช่วยลดความดันฯ  ให้สอยกระเทียมสดให้ละเอียด กินครั้งละประมาณครึ่งช้อนชา แต่จำไว้ต้องกินพร้อมอาหาร  ไม่เช่นนั้นจะทำให้แสบท้อง กินวิธีนี้ยังช่วยแก้ไข้หวัด และถ้ากินประจำช่วยป้องกันไข้หวัดด้วย ไปตลาดอย่าลืมอุดหนุนเกษตรกรไทย ซื้อกระเทียมสดของไทย(ไม่ใช่ของจีน) มาเก็บไว้เป็นอาหารและยาสมุนไพรประจำบ้านแต่บัดนี้.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 ผลิตภัณฑ์เพศพาณิชย์

  กระแสผลิตภัณฑ์สำหรับสตรี ให้สรีระฟูๆ ฟิตๆ กำลังดังระเบิด หน่วยงานควบคุม.ได้แต่กุมขมับเพราะหลังจากดำเนินคดีแล้ว กลับปรากฏว่ามีการขยายสาขาที่เปิดจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ประเด็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อหนึ่ง ที่โด่งดังอย่างกะทันหันในตลาดการขายตรง โดยยกเอากระแสปลุกความเป็นเพศหญิงให้ผงาดขึ้นมาอย่างโจ่งครึ่มไม่แคร์กฎหมาย แม้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เคยบุกไปจับดำเนินคดีมาแล้ว แต่คล้อยหลังไม่นานเครือข่ายพี่ๆ น้องๆ ในแวดวงการคุ้มครองผู้บริโภคกลับแจ้งว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้กลับมาบุกตลาดได้อีก หลายจังหวัดมีการเปิดห้องแถวเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ ไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เท่านั้น ผมยังได้รับข่าวว่ามีตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีทะเบียนยาแต่แสดงฉลากว่า ยากระชับแหม่ม เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยท่านหนึ่งนำมาให้ที่แผนกช่วยตรวจสอบว่ามันคืออะไร ผมเองก็งงว่าแหม่มคือใคร? ทำไมต้องกระชับ?  แต่ก็ถึงบางอ้อ เมื่อเหลือบไปเห็นสรรพคุณที่ระบุบนฉลากว่า สรรพคุณกระชับช่องคลอด ตามด้วยการพรรณนาสรรพคุณเกี่ยวกับน้องแหม่มอีกมากมาย ต่อมาผมก็ได้รับข้อมูลจากน้องอีกท่านหนึ่งทางภาคเหนือ แจ้งว่าพบผลิตภัณฑ์แสดงฉลากว่า สมุนไพรเสน่ห์สาว ไม่มีทะเบียนยา ใช้สำหรับอวัยวะสำคัญของสตรี(ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นแหม่ม) มีการระบุสรรพคุณในการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับมดลูก แถมบอกว่าถ้าใช้บ่อยๆ จะไม่มีลูก ถ้าต้องการมีลูกให้เลิกใช้ ตบท้ายด้วยสรรพคุณเพิ่มความฟิตอีก คล้อยไปอีกไม่กี่วันผมก็ได้รับแจ้งข้อมูลอีก คราวนี้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย แสดงฉลากว่า Kamagra Oral Jelly น้องที่ส่งข่าวแจ้งว่า มีขายมากมายทางอินเตอร์เน็ต อ่านข้อความโฆษณาพบว่ามันคือตัวยาที่หลายคนรู้จักเพราะมักจะโฆษณาว่ารักษาอาการนกเขาไม่แข็ง แต่ไหงเป็นเจลลี่ใช้ทางปาก? แต่เมื่ออ่านข้อมูลก็หายงง เพราะเขาแนะนำให้ใช้โดยบีบเจลใส่ปากและอมไว้ใต้ลิ้นสักครู่ก่อนกลืน  แล้วยังอธิบายว่าจะทำให้ยาถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วตั้งแต่ที่อยู่ในปาก  จึงมีผลทำให้ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่ายาแบบเม็ด ..ไม่มีทะเบียนยาตามเคยและดูเหมือนดวงผมจะสมพงษ์กับเรื่องนี้ เพราะต่อมาอีกไม่กี่วัน ผมก็ไปเจอผลิตภัณฑ์ที่เคยได้ยินชื่อมานาน แต่ไม่เคยได้สัมผัส ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้แสดงฉลากว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทาผิวมาราธอน ทีแรกก็งงว่ามันจะทาผิวอย่างไรเพราะในกล่องมีเพียงแคปซูลสีแดงฟ้า ถามคนขายถึงได้รู้ว่าเป็นครีมอยู่ในแคปซูล ส่วนทาผิวตรงไหนก็ต้องอ่านที่ฉลากเพราะอธิบายซะกระจ่างเลยว่าทาบริเวณไหนของอวัยวะคุณผู้ชาย แต่ที่น่าทึ่งคือบอกว่าเมื่อต้องการให้หมดฤทธิ์หมดเดชให้ดื่มน้ำ 1 แก้วใหญ่ เล่นเอางงว่ามีด้วยหรือการออกฤทธิ์แบบนี้ ..ไม่มีทะเบียนยาเช่นกัน ที่ผมนำมาถ่ายทอดให้ทราบนี้ ไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมให้ผู้อ่านวิ่งไปซื้อมาใช้นะครับ เพราะดูจากข้อมูลที่เล่ามานี้ นักคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเราน่าจะรู้ได้ว่ามันมีความเสี่ยงต่ออันตรายมากเพียงใด ก็หวังให้พวกเรามาช่วยกันเฝ้าระวังและเตือนเพื่อนฝูงที่รู้จักให้มีสติกันด้วยนะครับ ส่วนพวกผมก็คงต้องตามตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 131 สมุนไพรหมื่นแปดหายทุกโรค!

  หากมีคนมาขายยาสมุนไพร ชุดละ 18,000 บาทต่อเดือน โดยโฆษณาว่ารักษาหายได้ทุกโรค ท่านคิดว่าผู้ป่วย จะซื้อหรือไม่ ? น้องเภสัชกรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดลำปางแจ้งข้อมูลให้ผมทราบว่า มีบุคคลอ้างว่าตนเป็นหมอสมุนไพร จบจากเมืองนอก มาจัดการโฆษณาขายยาสมุนไพรที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง โดยในการจัดกิจกรรมนั้นได้เชิญชวนให้ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ซื้อยาสมุนไพรที่อ้างว่ารับประทานแล้วหายได้ทุกโรคนำไปใช้รับประทาน สมุนไพรที่ว่านี้ราคาสูงถึงชุดละ 18,000 บาท (มีทั้งแบบซองสำหรับชงและแบบแท่งสำหรับต้มดื่ม) ผู้บริโภครายหนึ่งที่ได้เข้าไปฟังการโฆษณาจึงหลงเชื่อ ซื้อกลับมา 1 ชุดเพื่อให้ญาติของตนที่ป่วยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ ลองใช้รักษาอาการป่วย หลังจากนั้นไม่นาน ทางโรงพยาบาลก็ได้รับตัวผู้ป่วยชาย อายุ 58 ปี ซึ่งป่วยเป็นเนื้องอกร้ายของมะเร็งท่อน้ำดีในตับ กลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่คราวนี้ ผู้ป่วยกลับมาด้วยอาการปวดขาข้างขวามาก เมื่อแพทย์ตรวจแล้วจึงพบว่าเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันที่ขา เภสัชกรที่โรงพยาบาลได้ไปซักประวัติผู้ป่วยเพิ่มเติม ได้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีพฤติกรรมการบริโภคอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมเลย นอกจากกินยาสมุนไพร 18,000 บาทที่โฆษณาว่าหายทุกโรคนี่แหละ เมื่อขอยาสมุนไพรที่ผู้ป่วยรับประทานทั้ง 2 แบบมาดู ก็พบว่า ยาสมุนไพรทั้ง 2 แบบนี้ มีการโฆษณาที่ผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น ยาดองเหล้าสมุนไพรแอนนี่ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนยาแต่กลับโฆษณาสรรพคุณมากมาย ส่วนยาสมุนไพรแอนนี่ แม้ไม่ได้ระบุสรรพคุณยาบนฉลาก แต่ก็เป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเช่นกัน หากแสดงเลขที่ใบอนุญาตตั้งคลินิกที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะไม่สามารถมาเร่ขายยาตามโรงแรมได้ เพราะเขาอนุญาตให้จ่ายเฉพาะผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกเท่านั้น ล่าสุดทราบว่า เภสัชกรได้แจ้งข้อมูลไปให้ ทั้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางและจังหวัดอุบลราชธานีทราบ เพื่อช่วยกันติดตามดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว หากใครเจอการเร่จัดมหกรรมโฆษณาขายยาที่ไม่ถูกต้องแบบนี้ อย่าหลงเชื่อนะครับ อาจจะเสียทั้งเงินและได้รับอันตรายได้ ช่วยๆ กันเตือนเพื่อนฝูงและแจ้งข้อมูลให้หน่วยราชการทราบด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันจัดการให้ยาหายทุกโรคแบบนี้ หายไปจากการหลอกลวงซะที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 โฆษณาเจ้าปัญหา..ใครควรจะถลามาจัดการ?

  ประมาณต้นเดือน มิถุนายน 2554 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจพบ เอกสารเผยแพร่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทเพรสซิเด็นท์ แกรน พรอดักซ์  จำนวน 3 รายการ ที่โฆษณาในลักษณะอวดอ้างสรรพคุณเป็นยา ได้แก่ VC-1 , ธัญพืชสกัด PG&P และ Nature Plants ชีวจิตไฮเทคพร้อมดื่ม จึงได้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาติดตามตรวจสอบ (คงคาดหวังให้ตรวจสอบที่แหล่งต้นตอไปเลย) จนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เจ้าหน้าที่สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ความว่า บริษัทยอมรับว่าเคยจัดทำเอกสารดังกล่าวจริง เมื่อปี 2550 โดยไม่ได้ขออนุญาตแต่อย่างใด และได้กระจายเอกสารนี้ไปยังสมาชิกอิสระ ดังนั้นการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ตรวจพบนั้น สมาชิกอิสระอาจนำเอกสารโฆษณาดังกล่าวมาเผยแพร่เอง  นอกจากนี้บริษัทยังได้เคยแจ้งข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาอาหารให้สมาชิกทราบ ในอดีตเมื่อ ปี 2552 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้เคยพิจารณาการกระทำดังกล่าวของบริษัทว่า มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร 2522 ใน 2 ประเด็น คือ ฐานโฆษณาอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมาตรา 41 โทษตามมาตรา 71 (โทษปรับอายุความ 1 ปี) และฐานโฆษณาอาหารโดยหลอกลวงให้หลงเชื่อโดยไม่สมควร ฝ่าฝืนมาตรา 40 โทษตามมาตรา 72 (โทษจำ) และได้พิจารณา แจ้งระงับโฆษณาดังกล่าวไปแล้ว (ผิดขนาดนี้ ...ใจดีเกินไปหรือเปล่า?) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แจ้งว่าไม่พบข้อมูลการเผยแพร่แผ่นพับโฆษณาดังกล่าวแล้ว จึงได้แจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจสอบเพื่อดำเนินงานตามกฎหมายต่อไป ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะมีข้อสรุปของผลการดำเนินงานอย่างไร ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ คงต้องช่วยตัวเองก่อน  ถ้าเจอการกระทำผิดชัดเจนว่ามีใครโฆษณาแบบนี้ ขอให้รีบแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดดำเนินการไปเลย อาจจะได้ผลรวดเร็วทันใจ “เอาอยู่” กว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ปรารถนาดีหรือจะมีค้าแฝง

  “บางครั้งมันก็ยากที่จะบอกว่ามันคือการปรารถนาดีหรือมีการค้าแฝง” วันหนึ่ง กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคของผม ได้รับการติดต่อจากบุคคลรายหนึ่ง แจ้งความประสงค์ว่าต้องการนำยามาเผยแพร่ให้กับผู้ป่วยฟรี  โดยบุคคลรายนี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เคยมีผู้ป่วยรับประทานยาเหล่านี้  แล้วอาการเจ็บป่วยหาย  จึงมีความปรารถนาดีที่จะเผยแพร่ยาเหล่านี้กับผู้ป่วยอื่นๆ ในจังหวัด โดยการเปิดบริการผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า เมื่อพิจารณาจากฉลากยาทั้ง 2 ชนิดนี้ พบว่าทั้ง 2 ชนิดเป็นยาแผนโบราณ มีเลขทะเบียนยาแผนโบราณแสดงบนฉลากชัดเจน  มีเอกสารแผ่นพับระบุสถานที่ผลิต และข้อความ “แด่ผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ...กลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง ภูมิต้านทานร่างกายผิดปกติ โรคเกิดจากความเสื่อม ฯลฯ” แต่เมื่อได้อ่านรายละเอียดวิธีใช้ข้างกล่อง ผมก็ต้องสะดุดตากับข้อความแปลกๆ “วิธีใช้ รับประทานก่อนอาหาร ก่อนยาจากโรงพยาบาล 1 ชั่วโมง” (ซึ่งผมมั่นใจว่าทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คงไม่อนุญาตให้ใช้ข้อความแปลกๆ ทำนองนี้) จากการติดตามตรวจสอบทะเบียนยาจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาปรากฏว่า ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องแล้ว แต่ไม่ได้อนุญาตให้ระบุข้อความแบบนี้ อย่างที่สงสัย แต่สิ่งที่ผมอยากชี้แจงเพิ่มเติมแก่ผู้อ่านคือ แม้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้จะได้รับอนุญาตแล้ว แต่การที่ใครจะมาเผยแพร่หรือรักษาผู้ป่วยโดยใช้ยาเหล่านี้แจกฟรีๆ นั้น ตามกฎหมายไม่ได้อนุญาตนะครับ และที่กฎหมายไม่อนุญาตนั้น ไม่ใช่จะไปกีดกันอะไรหรอก  เจตนาก็เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเองครับ ยาเป็นสินค้าที่แม้จะมีคุณประโยชน์ในการรักษาโรค แต่ถ้าใช้อย่างไม่เหมาะสมไม่ระมัดระวัง อาจจะทำให้ผู้ที่รับประทานเกิดอันตรายได้ ดังนั้นการจะใช้ยาชนิดใดก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องมีกฎเกณฑ์กติกา เช่น ต้องจำหน่ายในร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น (ยกเว้นยาสามัญประจำบ้านที่อนุญาตให้ขายในร้านค้าอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต) ห้ามเร่ขายยาตามสถานที่ต่างๆ  นอกจากนี้ การที่ใครจะมาเปิดรักษาโรค แม้จะบริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่าย ก็ต้องแจ้งขออนุญาตให้ถูกต้อง เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้เข้ามาช่วยดูแลความปลอดภัยร่วมกัน ทราบอย่างนี้ก็ช่วยกันแนะนำต่อๆ กันด้วยนะครับ เพราะบางทีเราก็อธิบายได้ยาก ว่าเรื่องแบบนี้เกิดจากเจตนาดีหรือมีการค้าแอบแฝงกันนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 สอดสะท้านโลกา

  “ไม่รู้ว่ามันคือยาหรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ วิธีใช้ มันให้สอดครับ ไม่ใช่สอดใต้หมอน หรือสอดใต้ผ้าห่มนะครับ มันให้สอดที่ตรงนั้นของผู้หญิงต่างหาก” ผู้ขายอ้างว่า วัตถุสีดำก้อนเล็กๆ นี้เป็นยาสมุนไพรไทยที่ทำขึ้นมา เพื่อช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงในระยะเบื้องต้น เช่น ตกขาวมีกลิ่นและผิดปกติ เชื้อราในช่องคลอด มดลูกอักเสบ อาการคันต่างๆ และยังช่วยลดกลิ่นอับบริเวณจุดซ่อนเร้น ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด แก้อาการตกขาวผิดปกติ ตกขาวเยอะคัน มีสีเขียวเหลือง และที่สำคัญทำให้มดลูกกระชับแน่น  ไม่ต้องเสียเงินไปทำรีแพร์ เห็นผลได้หลังจากที่ใช้รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง เพิ่มความฟิตกระชับช่องคลอด แก้ตกขาว ไม่เหม็น ไม่อับ มั่นใจดุจวัยสาวแรกแย้ม (ยาเทวดาหรือไงนี่ ?)  นอกจากนี้ยังโฆษณาอวดอ้างอีกว่า ยานี้ใช้ป้องกันการติดเชื้อจากคุณผู้ชายด้วย ใช้ได้ทั้งสุภาพสตรีและสาวประเภทสอง ที่สำคัญความรู้สึกของสามีจะดีขึ้น 100% เหมือนได้กลับมารักกันใหม่ๆ อีกครั้ง และที่มันถึงกับทำให้สะท้านโลกาก็เพราะ มันเล่นบรรยาย เกี่ยวกับสรรพคุณระหว่างคุณผู้หญิงขณะมีความสุขกับคุณสามีแบบสยิวกิ้วไม่บันยะบันยัง แบบถ้าคนที่หลงเชื่อคงระทวย และวิ่งไปคว้ามาสอดทันที  เจ้าวัตถุสีดำนี้ขายเป็นตลับ ตลับละ10 เม็ด (ราคา 150 บาทพร้อมส่ง) ตลับต่อไป100 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยสั่งซื้อแล้ว ตลับแรก 125 บาทพร้อมส่งตลับต่อไป 100 บาท นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีก เช่น เจลสลายไขมัน, สบู่สลายไขมัน , แป้งJT , แป้งสมุนไพรทารักแท้ ระงับกลิ่นและเหงื่อใต้รักแร้ การสั่งซื้อไม่ยากเลย เพียงแค่สั่งทาง SMS แล้วโอนเงินผ่านธนาคารได้ทันที ผมดูส่วนประกอบที่อ้างว่าเป็นส่วนสำคัญในตัวยา ว่ามีว่านชักมดลูก เปลือกทับทิม ต้นธูปดำ ขมิ้นอ้อย ดูแล้วเจ้าสมุนไพร 4 ชนิดนี้คงไม่สามารถทำให้เกิดสรรพคุณสะท้านโลกาแน่นอน แต่ที่แน่ๆ ราคามันสะท้านกระเป๋าแน่นอน ยังไงก็ขอเตือนมายังผู้อ่านทั้งหลาย อย่าหลงเชื่อนะครับ ร่างกายของเรา มีเราเป็นเจ้าของ อย่าให้วัตถุสะท้านโลกาที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนใดๆ มาอวดอ้างสรรพคุณและฉวยเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของเราเลยครับ เดี๋ยวจะบาดเจ็บทั้งกายและใจเปล่าๆ ส่วนผมขอไปนำสืบเพื่อดำเนินคดีให้สะท้านโลกาดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 127 พริตตี้สามัญประจำบ้าน

  “เนื่องจากทำงานในแวดวงบันเทิง ...จึงมักได้ยินคนที่อยู่ในวงการบันเทิงหลายต่อหลายคน พูดถึง L-Carnitine Tartrate กันมาก จึงทำให้ตัดสินใจลองทานไปได้ 1 เดือนครึ่ง ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือ ช่วงเอวเล็กลงอย่างสัมผัสได้ แล้วน้ำหนักก็ลดลงถึง 3 กิโลค่ะ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกประทับใจผลิตภัณฑ์...มากเลยค่ะ”   “ด้วยหน้าที่การงานที่เป็นพยาบาลมันก็หนักอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังต้องเรียนต่อ ป.โท อีก ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน จนได้มารู้จักกับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพท่านหนึ่ง ท่านแนะนำ Rice Bean Oil  ให้ดิฉันลองทานเพียงไม่กี่อาทิตย์ ดิฉันก็ไม่รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนแต่ก่อน ...”   “ดิฉันคลุกคลีอยู่ในวงการอาหารเสริมมากว่า 20 ปีแล้วค่ะ แต่พอได้มารู้จักกับผลิตภัณฑ์... และได้ทาน Marine Collagen 1,000 mg. ภายใน 2 เดือน ริ้วรอยที่กังวลใจก็ดูตื้นขึ้นอย่างรู้สึกได้ ทำให้ดิฉันตัดสินใจเป็นตัวแทนจำหน่ายรายแรกๆ .. ซึ่งผลตอบรับดีมากๆ ค่ะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาซื้อซ้ำ จนทำให้ดิฉันมีรายได้เกินหกหลักต่อเดือนแล้วค่ะ ...”   “...ด้วยหน้าที่การงานที่อยู่ในวงการยาและอาหารเสริม รู้มาว่าผลิตภัณฑ์(...) จะใช้แต่วัตถุดิบเกรดที่ดีที่สุดเท่านั้น และที่สำคัญต้องปลอดภัยต่อร่างกายด้วย ดิฉันจึงมั่นใจลองทาน L-Carnitine Tartrate 550 mg. ตัวแรก ผลออกมาไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ ...”   “โปรดระวัง แอล-คานิทีน ปลอม : ที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งสามารถส่งผลอันตรายถึงชีวิต”   เชื่อว่าผู้บริโภคในยุคปัจจุบันหลายคนที่เอาใจใส่สุขภาพ เมื่อมาได้ฟังคำพูดจากพริตตี้สามัญประจำบ้านทั้ง 4 คนนี้ คงมีไม่น้อยที่อดเคลิบเคลิ้มไปทีเดียว ดูเทคนิคที่แฝงมาในคำพูดเหล่านี้ซิครับ  รายแรกจับเอาความรู้สึกที่อยากสวยงามแบบดารามาเป็นจุดโน้มน้าว  รายที่สองเริ่มใช้บุคลากรการแพทย์ ทั้งพยาบาลและแพทย์ (ซึ่งไม่รู้ว่าตัวจริงหรือเปล่า) มาโน้มน้าวเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้เห็นประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นี้ ส่วนรายที่สามนอกจากจะโน้มน้าวให้ซื้อแล้ว ยังเอารายได้มาล่อใจให้เป็นตัวแทนขายอีกด้วย พระเจ้า! รายได้เกินหกหลักต่อเดือนใครไม่หวั่นไหวใจอ่อนก็ให้มันรู้ไป แต่ที่เด็ดสะระตี่คือรายสุดท้าย เล่นนำเสนอในนามของบุคลากรในวงการยา (ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม) มากระหน่ำตอกย้ำทั้งคุณภาพวัตถุดิบ ความปลอดภัย และผลในการรักษา แบบปิดฝาโลงการบริโภคกันเลยทีเดียว ส่วนคำเตือนท้ายสุด ก็เล่นกับลูกเล่นเดิมๆ คือ รับรองว่าผลิตภัณฑ์ตัวเองได้รับ อย.แล้ว ให้ระวังของปลอม ก็เล่นมาจนเฝือแต่ก็เชื่อว่าได้ผลกับหลายๆ คน  พวกผมตามตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล่านี้มานับสิบๆ ปี ก็ไม่พ้นเทคนิคเหล่านี้แหละครับ แต่ที่ผู้จำหน่ายไม่เคยบอกคือ ไอ้ที่โฆษณาแบบนี้ มันก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น เพราะขึ้นทะเบียนยาแต่ดันมาอ้างสรรพคุณเป็นอาหาร และถึงแม้จะเป็นอาหารก็ไม่สามารถโฆษณาได้โอเวอร์ขนาดนี้ ยังไงผู้บริโภคทั้งหลายตั้งสติกันหน่อยนะครับ  อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคอาจจะไม่ค่อยทราบคือ การประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้ง แพทย์ เภสัชกร พยาบาล ทันตแพทย์ สภาวิชาชีพเขาไม่อนุญาตให้มาโฆษณาเพื่อการค้านะครับ แล้วยิ่งการันตีแบบผิดกฎหมายแบบนี้ ถ้าเป็นตัวจริง จะถือว่ามีความผิดด้านจรรยาบรรณด้วยนะครับ มีบทลงโทษด้วย ยังไงถ้าเจอแจ้งสภาวิชาชีพได้เลยครับ ส่วนผมขอตัวไปตรวจสอบวิชาชีพผมด้วย ว่าตัวจริงหรือปลอมกันแน่  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 สเตียรอยด์ในยาสมุนไพร “เยอะ”

  ในระหว่างปี 2548 – 2552 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ได้ตรวจวิเคราะห์ยาแผนโบราณ เพื่อเฝ้าระวังการปลอมปนสารสเตียรอยด์ พบว่ายาแผนโบราณจำนวน 626 ตัวอย่าง มีสเตียรอยด์ปลอมปนอยู่ถึง 136 ตัวอย่าง และเมื่อได้นำยาที่เหลือมากพอมาทดสอบหา “ปริมาณ” สารสเตียรอยด์ที่ปลอมปน ปรากฏว่าพบข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนอยู่นั้น มีปริมาณที่ค่อนข้างสูงมาก จนอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่น่าทึ่งคือ บางชนิดแม้เป็นยี่ห้อเดียวกัน แต่กลับพบปริมาณสารสเตียรอยด์ปนอยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากันหรือพบการผสมสเตียรอยด์ต่างชนิดกัน  ดังข้อมูลในตัวอย่างต่อไปนี้   ยาผงสีน้ำตาลเหลือง ไม่ระบุชื่อ  จำนวน 3 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone (สารสเตียรอยด์) ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ 1 เม็ดครึ่ง ถึง 5 เม็ด และบางตัวอย่างยังพบ สเตียรอยด์ผสมถึง 2 ชนิด  คือผสมทั้ง Dexamethasone และ Prednisolone  ดังนั้นหากคิดง่ายๆ ว่า รับประทานยานี้วันละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 มื้อ เราจะมีโอกาสได้รับ Dexamethasone  ถึง 15 เม็ดต่อวัน   ยาผงสีน้ำตาล ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรไทย” จำนวน 8 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone  ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ ครึ่งเม็ด ถึง  3 เม็ด บางตัวอย่างยังพบว่ามี Prednisolone ผสมอยู่ด้วย โดยพบในปริมาณเทียบเท่ากับยาเม็ด  Prednisolone จำนวนครึ่งเม็ด  และบางตัวอย่างพบการผสมสเตียรอยด์ร่วมกันทั้ง  2 ชนิด   ยาเม็ดสีน้ำตาลแดง ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรตามแนวทางโครงการพระราชดำริ” ซึ่งฉลากระบุ ให้รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหาร ตรวจพบว่ายาชนิดนี้ 1 เม็ด มีปริมาณ Prednisolone ผสมอยู่ เทียบเท่ากับยาเม็ด Prednisolone 4 เม็ด   ดังนั้นหากเรารับประทานยานี้หลังอาหาร 3 มื้อ จะมีโอกาสได้รับ Prednisolone ถึง 12 เม็ดต่อวัน ยาจากสมุนไพร ฉลากระบุชื่อ “ยากษัยเส้นตราเทียนทองคู่” ระบุ รับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ตรวจพบว่า ในยา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณ Dexamethasone  ผสมอยู่ เทียบเท่ายาเม็ด จำนวนครึ่งเม็ด ถึง 1 เม็ด และหากรับประทานวันละ 3 ครั้งตามที่ระบุบนฉลาก  เราจะได้รับ Dexamethasone ถึง 6 เม็ดต่อวัน (ยา Dexamethasone ชนิดเม็ดเท่ากับ 0.5 mg , ยา Prednisoloneชนิดเม็ดเท่ากับ 5 mg) จากการสอบถามผู้บริโภค ส่วนใหญ่ผู้ที่บริโภคยาเหล่านี้ มักจะรับประทานยาดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน หมายความว่า ร่างกายจะได้รับสารสเตียรอยด์ติดต่อกันในปริมาณสูงจนอาจเป็นอันตรายได้  ขอแนะนำว่าหากเราเจอยาแผนโบราณ ที่ไม่มีทะเบียนยา ไม่มีรายละเอียดบนฉลาก หรือเป็นยาที่รับประทานแล้วอาการป่วยหายอย่างรวดเร็วจนผิดสังเกต ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบโดยด่วน เพื่อป้องกันอันตรายนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 125 ไปรษณีย์ไม่ต้องมีขายก็ได้นะ

  ผมได้รับแผ่นพับโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพอีกแล้ว เปิดดูก็ไม่ต่างจากที่เคยได้รับจากผู้บริโภคที่เคยมาแจ้งข่าว เพราะในแผ่นพับมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเลขสารบบอาหาร (เครื่องหมาย อย) ซึ่งแสดงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้คืออาหาร แต่ลองดูข้อความสรรพคุณที่โฆษณาซิครับ ผิดกฎหมายชัดเจน เพราะแสดงสรรพคุณเป็นยา เพราะระบุว่า บำบัด บรรเทา รักษาโรคทั้งนั้น  สนนารายณ์ (นามสมมุติ) บรรเทาอาการปวดหลัง เอว ข้อเข่า เก๊า ชาตามมือ-เท้า เบาหวาน .. ขจัดไขมันที่อุดตันตามเส้นเลือด แถมยังระบุคุณสมบัติพิเศษให้ตะลึงอีกว่า “ท่านจะสังเกตได้ว่าอารมณ์ทางเพศของท่านมีความสมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้น เพิ่มปริมาณน้ำเชื้อมากขึ้นหลังจากรับประทานติดต่อกัน 7-15 วัน...รู้สึกดีขึ้นด้วยตัวท่านเอง” (เฮ้อ! อ่านไปขนลุกไป) “ไม่มีส่วนผสมของกวาวเครือแดงและสารสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย”  เท็จนางพญา (นามสมมุติ) บรรเทาอาการปวดหลัง เอว ข้อเข่า เก๊า ชาตามมือ-เท้า เบาหวาน .. ขจัดไขมันที่อุดตันตามเส้นเลือด แถมยังระบุคุณสมบัติพิเศษให้ตะลึงอีกว่า “รับประทานติดต่อกัน 7-15 วันผ่านไป จะสังเกตว่าหน้าอกที่เคยหย่อนยาน จะรู้สึกว่าหน้าอกกระชับเต่งตึงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ช่องคลอดฟิตกระชับขึ้น ไม่ต้องทำรีแพร์ ...ท่านจะรู้สึกได้ด้วยตัวท่านเอง” (อะไรจะมหัศจรรย์ศัลยกรรมได้ขนาดนั้น) มีข้อความยืนยันคล้ายๆ ผลิตภัณฑ์แรก “ไม่มีส่วนผสมของกวาวเครือขาวและสารสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย”  นารีงามละหน (นามสมมุติ) สกัดไขมันส่วนเกินไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ละลายไขมันส่วนเกินที่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน ให้กระชับและเต่งตึง ลดเส้นเลือดขอด ...ไม่เหี่ยวย่นหลังการลด ไม่ต้องอดอาหาร เห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ แถมมีคำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับสุภาพสตรีว่า สำหรับผู้ผ่านการมีบุตรแล้ว ขอแนะนำให้รับประทานคู่กับเท็จนางพญา จะช่วยให้หุ่นดี หน้าอกสวยกระชับเต่งตึง ....เห็นผลชัดเจนภายใน 30 วัน ส่วนคุณสุภาพบุรุษ ก็อย่าน้อยใจไปครับ เพราะเขามีคำแนะนำให้เช่นกัน “สำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ขอแนะนำให้รับประทานคู่กับ สนนารายณ์ (นามสมมุติ) เพื่อปรับความสมดุลและเพิ่มความกระฉับกระเฉง”   ที่น่าทึ่งคือ นอกจากในเอกสารจะแจ้งชื่อติดต่อแล้ว ยังระบุสถานที่จำหน่าย “ ณ ที่ทำการไปรษณีย์.........” เอาละซิครับ ไปรษณีย์ไทย ไหงเป็นแบบนี้ล่ะครับ ไหนๆ ก็จะทำ CSR ร่วมรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ช่วยตรวจสอบหน่อยนะครับว่าเป็นเหยื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกฎหมายมาแฝงจำหน่ายหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจ เวลาพนักงานไปส่งจดหมายที่สำนักงานสาธารณสุข ให้แวะไปสอบถามข้อมูลได้นะครับ  ส่วนผู้อ่านถ้าพบเห็น เช่นเคยนะครับ แจ้ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ทันที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 124 ไม่หายจริงตามมายิงทิ้งได้ทันที

  “ขอส่งยามาตรวจได้มั้ย ? ยาอะไรไม่รู้มีรถวิ่งมาขายให้ผู้ป่วย ตอนนี้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือด หูตาลายแล้ว”  ผมได้รับข้อมูลคร่าวๆ ทางโทรศัพท์ จากน้องเภสัชกรโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด หลังจากนั้นไม่กี่วันตัวอย่างยาดังกล่าวก็ถูกส่งมาถึงที่แผนกของผมทันที ยาขวดแรกชื่อ “สมุนไพรแท้อุดมเกียรติ จิรโรจนศักดิ์” แค่อ่านสรรพคุณก็น่าทึ่ง เพราะระบุสรรพคุณ บรรเทาได้เพียง 90% ไม่โกหก ปวดสันหลัง ยอก (ใช้ได้ตามแต่นึกได้) บำรุงหัวใจ ผื่น บวม ปวดกล้ามเนื้อ ปวดฟัน หูอื้อ แพ้สาร แผลสดเปื่อย ทาท้อง ผสมน้ำกิน ผสมน้ำขัดหน้า ไร้สารเคมี (ระวังของปลอม) อย่าทาใกล้ตา เข้าตาลืมตาในน้ำ ไม่ต้องพบแพทย์  ไม่มีสารเคมี ส่วนผสม ไพรม่วง 3% พิมเสนแท้ 2% ชะเอมเถา 5% ไม้สักทอง 5% ระบุผู้ปรุง ชื่อแพทย์แผนไทย.... บภ.บว. และสถานที่อยู่ใน ต.ท่าคอย เพชรบุรี  แต่ที่เด็ดสะระตี่คือข้อความ “หมอพิกิตติ์รับรองหาย 100% ไม่หายจริงตามมายิงทิ้งได้ทันที” ริดสีดวงทวาร+จมูก+ไซนัส แบบถอนรากถอนโคน ไม่งอกอีก 499 บ. ตจว.รับทาง ปณ.ใกล้บ้าน ขวดเดียวส่งถึงที่  รวมทั้งแสดงเลขที่ในเครื่องหมาย อย. สธ.06-1-43846-2-2550 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขรับรองวิเคราะห์ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย เลขทดสอบ 4050012009 ลง 12 ก.ย. 50 ใบอนุญาตที่ บ.ภ.เลขทะเบียนยาแผนโบราณที่ G.15314  ผมดูแล้วทึ่งในนวัตกรรมการแสดงฉลากสุดๆ เลยครับ เพราะแสดงเลขในเครื่องหมาย อย.ให้คล้ายเลขสารบบอาหาร(เลข 13 หลัก) ทั้งๆ ที่ตัวเองพยายามจะเป็นยารักษาโรค   ขวดต่อมาคือ สมุนไพรแพทย์ธนากร บ.ว.บ.ว. มีใบอนุญาตควบคุมการประกอบโรคศิลปะ บ.ภ.บ.ว.  ทะเบียนยาแผนโบราณ เลขที่ G.15314/41 บ.ภ. วิธีใช้ หยดใส่ตาข้างละ 1-2 หยด เว้น 5 วัน อย่าหยดทุกวัน ตาจะแดง ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่(ทานได้ ไร้สารเคมี) ใช้สำลีชุบ ระบุสรรพคุณ บรรเทาโรคตาต้อ ตาแดง อักเสบ ฝุ่นผงเข้าตา ส่วนประกอบ ใน 1 ขวด เถาตำลึง 20% ใบทองหลาง 20% หญ้างวงช้างทั้ง5 20% พิมเสนแท้ 10% น้ำฝนเดือน 5 30% และอื่นๆ 5% โดยวิธีพาสเจอร์ไรส์ทุกขั้นตอน ระบุผู้ผลิต แพทย์....... บ.ภ.บ.ว.และนักศึกษาแพทย์แผนไทย สถานที่อยู่ใน ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี 76130 (สถานที่เดียวกับชนิดแรก แต่ชื่อแพทย์คนละชื่อ) เรื่องนี้ผมได้แจ้งไปยัง จังหวัดเพชรบุรีและประชาสัมพันธ์ไปทั่วประเทศเพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้วครับ ยังไงถ้าใครเจอรถเร่วิ่งจำหน่ายยาเหล่านี้ ขอให้รีบแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้เลย เพราะผมกลัวว่าหากผู้ป่วยไม่หาย จะยิ่งพากันไปตามยิงผู้ผลิตทิ้งน่ะครับ สงสารจริงๆ ติดคุก ถูกปรับ ยังดีว่าถูกยิงนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 123 ก่อนรับยาต้องกล้าถาม

  ผู้ป่วยรายหนึ่งไม่สบาย มีอาการไข้ เจ็บคอ จึงไปซื้อยาจากร้านขายยาแห่งหนึ่ง หลังจากรับประทานแล้วปรากฏว่าไข้ยังรุมๆ อยู่ แต่ตามตัวกลับมีผื่นแดงขึ้นเล็กน้อย ด้วยเข้าใจว่ายาที่ได้รับมาไม่ถูกกับโรคจึงได้เปลี่ยนไปซื้อยาจากขายยาอีกร้านหนึ่ง ปรากฏว่าครั้งนี้นอกจากไข้ไม่ลดแล้ว อาการผื่นกลับลุกลามมากขึ้นไปอีก ผิวหนังลอกออกเป็นบริเวณมาก ญาติจึงนำส่งโรงพยาบาลโดยใช้ใบตองรองตามตัวเพื่อไม่ให้เนื้อติดเสื้อผ้า  เหตุการณ์จริงข้างต้นนี้ เป็นอาการแพ้ยาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาการแพ้ยาซ้ำในครั้งที่สองจะยิ่งรุนแรงมากกว่าครั้งแรก ผู้ป่วยรายนี้จะไม่ได้รับอันตรายรุนแรงเลย ถ้าเขามีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาการแพ้ยาและกลับไปถามชื่อยาที่ร้านขายยาร้านแรก เพราะเขาจะสามารถบอกให้ผู้ขายยาในร้านที่สองทราบได้ว่าตนแพ้ยาอะไร   ถึงเวลาหรือยังที่ “ก่อนรับยาต้องกล้าถาม”   จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังใช้ยาโดยไม่รู้จักชื่อจริงๆ ของยา (ที่เรียกว่า “ ชื่อสามัญของยา ”) แต่กลับไปรู้จักแต่ “ ชื่อการค้า ” (หรือชื่อยี่ห้อ) ที่บริษัทพยายามให้เราติดหูติดตา ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ใช้ยาซ้ำๆ กันโดยไม่รู้ตัวจนอาจได้รับยาเกินขนาด หรือเกิดการแพ้ยาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองแพ้ยาอะไร ก่อให้เกิดอันตรายจนอาจเสียชีวิตได้ ปัจจุบันธุรกิจยาเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง ดังนั้นบริษัทยา จึงพยายามทำให้ประชาชนติดกับชื่อการค้าของยามากขึ้น โดยเฉพาะยาจากต่างประเทศ (หรือที่บางคนเรียกว่า “ยาฝรั่ง”) ทำให้เราหลงใช้ยาที่แพง ทั้งๆ ที่มียาตัวเดียวกันที่คุณภาพเท่ากัน แต่ราคาถูกกว่ามาก  ดังนั้นแทนที่ผู้บริโภคอย่างเราจะยอมให้ตัวเองเสี่ยงไปเรื่อยๆ ขอให้พวกเราตั้งสติให้ดี ด้วยคาถาป้องกันตัวคือ “ ก่อนรับยาต้องกล้าถาม ”  ถาม..ถาม..ถาม...ง่ายๆ 4 – 5 ข้อ ดังนี้  1. ชื่อสามัญของยานี้คืออะไร?2. ยานี้มีสรรพคุณอย่างไร?3. ยานี้ใช้อย่างไร?4. ยานี้ต้องระวังอย่างไร? (หมายถึงคำเตือน ข้อห้าม ข้อควรระวังต่างๆ)และที่สำคัญอย่าลืมถามข้อที่ 5  หากรับยาจากร้านขายยาแผนปัจจุบันให้ถาม ข้อที่ 5 ด้วยว่า “ เภสัชกรอยู่มั้ย? ” เพราะถือเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของเภสัชกรประจำร้านขายยาแผนปัจจุบัน ที่จะต้องอยู่ทำหน้าที่ของตนในการส่งมอบยาอย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย  (กฎหมายกำหนดว่าร้านขายยาปัจจุบันทุกแห่ง ต้องมีเภสัชกรประจำตลอดเวลาที่เปิดจำหน่ายยา หากไม่พบ ขอให้แจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสภาเภสัชกรรม)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 122 จะขายก็หลอก ยังมาบอกให้เจาะเลือด

  เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผมได้รับแจ้งข่าวจาก ภก.สันติ โฉมยงค์ รุ่นน้องที่ปฏิบัติงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมบุคคลที่มาเจาะเลือด และหลอกขายอาหารเสริมจนชาวบ้านหมดเงินไปหลายหมื่น ได้สำเร็จ แว่วมาว่าจากการหลอกขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนานเกือบปี รายได้เกือบล้านบาท เทคนิคของบุคคลกลุ่มนี้จะเริ่มจากมาออกหน่วยตรวจสุขภาพ โดยจ้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่มาช่วยวัดความดัน ส่วนคนของบริษัทซึ่งแต่งกายคล้ายแพทย์จะเป็นผู้ทำการเจาะเลือด   หรือบางครั้งก็จะมาในลักษณะ “โครงการรักษ์สุขภาพสู่ชุมชน” ไปตามหน่วยงานภาครัฐ เทศบาล อบต. วัด มัสยิด และเวทีประชุมผู้นำชุมชน  โดยหลอกขายอาหารเสริม ด้วยเทคนิคเดิมๆ คือ วัดความดันและตรวจเช็คผลเลือด เคยมีผู้เสียหายบางรายซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย และหลานสาวซึ่งป่วยเป็นทาลัสซีเมีย โดนหลอกจนหมดเงินไปกว่าหนึ่งหมื่นบาท  ผู้กระทำการหลอกลวงกลุ่มนี้ ยังอ้างถึงข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงแรงงาน และสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนตน และเมื่อเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม อาศัยช่องว่างกฎหมายเอาตัวรอดไปได้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกคำให้การไว้เป็นหลักฐาน แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้ เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ   แต่บริษัทก็ยังไม่หยุดการกระทำ พยายามว่าจ้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือญาติเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้มาร่วมขบวนการด้วย แถมยังมีการปรับกลยุทธ์เพิ่มขึ้นไปอีก โดยการเข้าไปติดต่อกับผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ออกหนังสือเชิญบริษัทมาให้บริการตรวจวัดความดันและเช็คผลเลือดฟรีเสียเอง ทำให้ผู้บริหารหน่วยงานหลายแห่งเกิดความอับอายที่เสียรู้บริษัท จึงไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการจับกุม  อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกรรมก็ตามทันซะที สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ประสานงานกับตำรวจ ส่งสายลับไปล่อรับบริการ พบว่าขบวนการหลอกลวงดังกล่าวมีการทำงานเป็นทีม เริ่มตั้งแต่มีการลงทะเบียนผู้มารับบริการ มีเจ้าหน้าที่คอยวัดความดัน 1 คน(บางครั้งจะจ้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาวัดความดันเพื่อให้น่าเชื่อถือ) มีเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวเพื่อรอเจาะเลือด 1 คน มีพนักงานแต่งกายคล้ายแพทย์ 1 คน ทำหน้าที่เจาะเลือด เพื่อนำไฟส่องกล้องจุลทรรศน์ โดยเชื่อมต่อกับเครื่องฉายให้ผู้บริโภคมองเห็นภาพจากกล้องจุลทรรศน์ แล้วพยายามพูดวินิจฉัยโรค ร่วมกับการใช้ stethoscope ฟังปอด และใช้ไฟฉายส่องดูคอในบางครั้ง   โดยชายดังกล่าวอ้างตัวว่า มาจากโรงพยาบาลจุฬา มีพนักงาน 1 คนคอยบันทึกคำวินิจฉัยโรคของชายคนดังกล่าวลงในเอกสารแนะนำอาหารเสริม หลังจากทราบผลเลือดตัวเองแล้ว ผู้บริโภคจะต้องไปเข้ารับฟังข้อมูลอาหารเสริมจากพนักงานขาย ซึ่งตั้งโต๊ะให้บริการอยู่ 2 โต๊ะ (โรคส่วนใหญ่จะเป็นพวก ไขมันสูง น้ำตาลสูง ยูริคสูง และเลือดข้น เลือดหนืด)   หลังการจับกุม พวกมิจฉาชีพกลุ่มนี้ก็ยังพยายามติดต่อผู้ใหญ่จากกระทรวงแรงงาน และสำนักนายกฯ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัว ซึ่ง ภก.สันติ บอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจแอบกระซิบบอกว่า “มันใหญ่มาก” จริงๆ ยังไงก็ช่วยกันสอดส่องดูแลกันนะครับ เพราะภก.สันติแอบเห็นรายชื่อจังหวัดแว้บๆ จากสมุดจด พบว่ากลุ่มคนไม่ดีเหล่านี้ตระเวนหลอกมาหลายจังหวัด ทั้งอุบลราชธานี  ขอนแก่น นครปฐม ฯลฯ   ฝากทุกท่านช่วยกันประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 121 ทำผิดแล้วยังกล้า...อ้างผู้ใหญ่

ภญ.สุภาวดี  เปล่งชัย เภสัชกรคนขยันแห่ง โรงพยาบาลเสลภูมิ ส่งข่าวมาว่า พบผู้ป่วยหลายรายถูกชักจูงให้ซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร อ้างสรรพคุณเกิน ราคาแพงมาบริโภค เธอทราบข่าวครั้งแรกจากคุณครูท่านหนึ่ง  ซึ่งได้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพร  เคี่ยงเซียมเจ็ง (ตราณรงค์  เอ็น.อาร์.) (ขนาดบรรจุ 750 ml ราคา 2,900 บาท) มาให้เธอตรวจสอบและเมื่อเธอลงพื้นที่เพื่อไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยอัมพฤกษ์  ก็พบว่าผู้ป่วยรายนี้ ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ ยาน้ำสมุนไพรโสมคนทั่งเฉ้า (ตราณรงค์  เอ็น.อาร์.) ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ทะเบียนเลขที่ G 70 / 49 (ขนาดบรรจุ 350  ml ราคา 1,400  บาท) โดยซื้อมา 5 ขวด เป็นเงินถึง  4,500   บาท  เพื่อรักษาโรคอัมพฤกษ์  ตามที่มีคนแนะนำ  จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ป่วย ได้ความว่า มีตัวแทนจำหน่ายจากหมู่บ้านหนึ่ง ในเขตอำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ได้นำรถมารับตนไปยังจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อรับฟังการบรรยายสรรพคุณ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งระหว่างการบรรยายยังมีการวินิจฉัยโรค โดยการจับชีพจรผู้เข้าร่วมประชุมรวมทั้งตนเองด้วย  หลังจากนั้นก็ได้แจ้งว่าตนเป็นโรคนิ่ว  และได้จัดส่งยามาให้ทางไปรษณีย์ (ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียว จำนวน 100 เม็ด ราคา  1,500  บาท รับประทานครั้งละ 6 เม็ด หลังอาหาร 3 เวลา) นอกจากนี้ตนยังได้ซื้อผลิตภัณฑ์ โสมคนทั้งเฉ้า  มา 5 ขวด 4,500  บาท มาเช่นเดียวกัน   ล่าสุด ภญ.สุภาวดี  ได้ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยอีกรายซึ่งป่วยเป็นเบาหวาน  ก็พบว่าผู้ป่วยรายนี้ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม (ตราณรงค์ เอ็น.อาร์.) ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ทะเบียนเลขที่ G 369/53 มารับประทาน (ขนาดบรรจุ  750 ml ราคา 2,900 บาท) โดยผู้ป่วยแจ้งว่ารับประทานเพื่อรักษาอาการปวด   ด้วยความที่ ภญ.สุภาวดี  มีวิญญาณคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้ขอตัวอย่างขวดผลิตภัณฑ์ พร้อมเอกสารโฆษณาจากผู้ป่วยมาตรวจสอบ  พบว่าเอกสารที่ผู้ป่วยมอบให้นั้น  แจ้งสรรพคุณว่า รักษาได้ 18  โรค แต่ข้อมูลที่ขอขึ้นทะเบียน และระบุที่ฉลากขวดและกล่อง  ระบุว่า บำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต บำรุงสมอง เท่านั้น (อย่างนี้ก็เกินจริงหรือเปล่า ลองเดาเอาเองนะครับ)   ภญ.สุภาวดี  พบเห็นความผิดปกติจากการโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณ รักษาโรคได้มากมาย  จึงได้นำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั้ง 3  นี้  มาแสดงไว้ในตู้หน้าห้องจ่ายยา  “เพื่อเป็นการแนะนำ ให้ความรู้ที่ถูกต้องทั้งทางวิชาการและทางกฎหมายว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ใดรักษาโรคได้ครอบจักรวาลอย่างนั้น” โดยในตู้ที่เผยแพร่ความรู้ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแสดงร่วมด้วย ( เช่น  ยาชุด  ยาลูกกลอน ยาที่ไม่มีเลขทะเบียนยา  ยาแผนโบราณที่มีสเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆที่อ้างรักษาได้หลายโรค) นอกจากนี้เธอยังได้ทำป้าย แสดงข้อความเตือนผู้บริโภค วางบนตู้  ว่า “อย่าหลงเชื่อ อย่าเสียเงินซื้อ ผลิตภัณฑ์ราคาแพงๆเหล่านี้รักษาโรคครอบจักรวาลไม่ได้” “โรคเหล่านี้ รักษาโดยอาหารเสริมไม่ได้ (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ มะเร็ง อัมพฤกษ์  อัมพาต หลอดเลือดสมอง ปวดเมื่อย)”   หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนโทรศัพท์มาหาเธอ อ้างว่าโทรมาจากบริษัท ขอให้นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทออก และยังมาถ่ายรูปตู้ดังกล่าวด้วย และอีก 2 วันต่อมา บุคคลเดิมได้โทรมาสอบถามว่า เธอได้นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทออกจากตู้หรือยัง  ถ้ายังจะให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทดำเนินการ และถัดมาไม่กี่ชั่วโมง  ก็มีผู้อ้างว่าเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี (อ้างว่าชื่อ สุรชัย เพิ่มสงวนวงศ์ ใช้เบอร์  081-3342877) โทรศัพท์เข้ามาข่มขู่เธอว่า “บริษัท ถูกเธอกลั่นแกล้ง นำผลิตภัณฑ์ของบริษัท มาประจานและได้ปรึกษานิติกรของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว ให้เอาลงเดี๋ยวนี้  บริษัทจะดำเนินคดีกับคุณแล้ว”   แต่ด้วยความเด็ดเดี่ยวของ ภญ.สุภาวดี ซึ่งยืนยันว่าตนได้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค จึงไม่ยอมทำตามคำขู่และมีการประสานงานกับผู้ใหญ่ที่รู้จัก สืบจนได้ว่ามีการแอบอ้างชื่อ นายสุรชัย มาข่มขู่ ซึ่งขณะนี้ได้พยายามรายงานให้ผู้ที่ถูกอ้างชื่อทราบเพื่อจัดการแล้ว นอกจากนี้เครือข่ายเภสัชกรที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคยังได้ไปแจ้งข่าวใน Facebook ของท่านรัฐมนตรีเพื่อให้ดำเนินการกับผู้แอบอ้างด้วย   ท้ายนี้เลยขออนุญาตประชาสัมพันธ์เลยว่า หากผู้อ่านหรือเจ้าหน้าที่ท่านใด ที่ได้ทำหน้าที่เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แล้วโดนข่มขู่เช่นนี้ ขอให้จดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไว้ และไปแจ้งความหรือแจ้งมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อดำเนินการจัดการกับพวกนี้ซะที  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 120 คิดจะรัก...ต้องระวังอย่าสำลักยา

  “ กวาวเครือขาว  บำรุงสมอง  บำรุงประสาท   กวาวเครือแดง บำรุงสมรรถภาพทางเพศท่านชาย ” ข้อความที่น่าสนใจนี้ ไม่ใช่คำพูดของผมนะครับ  แต่เป็นเสียงประกาศจากดีเจท่านหนึ่ง ผ่านทางวิทยุชุมชนแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความน่าเชื่อถือของดีเจ หรือสรรพคุณที่ระบุอย่างนั้น จึงทำให้คุณตา และคุณยายวัยหกสิบกว่า คู่หนึ่ง ถึงกับใจอ่อนยอมโทรศัพท์เข้าไปในรายการเพื่อขอสั่งซื้อยาดังกล่าว  หลังจากนั้น ไม่นานเกินรอ  ยาทั้ง 2 ชนิดก็ถูกส่งมาทางไปรษณีย์ สู่มือของผู้สูงวัยทั้งสอง  เอาละ ! นับแต่นี้ คุณตา คุณยายคู่นี้ คงจะได้บำรุงสมอง  บำรุงประสาท   บำรุงสมรรถภาพทางเพศกันสมอุรา  แต่....หลังจากเริ่มประทานยาไปประมาณ 2 เดือน โรงพยาบาล  ก็ได้มีโอกาสต้อนรับคุณยาย ด้วยอาการ เลือดออกทางช่องคลอด เป็นปริมาณมาก  ทั้งๆ ที่คุณยายท่านหมดประจำเดือนไปแล้วเมื่อ 29 ปีที่แล้ว หรือท่านจะย้อนยุคกลัวมาเป็นสาวรุ่น ?  ภญ.ติ๊ก เภสัชกรสาวสวย ของโรงพยาบาลนี้ เล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมว่า  คุณยาย ท่านรับประทานยา " กวาวเครือขาว "  ครั้งละ 1 แคปซูล  ก่อนอาหาร  เช้า  เย็น ติดต่อกัน นานถึง 50  วัน  เมื่อยาหมด ท่านก็เลยรับประทาน  " กวาวเครือแดง "  ต่อ โดยรับประทาน วันละ 1  แคปซูล  ก่อนอาหาร เช้า  เย็น   เช่นเดียวกัน  แต่พอรับประทาน กวาวเครือแดง ได้เพียง 2 วัน เท่านั้น ก็เริ่มมีเลือดออกทางช่องคลอดเป็นปริมาณมาก แถมไหลออกไม่หยุดติดต่อกันมาแล้ว 14  วัน  คิดได้ว่า คงไม่ใช่อาการย้อนยุคกลับมาสาวแน่นอน จึงรีบมาโรงพยาบาล หลังจากคุณหมอตรวจภายใน  พบการหนาตัวผิดปกติของผนังมดลูก   จึงได้ให้พักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน  เพื่อทำการรักษาต่อ เภสัชกร ติ๊ก  ตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์กวาวเครือ  ที่คุณยายท่านรับประทาน ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทั้ง ยากวาวเครือขาวและยากวาวเครือแดง   ต่างก็ขึ้นทะเบียนตำรับยา เป็น ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ และมีเลขทะเบียนยาถูกต้อง   (กวาวเครือนั้นมีสาร  Phytoestrogen  ซึ่งมีโครงสร้างคล้าย เอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนในเพศหญิง  ทำให้ผู้บริโภคเกิดผลข้างเคียงที่ตามมา    ขนาดรับประทานของกวาวเครือขาว  ไม่ควรเกิน 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน   หรือประมาณวันละ  50 - 100  มิลลิกรัม   ซึ่งปัจจุบัน อย.กำหนดขนาดรับประทานของกวาวเครือขาวไม่เกิน  100 มิลลิกรัม / วัน) ในโอกาสเทศกาลแห่งความรักที่บานฉ่ำ กระชุ่มกระชวย เรื่องราวของคุณยาย คงจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจ  ในการบริโภคยา เพราะยามีทั้งคุณและโทษ ผู้บริโภคต้องระมัดระวังก่อนเลือกบริโภคยา  โดยต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน แม้ว่ายานั้นจะขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณแล้วก็ตาม (ขอขอบคุณ ภญ.สุภาวดี   เปล่งชัย  รพ.เสลภูมิ ผู้ให้ข้อมูลเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในครั้งนี้)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 119 เจาะเวลาทะลุฟ้า..ดันเจอยาอนาคต

  กฎหมายยากำหนดให้ยาที่ผลิต ต้องแสดงวันผลิต วันหมดอายุ ให้ตรงตามความเป็นจริง ... แต่อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อดันมียาแห่งอนาคต เจาะเวลาทะลุฟ้าหล่นมายังโลกมนุษย์ได้ ประมาณเดือนสิงหาคม 2553 กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ให้ช่วยตรวจสอบยาน้ำสมุนไพรสามัญประจำบ้านแผนโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในพื้นที่ (สมมุติว่าชื่อยาต้นกำลังเสือโครกโครก ตรารูปหมอ......ก็ได้) เหตุที่ชาวบ้านเขาสงสัยก็เพราะเมื่อใครรับประทานเข้าไปแล้ว อาการปวดเมื่อยตามข้อ มันหายเป็นปลิดทิ้ง น้องต้นเภสัชกรหนุ่มรูปหล่อไฟแรง(เหมือนผมสมัย 20 ปีที่แล้ว..ฮา) จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ เลยออกไปเก็บตัวอย่างและนำส่งไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์พิษณุโลก   ผลปรากฏว่าเจ้ายาเสือโครกโครก (นามสมมมุติ) ขวดนั้น มันไม่ใช่เสือนะซิ เพราะดันผ่าไปพบ เดกซาเมธาโซน ซึ่งเป็นสารสเตียรอยด์ ชนิดหนึ่ง (ขอย้ำอีกครั้งกันลืมว่า เจ้าสารสเตียรอยด์นั้นแม้จะเป็นสารที่ทำให้หายปวดข้อได้ชะงัด แต่มันก็มีผลทำลายภูมิต้านทาน หากรับประทานนานๆ ตัวจะบวม กระเพาะทะลุ กระดูกจะพรุน โอ๊ย..จาระไนไม่หมดครับ เพราะโทษมหันต์จริงๆ)  ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ก็เลยทำหนังสือแจ้งทั้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่เป็นสถานที่ผลิต รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และยังได้ทำหนังสือแจ้งให้ทางอำเภอต่างๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์เฝ้าระวังด้วย   แต่เหตุการณ์มันยังไม่จบนะครับ เพราะต่อมาอำเภอตรอนได้แจ้งว่ามีรถเร่ฉายหนังขายยา นำยาดังกล่าวมาขาย(การเร่ขายยาถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายยาครับ) เมื่อไปล่อซื้อยาน้ำแผนโบราณ เพื่อจะส่งตรวจสอบ ปรากฏว่า แม่เจ้า (โว๊ย) ฉลากมันพิสดารข้ามเวลา เพราะเหตุการณ์เกิดประมาณ “เดือนตุลาคม 2553” แต่ฉลากข้างขวดยา ดันระบุ วัน เดือน ปี ที่ผลิต “1 มกราคม 2554” และวันสิ้นอายุ 1 มกราคม 2556 โอโห้แฮะ ผู้ผลิตมันเจาะฟ้าข้ามเวลา มาผลิตยาล่วงหน้าให้โลกอนาคตได้ด้วยเรอะ อย่างนี้มันก็เข้าข่ายยาปลอมนะซิ (เพราะแสดงวัน ที่ ไม่ตรงความเป็นจริง)  นอกจากนี้ ผลการนำกำลังเข้าตรวจสอบ รถบรรทุก 6 ล้อ 2 คัน มียารวมๆ กันแล้วกว่า 150 โหล ซึ่งผู้ขายยืนยันว่าสั่งซื้อมาจากผู้ผลิต ตำรวจจึงลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แต่ท่าทางผู้ขายจะไม่เดือดร้อนเลยแฮะ เพราะบอกว่าจะติดต่อหมอ.......มาเคลียให้ ...โอ้โห คาหนังคาเขาอย่างงี้จะมาเคลียร์อีกเรอะ  ขณะนี้กำลังรอผลวิเคราะห์จาก ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ฯ อยู่นะครับ หากยาที่ผลิตจากโลกอนาคต ดันเจอ สเตียรอยด์ อีกละก็ รับรองโดนดำเนินคดีหลายกระทง ชนิดที่ต้นกำลังเสือโครกโครกจะกลายเป็นแมวหงอยเลยนะซิ ยังไงก็ช่วยกันบอกเล่าต่อๆ กันเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 118 ปลอดภัยปีใหม่ เตือนภัยผู้อ่าน

ช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้อ่านหลายท่านคงได้ของขวัญกันบ้างแล้ว โอกาสนี้เภสัชกรจนๆ อย่างกระผมไม่รู้จะหาอะไรมามอบเป็นของขวัญให้ผู้อ่านได้ทั่วถึง เลยถือโอกาสมอบข้อมูลเตือนภัยแบบรวมมิตร แด่ผู้อ่านทุกท่านเพื่อความปลอดภัย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายครับ กาแฟลดความอ้วนจากจีน ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นกาแฟที่ซัดเซพเนจรมาจากจีน แต่อย่าไปสงสารครับ เพราะมันลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต อย. แถมยังมีข้อความภาษาไทยท้าทายกฎหมาย โดยระบุโต้งๆ บอกว่าเผาไขมัน 26 วัน สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานีพบ จึงส่งตรวจวิเคราะห์เบื้องต้น ปรากฏว่า ผสมซาลบูทามีน ซึ่งเป็นยาอันตราย (ตัวที่เคยเป็นข่าวว่านักเรียน ม.6 จากนนทบุรีเสียชีวิต ภายหลังจากการรับประทานผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนที่ผสมสารตัวนี้มาแล้วไง จำได้หรือเปล่าครับ) แว่วว่ากำลังขายดิบขายดีแถวๆ ตลาดกิมหยงและโรงเกลือ   ยาแผนโบราณแต่ดันแถมสเตียรอยด์ พนักงานโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งยืนทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ได้ซื้อมารับประทานแก้อาการปวดตาม ข้อเข่าและขา โดยรับประทานติดต่อกันมานานแล้ว ระยะหลังๆ เพื่อนร่วมงานชักสังเกตเห็นว่าไฉนเพื่อนเรามีราศีจับแบบแปลกๆ ผิดปกติ คือ หน้าเริ่มบวม และร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อยๆ จึงส่งยามาให้ สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตรวจสอบ ผลพบว่า ยานี้มีเลขทะเบียนยาถูกต้อง แต่ฉลากและบรรจุภัณฑ์กลับไม่ถูกต้อง และเมื่อใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจ กลับพบว่ามีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ข่าวว่ายาดังกล่าวมีขายทางวิทยุชุมชนบางสถานีและขายตรงจากตัวแทนจำหน่าย ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ   สมุนไพรไทย ก็ดันใส่สเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ ไม่มีเลขทะเบียนยานะครับ (แสดงว่าไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง) แต่กลับมีตัวแทนจำหน่าย โดยมักจะเร่ไปเสนอขายตามร้านค้าในชุมชนและร้านขายยา สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นตรวจสอบ ก็พบว่ามีสเตียรอยด์ผสมอยู่เช่นกัน       ยาน้ำสามัญประจำบ้านแผนโบราณก็บริการสารสเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์นี้มาเป็นข่าวดังเพราะมีคุณครูท่านหนึ่งซึ่งป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ได้ซื้อมาจากเพื่อนครูด้วยกัน (ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย) ยาชนิดนี้กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ข้าราชการครูและครอบครัว ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อคุณครูท่านนี้รับประทานแล้วอาการภูมิแพ้หาย จึงเริ่มสงสัยว่าปลอดภัยหรือไม่ เลยส่งต่อมายังสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้ตรวจสอบ ผลปรากฎว่าฉลากมีเลขทะเบียนยาถูกต้อง แต่เมื่อใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจ กลับพบว่ามีสเตียรอยด์ผสมอยู่ อีกแล้ว   วิธีการขายของผลิตภัณฑ์ 3 ชนิดหลังนี้จะคล้ายๆ กัน คือจะขออนุญาตเลขทะเบียนยาอย่างถูกต้อง แต่เวลาขายอาจจะทำผลิตภัณฑ์อีกรูปแบบหนึ่ง ช่องทางที่ขายส่วนใหญ่จะมีตัวแทนขายเพื่อเจาะลึกเข้าไปในชุมชน บางส่วนขายผ่านทางวิทยุชุมชน พอตรวจเจอก็อ้างว่าเป็นของปลอม ยังไงถ้าใครเจอช่วยแจ้งสาธารณสุขจังหวัดด้วยนะครับ ถือว่าเป็นของขวัญแด่ผู้บริโภคท่านอื่นๆ ร่วมกันด้วยครับ สวัสดีปีใหม่ ปลอดภัยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 117 เอาออกด่วน...ศพละห้าร้อยถึงหนึ่งพัน

  “ มีโอกาสพบเห็นคนบางกลุ่มในสังคมประกอบอาชีพแบบนี้เยอะมากขึ้น จนไม่รู้ว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไปแล้วหรือยังไง “ น้องเภสัชกรท่านหนึ่ง ตั้งคำถามกับผม พร้อมแสดงหลักฐานเป็นนามบัตรให้ผมดู ทีแรกนึกว่ามันจะมาชวนผมไปใช้บริการ แต่สุดท้ายก็บอกว่าวันนี้จะมาเล่าวิธีการให้บริการทำแท้งของคลินิกต่างๆ ให้ฟัง “ คลินิกทำแท้งก่อนนั้นจะหลบๆ ซ่อนๆ แต่ก็จะรู้กันเฉพาะกลุ่ม  แต่ปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าปัญหาเหล่านี้มันมากขึ้นหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ คลินิกเหล่านี้มันเลยผุดขึ้นมากมาย  แถมยังตั้งเด่นเป็นสง่า บอกใบ้ให้ผู้ประสงค์ใช้บริการรับรู้กันอย่างแนบเนียน” น้องเภสัชกรท่านนี้เล่าว่าตนเองขับรถผ่านตั้งแต่ย่านรังสิต นวนคร ประตูน้ำพระอินทร์ เรื่อยมาจนถึงโรจนะ  พระนครศรีอยุธยา มองปราดเดียวก็รู้ทั้งที่ไม่เคยใช้บริการแต่ก็พอจะดูออก(ฮา)   เพราะคลินิกเหล่านี้ มักจะมีคำบอกใบ้ไปนัยยะว่า เช่น บริการให้คำปรึกษาเรื่องการวางแผนครอบครัว (ใครจะไปบอกโต้งๆ ล่ะว่าบริการทำแท้ง  เรื่องแบบนี้ลูกค้าเขารู้ดี แต่เจ้าหน้าที่อาจจะรู้ช้าไปหน่อย) วิธีการหาลูกค้าของคลินิกเหล่านี้ก็คล้ายคลึงกัน คือ จะมีหน้าม้านำนามบัตร ซึ่งเขียนเลขรหัสไว้ดังรูป(เข้าใจว่าเป็นรหัสของหน้าม้าที่มาเดินแจกนามบัตร)    จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ผมก็เคยเจอประสบการณ์ตรง นั่งขายยาที่ร้าน ปรากฏว่ามีคนเดินเข้ามาฝากแจกนามบัตร  คลินิกบริการให้คำปรึกษาเรื่องการวางแผนครอบครัว มีการให้ยอดสมนาคุณด้วยว่า ถ้ามีผู้ไปใช้บริการที่คลินิกนั้น และแจ้งว่ามาจากร้านก็จะได้ค่าตอบแทน ศพละ หนึ่งถึงสองพันบาท แต่ยุคนี้แจกแบบนี้คงไม่ทั่วถึงหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ดังนั้นนอกจากจะตระเวณแจกตามร้านขายยาแล้วยังมีการไปแจกและฝากวางไว้ที่ร้านเสริมสวย  หรือกระทั่งรถตู้รับส่งพนักงานโรงงานต่างๆ เมื่อมีผู้ต้องการจะทำแท้งมาติดต่อสอบถาม ตัวแทน จากร้าน ที่ได้ฝากนามบัตรเหล่านี้  ก็จะให้นามบัตรแก่ลูกค้าเพื่อให้ถือไปยังคลินิก ซึ่งหลังจากทำแท้งเรียบร้อยแล้ว คลินิกจะส่งค่าตอบแทนมาให้ภายหลัง  สนนราคาก็จะแตกต่างกันไป ตามขนาดอายุของครรภ์ แต่เท่าที่ทราบ ราคาตั้งแต่ศพละ 500 - 1000 บาท (แสดงว่ายังตรึงราคาเดิมไว้ได้ แม้จะผ่านไป 7-8 ปีแล้วก็ตาม) น้องเภสัชกรท่านนี้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการเก็บข้อมูลเบื้องต้น พบว่า คลินิกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคลินิกที่ไม่มีแพทย์ประจำ แต่จะมีชื่อแพทย์  " แขวนป้าย " เท่านั้น ส่วนผู้ที่เป็นคนทำแท้ง ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่ฝึกฝนจนชำนาญ ซึ่งพบว่าสามารถทำแผล ฉีดยา และตรวจรักษาโรคได้ด้วย  ใครผ่านหรือพบเหตุการณ์เหล่านี้ก็อย่าลืมแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลุยได้เลยนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 ยานาโน โถ..หลอกแม้กระทั่งคนยากจน

ยุคนี้อะไรๆ ที่ใหม่ๆ ก็มักจะอ้างคำว่า “นาโน” ไปทั่ว อาจเพราะมันทำให้เพิ่มความมหัศจรรย์ทันสมัยมากยิ่งขึ้นกระมัง แต่คนหลอกลวงมันก็อาจอาศัยช่องทางเหล่านี้ทำมาหากินก็ได้ ผมมีโอกาสไปประชุมร่วมกับน้องเภสัชกร จากโรงพยาบาลชุมชนเขตภาคอีสาน น้องติ๊ก เภสัชกรสาวสวยคนหนึ่ง(เธอย้ำว่าให้เขียนประโยคนี้ด้วย) จากเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เล่าให้ฟังว่า มีผู้ป่วย 2 ราย ที่อยู่ในพื้นที่ของเธอ ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับและพาร์กินสัน ได้ฟังวิทยุที่ส่งคลื่นมาจากแถวๆ ยโสธร นักจัดรายการ ชื่อคุณน้อง(นามสมมุติ) ที่ตัวจริงอายุประมาณ 50 กว่าๆ แล้ว แนะนำผลิตภัณฑ์ ออกซิเจนนาโน บรรยายสรรพคุณว่า รักษาโรคได้สารพัด เช่น  มะเร็ง  เบาหวาน อัมพฤกษ์  ฯลฯ พร้อมทั้งให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ หากใครสนใจให้ติดต่อกลับ ครั้นเมื่อผู้ป่วยติดต่อกลับไป คุณน้องก็แล่นมาหาถึงบ้าน ดุจดังนางฟ้าผู้อารี แต่นางฟ้าคนนี้ไม่ได้มาพร้อมพรวิเศษสำหรับคนยากไร้นะครับ แต่เธอดันมาพร้อม ผลิตภัณฑ์ออกซิเจนนาโน   ผลิตภัณฑ์ ออกซิเจนนาโนนี้มีลักษณะเป็นของเหลวคล้ายๆJelly บรรจุในขวดพลาสติกคล้ายยาหยอดตา ขายในราคา 2 ขวด 2,960 บาท มีเอกสารแนะนำที่โปรยหัวเรื่องอย่างโดนใจ “คนจนยิ้มได้ คนไข้หัวเราะร่า คนป่วยหาย คนขายได้บุญ” ( ราคาขนาดนี้นะได้บุญ?) ในเอกสารได้บรรยายวิธีกินแบบมหัศจรรย์อีก เพราะให้รับประทานวันละ 4 เวลา โดยหยดผลิตภัณฑ์นี้ตามจำนวนวัน เช่น วันที่ 1 ใช้ 1 หยดผสมน้ำ 1 แก้ว , วันที่ 2 ใช้ 2 หยดผสมน้ำหนึ่งแก้ว เพิ่มเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 8 เป็นต้นไปใช้ 8 หยดผสมน้ำ 1 แก้ว และสำหรับผู้ที่ป่วยหนัก เช่น มะเร็ง ให้ใช้ได้ถึง 15 หยด , นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้ 3 หยดต่อน้ำ 1 ขวดพ่นทุกๆ 1 ชั่วโมง บริเวณที่เป็นแผลเรื้อรัง แผลเบาหวาน หรือใส่ตาที่พร่ามัว ตาต้อ (เอากะมันซิ) น้องติ๊กพยายามเพ่งที่ขวดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์อะไร แต่ก็มองแทบไม่เห็น แต่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเป็นเลขสารบบอาหาร 40 (ไม่ค่อยชัดเจน) เห็นน้องๆ เขาบอกว่า คนแถวนั้นถูกหลอกให้ใช้กันมา จนเรียกกันติดปากว่ายานาโน น้องๆ เล่าให้ฟังว่าตอนนี้ไอ้พวกผลิตภัณฑ์หลอกลวงเหล่านี้มันบุกมาถึงหมู่บ้านแล้ว บางคนหลงเชื่อถึงขนาดขายวัว ขายควาย ซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาใช้กันเลย แต่ก็ยังโชคดีที่มีน้องๆ เภสัชกรเหล่านี้ที่ช่วยลงไปดูแลงานคุ้มครองผู้บริโภคในหน่วยบริการปฐมภูมิในชุมชน ช่วยสอดส่องดูแลให้ น้องๆ เลยพยายามช่วยกันเตือนผู้ป่วยมิให้ถูกหลอก ยังไงก็ขอแรงผู้อ่านช่วยกันเตือนๆ อย่าให้คนใกล้ตัวถูกหลอกนะครับและถ้าพบเห็นอะไรแปลกก็แจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาดำเนินการเลยนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 115 ผนึกกำลังอวดอ้าง...ยกกำลัง 2

ในวารสารฉลาดซื้อฉบับหนึ่งในอดีต ได้เคยลงเรื่องการโฆษณาขายเครื่องปรับโครงสร้างน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม แอคติโมโกลด์ ( ActimoGold) ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงไปแล้ว หลังจากนั้นหน่วยราชการได้ประชาสัมพันธ์ให้ช่วยกันเฝ้าระวัง เนื่องจากการโฆษณาแบบนั้นผิดกฎหมาย แต่เวลาผ่านไปไม่นาน ...เขากลับมาอีกแล้วครับ แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว..แต่ เขากลับมาแบบยกกำลังสองเลยทีเดียว เอาเข้าไป! เอกสารชิ้นแรกที่ผู้บริโภครายหนึ่งส่งมาให้ดู เป็นรายละเอียดโฆษณาขายเครื่องปรับโครงสร้างน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม แอคติโมโกลด์ อ้างว่าเมื่อนำน้ำมาผ่านเครื่องนี้ มันจะปรับคุณภาพน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยี ทำให้โมเลกุลของน้ำมีขนาดเล็กจนผ่านเข้าออกทุกเซลล์ของร่างกายได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้น้ำอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นและมีปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น และยังให้สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย เอกสารแนะนำว่า 3-7 วันแรก ควรดื่มน้ำนี้วันละ 1-3 แก้ว อ้างว่าน้ำแอคติโมเป็นน้ำที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก หากเริ่มต้นดื่มมากๆ ของเสียจะออกนอกเซลล์ในปริมาณมากเกินไป ทำให้สภาวะโลหิตเป็นพิษได้ จะมีอาการ คอแห้ง เวียนศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว “แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะจะเป็นอาการชั่วคราวและจะค่อยๆ หายไป” หลังจากนั้นควรดื่มน้ำแอคติโมให้ได้วันละ 2 ลิตร (คราวที่แล้วก็โฆษณาแบบนี้ ยังไม่เข็ดอีก) ส่วนเอกสารชิ้นที่สอง เป็นโฆษณาขายเครื่องดื่มธัญพืชชนิดผง แอลฟ่า-พีเอสพี อ้างว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของการดูแลสุขภาพ สกัดด้วยกระบวนการเมคานิคอล ไฮโดรไลซิส (Mechanical Hydrolysis) ชะลอความแก่และการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น ลดการสะสมสารพิษและอนุมูลอิสระในร่างกาย  เสริมสร้างและรักษาสมดุลภูมิคุ้มกันในร่างกาย ฯลฯ มีการแนะนำว่า คนที่ควรรับประทานได้แก่ เด็ก หนุ่มสาว วัยทำงาน วัยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง,เบาหวาน,ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต,ภูมิแพ้ อัลไซเมอร์ เด็กสมาธิสั้นหรือเด็กออธิสติค ฯลฯ (สรุปว่าคล้ายๆ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนทั้งหมดนะแหละ) แจ้งว่ารับประทานติดต่อกัน 30 วันจะเกิดปฏิกิริยาขับพิษและฟื้นฟูเบื้องต้น หลังจากนั้นให้รับประทานต่อเนื่อง (ก็กินไปเรื่อยๆ จนไม่มีเงินซื้อละมัง?) ในเอกสารยังมีรูปที่อ้างถึงการวิจัยประสิทธิภาพของ แอลฟ่า-พีเอสพี ระบุโรงพยาบาล CHO-RAY ประเทศเวียดนาม และมีการระบุเลข อย.ด้วย (คือเป็นอาหารน่ะ แต่ไหงโฆษณาจนเป็นลักษณะยาล่ะครับ?) ที่ผมบอกว่าว่ายกกำลังสองคือ ผู้ที่ขาย ได้นำน้ำมาบรรจุขวดและอ้างว่าเป็นน้ำแอคติโม และแนะนำให้นำเครื่องดื่มธัญพืชชนิดผง แอลฟ่า-พีเอสพี มาผสมในการรับประทาน จะทำให้ดียิ่งขึ้นอีก เลยขออนุญาต ประชาสัมพันธ์นะครับ ลองใช้วิจารญาณของผู้อ่านที่ “ฉลาดซื้อ” ตอบตัวเองเลยนะครับว่า “มันเป็นได้หรือไม่?” และถ้าใครพบเห็นก็ควรแจ้ง อย. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรวจสอบด่วนเลยนะครับ เผื่อจะได้ดำเนินการไปพร้อมๆ กันแบบยกกำลังสองไงครับ

อ่านเพิ่มเติม >