ฉบับที่ 200 โดนสวมรอยรูดบัตรเครดิต

ผู้ที่ถือบัตรเครดิตทุกคน อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในการบอกข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่นทราบ เพราะไม่แน่ว่าเราอาจโดนมิจฉาชีพสวมรอย แอบอ้างเป็นผู้ถือบัตรและไปรูดซื้อสินค้า ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้ได้คุณโชนถูกชักชวนทางโทรศัพท์ให้ทำประกันคุ้มครองรถยนต์ โดยเซลล์ที่อ้างว่ามาจากศูนย์บริการใหญ่ แจ้งว่าจะส่งรายละเอียดของกรมธรรม์มาให้เขาตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ที่บ้าน และหากเขาตกลงก็จะขอนัดมาพบที่บ้านเพื่อถ่ายรูปรถยนต์และชำระค่าใช้จ่าย ซึ่งคุณโชนได้สอบถามกลับไปว่าสามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้หรือไม่ เนื่องจากเขาสนใจประกันภัยดังกล่าวอยู่แล้ว ทำให้เซลล์ตอบกลับมาว่าสามารถทำได้ พร้อมขอเลขบัตรเครดิต 12 หลักและวันหมดอายุของบัตรเขาไว้ด้วย คุณโชนเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงให้ข้อมูลบัตรตามที่เซลล์ขอไป อย่างไรก็ตามเหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อภายหลังมีข้อความแจ้งเตือนจากบัตรเครดิตมาว่าได้มีการตัดยอดประกันไปแล้ว ทำให้เขาตกใจมาก เพราะทราบอยู่แล้วว่าบัตรดังกล่าวยอดวงเงินเต็มคุณโชนจึงโทรศัพท์ไปสอบถามที่ Call Center ของบัตรเครดิต ซึ่งแจ้งว่าก่อนหน้านี้เขาได้โทรศัพท์เข้ามาเพื่อขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวและรูดชำระค่าประกันไป เขาจึงแจ้งว่าตนเองไม่เคยโทรศัพท์เข้ามาขอเพิ่มวงเงินใดๆ และสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเซลล์ขายประกันคนดังกล่าว มาแอบอ้างเป็นเขาและรูดบัตรไปโดยวิสาสะ ทำให้เขาโทรศัพท์ไปที่บริษัทประกันรถ เพื่อขอยกเลิกการชำระเงินดังกล่าว แต่ไม่สามารถทำได้ จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำให้ผู้ร้องเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำใบแจ้งความ ไปขอเทปบันทึกการสนทนาระหว่างพนักงานบัตรเครดิต กับเซลล์ขายประกันที่แอบอ้างเป็นเขา มาขอเพิ่มวงเงินและรูดชำระค่าประกันไป นอกจากนี้แนะนำให้ผู้ร้องทำจดหมายปฏิเสธการชำระเงิน โดยทำเป็นไปรษณีย์ตอบรับ ส่งไปยังธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอปฏิเสธการชำระเงิน เนื่องจากผู้ร้องไม่ได้เป็นคนกดเงินดังกล่าวไป และให้ธนาคารตรวจสอบดูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในกรณีนี้หากพิสูจน์ได้ว่า ผู้ร้องไม่ได้กดเงินดังกล่าวด้วยตัวเองไปจริง ก็สามารถเรียกร้องเงินคืนได้ อย่างไรก็ตามเรื่องราวจะคืบหน้าต่ออย่างไร ยังคงต้องติดตาม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 ร่วมถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9

ด้วยความจงรักภักดีที่ประชาชนชาวไทยมีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทำให้ประชาชนทั่วประเทศหลั่งไหลกันมาเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพกันอย่างมาก ประชาชนยิ่งล้นหลามเมื่อใกล้เวลาการปิดการเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 ของสำนักพระราชวัง ในวันที่ 5 ตุลาคม 2560 เป็นวันสุดท้าย เพื่อจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตรในเดือนตุลาคม 2560 นี้ ทางสำนักพระราชวังได้กำหนดวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2560 ได้กำหนดจำนวนริ้วขบวน พระราชอิสริยยศไว้ทั้งสิ้น  6  ริ้วกระบวน และนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 9 ผ่านพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ โครงการพระราชดำริ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมความงามของพระเมรุมาศ ซึ่งมีกำหนดเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 1 - 30 พฤศจิกายน 2560คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จึงได้จัดทำเว็บไซต์ www.kingrama9.net เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถติดตามการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้อย่างใกล้ชิดเว็บไซต์ www.kingrama9.net จะมีข้อมูลข่าวสารรายละเอียดการจัดเตรียมงาน ประกาศจากสำนักพระราชวัง  และในส่วนของข้อมูลและคำอธิบายของพระเมรุมาศว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง ส่วนต่างๆ เรียกชื่อว่าอย่างไร  ทั้งนี้มีคำอธิบายรายละเอียดเส้นทางของขบวนพระบรมราชอิสริยยศทั้งสิ้น  6  ริ้วกระบวน ว่าแต่ละริ้วกระบวนจะเริ่มจากจุดใดและใช้เส้นทางใด และรายละเอียดการแต่งกายของแต่ละส่วนในริ้วพระบรมราชอิสริยยศทั้งหมด  นอกจากการจัดเตรียมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพบริเวณท้องสนามหลวงแล้ว ยังมีการจัดสร้างพระเมรุมาศจำลอง 85 แห่งทั่วประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีแด่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยสามารถตรวจสอบสถานที่จุดวางดอกไม้จันทน์ใกล้บ้านได้ในเว็บไซต์ www.kingrama9.net เช่นกันรายละเอียดและข้อมูลทุกอย่างสามารถหาคำอธิบายได้ในเว็บไซต์ www.kingrama9.net 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 ปัญหาโฆษณาสุขภาพเกินจริงแนวรบที่ไม่มีวันจบ

อย. ย้ำเตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ทั้งลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน หรือรักษาโรค ผ่านทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ อาจเข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ปลอดภัย โดย อย. จะดำเนินการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่โอ้อวดเกินจริง ส่งตรวจวิเคราะห์ หากพบการปลอมปนของสารออกฤทธิ์ทางยา จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด ไม่รู้ว่าเราต้องอ่านคำเตือนจาก อย. หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไปอีกกี่หน เพราะดูเหมือนว่าปัญหาจากการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา หรือเครื่องสำอาง ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงนั้น ก็ยังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรา สอดแทรกอยู่ในสื่อต่างๆ ทั้งใหม่เก่า ที่ผูกมัดพันธนาการเราไว้แทบจะตลอดวัน ผู้บริโภคหากวันใดเกิดจิตใจไม่เข้มแข็งพอขึ้นมาก็คงไม่แคล้วต้องมีอันพลาดท่าเสียที แล้วทำไมสังคมของเราถึงยังจัดการกับปัญหาโฆษณาอวดอ้างเกินจริงเหล่านี้ไม่ได้ อะไรคือสาเหตุ และอะไรคือแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เราลองมาถอดรื้อจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งของคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสื่อและโทรคมนาคม เรื่อง การจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายของหน่วยงานกำกับดูแลปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ ที่จัดทำเมื่อปี 2559 ว่าเขามองเรื่องนี้อย่างไร พบโฆษณาผิดกฎหมายปีหนึ่งเป็นหมื่นแต่จัดการได้แค่พัน ในงานวิจัยชี้ว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบตรงอย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นั้น พบการกระทำผิดกฎหมายเฉลี่ยปีละหมื่นกว่า แต่การดำเนินคดีนั้นทำได้เพียงปีละพันกว่า ทั้งนี้ไม่นับรวมการกระทำผิดที่ อย.ไม่พบ หรือไม่มีคนร้องเรียนเข้ามาอีกเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านสื่อทางอินเทอร์เน็ตที่มีพลังในการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารได้อย่างน่าทึ่งแถมยังทำกันได้ง่าย แทบจะเรียกว่าใครก็ทำได้   ถ้านับเป็นเวลาก็นับเป็นแค่นาที แต่สำหรับหน่วยงานกำกับดูแล การเข้าจัดการกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายต้องใช้เวลานับเดือน นับปีกว่าจะสามารถลงโทษด้วยการปรับเงิน(จำนวนน้อย)ได้ ดังนั้นผู้กระทำผิดจึงไม่ค่อยเคารพยำเกรงกฎหมาย เพราะถือว่าคุ้มกับการเสี่ยง    มี อย. ปลอดภัย 100% แล้วถ้าเป็น อย.ปลอมจะทำอย่างไร   แบรนด์ อย. ถูกสร้างมาให้ติดตลาด อย่างไรก็ดี เครื่องหมาย อย. ก็กลายเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน เมื่อปลายปี 2559 เกิดกรณี MangLuk  Power Slim ผลิตภัณฑ์อาหารในแบบแคปซูล สีชมพู-ขาว มีการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า หลังรับประทานแล้วมีอาการใจสั่น มือสั่น ปากแห้ง คอแห้ง (ผลข้างเคียงจากสารไซบูทรามีนหรือยาลดความอ้วนที่ผสมลงไปในผลิตภัณฑ์) เมื่อ อย. ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งฉลากระบุเลขที่ อย. 89-1-04151-1-0080 นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท THE RICH POWER NETWORK จังหวัดสมุทรสาคร รุ่นผลิต RI88-89/01วันที่ผลิต 01/01/16 วันหมดอายุ 01/01/18 นั้น  อย .แถลงข่าวว่า เป็นเลข อย.ปลอม และเมื่อตรวจสอบข้อมูลผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายตามที่ระบุบนฉลากจากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าไม่พบข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัทดังกล่าว คือปลอมทั้งเลข อย.และปลอมชื่อทางธุรกิจ ดังนั้นผลิตภัณฑ์อาหาร Mangluk Power Slim ตัวนี้ จึงเข้าข่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย มีการปลอมเลขสารบบอาหาร โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และตรวจพบไซบูทรามีน ซึ่ง อย. จะมีการดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไป แต่ ณ ปัจจุบัน เมื่อนำมาสืบค้นด้วยชื่อ ผลิตภัณฑ์นี้ เราก็ยังพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ ผู้บริโภคทั่วไปมักเข้าใจผิดว่า การมีเครื่องหมาย อย. คือการรับประกันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว เครื่องหมาย อย. เป็นเพียงการรับรองการผลิตที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เล่ห์ร้ายของผู้ประกอบการขอโฆษณาไปอย่างหนึ่งแล้วโฆษณาอีกอย่างหนึ่ง หนึ่งในยุทธวิธีที่ผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบนิยมในการหลอกลวงทั้งหน่วยงานและผู้บริโภค คือ  ขอโฆษณาไปอย่างหนึ่งแล้วโฆษณาอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจะมี เลขที่ใบอนุญาตโฆษณาที่ถูกต้อง แต่เนื้อหาผิดไปจากที่ยื่นขอ  ผู้บริโภคที่ไม่ทันเหลี่ยมนี้ก็คิดว่า เป็นโฆษณาที่ถูกต้องแล้ว นี่ไง อย.รับรอง หรือแม้กระทั่งการโฆษณาแฝงในรายการต่างๆ โดยไม่มีการบรรยายสรรพคุณแบบโต้งๆ  ทำให้ อย.ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้  เพราะยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลโฆษณาแฝงทุกหน่วยงานมีปัญหากับการจัดการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เมื่อนึกถึงการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ หลายคนก็หันไปมองที่ อย. แน่นอนว่า ไม่ผิด แต่เราทราบกันไหมว่า ยังมีอีกหลายหน่วยงานภาครัฐ ที่มีหน้าที่ช่วยกันกำกับดูแลด้านการโฆษณาผิดกฎหมายได้อีก ได้แก่ กระทรวงดิจิทัล ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายตาม พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด แต่กลับปล่อยให้มีการโฆษณาผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์กันอย่างมากมาย  ขณะเดียวกันก็ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบกำกับดูแลสื่อในโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ซึ่งปัจจุบันตามกฎหมายให้อำนาจ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำกับดูแลเฉพาะสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ ไม่ได้ครอบคลุมถึงการโฆษณาใน โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต เมื่อบางหน่วยงานไม่ค่อยขยับ หน่วยงานหลัก อย่าง อย. ก็ติดกับดักระบบราชการ ซึ่งมีระเบียบวิธีที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำให้เกิดลักษณะคอขวดในการจัดการเรียกง่ายๆ ว่า งานไปจมอยู่ที่ อย.  ผู้บริโภคไม่เชื่อวิทย์  ผู้บริโภคส่วนหนึ่งก็ใจร้อน วิธีคิดก็เป็นตรรกะที่ผิด เช่น เชื่อว่ากินอาหารบางอย่างแล้วรักษาโรคได้สารพัดโรค อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว หรือแทนที่จะคิดว่า การที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น เป็นเพราะสาเหตุที่มาจากการกินมากไปแล้วใช้กำลังกายน้อย กลับไปตั้งความหวังและมั่นใจในอาหารเสริมบางอย่างว่ากินแล้วจะช่วยบล็อกไม่ให้อ้วนได้ หรือเกิดการเผาผลาญพลังงาน โดยที่ไม่ต้องออกกำลังกาย พอไม่เชื่อวิทย์ ชีวิตบางคนจึงเปลี่ยน บางคนถึงเสียชีวิต เพราะหลงเชื่อคำโฆษณาอวดอ้างเกินจริง  บางคนแม้จะเชื่อในวิทยาศาสตร์ แต่แพ้ภัยค่านิยม "ผอม ขาว สวย ใส อึ๋ม ฟิตปั๋ง” ก็จำต้องเสี่ยงใช้ทางลัด ซึ่งบทพิสูจน์ที่ผ่านมาคือ ไม่มีทางลัดใดที่ปลอดภัย เน็ตไอดอล ยังไงฉันก็เชื่อเธอ NET IDOL ก็คือคนดังบนโลกออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย พวกเขาหรือเธอ มียอดคนติดตาม (Followers) เป็นแสน เป็นล้าน ขยับตัวทำอะไรก็เกิดกระแส ถือสินค้าสักชิ้น กินอาหารสักอย่างเหล่าผู้ติดตามส่วนหนึ่งก็พร้อมจะทำตาม หากเน็ตไอดอลบางคนทำสินค้าด้านสุขภาพขึ้นมาสักชิ้นแล้วบอกว่า ใช้แล้วดีมาก พร้อมบรรยายสรรพคุณจนเลยเถิดไป หรือในผลิตภัณฑ์เกิดมีสารอันตรายแฝงอยู่ ผู้ที่หลงเชื่ออาจกลายเป็นเหยื่อที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะความรักและความนิยมในตัวเน็ตไอดอลเหล่านั้น  หรือบางทีเน็ตไอดอลเองก็กลายเป็นผู้ส่งเสริมให้คนใช้สินค้าไปโดยไม่ได้สนใจว่า ผิดหรือถูก เพราะรับเงินค่าถือสินค้าออกช่องทางสื่อสารของตนเองอย่าง อินสตาแกรม เฟซบุ้ก ฯลฯ ไปแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงพวกเธอหรือเขาอาจไม่เคยทดลองใช้สินค้านั้นจริง แนวทางในการกำกับดูแล และแก้ปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากงานวิจัย1.จัดทำและเปิดใช้ “คลังข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพสาธารณะ” (Health Products’ Public Data Bank) คือ คลังข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งหมด ที่ได้จดทะเบียนกับ อย. รวมทั้งการอนุญาตโฆษณา คำที่อนุญาตให้ใช้ในโฆษณา เลขที่อนุญาตโฆษณา ซึ่งจะแสดงรายละเอียดในสื่อรูปแบบต่างๆ ทั้ง สื่อสิ่งพิมพ์ ภาพ เสียง วีดีโอ เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการเข้าสืบค้นข้อมูลได้เองด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน เมื่อผู้บริโภคต้องการสืบค้นสรรพคุณและการโฆษณาของผลิตภัณฑ์สุขภาพตัวใดตัวหนึ่งเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะซื้อ ก็สามารถเข้าไปสืบค้นข้อมูล และตรวจสอบโฆษณานั้นว่าได้รับอนุญาตจริงหรือไม่2.อย. ควรประกาศใช้  “แนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์การพิจารณา โฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย” เพื่อให้หน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องได้บังคับใช้ตามแนวทางที่ออกประกาศ เช่น เมื่อหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลการโฆษณา พบการโฆษณาฯ ที่ไม่มีอยู่ใน  “คลังข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพสาธารณะ” ให้สิทธิพิจารณาได้เลยว่า โฆษณานั้นผิดกฎหมาย โดยไม่ต้องส่งกลับมาให้ อย.เป็นผู้วินิจฉัย และให้หน่วยงานกำกับดูแลบังคับใช้กฎหมายในฐานความผิดของหน่วยงานด้วย ถือเป็น ความผิดเดียว ผิดหลายกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายจริงจังและรุนแรง เพื่อไม่ให้กระทำผิดอีก 3.การกระจายอำนาจให้หน่วยงานกำกับดูแลส่วนภูมิภาค อย. ควรกระจายอำนาจให้ สาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) มีหน้าที่จัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพในพื้นที่อย่างฉับไว สามารถบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพในทุกสื่อทั้งที่เกิดในพื้นที่ตน และใน Social Media โดยให้อำนาจเท่ากับ อย. เพราะในปัจจุบัน สสจ. มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายเพียงเฉพาะที่เกิดขึ้นในสื่อโทรทัศน์ และสื่อวิทยุกระจายเสียงเท่านั้น   4.อย. ควรเร่งปรับปรุงแนวปฏิบัติในการลงโทษ โดยพิจารณาความผิดฐานโฆษณาเกินจริงเป็นเท็จ แทนที่จะลงโทษเพียงฐานไม่ขออนุญาตโฆษณา รวมถึงการกระทำผิดซ้ำซาก เพราะฐานความผิดโฆษณาเกินจริงเป็นเท็จนั้นจะเป็นแนวทางให้หน่วยงานกำกับดูแลอื่นสามารถนำไปต่อยอดความผิดได้ และปรับปรุงบทลงโทษกฎหมายที่เกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ให้มีโทษปรับในอัตราก้าวหน้า หรือนำมาตรการการเก็บภาษีเข้ามาช่วย สำหรับผู้ขายและผู้โฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย 5.ปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้องและการสร้างภูมิคุ้มกันในการบริโภคสื่อ ด้วยการปูพื้นฐานผู้บริโภคตั้งแต่ปฐมวัย และสอดแทรกอยู่ในหลักสูตรเท่าทันสื่อ ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 สาระการเรียนรู้ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานสนใจงานวิจัยฉบับเต็ม สามารถดูได้ที่ www.indyconsumers.org

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 ผลทดสอบ “คาเฟอีน” ในกาแฟซอง 3 in 1

ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 198 ประจำเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราเพิ่งนำเสนอผลการสำรวจปริมาณน้ำตาลและพลังงานในกาแฟซอง 3 อิน 1 โดยการดูข้อมูลบนฉลาก ซึ่งผลสำรวจที่ได้พบว่า ปริมาณน้ำตาลในกาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง หรือ 3 อิน 1 เฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 13 กรัมต่อ 1 ซอง ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วัน คือไม่เกิน 24 กรัม ส่วนปริมาณพลังงาน เฉลี่ยอยู่ที่ 65  - 90 กิโลแคลอรีต่อ 1 ซองฉบับนี้ โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ โดยนิตยสารฉลาดซื้อ ขอเอาใจคอกาแฟอีกครั้ง โดยเฉพาะคนที่ชอบดื่มกาแฟซองพร้อมชงแบบ 3 อิน 1 โดยครั้งนี้เราจะพาไปดูผลทดสอบ “ปริมาณคาเฟอีน” ซึ่งถือเป็นจุดขายหลักของการดื่มกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟแบบไหน ลองไปดูกันสิว่า กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผงที่ถูกเติมทั้งน้ำตาลและครีมมาแล้วเรียบร้อย จะยังเหลือปริมาณคาเฟอีนมากน้อยแค่ไหน และแถมด้วยการทดสอบสารพิษจากเชื้อราที่เรียกว่า โอคราทอกซิน เอ ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์กาแฟ ว่ามีปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์กาแฟ 3 in 1 หรือไม่ กาแฟซอง 3 in 1 มี “คาเฟอีน” ได้มากแค่ไหน?เพราะ คาเฟอีน เป็นสารที่ให้ทั้งคุณและโทษต่อร่างกายของเรา ถ้าได้รับในปริมาณที่พอเหมาะก็ช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะส่งต่อการทำงานของระบบประสาท ทำให้ปวดหัว นอนไม่หลับ เป็นที่มาให้ต้องมีการกำหนดมาตรฐานปริมาณคาเฟอีนในผลิตภัณฑ์กาแฟประเภทต่างๆ สำหรับ กาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 หรือ กาแฟปรุงสำเร็จชนิดแห้ง ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 197) พ.ศ. 2543 เรื่อง กาแฟ ได้กำหนดมาตรฐานปริมาณคาเฟอีนเอาไว้ที่ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ต่อกาแฟปรุงสำเร็จชนิดแห้งที่ชงเป็นของเหลวแล้ว 100 มิลลิลิตรหรือคิดง่ายๆ ก็คือ กาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 จำนวน 1 ซอง หรือ 1 เสิร์ฟ ซึ่งคำแนะนำข้างซองระบุไว้ว่าให้ชงกับน้ำร้อน 100 – 150 มิลลิลิตรอยู่แล้ว ควรมีปริมาณคาเฟอีนไม่เกิน 100 มิลลิกรัมปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละชนิดที่กฎหมายกำหนดชนิดของกาแฟ ปริมาณคาเฟอีนที่กำหนดตามกฎหมายกาแฟแท้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของน้ำหนักกาแฟที่สกัดกาเฟอีน ไม่เกินร้อยละ 0.1 ของน้ำหนักกาแฟสำเร็จรูป ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5 ของน้ำหนักกาแฟสำเร็จรูปผสม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.5 ของน้ำหนักกาแฟสำเร็จรูปที่สกัดกาเฟอีนออก ไม่เกินร้อยละ 0.3 ของน้ำหนักกาแฟที่ผ่านกรรมวิธีให้เป็นของเหลว ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 มิลลิลิตรประโยชน์และโทษ ของคาเฟอีนเมื่อร่างกายได้รับสารคาเฟอีนมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และยังคงฤทธิ์อยู่ระหว่าง 2-10 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน คาเฟอีนทำให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า และทำให้มีสมาธิ ลดโอกาสการเกิดอัลไซเมอร์ มะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยเพิ่มเซลล์สมอง ทำให้เพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้ สารคาเฟอีนเมื่อดูดซึมเข้าร่างกายจะถูกจำกัดออกด้วยการปัสสาวะ ไม่มีสะสมในร่างกายส่วนผลเสียและผลข้างเคียงหากบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ปวดหัว โรคกระเพาะอาหาร(คาเฟอีนจะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพื่อออกมาช่วยย่อย) นอกจากนั้นผลข้างเคียงของคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมลดลง สตรีมีครรภ์จึงไม่ควรดื่มกาแฟ สำหรับผู้สูงอายุ หากดื่มกาแฟมากเกิน 3 ถ้วยต่อวัน ก็มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนด้วย ในผู้ป่วยโรคไตควรลดหรืองดดื่มกาแฟ เนื่องจากคาเฟอีนจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้นโอคราทอกซิน(ocratoxin) เป็นสารพิษที่สร้างโดยเชื้อราในกลุ่ม Aspergillus และ Pennicilliumochratoxin มี 2 ชนิดคือ A และ B แต่ที่พบตามธรรมชาติคือ ochratoxin A ส่วนมากจะพบในเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และในเมล็ดกาแฟ เมล็ดโกโก้ และถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ และพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อไก่ และเนื้อหมู หรือตรวจพบปนเปื้อนในเบียร์และเครื่องเทศหลายชนิด การเกิดพิษ ochratoxins มีพิษต่อไตและตับทั้งในคนและสัตว์ นอกจากนี้ยังเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะด้วยตารางแสดงผลทดสอบปริมาณคาเฟอีนในผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง หรือ กาแฟซอง 3 อิน 1ผลทดสอบคาเฟอีน-จากตัวอย่าง กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง หรือ กาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 จำนวน 26 ตัวอย่าง พบว่าทุกตัวอย่างมีปริมาณคาเฟอีนต่อ 1 ซอง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กฏหมายกำหนดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 197) พ.ศ. 2543 เรื่อง กาแฟ ได้กำหนดมาตรฐานปริมาณคาเฟอีนเอาไว้ที่ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ต่อกาแฟปรุงสำเร็จชนิดแห้งที่ชงเป็นของเหลวแล้ว 100 มิลลิลิตรตัวอย่างที่พบปริมาณคาเฟอีนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.คาราบาว 3 in1 เอสเปรสโซ ปริมาณกาแฟต่อ 1 ซอง 18 กรัม ทดสอบพบคาเฟอีน 96 มิลลิกรัม 2. อาวว์ ทรีอินวัน สตอง อินสแตนท์ คอฟฟี่ ปริมาณกาแฟต่อ 1 ซอง 16 กรัม  ทดสอบพบคาเฟอีน 87 มิลลิกรัม3. เฟรนช์ คาเฟ่ 3 อิน1 ริช โกลด์ ปริมาณกาแฟต่อ 1 ซอง 18.8 กรัม ทดสอบพบคาเฟอีน 85 มิลลิกรัมตัวอย่างกาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 ที่นำมาทดสอบ พบค่าเฉลี่ยของปริมาณกาแฟอยู่ที่ 13.9% ต่อซอง โดยตัวอย่างที่พบปริมาณกาแฟมากที่สุดคือตัวอย่างยี่ห้อ มัซ เอสเปรสโซคอฟฟี่ 3 อิน 1 มีปริมาณกาแฟอยู่ที่ 39.07% หรือประมาณ 7 กรัมต่อซอง-พบว่ามีตัวอย่างกาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 จำนวน 5 ตัวอย่าง ที่ไม่มีฉลากภาษาไทย เพราะเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย ลาว เมียนมาร์ โดยเป็นตัวอย่างที่เก็บจากจังหวัดสงขลาและจังหวัดเชียงราย ซึ่งขัดกับข้อบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 383) พ.ศ. 2560 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ (ฉบับที่ 2) ผลทดสอบโอคราทอกซิน เอ  ไม่พบในทุกตัวอย่าง 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า500 Point

ฉบับที่ 200 กระแสต่างแดน

ยอดผลิตภัณฑ์แย่แห่งปีมาดูกันว่าปีนี้องค์กรผู้บริโภค CHOICE Australia มอบรางวัลผลิตภัณฑ์/บริการยอดแย่ประจำปี 2017 ให้ใครบ้าง• เริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าช่วยเสริมวิตามินและเกลือแร่ให้ลูกน้อยของคุณผ่านทาง เอิ่ม... ลูกอมเจลาติน “Vitamin Gummies”  ความจริงก็มีขายอยู่หลายยี่ห้อ แต่ที่ทำการตลาดหนักที่สุดเห็นจะเป็น Nature’s Way และ Bioglan (ทั้งสองเจ้าอยู่ในเครือ Pharmacare) ที่ทุ่มทุนใช้ตัวละครดิสนีย์และสไปเดอร์แมนมาโปรโมทสินค้าทั้งทางทีวีและอินเทอร์เน็ตCHOICE สงสัยว่านี่เป็นการขายยาพร้อมโรคหรือเปล่า... แคลเซียม สังกะสี หรือวิตามินซีที่อาจจะได้จากการกินขนมที่เคลือบน้ำตาล (ในปริมาณที่ผู้ผลิตไม่นิยมระบุ) มันคุ้มกับการที่เด็ก จะฟันผุหรือเปล่า • ตามด้วยขนมน้องแมว Coles Complete Cuisine ที่ได้รางวัลเพราะชื่อที่ชวนให้เข้าใจผิด  CHOICE บอกว่าตามหลักการแล้วอาหารที่จะอ้างได้ว่าครบถ้วนนั้นต้องมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโซเดียมในปริมาณที่พอเหมาะ แต่เมื่อดูฉลากแล้วพบว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่เฉียดคำว่า “ครบถ้วน” เลยสักนิด ทาสแมวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจให้แมวกินขนมนี้มากเกินไป (สัตวแพทย์บอกว่าไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน) ทำให้น้องแมวป่วยและมีค่าใช้จ่ายในการรักษานั่นเอง• แฟนๆ สินค้ามหัศจรรย์ที่ขายทางโทรทัศน์โปรดฟังทางนี้ ปากกาลดอาการปวด Pain Erazor ก็ได้รับรางวัลนี้ ผู้ผลิตอ้างว่าแร่ควอทซ์ในปากกาจะผลิตกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ออกมากระตุ้นให้ร่างกายผลิตเอนโดรฟินออกมาช่วยระงับความเจ็บปวด ผู้เชี่ยวชาญของ CHOICE ทดสอบแล้วพบว่าปากกานี้ไม่มีความสามารถในการลดอาการปวด แต่เหมาะมากสำหรับใช้จุดเตาแก๊ส ลองคิดดูว่าคนทางบ้านที่ใช้เอง (ในกล่องที่ส่งมาไม่มีคำแนะนำการใช้) จะได้ผลมากน้อยขนาดไหน• คุณพ่อบ้านแม่บ้านคะ น้ำยาปรับผ้านุ่ม Cuddly Sensitive Hypoallergenic ที่คุณซื้อในราคาลิตรละ 6 เหรียญ (160 บาท) ก็ได้รางวัลนี้เช่นกัน CHOICE ทดสอบน้ำยาปรับผ้านุ่ม 29 ตัวอย่าง และพบว่าผลิตภัณฑ์นี้ได้คะแนนต่ำที่สุด แม้แต่น้ำเปล่าหรือน้ำส้มสายชูก็ยังได้คะแนนดีกว่า ขุ่นพระ! แล้วคุณจะ “จ่ายแพงกว่าทำไม”• มาถึงค่าย ซัมซุง ปีนี้ส่งเครื่องซัก/ปั่นผ้าฝาหน้า WD16J9845KG เข้าชิงและได้รางวัลไปอีกเช่นเคยด้วยสถิติการใช้น้ำที่ไม่ธรรมดา – CHOICE พบว่า เครื่องรุ่นนี้ใช้น้ำถึง 133 ลิตรในขั้นตอนการซัก และไม่มีโปรแกรมประหยัดน้ำให้เลือก คำนวณดูแล้วบ้านไหนที่มีไว้ครอบครองจะมีค่าน้ำปีละ 400 เหรียญ (10,500 บาท) จากการใช้เครื่องซักผ้า แต่เดี๋ยวก่อน ในขั้นตอนการปั่นแห้งนั้นคุณจะได้เพลิดเพลินกับการรอคอยอีก 6.5 ชั่วโมงสำหรับปริมาณผ้า 3.5 กิโลกรัมด้วย เยี่ยมไปเลย!• ต่อด้วยความปลอดภัยของรถยนต์ แม้บริษัททากาตะ ซึ่งเป็นผู้ผลิตถุงลมนิรภัยให้กับรถหลายค่ายจะล้มละลายไปแล้ว แต่เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ CHOICE ให้รางวัลนี้แก่ Honda Toyota Lexus Mazda และ BMW เพราะไม่มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อใดๆ ให้ผู้ใช้รถทราบว่ายังมีถุงลมที่ผลิตเป็นรุ่นแรกๆจากทากาตะอยู่ในรถของพวกเขา (รวมๆ แล้วประมาณ 50,000 คันในออสเตรเลีย) แถมยังไม่บอกว่ารถบางคันที่ผู้ใช้นำเข้ามาเปลี่ยนถุงลมนิรภัย ก็ได้ถุงลมชนิดที่ยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อยและกำลังรอเวลาเรียกคืนไปใช้ชั่วคราวด้วย• CHOICE ไม่เคยพลาดแจกรางวัลให้กับธนาคารที่เสนอบริการได้แย่เยี่ยม ปีนี้ Wespac ชนะทุกค่ายขาดลอย ด้วยบริการเงินออมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถ้าคุณเปิดบัญชีให้ลูกน้อยตั้งแต่วันนี้ คุณจะได้โบนัส 200 เหรียญ (5,200 บาท) และดอกเบี้ยร้อยละ 2.3  สมมุติว่าเราฝากเงินเดือนละ 200 เหรียญทุกเดือนเป็นเวลา 16 ปีตามกำหนด เงินต้น 38,600 เหรียญก็จะมีดอกเบี้ยงอกเงยมา 8,054 เหรียญ รวมกับโบนัสตามโฆษณาแล้วจะได้เงิน 46,654 เหรียญ แต่ถ้าฝากกับธนาคารอื่นซึ่งให้ดอกเบี้ยร้อยละ 3.5 โดยไม่มีโบนัส คุณจะได้เงินถึง 51,377 เหรียญ • รายสุดท้ายที่ได้รางวัลจาก CHOCE เคยเป็นข่าวในฉลาดซื้อมาแล้ว สมาชิกคงจำ Viagogo เว็บไซต์จากสวิตเซอร์แลนด์ที่รับจองตั๋วคอนเสิร์ตกันได้ ทั้งขาร็อค ขาป็อป เจ็บกันมาเยอะ ตั้งแต่ตั๋วราคาแพงหูดับ(จะไม่ซื้อก็ไม่ได้ หน้าจอมันบอกว่าใบสุดท้าย) มีตั๋วแต่ไม่สามารถเข้างาน(เพราะที่นั่งซ้ำกับคนอื่น) อุตส่าห์ทุ่มซื้อราคาหน้าเวทีแต่กลับได้นั่งบนสุด ฯลฯ เมื่อเกิดปัญหา ผู้ซื้อไม่สามารถติดต่อกับทางเว็บไซต์ได้ บริษัทอ้างว่าหากต้องการขอรับการชดเชย ต้องแจ้งภายใน 14 วันหลังรับตั๋ว หรือภายใน 48 ชั่วโมงหลังคอนเสิร์ต ซึ่งตามกฎหมายออสเตรเลียแล้ว ผู้บริโภคสามารถร้องเรียนได้ตลอด ตาม “เวลาที่เหมาะสม”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 รถโดยสารสองชั้น ตอนที่ 2!!

แม้ว่าประเด็นความเสี่ยงในความไม่ปลอดภัยของรถโดยสารสองชั้น จะเป็นข้อถกเถียงกันระหว่างกลุ่มนักวิชาการและกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจว่า จริงๆ แล้วรถโดยสารสองชั้นมีความปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยกันแน่ ทั้งที่รถโดยสารสองชั้นที่วิ่งกันทุกวันนี้ ล้วนผ่านการรับรองการใช้งานจากกรมการขนส่งทางบกมาแล้วทุกคัน แต่ด้วยความสูงของรถโดยสารสองชั้นที่สูงมากถึง 4.30 เมตร ในทางวิศวกรรมถือเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ ยิ่งหากมีปัจจัยความประมาทเลินเล่อของคนขับ และปัจจัยเสี่ยงจากสภาพถนนโค้ง ลาดชัน หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยรวมกันแล้ว ย่อมมีส่วนทำให้รถโดยสารสองชั้นเกิดอุบัติเหตุเสียหลักหรือพลิกคว่ำได้ง่ายขึ้นแม้จะไม่ได้ใช้ความเร็วมาก จากความสูญเสียในหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการกำหนดมาตรการป้องกันสำหรับรถโดยสารสาธารณะโดยเฉพาะรถโดยสารสองชั้นที่มีความสูงเป็นปัจจัยเสี่ยง คือ การทดสอบการทรงตัว หรือที่เรารู้จักกันว่า การทดสอบความลาดเอียง 30 องศานั่นเอง เพื่อให้มีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่ใช้บริการ ลำดับการจัดการปัญหารถโดยสารสองชั้นเริ่มแรกในปี 2555 กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศกำหนดให้รถโดยสารที่สูงเกิน 3.60 เมตร ขึ้นไป ต้องมีเกณฑ์การทรงตัวหรือผ่านทดสอบความลาดเอียง 30 องศา มีผลให้รถโดยสารที่สูงเกิน 3.60 เมตร (ส่วนใหญ่คือรถโดยสารสองชั้น) ที่จดทะเบียนก่อน 1 มกราคม 2556 ต้องผ่านการทดสอบความลาดเอียงก่อนวันที่ 1 มกราคม 2561 ส่วนรถที่จดทะเบียนใหม่ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป ต่อมาในปี 2557 กรมการขนส่งทางบก ได้ออกประกาศฉบับที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติมปรับปรุงระยะเวลาการบังคับใช้เกณฑ์การทรงตัวให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยกำหนดให้รถโดยสารสองชั้นที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2556 ต้องผ่านการทดสอบความลาดเอียงก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ประกาศฉบับนี้ก็ไม่ได้การยอมรับจากกลุ่มผู้ประกอบการ จนนำไปสู่การยื่นข้อเสนอเพื่อหาทางออก ผ่อนผันจากมาตรการบังคับให้ต้องนำรถเข้ารับการทดสอบตามประกาศฉบับนี้ ทำให้ในช่วงปลายปี 2558 ก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามประกาศฉบับที่ 2 กรมการขนส่งทางบก ต้องออกประกาศฉบับที่ 3 ยกเลิกข้อความตามประกาศฉบับที่ 1 และที่ 2 เพื่อผ่อนผันให้รถโดยสารสองชั้นที่จดทะเบียนก่อน วันที่ 1 มกราคม 2556 จำนวนกว่า 5,700 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 75 ของรถโดยสารสองชั้นทั้งหมด ยังไม่ต้องนำรถมาทดสอบความลาดเอียงตามกำหนดระยะเวลาเดิม แต่ต้องนำรถไปติดระบบ GPS ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมการใช้ความเร็วแทน และหากรถในกลุ่มนี้ แจ้งยกเลิกการใช้หรือนำรถมาจดทะเบียนใหม่หรือเปลี่ยนแปลงตัวถังรถ รถในกลุ่มนี้ก็ต้องบังคับให้เข้ารับการทดสอบความลาดเอียงก่อนวิ่งให้บริการเช่นเดียวกัน และในปี 2560 นี้ กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดมาตรการคุมกำเนิดรถโดยสารสองชั้นเพิ่มอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการกำหนดให้รถโดยสารขนาดใหญ่ที่มาจดทะเบียนใหม่จะต้องมีความสูงไม่เกิน 4.00 เมตร จากเดิมที่กำหนดไว้ 4.30 เมตร โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2560 โดยมีเป้าหมายเพื่อไม่ให้มีการจดทะเบียนรถโดยสารสองชั้นเพิ่มใหม่ในระบบอีก ซึ่งจะเป็นการจัดระบบรถโดยสารสองชั้นได้อีกทางหนึ่งด้วย อนาคตของรถโดยสารสองชั้นจากมาตรการต่างๆ ของกรมการขนส่งทางบก จะเห็นได้ว่าเป็นแนวทางจัดการที่มุ่งเน้นไปกับกลุ่มรถจดทะเบียนใหม่ที่ควบคุมได้ง่ายมากกว่า ในขณะที่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนหรือเป็นทางออกร่วมกันกับกลุ่มรถเก่าหรือรถที่ใช้งานมาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2556 ที่เป็นรถกลุ่มใหญ่ในระบบตลาดทุกวันนี้ แม้ทางออกในวันนี้ คือ การติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็ว รวมถึงมาตรการควบคุมพฤติกรรมคนขับรถด้วยเทคโนโลยี ซึ่งมีผลช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์โครงสร้างของตัวรถโดยสารสองชั้นที่ไม่เหมาะสมสำหรับการนำมาใช้ในเส้นทางเสี่ยงได้ โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการประกอบต่อรถโดยสารขนาดใหญ่ของอู่ต่อรถในบ้านเรา ยังต่อกันตามแบบที่สั่งกับแบบที่มี ไม่ใช่ต่อตามแบบมาตรฐานที่กรมฯ ควรจะกำหนดไว้ ดังนั้นหากกรมการขนส่งทางบก ปรับนโยบายใช้แนวทางการหาทางออกแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นการกำหนดแบบมาตรฐานโครงสร้างรถโดยสารที่ปลอดภัย การสนับสนุนอาชีพพนักงานขับรถที่มีประสิทธิภาพ และระเบียบข้อบังคับความปลอดภัยที่จะออกมาเพิ่มเติมในอนาคต รวมถึงการทบทวนมาตรการต่างๆเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน น่าจะเป็นทางออกที่ดีต่อทุกฝ่ายมากกว่าการบังคับเพียงฝ่ายเดียวแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้แบบที่ผ่านมา 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 ดัดขนตาถาวร ปลอดภัยแค่ไหน

ขนตาโค้งงอน เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนปรารถนา จึงสรรหาสารพัดวิธีมาทำให้สวยสมใจ ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็หนีไม่พ้นการใช้ที่ดัดขนตา แต่ก็มักจะได้ยินเสียงบ่นตามมาเสมอว่าดัดแล้ว ขนตาไม่โค้งงอนอย่างที่ต้องการ ทำให้ปัจจุบันได้มีอีกหนึ่งวิธีการเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวนั่นก็คือ การดัดขนตาถาวร ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน เราลองไปดูกันมาดูความโค้งงอนตามธรรมชาติของขนตากันก่อนหลายคนอาจคิดว่า ขนตามีไว้เพื่อเป็นความสวยงามให้กับดวงตา แต่จริงๆ แล้ว ขนตาทำหน้าที่คอยป้องกันดวงตาของเราจากสิ่งแปลกปลอม ซึ่งตามธรรมชาติขนตาจะมีลักษณะชี้ตรง แต่บางคนขนตาอาจจะงอนขึ้นด้านบนในหนังตาบน และงอนลงล่างในหนังตาล่าง รวมทั้งมีความยาวแตกต่างกันไปตามลักษณะพันธุกรรม ขนตางอนด้วยการดัดถาวร ปลอดภัยแค่ไหนการดัดขนตาถาวร เป็นการใช้น้ำยาดัดหรือกาว เพื่อยกโคนขนตาขึ้นให้มีความโค้งงอนตลอดเวลา ซึ่งสามารถอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีขนตายาวชี้ตรง ดูไม่สวยงามและต้องการประหยัดเวลาในการแต่งหน้า ทั้งนี้ปัจจุบันบางร้านอาจเรียกวิธีการดังกล่าวว่า Lash lifting (ลิฟติ้ง ขนตา) ซึ่งโฆษณาว่าใช้เซรั่มหรือน้ำยา ที่มีความอ่อนโยนกว่าการดัดขนตาถาวรอย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมว่า บริเวณดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง สามารถเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้นการใช้สารเคมีใดๆ ในบริเวณดังกล่าว อาจทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองได้ทั้งนั้น เช่น เปลือกตาบวมแดง อักเสบหรือเกิดโรคที่เปลือกตา ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขนตา เช่น ขนตาร่วงผิดปกติ ขนตาเก หักหงิกงอหรือหยุดการเจริญเติบโตได้ ดัดขนตาถาวรอย่างไรให้ปลอดภัยหลายคนอาจเลือกรับบริการดัดขนตาถาวรหรือลิฟติ้ง ขนตาที่สถานบริการความงาม และบางคนก็ที่จะซื้อน้ำยาดัดขนตามาทำเองที่บ้าน ผ่านการซื้อสินค้าจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักโฆษณาว่าเป็นน้ำยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีความอ่อนโยน ได้รับมาตรฐานจากหลายองค์กร แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสินค้าที่นำมาใช้กับดวงตาของเรานั้นมีมาตรฐานจริง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราจึงควรตรวจสอบรายละเอียดเบื้องต้นก่อนว่า เป็นสินค้าที่ได้รับมาตรฐาน อย. หรือไม่ ดังนี้1. มีเลขที่จดแจ้งเราต้องไม่ลืมว่า น้ำยา เซรั่ม กาวหรือทรีตเมนท์ ใดๆ ที่ใช้สำหรับดัดหรือยกขนตาให้โค้งงอนในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้นั้น จัดเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งต้องได้รับเลขที่จดแจ้งจาก อย. เพื่อแสดงว่าไม่มีส่วนประกอบที่เป็นสารต้องห้าม แต่ไม่ได้หมายความว่าหากผู้บริโภคใช้แล้วจะไม่เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตหลายรายที่แอบลักลอบเติมสารอันตราย ภายหลังการขอเลขที่จดแจ้งแล้วอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากมีเลขที่จดแจ้ง เราก็จะสามารถตามตัวผู้ผลิตมารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ปัจจุบันเลขที่จดแจ้งจะมีจำนวน 10 หลักและ 13 หลัก โดยไม่อยู่ภายใต้กรอบอย. เช่น XX-X-XXXXXXX ซึ่งวิธีตรวจสอบว่าเป็นสินค้าที่มาจากประเทศใด สามารถดูได้จากตัวเลขหลักที่ 2 โดยหากเป็นเลข 1 แสดงว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ และหากเป็นเลข 2 แสดงว่าเป็นสินค้านำเข้า รวมทั้งเราควรเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของเลขที่จดแจ้ง ผ่านทางเว็บไซต์ของ อย. ที่ www.fda.moph.go.th และสามารถโทรศัพท์ร้องเรียนสินค้าที่คาดว่าจะไม่ปลอดภัยได้อีกด้วย ผ่านทางสายด่วน อย. 1556 (วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น.)2. มีฉลากภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าก็ต้องมีฉลากภาษาไทย ซึ่งต้องระบุข้อความให้ครบถ้วน ดังนี้ ชื่อและชนิดของเครื่องสำอาง, เลขที่ใบรับแจ้ง, สารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม, วิธีการใช้, ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือนำเข้า, ปริมาณสุทธิ, เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต, เดือนปีที่ผลิตและคำเตือน (ถ้ามี)หากเราพบว่าเครื่องสำอางที่เราซื้อมานั้น ไม่มีฉลากภาษาไทย ควรตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นไว้ก่อนว่า อาจเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยและไม่ควรเสี่ยงใช้เครื่องสำอางนั้น โดยเฉพาะน้ำยาดัดขนตาที่กฎหมายกำหนดกำหนดไว้ว่า ห้ามนำสารเคมีบางชนิดที่มีความเสี่ยงสูง หรือสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคมาผสม เช่น Thioglycolic acid esters ซึ่งเป็นสารที่อนุญาตให้ใช้เฉพาะในผลิตภัณฑ์สำหรับดัดผมหรือยืดผมเท่านั้น โดยหากนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับดัดขนตา จะถือว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีวัตถุที่ห้ามใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 ชามหัศจรรย์ ยิ้มกันเฉพาะสมาชิก

ผมพบเอกสารเผยแพร่ต่อๆ กันมาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชาชนิดหนึ่ง ตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ยิ้มแย้มน่ารักน่าชัง ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชาชงสมุนไพรดื่มแบบทั่วๆไป แต่ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ กลับพบข้อความประหลาดๆ มากขึ้นทุกที “ชาสมุนไพรไล่โรค สำหรับท่านที่มีปัญหาสุขภาพไต เบาหวาน โคเลสเตอรอล ความดันโลหิต ระบบขับปัสสาวะอักเสบ” แค่เกริ่นเบื้องต้นก็คงทำให้ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังต่างๆ ดังกล่าวสนใจ และเป็นไปตามเคยครับ หลังจากนั้นก็ตามด้วยข้อความที่พรั่งพรู บรรยายสรรพคุณอย่างมหัศจรรย์ “ชาชนิดนี้ ทำจากใบชา 100% เป็น สมุนไพรไทยที่น่าจับตามองและน่าทึ่ง จากความสามารถในการกำจัดของเสียและขับพิษอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่ใช่ชาแต่เป็นสมุนไพรพื้นบ้านโบราณ”(อ้าวไม่ใช่ชาแล้วหรือ?) อย่าเพิ่งงงครับ เพราะประโยคต่อไปจะทำให้งงอีกครั้ง “ทำจากใบชาอัสสัม ล้างพิษสะสมในไต และล้างพิษในระบบเลือด ขับพิษร้อน ลดน้ำตาลและโคเลสเตอรอลในเลือด ปรับสมดุลระบบร่างกาย รักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับเบาหวาน และระบบปัสสาวะ อาการภูมิแพ้ และอาการไม่สบายเนื้อตัวอื่นๆ อันเกิดมาจากพิษสะสมในร่างกายมากเกินไป สามารถดื่มได้ตลอดวันโดยไม่สะสมในร่างกาย”  และเพื่อยืนยันสรรพคุณที่บรรยายมา จึงมีภาพบุคคลมาอ้างอิงผลในการรักษา โดยบรรยายว่า “ตนเคยป่วยเป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลสูงถึง 385 จนในที่สุดคุณหมอจะเริ่มรักษาโดยการฉีดอินซูลิน แต่ตนโชคดีที่มาเจอชาชนิดนี้ เมื่อนำมาใช้ ระดับน้ำตาลในเลือดก็ลดลงเหลือ 95” ก่อนจบลงโดยการบอกว่า “ขอฝากบอกทุกคนที่ป่วยเป็นเบาหวานว่าอย่ากลัวหรือกังวลใดๆ เพราะเราพบแล้วว่าชานี้จะล้างสารพิษ และของเสียออกจากร่างกาย ที่สำคัญคือขอให้เคร่งครัดและดื่มต่อเนื่องอย่างจริงจัง”  และไม่รู้ว่าผู้ผลิตจะรู้ช่องที่กฎหมายจะดำเนินการหรือเปล่า เอกสารชิ้นนี้จึงระบุข้อความชัดเจนว่า “เฉพาะสมาชิกเท่านั้น” (พยายามเลี่ยงว่า ไม่ใช่ของคนทั่วไปของสมาชิกเท่านั้น แต่ทำไมเผยแพร่ไปซะทั่วบ้านทั่วเมือง) แถมไม่ระบุชื่อที่อยู่ผู้ผลิตแต่อย่างใด นอกจากเว้นพื้นที่ว่างให้คนไปเขียนเติมเอาเอง(คงให้ผู้ขายไปเขียนเอาเอง แบบเอาตัวเองรอด แต่คนขายผิดเอง)ผมเห็นข้อมูลแบบนี้ก็อยากจะไปหาตัวผู้ผลิต แล้วถามไปเลยว่า ถ้ามันดีแบบนี้ทำไมไม่ไปขอขึ้นทะเบียนยาให้มันถูกต้อง แล้วรีบไปเสนอให้ทุกโรงพยาบาลใช้รักษาโรคต่างๆ ที่อ้างมามากมายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้ไม่ต้องมาทำเอกสารแบบหลบๆ เลี่ยงๆ กฎหมายแบบนี้ยังไงก็ขอเตือนและขอให้ผู้อ่านช่วยกันเฝ้าระวังกันนะครับ ชามหัศจรรย์ ยิ้มกันเฉพาะสมาชิก แต่โฆษณาโอเวอร์ แถมอ้างอิงผิดหลักวิชาการแบบนี้  ผิดกฎหมายแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 ส่องฉลากสบู่สมุนไพร สูตรกระจ่างใส

ในเล่มที่ผ่านมาเราเคยส่องฉลากสบู่ฆ่าเชื้อและสบู่สมุนไพร สูตรลดสิวกันไปแล้ว คราวนี้กลับมาพบกันอีกครั้งกับ “สบู่สมุนไพร สูตรกระจ่างใส” ซึ่งถือเป็นสูตรที่ขายดีที่สุดอันดับหนึ่งในตลาดสบู่* เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามด้วยสรรพคุณตามคำโฆษณาของสบู่สมุนไพรเหล่านี้ เช่น ปรับผิวให้ขาวเนียนใส ไร้ริ้วรอย  สว่างออร่า มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือแม้แต่ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ราคาของสบู่สมุนไพรหลายยี่ห้อสูงกว่าสบู่ธรรมดาหลายเท่าตัว จนหลายคนอาจลืมไปว่าสบู่ดังกล่าวเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้เพื่อความสะอาด ความสวยงามเท่านั้น โดยไม่สามารถอ้างว่า บำบัด บรรเทา รักษา ป้องกันโรค ความเจ็บป่วย มีผลต่อโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ต่างๆ ของร่างกายได้ เพราะหากทำได้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะกลายเป็นยารักษาโรคแทน  ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสาส่องฉลากสบู่สมุนไพรที่เน้นสรรพคุณว่าช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างหรือแตกต่างจากสบู่ธรรมดาทั่วไปอย่างไร เราลองไปดูกันเลย*หมายเหตุ อ้างอิงจากตลาดสบู่ ในเดือนมีนาคม 2560  ซึ่งจัดทำโดย ลอรีอัล (Marketeer) พบว่า มีมูลค่าตลาดรวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. สบู่บิวตี้ 43% 2. สบู่ฆ่าเชื้อเพื่อสุขภาพ 25% 3. สบู่สมุนไพร 17% 4. สบู่เด็ก 10% 5. อื่นๆ 5%ผลการดูฉลากสบู่สูตรผิวใส1. อิงอรสูตร: ผสมทองพันชั่งแท้ปริมาณสุทธิ: 160 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : น้ำมันธรรมชาติ โซเดียมไฮดรอกไซด์ กลีเซอรีน สมุนไพรมะขาม ทองพันชั่ง วิตามินซี เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5320540ราคา: 29.5 บาท (0.2 บาท/กรัม)2. เทพสมุนไพรสูตร: อโรมา สครับ เชง หนงปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : ชาเขียว, ขิง, มะละกอAqua, Sodium Palmitate, Sodium Palm Kernelate, Glycerin, Fragranceเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5207519ราคา: 29 บาท (0.3 บาท/กรัม)3. นกแก้วสูตร: มะขาม ขมิ้น น้ำผึ้งปริมาณสุทธิ: 75 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate or Sodium Cocoate, Sodium Palmate, Palm Kernelate Acid, Palm Acid, Glycerin, Sodium Chloride, Fragrance, Lactic Acid, Salicylic Acid, Camphor, Triclosan, Tamarindus Indica Fruit Extract, Butylene Glycol, Curcuma Longa (Turmeric) Root Extract, Honey Extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5874818ราคา: 20 บาท (0.3 บาท/กรัม)4. BENNETT เบนเนทสูตร: วิตามินซีและอีปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Natural soap, Glycerin, Vitamin C, Orange rind oil Herbal oil, Vitamin Eเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5318626ราคา: 40 บาท (0.3 บาท/กรัม)5. Citra ซิตร้าสูตร: ผงไข่มุก (มะขาม น้ำนมข้าวและ AHA)ปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Elaeis guineensis (Palm) oil, Oryza sativa (Rice) barn oil, Cocos Nucifera (Coconut) Oil, Sodium Hydroxide, Glycerin, Fragrance, Microcrystalline cellulose, Sucrose, Zea mays (Corn) Starch Melaleuca alternifolia (Tea tree) leaf oil, BHT, Ascorbic acid, Caprylic/capric triglyceride, Lactic acid, Tamarindus Indica Fruit Extract, Pearl extract, Potassium sorbate, Xanthan gumเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5910003270 ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)6. Sille ซิลลี่สูตร: มะขาม ขมิ้น ขิงปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : น้ำมันมะพร้าว น้ำ น้ำหอม โซเดียมไฮดรอกไซด์ สารสกัดมะขาม สารสกัดขมิ้น สารสกัดขิง ไทเทเนียม ไดอ็อกไซด์ เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5311945ราคา: 39.5 บาท (0.4 บาท/กรัม)7. ธัญญะสูตร: มะขาม AHA& Vitamin Cปริมาณสุทธิ: 120 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palmitate, Tamarindus Indica L., Rhinacanthus Nasutus, Fragranceเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5202853ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)8. KOKLIANG ก๊กเลี้ยงสูตร: Snow Lotus สโนว์ โลตัสปริมาณสุทธิ: 90 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palmitate, Sodium Palm Kernelate, Glycerin, Vitamin E, Fragrance, Saussurea Involucrata Extract, Centella Asiatica Extract, Borneol, Aloe Barbadensis Leaf Extract, Jasmine Tea Extract, CI74160 เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5873611ราคา: 35 บาท (0.4 บาท/กรัม)9. Protex โพรเทคส์สูตร: มะขาม ขมิ้น ทานาคาปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate or Sodium Cocoate, Sodium Palmate, Fragrance, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin CCurcuma Longa (Turmeric) Extract, Camellia Sinensis Leaf Extract, Limonia acidissima (Thanaka) Extract, Tocopherol (Vitamin E)เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5908279ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)10. K. BROTHERSสูตร: สารสกัดเฮอร์คิวมินปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ: น้ำมันมะพร้าว โซเดียมไฮดรอกไซด์ ไทเทเนียม ไดออกไซด์ สารสกัดเฮอร์คิวมิน น้ำหอม น้ำเลขที่ใบรับแจ้ง: 24-1-5400053ราคา: 39.5 บาท (0.4 บาท/กรัม)11. SUPAPORN สุภาภรณ์สูตร: มะขาม+มะเฟืองปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Elaeis Guineensis Oil, Cocos Nucifera Oil, Sodium Hydroxide, Perfume, Camphor, Oryza Sativa Germ Oil, Copernicia Cerifera wax, Tamarindus Indica Heart Wood, Sodium Gluconate, Sodium Lactate, Borneol, Etidronic Acid, BHT, Salicylic Acid, Curcuma Aromatica Powder, Averrhoa Carambola Fruit Extract, Tamarindus Indica Fruit Extract,เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5511791ราคา: 49 บาท (0.5 บาท/กรัม)12. De leaf THANAKA เดอ ลีฟ ทานาคาสูตร: มอยส์เจอร์ไรซิ่ง แอนด์ ไวท์เทนนิ่งปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate, Sodium Cocoate (Coconut oil), limonia acidissima bark powder (Thanaka Powder), Fragrance, Curcuma Longa Root Powder (Turmeric), Glycerin, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Nicotinamide (Vitamin B3), limonia acidissima extract (Thanaka Extract) เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5712945ราคา: 45 บาท (0.5 บาท/กรัม)13. PARN VIMARN ปานวิมานสูตร: ขมิ้นชัน ผสมทานาคาปริมาณสุทธิ: 125 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Cocos Nucifera Oil, Elaeis Guineensis Oil, Sodium Hydroxide, Perfume, Glycerin, Galanga rhizomes extract, Butyrospermum parkii (shea) butter extract, Olea europaea (olive) fruit oil, Tocopheryl Acetate, Limonia acidissima bark extract, Curcuma longa root extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5631586ราคา: 80 บาท (0.6 บาท/กรัม)14. Lavenze ลาเวนเซ่สูตร: น้ำนมข้าวหอมมะลิปริมาณสุทธิ: 90 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate, Sodium Cocoate (Coconut oil), Rice, Milk Fragrance, Glycerin, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Oryza Sativa (Rice) Extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5635553ราคา: 65 บาท (0.7 บาท/กรัม)15. GIFU กิฟุสูตร: ถ่าน ลาวาภูเขาไฟปริมาณสุทธิ: 70 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Palmitic Acid, Lauric Acid, Propylene Glycol, Sodium Laureth Sulfate, Stearic Acid, PEG-40 Glyceryl Cocoate, Sodium Coceth Sulfate, Etidronic Acid, Charcoal Powder, Lava Powder, Sericinเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-6001000ราคา: 59 บาท (0.8 บาท/กรัม)16. สวนสมุนไพรอุ่นหนาฝาคั่งสูตร: น้ำผึ้งนางพญาปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : พญายอ, ลิ้นทะเล, น้ำมันสมุนไพรมะพร้าว, JRD, น้ำมันงาเชย, น้ำมันรำข้าวสีนิลเลขที่ใบรับแจ้ง: 13-1-5400173ราคา: 119 บาท (0.9 บาท/กรัม)17. TANAKAสูตร: Perfect white soapปริมาณสุทธิ: 65 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Aqua, Sodium Palmitate, Sodium Palmkernal, Sodium Cocoate, Glycerin, Sodium Laureth Sulfate, Niacinamide (vitamin b3), Fragrance oil, Tocopherol, Trehaloseเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5938334ราคา: 120 บาท (1.8 บาท/กรัม)18. OAB’S SOAP โอปโซฟสูตร: Moonlight Honey Drop มูนไลท์ ฮันนี่ ดรอปปริมาณสุทธิ: 80 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Palmitic Acid, Stearic Acid, PEG-40 Hydrogenated castor oil, Decyl glucoside, Lauric Acid, Myristic acid, Fragrance, Wild Honey, Manuka honey, Bitter honey, Sodium chloride, Niacinamide, Evening primrose oil, Passion fruit extract, Citrus lemon fruit extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-6010024812 ราคา: 250 บาท (3 บาท/กรัม)ข้อสังเกต1.มีบางยี่ห้อที่มีเลขที่จดแจ้ง 13 หลัก ซึ่งต่างจากเดิมที่มีแค่ 10 หลัก โดยทาง อย. ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันได้มีผู้จดทะเบียนเครื่องสำอางมากขึ้น ทำให้เลขที่จดแจ้งของเครื่องสำอางเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรตรวจสอบความถูกต้องของเลขที่จดแจ้งก่อนทุกครั้ง ผ่านการสืบค้นข้อมูลที่เว็บไซต์ของอย. (www.fda.moph.go.th) 2.สบู่สูตรที่อ้างว่าช่วยให้ผิวกระจ่างใส จะมีราคาค่อนข้างแพง พบว่า ยี่ห้อที่แพงที่สุด ตกราคากรัมละ 3 บาท ได้แก่  OAB’S SOAP โอปโซฟ รองลงมาคือ TANAKA ที่ตกที่ราคากรัมละ 1.8 บาท ขณะที่ยี่ห้ออื่นๆ มีราคาต่อกรัมไม่เกิน 1 บาท โดยสบู่ตัวที่มีราคาเฉลี่ยต่ำสุด 20 สตางค์ คือ อิงอร   ส่วนผสมในสบู่ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 1. กลุ่มสารลดแรงตึงผิว ได้แก่ สารลดแรงตึงผิวประจุลบ คือ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) และสารลดแรงตึงผิวสองประจุ ได้แก่ Cocamidopropyl Betaine สำหรับสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดฟองและสามารถความสะอาดได้ดี ซึ่งสาร SLS จะมีความสามารถชำระล้างได้รุนแรงกว่าชนิดอื่น ทำให้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง 2. กลุ่มสารที่มีความเป็นด่างสูง ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ ได้แก่ Potassium Hydroxide และ Sodium Hydroxide 3. สารกลุ่มกรดไขมันและเกลือของกรดไขมัน ได้แก่ Potassium Myristate, Potassium Palmitate, Potassium Laurate, Potassium Oleate, Potassium Stearate, Stearate, Stearic acid, Palmitic acid, Lauric acid, Myristic acid สามารถทำให้เกิดคราบไคลสบู่ตกค้างในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย 4. สารกลุ่มน้ำหอม ได้แก่ Perfume, Fragrance  อาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองในผู้ที่แพ้น้ำหอม 5. ส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย Triclosan มีผลต่อการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย และถูกแบนแล้วที่อเมริกาแนะวิธีดูแลผิวให้ขาวใส1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินที่มีวิตามิน A ซึ่งพบมากในผลไม้สีเหลือง ส้ม แดงและเขียวเข้ม จะสามารถช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส มีความชุ่มชื้น หรือผลไม้ที่มีวิตามิน C ให้ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งพบมากในผักตระกูลกะหล่ำ มะรุม บลอกโคลี และผลไม้หลายชนิด เช่น ฝรั่ง ลิ้นจี่ ส้มโอ มะละกอสุก สตอร์เบอรี่ พุทรา หรือผลไม้ที่มีวิตามิน E เพราะสามารถช่วยช่วยชะลอความแก่ ทำให้ผิวพรรณสดใส พบมากในน้ำมันจากธัญพืช และถั่วประเภทเปลือกแข็ง รวมทั้งควรดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ2. ดูแลตัวเองจากปัจจัยภายนอก เช่น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสียด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง นอกจากนี้อาจมีการขัดผิวอาทิตย์ละครั้งเพื่อกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ด้วยวิธีที่ปลอดภัยอย่างสมุนไพรประจำบ้านเรา เช่น มะขามเปียก เนื่องจากมีกรด AHA ที่จะช่วยลอกผิวหนังชั้นบนที่ตายออก ทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยๆ เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด หรือใช้ขมิ้นชันขัดผิว เพราะมีคุณสมบัติยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน ช่วยทำให้สีผิวกระจ่างใสขึ้นได้ 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 200 ลิปบาล์มของใครให้ความชุ่มชื้นดีกว่า

ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำผลทดสอบผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปากหรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าลิปมัน/ลิปบาล์มมาฝาก การทดสอบขององก์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research and Testing) ครั้งนี้มีแม่งานเป็นองค์กรผู้บริโภคของประเทศโปรตุเกส DECO PROTESTE  และมีประเทศสมาชิกอย่างสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และฮ่องกงส่งตัวอย่างไปร่วมทดสอบ (และร่วมลงขันค่าใช้จ่าย)*เจ้าภาพเขาออกแบบการทดสอบครั้งนี้ไว้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องของความปลอดภัย เราทราบกันดีว่าเครื่องสำอางประเภทให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังมักจะมีส่วนประกอบของ Mineral Oils  เพราะมีคุณสมบัติที่ดี ไม่เหม็นหืน ไม่เสีย ไม่ทำให้เกิดสิว ฯลฯ แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการพูดถึงเรื่องการเป็นสารก่อมะเร็งด้วยหรือการสะสมในเนื้อเยื่อจนเป็นอันตรายต่อตับเช่นกัน ในยุโรปก็ประกาศข้อแนะนำว่าด้วยการควบคุมการปนเปื้อนของไฮโดรคาร์บอนจากน้ำมันมิเนอรัลในอาหารหรือภาชนะบรรจุอาหารเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแม้จะยังไม่มีผลวิจัยชี้ชัดในกรณีของเครื่องสำอาง แต่ผู้ผลิตหลายรายก็เริ่มเปลี่ยนมาผลิตเครื่องสำอางเหล่านี้โดยไม่ใช้สารดังกล่าวกันมากขึ้น การทดสอบขั้นแรกของเราจึงเป็นการตรวจหาไฮโดรคาร์บอนสองประเภทได้แก่ Mineral Oil Aromatic Hydrocarbons (MOAH) และ MOSH (Mineral Oil Saturated Hydrocarbons) ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบ MOSH  (C16 –C35) เกินร้อยละ 10 หรือมี MOAH ไม่ว่าจะในปริมาณเท่าใด จะไม่ได้เข้าสู่การทดสอบขั้นที่สอง ซึ่งเป็นการตรวจหาประสิทธิภาพการให้ความชุ่มชื้น ความพึงพอใจของผู้ใช้ และการให้คะแนนฉลากที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค ค่าใช้จ่ายในการทดสอบต่อหนึ่งตัวอย่างอยู่ที่ประมาณ  88,200 บาทตรวจหาไฮโดรคาร์บอน  750 ยูโร     (30,000 บาท)ตรวจวัดประสิทธิภาพการรักษาความชุ่มชื้น1,300 ยูโร     (51,000 บาท)สำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้ 184.5 ยูโร       (7,200 บาท)การทดสอบขั้นที่สอง (สำหรับกลุ่มที่ไม่ถูกคัดออก) มีคะแนนเต็มให้ 100 แบ่งออกเป็น  1) ประสิทธิภาพการรักษาความชุ่มชื้น ร้อยละ 60 เป็นการทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ทาผลิตภัณฑ์ลงบนปลายแขนด้านใน ของอาสาสมัคร ในปริมาณที่เท่ากันคือ 2 มิลิกรัมต่อ 1 ตารางเซนติเมตร (ซึ่งจะต้องใช้ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่ทีมงานกำหนดในช่วง 3 วันก่อนการทดสอบ) ในห้องที่มีการควบคุม อุณหภูมิไว้ที่ 22 องศาเซลเซียส ความชื้นร้อยละ 45 - 55 เจ้าที่จะวัดค่าความชุ่มชื้นด้วย Corneometer ก่อนทา หลังทา 2 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง 2) ความพึงพอใจของผู้ใช้  ร้อยละ 30  อาสาสมัครจำนวน 30 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงในวัยต่างๆ ทดลองใช้แล้วตอบแบบสอบถามหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ 15 นาที3) ฉลากที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค ร้อยละ 10  การให้ข้อมูลที่จำเป็นโดยไม่อวดอ้างเกินจริง รวมถึงแพ็คเกจและการซีลในภาพรวมเราพบว่าคะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้ในตัวผลิตภัณฑ์มักจะสูงกว่าค่าประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้น และยังไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนได้คะแนนรวมถึงร้อยละ 70  ด้วย มาดูกันเลยดีกว่าว่าลิปบาล์มที่คุณชื่นชอบนั้นได้คะแนนแต่ละด้านเท่าไรจากคะแนนเต็ม 100 รายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ DECO PROTESTE ไม่ได้ทำการทดสอบเนื่องจากตรวจพบส่วนผสมที่มีน้ำมันมิเนอรัลเช่น พาราฟิน หรือปิโตรลาทัม (เราไม่ได้นำเสนอว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอันตรายเราเพียงต้องการให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ไม่ต้องการใช้ลิปบาล์มที่มีสารประกอบดังกล่าวแม้จะมีปริมาณไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด)Aptonia Lip balm moisturising hydratantAvene Eau Thermale Cold Cream Nourishing Lip BalmBalmi Super Cube Lip Balm Lippenbalsam CoconutBebe Young Care /Johnson's Lipcare ClassicBlistex Lip Relief CreamBoiron Homéostick Baume lèvres au alendulaCarmex ClassicChesebrough Kløver vaselineContinente Baton para lábios Classic 15 UVBEucerin Lip aktivGarnier Ultra Doux Trésors de mielHelle Balzám with SPF8La Roche Posay NutriticLabello OriginalLabello Classic careLabello Sun protectLe petit Marseillais NutritionLe petit Marseillais NutritionLetibalm Bálsamo reparador nariz labiosLouis Widmer Soin lèvres stick uvMaybelline Baby lips Dr Rescue too coolMaybelline Babylips hydrateMentholatum Lipbalm original (2-pak)Neutrogena Stick labbraNeutrogena PotRepavar Regeneradora Hidratante SPF 20 potUriage Stick Lévres HydratantVaseline Vaseline OriginalVichy Aqualia ThermalVitalis Vedetön voideYves ROCHER Macadamia

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 รู้เท่าทันการใช้เท้าเหยียบรักษาโรค(ตอนที่ 2)

การใช้เท้าเหยียบรักษาโรคเป็นการแพทย์แผนไทย หรือการนวดไทยหรือไม่ เรามารู้เท่ากันกันต่อการนวดไทยมีการใช้เท้าเหยียบหรือไม่ การนวดไทยแท้มีการใช้ทุกส่วนของร่างกายของหมอนวดเพื่อกด บีบ คลึง ลูบ ร่างกายและจุดต่างๆ ของผู้ป่วย เพื่อรักษาอาการต่างๆ โดยเฉพาะ ปวดเมื่อย การติดขัดของข้อ และโรคต่างๆ  ดังนั้นการใช้ศอกและเท้าจึงเป็นวิธีการหนึ่งของการนวดไทย การใช้เท้านิยมใช้ในนวดไทยและนวดพื้นบ้านที่เรียกว่า ย่ำขาง หรือเหยียบเหล็กแดง  โดยการใช้ส้นเท้าเหยียบบนเหล็กผานไถที่เผาบนเตาถ่านให้ร้อนจนแดง หมอนวดจะใช้น้ำมันทาที่ส้นเท้าแล้วเหยียบลงบนเหล็กที่ร้อนแดงอย่างรวดเร็ว แล้วนำส้นเท้าที่มีความร้อนไปกดตามแนวเส้นและจุดต่างๆ ของร่างกายผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เพื่อให้เส้นและกล้ามเนื้อของผู้ป่วยที่เกร็ง หดตัว เกิดการคลายตัว และเลือดลมไหลได้สะดวก  การต้องใช้เท้าเหยียบเพราะผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตจะมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นมาก ดังนั้นการใช้มืออาจให้แรงกดไม่พอ จึงต้องใช้เท้าในการกด ในอินเดียก็มีการใช้เท้าเหยียบเพื่อรักษาเช่นเดียวกัน โดยมีเชือกสำหรับหมอนวดโหน และสามารถขึ้นไปเหยียบนวดบนตัวผู้ป่วยได้ แต่การนวดไทยไม่มีการใช้เท้าเหยียบบนใบหน้า ศีรษะของผู้ป่วย เพราะคนไทยถือว่าศีรษะเป็นของสูงและศักดิ์สิทธิ จึงไม่สมควรที่จะใช้เท้าหมอนวดไปทำกับศีรษะและใบหน้าผู้ป่วย นอกจากนี้บนใบหน้ายังมีเส้นประสาท 12 คู่ ดังนั้นการใช้เท้าเหยียบอาจทำให้เส้นประสาทได้รับบาดเจ็บศาสตร์พลังบำบัดมีการใช้เท้าหรือไม่   ตามหลักโยคะศาสตร์ เชื่อว่า ร่างกายมนุษย์มีศูนย์รวมพลัง ที่เรียกว่า จักระ อยู่ 7 แห่ง บนศีรษะ ใบหน้า และคอ มีจักระ 3 จักระ ได้แก่  วิสุทธิ  ตั้งอยู่บริเวณคอ ตรงกับร่างแหระบบประสาทที่คอ จักระนี้ควบคุมความบริสุทธิ์ ทำให้มีความสุขุม อัชณา ตั้งอยู่บริเวณหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสอง ที่เรียกว่า ตาที่สาม  จักระนี้ควบคุมความหยั่งรู้ทางจิต พลังทางจิตวิญญาณ สหัสสราร ตั้งอยู่ในสมอง กลางศีรษะ เปิดรับพลังจักรวาล เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้  จักระทั้ง 7 เชื่อมต่อกันแนวทางเดินของพลังที่ชื่อว่า อิทะ ปิงคละ และสุสุมนะ  ซึ่งการนวดไทยก็เชื่อว่ามีพลังตามแนวเส้นประธานสิบเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อดูตามหลักของศาสตร์เรื่องพลังตามแนวโยคะ จะเห็นว่า ศีรษะ ใบหน้า คอ เป็นตำแหน่งของจักระสำคัญ 3 จักระ และไม่มีการใช้เท้าในการกระตุ้นพลังตามจักระต่างๆ  การบำบัดด้วยพลังตามศาสตร์อื่นๆ ก็ไม่พบว่ามีการใช้เท้าเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัดด้วยพลังโดยสรุป  การใช้เท้าเหยียบหัว หน้า หรือตามร่างกายเพื่อบำบัดรักษาโรคจากโรคเวรโรคกรรมที่ต้องอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ด้วยพิธีการสื่อสารพลังจิตจากสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์แรกนั้น ไม่ได้มาจากพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน และไม่ใช่ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การนวดไทยอีกเช่นเดียวกัน  การบำบัดด้วยศาสตร์พลังบำบัดต่างๆ ก็ไม่มีการใช้เท้าในการบำบัดแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 รู้จักกฎหมาย “ขายฝาก” เป็นสัญญาซื้อขายแบบหนึ่ง ไม่ใช่สัญญาประกันหนี้

ช่วงเดือนที่ผ่านมา หลายท่านคงได้ติดตามข่าวฆาตกรรมที่มีปมจากเหตุฝากขายที่ดิน ที่ชาวบ้านหลายคนบอกว่าโดนหลอกให้ขายฝากที่ดิน แล้วถูกเอาที่ดินไปขายต่อโดยไม่รู้เรื่อง  ดังนั้นวันนี้ เรามาทำความรู้จักเรื่องการทำสัญญาขายฝากให้มากขึ้นกันดีกว่า เพื่อให้ผู้บริโภคอย่างเราเท่าทันเรื่องการขายฝากมากขึ้นครับ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การขายฝาก คืออะไร ต่างกับสัญญาจำนองอย่างไร ซึ่งหากไปดูข้อกฎหมายจะทราบว่า การทำสัญญาจำนอง คือการเอาทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน ไปเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือบ้านยังเป็นของเราอยู่ไม่ได้โอนไป หากเราไม่ชำระหนี้เขาจะบังคับจำนองต้องลำบากไปฟ้องศาล ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ แต่ถ้าทำเป็นสัญญาขายฝาก เหมือนเอาทรัพย์ไปขายและถ้าครบกำหนดก็ให้ซื้อคืนได้ ฉะนั้นกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือบ้านก็จะโอนไปด้วย หากเราผิดนัดชำระหนี้แค่วันเดียว ก็มีสิทธิจะเอาทรัพย์เราไปขายต่อหรือไปทำอะไรก็ได้เพราะกรรมสิทธิ์มันโอนมาแล้ว ไม่ต้องลำบากไปขอศาลด้วย ดังนั้นในมุมผู้ที่เดือดร้อนเงิน แล้วจะนำที่ดินหรือบ้านไปกู้เงิน จึงขอแนะนำว่าไม่ควรทำเป็นสัญญาขายฝากนะครับ เพราะโอกาสที่จะเสียทรัพย์สินจะมีสูงกว่าเพราะกรรมสิทธิ์โอนให้เขาไปตั้งแต่วันทำสัญญาแล้ว  เราจะเห็นว่า สัญญาขายฝากมีเรื่องของ “กำหนดเวลาไถ่ทรัพย์คืน” ไว้เป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากไม่มาไถ่คืนตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้ก็จะเสียสิทธิไถ่ทรัพย์คืน และทำให้ทรัพย์สินที่ขายฝากนั้นตกเป็นของผู้รับฝากทันที  อย่างไรก็ตามระยะเวลาไถ่ทรัพย์อาจขยายเวลาได้  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18460/2557            การขยายกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่อย่างน้อยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ จึงจะบังคับกันได้ การไม่นำหนังสือหรือหลักฐานเป็นหนังสือไปจดทะเบียนหรือจดแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คงมีผลทำให้คู่สัญญาไม่อาจยกการขยายเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 496 วรรคสอง ดังนั้น การตกลงขยายกำหนดเวลาไถ่ตามหนังสือขอต่อสัญญาขายฝาก ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ผู้รับไถ่ลงลายมือชื่อไว้ แม้มิได้นำไปจดทะเบียนหรือจดแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 แม้ไม่ได้ลงลายมือชื่อ แต่การที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นยินยอมในการกระทำของจำเลยที่ 1 กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการตกลงและทำหนังสือขยายกำหนดเวลาไถ่ให้แก่โจทก์ การลงลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับไถ่ด้วย หนังสือขยายกำหนดเวลาไถ่จึงมีผลผูกพันจำเลยทั้งสอง เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยนำทรัพย์สินที่รับซื้อฝากไปขายก่อนครบกำหนดเวลาไถ่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ นอกจากนี้ ถ้ามีการกำหนดราคาไถ่ทรัพย์ที่สูงกว่าราคาแท้จริงที่ขายฝาก กฎหมายก็ให้ถือว่า ให้ไถ่กันตามราคาขายฝากที่แท้จริง และรวมประโยชน์ตอบแทนไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี เท่านั้น โดย “ราคาขายฝากที่แท้จริง” คือ ราคาที่ผู้ซื้อฝากได้ชำระราคาแก่ผู้ขายฝากในขณะทำสัญญากัน ซึ่งอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าราคาทรัพย์สินที่แท้จริง  เช่น ราคาขายฝากบ้าน 300,000 บาท กำหนดเวลาไถ่ 3 ปี กำหนดสินไถ่ เป็นเงิน 500,000 บาท เช่นนี้ ถือว่ากำหนดไว้เกินร้อยละ 15 ต่อปี เนื่องจากเมื่อคิดประโยชน์ตอบแทนจะได้ 155,000 บาท เท่านั้น(ราคาขายฝากที่แท้จริง x ประโยชน์ตอบแทน ร้อยละ 15 x กำหนดเวลาไถ่) จึงได้เท่ากับ 455,000 บาทเท่านั้น ดังนั้นค่าสินไถ่ที่กำหนดไว้ 500,000 บาทจึงตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับได้เพียงไม่เกินที่กฎหมายกำหนดกล่าวคือ ผู้มีสิทธิไถ่ย่อมชำระสินไถ่เพียง 455,000 บาท เท่านั้น     อีกทั้ง กฎหมายเขียนเรื่องประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี  ทำให้บางคนเข้าใจว่าเป็นสัญญาประกันหนี้ เพราะมีลักษณะคล้ายดอกเบี้ยเงินกู้  แต่แท้จริงคือการทำสัญญาซื้อขายประเภทหนึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1265/2559       บันทึกเอกสารหมาย จ.4 มีข้อความสรุปว่า จำเลยได้รับขายฝากที่ดินพิพาท จำเลยยินดีจะทำสัญญาซื้อขายตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2556 ตามสัญญาเดิมที่ทำไว้พร้อมดอกเบี้ย โดยบันทึกดังกล่าวมีการอ้างถึงสัญญาขายฝากฉบับเดิมที่ น. มารดาโจทก์ทำไว้ก่อนตาย ซึ่งหากเป็นการตกลงจะซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างกันใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสัญญาขายฝากฉบับเดิมไว้ ทั้งยังตกลงให้โจทก์ต้องชำระสินไถ่พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาขายฝากเดิมให้แก่จำเลยภายในวันที่ 26 มกราคม 2556 กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยขยายกำหนดเวลาไถ่ให้แก่โจทก์  โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้รับไถ่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 496 วรรคสอง แล้ว น. มารดาโจทก์ผู้ขายฝากและจำเลยผู้รับซื้อตกลงคิดดอกเบี้ยเดือนละ 12,000 บาท กรณีนี้จึงเป็นการกำหนดราคาสินไถ่หรือราคาขายฝากสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เมื่อราคาสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 499 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ราคาสินไถ่ที่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 เล่ห์ลับสลับร่าง : เกิดเป็นชายหรือเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก

สังคมไทยได้ขีดวงกำหนดบทบาทของผู้หญิงกับผู้ชายเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า เพศใดพึงเป็นเช่นไร เพศใดควรทำกิจกรรมทางสังคมแบบใด และเพศใดควรวางตนอย่างไรที่จะบ่งชี้ว่าตนเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย หากเป็นผู้หญิง ก็ต้องเล่นบทบาทเป็นเพศที่นุ่มนวล อ่อนแอ รักสวยรักงาม เจ้าอารมณ์ และรอคอยการปกป้องจากบุรุษเพศอยู่เป็นนิจ แต่ในทางกลับกัน หากเป็นผู้ชายแล้ว บทบาทที่เล่นจะสลับมาเป็นเพศที่แข็งแกร่ง แข็งแรง ไม่สนใจความสำอางของรูปร่างหน้าตาจนเกินงาม คอยพิทักษ์ปกป้องสตรีเพศที่อ่อนแอกว่า และเป็นตัวแทนของเพศที่ใช้เหตุผลเป็นตัวนำทางการกระทำต่างๆ  อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการกำหนดบทบาทและคุณค่าของความเป็นเพศหญิงชายที่ค่อนข้างชัดเจนและต่างกันเอาไว้ดั่งนี้ แต่ทว่าสังคมไทยตั้งแต่ยุคอดีตก็จัดวางที่ทางให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความแตกต่างของบทบาททางเพศระหว่างกัน สมัยเด็กๆ ผู้เขียนจำได้ว่า เคยเห็นเคยชมกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านหรือการโต้เพลงปฏิพากย์หลายชนิดของไทย ที่จะแบ่งฝ่ายให้หญิงชายได้มาแข่งขันกันบ้าง โต้ตอบปฏิภาณกันบ้าง แต่มิได้มุ่งหมายที่จะเอาชนะกันอย่างจริงจัง หากเป็นไปเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างเข้าอกเข้าใจกัน และนำไปสู่การเกื้อกูลกันระหว่างเพศในท้ายที่สุด แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน เมื่อเวทีการละเล่นพื้นบ้านหรือการขับลำเพลงปฏิพากย์ตอบโต้กันได้ห่างไกลออกไปจากชีวิตคนรุ่นใหม่มากขึ้น พื้นที่การสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้บทบาทการเข้าใจกันและการอยู่ร่วมกันระหว่างเพศก็มิได้หายไปเสียทีเดียว หากแต่เป็นละครโทรทัศน์ที่ผ่องถ่ายการทำหน้าที่เป็นเวทีใหม่ของการสร้างสัมพันธ์กันระหว่างหญิงชายนั่นเอง  “เล่ห์ลับสลับร่าง” เป็นตัวอย่างของเนื้อหาละครที่ได้ทดลองให้ผู้หญิงกับผู้ชายได้สลับบทบาทและเรียนรู้บทบาททางเพศระหว่างกัน ผ่านการสลับร่างของตัวละครเอกคือ “เภตรา” กับ “รามิล”  ในส่วนของเภตรา เธอเป็นดาราสาวฝีมือมากความสามารถเจ้าของฉายา “ไข่มุกแห่งเอเชีย” และเพราะถีบทะยานจากลูกแม่ค้าจนๆ ขึ้นมาเป็นนางเอกชื่อดังแห่งยุค เภตราจึงหยิ่งทะนงในความสวย และเป็นคนเจ้าอารมณ์เหวี่ยงวีนฟาดงวงฟาดงาแบบไร้เหตุผลกับคนรอบข้างตลอดเวลา สำหรับรามิลนายตำรวจหนุ่มมือปราบแห่งหน่วยพยัคฆ์พิฆาต เจ้าของฉายา “ผู้กองมือเหล็ก” แม้จะเป็นผู้กองที่มีเหตุผลและมั่นใจในฝีมือที่ปฏิบัติภารกิจปราบปรามเหล่าร้ายจนสำเร็จอย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่ง รามิลก็มีอหังการในหน้าตาที่หล่อเหลาและเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ไปเรื่อย แม้เขาจะมี “นกยูง” คู่หมั้นสาวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว เปิดฉากมา ก็เหมือนจะเป็นตัวละครหญิงชายตามสูตร “พ่อแง่แม่งอน” ที่ต้องโคจรมาเจอกัน ต่างฝ่ายก็เริ่มสัมผัสฤทธิ์เดชของอีกฝ่าย โดยที่นางเอกก็ตั้งป้อมใช้อารมณ์เป็นพื้นฐาน ในขณะที่ฝ่ายพระเอกก็เลือกใช้เหตุผลโดยไม่คำนึงถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ จนกลายเป็นความไม่เข้าใจกันระหว่างเพศตรงข้ามมานับจากนั้น จนเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเภตราถูกโจรปล้นเพชรจับเป็นตัวประกัน ผู้กองรามิลได้เข้าไปช่วยเหลือ จนทั้งคู่พลัดตกลงจากดาดฟ้าตึกไปอยู่บนหลังคาผ้าใบของรถคลาสสิกคันหนึ่ง ทำให้วิญญาณชายหนุ่มหญิงสาวหลุดออกไปจากร่างของตน หากทุกวันนี้ ความผิดพลาดในการโอนไฟล์กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมดิจิตัล 4.0 ดังนั้น แม้จะได้รับความช่วยเหลือจาก “หมอนักษัตร” หมอดูชื่อดังที่ช่วยกู้ไฟล์วิญญาณให้กลับเข้าร่าง แต่ “เล่ห์ลับ” แห่งสรวงสวรรค์ก็ทำให้ไฟล์วิญญาณของทั้งคู่เกิด “สลับร่าง” กันและกันขึ้นมา และเมื่อต้องสลับไฟล์มาอยู่ในร่างที่แตกต่างจากเพศทางกายภาพของตน การเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ที่มีคู่โครโมโซมต่างออกไปจากเพศที่ตัวมาแต่กำเนิดจึงได้อุบัติขึ้น เริ่มตั้งแต่สรีระทางกายภาพที่ฝ่ายหนึ่งได้มาสัมผัสกับส่วนต่างๆ ของร่างกายไล่ไปจนถึงอวัยวะพึงสงวนของเพศตรงข้าม ก็ทำให้ตัวละครได้เรียนรู้ว่า โครงสร้างร่างกายของแต่ละเพศก็มีทั้งข้อเด่นและข้อจำกัดในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไป แบบที่ด้านหนึ่งเภตราก็เคยโวยวายกับพระเอกหนุ่มว่า “ขยะแขยงร่างของคุณน่ะสิ เหงื่อก็เยอะ ขนดก ตัวเหม็น แถมเวลาเดินยังโทงเทงอีกต่างหาก…” ในขณะที่รามิลก็พูดสวนกลับไปยังนางเอกสาวว่า “ผมเองก็สุดจะทนเหมือนกัน ต้องมาจำใจอยู่ในร่างป้อแป้ปวกเปียกของคุณ ทั้งผอมแห้ง แรงก็ไม่มี และที่สำคัญ เวลาผมวิดพื้น ของคุณมันก็โทงเทงเหมือนกันนั่นแหละ...”  นอกจากบทเรียนความแตกต่างทางเพศสรีระแล้ว แม้แต่ในแง่บทบาททางเพศที่สังคมกำหนดไว้ว่าเพศใดพึงมีบทบาทให้เล่นอย่างไร การสลับร่างก็ทำให้ตัวละครต้องเข้าใจบทบาทที่สังคมมอบหมายให้กับเพศที่แตกต่างเอาไว้แล้วด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อเรือนร่างที่อ้อนแอ้นของสาวสวยอย่างเภตรากลับมีทักษะการกู้ระเบิด และสามารถยิงปืนต่อสู้กับกลุ่มโจรนักค้ายาเสพติดได้อย่างหาญกล้า หรือเมื่อร่างแบบชายชาตรีของผู้กองรามิลกลับมีอากัปกิริยาสะดีดสะดิ้งขี้กลัว และไม่แสดงลักษณะความเป็นผู้นำของหน่วยพยัคฆ์พิฆาตออกมา สายตาของสังคมและคนรอบข้างจึงสนเท่ห์ไปกับบทบาทอันเบี่ยงเบนจากจารีตปฏิบัติของเพศสภาพที่ไม่น่าจะเป็น แม้จะอยู่ในสายตาที่สังคมตั้งคำถามมากมาย แต่การได้สลับร่างเพื่อเรียนรู้บทบาททางเพศที่แตกต่างกันเยี่ยงนี้เอง ก็ค่อยๆ ทำให้ความรักระหว่างเภตรากับรามิลก่อตัวและงอกงามขึ้นมา  จนมาถึงในท้ายที่สุดของเรื่อง กับฉากที่รามิลในร่างเภตราต้องทำหน้าที่เป็นคนอุ้มท้อง โดยมีเภตราในร่างรามิลคอยห่วงใยดูแล การเรียนรู้ความลำบากและเจ็บปวดที่สุดของเพศแม่ในการให้กำเนิด ได้นำไปสู่ความเข้าใจข้อเท็จจริงที่ว่า “เกิดเป็นชายหรือเป็นหญิงแท้จริงก็แสนลำบากด้วยความคาดหวังของสังคมกันทั้งนั้น”  และก็คงไม่ต่างจากเพลงปฏิพากย์หรือการละเล่นพื้นบ้านสมัยก่อนที่เอื้อให้หญิงชายได้เรียนรู้บทบาททางเพศและดำรงอยู่ด้วยกันอย่างเกื้อกูล หากแต่การสลับร่างสร้างรักของตัวละครก็ได้สืบต่อพันธกิจสร้างการเรียนรู้ดังกล่าวเอาไว้ เหมือนกับข้อความที่ละครโทรทัศน์ได้ทิ้งไว้ในตอนท้ายเรื่องว่า “ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นเพศไหน ขอแค่มีคนที่รักเรา เข้าใจเราแบบที่เราเป็น และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ...ก็เพียงพอแล้ว”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 เงินประกันที่อยู่อาศัยยึดได้จริงหรือ?

หัวเมืองใหญ่ๆ นั้น ถือว่าเป็นสถานที่สำหรับคนต่างจังหวัดที่จะเข้ามาหางานทำ รวมทั้งนักศึกษาที่จะต้องเข้ามาศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ สิ่งที่ตามมาคือ ที่อยู่อาศัยในระหว่างการทำงานและการเรียน เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ที่อยู่อาศัยถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคนทำงานมักหาที่อยู่อาศัยแบบบ้านเช่าหรือห้องแบ่งให้เช่า ส่วนนักศึกษาก็จะอยู่อพาร์ตเม้นท์ หรือหอพัก หากพิจารณารายละเอียดก่อนที่จะเข้าไปอยู่อาศัย ส่วนใหญ่จะต้องมีการทำสัญญากับผู้ให้เช่า โดยผู้ให้เช่าจะเตรียมสัญญาสำเร็จรูปที่เป็นรูปแบบที่ใช้เหมือนกันทุกคนในที่อยู่อาศัยนั้น  โดยผู้เช่าไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาได้เลย จึงเห็นได้ว่าผู้เช่าจะไม่ค่อยได้อ่านในรายละเอียดของสัญญาหรืออ่านแล้วแต่ก็ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญของสัญญานั้นมีหลายข้อ แต่ข้อที่เป็นปัญหามากที่สุด คือเรื่องเงินประกัน ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเก็บเงินประกันเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดคำว่า “ที่อยู่อาศัย” หมายถึง สถานที่ที่จัดขึ้นสำหรับการให้เช่าเพื่อเป็นที่พักอาศัย เช่น บ้าน อาคาร อาคารชุด อพาร์ตเม้นท์ หรือสถานที่พักอาศัยที่เรียกชื่ออย่างอื่น แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงสถานที่พักที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม และหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก ดังนั้นเมื่อทำสัญญาเช่ากันแล้ว ผู้เช่าจะต้องชำระเงินค่าเช่าพร้อมเงินประกัน ซึ่งผู้ให้เช่าจะต้องจัดให้มีหลักฐานการรับเงินและมอบให้แก่ผู้เช่าในทันทีที่รับเงินประกัน โดยในหลักฐานการรับเงินที่ผู้ให้เช่าออกให้นั้น ต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดของตัวอักษรไม่เล็กกว่าสองมิลลิเมตร และจะต้องมีสาระสำคัญและเงื่อนไป ดังต่อไปนี้ 1. ชื่อและที่อยู่ของผู้ประกอบธุรกิจ และของผู้มีอำนาจออกหลักฐานการรับเงิน2. ชื่อและที่อยู่ของผู้เช่า3. ชื่อและสถานที่ตั้งของที่อยู่อาศัย4. กำหนดระยะเวลาที่อยู่อาศัย โดยระบุวันเริ่มต้นการเช่า และวันสิ้นสุดการเช่า(ถ้ามี)5. วัน เดือน ปี ที่รับเงินประกัน6. จำนวนเงินประกัน และข้อความว่า ผู้เช่ามีสิทธิได้รับเงินคืนเงินประกันทันทีเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเช่าที่อยู่อาศัยหรือเมื่อสัญญาเช่าที่อยู่อาศัยเลิกกัน เว้นแต่กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจประสงค์จะตรวจสอบความเสียหายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ หากผู้เช่ามิได้ทำความเสียหาย ให้ผู้เช่ามีสิทธิได้รับเงินคืนประกันภายในเจ็ดวัน โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรับภาระค่าใช้จ่ายในการนำส่งคืนเงินประกันนั้นตามวิธีการที่ผู้เช่าแจ้งให้ทราบซึ่งในเรื่องของเงินประกันนั้น มีประเด็นปัญหาเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า ว่าควรจะหักได้เท่าไหร่จากความเสียหายอะไรบ้าง ตามกฎหมายนั้นกำหนดว่า ผู้เช่าจะต้องรับผิดในกรณีที่มีการทำของภายในห้องเช่าชำรุด เช่น ผ้าม่าน ประตู ตู้ เตียง ที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของห้องเช่าหรือหอพัก อันเกิดจากความผิดของผู้เช่าเองหรือของบุคคลอื่นที่เช่าอยู่ด้วย แต่ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดในกรณีเกิดความสกปรกที่เกิดจากจากใช้ห้องเช่าหรือหอพักนั้น แต่สำหรับค่าทำความสะอาดห้องนั้นจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หลังจากผู้เช่าแจ้งย้ายออกแล้ว ผู้ให้เช่าจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด ซึ่งจะหักจากเงินประกันและในสัญญาเช่าก็ได้เขียนไว้เกี่ยวกับการย้ายเข้าและย้ายออก ถ้าผู้เช่าอ่านก่อนเซ็นสัญญาก็จะทราบ แต่ที่สำคัญคือ จำนวนเงินที่หักไว้เป็นค่าทำความสะอาดนั้น ควรจะเหมาะสมกับความเป็นจริง จึงจะถือว่าไม่เอาเปรียบผู้เช่า เช่น ค่าทำความสะอาดห้อง 200-500 บาท  แต่ที่อยู่อาศัยบางที่หักค่าทำความสะอาดจากเงินประกันเกือบทั้งหมด มีทั้งค่าทำความสะอาดห้อง ค่าเสียหายต่างๆ ซึ่งบางอย่างผู้เช่าไม่ได้เป็นคนทำชำรุด แต่เกิดจากการชำรุดก่อนหน้าที่จะเข้าอยู่ ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเก็บเงินประกันเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ไม่สามารถที่จะยึดเงินประกันทั้งหมดของผู้เช่าได้ดังนั้น ในการที่ผู้ให้เช่าจะหักเงินประกันอะไรได้บ้าง ต้องเป็นไปตามกฎหมายและหากมีการตกลงกันเป็นเงื่อนไขของการหักเงินประกันตามสัญญา ก็ควรเป็นไปตามความเหมาะสมของความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้เกิดความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย คงไม่ต้องถึงขนาดต้องมีการโพสต์ระบายในเฟชบุ๊กในกรณีที่มีการเอาเปรียบกันเกินไปครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 นโยบายหาเสียงพรรคการเมืองเยอรมัน

เดือนกันยายนของปีนี้มีการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศเยอรมนี มีพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ คือ พรรคคริสเตียนเดโมแครท(CDU) ที่มีนางแองเจลา แมร์เคิล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และผู้ท้าชิงจากพรรคฝ่ายซ้าย พรรคโซเชียลเดโมแครท(SPD) คือนายมาร์ติน ชูลซ์ท ซึ่งขับเคี่ยวกันอย่างหนักในด้านนโยบาย สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปด้วยชัยชนะของนางแมร์เคิลสิ่งที่น่าสนใจและควรกล่าวถึงคือ เรื่องการดีเบตนโยบายหาเสียงของผู้สมัครจากพรรคใหญ่ทั้งสองท่านนั้น ซึ่งมีประเด็นคำถามต่อนโยบายหาเสียงตามมาอย่างต่อเนื่องว่า ในรายละเอียดการทำนโยบายให้เกิดเป็นรูปธรรมจะเป็นอย่างไร นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองในเยอรมันนั้น ต้องแสดงออกมาในรูปของเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตามเพื่อเป็นหลักฐาน และแสดงถึงความโปร่งใส สามารถตรวจสอบจากประชาชนภายหลังได้ โดยมีความหนาถึง 820 หน้าสำหรับบทความครั้งนี้จะขอรายงานเกี่ยวกับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของเยอรมัน ที่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายการเงินการคลัง สิทธิของประชาชนในฐานะผู้บริโภค ระบบสุขภาพ และเรื่องที่อยู่อาศัยนโยบายทางด้าน แรงงาน และการศึกษาในส่วนของสัญญาจ้างการทำงาน หลายๆ พรรคของเยอรมัน โดยเฉพาะพรรคฝ่ายซ้าย (The Left party)พรรคโซเชียลเดโมแครต (SPD: Social Democratic Party) พรรคเขียว (The Green) เสนอว่าให้มีการ ห้ามมีการระบุ การกำหนดระยะเวลาในสัญญาจ้างจ้างงาน ถ้าไม่มีเหตุอันจำเป็น ในขณะที่พรรคเสรีนิยม(FDP: the free democratic party) ไม่เห็นด้วยกับการห้ามสัญญาจ้างงานแบบนี้ ปัจจุบันสัญญาจ้างงานที่ระบุเวลาในสัญญาจ้างจะกำหนดที่ระยะเวลา 2 ปีนโยบายเรื่องเวลาการทำงานพรรค CDU ของนางแมร์เคิล เสนอนโยบาย ให้มีสัญญาจ้างแบบ part time working contract  กับบริษัทห้างร้านที่มีขนาดใหญ่ ที่เป็นสัญญาจ้างแบบจำกัดระยะเวลาจ้างงาน เพื่อปูทางนำไปสู่การจ้างงานแบบเต็มเวลา(full time working contract) เป็นการทั่วไป ปัจจุบันการต่อสัญญาว่าจ้างการทำงาน ที่เดิมเป็น part time working contract ขยายมาเป็น full time working contract ใช้ได้กับการต่อสัญญาให้กับพนักงานที่ลางานไปเลี้ยงลูกเท่านั้น(พนักงานเยอรมันมีสิทธิลางานเพื่อไปเลี้ยงลูกได้สามปี)กรณีเรื่องเวลาการทำงานพรรค FDP ต้องการยกเลิก จำนวนชั่วโมงการทำงานรายวันสูงสุดที่กำหนดไว้ว่าไม่เกินวันละ 10 ชั่วโมง เป็นการกำหนดเวลาทำงานเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งกำหนดว่าจำนวนชั่วโมงการทำงานรายสัปดาห์ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในขณะที่พรรคฝ่ายซ้าย(The Left) กำหนดการทำงานรายสัปดาห์อยู่ที่ 30-35 ชั่วโมง และสูงสุดไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับพรรคเขียวต้องการกำหนดเวลาการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และจำนวนชั่วโมงการทำงานอยู่ระหว่าง 30-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นโยบายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษาพรรค SPD มีนโยบาย เพิ่มเงินช่วยเหลือแก่นักเรียนนักศึกษา และขยายเวลาอายุของผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังขยายโอกาสให้กับนักเรียนนักศึกษาที่เรียน part time study ตลอดจนขยายสิทธิให้กับ กลุ่มที่เรียนการศึกษาต่อเนื่องทางด้านอาชีวะ พรรค The Left Party เสนอนโยบายเพิ่มเงินช่วยเหลือ ระหว่าง 735 ยูโรถึง 1050 ยูโร และเป็นการช่วยเหลือแบบให้เปล่าสำหรับเรื่องทุนเพื่อการกู้ยืมสำหรับการศึกษา (Bafög: Bundesausbildungsförderungsgesetz) ซึ่งเป็นต้นแบบของหลายๆ ประเทศใน การช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนนั้น พรรคเขียว ต้องการให้มีการแยกเงินสนับสนุนสำหรับนักเรียนนักศึกษาเพื่อการทั่วไป สำหรับนักเรียนนักศึกษาทุกคน และให้มีเงินพิเศษสำหรับคนที่มีสถานะทางบ้านยากจน และไม่ต้องใช้ทุนคืนในขณะที่พรรค FDP เสนอนโยบายที่ให้ความช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษา โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานะของพ่อแม่ โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า 500 ยุโรต่อเดือนและหากใครต้องการกู้เงินเพิ่มเติมมากกว่านี้ก็สามารถแสดงความประสงค์ได้ แต่เป็นส่วนที่ต้องใช้ทุนคืนขออนุญาต เล่าต่อในวารสารฉบับหน้าครับ ซึ่งจะมาส่องดูนโยบายเกี่ยวกับด้าน คมนาคม ครอบครัว ประกันสุขภาพ ประกันบำนาญ การจัดเก็บภาษี ที่อยู่อาศัย กันครับ(ที่มา เวบไซต์ มูลนิธิการทดสอบสินค้าเพื่อผู้บริโภค https://www.test.de/Bundestagswahl-Familie-Rente-Steuern-was-die-Parteien-vorhaben-5217841-0/)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 แผนพิฆาตความหวานด้วยการขึ้นภาษี

ผู้เขียนนั้นเมื่อย่างเข้าสู่ความเป็น สว.(สูงวัย) ก็ไม่ได้รอดไปจาก โรคของผู้สูงอายุ คือ มีภาวะความดันโลหิตสูง ดังนั้นอมตะวาจาที่อายุรแพทย์แนะนำให้ปฏิบัติเป็นประจำคือ อย่ากินเค็มและอย่ากินหวาน เพื่อให้ยาลดความดันโลหิตทำงานได้ดีและเป็นการถนอมไตไปในตัวดังที่เคยเล่าอยู่บ่อยๆ ในหลายบทความว่า ผู้เขียนออกกำลังกายแบบแอโรบิคคือ ถีบจักรยานเสือภูเขาเป็นประจำอย่างน้อย 45 นาทีต่อวัน จำนวน 3 วัน และเล่นแบดมินตันเพื่อให้เหงื่อออกชุ่มอย่างน้อย 60 นาที จำนวน 2 วัน พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้ผู้เขียนซึ่งสูง 170 เซนติเมตร สามารถคุมน้ำหนักให้อยู่ที่ 70 + 1 กิโลกรัมตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้เมื่อคำนวณเป็นค่าดัชนีมวลกายแล้วได้ผลเฉลี่ยออกมาที่ 24.22 ซึ่งถ้าเป็นฝรั่งก็ยังอยู่ในค่าดัชนีที่ยังไม่อ้วนเพราะไม่เกิน 25 อย่างไรก็ดีการมีค่าดัชนีมวลกายที่ 24.22 ของผู้เขียนนั้น เมื่อมายืนอยู่ร่วมกับคนไทยกลับกลายเป็นว่า ผู้เขียนอยู่ในเกณฑ์ของคนที่อ้วนระดับ 1 เพราะค่าที่เหมาะสมของคนเอเชียนั้นอยู่ในช่วง 18.5-22.9 (อ้างอิงจากเว็บของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล) ผู้เขียนนั้นแอบคิดในใจว่า คนที่ปฏิบัติตนเองดี ออกกำลังกายเสมอ กินอาหารให้เหมาะสมก็คงมีค่าดัชนีมวลกายที่ 22.9 ได้ แล้วทำไมผู้เขียนถึงทำบ้างไม่ได้ สุดท้ายเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว(เขียนบทความนี้ในเดือนสิงหาคม) ผู้เขียนกลับมานั่งทบทวนพฤติกรรมการกินแล้วได้ข้อสรุปว่า น้ำอัดลม ซึ่งดื่มหลังออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหนื่อยมากนั้นคือ เหตุที่ทำให้ดัชนีมวลกายคงอยู่แค่เกือบ 25 ไม่ยอมลดสักทีดังนั้นผู้เขียนจึงยกเลิกการซื้อน้ำอัดลมเข้าบ้านรวมถึงลดการดื่มกาแฟแบบ 3 in 1 เหลือเพียงวันละ 1 ซอง จึงพบว่า เมื่อ 2 เดือนผ่านไปน้ำหนักตัวค่อยๆ ลดจาก 70 กิโลกรัม เป็น 68 กิโลกรัม และเมื่อผ่านไป 4 เดือนก็อยู่ในช่วง 66 + 1 กิโลกรัมซึ่งคำนวณเป็นค่าดัชนีมวลกายที่ 22.84 สรุปแล้วสิ่งที่ผู้เขียนพิสูจน์พบคือ ปัจจัยหนึ่งที่สร้างโอกาสให้เรามีน้ำหนักเกินอย่างแน่นอนคือ อาหารรสหวาน ดังนั้นผู้เขียนจึงเข้าไปตั้งคำถาม(ทั้งไทยและอังกฤษ) กับอากู๋ (Google) ประมาณว่า มีโอกาสไหมที่ประชาชนจะลดการดื่มน้ำหวานได้ คำตอบที่ได้จากอากู๋ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษดูจะคล้ายกันว่า เป็นไปได้โดยการขึ้นภาษีเครื่องดื่มตามความหวานที่อยู่ในขวดเครื่องดื่มนั้นจากเว็บ www.bangkokbiznews.com มีหัวข้อข่าวหนึ่งที่น่าสนใจคือ “กรมสรรพสามิตเดินหน้าจัดเก็บภาษีความหวาน ดีเดย์ 16 กันยายนนี้ ด้าน อย. ออกโลโก้ทางเลือกสุขภาพ หวังเปลี่ยนพฤติกรรมติดทานหวานของคนไทย” โดยผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต ให้ข้อมูลประมาณว่า มาตรการหนึ่งที่ภาครัฐจะบังคับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาคนไทยติดรสหวาน คือ จัดเก็บภาษีความหวาน โดยมีเกณฑ์ว่า หากสินค้าผสมน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัม และ 10 กรัมขึ้นไปต่อ 100 มิลลิลิตร ก็จะถูกจัดเก็บภาษีในระบบใหม่ ซึ่งผลจากการที่รัฐเป็นห่วงสุขภาพประชาชนนั้นจะทำให้รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และ 25 ของราคาขายปลีก ตามลำดับเครื่องดื่มที่ถูกเสนอให้จัดเก็บภาษีความหวานนี้ประกอบด้วย น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้ น้ำพืชผัก เครื่องดื่มชนิดผง เครื่องดื่มชนิดเข้มข้น ซึ่งในกรณีนี้รวมถึงเครื่องดื่มที่หวานตามธรรมชาติไม่ได้ใส่น้ำตาลเพิ่มด้วย เพราะสามารถทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบคือ ความอ้วนจากน้ำตาลได้เช่นกันแนวทางในการจัดเก็บภาษีความหวานนั้น เริ่มจากการให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนส่วนผสมของน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ในช่วง 2 ปี คือ 16 กันยายน 2560 - 30 กันยายน 2562 แล้วถ้าหากรายใดทำได้ก็จะได้สิทธิในการเสียภาษีเท่าเดิม ส่วนผู้ประกอบการใดที่งอแงปรับสูตรช้ากว่าจะได้รับรางวัลคือ ถูกเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไปภาษีความหวานนี้น่าจะตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Sugary drink tax ซึ่งไม่ได้หมายถึง ภาษีที่เก็บจากการขายน้ำตาลทราย(อันนี้เก็บไปแล้ว) แต่จะเก็บจากสินค้าซึ่งใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบในการผลิตมากเกินไปจนน่าจะก่อให้เกิดปัญหาแก่ประชาชน ผู้เขียนเข้าไปใน Wikipedia และพบว่า มีบทความเกี่ยวกับ Sugary drink tax ที่น่าสนใจมาก จึงขอกล่าวถึงบางส่วนโดยสรุปดังนี้ Wikipedia ให้ความรู้ว่า Sugary drink tax หรือ Soda tax นั้นถูกกำหนดขึ้นโดยหวังว่าจะลดการดื่มน้ำหวานของประชาชน ซึ่งไม่ว่าประเทศใดที่หวังออกภาษีนี้ก็ต้องถูกต่อต้านจากผู้ผลิตน้ำหวานรายใหญ่ทั้งหลาย ในขณะที่องค์การอนามัยโลกก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะค่าใช้จ่ายในการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ ที่มีน้ำตาลเข้าไปเกี่ยวข้องเช่น เบาหวาน น้ำหนักเกิน นั้นมหาศาลนักเดนมาร์คได้เริ่มแนวความคิดของการมีภาษีนี้เมื่อ ค.ศ. 1930 แต่มาในปี 2013 รัฐบาลเดนมาร์คได้ดำริในการเลิกกฎหมายนี้โดยการออกกฎหมายที่กว้างคือ Fat tax ซึ่งบังคับเก็บภาษีอาหารทุกชนิดที่ทำให้อ้วน แต่ปรากฏว่าระบบภาษีใหม่ใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากประชาชนข้ามพรมแดนเข้าเยอรมันหรือสวีเดนเพื่อซื้ออาหารที่ทำให้อ้วนต่างๆ ในราคาที่ถูกกว่า เดนมาร์คจึงหันกลับมาใช้กฎหมายเดิมในปี 2014 สำหรับฟินแลนด์นั้นได้นำการเก็บภาษีลักษณะนี้มาใช้ในปี 2011 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่ฮังการีได้เริ่มใช้การเก็บภาษีในลักษณะเดียวกันภายใต้ชื่อ Public health product tax ซึ่งครอบคลุมถึงอาหารที่มีการใช้น้ำตาลแบบเกินเลย ดังนั้นโดยหลักการที่ดีเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนแล้ว ประเทศในสหภาพยุโรปดูมีความตั้งใจในการออกกฎหมายเก็บภาษีในลักษณะนี้แทบทุกประเทศ (แนะนำให้ดูเอกสารที่ ec.europa.eu/ DocsRoom/documents/5827/attachments/1/translations/en/renditions/pdf) เม็กซิโก ซึ่งมีปัญหาจำนวนคนอ้วนเพิ่มมากได้เริ่มเก็บภาษีนี้ในปี 2013 สหราชอาณาจักรเริ่มในปี 2016 ส่วนอัฟริกาใต้เริ่มใช้ในปี 2017 สำหรับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของเหล่าบริษัทแม่ของน้ำอัดลมระดับยักษ์ใหญ่ของโลกจึงผ่านกฎหมายลักษณะนี้ออกมาใช้ก็ค่อนข้างลำบากหน่อย(เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ในสหรัฐอเมริกานั้น แข็งเท่าแข็งเงินง้างอ่อนได้ดังใจ) จึงมีเพียง 2 เมืองคือ เบอรค์เลย์ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียและฟิลาเดลเฟียในมลรัฐเพนซิลเวเนียเท่านั้นในปัจจุบันที่มีภาษีนี้ระดับท้องถิ่น มีข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งได้จากการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Duke University และ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เมื่อปี 2010 ว่า ถ้าภาษีเครื่องดื่มที่หวานด้วยน้ำตาลถูกเปลี่ยนให้สูงขึ้นเป็นร้อยละ 20 ถึง 40 แล้วมันน่าจะไม่มีผลอะไรต่อการลดการได้รับพลังงาน(แม้ว่ายอดขายลดลง) เนื่องจากเมื่อสินค้าแพงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้บริโภคจะหันไปกินอาหารกลุ่มอื่นซึ่งให้ความหวานในระดับเดียวกัน เว็บในสหราชอาณาจักรชื่อ health.spectator.co.uk มีบทความเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2016 เรื่อง A sugar tax to make us slimmer? It’s not as simple as that ซึ่งผู้เขียนบทความดังกล่าวได้แสดงความเห็นประมาณว่า การที่คนจะบริโภคสินค้าน้อยลงเมื่อมันแพงขึ้นนั้นเป็นความคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ (มัก) ง่ายเกินไป ทั้งนี้เพราะการได้มาซึ่งสิ่งที่ชอบของมนุษย์นั้น บางครั้งไม่ได้ขึ้นกับราคาของสินค้าเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเมื่อประชาชนเห็นว่าสินค้าหนึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นจนไม่คุ้มกับการจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการ (ในที่นี้คือ รสหวาน) นั้น ประชาชนจะหันไปหาสิ่งอื่นซึ่งย่อมเยากว่า แต่ตอบสนองความต้องการเดิมได้ โดยไม่พะวงที่จะคิดถึงผลเสียอื่น ๆ ที่อาจตามมาบทความทางวิชาการใน Journal of Public Economics ชุดที่ 94 หน้าที่ 967-974 ประจำเดือนธันวาคม 2010 เรื่อง The effects of soft drink taxes on child and adolescent consumption and weight outcomes. ได้สรุปผลสุดท้ายของงานวิจัยว่า เมื่อภาษีน้ำหวานเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำหวานก็ลดลง แต่ความอ้วนของประชากรก็ยังเพิ่มขึ้นในลักษณะเดิม เพราะเมื่อไม่ดื่มน้ำหวาน (ซึ่งให้พลังงาน) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็เลี่ยงไปรับพลังงานจากอาหารอื่น เช่น น้ำผลไม้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากน้ำผลไม้ และนมรวมทั้งผลิตภัณฑ์นม ดังนั้นสิ่งที่ควรหาทางทำให้สำเร็จหลังออกภาษีน้ำหวานแล้วคือ กระตุ้นให้ประชาชนหันมาออกกำลังกายเพื่อหยุดยั้งความอ้วนที่เกิดจากพลังงานที่ได้รับเกินในแต่ละวัน 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 เหม็นกลิ่นขี้ยางจากข้างบ้าน

ขี้ยางหรือเศษยาง เป็นสิ่งที่เหลือจากการกระบวนการทำยางก้อนและยางแผ่น ซึ่งสามารถนำไปเป็นส่วนผสมสำหรับยางที่มีสีดำอย่างยางรถยนต์ต่อได้ อย่างไรก็ตามขี้ยางมักมีกลิ่นแรง โดยหากไม่มีการจัดเก็บที่ดี อาจส่งปัญหาต่อบ้านใกล้เรือนเคียงได้ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณกุญชร ได้กลิ่นเหม็นรบกวนจากเพื่อนบ้านเป็นประจำ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าสาเหตุของกลิ่นมาจากการที่เพื่อนบ้าน รับซื้อขี้ยางมาเก็บไว้จำนวนมาก เพื่อรอการจำหน่ายต่อไป ทำให้เขาต้องการทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถจัดการปัญหาได้อย่างไรบ้าง เพราะไม่อยากทนกลิ่นเหม็นของขี้ยางอีกต่อไป จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำผู้ร้องว่า กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 ที่กำหนดไว้ในมาตรา 25 (4) ว่า การกระทำใดๆ ที่เป็นเหตุให้เกิด กลิ่น แสง เสียง การสั่นสะเทือน ฝุ่น จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นการกระทำผิด ซึ่งผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงตาม พ.ร.บ. นี้คือเจ้าพนักงานท้องถิ่น สามารถแจ้งให้ปรับปรุง/แก้ไข  ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ และหากล่วงเลยเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานก็มีอำนาจสั่งรื้อ/ปรับได้ ศูนย์ฯ จึงแนะนำให้ผู้ร้องไปแจ้งเรื่องต่อผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้ปกครองท้องถิ่นก่อนเบื้องต้น โดยภายหลังผู้ร้องได้แจ้งกลับมาว่าได้ดำเนินการบอกผู้ใหญ่บ้านแล้ว ซึ่งไปแจ้งเตือนคู่กรณีให้มีการแก้ไขปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อย จึงยินดีขอยุติเรื่องร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 งานแต่งเลื่อน ขอเงินค่าแพ็กเกจถ่ายรูปคืน

เพราะการแต่งงานถือเป็นช่วงเวลาสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของใครหลายคน การจ้างช่างภาพมืออาชีพเพื่อมาเก็บภาพความประทับใจหรือบรรยากาศภายในงานจึงเป็นเรื่องธรรมดา โดยปัจจุบันการถ่ายภาพงานแต่งมักเป็นแพ็กเกจการถ่ายรูป ซึ่งจะมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนหลักแสนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามหากเราพบว่างานแต่งที่วางแผนไว้กลับล่ม แต่ตกลงซื้อแพ็กเกจการถ่ายรูปงานแต่งไว้แล้ว ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้ เราจะจัดการปัญหานี้อย่างไรดี ลองไปดูกันคุณไอติมวางแผนแต่งงานไว้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จึงตัดสินใจเลือกใช้บริการถ่ายภาพและเช่าชุดงานแต่งงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามหลังตกลงกันเรียบร้อย และจ่ายค่ามัดจำด้วยบัตรเครดิตไปแล้วเป็นจำนวนเกือบ 40,000 บาท กลับพบว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นภายในครอบครัวของเธอ ทำให้งานแต่งต้องยกเลิกไปก่อน คุณไอติมจึงต้องการยกเลิกสัญญาการถ่ายภาพและเช่าชุดแต่งงาน แต่ไม่สามารถตกลงกับบริษัทได้ จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีนี้ผู้ร้องต้องการขอเงินคืนทั้งหมด ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์จึงชี้แจงผู้ร้องว่า การจ่ายเงินมัดจำ เป็นการให้คำมั่นว่าจะมีการทำตามที่ตกลงในสัญญา ซึ่งหากผู้ร้องขอยกเลิกสัญญาเอง โดยที่บริษัทฯ ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาบริษัทฯ ก็มีสิทธิริบเงินมัดจำได้อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ ผู้ร้องได้จ่ายค่ามัดจำด้วยบัตรเครดิตไปแล้วเกือบ 40,000 บาท ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของราคาทั้งหมด ดังนั้นอาจเป็นการจ่ายเงินมัดจำสูงเกินไป ซึ่งตาม พ.ร.บ. ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม กำหนดว่าสามารถลดลงได้เท่าที่เสียหายจริง ในเบื้องต้นศูนย์ฯ จึงแนะนำให้ผู้ร้องแจ้งระงับการจ่ายเงินกับธนาคารของบัตรเครดิตก่อน จากนั้นช่วยทำหนังสือยกเลิกสัญญาและขอเงินมัดจำคืน โดยให้บริษัทฯ สามารถหักค่าเสียหายได้เท่าที่เสียหายจริง รวมทั้งเชิญให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยที่มูลนิธิ ภายหลังการเจรจาพบว่า บริษัทแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เสียไปแล้วจำนวนกว่า 20,000 บาท ซึ่งหากยกเลิกสัญญาจะต้องหักจากเงินมัดจำ แต่ผู้ร้องไม่ยินยอม เพราะเห็นว่าเป็นการเอาเปรียบมากเกินไป พร้อมเสนอให้หักเพียง 5,000 บาท ทางบริษัทจึงขอนำกลับไปพิจารณา และแจ้งกลับมาภายหลังว่ายินดีทำตามข้อเสนอของผู้ร้อง แต่จะคืนเงินให้หลังจากที่ขายแพ็กเกจดังกล่าวให้ลูกค้าคนอื่นได้แล้ว ซึ่งผู้ร้องยินดีและขอยุติการร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 แจ้งจับคนขับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า

แม้ทางเท้าหรือฟุตบาทจะเป็นทางเดินสัญจรสาธารณะ แต่ที่ผ่านมาฟุตบาทได้กลายเป็นทั้งที่ขายของ ทางวิ่งรถมอเตอร์ไซค์หรือแม้แต่ที่จอดรถยนต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้สัญจรไปมาอย่างมาก โดยเฉพาะการขับรถมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า ทำให้ภาครัฐออกมาตรการ “ชวนประชาชนแจ้งจับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ทางเท้า และได้รางวัลครึ่งหนึ่งของค่าปรับ” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวจะใช้ได้ผลจริงหรือไม่ เราลองไปดูเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้กันคุณสมจิตรพบเห็นรถจักรยานยนต์และรถยนต์หลายคันจอดอยู่บนทางเท้า และเห็นหลายคนขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้าเป็นประจำ ส่งผลให้เขาและผู้ที่เดินทางสัญจรไปมาบริเวณนั้นได้รับผลกระทบ ต้องเดินหลบกลัวว่าจะถูกรถชน คุณสมจิตรจึงถ่ายรูปเหตุการณ์ดังกล่าวไว้และส่งเรื่องแจ้งไปยังอีเมล citylaw_bma@hotmail.com ตามวิธีการแจ้งเบาะแสของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหลังส่งเรื่องไปแล้วหลายอาทิตย์ เขากลับไม่พบการแก้ปัญหาหรือการติดต่อกลับเพื่อให้ไปรับรางวัลนำจับแต่อย่างใด จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาจากการแถลงข่าวโดยรองโฆษกกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวประเด็นเรื่องการให้รางวัลนำจับ กรณีพบเห็นผู้ขับขี่บนทางเท้าว่า กทม. ต้องการให้โครงการนี้เป็นมาตรการหนึ่งในการจัดระเบียบสังคมให้เกิดความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ความปลอดภัย โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามามีส่วนร่วม ซึ่งหากพบเห็นผู้ที่จอดหรือขับขี่รถจักรยานยนตร์และรถยนต์บนทางเท้า สามารถถ่ายรูปหรือวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานและแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ได้ทันที เพราะถือว่าทำผิดตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ในมาตรา 17 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดจอด หรือ ขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือล้อเลื่อน บนทางเท้า เว้นแต่เป็นการจอดหรือขับขี่เพื่อเข้าไปในอาคาร หรือมีประกาศของเจ้าพนักงานจราจรผ่อนผันให้จอดหรือขับขี่ได้ ซึ่งหากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาทสำหรับช่องทางการแจ้งเบาะแส สามารถทำได้ 6 ช่องทาง ดังนี้ 1.ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน กทม.1555 2.สายด่วนสำนักเทศกิจ 02-465-6644 3. ไปรษณีย์ ส่งถึงสำนักเทศกิจ เลขที่ 1 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี 10600 4. อีเมล์ citylaw_bma@hotmail.com 5. ทางเฟซบุ๊กสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร และ 6. สำนักงานเขตในพื้นที่พบเห็นทั้ง 50 เขต ทั้งนี้สำหรับหลักฐานในการเอาผิดต้องให้เห็นชัดเจนคือ มีเลขทะเบียนรถผู้กระทำผิด ซึ่งหากเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างโดยสารสาธารณะ ต้องให้เห็นหมายเลขเสื้อและวินที่สังกัดด้วย พร้อมระบุวัน เวลา สถานที่กระทำผิด โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งไว้เป็นความลับอย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์รางวัลนำจับที่ผู้แจ้งความจะได้รับรางวัลกึ่งหนึ่งของค่าปรับนั้น จะได้รับภายหลังจากที่ผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับแล้ว และสำนักงานเขตจะทำหนังสือไปยังผู้ที่แจ้งข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้เข้ามาเพื่อรับค่านำจับ ซึ่งจะได้รับภายใน 60 วันนับแต่วันที่เขตได้รับแจ้ง หรือหากผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับในวันเดียวกัน ผู้แจ้งก็จะได้รับรางวัลค่าปรับในนั้นทันที ในขณะเดียวกันส่วนของค่าปรับนั้นต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่จับครั้งแรกแล้วปรับ 5,000 บาททันที แต่จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เทศกิจด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีการบันทึกประวัติผู้กระทำผิดไว้ หากทำผิดครั้งแรกอาจจะปรับ 1,000 บาท และครั้งต่อไปถึงค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น เมื่อศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ได้ช่วยติดตามข้อมูลของผู้ร้อง โดยโทรศัพท์ไปสอบถามยังสำนักงานเขตที่ได้แจ้งไป ซึ่งตอบกลับมาว่าได้รับหลักฐานการแจ้งเบาะแสแล้วเรียบร้อย แต่อยู่ในขั้นตอนรอผู้กระทำความผิดมาชำระค่าปรับ และหากมีการชำระแล้ว จะดำเนินการแจ้งผู้ร้องให้เข้ามารับส่วนแบ่งต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 คืนสินค้าเร็ว แต่ได้รับเงินช้า

คุณปราณีสั่งซื้อเครื่องสำอางจากรายการขายของในช่องเคเบิลทีวี ซึ่งผู้ดำเนินรายการแจ้งว่าหากซื้อไปใช้แล้ว เกิดอาการแพ้ก็สามารถคืนสินค้าได้ เธอจึงตัดสินใจลองสั่งเครื่องสำอางดังกล่าวมาใช้ดูเป็นจำนวนเงินเกือบ 2,000 บาท แต่ปรากฏว่าหลังจากทดลองใช้ไปได้ประมาณ 3 วัน คุณปราณีกลับรู้สึกมีอาการคันและผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า จึงไปพบแพทย์เพื่อรักษา ซึ่งวินิจฉัยว่าเกิดจากอาการแพ้เครื่องสำอางนั่นเอง เธอจึงโทรศัพท์ไปแจ้งบริษัทเครื่องสำอางถึงอาการแพ้ดังกล่าว เพื่อขอคืนสินค้าและขอเงินคืน เมื่อบริษัทเครื่องสำอางรับทราบก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่มารับสินค้าคืน และขอเลขบัญชีของคุณปราณีไป เพื่อจะโอนเงินค่าสินค้าให้ อย่างไรก็ตามหลังผ่านไปเกือบ 4 เดือนก็ไม่พบว่ามีการโอนเงินคืนจากบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้คุณปราณีส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำปรึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ช่วยโทรศัพท์ไปสอบถามที่บริษัทเครื่องสำอางถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตอบกลับมาว่าเหตุที่คืนเงินล่าช้า เพราะผู้ร้องแจ้งเลขบัญชีผิดและไม่มีการติดต่อเข้ามายังบริษัทเพื่อแจ้งเลขบัญชีใหม่ ทำให้บริษัทไม่สามารถโอนเงินคืนให้ได้ อย่างไรก็ตามบริษัทยินดีรับผิดชอบด้วยการโอนเงินคืนเต็มจำนวน ซึ่งภายหลังผู้ร้องได้รับเงินคืนเรียบร้อยแล้วก็ยินดียุติเรื่องร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >