ฉบับที่ 110 กระแสต่างแดน

เกลือต้องห้าม แม้ครั้งหนึ่งเกลือจะเคยมีค่าดั่งทองและมีเครดิตเป็นหนึ่งในรากฐานของอารยธรรมมนุษย์ แต่วันนี้เกลืออาจมีโอกาสตกอับถึงขั้นโดนห้ามใช้ในร้านอาหาร ถ้าคุณเป็นแฟนกระแสต่างแดน คงจำกันได้ว่ารัฐนิวยอร์คของอเมริกานั้นช่างเป็นรัฐที่เป็นห่วงเป็นใยสุขภาพประชากรดีจริงๆ ขณะนี้มีประชากรนิวยอร์คที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ถึง 1.5 ล้านคน รัฐบาลท้องถิ่นที่นั่นจึงออกมารณรงค์ให้ผู้คนบริโภคเกลือให้น้อยลง โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะลดการบริโภคเกลือลงให้ได้ร้อยละ 25 ภายในเวลา 5 ปี นายฟิลิกส์ ออร์ทิส สมาชิกสภาจากเขตบรู๊คลิน เลยคิดจะจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดด้วยการเสนอร่างกฎหมายห้ามร้านอาหารในนิวยอร์คใช้เกลือเสียเลย ถ้าจับได้ว่าร้านไหนแอบใส่ก็จะลงโทษด้วยการปรับ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 32,000 บาท) คุณออร์ทิสแกบอกว่าสำหรับผู้บริโภคนั้นไม่มีปัญหา ถ้าใครอยากได้รสเค็มก็เติมเองได้จากกระปุกเกลือที่มีวางไว้คู่กับกระปุกพริกไทยบนโต๊ะ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการให้ผู้บริโภคเป็นคนที่ควบคุมปริมาณเกลือด้วยตนเอง แต่บรรดาพ่อครัวในร้านอาหารต่างก็หงุดหงิดไปตามๆ กัน พวกเขามองว่าเป็นการห้ามที่เหลวไหลที่สุด และเผลอๆ อาจจะบ่อนทำลายธุรกิจอาหารของเมืองไปด้วย คนอเมริกันบริโภคเกลือวันละ 3,400 มิลลิกรัม ซึ่งเกินจากปริมาณที่แนะนำ 2,300 มิลลิกรัมไปเยอะทีเดียว     รวยเกินไป หัวใจว้าวุ่นข่าวดีสำหรับประเทศที่ยังไม่รวยทั้งหลาย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารอิโคโนมิก เจอร์นัล พบว่าความมั่งคั่งนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาวะของคนในชาติ อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์สองคน เคอร์ทิส อีตัน จากมหาวิทยาลัยคาลการี และมูเคช เอสวารานจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย เขาฟันธงว่าคนอังกฤษมีสุขภาวะที่แย่ลงสืบเนื่องจากความอยากได้อยากมี และเขาคาดว่านโยบายรัดเข็มขัดที่รัฐบาลอังกฤษจะนำมาใช้นั้นจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ อีตันและเอสวาราน เสนอแนวคิดว่าเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งมีมาตรฐานการใช้ชีวิตของประชากรที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว การสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นให้ประชากรก็แทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไร โดยทั่วไปเมื่อประเทศร่ำรวยเกินภาวะอยู่ดีกินดี การบริโภคของคนในชาติก็จะเปลี่ยนเป็นการซื้อสิ่งที่เรียกว่า “สัญลักษณ์ทางสถานภาพ” เช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม เครื่องประดับล้ำค่า หรือรถหรู มากกว่าการซื้อคุณค่าการใช้สอยตามปกติของสินค้านั้น ทฤษฎีการบริโภคเพื่อความโดดเด่น บอกว่าคนเราแสวงหา “สถานภาพ” ผ่านทางการบริโภคแบบนี้ ซึ่งคุณค่านั้นไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เราบริโภค หากแต่เป็นเพราะมันทำให้คนที่บริโภคได้รู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น ที่สำคัญคือคนเราจะแสวงหาสินค้าประเภทนี้กันมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รวมๆ แล้วงานวิจัยของพวกเขาช่วยยืนยันว่าเวลาที่ความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นนั้น ประชากรจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นแต่ไม่ได้มีความสุขมากขึ้นไปด้วย และเมื่อคนมุ่งแสวงหา “สัญลักษณ์ทางสถานภาพ” ที่ว่านี้ ก็จะมีเวลาใส่ใจกับเพื่อนบ้าน ชุมชนและสังคมน้อยลง ส่งผลให้ภาวะความอยู่ดีมีสุขร่วมกันลดลงไปโดยปริยาย เฮ้อ รอดตัวไป ดีนะที่ยังไม่รวย บอลลิวูดก็โดนผีหลอกไม่ใช่แค่ฮอลลิวูดเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภัยแผ่นผี ธุรกิจภาพยนตร์อินเดียที่มีมูลค่าสูงถึง 2,300 ล้านเหรียญก็ต้องสูญเสียรายได้ไปไม่น้อยกับการลักลอบดาวน์โหลดหรือปั๊มแผ่นเช่นกัน สถานการณ์เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ในอินเดียแย่ลงฮวบฮาบ เพราะความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนครัวเรือนที่มีเครื่องเล่นดีวีดีก็เพิ่มจาก 4 ล้านครัวเรือน เป็น 45 ล้านครัวเรือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวบอกว่าการอัพโหลดไฟล์หนังขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตจะมีขึ้นทุกๆ 5 นาที และมีการประมาณการว่าภารตะชนซื้อแผ่นผิดกฎหมายประมาณปีละ 700 ล้านแผ่น สร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตแผ่นปลอมไป 330 ล้านเหรียญชิลๆ ด้านฮอลลิวูดก็ดีใจที่จะได้บอลลิวูดมาเป็นพันธมิตรในการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ โดยทั้งนี้ก็จะพยายามลืมๆ ไปว่าครั้งหนึ่งเคยเคืองบอลลิวูดอยู่ไม่น้อยที่ชอบก็อปปี้หนังดังๆ ของตนเองมาทำเป็นฉบับภารตะ เพราะถ้าอินเดียสามารถปราบปรามได้ก็จะเป็นผลดีต่อตนเองไปด้วย ใครจะไม่อยากได้ตลาดอินเดียที่มีประชากร 1,000 ล้านคนที่ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าที่ใดๆ ในโลก แต่คงจะเป็นงานหนักอยู่เหมือนกัน แม้ข่าวจะไม่ได้บอกว่าตั๋วหนังที่อินเดียราคาเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆแผ่นผีซึ่งราคาประมาณ 2 เหรียญ (ประมาณ 65 บาท) ก็ทำให้คนไม่อยากเข้าโรงหนังสักเท่าไร คล้ายๆ ที่ประเทศไหนน้า.... ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ช้อปได้แม้อยู่ในห้องน้ำห้องน้ำที่สถานีรถไฟโอซาก้า ในย่านกินซ่าของญี่ปุ่นกำลังเป็นสถานที่แฮงเอาท์แห่งใหม่ของทั้งเด็กมัธยมและสาววัยทำงาน บริการห้องน้ำ “แองเจิลบี” ที่เปิดบริการมาได้ 3 ปีกว่านี้คิดค่าบริการประมาณ 100 บาทต่อหนึ่งชั่วโมง นอกจากเข้าไปทำธุระส่วนตัวแล้ว สาวๆ ยังจะสามารถนั่งจิบชาสมุนไพรชิลๆ  เรียนเทคนิคการแต่งหน้า ทำผม หรือแม้แต่เลือกซื้อชุดชั้นในกันได้ ผู้ประกอบการห้องน้ำดังกล่าวได้แก่บริษัทเวสต์ เจแปน เรลเวย์ ที่ให้บริการรถไฟในฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู บอกว่าที่เปิดบริการนี้ก็เพราะได้รับเสียงเรียกร้องจากบรรดาผู้โดยสารหญิงว่าไม่มีสถานที่ให้พวกเธอได้เติมหน้าเติมปากหรือแต่งผมหลังการเดินทางยาวไกลเลย บ้างก็บอกว่าไม่มีกิจกรรมอะไรจะทำเพื่อฆ่าเวลาขณะรอรถไฟ ทุกวันนี้กิจการดีมาก สาวๆ เข้ากันหัวบันไดไม่แห้ง จนมีผู้ประกอบการอื่นๆ เข้ามาทำการตลาดกันในห้องน้ำกันด้วย เช่น พานาโซนิคก็ส่งช่างผมมืออาชีพมาแนะนำวิธีการใช้เครื่องรีดผมของตัวเอง หรือบริษัทเสื้อชั้นในวาโก้ก็มีเสื้อชั้นในรุ่นใหม่ๆ มาให้สาวๆ ได้ลอง รวมถึงชิเซโด้ที่มาตั้งเคานท์เตอร์เครื่องสำอางด้วยเช่นกัน ข่าวไม่ได้บอกว่าค่าบริการจะลดลงหรือไม่หลังจากมีสปอนเซอร์แล้ว หรือสาวๆ จะต้องเสียเงินเข้าไปทำอย่างเดียวกับที่ทำได้ในห้างโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เมืองปลาที่ไม่มีปลา อีกครั้งที่ผู้บริโภคต้องเตือนตนเองว่าสิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นจริงเสมอไป นักท่องเที่ยวมากมายที่ไปเยือนฟลอริด้าจะต้องไม่พลาดการสั่งอาหารทะเลมารับประทาน ไม่อย่างนั้นจะเหมือนไปไม่ถึง แต่ขณะนี้ชาวประมงในรัฐที่เรียกตนเองว่า “เมืองหลวงแห่งการตกปลาของโลก”  จับปลาได้น้อยลง เพราะภาวะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติในบางช่วง รวมถึงกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นเช่นข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการจับปลา หรือชนิดของปลาที่อนุญาตให้จับได้ ชาวประมงที่นี่เคยชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายเรื่องการจับปลามาแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ห้ามจับปลาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นการห้ามจับปลาทุกชนิดในบริเวณที่ปลาชนิดนั้นๆอาศัยอยู่ด้วย ปัจจุบันชาวประมงจำนวนไม่น้อยจึงเลิกอาชีพนี้ไป และเรือที่ลอยอยู่ในน่านน้ำฟลอริด้านั้นส่วนใหญ่เป็นพวกล่องเรือตกปลาเล่นๆ มากกว่าจะเป็นประมงตัวจริง สรุปว่าปลาที่เสิริ์ฟในร้านอาหารที่ฟลอริด้านี้เป็นปลานำเข้าจากที่อื่น เช่น แซลมอนจากนอร์เวย์หรือสก็อตแลนด์ ทูน่าครีบเหลืองและโลมาจากเอกวาดอร์ ปลาเก๋าจากเม็กซิโกหรือไม่ก็เวียดนาม เป็นต้น ทางร้านอาหารบอกว่าปลาที่ไหนมันก็ปลาเหมือนกัน(ถ้างั้นกินที่บ้านก็น่าจะได้หรือเปล่า) แต่ตามความเห็นของนักชีววิทยาทางทะเลแล้วปลาที่เดินทางไกลเหล่านี้จะมีคุณภาพลดลง หนึ่งเพราะระยะเวลาและสองกฎระเบียบที่ควบคุมการจับปลาในบางประเทศนั้นไม่เข้มงวดเท่าที่ฟลอริด้าอีกด้วย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ร่วมใช้ร่วมจ่ายเขตปกครองพิเศษฮ่องกงประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ลดการใช้ถุงพลาสติกด้วยการเก็บภาษีถุงพลาสติกในราคาใบละ 50 เซ็นต์ ( 2 บาท) ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาจึงคิดจะเริ่มปฎิบัติการขั้นต่อไปในการสร้างจิตสำนึกของการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (ค่าใช้จ่าย) ต่อไปผู้บริโภคที่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการรีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นในวันที่เราไม่ต้องการมันอีกต่อไป เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างโทรทัศน์จะมีค่าจัดการ 100 เหรียญฮ่องกง (ประมาณ 420 บาท) หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างตู้เย็นจะมีค่าจัดการเพิ่มขึ้นอีกเท่าเป็น 200 เหรียญ แต่รายละเอียดนั้นเขายังเถียงกันไม่จบ เช่น ค่าธรรมเนียมที่ว่านั้นจะถูกลงหรือไม่ถ้าเราใช้มันนานขึ้นและจะเก็บค่าธรรมเนียมเท่ากันหรือไม่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างขนาด ต่างกำลังไฟ ร้อยละ 86 ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ในฮ่องกงนั้นเป็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และคอมพิวเตอร์

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 กระแสต่างแดน

คุณค่าที่ไม่คู่ควร องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ลุกขึ้นมาประกาศสงครามกับผู้ผลิตที่ติดฉลาก อวดอ้างสรรพคุณที่ไม่เป็นจริงบนผลิตภัณฑ์อาหาร เนื่องจากมีให้เห็นกันแพร่หลายจนเกินทน ถึงวันนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับจดหมายเตือนไปแล้ว 17 บริษัท หนึ่งในนั้นคือเนสท์เล่ที่เรารู้จักกันดี ข่าวบอกว่าข้อความบนฉลากของน้ำผลไม้ยี่ห้อจูซี่ จูซ ของเนสท์เล่นั้น ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเครื่อง ดื่มดังกล่าวทำมาจากผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นการนำเอาน้ำผลไม้หลายชนิดมารวมกัน แล้วแต่งกลิ่น นอกจากนี้บริษัทยังถูกตักเตือนเรื่องอาหารเสริมสำหรับเด็กยี่ห้อเกอเบอร์ ด้วยเหตุที่ข้อมูล โภชนาการที่แจ้งบนฉลากนั้นยังไม่ได้รับการรับรองสำหรับเด็กอายุ 2 ปี อีกหนึ่งบริษัทที่ถูกอย. สหรัฐฯ จับจ้องอยู่ได้แก่ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำทับทิมยี่ห้อ POM ที่ให้ข้อมูลกับผู้บริโภคบนเว็บไซต์ของตนเอง (โดยแจ้งเว็บไซต์ไว้ที่ฉลาก) ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถป้องกันหรือรักษาอาการเครียด เบาหวาน หรือมะเร็งได้ แม้จดหมายเหล่านี้จะเป็นเพียงการขอความร่วมมือจากบริษัท แต่อย่างน้อยๆ ก็เป็นการส่งสารไป ยังผู้บริโภคว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นเสมอไป และถ้าอะไรมันดูเหมือนจะดีเกินจริง ก็คงเป็นเพราะมันไม่จริงนั้นแล ... -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- คุมน้ำหนักด้วยอาหารฟาสต์ฟู้ด ?นาทีนี้อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกของธุรกิจ แม้แต่ผู้ให้บริการโปรแกรมลดน้ำหนัก Weight Watchers ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกก็ยังจับมือกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแมคโดนัลด์ ต่อไปนี้ แมคนักเก็ต เบอร์เกอร์ปลา และแร็พไก่ ที่ขายในร้านแมคโดนัลด์สาขาในนิวซีแลนด์ จะมีโลโก้ของ Weight Watchers อยู่ด้วย เพื่อเป็นการรับรองว่าคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักนั้น สามารถกินได้ ไม่ต้องกังวลWeight Watchers ชื่อที่ได้รับการเชื่อถือมานานด้วยระบบ การให้แต้มกับอาหารแต่ละประเภท โดยคิดจากปริมาณแคลอรี่ และไขมันอิ่มตัว ถ้าต้องการจะลดน้ำหนักด้วยโปรแกรมนี้เรา จะต้องควบคุมปริมาณอาหารให้อยู่ที่วันละ 18 – 40 แต้ม โดย แต่ละคนก็จะมีแต้มที่ต่างกันไปตามแต่น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ และกิจกรรมในแต่ละวัน งานนี้ Weight Watchers ถึงขั้นออกมารับรองว่าอาหารชุดของแมคที่เสิร์ฟพร้อมสลัดและน้ำ/น้ำอัดลม แบบไร้น้ำตาล จะมีค่าเท่ากับ 6.5 แต้ม บริษัทอ้างว่าอยากจะส่งสารไปยังคนที่ควบคุม น้ำหนักว่าพวกเขายังมีความสุขกับชีวิตได้แม้จะอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก (ว่าแต่ความสุขนี่มันหาได้จากอาหาร ฟาสต์ฟู้ดอย่างเดียวรึ)มองในทางกลับกัน มันจะทำให้ผู้คนหันมาบริโภคอาหารประเภทนี้กันด้วยความเข้าใจว่ามันดีต่อสุขภาพ และยังไม่นับว่าเมื่อเข้าไปในร้านแล้วลูกค้าก็อาจจะสั่งโดนัทหรือมิลค์เชคเพิ่มจากอาหารสามประเภทที่ว่า นั้นด้วย หลายฝ่ายมองว่ามันคือแผนเพิ่มยอดขายด้วยการดึงลูกค้ากลุ่มที่ควบคุมน้ำหนักตัวให้เข้าร้าน จะมีหรือไม่มีโลโก้ ไก่ชุบแป้งทอดก็ยังเป็นไก่ชุบแป้งทอดอยู่นั่นเอง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------ห่อให้ด้วย ช่วยลดโลกร้อน เพิ่งรู้ว่าคนญี่ปุ่นเขาไม่นิยมเก็บอาหารที่ทานไม่หมดในร้านติดตัวกลับบ้านไปด้วย การสำรวจเมื่อสองปีก่อนพบว่ามีคนญี่ปุ่นพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่เข้าใจแนวคิดเรื่องการนำอาหารเหลือกลับบ้าน ดังนั้นเขาถึงมีการก่อตั้งองค์กรขึ้นมารณรงค์เปลี่ยนทัศนคติคนให้ช่วยกันลดขยะจากอาหารเหลือตามร้าน ปีนี้องค์กร DoggyBag Committee ได้ทำการสำรวจอีกครั้งและพบว่าร้อยละ 90 ของผู้ตอบเห็นด้วย กับการนำอาหารที่กินเหลือกลับบ้าน (องค์กรนี้บอกว่าความจริงแล้วเมื่อ 20 -30 ปีก่อนคนญี่ปุ่น ก็นิยมเก็บอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงกลับบ้านกันเป็นปกติ) เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ในญี่ปุ่นที่มีบริการห่อกลับบ้านให้กับลูกค้า ร้านที่เป็นผู้บุกเบิกได้แก่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ 3 แห่งของโรงแรมในเครือโคคุไซ แต่เขาก็มีการจำกัดปริมาณในการห่อกลับบ้านและต้องตรวจสอบก่อนว่าอาหารที่จะให้ลูกค้านำกลับนั้นจะยังอยู่ได้อีกหลายชั่วโมง นอกจากนี้ยังกำชับให้กินให้หมดภายในวันเดียวด้วย ขณะนี้ร้านเล็กๆ เริ่มให้ความร่วมมือกับการบรรจุถุง/กล่องกลับบ้านให้ลูกค้า แต่ร้านใหญ่ๆ บอกว่ายังไม่อยากทำเรื่องนี้เต็มตัวจนกว่าจะแน่ใจว่าสังคมญี่ปุ่นให้การยอมรับเรื่องนี้อย่างจริงจัง กระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นบอกว่า ในปี พ.ศ. 2550 มีขยะจากอุตสาหกรรมอาหารถึง 11 ล้านตันต่อปี นับเป็นสถิติที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศที่พัฒนาแล้ว และการจัดการกับขยะเศษอาหารในญี่ปุ่น นั้นมีค่าใช้จ่ายประมาณ 36 บาทต่อ 1 กิโลกรัม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------ขวดเก่าไปบอลโลกกำลังรออยู่ว่าฟุตบอลโลกที่อัฟริกาใต้ปีนี้จะมีมุขอะไรออกมารณรงค์เพื่อการลดโลกร้อนกันบ้าง ข่าวแรกออกมาแล้วว่าบรรดานักเตะจาก 9 ทีมดังที่มีไนกี้เป็นสปอนเซอร์หลักจะสวมเสื้อที่ทำจากใยโพลีเอสเตอร์ที่ผ่านการรีไซเคิลมาจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว ขวดพวกนี้จะเดินทางมาจากญี่ปุ่นและไต้หวัน เพื่อเข้าแถวรับการตัด หลอม แล้วปั่นเป็นเส้นใย ซึ่งสามารถนำไปทอเป็นผืนผ้าและเย็บเป็นตัวเสื้อ เขาบอกว่าเสื้อหนึ่งตัวจะใช้ขวดประมาณ 8 ขวด บริษัทบอกว่า “เสื้อขวด” นั้นจะมีราคาเท่ากับเสื้อปกติ แม้ว่าวัสดุรีไซเคิลนั้นจะมีราคาแพงกว่า ผ้าธรรมดาอยู่บ้างแต่ก็สามารถชดเชยด้วยการประหยัดงบในส่วนอื่นๆ เพราะจะว่าไปแล้วการ ผลิตเสื้อแบบนี้สามารถลดการใช้พลังงานในการผลิตได้ถึงร้อยละ 30 เลยทีเดียว การตัดสินใจผลิตเสื้อรุ่นดังกล่าวออกมาช่วยทำให้ขวดพลาสติก จำนวน 13 ล้านขวด ได้อวตารมาเป็นเสื้อ 1.5 ล้านตัว แทนจะกลาย เป็นวัสดุถมดิน------------------------------------------------------------------------------------------------------------------มาสอนก็มีเสี่ยงนับถึงวันนี้มีครูชาวอังกฤษเสียชีวิตไปแล้ว 178 คน จากอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน (แอสเบสทอส) และนั่นคือสาเหตุที่หน่วยงานท้องถิ่น 34 หน่วยงานกำลังถูกสอบสวนอยู่ในขณะนี้ การสุ่มสำรวจโรงเรียน 16 โรงโดยสมาคมให้คำปรึกษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับแร่ใยหินพบว่า ไม่มีโรงเรียนไหนเลยที่มีระบบป้องกันอันตรายจากแร่ใยหินซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิด โรคมะเร็งที่เยื่อหุ้มปอด ข่าวดังกล่าวทำให้สมาคมครูในอังกฤษออกมาเรียกร้องให้มีการตั้งองค์กรอิสระขึ้นมากำกับ ดูและและให้คำแนะนำในเรื่องแร่ใยหินและการกำจัดหรือจัดการมันในเขตโรงเรียน รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ประกาศว่ารัฐบาลจะจัดทำคู่มือเรื่องการจัดการแร่ใยหิน เพื่อแจกให้กับบรรดาครูใหญ่ ผู้ว่าการรัฐ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานท้องถิ่นได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากประมาณร้อยละ 75 ของโรงเรียนในอังกฤษนั้นมีการใช้แร่ใยหินในวัสดุก่อสร้าง เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กำจัดวัสดุอาคารที่ชำรุดเสียหายที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินออกไปก่อน ส่วนวัสดุที่ยังไม่เสียหายนั้นให้ปล่อยไว้อย่างนั้นโดยเพิ่มการจัดการที่ดีแทน โชคดีที่อังกฤษเขามีกฎหมายเรื่องนี้เข้มพอสมควร จึงทำให้เรื่องนี้ได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ส่วนประเทศไทย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราซึ่งมีการใช้วัสดุก่อสร้างที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบกันอย่างแพร่หลายเช่นกัน จะหันมาให้ความสนใจกับการจัดการแร่ใยหินอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนเขาบ้าง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สายการบินสปิริตสูงออสเตรเลียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดกรณีร้องเรียนจำนวนมากจากผู้ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ รัฐบาลจึงออกกฎให้สายการบินเหล่านี้เสนอสิ่งที่เรียกว่า “ข้อตกลงกับผู้โดยสาร” เพื่อเป็นการรับประกัน ว่าผู้โดยสารจะได้รับบริการที่ดีขึ้น สายการบินเจ็ทสตาร์รีบลงมือทำเรื่องนี้ก่อนใคร หลังจากเสียคะแนนไปเยอะเมื่อปลายเดือนมกราคม ที่ผ่านมาเมื่อเครื่องบินที่จะต้องพาผู้โดยสารจากเกาะภูเก็ตกลับไปออสเตรเลีย เกิดเหตุขัดข้อง ทางเทคนิค ทำให้ผู้โดยสารจำนวน 290 คนต้องติดค้างอยู่ที่ภูเก็ตถึง 2 คืน แต่บริษัทก็รีบกู้ชื่อกลับมาด้วยการให้การชดเชยและปลอบใจผู้โดยสารแบบที่สายการบินอื่นๆ ต้องอึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจ็ทสตาร์บอกว่างานนี้ใช้เงินไปประมาณ 1 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (เกือบๆ 30 ล้านบาท) สำหรับการส่งเครื่องบินเปล่ามารับผู้โดยสาร และจ่ายเงินคืนเต็มจำนวน ให้กับผู้โดยสารทุกคน เฉลี่ยคนละ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 29,500 บาท) เงินชดเชยอีกคนละ 600 เหรียญ (ประมาณ 17,600 บาท) และค่าที่พัก 2 คืนในโรงแรมที่ภูเก็ตด้วย สายการบินอื่นจะไม่อึ้งได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาอย่างเก่งสายการบินก็ยอมคืนเงินให้ บางส่วนหรือไม่ก็แจกเวาเชอร์มูลค่า 50 เหรียญ (ประมาณ 1,500 บาท) ให้ผู้โดยสารเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 กระแสต่างแดน

น้ำขวดหรือจะสู้น้ำประปา บริษัทที่ขายน้ำดื่มในอเมริกานั้นทำกำไรได้ปีละหลายล้านเหรียญจากความเชื่อที่ว่าน้ำดื่มบรรจุขวดนั้นสะอาดบริสุทธิ์กว่าน้ำประปาบ้านๆ แต่หารู้ไม่ว่าการผลิตน้ำขวดดังกล่าวมีการควบคุมดูแลน้อยกว่าน้ำประปาด้วยซ้ำ รายงานที่นำเสนอในสภาคองเกรสของสหรัฐระบุว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐมีอำนาจน้อยมากในการกำกับดูแลความปลอดภัยของน้ำดื่มบรรจุขวด ในขณะที่ในบางมลรัฐที่พอจะมีอำนาจจัดการอยู่บ้างก็ให้ความสำคัญกับการควบคุมการผลิตน้ำประปามากกว่า บาร์ท สตูพัค ผู้แทนจากรัฐมิชิแกนบอกว่า คนอเมริกันยินดีจ่ายเงินซื้อน้ำบรรจุขวด ซึ่งมีราคามากกว่าน้ำจากก๊อกถึง 1,900 เท่า และใช้พลังงานมากกว่า 2,000 เท่าในการผลิตและการขนส่ง ในขณะที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดถูกเรียกคืนเพราะมีการปนเปื้อนของสารหนู โบรเมท เชื้อรา และแบคทีเรีย อยู่เป็นระยะๆ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา   แม้แต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาก็มีรายงานข่าวว่ามีเด็กนักเรียนนับสิบรายที่ป่วยหลังจากดื่มน้ำบรรจุขวดที่ซื้อจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติ รายงานดังกล่าวยังระบุว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐไม่ได้ควบคุมปริมาณของสารประกอบ DEHP (ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ในน้ำดื่มบรรจุขวด ในขณะที่หน่วยงานที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมมีการควบคุมปริมาณสารดังกล่าวในน้ำประปา แต่ทางสมาคมผู้ผลิตน้ำบรรจุขวดบอกว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะมีสารนี้ในน้ำดื่มบรรจุขวดซึ่งผ่านการควบคุมมาหลายขั้นตอนแล้ว สมาคมฯ บอกว่าในปีที่ผ่านมา คนอเมริกันนั้นดื่มน้ำกันไปทั้งหมด 8,700 ล้านแกลลอน หรือ ประมาณคนละ 28.5 แกลลอน รายได้จากการขายน้ำดื่มบรรจุขวดในปีดังกล่าวสูงถึง 11,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณกว่า 380,000 ล้านบาท) ที่นี่ไม่มีน้ำขวดคราวนี้ข้ามทวีปมาที่ออสเตรเลียกันบ้าง มาดูปรากฏการณ์น่าสนใจที่เมืองบันดานูน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของซีดนีย์ ประชากร (ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 2,500 คน) ของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้เห็นร่วมกันว่าควรจะกำจัดสิ่งที่เรียกว่า “น้ำดื่มบรรจุขวด” ออกไปจากเมืองเสียที เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขั้นตอนการบรรจุขวดและการขนส่ง แต่ไม่ต้องกลัวว่าไปเที่ยวเมืองนี้แล้วจะไม่มีน้ำดื่มดับกระหายนะพี่น้อง เขามีขวดเปล่าเอาไว้ให้รองน้ำจากตู้กดน้ำที่ตั้งไว้ทั่วไปตามท้องถนนเอาไว้ดื่มกันให้เปรม ส่วนกับทางร้านค้านั้น เขาก็ไม่ได้บังคับขืนใจให้หยุดขายน้ำดื่มบรรจุขวดแต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นความสมัครใจของร้านค้าต่างๆ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 ร้าน การรณรงค์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะมีบริษัทที่ชื่อว่า นอร์เล็กซ์ โฮลดิ้ง จะมาตั้งโรงงานเพื่อสูบเอาน้ำจากเมืองนี้แล้วส่งเข้าไปบรรจุขวดในโรงงานที่ซีดนีย์ ซึ่งอยู่ห่างออกไป 120 กิโลเมตร ผู้คนที่เมืองนี้คัดค้านแผนการดังกล่าว และขณะนี้บริษัทฯ ก็ยังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ต่อศาล เป็นใครก็คงรับไม่ได้ ถ้าจะมีคนมาสูบน้ำไปจากบ้านเราแล้วเอาไปใส่ขวดกลับมาขายเราอีก การรณรงค์ของชาวเมืองบันดานูนนี้ถือว่าได้ผลทีเดียวเพราะรัฐนิวเซาท์เวลส์ก็รับลูกทันที ผู้ว่าการรัฐออกมาประกาศว่าต่อไปนี้ห้ามหน่วยงานของรัฐใช้เงินไปกับการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดเด็ดขาด คนออสซี่ก็ใช้เงินไปกับการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดไม่น้อย ถึงปีละ 500 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ประมาณ 13,000 กว่าล้านบาท) เลยทีเดียว ผู้หญิงเชิญตู้อื่น... นะครับใครจะไปนึกว่าวันหนึ่งคุณสุภาพบุรุษชาวญี่ปุ่นเขาจะออกมาเรียกร้องขอรถไฟตู้พิเศษสำหรับชายล้วน ในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ต้องมีการเบียดเสียดกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เพราะว่ากลัวจะโดนผู้หญิงแต๊ะอั๋งหรอกนะ แต่เป็นเพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไปลวนลามคุณสุภาพสตรีมากกว่า ก็รถมันแน่นซะขนาดนั้น จะทำตัวล่องหนก็วิทยายุทธ์ยังไม่แก่กล้าพอ จากข้อมูลของตำรวจญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2550 มีคุณผู้ชายถูกจับข้อหาลวนลามสตรีเพศถึง 2,000 คนเลยทำให้บริษัทที่จัดการเรื่องรถไฟต้องมีการกำหนดให้ตู้โดยสารบางตู้เป็นเขตปลอดผู้ชาย ที่นี้เลยทำให้เกิดไอเดียสุดเจ๋งตามมา คือมีการขอตู้โดยสารสำหรับชายล้วนๆ บ้าง ผู้ที่เสนอไอเดียเรื่องตู้โดยสารสำหรับชายล้วนนี้ได้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวนสิบคน (ข่าวไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง) ของบริษัทเซบุ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรถไฟในเขตโตเกียว ที่เสนอทางออกในการแก้ปัญหาหลังจากที่บริษัทได้รับเรื่องร้องเรียนจากคุณผู้หญิงจำนวนมากว่าถูกลวนลาม และในขณะเดียวกันก็ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ชายที่ถูกกล่าวหาว่าไปลวนลามคนอื่นๆ ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้ทำด้วย ว่าแล้วก็เลยเสนอว่าน่าจะจัดตู้พิเศษสำหรับชายล้วนด้วยมันถึงจะเท่าเทียม แต่คณะกรรมการเขาลงมติไม่รับข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่าจนถึงขณะนี้มีผู้โดยสารชายออกมาโวยวายน้อยมาก ก็เลยต้องขอรบกวนให้นั่งตู้เดียวกับคุณผู้หญิงต่อไป งานนี้ไม่รู้ใครกลัวใครแล้ว ผิดด้วยหรือที่ไม่อยากโชว์แขน ร้านเสื้อผ้ายี่ห้อดัง อะเบอร์ครอมบี้แอนด์ฟิทช์ (Abercrombie & Fitch) ถูกพนักงานขายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 25,000 ปอนด์ หรือประมาณ 1.4 ล้านบาท โทษฐานที่เลือกปฏิบัติต่อเธอ พนักงานขายคนนี้ชื่อ เรียม ดีน เป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน เธออายุ 22 ปีและใช้แขนเทียมมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ตอนแรกที่รับเธอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายนั้น ทางร้านอะเบอร์ครอมบี้ ในย่านหรูของลอนดอน อนุญาตให้ดีนใส่เสื้อแขนยาวเพื่อปกปิดแขนเทียมไว้ในขณะให้บริการลูกค้าได้ แต่ผ่านไปไม่กี่วันทางร้านก็บอกกับเธอว่าเธอต้องถอดเสื้อคลุมแขนยาวนั้นออกให้เหลือแต่เสื้อยืดตัวในเหมือนพนักงานคนอื่นๆ เมื่อเธอปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น จึงเท่ากับว่าเธอฝ่าฝืนนโยบายเรื่องการแต่งกายของบริษัท เธอจึงถูกย้ายเข้าไปทำงานในห้องเก็บสินค้า ทั้งนี้ผู้ใหญ่ของบริษัทให้เหตุผลว่าควรให้ดีนทำงานอยู่หลังร้านไปจนกว่าจะถึงฤดูหนาวที่พนักงานทุกจะได้ใส่เสื้อแขนยาวได้โดยไม่ผิดระเบียบ เมื่อมีข่าวเรื่องนี้ออกมา ทางร้านก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าดีนคงเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ เพราะความจริงแล้วทางบริษัทมีนโยบายต่อต้านการเลือกปฏิบัติอย่างแข็งขันเลยทีเดียวนะ แต่ดีนอาจจะเข้าใจถูกก็ได้ เพราะในปี พ.ศ. 2547 เพียงปีเดียว บริษัทนิว อัลบานี เจ้าของแบรนด์ดังกล่าว ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ก็เคยถูกฟ้องร้องเพราะการเลือกปฏิบัติ และต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานเป็นจำนวนถึง 50 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1,700 ล้านบาท) มาแล้ว อัจฉริยะที่ไม่ค่อยฉลาดภายในปี พ.ศ. 2555 กว่า 1.3 ล้านครัวเรือนในนิวซีแลนด์ จะต้องติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อช่วยให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้อยู่อาศัยกับบริษัทที่ให้บริการไฟฟ้า และช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดเงินค่าไฟได้ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเห็นๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่รัฐบาลปล่อยให้บรรดาผู้ให้บริการไฟฟ้า (ซึ่งในนิวซีแลนด์มีอยู่ถึง 11 บริษัท) เป็นผู้ที่รับผิดชอบติดตั้งมิเตอร์เหล่านี้กันเอง โดยไม่มีการควบคุมดูแล แจน ไรท์ กรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐสภานิวซีแลนด์ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้บรรดาผู้ประกอบการเหล่านั้น พยายามหลีกเลี่ยงการตั้งการทำงานของมิเตอร์ดังกล่าวในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งคุณไรท์ก็บอกว่าไม่น่าแปลกใจ เพราะการใช้ไฟมากขึ้นย่อมหมายถึงผลกำไรที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการนั่นเอง ความจริงแล้วมิเตอร์อัจฉริยะที่ว่านี้นอกจากจะทำให้บริษัทสามารถรู้ปริมาณการใช้ไฟของแต่ละครัวเรือนโดยไม่ต้องส่งคนมาเดินจดแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินและสามารถใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่าอัตราค่าไฟในขณะนั้นเป็นเท่าไร และช่วงไหนเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ากันมาก โดยไมโครชิพในมิเตอร์จะทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบอัจฉริยะที่จะมีออกมาจำหน่ายในอนาคตอันใกล้นี้ มิเตอร์ที่ว่าจะปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้โดยอัตโนมัติ ในช่วงที่มีการใช้ไฟสูง แต่บริษัทกลับไม่ได้ใส่ไมโครชิพที่ว่าให้กับมิเตอร์ที่กำลังติดตั้งกันอยู่ในขณะนี้ให้กับ 800,000 ครัวเรือน และมิเตอร์เหล่านั้นก็ไม่มีระบบแสดงข้อมูลตามเวลาจริงเพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภคด้วย เช่น บางคนอาจจะยังเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นในสระว่ายน้ำไว้เพราะไม่รู้ตัวว่าค่าไฟได้ขึ้นราคาไปแล้ว เป็นต้น คุณไรท์ตั้งคำถามว่า ถ้าไม่ติดตั้งไมโครชิพที่ว่านี้ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะออกมาขายทำไม และถ้าจะติดตั้งเพิ่มในภายหลังก็จะมีค่าใช้จ่ายอีกถึง 60 ล้านเหรียญนิวซีแลนด์ (ประมาณ 1,300 ล้านบาท) อีกด้วย สรุปว่าถ้ารัฐบาลยิ่งปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ ก็จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคต้องติดตั้งมิเตอร์อัจฉริยะที่ไม่ค่อยฉลาดกันไปโดยไม่รู้ตัว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 98 กระแสต่างแดน

กระแสต่างแดนศศิวรรณ ปริญญาตรเชื่อโค้กซิ ถ้ามีคนบอกคุณว่าน้ำอัดลมโค้กไม่ทำให้คุณอ้วนหรือฟันผุ คุณก็คงไม่เชื่อ แต่เชื่อเถอะนะว่า บริษัทโคคา โคล่า เซาท์ แปซิฟิก เขากล้าโฆษณาให้คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ   โฆษณาทางโทรทัศน์ชิ้นดังกล่าวมีดารายอดนิยมของออสเตรเลีย เคอรี่ อาร์มสตรอง เป็นพรีเซ็นเตอร์ เคอรี่ซึ่งแต่งงานแล้วและมีลูกชายสามคนพูดกับผู้ชมว่า “ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ดีจังที่ได้รู้ว่าเราสามารถดื่มเครื่องดื่มสุดโปรดของครอบครัวต่อไปได้อย่างสบายใจ”   ซึ่งก่อนหน้านั้นเนื้อหาในโฆษณาได้พูดถึง “ข่าวลือ” เกี่ยวกับเครื่องดื่มโค้ก ในทำนอง “เขาว่ากันว่า กินโค้กแล้วอ้วน ... กินโค้กแล้วฟันผุ” จากนั้นก็จบลงด้วยการฟันธงว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ก็เท่ากับบอกคนดูว่า เครื่องดื่มโค้กไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือฟันผุ นั่นเอง   โฆษณาชิ้นนี้จึงถูกคณะกรรมการเพื่อผู้บริโภคและการแข่งขันทางการค้าของออสเตรเลียเบรกเข้าอย่างจัง คณะกรรมการฯ สั่งให้โคคา โคล่าออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในโฆษณาดังกล่าวต่อผู้บริโภคโดยด่วน เนื่องจากข้อความในโฆษณาของโค้กนั้นถือว่าอุกอาจอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่าโค้กนั้นไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก เรื่องนี้จบลงที่บริษัทโคคา โคล่า ยินยอมซื้อเนื้อที่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทั่วทุกรัฐในออสเตรเลีย เพื่อชี้แจงสิ่งที่ตนเองได้โมเมไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการชี้แจงในเว็บไซต์ของบริษัทเองด้วย แต่ยังไม่หมด คณะกรรมการฯ ออกคำสั่งให้บริษัทชี้แจงเรื่องปริมาณคาเฟอีนด้วย เนื่องจากบริษัทเคยบอกกับผู้บริโภคเป็นทำนองว่า โค้กไม่ได้มีคาเฟอีนในปริมาณที่มากมายอย่างที่เข้าใจกัน ไดเอทโค้กขนาด 250มล. นั้น มีคาเฟอีนปริมาณเท่ากับครึ่งหนึ่งของชาในปริมาณ 250 มล. เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว (ในข้อมูลที่บริษัทได้แก้ไขแล้ว) โค้กมีคาเฟอีนถึง 2/3 ของชาในปริมาณเดียวกัน อยากประหยัด ต้องลดน้ำหนักก่อนบินขณะนี้ในอเมริกานั้นมีการคิดค่าโดยสารเครื่องบินตามน้ำหนักตัวผู้โดยสารมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ล่าสุดสายการบินยูไนเต็ดก็ออกมาประกาศว่า ผู้โดยสารที่ตัวใหญ่เกินกว่าที่นั่งในชั้นประหยัดนั้น อาจจะต้องถูกขอร้องให้ซื้อตั๋วสองที่นั่งหรือไม่ก็เพิ่มเงินเพื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วชั้นธุรกิจซึ่งที่นั่งมีขนาดใหญ่กว่าแทน สายการบินดังกล่าวบอกว่าเหตุที่ต้องมีนโยบายดังกล่าวขึ้นมาก็เพราะเมื่อปีที่แล้วมีผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 700 คน ที่มาร้องเรียนกับทางบริษัทว่าได้รับความอึดอัดเป็นอย่างยิ่งตลอดการเดินทางเพราะผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ นั้นตัวใหญ่เกินไป ในยุคที่สายการบินกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องจากผู้โดยสาร เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับสายการบินเวอร์จิน แอตแลนติก ที่ต้องจ่ายค่าเสียหายถึง 13,000 ปอนด์ (ประมาณ 660,000 บาท) ให้กับบาร์บาร่า ฮิวสัน ซึ่งถูกผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ เบียดจนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่กล้ามเนื้อขา (ข่าวบอกว่าทุกวันนี้เธอยังคงต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน) ทางฝั่งอังกฤษก็มีสายการบินไรอันแอร์ ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บุกเบิกในการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้บ้าง สายการบินได้ทำการสำรวจความเห็นผู้บริโภคว่า บริษัทควรเก็บเงินจากผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษหรือไม่ ขณะนี้มีคนโหวตเข้ามาแล้ว 45,000 คน และเกือบร้อยละ 50 เห็นด้วยกับการคิดเงินเพิ่มจากผู้โดยสารที่มีน้ำหนักเกิน (เสียงโหวตยอดนิยมอันดับสองได้แก่ การคิดเงินเพิ่มจากคนที่เข้าไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำบนเครื่องบิน) ความจริงเรื่องการคิดเงินเพิ่มจากผู้โดยสารที่มีน้ำหนักเกินนี้เป็นสิ่งที่สายการบินต่างๆ คิดมานานแล้วแต่ไม่มีใครกล้าทำจริงๆ แต่ไรอันแอร์บอกว่าคราวนี้เป็นเสียงเรียกร้องจากผู้โดยสารเอง แต่ข่าวเขาไม่ได้บอกนะว่า จะลดค่าโดยสารให้กับผู้โดยสารที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานด้วยหรือเปล่า โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์สีเขียว คุณก็เป็นได้ หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวเรื่องการเปิดตัวภาพยนตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมเรื่อง The Age of Stupid เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2055 เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะล่มสลาย ตัวเอกซึ่งเป็นชายชราคนหนึ่งมองกลับไปยังอดีตของเขา แล้วถามตนเอง (ถามคนดูด้วย) ว่าเหตุใดมนุษย์จึงไม่ลงมือทำอะไรในขณะที่พวกเขายังมีโอกาส ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง นอกจากจะมีดารานำที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว และมีผู้กำกับคือ แฟนนี่ อาร์มสตรอง ก็เคยที่ทำภาพยนตร์เรื่อง McLibel เมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมสองคนที่เคยยืนหยัดต่อต้านยักษ์ใหญ่ฟาสต์ฟู้ดอย่างแมคโดนัลด์มาแล้ว อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจคือที่มาของเงินทุนที่ใช้ในการสร้างหนังเรื่องดังกล่าวผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้มีทั้งหมด 228 ราย (ในนี้มีทีมฮ็อคกี้ และศูนย์สุขภาพด้วย) ซึ่งก็คือคนกลุ่มหนึ่งที่ยินดีบริจาคเงินให้กับทีมผู้สร้าง ด้วยการลงหุ้น (ในที่นี้น่าจะเป็นลงขัน) กันคนละตั้งแต่ 500 ถึง 35,000 ปอนด์ รวมๆ แล้วเป็นทุนสร้างทั้งหมด 450,000 ปอนด์ (ประมาณ 23 ล้านบาท) ที่ทีมงานสามารถนำไปสร้างหนังได้โดยไม่มีการแทรกแซงแต่อย่างใด แฟนนี่บอกว่า สาเหตุที่มีคนจำนวนถึง 25 ล้านคนได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแมคโดนัลด์ ทั้งๆ ที่หนังเรื่อง McLibel ของเธอถูกห้ามฉายในโรงภาพยนตร์ ก็เพราะว่ามันเป็นหนังที่เธอเป็นเจ้าของเอง และเธอสามารถให้สิทธิการฉายกับช่องเคเบิลที่ติดต่อเข้ามา และการที่เธอไม่ได้รับสปอนเซอร์จากบริษัทใดๆ ก็หมายความว่าเธอสามารถนำเสนอเรื่องราวได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องตัดบางตอนออกเพราะเกรงใจใครด้วย ส่วนการฉายรอบปฐมทัศน์ของหนังเรื่องนี้ก็แหวกแนวเล็กน้อย แทนที่จะเป็นการจำกัดเฉพาะนักข่าวบันเทิงหรือคนดังที่ดูอยู่ที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในลอนดอน ผู้จัดได้ฉายพร้อมๆ กัน ในโรงหนัง 60 โรงทั่วประเทศอังกฤษ รวมถึงในอินเตอร์เน็ตด้วย ที่เก๋ไปกว่านั้นคือ ผู้กำกับบอกด้วยว่าในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกสร้างขึ้นตลอดเวลาการถ่ายทำเป็นปริมาณทั้งหมด 94 ตัน ซึ่งก็เท่ากับปริมาณก๊าซดังกล่าวที่คนอเมริกัน 4 คน หรือคนอังกฤษ 8 คน จะสร้างขึ้นในเวลา 1 ปี นั่นเอง เพื่อน .. เราหลอกนายว่ะเราควรจะดีใจที่มีสินค้ามากมายในท้องตลาดที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เพราะมันทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ รู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อม แต่…เราดีใจไม่ออกเสียแล้ว เพราะความจริงคือ มีเพียงร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้เท่านั้นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงๆ นี่คือผลการสำรวจโดยองค์กร TerraChoice Environmental Marketing ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลแคนาดา ที่มีหน้าที่สอดส่องดูแลการเรื่องฉลากแสดงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ องค์กรดังกล่าวบอกว่ามีจำนวนผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่า “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในช่วงสองปีที่ผ่านมาและผู้ผลิตก็เริ่มใช้เทคนิคการตลาดที่หลากหลายขึ้น ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องดี เพราะนั่นหมายความว่าผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจต่อเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และบริษัทก็พยายามจะสนองตอบความต้องการนั้นๆ แต่ข่าวร้ายคือ เมื่อทำการสำรวจดูสินค้าในซูเปอร์มาร์เกตในอเมริกาและแคนาดาทั้งหมด 2,219 ชิ้น (องค์กรดังกล่าวบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ คำโฆษณา ข้อมูลสนับสนุน และการให้ข้อมูลจากบริษัท แล้วนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ขององค์กรรัฐที่ควบคุมดูแลเรื่องการค้าที่เป็นธรรม ทั้งอเมริกาแคนาดา ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ ISO) กลับพบว่ามีถึงร้อยละ 98 ของผลิตภัณฑ์ ที่เข้าข่าย “แอบอ้าง” ว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาพบว่าผู้ผลิตเหล่านี้มีการอุปโลกน์เครื่องหมายรับรองปลอมๆ จากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงผู้บริโภคอีกด้วย สถานที่ราชการ กรุณางดตั้งเป็นชื่อบุหรี่องค์กรต่อต้านการสูบบุหรี่แห่งหนึ่งในจีน ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้ใช้ชื่อ “จงหนานไห่” เป็นยี่ห้อบุหรี่อีกต่อไป วู ยี ชุน รองผู้อำนวยการขององค์กรพัฒนาเอกชน Think Tank Research Center for Health Development บอกว่าการยินยอมให้มีบุหรี่ยี่ห้อดังกล่าวอยู่ในท้องตลาดต่อไป เท่ากับเป็นการส่งเสริมการสูบบุหรี่ทางอ้อม เธอบอกว่าชื่อ “จงหนานไห่” (ซึ่งเป็นชื่อทำเนียบรัฐบาลของจีน) อาจจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ยี่ห้อดังกล่าวได้รับการรับรองจากรัฐบาล บุหรี่จงหนานไห่ เป็นหนึ่งในบุหรี่ยี่ห้อดังๆ ที่มีขายในประเทศจีน ซึ่งมีมูลค่าการตลาดถึงเจ็ดหมื่นแปดพันล้านหยวน (ประมาณ 40,000 ล้านบาท) นักกฎหมายหลายคนบอกว่าการใช้ชื่อดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเครื่องหมายการค้า เพราะในมาตรา 10 ของกฎหมายฉบับดังกล่าวระบุว่าห้ามนำชื่อของสถานที่ราชการมาใช้เป็นชื่อยี่ห้อสินค้า แต่ทั้งนี้เมื่อสามปีก่อน สำนักงานเครื่องหมายการค้าแห่งปักกิ่งได้อนุญาตให้บริษัทโรงงานยาสูบปักกิ่งใช้ชื่อ “จงหนานไห่” ได้ต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 2017 นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกที่จะให้รัฐบาลห้ามใช้ชื่อของสถานที่ราชการมาตั้งเป็นยี่ห้อสินค้า แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ บริษัทต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะเก็บชื่อเดิมไว้ เพราะว่ากันว่าถ้าต้องเปลี่ยนชื่อจริงๆ บริษัทนี้จะต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านหยวน นอกจากนี้ บุหรี่จงหนานไห่ ยังมีประเด็นที่ไม่เข้าตากรรมการอีกสองเรื่องคือ หนึ่ง บริษัทบอกกับผู้บริโภคว่า ส่วนหนึ่งของรายได้จากการขายบุหรี่ดังกล่าวจะมอบให้กับองค์กรการกุศลที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชน สองคือบริษัทสื่อสารให้ผู้สูบบุหรี่เข้าใจว่า บุหรี่ที่มีน้ำมันดินเป็นส่วนประกอบในปริมาณต่ำจะเป็นอันตรายต่อร่างกายน้อยลง ซึ่งไม่เป็นความจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 149 กรณีพิพาท ลักไก่...แอบต่อท่อระบายน้ำ

ข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็คือ  นายเขมไชยและบริษัทเค. อาร์. แอสเซ็ทส์ จำกัด เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 93428 และ 93933  ตำบลบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งสองแปลงนี้ เป็นทางภาระจำยอม แก่ที่ดินของคนในหมู่บ้านปิ่นเกล้าการ์เด้นซิตี้ โดยบริษัท สาดีเวล๊อปเมนต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด  เป็นผู้จัดสรรที่ดินและจัดให้มีทางพิพาทเป็นภาระจำยอมเพื่อเป็นทางเข้าออกระหว่างหมู่บ้านกับถนนพุทธมณฑลสาย 2 ซึ่งเป็นทางสาธารณะ  จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดข้างต้นซึ่งอยู่ติดกับทางพิพาท จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารบนที่ดินทั้งสองแปลงนี้โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในการก่อสร้างอาคารได้มีการต่อท่อระบายน้ำจากอาคารเชื่อมต่อเข้ากับท่อระบายน้ำเดิมของหมู่บ้านปิ่นเกล้าการ์เด้นซิติ้ซึ่งฝังอยู่ใต้ทางพิพาท  และมีการรื้อรั้วลวดหนาม ต้นไม้ และทางเท้าบนทางพิพาทเพื่อเปิดเป็นช่องทางเข้าออกระหว่างที่ดินของจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับทางพิพาท   โจทก์ทั้งเจ็ดสิบ(ลูกบ้านในหมู่บ้านการ์เด้นซิตี้)ไม่ยินยอม   จึงมาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่และบริวารออกไปจากบริเวณถนนทางเท้าและท่อระบายน้ำอันเป็นภาระจำยอมของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบให้จำเลยทั้งสี่ทำถนนทางเท้า ท่อระบายน้ำ ต้นไม้ และลวดหนามกลับสู่สภาพเรียบร้อยดังเดิม ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งเจ็ดสิบฎีกา  มาดูกันซิว่าศาลฎีกาจะว่าอย่างไร  ศาลฎีกาโดยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2555 วินิจฉัยว่า ภาระจำยอมอันเป็นประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบที่มีเหนือที่ดินพิพาทเป็นประเภทเดียวกับภาระจำยอมอันเป็นประโยชน์แก่ที่ดินของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ที่มีเหนือที่ดินพิพาท กล่าวคือ ประโยชน์ที่ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ  แต่ผู้ใช้ทางพิพาทแต่ละคนก็ไม่อาจใช้สิทธิให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้ทางพิพาทร่วมกันนั้นได้ การที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบไม่อาจใช้ทางเท้าบริเวณที่มีการทำทางเชื่อมระหว่างที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับทางพิพาทนั้น  ก็เป็นการสูญเสียทางเท้าเพียงบางส่วนเป็นระยะทาง 7 เมตร เท่านั้นยังสามารถใช้ทางเท้าส่วนใหญ่ที่เหลือนั้นได้  จึงไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทลดไปหรือเสื่อมความสะดวก  การรื้อทางเท้าเพื่อทำทางเชื่อมระหว่างที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับทางพิพาทนั้น จึงไม่เป็นการกระทำโดยละเมิด  แต่การสร้างท่อระบายน้ำใต้ทางพิพาท  โดยการต่อท่อระบายน้ำจากอาคารบนที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้ากับท่อระบายน้ำของหมู่บ้านต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งเจ็ดสิบและผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านก่อน แม้ทางพิพาทดังกล่าวจะตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่ทำให้ท่อระบายน้ำที่อยู่ในทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปด้วย เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดสิบและผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านไม่ยินยอม  การต่อท่อระบายน้ำดังกล่าวเข้ากับท่อระบายน้ำของหมู่บ้านจึงเป็นการกระทำโดยละเมิด พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยุ่งเกี่ยวกับท่อระบายน้ำของหมู่บ้านปิ่นเกล้าการ์เด้นซิตี้ที่อยู่ในทางพิพาท  ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันรื้อท่อระบายน้ำที่จำเลยที่ 1 ทำเชื่อมต่อเข้ากับท่อระบายน้ำของหมู่บ้านปิ่นเกล้าการ์เด้นซิตี้ และทำให้ท่อระบายน้ำของหมู่บ้านปิ่นเกล้าการ์เด้นซิตี้กลับคืนสู่สภาพเรียบร้อยดังเดิม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบ ---------- ภาระจำยอมคืออะไร  ภาระจำยอมเป็นทรัพย์สิทธิประเภทหนึ่งที่ตัดทอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่น  อันทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนอำนาจกรรมสิทธิ์ เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 148 สระว่ายน้ำข้าฯ ใครอย่าแตะ

ฉบับนี้เป็นเรื่องของหมู่บ้านจัดสรรรุ่นเก่าชื่อโครงการหมู่บ้านเดอะวิลเลจ ถนนพัทยาสาย 3 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี  ที่สร้างขายก่อนที่จะมี พระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543  ใช้บังคับ โดยขณะนั้นมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่286  ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน  2515  โดยจอมพลถนอม  กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นผู้ประกาศ  หมู่บ้านดังกล่าวบริษัทเดอะวิลเลจ จำกัด ได้โฆษณาและจัดไว้เป็นสาธารณูปโภคที่ผู้อาศัยในหมู่บ้านเดอะวิลเลจใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยสร้างเป็นสระน้ำ  คลับเฮ้าส์  สวนหย่อมและสนามเด็กเล่น   สร้างเสร็จและให้ผู้อาศัยในหมู่บ้านเข้าใช้ตั้งแต่ปี 2531 ต่อมาปี 2532  บริษัทเดอะวิลเลจ จำกัด ได้โอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลง(ส่วนที่เป็นสาธารณูปโภค)เป็นชื่อบริษัทแกลลอรี่ อะวอร์ด จำกัด จนกระทั่งปี 2538   บริษัทแกลลอรี่ อะวอร์ด จำกัด ได้โอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลย ( บริษัทพาเลซอินเตอร์เทรด จำกัด ) หลังจากนั้นในปี 2539  ทางราชการได้เวนคืนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงบางส่วนเพื่อสร้างถนนพัทยาสาย 3 โดยเวนคืนที่ดินส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำทั้งหมด คงเหลือคลับเฮ้าส์และเวนคืนส่วนที่เป็นสวนหย่อมและสนามเด็กเล่นไปบางส่วน ทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 28666  เหลือเนื้อที่ 2 งาน 93.5  ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ เหลือเนื้อที่ 1 งาน 89.2  ตารางวา ทั้งนี้ โดยจำเลยได้รับเงินค่าเวนคืนสำหรับที่ดินส่วนที่ถูกเวนคืนไปเป็นเงิน  7,000,000  บาท แล้วจำเลยอ้างว่า  จำเลยเป็นบุคคลภายนอก  และที่ดินพิพาททั้งสองแปลงส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำทั้งหมดและสวนหย่อมกับสนามเด็กเล่นบางส่วนถูกราชการเวนคืนแล้วไม่ยอมสร้างใหม่เพื่อทดแทน   พวกลูกบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าวจึงมาฟ้องศาล มาดูกันว่าข้อแก้ตัวของจำเลยศาลจะรับฟังหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2555 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า...ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286  ข้อ 30  ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น  ให้ถือว่าสาธารณูปโภคดังกล่าวตกอยู่ในภาระจำยอมแห่งที่ดินที่จัดสรรและให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่จะบำรุงรักษากิจการดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นตลอดไปและจะกระทำการใดๆ  อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาจากบริษัท ก. ซึ่งรับโอนมาจากบริษัท ว. จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาและจะทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงลดหรือเสื่อมความสะดวกมิได้  จำเลยจะอ้างว่าเป็นบุคคลภายนอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ว. หาได้ไม่  ทั้งการตกอยู่ในภาระจำยอมของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงก็มีการจดทะเบียนบันทึกในสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินพิพาทว่า  ที่ดินอยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดินมาก่อนที่จำเลยจะรับโอนซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจากบริษัท ก. ซึ่งจำเลยสามารถตรวจสอบทราบได้ก่อนการซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลง หลังจากทางราชการเวนคืนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไปบางส่วนก็ยังมีที่ดินพิพาททั้งสองแปลงที่ไม่ถูกทางราชการเวนคืนอยู่อีก 1 ไร่ 82.7 ตารางวา ที่ดินที่เป็นภาระทรัพย์ส่วนนี้จึงหาได้สลายไปไม่  ภาระจำยอมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงในส่วนนี้จึงยังมีอยู่และจำเลยมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาและจะทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงลดหรือเสื่อมความสะดวกมิได้  แม้จำเลยจะอ้างว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำทั้งหมดและสวนหย่อมกับสนามเด็กเล่นบางส่วนถูกทางราชการเวนคืนไปก็ตาม  แต่จำเลยก็ได้รับค่าชดเชยจากการเวนคืนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นเงินถึง 7,000,000 บาท  ซึ่งค่าชดเชยดังกล่าวรวมถึงในสระว่ายน้ำ สวนหย่อม และสนามเด็กเล่นที่ถูกเวนคืนอยู่ด้วย  จำเลยในฐานะผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงมีหน้าที่ต้องจัดให้โจทก์ทั้งสิบสองและผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ว. ทั้ง 180 หลังได้รับประโยชน์แห่งภาระจำยอมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเช่นที่เคยได้รับ  จำเลยจึงต้องสร้างสระว่ายน้ำ สวนหย่อม และสนามเด็กเล่นบนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงส่วนที่เหลือให้โจทก์ทั้งสิบสองและผู้ที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซ.ได้ใช้ประโยชน์ดังเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย...ฯลฯ พิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 28663  และ 28666   ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมสระว่ายน้ำ สวนหย่อม สนามเด็กเล่นและคลับเฮ้าส์บนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตกเป็นภาระจำยอมบ้านและที่ดินของโจทก์ทั้งสิบสองและผู้ที่อาศัยในโครงการหมู่บ้านเดอะวิลเลจ หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 โลกนี้..มีน้ำให้ใช้ไม่มาก

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปีนี้คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า น้ำไม่ได้มีมากพอที่เราจะนำมาสาดเล่นหรือปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ ไม่ว่าจะที่ใดในโลกน้ำเป็นทรัพยากรที่ต้องถนอมใช้ ถึงบางคนจะรู้สึกว่าตนเองมีเงินจ่ายเพื่อซื้อน้ำ จ่ายค่าน้ำ แต่เราคงไม่เห็นแก่ตัวกันขนาดที่จะมองดูน้ำสะอาดไหลทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย ในขณะที่บางพื้นที่โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมต้องยืนดูพืชผลของตนแห้งตายคาพื้นดิน     การใช้น้ำของคนไทย ซึ่งแบ่งออกเป็นน้ำดื่มและน้ำใช้ ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2555 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แหล่งน้ำใช้ของครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ (ร้อยละ78.9) ใช้น้ำประปา ส่วนน้ำดื่ม ส่วนใหญ่(ร้อยละ 64.0) เป็นน้ำประปาเช่นกัน โดยการนำน้ำประปามาผ่านกรรมวิธีทำให้สะอาดพร้อมดื่มเป็นน้ำบรรจุขวดหรือตู้ น้ำหยอดเหรียญ(ร้อยละ 40.9) และวิธีการอื่นๆ (ร้อยละ 23.1) เช่น ต้ม กรอง เป็นต้น กระบวนการผลิตและการใช้น้ำทุกขั้นตอนก่อให้เกิดต้นทุน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้ก็คือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้น้ำของครัวเรือนนั่นเอง ผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้น้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำประปา(ไม่รวมค่าใช้จ่ายน้ำดื่ม) สูงขึ้น จากเฉลี่ยเดือนละ 86 บาทในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 135 บาทในปี 2555 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเพราะน้ำประปาทุกหยดมีต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนที่มองไม่เห็น คือการแย่งน้ำจากภาคส่วนอื่นๆ มาใช้ การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและช่วยกันประหยัดจึงไม่ใช่เรื่องทำกันเล่นๆ อีกต่อไป     แนวทางการประหยัดน้ำภาคครัวเรือน    1.ประหยัดน้ำที่ไหลจากก๊อก ปิดก๊อก/วาล์วน้ำขณะที่คุณแปรงฟัน โกนหนวด ล้างมือ แล้วก็ปิดก๊อกน้ำเวลาที่คุณอาบจากฝักบัวด้วยเช่นกัน โดยเปิดน้ำให้ตัวเปียกก่อน จากนั้นค่อยปิดน้ำตอนที่คุณถูสบู่ สระผม แล้วก็เปิดน้ำอีกครั้งให้พอชำระล้างร่างกายจนสะอาด รู้ไหมว่า การปล่อยน้ำไหลขณะแปรงฟัน จะเสียน้ำไปประมาณ 4 แกลลอนหรือ 14.8 ลิตร ต่อนาที( 1 แกลลอนเท่ากับ 3.7 ลิตร โดยประมาณ)     การล้างจาน ล้างผักผลไม้ ควรรองน้ำในภาชนะแทนการปล่อยน้ำไหล และน้ำส่วนที่ยังสะอาดอยู่ ก็สามารถนำไปทำประโยชน์อย่างอื่น เช่น รดน้ำต้นไม้หรือล้างบริเวณพื้นที่สกปรกได้     2.ตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำในบ้าน โดยการปิดก๊อกทุกตัวแล้วเช็คมาตรวัดว่ายังขยับหรือไม่ ถ้าพบว่ามาตรหมุน แสดงว่าอาจมีจุดที่รั่วไหลต้องรีบซ่อมแซม อาจเป็นที่ชักโครก หรือท่อประปาบริเวณที่มองไม่เห็น รู้ไหมว่า น้ำ 1 หยดในทุกวินาที จะรวมกันได้ถึง 5 แกลลอนต่อวัน หรือ 18.5 ลิตร     3.ถ้าทำได้ควรเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นแบบประหยัดน้ำ เช่น ติดตั้งหัวฝักบัวและก๊อกแบบประหยัดน้ำ (Low-flow) หรือปากกรองก๊อกน้ำ อุปกรณ์ที่ใหม่และดีจะช่วยรักษาระดับแรงดันและความแรงของการไหลโดยที่ใช้น้ำเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์แบบธรรมดาทั่วไป หรือปรับไปใช้โถสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ สามารถกดล้างให้สะอาดได้โดยใช้น้ำเพียง 6 ลิตรหรือต่ำกว่านั้น หรือเปลี่ยนเครื่องซักผ้าจากแบบฝาบน เป็นแบบฝาหน้าจะประหยัดน้ำได้มากกว่า     4.เรียนรู้การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ให้ถูกต้อง จะช่วยประหยัดน้ำได้ เช่น ไม่ใช้ชักโครกเป็นที่ทิ้งขยะ ทิชชู่ก็ควรทิ้งลงถังขยะไม่ทิ้งลงในโถ การทำให้โถชักโครกสะอาดแต่ละครั้งต้องใช้น้ำมากถึง 9 ลิตร ถ้ากด 1 ครั้งไม่สะอาดคุณก็ต้องเสียน้ำเพิ่มขึ้นอีกในการกดเพื่อทำความสะอาดซ้ำ     การซักผ้าด้วยเครื่อง ควรใช้เครื่องซักผ้าให้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ควรรอจนกว่าจะมีผ้าเต็มถังก่อนที่คุณจะซัก และเวลาที่ซักผ้าก็อย่าลืมใช้โหมดประหยัดพลังงานเพราะการซักแบบนี้จะช่วยให้คุณประหยัดได้ทั้งน้ำและไฟฟ้า     5.ลดกิจกรรมการใช้น้ำ เช่น ลดเวลาการอาบน้ำลง ซักผ้าไม่บ่อยเกินไป การอาบน้ำน้อยกว่า 5 นาที จะประหยัดน้ำได้มากกว่า 1000 แกลลอนหรือ 3700 ลิตรต่อเดือน  วิธีนี้จะสัมพันธ์กับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น ไม่ทำให้เสื้อผ้าสกปรกมาก ไม่ใส่เสื้อผ้ามากชิ้น เป็นต้น หรือการสนับสนุนพืชผักอินทรีย์ก็ช่วยให้ไม่ต้องล้างผักผลไม้โดยใช้น้ำจำนวนมากๆ 6.รวบรวมน้ำที่ยังสะอาดอยู่ไปใช้ในกิจกรรมอื่น เช่น น้ำเหลือจากล้างผัก ผลไม้ น้ำแข็งที่ละลายค้างในกระติกหรือน้ำจากการละลายน้ำแข็งในตู้เย็น นำไปใช้รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น ล้างรถได้  ทั้งนี้อาจเลือกใช้สบู่และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่เป็นอันตรายต่อต้นไม้ หากคุณต้องการรองน้ำเก็บไว้ใช้ในการทำสวน     และถ้าทำได้ควรนำแนวทางการประหยัดน้ำภาคครัวเรือนไปปฏิบัติในองค์กรที่ท่านทำงานอยู่ด้วย จะช่วยให้เราทุกคนมีน้ำสะอาดใช้กันไปได้นานๆ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 ฟอร์มัลดีไฮด์ ตัวร้ายในน้ำยายืดผม

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ ข่าวแจ้งเตือน: เยอรมันนี ตรวจพบ ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ในปริมาณที่อาจก่อให้เกิดอันตราย  วันนี้ผมขออนุญาต ถ่ายทอดข่าวแจ้งเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครับ เนื่องจาก ตอนนี้ที่ประเทศเยอรมันนี เกิดเหตุการณ์ สินค้าที่ไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องใหญ่ๆ สองเรื่อง เรื่องแรกคือ การตรวจพบสารไดออกซิน ปนเปื้อนในอาหารสัตว์ จนทำให้รัฐบาลต้อง กักบริเวณฟาร์มไก่ ที่ใช้อาหารสัตว์นี้ มูลค่าความเสียหายของเกษตรกร ประมาณ หนึ่งร้อยล้านยูโร และบริษัทที่ทำการผลิตอาหารสัตว์ ก็ได้ยื่นเรื่องขอล้มละลายกับศาลล้มละลายระดับมลรัฐแล้ว เนื่องจากความเสียหายนั้นมหาศาลครับ แต่สำหรับเรื่องที่จะเล่าในวันนี้อาจจะทำความกังวลบ้างในหมู่ผู้ที่ชอบยืดผมหยิกให้ตรง เพราะข่าวแจ้งเตือน เรื่องน้ำยายืดผม ที่พบปริมาณของฟอล์มัลดีไฮด์ในปริมาณความเข้มข้นที่สูงมากครับ  สถาบันกลางการประเมินความเสี่ยง -The Federal Institute for Risk Assessment (BfR)) แนะนำไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ที่ระดับเข้มข้นสูง ผลิตภัณฑ์ที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ที่ระดับความเข้มข้น 1.7 – 1.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่จับตาของหน่วยงานเฝ้าระวังของรัฐบาเดน-วูทเท ฟอร์มัลดีไฮด์ก่อให้เกิดความระคายเคืองรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนังและเยื่อเมือก ยิ่งไปกว่านั้น สารประกอบดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้และถูกจัดให้อยู่ในประเภทสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ทางสหภาพยุโรปไม่อนุญาตให้ใช้ฟอร์มัลดีไฮด์ในผลิตภัณฑ์ยืดผม อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคและช่างทำผมมักนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากต่างประเทศโดยตรง หรือสั่งซื้อผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่รู้ว่าพวกมันสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้  ฟอร์มัลดีไฮด์สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในโพรงจมูก ซึ่งในช่วงหลังวงการวิทยาศาสตร์ยังมีการถกกันถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างฟอร์มัลดีไฮด์และการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอย เป็นที่รู้กันดีว่า ฟอร์มัลดีไฮด์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง อาจรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะช็อคถึงขั้นเสียชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เกิดความระคายเคืองรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนังและเยื่อเมือก สำหรับปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ที่มีอยู่ในอากาศภายในอาคารนั้น ทาง BfR ได้กำหนดค่าความปลอดภัยไว้ที่ระดับ 0.1 ppm   ภายในสหภาพยุโรป ฟอร์มัลดีไฮด์ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นสารออกฤทธิ์ของยาบำรุงเล็บเท่านั้น ที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ และได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นสารกันบูดในเครื่องสำอางที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 0.2 เปอร์เซ็นต์ จากที่ถูกระบุไว้บนฉลากที่ระดับ 0.05 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่ถูกตรวจสอบจากหน่วยงานเฝ้าระวังในรัฐบาเดน-วูทเทมเบิร์ก พบปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ถึง 1.7-1.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีความเข้มข้นดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ใช้  BfR แนะนำให้หน่วยงานแต่ละมลรัฐในเยอรมนนี ให้หามาตรการรองรับและทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เช่น ร้านทำผมที่ใช้ผลิตภัณฑ์ยืดผมที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ โดย BfR แนะนำเร่งด่วนไม่ให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่บ้าน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถสั่งซื้อได้จากอินเตอร์เน็ต   ผลิตภัณฑ์ยืดผมถูกใช้เพื่อยืดเส้นผมที่หยิกตามธรรมชาติให้กลับเป็นผมตรงอย่างถาวร ผลิตภัณฑ์จะถูกทาลงบนเส้นผม และหลังจากรอเวลาทำปฏิกิริยา 30 นาที เส้นผมจะถูกทำให้ตรงโดยใช้ที่รีดผมที่มีความร้อน 230 องศาเซลเซียส ถ้าผลิตภัณฑ์ยืดเส้นผมนั้นมีฟอร์มัลดีไฮด์ ช่างทำผมและลูกค้า หรือผู้ใช้งานตามบ้านจะสูดดมมันเข้าไปพร้อมกับไอน้ำที่เกิดขึ้น ฟอร์มัลดีไฮด์ที่ถูกปล่อยจากผลิตภัณฑ์ที่ถูกตรวจสอบนั้นมีปริมาณสูงมากจนก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง เยื่อเมือก ดวงตา ระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อผิวหนังและอาจก่ออันตรายอื่นๆ ต่อสุขภาพ   ผลิตภัณฑ์ฑ์ยืดผมใช้ฟอร์มัลดีไฮด์เพื่อเชื่อมต่อเคราตินในเส้นผมที่เสียไปจากความร้อน โครงสร้างผมหยิกก็ถูกทำให้ตรงด้วยวิธีนี้เช่นกัน  ก่อนจะจากกันในวันนี้ มีข่าวดีมาฝากครับ ตอนนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้จัดตั้ง ศูนย์เฝ้าระวังและเตือนภัยสินค้าอันตราย เป็นหน่วยงานภายใน สคบ. หากเพื่อนๆ สมาชิกฉลาดซื้อ สนใจ สามารถแวะเวียนเข้าไปชมที่เวบไซต์ http://upvac.ocpb.go.th ได้ครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 129 ตรวจสอบมาตรการช่วยเหลือจากธนาคาร เมื่อหนี้อาจเป็นภัยอย่างหนึ่งหลังน้ำท่วม

คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศไทยเรา แม้ปัญหาน้ำท่วมจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปีในหลายจังหวัด แต่หนนี้ต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติขั้นรุนแรงจนหลายคนให้คำจำกัดความน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ว่าเป็น "มหาอุทกภัย" เพราะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด น้ำท่วมสูงและท่วมเป็นเวลานานนับเดือน ไม่ว่าจะบนถนนหนทาง หรือบ้านเรือนตามตรอกซอกซอยต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันต้องหยุดชะงัก   การจัดการชีวิตให้สามารถรับมือกับภาวะน้ำท่วมและหาหนทางทำให้ปริมาณน้ำลดลงโดยเร็วที่สุดถือเป็นโจทย์ข้อแรกที่ทุกคนต้องช่วยกันคิดช่วยกันแก้ แต่หลังจากนี้เมื่อวิกฤติน้ำท่วมคลี่คลายอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับรอการแก้ไขก็คือ เรื่องของการฟื้นฟู การให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพราะในช่วงที่น้ำท่วม หลายๆ คน หลายๆ ครอบครัว คงเจอกับปัญหา บ้านเรือน ข้าวของต่างๆ เสียหายเพราะจมอยู่ใต้น้ำ บางคนที่เอารถไปจอดหนีน้ำไม่ทัน ก็ต้องยอมทำใจรอน้ำลดเมื่อไหร่ค่อยหาทางซ่อม นอกจากนี้ในสถานการณ์ที่น้ำท่วมรุนแรงก็ทำให้หลายๆ คนขาดรายได้ กิจการงานต่างๆ ที่เคยทำก็ต้องหยุดชะงักยอมแพ้ต่อปริมาณน้ำที่มากมายมหาศาล ความเดือดร้อนที่กำลังรออยู่หลังน้ำลด ต้องอาศัยมาตรการที่ดีในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะการช่วยเหลือในเรื่องของเงินทุนเพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมและฟื้นฟูความเสียต่างๆ ที่เกิดจากน้ำท่วม แน่นอนว่าเงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งรัฐต้องเป็นคนที่ทำหน้าที่ดูแลช่วยเหลือ แต่อีกส่วนที่ก็มีความสำคัญในฐานะแหล่งที่พึ่งเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็คือ "ธนาคาร" แม้จะต้องแลกกับการจ่ายดอกเบี้ย แต่การกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสักก้อนเพื่อใช้เป็นต้นทุนในการทำธุรกิจหรือผ่อนชำระทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงอย่างบ้านหรือรถ ในช่วงที่วิกฤติน้ำท่วมสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาแบบนี้ ธนาคารต่างๆ ก็ได้เตรียมพร้อมความช่วยเหลือ ทั้งเรื่องการปรับลดหนี้สินและขยายเวลาการชำระหนี้ และเตรียมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ต้องการกู้เพิ่ม ลองมาดูกันสิว่าธนาคารแต่ละแห่งได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเอาไว้อย่างไรกันบ้าง   ตารางแสดงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบภัยน้ำท่วมของสถาบันการเงินต่างๆ ธนาคาร การปรับลด – ผ่อนปรนสินเชื่อเดิม การขอสินเชื่อเพิ่ม อื่นๆ ธนาคารพาณิชย์ กรุงเทพ ชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นสูงสุด 12 เดือน หรือปรับลดยอดการผ่อนชำระรายเดือนลงสูงสุด 40% เป็นเวลา 1 ปี อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษในปีแรก 5% ปีถัดไปคิดดอกเบี้ยในอัตรา 1MRR สามารถผ่อนชำระสินเชื่อที่กู้เพิ่มได้สูงสุด 5 ปี 1.ลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลง 50% จนถึงเดือนมิถุนายน 2555 2.ยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการโอนเงินข้ามเขตแก่ลูกค้าที่โอนเงินไปยังบัญชีครอบครัวในพื้นที่ประสบภัย กรุงไทย พักชำระหนี้วงเงินกู้แบบมีระยะเวลาทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นสามารถทยอยผ่อนชำระดอกเบี้ยที่พักไว้ สูงสุดภายใน 24 เดือน ผ่อนชำระนานสูงสุด 60 งวด ดอกเบี้ยปีแรกอัตรา MRR -1.75 % ต่อปี สำหรับลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย   กรุงศรีอยุธยา 1.สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงผ่อนชำระดอกเบี้ยอย่างเดียวสูงสุด 6 เดือน และอัตราดอกเบี้ยพิเศษแล้วแต่กรณี 2.สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม ให้ความช่วยเหลือผ่อนชำระดอกเบี้ยอย่างเดียว 3 เดือน และอัตราดอกเบี้ยพิเศษแล้วแต่กรณี     กสิกรไทย ลูกค้าสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรถยนต์ ลดยอดผ่อนชำระรายเดือน 40-50% เป็นระยะเวลานานสูงสุด 1 ปี ลูกค้าสินเชื่อบ้านสามารถเลือกผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือนได้ ส่วนลูกค้าสินเชื่อรถยนต์จะได้รับการขยายระยะเวลาผ่อนชำระออกไปนานสูงสุด 6 เดือน ลูกค้าสินเชื่อบ้านสามารถขอรับ 1.สินเชื่อบ้านเอนกประสงค์กสิกรไทย ขอเงินกู้เพิ่มสูงสุด 100% ของสินเชื่อบ้านที่ผ่อนชำระไปแล้ว  ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน ผ่อนสูงสุด 15 ปี อนุมัติวงเงินกู้เบื้องต้น 2 แสนบาทแรก ภายใน 48 ชั่วโมง หรือ 2.ขอสินเชื่อบ้านทวีทรัพย์กสิกรไทยโดยนำบ้านที่ปลอดภาระจำนองมาเปลี่ยนเป็นเงินกู้ โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ผ่อนสูงสุด 15 ปี หรือ 3.นำรถที่ปลอดภาระจำนองมาเปลี่ยนเป็นเงินกู้ รับดอกเบี้ย 0% ใน 3 เดือนแรก ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 72 เดือน 4.ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อเงินสดทันใจกสิกรไทย (K-Express Cash) โดยสามารถอนุมัติและรับเงินก้อนเข้าบัญชีทันที่ ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือน และ 5.ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทยสามารถขอเพิ่มวงเงินช่วยเหลือพิเศษได้อีก 1 เท่าของรายได้ อนุมัติภายใน 24 ช.ม. ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทยและผู้ใช้สินเชื่อเงินสด จะได้รับการผ่อนผันให้ชำระดอกเบี้ย 50% และปรับลดยอดผ่อนชำระขั้นต่ำให้เป็น 0-10% เกียรตินาคิน ลูกค้าเช้าซื้อรถยนตร์ พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 6 เดือน   บริการให้ทำรายการต่างสาขา และยืนยันการทำรายการผ่านทางโทรศัพท์ ซีไอเอ็มบี ไทย 1. พักชำระหนี้ให้สูงสุด 90 วัน 2. ขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ให้สูงสุด 12 เดือน 3.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันของลูกค้า เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยลูกค้าสินเชื่อบุคคลมีหลักประกันจะได้ลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.5% และลูกค้าสินเชื่อบุคคลไม่มีหลักประกันจะได้ลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 7%     ทหารไทย 1.ลูกค้าที่มีค่างวดค้างชำระตั้งแต่ 1-30 วัน ชำระเฉพาะดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นโดยยังไม่ต้องชำระเงินต้นเป็นเวลา 6 เดือน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระจากปัจจุบัน ออกไปอีก 6 เดือน 2.ลูกค้าสินเชื่อทีเอ็มบีแคชทูโก สามารถชำระเฉพาะดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นเป็นเวลา 3 เดือน และ ขยายระยะเวลาผ่อนชำระออกไปอีก 3 เดือน 3.ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตทีเอ็มบี สามารถติดต่อขอชำระเงินเป็นรายเดือน เดือนละเท่าๆกัน เป็นเวลา 3 เดือน โดยขั้นต่ำชำระไม่น้อยกว่าจำนวนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน 1.ลูกค้าสินเชื่อบุคคลทีเอ็มบีแคชทูโก ธนาคารจะพิจารณาให้กู้โดยให้วงเงินสินเชื่อเท่ากับวงเงินสินเชื่อเดิมที่มีอยู่กับธนาคาร และเพิ่มโบนัสพิเศษ ให้อีก 10% ของวงเงินสินเชื่อ ในวงเงินกู้ตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท สูงสุด 5 เท่าของรายได้ เมื่ออนุมัติสินเชื่อแล้ว ธนาคารจะดำเนินการหักกลบลบหนี้สินเชื่อทีเอ็มบีแคชทูโก ที่มีอยู่เดิม และจะโอนเงินส่วนที่คงเหลือให้ลูกค้าต่อไป โดยลูกค้ายังไม่ต้องชำระค่างวดในช่วง 3 เดือนแรกนับจากวันอนุมัติ แต่จะเริ่มผ่อนชำระค่างวดตั้งแต่ เดือนที่ 4 เป็นต้นไป และนอกจากนี้ ธนาคารยังขยายระยะเวลาการผ่อนชำระค่างวดออกไปให้อีก 3 เดือน 2.ลูกค้าบุคคลที่ใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆของธนาคารอยู่แล้ว สามารถติดต่อขออนุมัติสินเชื่อทีเอ็มบีแคชทูโก เป็นกรณีพิเศษ ในวงเงิน ตั้งแต่ 20,000 -1,000,000 บาท สูงสุด  5 เท่าของรายได้ ลูกค้าไม่ต้องผ่อนชำระค่างวดคืนธนาคารใน 3 เดือนแรกนับจากวันอนุมัติ แต่จะเริ่มผ่อนชำระงวดแรกตั้งแต่ เดือนที่ 4 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ธนาคารยังขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้เพิ่มอีก 3 เดือน ยกเว้นค่าธรรมเนียมทุกประเภทในกรณีที่ลูกค้าบุคคลที่ได้รับผลกระทบ เช่น ค่าธรรมเนียมกรณีผิดนัดชำระหนี้ ทิสโก้ 1.พิจารณาปรับโครงสร้างหนี้โดยการขยายระยะเวลาชำระหนี้และลดค่างวดลง 2. พิจารณามาตรการพักชำระหนี้ให้ลูกค้าทุกรายที่ประสบอุทกภัยเป็นเวลา 3 เดือน ในกรณีที่ลูกค้าได้รับผลกระทบรุนแรง จนไม่มีความสามารถชำระหนี้ในช่วงเวลาหนึ่ง 1.พิจารณาให้วงเงินสินเชื่อเพิ่ม หากลูกค้าต้องการวงเงินฉุกเฉินสำหรับไปใช้สอยในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และช่วงแรกชำระแต่ส่วนดอกเบี้ยเท่านั้น 2.แคมเปญเร่งด่วน “รับเงินวันนี้ ผ่อนปีหน้า” เมื่อติดต่อขอสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ “ทิสโก้ ออโต้ แคช” วันนี้ สามารถเริ่มผ่อนชำระค่างวดได้ปีหน้า สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ปลอดภาระ โดยจะได้รับการพิจารณาวงเงินและอัตราดอกเบี้ยให้เป็นพิเศษ 1.ยกเว้นค่าปรับล่าช้า และค่าติดตามทวงถาม ในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ สำหรับลูกค้าที่ประสบภัย 2.ช่วยเหลือประสานงานในการเคลมประกันภัยสำหรับลูกค้าที่รถยนต์คันที่เช่าซื้อได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอีกด้วย โดยเปิดศูนย์ช่วยเหลือลูกค้าเรื่องประกันภัยตลอด 24 ชั่วโมง ไทยพาณิชย์ 1.สินเชื่อบ้าน- พักชำระหนี้สูงสุด 6 เดือน และลดดอกเบี้ยสูงสุด 50%  เป็นเวลา 3 เดือน- วงเงินเพิ่มสูงสุด 120% ของราคาประเมินเดิม ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 3 เดือน 2.สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ - พักชำระหนี้สูงสุดเป็นเวลา 3 เดือน   พักชำระหนี้และลดดอกเบี้ย บัตรเครดิตและ Speedy Loan สูงสุด 50% เป็นเวลา 3 เดือน   ธนชาต 1.สินเชื่อบ้าน พักชำระหนี้สินเชื่อบ้าน เป็นเวลา 3 เดือน หรือ ลดค่างวดเป็นเวลา 12 เดือน 2.สินเชื่อรถ พักชำระหนี้ได้สูงสุด 90 วัน (นับวันที่ตามปฏิทิน) และสามารถขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ เพิ่มสูงสุดได้อีก 12 งวด แต่ต้องไม่เกินงวดสูงสุดตามธนาคารกำหนด ดังนี้ สินเชื่อรถใหม่ทั่วไปสูงสุด 96 งวด สินเชื่อรถใช้แล้วสูงสุดไม่เกิน 84 งวด และสินเชื่อรถแลกเงินสูงสุดไม่เกิน 72 งวด ทั้งนี้เป็นไปตามประกาศธนาคารเรื่องหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อรถยนต์     กรณีผ่อนชำระมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี สามารถขอวงเงินสินเชื่อเคหะทวีสุข ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 4.50% หลังจากนั้น 2MLR-0.50% ของราคาประเมินเดิม ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี 1.ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามเขตที่เครื่องเอทีเอ็มของธนาคารธนชาตทุกรายการ 2.กรณีทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็มของธนาคารอื่น ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการถอนเงินสดต่างธนาคาร และการโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารธนชาตที่ผูกภายในบัตรเดียวกัน ผ่านเครื่องเอทีเอ็มต่างธนาคาร แต่ยังคงมีค่าธรรมเนียมทำรายการต่างธนาคารกรณีทำรายการตั้งแต่ครั้งที่ 5 ภายในเดือนเดียวกัน 3.กรณีบัตร ATM หรือบัตร Debit เสีย/สูญหาย จากเหตุการณ์น้ำท่วม ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมทำบัตรทดแทน และค่าธรรมเนียมรายปีแก่กลุ่มลูกค้าประสบภัยน้ำท่วม 4.ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมการฝากเช็คเข้าบัญชี / ขึ้นเงินสดเช็คต่างสาขาแบบไม่รอเรียกเก็บ 5.ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมเช็คคืน กรณีลูกค้าที่สั่งจ่ายเช็คแล้ว แต่ไม่สามารถนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของตัวเองได้ ยูโอบี เลื่อนการผ่อนชำระหนี้สูงสุด 3 เดือน ยอกเว้นดอกเบี้ยผิดนัด กรณีชำระล่าช้า ลดค่างวดผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน พักการผ่อนชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน 1.ดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก สำหรับลูกค้าเดิมที่ต้องการกู้เพิ่ม 2.ดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรก สำหรับลูกค้าใหม่ที่กู้สินเชื่อเอนกประสงค์ หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 รายการจะปรับดอกเบี้ยเป็น MLR – 1.00% ตลอดสัญญากู้   สถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 1.สำหรับลูกค้าเดิมของธนาคาร กรณีหลักประกัน และ/หรือ รายได้ ได้รับผลกระทบ ธนาคารจะพักหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน (คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี) กรณีได้รับผลกระทบรุนแรง จะพักหนี้ต่อเป็นระยะเวลาอีกไม่เกิน 6 เดือน ( คิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี2.กรณีลูกค้าเดิมได้รับอุบัติเหตุจากเหตุการณ์น้ำท่วมจนทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือเสียชีวิต ธนาคารจะลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลากู้ที่เหลืออยู่ 3.กรณีลูกค้าเดิมที่อาคารที่อยู่อาศัยพังเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จะได้รับการ ปลดภาระหนี้ตามยอดหนี้คงเหลือในส่วนของอาคาร โดยผู้กู้ผ่อนชำระหนี้ในส่วนของที่ดินที่คงเหลือ 1.สำหรับลูกค้าเดิมของและลูกค้าใหม่ ที่อาคารได้รับความเสียหายสามารถขอกู้เพิ่ม หรือ กู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนอาคารเดิม( มีหลักประกัน (คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 2% ต่อปี นาน 5 ปี ( วงเงินกู้ 100% ของราคาประเมิน และภายในวงเงินต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย   เท่ากับ  MRR-0.05% ต่อปี สำหรับรายย่อย และคิดอัตราดอกเบี้ย =MRR-1.00% ต่อปี สำหรับลูกค้าสวัสดิการ 2.กรณีกู้ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย ให้กู้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท (ไม่มีหลักประกันด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4% ต่อปี นาน 5 ปี (   ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 1.กรณีที่เสียชีวิตจากอุทกภัย จะปลดหนี้พร้อมให้คู่สมรสหรือทายาทขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าแทนผู้เสียชีวิต และมอบเงินบำรุงขวัญให้กับคู่สมรสหรือทายาทครอบครัวละ 20,000 บาท 2.กรณีประสบภัยร้ายแรงหรือเสียหายจนเป็นเหตุให้รายได้ลดลงเกินกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ปกติ จะพักชำระหนี้ 3 ปี ตั้งแต่ปีบัญชี 2554 - 2556 พร้อมงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงที่พักชำระหนี้  หากพักชำระหนี้แล้วยังเป็นภาระหนักจะพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และลดหย่อนหลักประกันเงินกู้ 3.กรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกัน จากกู้ได้ไม่เกินครั้งหนึ่งเป็นกู้ได้ไม่เกินวงเงินจำนองและกรณีใช้กลุ่มลูกค้ารับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ขยายการค้ำประกันจากรายละไม่เกิน 150,000 บาท เป็นไม่เกิน 200,000 บาท ให้เงินกู้ใหม่รายละไม่เกิน 100,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้ปกติร้อยละ 3 ต่อปี   ออมสิน 1.พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยไม่เกิน 6 เดือน ปรับลดเงินและ/หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ ออกไปจากเดิมอีก ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี สำหรับสินเชื่อบ้าน และไม่เกิน 1 ปี สำหรับสินเชื่อบุคคล 1. ให้กู้เพิ่มได้ไม่เกิน 10% ตามสัญญาเดิม และไม่เกิน 300,000 บาท 2. ชาระหนี้เงินกู้ไม่เกิน 5 ปี 3. อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-3 = 3.45% ต่อปี ปีที่ 4-5 = MLR-0.50% ต่อปี 4. ไม่ต้องประเมินราคาหลักทรัพย์   *ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและมีความประสงค์จะขอทำเรื่องผ่อนผัน – ผ่อนปรนการชำระหนี้ต่างๆ กับธนาคาร ควรรีบติดต่อไปยังธนาคารนั้นๆ เพื่อรักษาสิทธิ์ไม่ให้ตัวเองกลายเป็นผู้ผิดชำระหนี้และเสียประวัติทางการเงินของตัวเอง เพราะมาตรการทั้งหมดที่ออกมาของแต่ละธนาคารมีกำหนดเวลา 1MRR (Minimum retail rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี2MLR (Minimum lending rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดสำหรับลูกค้าชั้นดีตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารทุกครั้งก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน   ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ จ่ายหลังน้ำท่วมได้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครั้งนี้ด้วยการผ่อนผันการชำระค่าไฟฟ้าในช่วงเดือนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมออกไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน การประปานครหลวง (กปน.) ลดค่าน้ำประปาเดือนตุลาคม 2554 ลง 50% ให้กับผู้ใช้ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วม แถมขยายเวลาการชำระค่าน้ำประปาในเดือนตุลาคม 2554 ออกไป 3 เดือน รวมทั้งหากตรวจสอบได้ว่ามีค่าน้ำส่วนเกินที่เกิดจากการแตกรั่วของท่อน้ำภายในบ้านช่วงน้ำท่วม กปน. จะไม่คิดค่าน้ำส่วนที่เกินมา องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทีโอที) ยกเว้นค่าบริการโทรศัพท์บ้านและค่าบริการอินเตอร์เน็ตในพื้นที่ที่รัฐประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ โดยผู้ประสบภัยต้องขอแจ้งความจำนงที่ศูนย์บริการลูกค้า ทีโอที ทั่วประเทศ สถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร หรือ โรงรับจำนำของ กทม. ได้ขยายเวลาในการตามคืนทรัพย์ที่จะหลุดจำนำในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 ออกไปเป็นจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2554 บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก หากลูกหนี้ที่ประสบภัยที่เข้าโครงการผ่อนผัน-ผ่อนปรนของสถาบันการเงินนั้นๆ จะไม่มีการบันทึกในประวัติการเงินว่าค้างชำระหรือล่าช้าในการชำระหนี้ *ทุกมาตรการที่บอกมาผู้ที่ประสบภัยอย่าลืมไปแจ้งความจำนงขอเข้าร่วมในมาตรการช่วยเหลือ ไม่อย่างงั้นจะเสียสิทธิ์นะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 117 น้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญกับเรื่องที่ต้องระวัง

คนเราทุกคนต้องดื่มน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายดำเนินไปเป็นปกติ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่อาจขาดน้ำได้ เพราะการขาดน้ำย่อมหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิตโดยทั่วไปร่างกายได้น้ำมาจากน้ำดื่ม เครื่องดื่มและอาหาร น้ำที่เราใช้ดื่มกินมาจากหลายแหล่ง ทั้งที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น น้ำฝน น้ำบาดาล และที่ผ่านกระบวนการผลิต เช่น น้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งอย่างหลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายจนเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจในน้ำประปาว่า สะอาดเพียงพอสำหรับการดื่มกิน อย่างไรก็ตาม น้ำดื่มบรรจุขวดนั้นมีราคาแพงมาก น้ำดื่มขนาด 600 มิลลิลิตรที่วางจำหน่ายทั่วไปมีราคาสูงถึง 7 บาทต่อขวด และยังอาจมีราคาสูงไปได้อีกหากจำหน่ายในร้านอาหารที่ไม่มีการควบคุมราคาน้ำดื่ม ดังนั้นหากเป็นการซื้อมาไว้เพื่อการบริโภคในครัวเรือน น้ำดื่มบรรจุขวดอาจไม่ใช่ทางเลือกสำหรับครอบครัวที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย การติดตั้งเครื่องกรองน้ำ ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่บางครอบครัวเลือกใช้ แต่สำหรับบางครอบครัวหรือบางคนที่ไม่ได้มีบ้านพักถาวร เช่นผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในหอพักหรือห้องเช่า น้ำดื่มที่กำลังมาแรงสุดตอนนี้ก็คือ น้ำดื่มที่ได้มาจากตู้หยอดเหรียญ ที่ปัจจุบันมีกระจายติดตั้งอยู่ทั่วไปในย่านชุมชนที่มีหอพักจำนวนมาก เพราะทั้งสะดวกในการใช้บริการและมีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับน้ำดื่มบรรจุขวด โดยน้ำที่ได้จากตู้หยอดเหรียญจะมีราคาอยู่ที่ประมาณลิตรละ 70 – 85 สตางค์ เท่านั้น __________________________________________________________________________ ตู้น้ำหยอดเหรียญเป็นการพัฒนาระบบบริการน้ำดื่มให้ครอบคลุมความต้องการ โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนที่มีประชาชนอยู่จำนวนมาก เช่น หอพัก ห้องเช่า ตลาด หรือบริษัทห้างร้านที่มีประชาชนจำนวนมาก พบได้ในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตลอดจนในพื้นที่เขตเมือง เขตเทศบาลและแหล่งชุมชนใหญ่ๆ ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ จากการศึกษาล่าสุดโดยกองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ประมาณการว่า เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร มีมากถึง 20,000 ตู้ และส่วนใหญ่เป็นตู้น้ำดื่มที่ใช้กระบวนการรีเวอร์ส ออสโมซิส (Reverse Osmosis: RO) __________________________________________________________________________ น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญปลอดภัยหรือไม่ โดยวิธีการและแหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำ น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญน่าจะมีความปลอดภัยเหมาะสำหรับการบริโภค เพราะใช้น้ำประปาที่คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานมาผ่านกระบวนการหรือขั้นตอนที่ทำให้ได้น้ำดื่มที่มีคุณภาพและความสะอาดที่ดี แต่จากการวิจัยของหลายหน่วยงานในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำที่ได้จากตู้หยอดเหรียญยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ ข้อมูลจากศึกษาวิจัยและเฝ้าระวังของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่ได้ทำการศึกษาเชิงสำรวจคุณภาพน้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญ โดยสุ่มตัวอย่างจากพื้นที่ 30 เขตของกรุงเทพฯ จำนวน 546 ตัวอย่างจาก 20 ตราผลิตภัณฑ์ ในช่วง มี.ค. – มิ.ย. 2548 โดยอาศัยเกณฑ์ประเมินคุณภาพของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ มอก. 257-2521 ของกระทรวงอุตสาหกรรม มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 61 (2524) และฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2534) และมาตรฐานของการประปานครหลวง ในภาพรวมพบว่า มีน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสูงถึง 289 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 52.9 โดยมีประเด็นที่น่าสังเกตคือเมื่อจำแนกตามตรายี่ห้อผลิตภัณฑ์ของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญทั้ง 20 ตราผลิตภัณฑ์พบว่าไม่มีกลุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากตรายี่ห้อใดเลยที่ผ่านเกณฑ์ได้ทั้งหมด และในจำนวนนี้มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของตราผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ในสัดส่วนมากกว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มตรวจของแต่ละตราผลิตภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2549 สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย ได้ทำการเฝ้าระวังความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญ โดยสุ่มตรวจตู้น้ำหยอดเหรียญจาก 9 จังหวัด (รวม กทม. และนนทบุรี) พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (แบคทีเรีย) ของกรมอนามัย จำนวน 3 ตัวอย่าง (จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 33 ตัวอย่าง) และพบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม (Coliforms) จำนวน 1 ตัวอย่าง (จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 22 ตัวอย่าง) ในปี 2550 เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาเรื่องความปลอดภัยของการบริโภคน้ำจากเครื่องผลิตน้ำดื่มหยอดเหรียญ โดยสุ่มตัวอย่างจากเขตพื้นที่ต่าง ๆ ใน กทม. จำนวน 350 ตัวอย่าง (50 เขต ๆ ละ 7 ตัวอย่าง) ปรากฏว่า ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงฯ ฉบับที่ 61 พ.ศ. 2524 และฉบับที่ 135 พ.ศ. 2534) จำนวน 264 ตัวอย่าง ซึ่งหมายความว่ากว่าร้อยละ 25 ของกลุ่มตัวอย่างไม่ผ่านเกณฑ์ และในจำนวนนี้พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องกรด – ด่าง (pH) และความกระด้างร้อยละ 20.9 พบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม (Coliforms) ร้อยละ 5.43 และ อี. โคไล (E.coli) ร้อยละ 0.57 นอกจากนี้ยังพบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม บริเวณหัวจ่ายน้ำของตู้น้ำหยอดเหรียญถึงร้อยละ 23.41 และมีตะไคร่เกาะอยู่ที่หัวจ่ายน้ำกว่าร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด และในปี พ.ศ. 2552 สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย ได้ทำการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบริโภคครัวเรือนอีกครั้ง โดยสุ่มตรวจน้ำดื่มเพื่อการบริโภคประเภทต่างๆ ของครัวเรือน จาก 19 จังหวัดในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ (ไม่รวม กทม.) ทั้งเขตเมืองและชนบท ซึ่งได้มีการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำดื่มตู้หยอดเหรียญด้วยจำนวน 6 ตัวอย่าง พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์แบคทีเรีย จำนวน 4 ตัวอย่าง ซึ่งจากการทบทวนการสำรวจทั้งหลายที่กล่าวมา พบว่า สาเหตุสำคัญที่น้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรียและโคลิฟอร์ม เนื่องจากความไม่สะอาดของอุปกรณ์กรองน้ำ ภาชนะที่เก็บน้ำและการเก็บน้ำที่กรองออกมาจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญอย่างไม่ถูกสุขลักษณะนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ นอกจากนี้ในบางจุดยังพบสาหร่ายและตะไคร่ในบริเวณหัวจ่ายน้ำอีกด้วย __________________________________________________________________________ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในพื้นที่จังหวัดสงขลา สมาคมผู้บริโภคสงขลา ได้ทำการสำรวจคุณภาพของน้ำดื่มตู้หยอดเหรียญจำนวน 13 ตัวอย่าง 11 ตราผลิตภัณฑ์ ในการเก็บตัวอย่างจำนวน 3 ครั้ง ในเดือน กันยายน และ พฤศจิกายน 2552 และเดือนมกราคม 2553 จากพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยส่งทดสอบหาจุลินทรีย์ก่อโรค 4 ชนิด ได้แก่ เสต็ฟฟิโลคอคคัส ออเรียส (เอส.ออเรียส/S. aurius) ซัลโมเนลล่า (Salmonella ) อี.โคไล (E.coli) และ โคลิฟอร์ม (Coliform) ผลการทดสอบพบว่า มีเพียงหนึ่งตัวอย่างที่ไม่ผ่านการทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 8 ได้แก่ตัวอย่างยี่ห้อสยามวอเตอร์ จากหอพักณัชชา อพาร์ทเม้นท์ ในการเก็บตัวอย่างเดือนมกราคม 2553 พบโคลิฟอร์มจำนวนมากกว่า 22 เอ็มพีเอ็น ต่อน้ำดื่ม 100 มิลลิลิตร ซึ่งตามมาตรฐานในประกาศกระทรวงฯ ฉบับที่ 61 และ ฉบับที่ 135 ระบุไว้ว่าไม่เกิน 2.2 เอ็มพีเอ็น ต่อน้ำดื่ม 100 มิลลิลิตร (ข้อมูลจาก โครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารของผู้บริโภค ภายใต้การสนับสนุนจากแผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทย เพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ./TUHPP) __________________________________________________________________________ ใครรับผิดชอบตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ในรายงานการศึกษาทบทวนองค์ความรู้ทางด้านน้ำกับความปลอดภัยด้านอาหาร โดย โปรแกรมศึกษาระบบความปลอดภัยอาหารและโภชนาการ (FSN) สถาบันคลังสมองของชาติ (KNIT) ร่วมกับ สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 กล่าวว่า หน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกำกับดูแลน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญยังไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะทางด้านหน่วยงาน/องค์กรหรือด้านตัวกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ก็ยังไม่มีกฎหมายใดที่กำหนด ควบคุมและกำกับดูแลน้ำดื่มเพื่อการบริโภคที่ได้จากตู้น้ำหยอดเหรียญโดยตรงเลย มีก็เพียงเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มทั่วไปในการตรวจสอบและเฝ้าระวังเท่านั้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันเริ่มมีความพยายามที่จะเข้าควบคุมกำกับดูแลคุณภาพบ้างแล้ว เช่น ในเขตกรุงเทพมหานคร จากการให้สัมภาษณ์ของ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ  ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 ระบุว่า มีผู้ประกอบการตู้น้ำดื่มแบบหยอดเหรียญมาลงทะเบียนไว้ที่สำนักงานเขต ทั้งสิ้น 2,000 ตู้ ซึ่งต่อไปนี้ทางสำนักงานเขตแต่ละพื้นที่จะเข้มงวดให้ผู้ประกอบการทุกรายมาขึ้นทะเบียน โดยเตือนว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญต้องมาลงทะเบียนที่สำนักงานเขต หากตู้น้ำใดไม่มีการขึ้น ทะเบียน หรือไม่มีใบจดทะเบียนที่สำนักงานเขตออกให้ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย อาจจะถึงขั้นไม่ให้ตั้งตู้น้ำในพื้นที่นั้นๆ เลย และยังกล่าวอีกว่า “ขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ให้ ช่วยเป็นหูเป็นตาด้วย หากพบว่าตู้น้ำดื่มใดไม่มีใบขึ้นทะเบียนจากทางสำนักงานเขตก็อย่าได้ไว้ วางใจกดน้ำมาบริโภค” ถึงกระนั้น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงทางกฎระเบียบข้อบังคับเท่านั้น แต่การเฝ้าระวัง การกำกับดูแลและการตรวจสอบที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ทางวิชาการในส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญยังไม่ปรากฏว่า มีการดำเนินงานหรือการสนับสนุนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เช่น ยังไม่การวิจัยหรืองานวิชาการเรื่องฐานความรู้ในเรื่องสำคัญๆ ที่จะเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญ อย่างเช่น ลักษณะทางกายภาพของตู้น้ำดื่มที่ดีควรเป็นเช่นไร หัวจ่ายที่ใช้ในการจ่ายน้ำต้องมีความปลอดภัยแค่ไหนหรือแม้แต่มาตรฐานของวิธีการบำรุงรักษาว่าควรเป็นเช่นใด ถึงตรงนี้ผู้บริโภคก็ต้องทำใจรอกันล่ะ ว่าเมื่อไหร่ผู้มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จะเร่งศึกษาวิจัยและจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับน้ำดื่มจากตู้น้ำหยอดเหรียญกันเสียที ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาบานปลายแก้ไขไม่ทัน เพราะปัจจุบันธุรกิจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญกำลังเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก   ฉลาดซื้อแนะ การเลือกใช้บริการน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ 1. สภาพภายนอกของตู้น้ำดื่ม : ควรเลือกตู้ที่สะอาด มีการทำความสะอาด ไม่มีฝุ่นผงหรือคราบสกปรก ผู้ประกอบการมีการปัดกวาดเช็ดถูบริเวณรอบๆ ตู้ โดยเฉพาะตรงจุดที่ใช้สำหรับวางภาชนะบรรจุเพื่อรองน้ำจากหัวบรรจุต้องสะอาด ไม่มีฝุ่นผง มีฝาปิดเพื่อป้องกันฝุ่นละออง หัวจ่ายน้ำจะต้องสะอาด ไม่มีคราบสนิมหรือตะไคร่น้ำ และควรเลือกใช้ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ในที่ร่มไม่มีแสงแดดส่องถึง ซึ่งแสงแดดมักจะก่อให้เกิดตะไคร่ขึ้นภายในหัวบรรจุ 2. การควบคุมคุณภาพของน้ำ : ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญบางยี่ห้อจะมีการดูแลและควบคุมคุณภาพของน้ำดื่มโดยผู้ ดูแลตู้จะเข้ามาทำการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องและไส้กรอง จากนั้นจะทำการแปะสติ๊กเกอร์แสดงข้อความบอกวัน เวลาที่เข้ามาตรวจสอบ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้บริโภครู้ว่าเจ้าของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ตู้นี้มีการดูแล และควบคุมคุณภาพของน้ำหรือไม่ 3. การสังเกตกลิ่น สี รส : ผู้บริโภคควรตรวจดูสภาพของน้ำที่ได้จากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญเบื้องต้นด้วยตน เอง จากการสังเกตสี ความขุ่น-ใส กลิ่นและรสชาติของน้ำ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ใช้อยู่เป็นประจำ เมื่อน้ำที่ได้มามีกลิ่นหรือรสชาติของน้ำเปลี่ยน ก็ควรที่จะเปลี่ยนตู้ใหม่ หรือรอให้ตู้ที่ใช้อยู่เดิมนั้นได้รับการดูแลทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรอง เสียก่อน 4. ภาชนะบรรจุที่จะนำไปบรรจุน้ำดื่มจากตู้ : ควรเป็นภาชนะที่สะอาดและมีขนาดพอดีกับปริมาณน้ำที่ซื้อ 5. ไม่สัมผัสหัวจ่ายน้ำด้วยมือหรือวัสดุอื่นใด : เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคลงในน้ำดื่ม   __________________________________________________________________________ น้ำดื่มจากระบบรีเวอร์ส ออสโมซิส (Reverse Osmosis: RO) อันตรายจริงหรือ เนื่องจากน้ำจากตู้หยอดเหรียญส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า รีเวอร์ส ออสโมซิส (Reverse Osmosis: RO) ที่เคยมีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นน้ำดื่มที่มีอันตรายเพราะ เป็นน้ำดื่มที่มีความบริสุทธิ์สูงนั้น ในความเป็นจริงยังไม่มีวิจัยไหนมารับรองว่าการกินน้ำ RO จะทำให้เกิดโทษหรือเกิดประโยชน์ไปมากกว่าน้ำปกติ กระบวนการผลิตน้ำบริโภคด้วยระบบ รีเวอร์ส ออสโมซิส เป็นการกรองน้ำให้มีความบริสุทธิ์เกือบ 100% ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ได้น้ำที่สะอาดปลอดภัยวิธีหนึ่ง และไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตน้ำแบบใดก็ตาม หากน้ำผ่านการกรองที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยึดหลักเกณฑ์ตามองค์การอนามัยโลก น้ำนั้นจะไม่มีอันตราย __________________________________________________________________________ คุณภาพน้ำประปาที่ใช้อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้เหมาะกับการนำมาบริโภคหรือไม่?โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหิดล ตีพิมพ์ใน วารสารโภชนาการปีที่ 43 ฉ.1 มค.-มีค. 51 ถาม : คุณภาพน้ำประปาที่ใช้อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้เหมาะกับการนำมาบริโภคหรือไม่?ตอบ : กองอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย ศูนย์อนามัยสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ได้ทำการสำรวจคุณภาพน้ำบริโภคจากแหล่งต่างๆ คือ ประปาขนาดใหญ่ ประปาขนาดกลาง ประปาขนาดเล็ก บ่อบาดาล และบ่อตื้นทั่วประเทศ ยกเว้นในกรุงเทพมหานคร โดยสำรวจคุณภาพในแง่กายภาพ เคมี และแบคทีเรีย พบว่าน้ำบริโภคจากแหล่งน้ำเหล่านี้ประมาณร้อยละ 80 ไม่ได้มาตรฐาน แม้แต่ในกรณีประปาขนาดใหญ่ ซึ่งมีเพียงร้อยละ 27.2 ที่ได้มาตรฐานทั้ง 3 ด้านคุณภาพของน้ำประปาในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ได้มาตรฐาน ยกเว้นอีกประมาณร้อยละ 8 ที่จ่ายให้ในบางพื้นที่ซึ่งมีปริมาณน้ำประปาไม่เพียงพอ จึงต้องใช้น้ำบาดาลแทน น้ำบาดาลเหล่านั้นมักไม่ได้มาตรฐานทั้งในด้านกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย สรุปแล้วน้ำบริโภคจากทั้ง 5 แหล่งในชนบท มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเหมาะกับการบริโภค ส่วนน้ำประปาในเขตกรุงเทพมหานครประมาณร้อยละ 90 ได้มาตรฐาน   ถาม : การต้มหรือกรองน้ำประปาจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำให้เหมือนกับคุณภาพน้ำดื่มบรรจุขวดที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปได้หรือไม่? ตอบ : การต้มช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำและลดความกระด้างโดยเฉพาะในน้ำกระด้างชั่วคราว นอกจากนี้ยังช่วยลดกลิ่นคลอรีนด้วย คุณภาพจึงน่าจะใกล้เคียงกับน้ำดื่มบรรจุขวด ส่วนน้ำประปาที่ผ่านระบบกรองที่นิยมใช้อยู่ตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งก็ประกอบด้วยถ่านและเรซิน เหมือนกับกระบวนการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด ยกเว้นไม่มีขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือก๊าซโอโซน อย่างไรก็ตามถ้าน้ำประปาที่ใช้ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีนในปริมาณที่เพียงพอ น้ำที่กรองจากเครื่องมือเหล่านั้นก็มีคุณภาพใกล้เคียงกับน้ำดื่มบรรจุขวดเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >