ฉบับที่ 147 น้ำยาบ้วนปาก

  ที่ผ่านมาตลาดน้ำยาบ้วนปากมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยมีแบรนด์หรือผู้ผลิตอยู่ไม่กี่ราย แต่ถ้าดูจากโฆษณาที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ณ ปัจจุบันต้องบอกว่า ดุเดือดเอาเรื่อง และมีผลิตภัณฑ์ออกมาหลากหลายชนิดมากจนสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค ที่ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้อะไรดี หรือไม่ต้องใช้ได้ไหม ฉลาดซื้อจึงอาสาพาไปสำรวจตลาดน้ำยาบ้วนปากกันสักครั้ง  เพื่อไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ น้ำยาบ้วนปากจำเป็นหรือไม่จำเป็น ถ้านำคำถามเรื่อง จำเป็นไม่จำเป็น ไปถามทันตแพทย์ ก็จะได้คำตอบทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น โดยมีปัจจัยเรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยการแปรงฟันมาเป็นตัวตัดสิน กล่าวคือ หากคุณแปรงฟันได้ถูกวิธี ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ น้ำยาบ้วนปากก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย แต่ถ้าคุณจัดอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อภาวะฟันผุ โรคเหงือกอักเสบและแปรงฟันไม่ค่อยถูกวิธี น้ำยาบ้วนปากก็เป็นอะไรที่ช่วยเสริมในการป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากได้บ้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดปัญหาในช่องปาก ไม่ว่าจะฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือมีกลิ่นปาก (ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนหันมาใช้น้ำยาบ้วนปากนั้น) คุณต้องพบทันตแพทย์เพื่อรักษาอาการเหล่านั้นที่ต้นเหตุเสียก่อน เพราะน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย หากไม่รักษาให้ถูกวิธี   ประเภทของน้ำยาบ้วนปาก การสำรวจตลาดทั่วไปจากห้างค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ ฉลาดซื้อพบผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากหลากหลายมาก ซึ่งแบ่งประเภทออกมาได้ห้ากลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มที่ช่วยกลบกลิ่นและสร้างความสดชื่นในช่องปากด้วยน้ำมันหอมระเหย  2) กลุ่มที่ผสมสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ร่วมกับฟลูออไรด์  3) กลุ่มที่ผสมสารเพื่อลดปัญหาในช่องปากบางประการ เช่น ลดการเสียวฟัน ลดคราบหินปูน(ฟันขาว) 4) กลุ่มสำหรับเด็ก และ 5) ครอบจักรวาล คือรวมกลุ่ม 1 – 3 ไว้ในขวดเดียวกัน   กลุ่มที่ช่วยกลบกลิ่นและสร้างความสดชื่นในช่องปากด้วยน้ำมันหอมระเหย กลิ่นหอมที่ได้จากน้ำยาบ้วนปากในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil)  ซึ่งไม่เพียงให้กลิ่นหอมและความรู้สึกเย็นสดชื่น ยังมีฤทธิ์ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ด้วย โดยน้ำมันหอมระเหยที่นิยมใช้ได้แก่ Methyl Salicylate, Thymol,  Menthol, Eucalyptol, Peppermint oil,  Clove oil(น้ำมันกานพลู) เป็นต้น น้ำยาบ้วนปากกลุ่มนี้ช่วยกลบกลิ่นปากได้ราว 2 - 3 ชั่วโมงหลังใช้(เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยช่วยระงับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค) แต่กลิ่นหอมที่เกิดจากน้ำยาบ้วนปากจะอยู่ได้ไม่นานประมาณ 20 นาทีก็จะจางไป เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยจะออกฤทธิ์ได้ดีในแอลกอฮอล์ น้ำยาบ้วนปากกลุ่มนี้จึงผสมแอลกอฮอล์ในความเข้มข้นที่ 10 - 30 % ซึ่งทำให้เกิดภาวะแสบร้อนที่ไม่พึงประสงค์ หลายคนจึงใช้น้ำยาบ้วนปากได้ไม่นานเท่าที่คำแนะนำระบุ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลงไป  ปัจจุบันจึงมีสูตรไร้แอลกอฮอล์ออกมาเป็นทางเลือก ยาสีฟันในกลุ่มนี้ไม่มีผลในการลดภาวะฟันผุ   ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ขนาด มล. ราคา(บาท) สารออกฤทธิ์สำคัญ ปริมาณการใช้ ครั้งละ มล./วินาที ราคาในการใช้/ครั้ง(บาท) มีแอลกอฮอล์ผสม ลิสเตอรีน เฟรช ซิทรัส   250 65 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol     20/30 5.20 มี ลิสเตอรีน คูลมินต์   250 65 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol   20/30 5.20 มี มายบาซิน คลูมินต์   250 51 Thymol Menthol Methyl Salicylate Eucalyptol Mentha viridis (spearmint) 15-20/30 4.08 มี มายบาซิน สูตรเข้มข้น(ผสมน้ำก่อนใช้) ออริจินอล   1000 98 Thymol Menthol Eucalyptol Methyl Salicylate   ผสมน้ำก่อนใช้หรือ ครั้งละ 4 ช้อนชา(20 ซีซี)/30 1.96 ไม่ระบุบนฉลาก* มายบาซิน รสชาเขียวผสมฝรั่ง สูตรโฟร์ ทเวนตี้โฟร์อาวส์   500 99 Thymol Menthol Eucalyptol   Guava Leaf,Green Tea, Aloe Vera Extracts 15-20/30 3.96 มี มายบาซิน เฟรช ออเร็นจ์   750 116 Thymol Eucalyptol Methyl Salicylate Menthol   Natural orange extract 15-20/30 3.09 ไม่ระบุบนฉลาก* ซิสเท็มมา บลูคาริบเบียน   250 54 Dipotassium Glycyrrhiznate(สารสกัดจากชะเอมเทศ)   mansaku extract     10/30 2.16 มี ซิสเท็มมา กรีนฟอเรสต์   250 54 Dipotassium Glycyrrhiznate(สารสกัดจากชะเอมเทศ)   mansaku extract   10/20 2.16 ไม่มี ซิสเท็มมา สูตร Quick care   500 100 Dipotassium Glycyrrhiznate(สารสกัดจากชะเอมเทศ)   mansaku extract   10/20 2 มี เทสโก้ น้ำยาบ้วนปาก คูลมินท์   250 46 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol   20/30 3.68 มี เดนทิสเต้   190 139 Menthol Eucalyptol เสจ(Sage Extract) น้ำมันกานพลู(Clove oil)   1 ฝา 7.3 (10 มล.) ไม่มี ดอกบัวคู่ สูตรกานพลู   250 75 Menthol น้ำมันกานพลู(Clove oil) เสจ(Sage Extract) สารสกัดจากชะเอมเทศ(Glycyrrhizic Acid) 15-20/30 6 ไม่มี   หมายเหตุ น้ำยาบ้วนปากที่มี Thymol (ไธมอล) เป็นองค์ประกอบ มักพบว่าเป็นชนิดที่มีแอลกอฮอล์ผสมในปริมาณค่อนข้างสูง (เพื่อช่วยในการละลายของไธมอลที่ละลายได้ไม่ดีในน้ำ)  จึงไม่ควรใช้บ่อยหรือในปริมาณมากกว่าที่กำหนด   และอย่าเผลอกลืนเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกต่าง ๆ ได้   กลุ่มที่ผสมสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ร่วมกับฟลูออไรด์ การเติมสารฆ่าเชื้อหรือระงับเชื้อจุลินทรีย์ลงในน้ำยาบ้วนปากก็เพื่อลดจำนวนจุลินทรีย์ในปากลง เนื่องจากจุลินทรีย์ก่อให้เกิดกลิ่นปาก แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องคือใช้ในระยะเวลาที่ไม่นานพอที่สารจะถูกดูดซับไว้ในช่องปาก ก็แทบไม่มีผลอะไรในการระงับเชื้อ ดังนั้นต้องใช้ให้ตรงตามคำแนะนำ ปัจจุบันสารฆ่าเชื้อหรือระงับเชื้อที่นิยมใช้  ได้แก่ กลุ่มน้ำมันหอมระเหย อย่าง ไธมอล หรือ เมนทอล  และกลุ่ม Quaternary ammonium salts  ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ดีและไม่เป็นพิษ ในความเข้มข้นที่ใช้(ไม่เกิน 0.5%) ตัวที่ควรรู้จัก คือ  Cetylpyridinum chloride (เซธิลไพริดิเนียม คลอไรด์) น้ำยาบ้วนปากสูตรไร้แอลกอฮอล์ หรือที่โฆษณาว่า สดชื่นไม่แสบปาก จะนิยมใส่สาร  Cetylpyridinum chloride เพื่อช่วยในการฆ่าเชื้อ แทนการใช้กลุ่มน้ำมันหอมระเหยที่จะออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหากไม่ใช้แอลกอฮอล์ในการทำละลาย ส่วนข้อเสียของ Cetylpyridinum chloride คือจะให้รสขมติดปาก ดังนั้นในการผลิตจึงต้องมีการใส่วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อช่วยปรับรสชาติ สำหรับฟลูออไรด์ที่ผสมในน้ำยาบ้วนปาก จะมีผลในการป้องกันฟันผุได้จริง แต่ต้องใช้ให้ถูกต้อง คือ อมหรือกลั้วปากให้นานอย่างน้อย 1 นาที และไม่บ้วนน้ำตาม (เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพไม่ควรดื่มน้ำหรือกินอาหารหลังการบ้วนปากเป็นเวลา 30 นาทีด้วย) น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ซึ่งเป็นคำเตือนที่ต้องระบุไว้บนฉลากสินค้า ปกติคนเราจะได้รับฟลูออไรด์จากน้ำดื่มและยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์อยู่แล้ว(เพราะเราแปรงฟันทุกวัน) การรับเพิ่มจากน้ำยาบ้วนปากก็มีข้อต้องระวังคือ หากรับฟลูออไรด์มากไป อาจเกิดปัญหาฟันตกกระได้ แต่สำหรับในคนที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุได้ง่าย เช่น มีฟันผุเกิดขึ้นใหม่ทุกปี ต้องไปอุดฟันบ่อยๆ หรือคนที่กินขนมหวาน น้ำอัดลมมากๆ  การแปรงฟันโดยใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์อย่างเดียวอาจไม่พอ ก็สามารถเพิ่มน้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ได้ ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเหงือกร่น การแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ร่วมกับการใช้น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์จะป้องกันฟันผุที่รากฟันได้ด้วยเช่นกัน ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ขนาด มล. ราคา(บาท) สารออกฤทธิ์สำคัญ ปริมาณการใช้ ครั้งละ มล./วินาที ราคาในการใช้/ครั้ง(บาท) แอลกอฮอล์ ลิสเตอรีน (Listerine) ทีธ แอนด์ กัม โพรเทคชัน   250 71.50 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Sodium fluoride 20/30 5.72 มี ลิสเตอรีน (Listerine) เนเชอรัล กรีนที   250 72 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Camellia Sinensis(Green Tea) Sodium fluoride 20/30 5.76 ไม่มี คอลเกต พลักซ์ เฟรชที   250 61 Cetylpyridinum chloride Menthol Camellia Sinensis(Green Tea) Sodium fluoride 20/30 4.88 ไม่มี คอลเกต พลักซ์ เกลือสมุนไพร   250 65 Sodium Chloride Cetylpyridinum chloride Menthol Sodium fluoride 20/30 5.2 มี คอลเกต พลักซ์ ไอซ์   250 69 Cetylpyridinum chloride Sodium fluoride   20/30 5.52 ไม่มี คอลเกต พลักซ์ ฟรุ้ตตี้   250 65 Cetylpyridinum chloride Menthol Sodium fluoride       20/30 5.2 ไม่มี คอลเกต พลักซ์ เฟรชมินท์   250 65 Cetylpyridinum chloride Menthol Sodium fluoride       20/30 5.2 ไม่มี ฟลูโอคารีล 0% แอลกอฮอล์ พลัส ซีพีซี 500 95 Cetylpyridinum chloride   Sodium fluoride Sodium monofluorophosphate   10-15/30-60 1.9(10 มล.) ไม่มี ฟลูโอคารีล เอ็กซ์ตร้า เซ็นซิทีฟ พีเอช เฟอร์เฟค   500 105 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol   Sodium fluoride Sodium monofluorophosphate     10-15/60 2.1(10 มล.) มี ฟลูโอคารีล ออร์โธ 123   500 98.50 Cetylpyridinum chloride Sodium fluoride Sodium monofluorophosphate   10 -15/120     1.97(10 มล.) ไม่มี ออรัล บี โปรเฮลธ์ ทูธแอนด์กัมแคร์ เฟรชมิ้นต์ 350 99 Cetylpyridinum chloride Sodium fluoride   15/30 4.2 ไม่มี ออรัล บี โปรเฮลธ์ ทูธแอนด์กัมแคร์ สเปียร์มิ้นต์ 500 128 Cetylpyridinum chloride Sodium fluoride   15/30 3.84 ไม่มี ออรัลเมด ชัวร์มิ้นต์ คูล   480 98 Menthol Eucalyptol Methyl Salicylate Cetylpyridinum chloride Propolis Extract Sodium fluoride   1-2 ฝา 2.04(10 มล.) ไม่มี   3.กลุ่มที่ผสมสารเพื่อลดปัญหาในช่องปากบางประการ เช่น เสียวฟัน ลดคราบหินปูน(ฟันขาว) ในการสำรวจพบว่า น้ำยาบ้วนปากในกลุ่มที่ลดอาการเสียวฟัน จะใช้สาร Potassium Nitrate เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ ร่วมกับการใช้สารฆ่าเชื้อ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการเสียวฟันได้ แต่ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการเสียวฟันซึ่งส่อให้เห็นว่าสุขภาพฟันกำลังมีปัญหา ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาที่ต้นเหตุด้วย ส่วนกลุ่มที่ลดคราบหินปูน และช่วยลดคราบต่างๆ ที่มาติดฟันจนดูเหมือนว่าช่วยทำให้ฟันขาวขึ้น นิยมใช้ สาร Zinc Chloride,  Zinc Lactate หรือ Zinc Citrate เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ขนาด มล. ราคา(บาท) สารออกฤทธิ์สำคัญ ปริมาณการใช้ ครั้งละ มล./วินาที ราคาในการใช้/ครั้ง(บาท) แอลกอฮอล์ ลิสเตอรีน (Listerine) ไบรท์ & คลีน   250 71.50 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Zinc Chloride   20/30 5.72 มี ลิสเตอรีน (Listerine) ทาร์ทาร์ โพรเทคชัน   250 71.50 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Zinc Chloride   20/30 5.72 มี มายบาซิน สูตรทาร์ทาร์คอนโทรล 250 52 Thymol Methyl Salicylate Menthol Spearmint l Eucalyptol Zinc lactate   15-20/30 4.16 มี มายบาซิน สูตรไวท์ โพรเทคชั่น   500 86 Methyl Salicylate Eucalyptol Menthol spearmint peppermint Zinc lactate   15-20/30 3.44 ไม่มี คอลเกต พลักซ์ เนเชอรัล ไวท์   500 119 Tetrapotassium Pyrophosphate Zinc Citrate       20/30 4.76 มี ซิสเท็มมา มิดไนท์ แฟนตาซี   500 95 Dipotassium Glycyrrhiznate(สารสกัดจากชะเอมเทศ)   mansaku extract Zinc Lactate   10/20 1.9 มี ซิสเท็มมา มิดไนท์ พาราไดซ์   500 95 Dipotassium Glycyrrhiznate(สารสกัดจากชะเอมเทศ)   mansaku extract Zinc Lactate   10/20 1.9 มี เทสโก้ น้ำยาบ้วนปาก ทาร์ทาร์ โพรเทคชั่น   250 52 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Zinc Chloride   20/30 4.16 มี อีโมฟอร์ม   240 98 Sodium chloride Potassium Nitrate   1 ฝาผสมน้ำครึ่งแก้ว บ้วนปากวันละ 1-3 ครั้ง 4.08(10 มล.) ไม่มี   4.น้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็ก กลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันฟันผุสำหรับเด็ก สารออกฤทธิ์ตัวสำคัญจึงเป็น สารฟลูออไรด์ ซึ่งจะไม่มีสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และไม่มีแอลกอฮอล์ผสม และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดปัจจุบันแทบไม่มีที่ผสมแต่เพียงฟลูออไรด์อย่างเดียวโดยไม่ผสมสารฆ่าเชื้อร่วมด้วย ดังนั้นหากไม่ต้องการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ต้องการแต่ฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุอย่างเดียว ก็สามารถเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากในกลุ่มสำหรับเด็กได้ ห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี และสำหรับเด็กที่ฟันผุมาก ผู้ปกครองอาจเสริมด้วยน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กหลังการแปรงฟันได้ แต่ถ้าเด็กได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีแล้ว น้ำยาบ้วนปากก็ไม่จำเป็น   ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ขนาด มล. ราคา(บาท) สารออกฤทธิ์สำคัญ ปริมาณการใช้ ครั้งละ มล./วินาที ราคาในการใช้/ครั้ง(บาท) แอลกอฮอล์ ฟลูโอคารีล คิดส์ 6+ กรีน (เบนเท็น)   250 59 Sodium fluoride Sodium monofluorophosphate 10/60 2.36 ไม่มี ออรัลเมด คิด ทุตตี้ ฟรุตตี้   240 42.50 Sodium fluoride   Sodium monofluorophosphate 1 ฝา 0.04(10 มล.) ไม่มี   5.กลุ่มครอบจักรวาล(Total care) กลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า โทเทิล แคร์ คือดูแลหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งฆ่าเชื้อ ทำให้ปากสดชื่น ป้องกันฟันผุ ลดคราบหินปูน และลดเสียวฟัน ซึ่งไม่จำเป็นเท่าไหร่ ควรเลือกใช้ให้ตรงตามความต้องการดีกว่า ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ขนาด มล. ราคา(บาท) สารออกฤทธิ์สำคัญ ปริมาณการใช้ ครั้งละ มล./วินาที ราคาในการใช้/ครั้ง(บาท) แอลกอฮอล์ เทสโก้ น้ำยาบ้วนปาก โทเทิล แคร์   250 61 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Zinc Chloride Sodium fluoride ไม่มีคำเตือนว่ามีส่วนผสมของฟลูออไรด์ 20/30 4.88 มี มายบาซิน โททอล 15   500 99 Thymol Methyl Salicylate Menthol Eucalyptol Zinc lactate Sodium fluoride 15-20/30 3.96 มี ฟลูโอคารีล 40+เนเจอร์แคร์   500 105 Potassium Nitrate Sodium fluoride Sodium monofluorophosphate 10-15/60 2.1 มี คอลเกต เซนซิทีฟ โปรรีลีฟ   400 119 ส่วนผสมของอาร์จินีนและแคลเซียมคาร์บอเนต Sodium fluoride 20/30 5.95 มี ลิสเตอรีน (Listerine) โทเทิลแคร์ เซนซิทีฟ   250 83 Eucalyptol Methyl Salicylate Thymol Menthol Potassium Nitrate Sodium fluoride     20/30 6.64 มี   -------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ที่มาของน้ำยาบ้วนปาก จากหนังสือพิมพ์ Periodontology 2000 กล่าวไว้ว่าน้ำยาบ้วนปากตัวแรกเกิดขึ้นที่ประเทศจีนประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคนั้นการรักษาปัญหากลิ่นปากเรื้อรังที่เกิดจากโรคเหงือกอักเสบ แพทย์ได้แนะนำให้กลั้วปากด้วยปัสสาวะเด็ก ที่กรีก ฮิปโปเครติส บิดาแห่งการแพทย์ แนะนำให้กลั้วปากด้วยส่วนผสมของเกลือ สารส้มและน้ำส้มสายชู ในคู่มือทันตกรรมที่มีชื่อเสียง ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1530 ได้เขียนถึงสิ่งที่ทำงานใกล้เคียงกับน้ำยาบ้วนปากในปัจจุบัน โดยระบุว่า “หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ให้กลั้วปากด้วยไวน์หรือเบียร์เพื่อชะล้างสิ่งที่ติดฟันและทำให้ฟันผุ ผลิตกลิ่นเหม็นและทำลายฟัน” ย้อนไปปี ค.ศ. 1895 เมื่อ Joseph and Jordan Lambert นำของเหลวที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่นำมาจากการผ่าตัดและไปผลิตเป็นน้ำยาบ้วนปาก การผสมผสานของ thymol, menthol, eucalyptol และ methyl salicylate จึงเกิดขึ้น นักธุรกิจคู่นี้ใช้ชื่อน้ำยาบ้วนปากว่า Listerine  และขายให้แก่ทันตแพทย์ในปีนั้นเอง “Listerine ถูกผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 19 เพื่อฆ่าเชื้อโรค มันถูกกลั่นออกมาในรูปแบบของน้ำยาทำความสะอาดพื้นและรักษาโรคหนองใน” ที่มา  http://therabreaththailand.com/article10.php   -------------------------------------------------------------------------------------------------------------   แอลกอฮอล์ในน้ำยาบ้วนปาก เคยมีผู้สงสัยว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งในช่องปากหรือไม่ เพราะโรคมะเร็งในช่องปากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การสูบบุหรี่ รองลงมาคือ การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ  ณ ปัจจุบันผลการวิจัยที่ออกมายังไม่สามารถฟันธงได้ เพราะผลการวิจัยก็มีทั้งที่ระบุว่าอาจเป็นปัจจัยเสี่ยง และระบุว่าไม่เป็นปัจจัยเสี่ยง ในประเทศไทยจึงยังไม่มีการสรุปในเรื่องนี้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องประชุมกันได้มีข้อแนะนำว่าสำหรับคนที่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากอยู่แล้ว ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ผสม   ประสิทธิภาพในการลดกลิ่นปาก จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า ประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราว โดยจะควบคุมกลิ่นปากได้ประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ตอนเช้าควบคุมได้ไปจนถึงเย็น เพราะฉะนั้นอาจใช้น้ำยาบ้วนปากได้เป็นครั้งคราวกรณีที่ต้องการความมั่นใจ แต่ถ้าจะใช้เพื่อระงับกลิ่นปาก ป้องกันไม่ให้มีกลิ่นปาก ควรที่จะป้องกันด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การทำความสะอาดลิ้น เพราะฝ้าขาวบนลิ้นเป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปาก ขณะเดียวกันควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน ถ้ามีกลิ่นปากก็ต้องหาสาเหตุว่ามาจากตรงไหน เช่น ฟันผุ เป็นโรคเหงือก โรคระบบทางเดินอาหาร ทอนซิลอักเสบ หรือ ไซนัส ก็ควรแก้ที่ต้นเหตุจะดีกว่า เพราะน้ำยาบ้วนปากแค่ระงับกลิ่นปากชั่วคราวแต่ไม่ได้แก้ที่สาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก   น้ำยาบ้วนปากกับเด็ก เด็กไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำยาบ้วนปาก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเลยทุกประเภท ไม่ว่าจะมีแอลกอฮอล์หรือไม่มีแอลกอฮอล์ เพราะการควบคุมการกลืนยังไม่ดี ขณะที่บ้วนปากเด็กอาจกลืนกินน้ำยาบ้วนปากลงไปด้วย น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ผสมจึงมีคำเตือนห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ความจริงน้ำยาบ้วนปากของเด็กมักจะใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ โดยผู้ปกครองจะซื้อให้เด็กใช้ในกรณีที่ลูกฟันผุมาก ๆ แต่อยากจะบอกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้หากให้เด็กแปรงฟันให้สะอาด ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์   ข้อมูลจาก ทันตแพทย์หญิงนนทินี ตั้งเจริญดี ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านทันตสุขภาพ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่มา http://202.183.204.137/km/?p=558

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 ครีมบำรุงผิว

คงจะไม่ผิดกติกาถ้าเราจะเตรียมตัวป้องกันผิวแห้งตึงรับหน้าหนาวปีนี้กันแต่เนิ่นๆ ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอพาคุณลุยน้ำ ฝ่าพายุ ไปเลือกซื้อครีมบำรุงผิวมาทาตัวให้ชิลกันดีกว่า ผิวหนังของเราสูญเสียน้ำมันธรรมชาติซึ่งทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นด้วยหลายสาเหตุ ตั้งแต่การอาบน้ำ การอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งและเย็น รวมถึงการมีอายุมากขึ้นด้วย ครีมบำรุงผิวจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญ นอกเหนือจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำการทดสอบครีมบำรุงผิวทั้งหมด 56 ผลิตภัณฑ์ (เป็นตัวอย่างที่เก็บจากตลาดยุโรป) ว่าครีมไหนสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวหนังได้มากกว่ากัน และครีมไหน ตอบสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ดีที่สุด ฉลาดซื้อ เลือกมา 20 ผลิตภัณฑ์จากยี่ห้อที่มีจำหน่ายในบ้านเรา สนนราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่ 16 บาท ถึง 653 บาท ต่อปริมาณ 100 มิลลิลิตร ผลที่ได้ช่วยย้ำอีกครั้งว่า สำหรับเครื่องสำอางนั้น ราคาไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพเสมอไป   ---------------------------------------------------------------------------- การทดสอบครั้งนี้มีอาสาสมัครอายุระหว่าง 18 -60 ปี ที่มีสภาพผิวแห้ง เข้าร่วมทั้งหมด 500 คน (แต่ละผลิตภัณฑ์มีผู้ทดสอบจำนวน 20 คน) การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน การสำรวจความพึงพอใจของอาสาสมัคร หลังจากทาผลิตภัณฑ์ที่ขา วันละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน การทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ ด้วยการใช้เครื่องคอร์นิโอมิเตอร์ วัดปริมาณน้ำในผิวหนังของอาสาสมัคร  หลังการทาผลิตภัณฑ์บนท้องแขน 1 ชั่วโมง / 24 ชั่วโมง /และ 15 วันหลังการใช้ เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการและอาสาสมัคร จะไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นยี่ห้อใด ----------------------------------------------------------------------------   LaRoche-Posay Lipikar milk              277 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      5 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                5 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Vichy NutriExtra fluid                         125 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            5 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Eucerin pH 5 Body lotion 77 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Garnier Body Intensive 7 days                      77 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Nivéa Smooth Milk Tripple Action 56 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   L'Oréal Nutri Soft 24H 106 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Biotherm Oil Therapy Body Balm      630 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Roc Enydrial mosturizing body lotion 306 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Neutrogena Deep Moisture 75 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3 Dove Body Milk essential 54 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     3 Nivéa Pure & Natural body milk 68 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Yves Rocher Nutrition                                    188 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Nivéa Nourishing body milk 79 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Dove Body Lotion Hydro nourishment 35 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Clarins  Moisture-rich body lotion 653 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Nivéa Express Moisturizing Lotion 63 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Carrefour  discount Moisturizing body milk 16 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 3 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Nivéa Cream 76 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 3 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Johnson's Body Care  moisturizing 24 hours 44 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      3 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     5   The Body Shop White musk 206 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      3 ผิวนุ่ม                                         3 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 มาสคารา

ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลการทดสอบเปรียบเทียบมาสคารา ที่องค์กรผู้บริโภคในยุโรปร่วมกับองค์กรทดสอบสากล ICRT ทำไว้ มาฝากสมาชิกสาวน้อยสาวใหญ่ของเรา มีทั้งยี่ห้อที่มีจำหน่ายในประเทศไทยและที่ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาด แต่รู้ไว้ไม่เสียหลายเพราะตลาดเครื่องสำอางบ้านเรานั้นมียี่ห้อใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลา หลายคนอาจจะอยากรู้ผลทดสอบของเครื่องสำอางจากเกาหลี เลยต้องบอกไว้ก่อนว่าเงินถึงเมื่อไร (ด้วยเงินจากค่าสมาชิกรายปีของเรา) ฉลาดซื้อจะจัดส่งตัวอย่างไปร่วมทดสอบกับเขาทันที มาสคารา ทั้ง 11 ยี่ห้อ ได้คะแนนรวมไม่ต่างกันมากนัก แต่อาจจะได้คะแนนในแต่ละประเภทแตกต่างกันเล็กน้อย แล้วแต่ว่าสาวๆ คนไหนจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในด้านใดมากกว่ากัน บางคนชอบให้ขนตาหนา บางคนเน้นขนตายาว บางคนต้องการความมั่นใจว่ากันน้ำได้ดี หรือบางคนต้องการผลิตภัณฑ์ที่ล้างออกง่ายไม่เสียเวลา เป็นต้น ใครชอบแบบไหนดูได้ในผลทดสอบหน้าถัดไป การทดสอบครั้งนี้เขาทดสอบหาการปนเปื้อนของจุลินทรีย์และสารเคมีอันตรายหรือโลหะหนักด้วย ทุกยี่ห้อปลอดจุลินทรีย์ ยกเว้น Rimmel และทุกยี่ห้อปลอดสารเคมีอันตรายหรือโลหะหนักยกเว้น Lumene   H&M Full Lashes  12ml ราคา 120 บาท (10 บาท/ml) ขนตาหนา                                  3 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4           Gosh Show Me Volume  12ml ราคา 290 บาท (24บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4         Maybelline Jade The Colossal Volum' Express Mascara  10ml ราคา 270 บาท (27 บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    5 กันน้ำได้ดี                                  2 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4     Rimmel Max BoldCurves Extreme Volume & Lift Mascara  8ml ราคา 260 บาท (32.5บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4       MaxFactor False Lash Effect Fusion Volume & Length  13ml ราคา 465 บาท (35.7บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ขนตาดูเป็นธรรมชาติ                   4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4       Lumene Blueberry Volume Mascara  7ml ราคา 315 บาท (45บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  4 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               3       L'Oréal Volume Million Lashes  9ml ราคา 425 บาท (47.2บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4       Nilens jord Jumbo Volume Mascara  13ml ราคา 620 บาท (47.6 บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           3 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4       La Roche-Posay Respectissime Volumizing Mascara Waterproof 8.3ml ราคา 520 บาท (62.6บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  4 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4       Dr. Hauschka Volume Mascara            6ml ราคา 945 บาท (157.5บาท /ml) ขนตาหนา                                  3 ขนตายาว                                  3 ขนตางอน                                  3 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    3 กันน้ำได้ดี                                  2 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4         Helena Rubinstein Lash Queen Mascara Waterproof  7ml ราคา 1,400 บาท (200บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  3 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  5 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4       ตำนาน “มาสคารา” ยุคอียิปต์ มาสคาราพิทักษ์วิญญาณ คนอียิปต์โบราณ (ช่วง 3,400 – 30 ก่อนคริสตกาล) ทั้งชายและหญิงจะเขียนตาด้วยถ่านและใช้ “มาสคารา” เพื่อทำให้ดวงตาดูลึกขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของวิญญาณมนุษย์ เพื่อไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายแทรกซึมเข้ามาได้โดยง่าย จึงต้องซ่อนดวงตาไว้ให้ดี  คนในยุคนั้นใช้ผงถ่าน เมล็ดอัลมอนด์ มูลจระเข้ น้ำ และน้ำผึ้ง มาผสมเป็น “มาสคารา” และใช้กระดูกสัตว์หรืองาช้างเป็นแปรงปัด บางตำราอธิบายว่า เนื่องจากคนอียิปต์โบราณถือว่าดวงตาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ รา เทพแห่งดวงอาทิตย์ก็ยังถูกแทนสัญลักษณ์ด้วยรูปดวงตา การเขียนตาให้ดำขึ้น จึงหมายถึงการดึงดูดความสนใจขององค์เทพมาสู่ตนเองได้มากขึ้นด้วย ยุคโรมัน มาสคารารับรองพรหมจรรย์ เมื่อ 100 ปีก่อนคริสตกาล “มาสคารา” เคยทำหน้าที่ๆ สำคัญกว่าเครื่องสำอางมาแล้ว คนโรมันเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์มากเกินไป เป็นสาเหตุให้ขนตาหลุดร่วง ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องพิสูจน์พรหมจรรย์หรือความซื่อสัตย์ต่อสามี (ที่ไปรบที่อื่นเป็นเวลานาน) ด้วยการมีขนตาที่หนาและดำขลับนั่นเอง “มาสคารา” สูตรโรมันประกอบด้วยกลีบกุหลาบ เมล็ดอินทผลัม เขม่า และพลวง ยุควิคทอเรียน มาสคาราเพื่อลุคสวยสมบูรณ์แบบ ม าสคารากลับมาอินเทรนด์อีกครั้งในยุควิคทอเรียน (ค.ศ. 1830 – 1839) เมื่อสาวๆ หันมานิยมการมีขนตาที่ดูดำและหนาเป็นแพ กว่าออกจากบ้านได้ แต่ละนางจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการทำสวย เดาว่าพวกนางน่าจะมีเวลาว่างมากทีเดียว เพราะมีเวลาผสมเครื่องสำอางเอาไว้ใช้เองด้วย “มาสคารา” สูตรวิคทอเรีย ทำจากการนำผงถ่านลงไปเคี่ยวรวมกับลูกอัลเดอร์เบอรี่ ยุคของปิโตรเลียมเจลลี ปิโตรเลียมเจลลีได้รับการจดทะเบียนในปีค.ศ. 1872 หลายปีต่อมามันจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญของมาสคาราที่เราใช้กันในปัจจุบัน ยูจีน ริมเมล ก่อตั้งบริษัทเมย์บิลีนขึ้นในปี 1915 เครื่องสำอางชิ้นแรกที่บริษัทนี้ผลิตออกจำหน่ายในอีก 2 ปีต่อมา คือมาสคารา นั่นเอง มาสคารายุคแรกเกิดจากการผสมผงถ่านกับปิโตรเลียมเจลลี และยังไม่มีใครสามารถคิดค้นมาสคาราชนิดกันน้ำที่ปลอดภัยพอสำหรับผู้บริโภคได้ก่อนช่วงปีค.ศ. 1960 - 1969 ถ้าสาวๆ ต้องการมาสคาราที่ติดทนนาน พวกเธอต้องใช้มาสคาราผสมน้ำมันสนซึ่งทั้งเหม็นและทั้งเสี่ยงต่ออาการแพ้ด้วย ------------------------------------------------------------------------------- จุลินทรีย์ในมาสคารา เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในดวงตา เช่น สเตรปโตค็อกคัส และ สตาฟิโลค็อกคัส มีโอกาสที่จะติดอยู่กับแปรงปัดและปนเปื้อนในบรรจุภัณฑ์ของมาสคาราได้ เราจึงไม่ควรใช้มาสคาราร่วมกับใคร และไม่ควรเก็บไว้นานเกินไปด้วย โดยทั่วไปผู้ผลิตจะใส่สารกันเสีย/กันเชื้อราในผลิตภัณฑ์ แต่สารเหล่านี้มีอายุเพียง 3 เดือนเท่านั้น ------------------------------------------------------------------------------- นาทีนี้มาสคาราถูกสังคมคาดหวังไว้สูง ถ้าอยากโด่งดังในสังเวียนของมาสคาราแล้วละก็คุณจะต้องมาพร้อมคำสัญญาว่าจะทำให้ผู้ใช้สร้างความตกตะลึงให้กับฝูงชนได้ด้วยขนตายาวเฟื้อยและงอนงามในสามโลก ที่ผ่านมาจึงมีโฆษณามาสคาราหลายชิ้นถูกองค์กร Advertising Standards Agency ของอังกฤษสั่งหยุดเผยแพร่ เนื่องจากนำเสนอขนตานางแบบที่ดู ยาว หนาและงอนงามด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล จนเข้าข่ายเกินจริงไปหน่อย ตั้งแต่โฆษณาของ ลอรีอัล ในปี 2007 ที่มีเพเนโลปี ครูซ เป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือโฆษณาของริมเมล ในปีเดียวกันที่มี เคท มอส เป็นนางแบบ ต่อมาในปี 2010 โฆษณาของริมเมล ที่มีพรีเซ็นเตอร์เป็นจอร์เจีย เมย์ แจกเกอร์ ก็ถูกแบนอีก เช่นเดียวกับโฆษณาของคัฟเวอร์ เกิร์ล ที่มีนิโคล ฟอกซ์ ผู้ชนะจากรายการยอดนางแบบอเมริกาเป็นพรีเซ็นเตอร์เมื่อปีที่แล้ว ------------------------------------------------------------------------------- งานวิจัยของบริษัทพร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิ้ล ระบุว่า ร้อยละ 40 ของคนที่ใช้มาสคารา ต้องการให้ขนตาดูหนาขึ้น จึงเป็นกลุ่มที่ใช้มาสคาราเปลืองมากๆ  โดยทั่วไปผู้หญิงจะปัดขนตาแต่ละข้างประมาณ 6 ครั้ง แต่กลุ่มนี้จะปัดถึง 30 – 40 ครั้งเพื่อให้ได้ขนตาหนาแน่นสมใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 ตามไปดู ยุทธการ Down size “การลดขนาดบรรจุภัณฑ์”

  ฉลาดซื้อฉบับนี้เราไปเดินช้อปปิ้งในห้างค้าปลีกยักษ์และร้านค้าปลีกย่อยกันอย่างขะมักเขม้นตามแรงผลักแรงเชียร์จากคุณผู้อ่านที่น่ารักของเรา แล้วก็พบว่า ผู้บริโภคเรากำลังถูกเล่นกลด้วยยุทธการที่เรียกว่า  Down size หรือ “การลดขนาดบรรจุภัณฑ์” ในสินค้าหลายประเภทตามที่ผู้อ่านของเราประสานเสียงกันมา ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งผู้ผลิตเองก็กำลังประสบปัญหาต้นทุนราคาสินค้าพุ่ง แต่ตัวเองกลับขายแบบขึ้นราคาตรงๆ ไม่ได้ เลยต้องหันมาเล่นวิธีนี้กันเกลื่อนเมือง   ตัวอย่างที่ 1 ณ ซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า เห็นป้ายที่ชั้นวางเขียนว่า ลักส์ครีมอาบน้ำโกล์ว...220 ml. ราคา 66.50 บาท พิจารณาดูจากสูตรอื่นๆ ในยี่ห้อเดียวกันที่วางเรียงเป็นตับก็พบว่า ราคาเดียวกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ ลักส์ครีมอาบน้ำโกล์วอิ้ง ทัช นั้นที่ขวดเขียนว่า 200 ml. ไม่ใช่ 220 ตามที่ป้ายบอก พอเหลือบมองที่วันผลิตจึงเห็นว่า เป็นเดือน 11 ปี 2011 แต่ที่ป้ายตรงชั้นวางเป็นวันเวลาที่ระบุไว้ตั้งแต่ วันที่ 24 เดือน 8 ปี 2010   คราวนี้มือก็อยู่ไม่สุขจับขวดอื่นๆ มาส่องวันผลิตและน้ำหนัก สิ่งที่พบคือ ส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นขนาด 200 ml. หมดแล้ว มีเหลืออยู่สูตรเดียวที่มีน้ำหนัก 220 ml. คือ ลักส์ เวลเวท ทัช ซึ่งระบุวันผลิต เดือน 9 ปี 2011 ลักส์ เวลเวท ทัชจึงเป็นสูตรเดียวที่ราคาและน้ำหนักตรงกับป้ายแสดงราคาผลิตภัณฑ์ของห้างสรรพสินค้า   ตัวอย่างที่ 2 ณ ร้านสะดวกซื้อ ป้ายแสดงราคาสินค้าระบุ น้ำยาล้างจานไลปอนเอฟ ขนาด 170 ml. ราคา 11 บาท แต่เมื่อหยิบขวดน้ำยาล้างจานมาพิจารณาจริงๆ น้ำหนักที่ขวดระบุไว้ 160 ml. (เมื่อจ่ายเงิน ราคา 11 บาทซะงั้น) แล้วอีก 10 ml. ของฉันหายไปไหน   จริงๆ ปรากฏการณ์สินค้าน้ำหนักหายไปจากเดิมราว 5-10 % ในผลิตภัณฑ์ประเภทใช้แล้วหมดไปอย่างสบู่เหลว น้ำยาล้างจาน แชมพูสระผม เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปี 2554 แล้ว   “สมชาย พรรัตนเจริญ” นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย ได้เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่า ขณะนี้ผู้ผลิตแชมพูสระผม ได้แจ้งลดขนาดบรรจุภัณฑ์สินค้าลง จากขวดขนาด 80-85 มิลลิลิตร ลดเหลือ 70 มิลลิลิตร กาแฟซองเดิมห่อละ 30 ซอง ลดลงเหลือ 27-28 ซอง ส่วนปลากระป๋องแจ้งราคาขายส่งเพิ่มขึ้นลังละ 50 บาท เป็นต้น ทำให้ตลาดขายปลีกเวลานี้ปลากระป๋องปรับขึ้นกระป๋องละ 3 บาท นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตบางรายใช้วิธีปรับลดขนาดบรรจุและเปลี่ยนหีบห่อสินค้าให้เล็กลงแต่คงราคาขายเดิมเช่น กาแฟซอง เดิม 1 แพ็กจะมี 30 ซอง ก็จะเหลือ 27-28 ซอง เป็นต้น หรืออย่างสินค้าชำระล้าง สินค้าใช้แล้วหมดไป เช่น แชมพูสระผม ครีมนวดผม ยาสีฟัน ที่ลดปริมาณบรรจุ 5-10% แต่ขนาดกล่องเท่าเดิม ที่มา  http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9540000048921เวลา 14 ธันวาคม 2554 16:42 น.   นวัตกรรม หรือ ปรับราคา การลดขนาดของผลิตภัณฑ์ลงสามารถช่วยได้มากในแง่จิตวิทยาคือ ผู้ซื้อจะไม่รู้สึกว่าสินค้าราคาแพงขึ้น เพราะยังสามารถซื้อหาได้ในราคาเท่าเดิม รูปทรงผลิตภัณฑ์ก็เหมือนเดิม แต่หากวิธีนี้เกิดไม่เวิร์ก ผู้บริโภคเริ่มจับได้ อีกวิธีที่ผู้ผลิตนิยมนำมาใช้คือ การปรับสูตร  เปลี่ยนชื่อรุ่น เพื่อตั้งราคาขายใหม่ที่ดีกว่าเดิม หรือราคาเดิมแต่ปริมาณลดลง ไปจนถึงการถอดโปรโมชั่น เพื่อลดรายจ่ายด้านการตลาดลง อันที่จริงภาครัฐก็ควบคุมกำกับในเรื่องราคาสินค้าขายปลีก โดยบอกว่า ห้ามปรับราคา แต่ไม่ได้ห้ามลดขนาดสินค้าผลก็คือ ผู้ผลิตต้องหาทางออกด้วยการปรับลดขนาดกันยกใหญ่ ต่อไปเราก็คงได้เห็นรูปทรงและสินค้าสูตรใหม่ๆ ทยอยกันออกมาเรื่อยๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจไม่ได้มีอะไรใหม่เลย   ตัวอย่างขนาดที่หลากหลายของแชมพูสระผม จากเดิมที่ขนาด 200-220 ml. ผลิตภัณฑ์แชมพู วันผลิต น้ำหนัก(ml.) ราคาต่อหน่วยบรรจุ(บาท) ราคาต่อ 1 ml.(บาท) ซันซิล ดรีม ซอฟท์แอนด์สมูท 13/12/2011 180 60.75 0.33 ซันซิล เพอร์เฟค สเตรท 02/11/2011 160     โดฟ แดเมจ เธอราพี อินเทนซ์ รีแพร์ 01/12/2011 175 69 0.39 แพนทีน โปรวี ลอง แบลค 20/01/2012 170 63.75 0.37 เอเชียนช์ ชายน์ เธอราพี 17/08/2011 220 118 0.53 เฮดแอนด์โชว์เดอร์ คลูเมนทอล 29/10/2011 180 75 0.41 รีจอยส์ ริช 11/09/2011 180 53.75 0.29 ราคาสำรวจ ณ วันที่ 8 ก.พ.2555 จับตาสินค้าสองมาตรฐาน นอกจากยุทธการ ดาวน์ไซส์ แบบหนีตายแล้ว ยังมีรายการ ดาวน์ไซส์ แบบน่าเกลียดด้วย กล่าวคือ ผู้ผลิตสินค้าได้ผลิตสินค้า 2 มาตรฐาน โดยการผลิตสินค้าในบรรจุภัณฑ์ขนาดเท่าเดิม เรียกว่ามองเผินๆ จะไม่เห็นความแตกต่าง แต่สิ่งที่ต่างคือ ปริมาณในบรรจุภัณฑ์กลับน้อยลง  สำหรับขายในร้านค้าปลีกขนาดยักษ์หรือโมเดิร์นเทรด ส่วนน้ำหนักขนาดเดิมจะส่งไปขายในร้านค้าแบบดั้งเดิม(โชห่วย) ทำให้เกิดความแตกต่างในด้านกำไรและความคุ้มค่าในการซื้อ เพราะผู้บริโภคจะเข้าใจว่า สินค้าหน้าตาเดียวกัน แต่ราคาในห้างค้าปลีกถูกกว่ามาก ดูที่ภาพประกอบ ภาพแพนทีนโปรวี(สีม่วง) ขนาด 180 ml.   วันผลิต 28/07/2011 ภาพแพนทีโปรวี(สีม่วง) ขนาด 160 ml.   วันผลิต 20/07/2011 ภาพข้าวตัง เจ้าสัว ขนาด 125 กรัม   วันผลิต 16/09/2011 ภาพข้าวตัง เจ้าสัว ขนาด 105 กรัม เชื่อถือได้นานกว่า 50 ปี   วันผลิต 07/09/2011 ภาพครีมเทียม สีม่วง ขนาด 200 กรัม ภาพครีมเทียม ขนาด 150 กรัม ภาพข้าวมาบุญครอง ถุงแดง   วันผลิต 16/09/54 ราคาข้างถุง 240 บาท ภาพข้าวมาบุญครอง ถุงเขียว   วันผลิต 11/09/54 ราคาข้างถุง 185 บาท     ด้านซ้ายเป็นตัวอย่างสินค้าในร้านค้าแบบดั้งเดิม   ส่วนด้านขวาเป็นสินค้าที่วางในห้างค้าปลีกยักษ์   การผลิตสินค้าสองมาตรฐานลักษณะนี้ แน่นอนว่าผู้ที่เสียเปรียบเห็นๆ ก็คือ ผู้บริโภค รวมทั้งร้านค้ารายย่อยที่อาจถูกมองว่าขายของในราคาแพง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ได้ขายแพง สินค้าที่วางในห้างค้าปลีกยักษ์ต่างหาก ที่น้ำหนักสินค้าหดหายไป อย่างไรก็ตาม มีการมองว่า ดำเนินการดังกล่าวของผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตสินค้าต่างๆ อาจเป็นเพราะได้รับการกดดันจากทางโมเดิร์นเทรด ซึ่งต้องมีการต่อรองค่าใช้จ่ายต่างๆ กรณีที่จะนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด ก็จะเป็นรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นหรือต้นทุนแอบแฝงของผู้ประกอบการ โดยอาจจะส่งผลให้มีการผลิตสินค้าสองแบบ ต่างจากร้านโชห่วยที่ไม่มีรายจ่ายหรือต้นทุนที่แอบแฝงในลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นการผลิตสินค้าป้อนให้กับร้านโชห่วยก็จะเป็นไปตามปกติ     ฉลาดซื้อแนะ 1.แน่นอนว่าเราต้องสนับสนุนร้านค้ารายย่อย เพื่อเป็นการถ่วงดุลการเอาเปรียบจากห้างค้าปลีกขนาดยักษ์ 2.ถ้าพบสินค้าไม่ตรงราคาป้าย โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักที่หดหายไป รีบแจ้งผู้ประกอบการให้ปรับเปลี่ยนรายการสินค้าให้ถูกตรง และถ้าคุณรู้สึกอยากทดลองใช้สิทธิดูบ้าง ก็ขอให้ห้างค้าปลีกชดเชยค่าเสียหายจากน้ำหนักของสินค้าที่หายไปด้วย 3.ในสินค้าประเภทแชมพูสระผม น้ำยาล้างจาน สบู่เหลว ส่วนผสมหลักๆ นั้นไม่ต่างกัน สิ่งที่ต่างคือ การโฆษณา ยิ่งโฆษณาเยอะต้นทุนยิ่งสูง ราคาก็ยิ่งแพง ดังนั้นเลือกที่คุณใช้แล้วรู้สึกว่าดี และราคาไม่แพง ย่อมจะดีกว่าในภาวะที่ทุกคนต้องประหยัดรายจ่ายมากขึ้น 4.ผลิตภัณฑ์หลายชนิด การซื้อในขนาดบรรจุที่ใหญ่จะช่วยให้ประหยัดได้เพิ่มขึ้น แต่ไม่แนะนำสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานสั้น เพราะยิ่งซื้อมาสะสมมากยิ่งมีปัญหา เช่น น้ำมันพืช เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ช้อนตวงยา อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

  การกินยาสำหรับเด็กๆ อาจเป็นเรื่องยากและลำบากใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ “ยาน้ำ” จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเด็กๆ หรือคนที่ไม่ชอบกินยาเม็ดหรือแคปซูล ซึ่งการกินยาน้ำแม้จะดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ก็ข้อพึ่งระวัง โดยเฉพาะเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนมองข้ามอย่าง “ช้อนและถ้วยตวงยา” ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และผู้ผลิตยาที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด จึงทำให้ลักษณะของช้อนและถ้วยตวงยาก็มีความหลากหลายทั้ง ขนาด รูปทรง วัสดุ ซึ่งความแตกต่างทั้งหมดของช้อนและถ้วยตวงยาที่กล่าวมาอาจมีผลต่อปริมาณของยาที่รับประทาน และอาจกลายเป็นผลเสียกับร่างกาย ฉลาดซื้อ จึงอยากชวนทุกคนใส่ใจและให้ความสำคัญกับช้อนและถ้วยตวงยาน้ำมากขึ้น ด้วยผลทดสอบความจุของช้อนและถ้วยตวงยาพลาสติก โดย ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม มาดูกันซิว่าช้อนและถ้วยตวงยาที่เราใช้กันอยู่ได้มาตรฐานหรือเปล่า      ตารางแสดงผลทดสอบความจุของช้อนตวงยาพลาสติก ที่ปริมาตร 5 มิลลิลิตร ในยาน้ำสำหรับเด็ก      เครื่องหมายถูก = มี     เครื่องหมาย x = ไม่มี ผลทดสอบโดย ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามหมายเหตุ : * ทดสอบเฉพาะตัวอย่างที่มีจำหน่ายในร้านยา จังหวัดสมุทรสงคราม **  ตามเกณฑ์มาตรฐานช้อนตวงยาพลาสติกของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ มอก. 1411-2540 ***ผลทดสอบปริมาตรถ้วยตวงยา Dimetapp ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เนื่องจากตัวอย่างถ้วยยาพลาสติกของตัวอย่าง lot การผลิตเดียวกัน มีความจุแตกต่างกันมาก มีทั้งผ่านมาตรฐาน และไม่ผ่านมาตรฐาน   สรุปผลทดสอบ - ตัวอย่างช้อนตวงยาพลาสติกที่นำมาทดสอบ มี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ รูปแบบช้อน และรูปแบบถ้วย ซึ่ง ช้อนยาตวงพลาสติกในรูปแบบถ้วยยานั้น ไม่เข้ามาตรฐานถ้วยตวงยาพลาสติกของ มอก. เนื่องจากมีปริมาตรสุทธิ ไม่ถึง 30 มิลลิลิตร ในการทดสอบนี้จึงใช้เกณฑ์มาตรฐานความจุของช้อนตวงยาพลาสติกโดยไม่สนใจลักษณะทางกายภาพ (คำนิยามของช้อนตวงยาพลาสติกของ มอก. หมายถึง ช้อนพลาสติกมีด้ามจับ ใช้สำหรับตวงยาน้ำเพื่อรับประทาน) - ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของช้อนตวงยาพลาสติก  มอก. ที่ 1411-2540 ระบุ ให้ช้อนตวงยาพลาสติกขนาด 1 ช้อนชา มีความจุ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร (มิลลิลิตร หรือซี.ซี.) โดยมีความคลาดเคลื่อนได้ ± 0.25 ลูกบาศก์เซนติเมตร นั่นเท่ากับว่า ช้อนตวงยา 1 ช้อนชา มีความจุอยู่ระหว่าง 4.75 – 5.25 มิลลิลิตร - ช้อนตวงยาพลาสติกส่วนใหญ่ มีปริมาตรความจุ เกินกว่า 5 มิลลิลิตร ยกเว้น ช้อนตวงยาของยาที่มีช่วงการรักษาแคบ ที่มีปริมาตรความจุสุดท้ายน้อยกว่า 5 มิลลิลิตร - ตัวอย่างช้อนตวงยาพลาสติกที่ทำการทดสอบมีทั้งหมด 17 ตัวอย่าง แบ่งเป็นรูปแบบช้อนยา 12 ตัวอย่าง และรูปแบบถ้วยยาจำนวน 5 ตัวอย่าง โดยการทดสอบ ผู้ทดสอบจะไม่ทราบว่า ช้อนมีเลขรหัสการผลิตหรือไม่อย่างไร ผู้แปรผลสุดท้ายจะทราบรายละเอียดทั้งหมดของช้อน ซึ่งพบว่า ตัวอย่างในรูปแบบช้อนยา ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 3 ตัวอย่าง และตัวอย่างในรูปแบบถ้วยยาผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 2 ตัวอย่าง โดยในจำนวนตัวอย่างที่ผ่านมาตรฐานทั้งหมด มีเพียงตัวอย่างเดียวที่ไม่ระบุหมายเลขการผลิตของช้อนตวงยาพลาสติก (ช้อนตวงยาพลาสติกในผลิตภัณฑ์ BEE-COL ซึ่งเป็นตำรับยาบรรเทาหวัดสูตรผสมของ ห้างหุ่นส่วนจำกัด โบร์วู๊ด ฟาร์มาซูติคอล ส่วนตัวอย่างอื่นๆ ที่ผ่านมาตรฐาน ได้แก่ ช้อนตวงยาพลาสติกของผลิตภัณฑ์ PARACAP ของบริษัท ยูเมด้า จำกัด มีความจุ 5.13 มิลลิลิตร, DENAMOL 120 ของบริษัท ที.โอ. ฟาร์ม่า จำกัด มีความจุ 5.08 มิลลิลิตร, Tempra Kids ของ PT Taisho Pharmaceutical Indonesia Tbk. ผลิตให้กับ Taisho Pharmaceuticsl Co., Ltd. นำเข้าโดย DKSH (Thailand) Limited และ Calpol TM ของ SmithKline Beecham, Rizel, Philippines. นำเข้าโดย GlaxoSmithKline (Thailand) Limited. ที่มี Paracetamol 120 มิลลิกรัม เป็นส่วนประกอบ) - อย่างไรก็ตามมีตัวอย่าง ที่ไม่สามารถประเมินได้ว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจาก ช้อนตวงยาพลาสติกที่นำมาทดสอบ ที่เก็บตัวอย่างจากรุ่นการผลิตเดียวกัน มีความจุสุทธิที่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ (ตัวอย่างช้อนตวงยาพลาสติกในผลิตภัณฑ์ Dimetapp  ของบริษัทอินเตอร์ไทย ฟาร์มาซูติเคิ้ล แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นตำรับยาผสม ประกอบด้วย Brompheniramine Maleate 2mg และ Phenylephrine HCl 5 mg) - เป็นที่น่าสังเกต บริษัทผู้ผลิตยาส่วนใหญ่ ใช้ช้อนตวงยาพลาสติกเป็นของตนเอง โดยระบุชื่อผู้ผลิตหรือชื่อของผลิตภัณฑ์ไว้ที่ช้อนตวงยาพลาสติก อาทิเช่น บริเวณด้ามจับของช้อน พื้นที่ผิวด้านในของตัวช้อน ขอบบนของถ้วย และก้นถ้วย -BEE-COL มีส่วนผสมของยาแก้ปวด 2 ชนิด คือ N-Acetyl-p-aminophenol และ Salicylamide ซึ่งคือ Salicylic acid ที่มีคำสั่งกระทรวงที่ 193/2536 ให้ถอนออกจากตำรับ -ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) และ ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เป็นตัวยาที่นิยมผลิตเป็นยาน้ำลดไข้สำหรับเด็ก โดยมักจะต้องรับประทานยาทุก 4 – 6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรรับประทานยาติดต่อกันเกิน 5 วัน นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำว่าไม่ควรรับประทานยา 2 ชนิดนี้พร้อมกัน เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ----------------------------------------------------------------------------------------   ลักษณะทั่วไปของช้อนและถ้วยตวงยา -ช้อนหรือถ้วยตวงยาต้องเป็นสีขาว มีลักษณะโปร่งใสหรือโปร่งแสง-พื้นผิวต้องเรียบ-ขอบของช้อนหรือถ้วยต้องมีลักษณะโค้งมน ไม่มีมุมหรือส่วนที่เป็นคม-ช้อนหรือถ้วยตวงยาต้องสามารถตั้งวางได้โดยไม่ทำให้ยาหก-ที่ช้อนหรือถ้วยตวงยาควรมีอักษรหรือเครื่องหมายแจ้งปริมาณ เช่น “1” หรือ “1 ช้อนชา”   การรับประทานยาโดยใช้ช้อนหรือถ้วยตวงยานั้น มีความจำเป็นอย่างมากับยาชนิดที่เป็นน้ำ ซึ่งยาน้ำมักจะเป็นยาสำหรับเด็กเพราะรับประทานง่ายกว่ายาชนิดเม็ด แถมเดี๋ยวยาน้ำรักษาโรคต่างๆ ก็นิยมผลิตออกมาให้มีรสหวานเพื่อให้เด็กรับประทานได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเวลาที่เด็กต้องรับประทานยา เด็กไม่ได้เป็นคนที่ตัดสินใจเลือกซื้อหรือเลือกว่าจะรับประทานยาชนิดไหน แต่เป็นหน้าที่ของพ่อ – แม่ ผู้ปกครองที่จะต้องเป็นคนเลือกว่าจะให้ลูกรับประทานยาอะไร จะพาไปหาหมอหรือซื้อยามารับประทานเอง การให้เด็กรับประทานยาเป็นเรื่องที่ต้องให้ความระมัดระวัง เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่เองการรับประทานยาอย่างขาดความเข้าใจ ไม่ตรงกับโรค หรือรับประทานในปริมาณที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ซึ่งหากเป็นเด็กผลเสียก็จะยิ่งมากกว่า   สิ่งที่ควรรู้เรื่องการใช้ยาสำหรับเด็ก 1.ร่างกายของเด็กกับผู้ใหญ่มีความแตกต่างกัน ระบบการทำงานต่างๆ ยังด้อยกว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดูดซึมยาไปใช้หรือการการเผาผลาญหรือการขับยาส่วนเกินออกจากร่างกายยังทำได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ การกำหนดปริมาณสำหรับเด็กจึงมีความสำคัญมาก 2.ก่อนที่จะให้เด็กรับประทานยาใดๆ ต้องอ่านฉลากยา ศึกษาข้อควรระวังหรือคำเตือน ปริมาณยาที่เหมาะสมสำหรับเด็กในแต่ละวัย รวมถึงอาการผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นพร้อมวิธีรักษาหรือแก้ไข 3.การให้เด็กรับประทานยาควรใช้อุปกรณ์ตวงยาที่มาพร้อมกับยา หรือเป็นอุปกรณ์สำหรับตวงยาโดยเฉพาะ ควรหลีกเลี่ยงช้อนทานข้าวหรือช้อนชงกาแฟที่ใช้อยู่ เพราะอาจทำให้ปริมาณยาคลาดเคลื่อนได้ 4.ไม่ควรใส่ยาลงในขวดนมหรือใส่ไปพร้อมกับอาหารที่เด็กรับประทานเป็นประจำ เพราะอาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่อยากรับประทานอาหารเหล่านั้นอีก ถ้าอยากให้ยามีรสหวานเพื่อให้เด็กรับประทานได้ง่ายขึ้น สามารถเติมน้ำเชื่อมเพิ่มลงไปได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 128 ถอนทะเบียนยา...ความปลอดภัยที่ยังมีช่องโหว่

  เพราะร่างกายของคนเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการดูแลรักษา ยิ่งในเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยตัวช่วยสำคัญที่จะมาทำหน้าที่รักษาบรรเทาโรคภัยต่างๆ คงหนีไม่พ้น "ยา" 1 ในปัจจัย 4 ที่แม้หลายๆ คนจะแอบภาวนาว่าถ้าเป็นไปได้ในชีวิตนี้ก็ไม่อยากพึ่งพาหรือฝากความหวังไว้กับการกินยา เพราะว่าไม่อยากป่วย แต่ในยามที่โรคภัยไข้เจ็บถามหา ยาก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีเพราะคงไม่มีใครอยากจะต้องทนอยู่กับอาการเจ็บป่วยเป็นเวลานานๆ   เมื่อยารักษาโรค อาจกลายเป็นยาพิษ  แม้หน้าที่ของยา คือการบรรเทารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งนี่ก็คือหน้าที่ที่ถือเป็นคุณประโยชน์ของยา แต่ว่าบางครั้งการใช้ยาก็อาจกลายเป็นโทษได้เหมือนกัน ทั้งจากการใช้ยาไม่ถูกกับโรค การแพ้ยา การใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป การใช้ยาที่ไม่ได้คุณภาพหรือยาปลอม ซึ่งปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเรื่องของการใช้ยาเป็นเรื่องที่พูดได้เลยว่าเกี่ยวโยงกับความเป็นความตาย ยาดีก็ช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัยต่างๆ แต่ถ้ายาไม่ดีหรือใช้ยาผิดวิธี ก็อาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต   การจัดการยาก่อนถึงมือผู้บริโภค การควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัยของยา เป็นหน้าที่ที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. จะคอยดูตรวจสอบและให้ข้อมูลกับประชาชน ในเรื่องของยาที่อาจเป็นอันตราย ซึ่ง อย.เองก็มีหน้าที่ทั้งการพิจารณาตรวจสอบเพื่อออกใบอนุญาตในการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้า ยาชนิดต่างๆ ก่อนที่จะนำมาวางขายหรือใช้ในโรงพยาบาล คลินิก สถานพยาบาลต่างๆ รวมถึงตามร้านขายยาทั่วไป เพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคหรือผู้ป่วยที่ต้องใช้ตัวยานั้นๆ ในการรักษาโรค ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อ อย.มีอำนาจในการออกใบอนุญาตให้กับยาชนิดต่างๆ การเพิกถอนทะเบียนยาที่เห็นว่าเมื่อนำมาใช้แล้วอาจเป็นอันตรายก็เป็นหน้าที่ของ อย. ซึ่ง อย. จะพิจารณาทบทวนเพื่อทำการเพิกถอนทะเบียนยานั้นๆ พร้อมไปกับการสร้างระบบมาตรฐานยาคุณภาพให้เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งเมื่อ อย. ได้มีการสั่งเพิกยาถอนยาตัวใดก็ตาม อย.ก็จะประกาศรายชื่อยาเหล่านั้นเผยแพร่สู่สาธารณะ หน้าที่ของผู้บริโภคจึงต้องคอยติดตามข่าวสาร เป็นการสร้างข้อมูลเรื่องยาให้กับตัวเอง   การเพิกถอนทะเบียนยา การเพิกถอนทะเบียนยา ถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นผู้ออกคำสั่งเพิกถอนทะเบียนตำรับยาที่เห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ หรือเป็นยาไม่มีคุณภาพไม่มีสรรพคุณตรงตามที่อ้าง หรือเมื่อใช้แล้วส่งผลร้ายกับร่างกายมากกว่าให้ผลในทางรักษาโรค หรือมีตัวยาใหม่ที่ให้ผลดีกว่า คณะกรรมการทบทวนตำรับยาแผนปัจจุบันสำหรับมนุษย์ สำนักคณะกรรมการอาหารและยา ก็จะนำตัวยาที่เห็นว่ามีปัญหาเข้าสู่การพิจารณาในการประชุม จากนั้นเมื่อที่ประชุมเห็นชอบให้มีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนยาตัวดังกล่าว ก็จะมีการออกเป็นคำสั่งกระทรวงให้รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเป็นคนลงนามรับรอง ก่อนจะนำไปประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เป็นอันครบถ้วนกระบวนความว่าตัวยานั้นๆ ได้กลายเป็นยาที่ถูกถอนทะเบียนออกจากระบบยาในประเทศ ห้ามขาย ห้ามผลิต ห้ามใช้ ใครฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย  แม้ขั้นตอนการถอนทะเบียนยาดูเหมือนจะมีไม่มาก แต่เมื่อมาดูถึงระยะเวลากว่าจะถึงในขั้นตอนสุดท้ายคือการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สามารถดำเนินเอาผิดทางกฎหมายได้นั้นต้องใช้เวลาพอสมควร ลองมาดูตัวอย่างระยะเวลาการดำเนินการในการถอนทะเบียนยาที่ผ่านมาว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่  ตัวอย่างข้อมูลแสดงระยะเวลาการถอนทะเบียนยา   ชื่อยาที่ถอนทะเบียน สาเหตุ คำสั่งเลขที่ วันที่ประชุมคณะกรรมการยา วันที่ประกาศเป็นคำสั่งกระทรวง วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระยะเวลาตั้งแต่ประชุมถึงวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยาสูตรผสมของยามีแธนดีโนน (Methandienone) กับ ยาไซโปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine) สูตรยาไม่เหมาะสม เมื่อนำไปใช้ในเด็กอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ 736/2552 14 พฤษภาคม 2551 5 มิถุนายน 2552 31 สิงหาคม 2552 475 วัน ยาคาริโซโพรดอล (Carisoprodol) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง สงบประสาทเป็นยานอนหลับและเสพติดได้ 547/2552 20 พฤศจิกายน 2551 23 เมษายน 2552 19 มิถุนายน 2552 212 วัน ยาผสมสูตรเมโธคาร์บามอล (Methocarbamol) และอินโดเมธาซิน (Indomethacin) ชนิดรับประทาน ไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้ยา 848/2552 11 กุมภาพันธ์ 2552 2 กรกฎาคม 2552 24 สิงหาคม 2552 195 วัน ยาคาสคารา ซากราดา (Cascara sagrada) เสี่ยงอันตรายจากสารที่เป็นส่วนประกอบ 859/2552 11 กุมภาพันธ์ 2552 2 กรกฎาคม 2552 19 มิถุนายน 2552 129 วัน *ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนรัฐมนตรีลงนาม ยาคลอร์ซ็อกซาโซน (Chlorzoxazone) ไม่มีประสิทธิผลในการคลายกล้ามเนื้อตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นพิษต่อตับ 1115/2552 8 เมษายน 2552 20 สิงหาคม 2552 26 มีนาคม 2553 353 วัน ยาฟีโนเวอรีน (Fenoverine) ตัวยาทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ร้ายแรง คือ เซลล์กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อเกร็ง (rhabdomyolysis) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 1421/2552 12 มิถุนายน 2552 30 กันยายน 2552 21 กรกฎาคม 2553 405 วัน ยาฟีนอล์ฟธาลีน (Phenolphthalein) และแซนโตนิน (Santonin) | อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ยา โดยฟีนอล์ฟธาลีน เป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง จึงอาจทำให้เกิดมะเร็งในคนจากการใช้ยาในระยะยาว ซึ่งเมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกขจัดออกอย่างช้า ๆ จึงเพิ่มความเสี่ยงจากการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปฏิกิริยาที่ผิวหนัง และระดับโปแตสเซียมต่ำ เป็นต้น แซนโตนิน มีฤทธิ์เพิ่มพิษต่อระบบประสาท (neurotoxic) และมีรายงานการเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงแม้ใช้ในขนาดต่ำ 985/2553 12 มิถุนายน 2552 20 พฤษภาคม 2553 23 มิถุนายน 2553 377 วัน ฟีนอล์ฟธาลีน (Phenolphthalein) เป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง จึงอาจทำให้เกิดมะเร็งในคนจากการใช้ยาในระยะยาว และร่างกายของคนจะขจัดยาออกอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา 1923/2553 12 มิถุนายน 2552 19 ตุลาคม 2553 30 พฤศจิกายน 2553 537 วัน ยาโรซิกลิทาโซน (Rosiglitazone) อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด 447/2554 22 ธันวาคม 2553 4 เมษายน 2554 18 พฤษภาคม 2554 148 วัน อีนาลาพริล มาลีเอท (Enalapril maleate) ยา Paril 5 เลขทะเบียน 1C 173/51 และยา Paril 20 เลขทะเบียน 1C 174/51 มีปริมาณตัวยาสำคัญ คือ อีนาลาพริล มาลีเอท (Enalapril maleate) ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เกินกว่าร้อยละยี่สิบ เข้าข่ายเป็นยาปลอม 462/2554 22 ธันวาคม 2553 4 เมษายน 2554 8 มิถุนายน 2554 169 วัน ยาน้ำตราบีเวลล์ ตรวจพบตัวยาวาร์เดนาฟิล (Vardenafil) ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันที่เป็นยาควบคุมพิเศษผสมอยู่ ยาดังกล่าวจึงไม่ใช่ยาแผนโบราณตามตำรับยาที่ขึ้นทะเบียนไว้และเป็นยาที่ไม่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้ เข้าข่ายเป็นยาปลอม 506/2554 23 กันยายน 2553 12 เมษายน 2554 8 มิถุนายน 2554 259 วัน     ซึ่งหลังจากมีการลงนามโดยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบว่าควรเพิกถอนตัวยาดังกล่าว จะมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ผลิตหรือนำเข้ายาที่เห็นว่าจะเป็นอันตรายตัวดังกล่าว ต้องหยุดการผลิตและเก็บสินค้าที่ได้ส่งไปวางขายตามร้านหรือสถานพยาบาลต่างๆ ให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพราะเมื่อถึงในขั้นตอนนี้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหากพบว่ายังมีการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งอยู่ แต่หลังจากประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้วผู้ผลิตยาที่ถูกคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนก็ยังสามารถยื่นคำโต้แย้งไปยังศาลปกครองได้อีกภายใน 90 วัน ซึ่งช่วงระยะเวลาหลังจากคณะกรรมการยาพิจารณาเห็นชอบให้มีการถอนทะเบียนยาที่เห็นว่าอาจจะเป็นอันตราย ไปจนถึงการรอให้รัฐมนตรีฯ ลงนามรับรอง เพื่อแจ้งให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ายานั้นๆ ดำเนินการตามคำสั่งของกระทรวงนั้น เป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีความเสี่ยงอันตรายจากการใช้ยาตัวที่เป็นปัญหา เพราะยาดังกล่าวยังคงมีอยู่ในท้องตลาด หากผู้ใช้ยาไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร ขาดความรู้เรื่องข้อมูลยา ก็อาจหลงใช้ยาดังกล่าวจนเกิดอันตราย แม้แต่แพทย์ เภสัชกร ที่ไม่ทราบข้อมูลหรือนิ่งนอนใจรอการประกาศอย่างเป็นทางการหรือรอการดำเนินการจากผู้ผลิตยา ก็อาจสั่งจ่ายยาดังกล่าวให้กับผู้ป่วย   การเพิกถอนทะเบียนตำรับยานั้น เป็นไปในลักษณะที่ตรวจสอบทบทวนตำรับยาทั้งยาใหม่ที่รอการขึ้นทะเบียน และยาเก่าที่เคยได้รับการขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ซึ่งการทบทวนทะเบียนยานั้นต้องทำในลักษณะต่อเนื่อง โดยต้องมีการตรวจสอบเป็นระยะ ประเมินดูสถานการณ์การใช้ยาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งหมดก็เพื่อการใช้ยามีความปลอดภัยมากที่สุด   ------------------------------------------------------------------------------------------ การถอนทะเบียนยาโดยภาคประชาชน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ชมรมเภสัชชนบท ร่วมกับกลุ่มศึกษาปัญหายา กลุ่มเภสัชกรภาคกลาง มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เพิกถอนทะเบียนตำรับยา 4 รายการ คือ 1.ยาแอสไพรินชนิดผง 75-375 มก. 2.ยาแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ยาขับปัสสาวะที่มี Methylene blue เป็นส่วนประกอบ 3.ยาแก้ท้องเสียที่มี Furazolidone และ/หรือมียาปฏิชีวานะเป็นส่วนประกอบ และ 4.ยา Amoxycillin powder 125 มก.ชนิดซอง เพราะเห็นว่าเป็นยาที่มีความไม่เหมาะสม อาจเป็นอันตรายกับผู้ใช้ แต่ยังพบเห็นยาดังกล่าวมีจำหน่ายทั้งในร้านยาและร้านขายของชำเป็นจำนวนมาก ------------------------------------------------------------------------------------------   สามารถตรวจสอบรายชื่อตำรับยาที่ถูกเพิกทอนทะเบียนทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ของ อย. http://wwwapp1.fda.moph.go.th/drug/zone_law/law010.asp ------------------------------------------------------------------------------------------ ขณะนี้มียาที่รอการทบทวนอยู่ทั้งหมดถึง 50 รายการ จากการประชุมของคณะอนุกรรมการทบทวนตำรับยาแผนปัจจุบันสำหรับมนุษย์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2554 ซึ่งทาง อย. ตั้งใจให้มีการทบทวนยาทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในปี 2556 (หนึ่งในนั้นมียาที่มีส่วนผสมของ Methylene blue ที่ภาคประชาชนเสนอให้มีการทบทวนรวมอยู่ด้วย) ------------------------------------------------------------------------------------------   การรู้และเข้าถึงข้อมูลยา...ปัญหาใหญ่ของผู้บริโภค  เป็นเรื่องที่น่าเสียดายและน่าตกใจ ที่คนไทยเรายังเข้าถึงข้อมูลของยาต่างๆ ในระดับที่น้อยถึงน้อยมาก นั่นเป็นเพราะคนไทยเราค่อนข้างให้ความเชื่อถือในตัวสถานพยาบาล ตัวบุคลากร ซึ่งก็คือแพทย์ และเภสัชกร ว่าสามารถรักษาและดูแลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยได้เป็นอย่างดี ทำให้หลายคนมองข้ามที่จะศึกษาข้อมูลยาต่างๆ ที่ใช้อยู่หรือได้เวลาไปพบแพทย์ ซึ่งหากใช้แล้วอาการดีขึ้นหรือรักษาโรคให้หายได้ก็คงไม่มีปัญหา แต่หากเกิดผลในทางตรงกันข้าม คือกินยาแล้วกลับเจ็บป่วยมากกว่าเดิม ได้โรคเพิ่มขึ้น หรือรุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งก็สายไปแล้วที่จะแก้ไข การรู้จักหรือเข้าถึงข้อมูลของยาที่ใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คำถามที่ตามมาคือแล้วผู้บริโภคธรรมดาๆ จะเข้าถึงข้อมูลยาได้ด้วยวิธีไหน ข้อมูลยาพื้นฐานที่เราทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดก็คือ ข้อมูลบนฉลากยาและเอกสารกำกับยา ซึ่งต้องมีมาพร้อมกับยาที่เราซื้อมาใช้ หากไม่มีข้อมูลบนฉลากหรือเอกสารกำกับยาแนบมาให้ ก็ควรหลีกเลี่ยงอย่าซื้อมาใช้ ถ้าเป็นยาที่เราได้รับจากแพทย์ที่เราไปรับการรักษาตามสถานพยาบาลต่างๆ ที่มักจะจัดยามาเป็นชุด บรรจุอยู่ในซองยา ไม่ได้มีฉลากหรือเอกสารใดๆ แนบมา ผู้ที่รับยาก็ต้องสอบถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับผลของยา วิธีการใช้ยา ให้เข้าใจครบถ้วน เพื่อประโยชน์ของตัวเอง  แม้อาจจะมีอุปสรรคเรื่องภาษา ด้วยว่ายาที่เราใช้กันอยู่เป็นยาฝรั่ง นำเข้าหรือมีการผลิตคิดค้นในต่างประเทศ ชื่อสามัญทางยาชื่อจึงเป็นภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ แถมยังเป็นคำศัพท์เฉพาะทาง อ่านยาก จดจำยาก แต่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคอย่างเราที่อาจต้องใช้ความพยายามสักหน่อยในการทำความเข้าใจ ก็เพื่อความความปลอดภัยในการใช้ยาของตัวเราเอง  การเข้าถึงข้อมูลยาจึงมีประโยชน์ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย เป็นข้อมูลสำคัญในการรักษาโรค โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเรารู้ชื่อสามัญทางยา ไม่ยึดติดอยู่กับชื่อทางการค้าหรือชื่อยี่ห้อ ก็อาจช่วยให้เราได้ใช้ยาในราคาที่ถูกลง  นอกจากปัญหาที่คนขาดความสนใจ และขาดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลยาแล้ว อีกหนึ่งปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลยาที่น่ากังวลไม่แพ้กันก็คือ การรับข้อมูลยาที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมที่ถูกเผยแพร่ผ่านทางสื่อต่างๆ ทั้ง ทีวี เคเบิ้ลท้องถิ่น วิทยุชุมชน และตามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการให้ข้อมูลเพื่อมุงหวังทางธุรกิจ คือเป็นการอวดอ้างสรรพคุณในทางรักษาโรคเกินจริง ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้บริโภคอย่างมาก แม้ส่วนมากจะเป็นในลักษณะของอาหารเสริมแต่อ้างผลในการรักษาโรค สร้างความสับสันให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก แถมผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็จะอ้างเรื่องการรับรองจาก อย. ทำให้ผู้บริโภควางใจหาซื้อมารับประทาน จนเกิดผลร้ายกับร่างกายอย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าวหรือที่เคยมีการบันทึกเอาไว้ เช่น กรณีของคุณยายวัยหกสิบกว่าคนหนึ่งที่ทานผลิตภัณฑ์กวาวเครือขาวและกวาวเครือแดงอัดแคปซูลที่สั่งซื้อมาหลังจากได้ยินประกาศโฆษณาทางวิทยุว่ากินแล้ว บำรุงสมอง บำรุงประสาท เสริมสมรรถภาพทางเพศ โดยกินนติดต่อกันมาเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ก็ปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดของคุณยายติดต่อกันถึง 14 วัน เมื่อมาหาหมอ พบว่าเกิดความผิดปกติที่ผนังมดลูก ต้องรักษาด้วยการขูดผนังมดลูก สาเหตุน่าจะมาจากการได้รับสาร Phytoestrogen ที่อยู่ในกวาวเครือมากเกินไป โดยตัวคุณยายแกก็บอกว่าเห็นผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผ่าน อย. แล้ว ไม่น่าจะมีอันตราย  ซึ่งนี้ก็เป็นเพราะผู้บริโภคขาดความรู้ในเรื่องข้อมูลยา ไม่รู้ถึงสารที่อยู่ในตัวยา ไม่รู้สรรพคุณที่แท้จริง ไม่รู้ว่าตัวยาดังกล่าวมีความจำเป็นต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน แถมยังถูกป้อนข้อมูลที่ผิดๆ ฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรีบพัฒนาระบบและวิธีการที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงและตระหนักในการรับรู้ข้อมูลยาให้มากขึ้น รวมถึงการเฝ้าระวังการโฆษณาที่มีผลต่อการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องหรือมุ่งหวังแต่ผลทางการค้าเพียงอย่างเดียว ด้านผู้บริโภคเองก็ต้องสร้างทัศนคติเรื่องการใหม่ในการใช้ต้องให้ความสำคัญมากขึ้น ใช้ยาอย่างระมัดระวัง ให้คิดเสมอว่าการใช้ยาก็อาจให้โทษได้เช่นกัน และโทษของการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องหรือผิดวิธีนั่นร้ายแรงมาก ซึ่งคนที่รับผลนั่นก็คือสุขภาพร่างกายของเราเอง  ใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัย  1.รู้จักยาที่จะใช้ ไม่ว่ายานั้นจะได้มาจากการจ่ายยาของแพทย์ หรือผู้ป่วยหาซื้อเองจากร้านขายยา สำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ใช้ยาต้องศึกษายาที่จะใช้ให้ดีว่ามีความปลอดภัย เหมาะสม ถูกต้องตรงตามอาการป่วยที่เราต้องการรักษา  ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับยาที่ควรรู้ ก็คือ  -ชื่อสามัญทางยา การรู้จักชื่อสามัญทางยามีประโยชน์ เพราะเราจะสามารถทราบได้ว่ายาที่เราใช้ คือยาอะไร ตัวเรามีประวัติการแพ้ยาตัวนี้หรือไม่ หรือหากกำลังใช้ยาตัวนี้อยู่แล้วจะได้แจ้งกับแพทย์ที่จ่ายยาป้องกันการใช้ยาซ้ำซ้อน ซึ่งปกติยาที่ได้รับการรับรองอย่างถูกกฎหมายจะต้องมีการแจ้งชื่อสามัญทางยาไว้ในเอกสารกำกับยา หรือถ้าเป็นยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรก็ต้องมีการเขียนแจ้งไว้ที่หน้าซองที่ใช้บรรจุยา  -เมื่อรู้จักชื่อสามัญทางยาแล้ว ก็ต้องรู้จักชื่อทางการค้าด้วย เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญหากพบว่าใช้ยาตัวดังกล่าวแล้วเกิดอันตราย -ลักษณะทางกายภาพของยา ทั้ง สี กลิ่น รูปร่าง เพราะหากวันหนึ่ง ยาตัวดังกล่าวเกิดมีลักษณะทางกายภาพผิดแปลก เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้หยุดใช้ยาตัวดังกล่าว เพราะการที่ยาเปลี่ยนแปลงลักษณะอาจเป็นสัญญาณบอกว่าชนิดนี้อาจเป็นอันตรายได้  -ข้อกำหนดในการใช้ยา ขนาดและวิธีใช้ ว่าต้องรับประทานในปริมาณเท่าไหร่ ทานเมื่อไหร่ อย่างไร และยาที่ทานอยู่สามารถทานได้นานแค่ไหน ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลาเท่าไหร่  -ต้องรู้ว่าในสถานการณ์ใดที่ควรหยุดใช้ยา เช่น ใช้ยาแล้วแสดงอาการไม่พึงประสงค์ หรือเกิดอาการแพ้ยา ซึ่งควรแจ้งลักษณะอาการด้วย เช่น ใจสั่น ปวดท้อง ฯลฯ  -คำเตือนและข้อห้ามในการใช้ยา  -ผลข้างเคียงของการใช้  -วิธีการเก็บรักษายา 2.อ่านฉลากและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  ทำความเข้าใจยาที่จะใช้อย่างถูกต้องครบถ้วน หากอ่านฉลากหรือเอกสารกำกับยาแล้วยงมีส่วนที่สงสัยให้ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือสอบถามไปที่ อย.  3.ต้องให้ข้อมูลกับแพทย์ เภสัชกร หรือคนที่มีหน้าที่จ่ายยาให้กับเราให้มากที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประวัติการแพ้ยา ข้อกำจัดในการใช้ยา เช่น รับประทานยาแคปซูลไม่ได้ หรือปกติต้องทำงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูงต้องหลีกเลี่ยงยาที่รับประทานแล้วทำให้เกิดอาการง่วงนอน รวมทั้งหากในตอนนั้นมีการใช้ยาตัวอื่นหรือรับประทานอาหารเสริมอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วยก็ต้องแจ้งให้กับผู้ที่จ่ายยาทราบ ที่สำคัญคือคือตัวเราเองมีข้อสงสัยในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ยาต้องสอบถามให้เข้าใจก่อนใช้ยา  4.สอบถามถึงสาเหตุที่จะทำให้ปฏิกิริยาจากการใช้ยา  ต้องสอบถามกับแพทย์ เภสัชกร หรือคนที่มีหน้าที่จ่ายยาให้กับเรา ว่ายาที่เรารับประทานนั้นจะมีปฏิกิริยากับอาหาร อาหารเสริม หรือยาตัวอื่นๆ ที่เรารับประทานอยู่หรือไม่ อย่างไร แล้วหากทำปฏิกิริยากันจะแสดงอาการอย่างไร มีผลเสียหรือไม่ ต้องหยุดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่รับประทานอยู่หรือไม่  5.ต้องคอยสังเกตดูผลจากการใช้ยาและอาการข้างเคียง  หากเกิดอาการใดๆ ที่รู้สึกผิดปกติระหว่างใช้ยา ต้องปรึกษาแพทย์ทันที และควรมีข้อมูลการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา  ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ข้อมูลประกอบบทความ : ยาวิพากษ์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน 2553, แผนงานสร้างกลไกลเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยาวิพากษ์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 9 เมษายน 2554, แผนงานสร้างกลไกลเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสิทธิผู้บริโภคเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา, ผศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ การใช้ยาอย่างปลอดภัย, กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาร่างพระราชบัญญัติยา พ.ศ.... (ฉบับประชาชน), มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา และคณะศูนย์ข้อมูลยาปลอมและยาลักลอบนำเข้า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาhttp://wwwapp1.fda.moph.go.th/counterfeit/public/index.aspxสำนักยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาhttp://wwwapp1.fda.moph.go.th/drug/zone_law/law010.asp  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 122 ใครคือแชมป์ ซักสะอาดหมดจด

  ถ้า “แฟ้บ” เป็นชื่อสามัญของ “ผงซักฟอก” ในเมืองไทย ก็ต้องนับว่าเขายังรักษาคุณภาพในการผลิตได้ดีมาจนถึงวันนี้ ฉลาดซื้อได้รับคำแนะนำจากผู้อ่านให้ทดสอบเรื่องผงซักฟอกมาก็นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ฤกษ์เสียที จนเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภคขันอาสามาเป็นคณะทำงานทดสอบเรื่องประสิทธิภาพของผงซักฟอกให้ ผลก็คือ ข้อมูลที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้บริโภคทุกท่าน ที่หลายครั้งก็ให้งุนงงสงสัยในเรื่อง ประสิทธิภาพของผงซักฟอก ที่แสนจะหลากหลายสูตรหลายยี่ห้อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็โฆษณากันได้น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ   ฉลาดซื้อและเครือข่ายนักวิชาการฯ แบ่งผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกเป็นสองประเภทคือ ซักมือกับซักเครื่อง ฉบับนี้ขอนำเสนอเฉพาะ สูตรสำหรับซักด้วยมือก่อน เพราะมีหลายยี่ห้อมากและเป็นผลิตภัณฑ์ที่วางขายกันแพร่หลายกว่าชนิดซักเครื่อง จำนวนตัวอย่างที่นำมาทดสอบมีทั้งสิ้น 20 ตัวอย่าง สรุปผลได้ดังนี้  เยี่ยมทั้งซักและดีต่อสิ่งแวดล้อม1. แฟ้บ เพอร์เฟค2. บิ๊กซี แมคคัลเลอร์ ไบร์ท3. แฟ้บ คัลเลอร์4. บิ๊กซี แมคออกซี่ ไวท์ตี้5. โอโม คริสตัลบีตส์ ซักสะอาด ราคาไม่แพง 1.บิ๊กซี แมคออกซี่ ไวท์ตี้ (1.35 บาท/การใช้ 1 ครั้ง)2.บิ๊กซี แมคคัลเลอร์ ไบร์ท (1.50 บาท/การใช้ 1 ครั้ง)3.บัว (1.46 บาท/การใช้ 1 ครั้ง) --------------------------------------------------------------------- เกณฑ์การทดสอบ 1.ประสิทธิภาพในการซัก1.1 ทดสอบการแตกตัวของผงซักฟอก ถ้าผงซักฟอกมีการแตกตัวดีแสดงว่าผงซักฟอกมีสารกระตุ้นที่ทำให้ละลายในน้ำได้ดีแสดงว่ามีประสิทธิภาพที่ช่วยในการทำความสะอาดในซอกซอนอณูผ้าที่เล็กได้อย่างล้ำลึก 1.2 ทดสอบระดับแป้งที่ผสมในผงซักฟอก เนื่องจากมักมีการบอกเล่าต่อๆ กันว่า ผงซักฟอกมีการนำแป้งมาผสมเป็นการเพิ่มน้ำหนัก (เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า การทดสอบครั้งนี้ไม่พบแป้งปนอยู่ในผงซักฟอกยี่ห้อใดเลย) 1.3 ทดสอบประสิทธิภาพการทำความสะอาดได้ โดยการแช่เพียงอย่างเดียว(30 นาที) 1.4 ทดสอบความสามารถในการซักฟอก เมื่อแช่ผ้าไว้ 15 นาทีและขยี้   2.ทดสอบการรักษาสภาพเนื้อสีของผ้า 2.1 ทดสอบความคงสภาพสีเดิม เปรียบเทียบผ้าชิ้นที่ซัก(10 ครั้ง) กับผ้าที่ไม่ซัก ด้วยเครื่องวัดค่าสี ถ้าสีผ้าชิ้นที่1  กับผ้าชิ้นที่ 2 คงสภาพสีเท่ากันหรือแตกต่างเพียงเล็กน้อยแสดงว่าผงซักฟอกมีคุณสมบัติในการรักษาสภาพของสีของเนื้อผ้าได้ดี 2.2 ทดสอบความคงสภาพความขาวของเนื้อผ้า เปรียบเทียบผ้าชิ้นที่ซัก(10 ครั้ง) กับผ้าที่ไม่ซัก ด้วยเครื่องวัดค่าสี ถ้าสีผ้าชิ้นที่1  กับผ้าชิ้นที่ 2 คงสภาพความขาวเท่ากันหรือแตกต่างเพียงเล็กน้อยแสดงว่าผงซักฟอกมีคุณสมบัติในการรักษาสภาพความขาวของเนื้อผ้าได้ดี   3.ผลกระทบต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม 3.1 ทดสอบค่าความเป็น กรด-เบสโดยการวัดจากค่า pH 3.2 ทดสอบฟอสเฟต    ฟอสเฟตจากผงซักฟอกเมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ จะทำให้พืชน้ำเจริญเติบโต รวดเร็ว ทำให้ กีดขวางทางคมนาคมทางน้ำ ทำลายทัศนียภาพ ทำให้ออกซิเจนละลายน้ำไม่ได้ สิ่งมีชีวิตขาดออกซิเจนตายได้ และพืชน้ำเกิดมากอาจจะตายเน่า ทำให้น้ำเสีย ซึ่งข้อกำหนดปริมาณค่าฟอสฟอรัสรวมไม่เกิน  2 มิลลิกรัมฟอสฟอรัสต่อลิตร ก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำชุมชน (ข้อมูลจากมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน)   4.ข้อมูลทั่วไปบนฉลาก เกณฑ์ที่ใช้คือ คำอธิบายเรื่องวิธีการใช้ เข้าใจง่ายหรือไม่ การระบุปริมาณ การแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน การแสดงวันเดือนปีที่ผลิต แหล่งผลิต ส่วนประกอบ คำเตือน”ห้ามรับประทาน” รวมทั้งความชัดเจนของผลิตภัณฑ์ในเรื่องอื่นๆ ---------------------------------------------------------------------  กำเนิดผงซักฟอก สมัยโบราณ การซักผ้าก็ใช้วิธีการทุบด้วยไม้ ขยี้ด้วยมือหรือเหยียบด้วยเท้า เพื่อลดแรงตึงผิวของน้ำให้แทรกเข้าไปทำความสะอาดในใยผ้าได้ ต่อมามีสบู่ใช้ ก็ช่วยทำให้การซักผ้าง่ายขึ้นเพราะสบู่ช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำได้ การซักผ้าก็ง่ายขึ้น ออกแรงน้อยลง แต่พอเข้ายุคสงครามโลกครั้งที่ 1 สบู่ขาดแคลนเนื่องจากหาไขมันสัตว์ไม่ได้ จึงมีการผลิตผงซักฟอกออกมาใช้แทนสบู่ พอหมดสงครามก็เลิกไป แต่มาได้รับความนิยมจริงจังอีกครั้งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยาวมาจนถึงปัจจุบัน  ผงซักฟอกมีคุณสมบัติชะล้างเช่นเดียวกับสบู่ โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ สารลดแรงตึงผิว เป็นสารทำให้วัสดุเปียกน้ำได้ง่าย ทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกมาเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วสารจะล้อมรอบสิ่งสกปรกเล็กๆ เอาไว้ในสารลดความตึงผิว ฟอสเฟต สารนี้ช่วยรักษาสภาพน้ำให้เป็นเบส ช่วยกระจายน้ำมัน สิ่งสกปรกออกเป็นอนุภาคเล็กๆ จนสามารถแขวนลอยได้ในน้ำ สารเพิ่มความสดใส(optical brightening agents) ช่วยดูดแสงอุลตร้าไวโอเลตไว้ ทำให้เกิดการเรืองแสงสะท้อนเข้าตา ผ้าดูขาวสะอาด สารเพิ่มฟอง(suds booster) เป็นสารที่จะทำให้เกิดฟองกับน้ำได้ดีสำหรับผงซักฟอกซักด้วยมือเนื่องจากการแข่งขันในตลาดผงซักฟอกที่สูงขึ้น ผู้ผลิตผงซักฟอกจึงจำเป็นต้องเพิ่มส่วนประกอบอื่นๆ เข้ามา เพื่อเป็นจุดขาย แต่สารเหล่านี้มีอยู่ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ได้แก่ สารกันหมอง แอนติออกซิแดนต์ เอนไซม์ น้ำหอม สี สารกันการจับตัวเป็นก้อน สารช่วยขับสิ่งสกปรก สารต้านจุลินทรีย์ สารละมุน สารคงสภาพการเก็บรักษา สารช่วยให้ผ้านุ่ม สารกันไฟฟ้าสถิตย์ สารกันการกัดกร่อนและสารอื่นๆ   ฉลาดซื้อ1. ตอนนี้มีโฆษณาผงซักฟอกกำจัดแบคทีเรียได้ ซึ่งดูแล้วทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกินจริงไปมาก จริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็นเลย เนื่องจากผงซักฟอกมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ อยู่แล้วจึงสามารถฆ่าแบคทีเรียได้  2. เมื่อพิจารณาจากผลการทดสอบแล้วจะพบว่า ประสิทธิภาพการซักใกล้เคียงกันมาก สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาเพิ่มคือ เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและราคาที่ประหยัด  ทำไมจึงเรียกผงซักฟอกว่า “แฟ้บ”หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกเรานี้ก็ให้ความนิยมแก่ผงซักฟอกอย่างมาก และเมืองไทยเราก็มีผงซักฟอกยี่ห้อแรกเข้ามา ชื่อว่า “แฟ้บ” โดย บริษัทหลุยส์ทีเลียวโนเวนส์ จำกัด ปรากฏว่าเป็นที่นิยมของประชาชนโดยทั่วไป เพราะสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกได้ดีกว่าสบู่และสะดวกในการใช้มากกว่า คนไทยจึงพากันเรียกผงซักฟอกว่า “แฟ้บ” จนในปี พ.ศ. 2500 บริษัท คอลเกตปาล์มโอลีฟ จำกัด จึงได้ตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายผงซักฟอกยี่ห้อ “แฟ้บ” ในประเทศไทยขึ้น และต่อมาได้มีผู้ผลิตผงซักฟอกเกิดขึ้นอีกหลายบริษัท  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 115 สารรบกวนฮอร์โมนในเครื่องสำอาง

สมาชิกฉลาดซื้ออาจเคยได้ยินเรื่องของการเกิดมะเร็งเต้านมที่คาดว่าอาจมีสาเหตุมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายซึ่งมีสารพาราเบนส์เป็นส่วนประกอบกันมาบ้าง แม้จะยังไม่มีผลวิจัยที่ชี้ชัดลงไปได้ว่าพาราเบนส์ ซึ่งเป็นสารที่นิยมใช้เป็นสารกันหืนในเครื่องสำอางมากที่สุดนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์หรือไม่ หลายๆ ประเทศก็เริ่มให้ความสนใจและเฝ้าระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เช่น สหรัฐกำลังให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ครีมกันแดด เครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก  ในขณะที่กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเน้นที่ยาสีฟัน แชมพู สบู่ และครีมบำรุงผิว  อังกฤษนั้นให้ความสำคัญกับเครื่องสำอาง ในขณะที่เกาหลีเน้นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและเครื่องสำอางสำหรับดวงตาเป็นพิเศษ Consumers Korea หรือ สคบ. ของประเทศเกาหลีจึงถือโอกาสนี้เป็นเจ้าภาพในการสำรวจว่ามีการใช้สารพาราเบนส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสารรบกวนฮอร์โมน (Endocrine Disruptors หรือ EDCs) เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่เราใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายเพียงใด ว่าแล้วก็ชักชวนองค์กรผู้บริโภคในอีก 12 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ศรีลังกา  อินเดีย บังคลาเทศ มองโกเลีย จีน อาร์เมเนีย ฟิจิ และออสเตรเลีย รวมเป็น 13 ประเทศร่วมการสำรวจครั้งนี้ แต่ละประเทศจะทำการเก็บตัวอย่างและบันทึกข้อมูลจากฉลากผลิตภัณฑ์ ในระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ปี 2552 พร้อมไปกับการทำสำรวจพฤติกรรมการใช้เครื่องสำอาง รวมถึงความเห็นของของสาวๆ ในแต่ละประเทศด้วย ในการสำรวจครั้งนี้แต่ละประเทศจะเก็บตัวอย่างเครื่องสำอางยี่ห้อหลักๆ ไม่ต่ำกว่า 5 ยี่ห้อ รวมๆ แล้วจึงมีเครื่องสำอางในการสำรวจครั้งนี้ทั้งหมด 314 ชิ้น  แต่ทั้งนี้มีเพียง 259 ชิ้นเท่านั้นที่มีการระบุส่วนผสมบนฉลาก การสำรวจส่วนผสมที่เป็นพาราเบนส์ จึงเป็นการทำกับ 259 ชิ้นนี้เท่านั้น   ผลสำรวจจาก 13 ประเทศ • ร้อยละ 73 ของตัวอย่างเครื่องสำอางจาก 13 ประเทศนั้นมีพาราเบนส์เป็นส่วนผสม • จากฉลากของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 259 ชนิด นั้นเราพบว่ามีส่วนผสมทั้งหมด 626 ชนิด โดยส่วนผสมยอดฮิตที่พบบ่อยที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. Talc2. Mica3. Propylparaben4. Ethylparaben5. Dimethicone • บลัชออนคือผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้พาราเบนส์มากที่สุด  ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้พาราเบนส์น้อยที่สุดได้แก่ลิปกลอส • เกาหลีเป็นประเทศที่มีเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของพาราเบนส์มากที่สุด (ร้อยละ 95 ของตัวอย่าง) รองลงมาได้แก่ ฟิจิ (ร้อยละ 84.5 ของตัวอย่าง) และไทย (ร้อยละ 70.5 ของตัวอย่าง) • ทั้งเครื่องสำอางราคาถูกและราคาแพง ต่างก็มีพาราเบนส์เป็นส่วนผสมเช่นเดียวกัน • เครื่องสำอางส่วนใหญ่ไม่มีการระบุอายุที่เหมาะสมแก่การเริ่มใช้ ยกเว้นศรีลังกา ที่ร้อยละ 40 ของเครื่องสำอางมีการระบุอายุของผู้ใช้ไว้ด้วย • การแจ้งผลข้างเคียงบนฉลาก พบมากที่สุดในเครื่องสำอางจากเกาหลี (ร้อยละ 75) รองลงมาได้แก่ศรีลังกา (ร้อยละ 70) ตามด้วยออสเตรเลียและจีน (ร้อยละ 40) • คำเตือนเรื่องอาการแพ้ พบมากที่สุดในเครื่องสำอางของศรีลังกา (ร้อยละ 80) รองลงมาคือออสเตรเลีย (ร้อยละ 60)   พฤติกรรมการใช้เครื่องสำอาง จากการสำรวจความเห็นของผู้บริโภค จำนวนทั้งหมด 1,645 คน ใน 13 ประเทศ เราพบว่า • คนส่วนใหญ่เริ่มใช้เครื่องสำอางเมื่ออายุ 20 ขึ้นไป ยกเว้น บังคลาเทศ อาร์เมเนีย อินโดนีเซีย และมองโกเลีย ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงอายุ 17 – 19 โดยเฉพาะกว่าร้อยละ 70 ของสาวๆมองโกเลียเริ่มใช้ในช่วงอายุดังกล่าว • ลิปสติกคือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีการใช้สูงสุด รองลงมาคือแป้ง • สำหรับประเทศไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้กันมากที่สุดคือ แป้งทาหน้า ตามด้วยลิปกลอส และลิปสติก • ร้อยละ 40 ของผู้บริโภคใช้แป้งฝุ่น/แป้งแข็งเกือบทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกือบร้อยละ 80 ของสาวไทยก็ตอบว่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแทบทุกวัน รองจากไทยได้แก่อินโดนีเซียและมาเลเซีย • ประมาณร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ลิปสติกแทบทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกว่าร้อยละ 70 ของสาวๆ ฟิจิ • ผู้บริโภคที่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องสำอางมากที่สุดได้แก่ ผู้บริโภคในมองโกเลีย (ร้อยละ 93.5) สาวไทยก็ใช่ย่อย มีมากกว่าร้อยละ 50 ที่ตอบว่าเคยได้รับผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องสำอาง • สิ่งที่ผู้บริโภคเกินครึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการเกิดอาการแพ้ คือสารเคมีในเครื่องสำอาง เหตุผลรองลงมาได้แก่ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับสภาพผิว • สาวอินเดียทุกคนที่ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า สาเหตุของอาการแพ้มาจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์ ในขณะที่สาวไทย ร้อยละ 71 เชื่อเช่นนั้น ส่วนที่เหลือเชื่อว่าเป็นเพราะไม่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง • ร้อยละ 45 ของคนไทยที่ตอบ บอกว่าหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงด้วยการล้างหน้าให้สะอาด และสาวไทยเป็นกลุ่มที่ตอบว่าใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติสูงที่สุดเป็นอันดับสอง (ร้อยละ 30.3) รองจากอินเดีย (ร้อยละ 31.2)   ความรู้เรื่องพาราเบนส์• ร้อยละ 28 ของผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามทราบว่าในเครื่องสำอางมีพาราเบนส์เป็นส่วนประกอบ • ผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มที่รู้จักพาราเบนส์น้อยที่สุด ได้แก่ผู้บริโภคจากมองโกเลีย ไทย และอินเดีย (มีผู้รู้ว่ามีพาราเบนส์ในเครื่องสำอางเพียงร้อยละ 4.3  ร้อยละ 16 และร้อยละ 14.7 ตามลำดับ) • ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (ร้อยละ 85) ไม่ทราบว่าพาราเบนส์เป็นหนึ่งในสารรบกวนการทำงานของฮอร์โมน • สามประเทศที่มีการรับรู้ว่าพาราเบนส์เป็นสารรบกวนการทำงานของฮอร์โมนน้อยที่สุดได้แก่  เกาหลี มองโกเลีย และไทย (ร้อยละ 4.8 ร้อยละ 7.5 และร้อยละ 9 ตามลำดับ) • โดยรวมแล้ว ร้อยละ 57.3 ตอบว่าจะหยุดใช้ถ้าเครื่องสำอางดังกล่าวมีพาราเบนส์เป็นส่วนประกอบ มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้บริโภคในมองโกเลีย อาร์เมเนีย อินโดนีเซีย ตอบว่าจะหยุดใช้ แต่สำหรับประเทศไทยนั้นมีเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น • โดยรวมแล้วร้อยละ 40 ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้มองว่า ทางออกของเรื่องนี้คือการให้ความรู้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกือบร้อยละ 80 ของสาวไทย  ส่วนสาวอินเดียนั้น กว่าร้อยละ 80 เชื่อว่าทางออกคือการปรับปรุงฉลาก • บทบาทของภาคอุตสาหกรรม ที่ผู้บริโภคไทยมองคือ การผลิตเครื่องสำอางให้มีมาตรฐานสูงขึ้น   ฉลาก• ร้อยละ 58 อ่านฉลากเครื่องสำอาง และจากการสำรวจครั้งนี้พบว่าประเทศไทยมีคนที่อ่านฉลากมากที่สุด (ร้อยละ 94) ตามด้วยบังคลาเทศ และจีน ส่วนผู้บริโภคที่อ่านฉลากน้อยที่สุดคือ เกาหลี และมองโกเลีย (ร้อยละ 31 และร้อยละ 44 ตามลำดับ) • ข้อมูลที่ผู้บริโภคอ่านมากที่สุดได้แก่ วิธีใช้ ตามด้วยวันผลิต และส่วนผสม • เหตุผลที่ผู้บริโภคไม่อ่านฉลากได้แก่ “ตัวอักษรเล็กเกินไป”  “ได้ข้อมูลเพียงพอแล้วจากผู้ขาย” และ “รู้จักสินค้านั้นดีอยู่แล้ว”  กรณีของสาวไทยนั้น เหตุผลหลักๆ ที่ไม่อ่านคือ เรื่องของขนาดตัวอักษรที่เล็กเกินไป • สิ่งที่สาวไทยต้องการให้ปรับปรุงมากที่สุด คือการให้ข้อมูลส่วนผสมที่ถูกต้องชัดเจนมากขึ้น  ผลสำรวจการใช้พาราเบนส์ในเครื่องสำอาง ฉลาดซื้อ เก็บตัวอย่างฉลากจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 13 ยี่ห้อ ราคาตั้งแต่ 55 บาท (ดินสอเขียนคิ้ว มิสทีน บิวตี้พลัส) จนถึง 1,225 บาท (แป้งผสมรองพื้น อาทิสตรี้ ไอเดียล ดูอัล พาวเวอร์ ฟาวน์เดชั่น  เป็นผลิตภัณฑ์ที่ซื้อจากห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ต และจากตัวแทนขายตรง 1. มิสทีน2. ชีเน่3. สกินฟู้ด4. เคมา (KMA)5. บีเอสซี6. อาทิสตรี้7. เทลมี8. โอเรียนทอล พริ้นเซส9. คัฟเวอร์มาร์ค10. อินทูอิท11. กิฟฟารีน12. อิทูดี้13. คิวท์เพรส     รู้จักกับพาราเบนส์  (Parabens)พาราเบนส์ เป็นสารกันเสียที่ใช้ต้านการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์อย่างแบคทีเรียและเชื้อราได้ดี มีการใช้มาตั้งแต่อดีต ได้รับการยอมรับว่าปลอดภัยที่จะผสมในผลิตภัณฑ์ทั้งอาหาร ยา และเครื่องสำอางทุกชนิด ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทั่วโลก ว่ามีประสิทธิภาพสูงในการเป็นสารกันเสียและมีความปลอดภัยข้อถกเถียงเรื่องความปลอดภัย 1. เนื่องจากมีการใช้พาราเบนส์อย่างมากมายในเกือบทุกสินค้า ทั้งอาหาร ยา เครื่องสำอาง และเครื่องอุปโภคบริโภค ทำให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์บางส่วนเป็นห่วงถึงความปลอดภัยในผู้บริโภคที่ใช้เป็นประจำ แต่ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลชัดเจนที่ระบุว่ามีการสะสมในร่างกาย เนื่องจากสารชนิดนี้ถูกดูดซึมได้และจะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกายได้ 2. ปริมาณที่ผสมในเครื่องสำอาง อาหาร หรือยา จะเป็นเปอร์เซ็นต์ต่ำมาก จึงไม่มีนัยสำคัญที่จะก่อให้เกิดปัญหาความเป็นพิษได้ 3. นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มได้ทำการวิจัยและพบว่าอาจจะมีความเกี่ยวพันกับการเป็นต้นเหตุของสารก่อมะเร็งเต้านม เนื่องจากมีการผสมพาราเบนส์ในผลิตภัณฑ์ใต้วงแขน ขณะนี้มีการขยายวงการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ กลุ่มอื่นๆยังมีข้อโต้แย้งว่าโอกาสเป็นสารก่อมะเร็งนั้นน้อยมาก 4. เช่นเดียวกับข้อ 3 มีการวิจัยถึงผลของสารพาราเบนส์ที่มีคุณสมบัติคล้ายโฮโมนเอสโตรเจนของ ผู้หญิง แต่ทดลองแล้วมีความแรงน้อยกว่าโฮโมนธรรมชาติถึง 100,000 เท่า จึงไม่น่ากังวล ข้อถกเถียงถึงความปลอดภัยในการใช้สารพาราเบนส์เป็นสารกันเสีย ทำให้หลายบริษัทฯยักษ์ใหญ่เริ่มหันมาใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น จากเมล็ดองุ่น ซึ่งจะได้สารเทียบเคียงกับ methylparabens อย่างไรก็ตามสำนักงาน อย.ทั่วโลกก็ยังคุ้มครองและอนุญาตให้ใช้สารชนิดนี้ได้อยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น ที่อย.อนุญาตให้ใช้เฉพาะสารกันเสียที่เป็นพาราเบนส์เท่านั้น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 เปรียบเทียบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา

มาแล้วคุณสาวๆ ที่ไม่อยากแก่ เราจัดให้อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานสำหรับผลทดสอบครีมบำรุงผิว คราวนี้ ฉลาดซื้อ ขอนำเสนอเน้นๆ เฉพาะครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา ให้สมาชิกที่ตั้งตารออยู่ได้รู้กันไปว่า “อายครีม” ยี่ห้อไหน มีประสิทธิภาพในการกำจัดริ้วรอยสูงกว่ากัน คราวนี้เราดูกันเส้นต่อเส้น และใช้วิธีตัดสินกันด้วยภาพถ่ายเลยทีเดียว   และเช่นเคย การทดสอบครั้งนี้ทำโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research & Testing) ที่ฉลาดซื้อเราเป็นสมาชิกอยู่ คราวนี้มี “อายครีม” ที่อ้างว่าสามารถลดริ้วรอยและรอยย่นรอบดวงตาได้ เข้าลงแข่งถึง 18 ยี่ห้อด้วยกัน มีทั้งผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศส (5 ยี่ห้อ) อังกฤษ (4 ยี่ห้อ) และอเมริกา (9 ยี่ห้อ) ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดเป็นหญิงและชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 107 คน ที่มีอายุระหว่าง 35 – 65 ปี แต่ละคนจะใช้ 2 ผลิตภัณฑ์ (คนละซีกหน้า) ทุกเช้า/เย็น เป็นเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีผู้ทดลองใช้ระหว่าง 9 - 11 คน   --------------------------------------------------------------------------------------------------------  โฆษณาแฝง อุอุ ฉลาดซื้อ เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบ ICRT จึงมีผลทดสอบสินค้าและผลิตภัณฑ์มาฝากผู้อ่านได้อย่างสม่ำเสมอแม้จะไม่มีทุนมากพอที่จะส่งผลิตภัณฑ์ไปร่วมทดสอบเอง (ขอเมาท์ให้รู้โดยทั่วกันว่า การทดสอบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายถึง 3,500 ยูโร หรือประมาณ 140,000 บาท ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์) ความฝันอันสูงสุดของกองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ คือการมีสมาชิกมากพอที่จะทำให้เรามีทุนเพียงพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในบ้านเราไปร่วมทดสอบด้วย --------------------------------------------------------------------------------------------------------  เราทดสอบอะไร • ประสิทธิภาพในการลดความลึกและความยาวของริ้วรอย กรรมการจะดูจากภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ (โดยกล้อง Canon EOS-ID Mark III ความละเอียด 21.1 megapixel) เพื่อเปรียบเทียบ ระหว่างสภาพผิวก่อนใช้ สภาพผิวหลังใช้หนึ่งชั่วโมง และสภาพผิวหลังการใช้ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้กรรมการไม่ทราบว่าภาพแต่ละภาพนั้นถ่ายในช่วงเวลาใด • ประสิทธิภาพในการลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา อาสาสมัครที่ทดลองใช้ตอบแบบสำรวจความพึงพอใจ ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถ้ามีผู้ใช้อย่างน้อย 9 คนเห็นด้วยว่ารอยคล้ำได้ตาดูจางลง หรือถุงใต้ตาดูลดลงผลิตภัณฑ์นั้นจะได้คะแนนในข้อนี้ไป   ผลทดสอบในภาพรวม • ต้องทำใจนะ ยังไม่มีครีมลดริ้วรอยรอบดวงตายี่ห้อไหนสามารถกำจัดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ของเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาที่ได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้ สามารถลดริ้วรอยได้ประมาณ 60% • สิ่งที่ครีมเหล่านี้ทำได้ดีคือการลดความลึกของริ้วรอย แต่ยังทำได้ไม่ดีนักในเรื่องของการลดความยาวของริ้วรอย (ประสิทธิภาพในการลดความลึกของริ้วรอยตั้งแต่ 17% ถึง 61% ในขณะที่ประสิทธิภาพในการลดความยาวของรอยย่นตั้งแต่ 9.5% ถึง 46% เท่านั้น) • การทดสอบครั้งนี้ได้มีการทดสอบครีมบำรุงผิวด้วย 2 ยี่ห้อซึ่งปรากฏว่า หนึ่งในนั้นประสิทธิภาพติดหนึ่งในห้าอันดับต้น (Accantia Simple Kind to Skin Replenishing Rich Moisturizer) ในขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งอยู่ในอันดับที่สามจากท้าย (Neutrogena Oil Free Moisture For Sensitive Skin)   เคล็ดลับผิวสวย อ่อนเยาว์จากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง   1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อหน้าตาที่สดชื่นอิ่มเอิบ 2. ลดความเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน เพราะความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังด้วย ลองเลือกวิธีการที่คุณชอบ เช่น ฟังดนตรี ดูภาพยนตร์อ่านหนังสือ พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ฟังธรรมะ นั่งสมาธิ ฯลฯ 3. หลังทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง ควรบำรุงผิวด้วยครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว เพราะหลังล้างหน้า สารทำความสะอาดจากผลิตภัณฑ์จะชะเอาความชุ่มชื้นและน้ำมันธรรมชาติจากผิวหนังออกไป ทำให้ผิวหน้าตึงซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหย่อนยานได้ 4. หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวชนิดสำหรับกลางคืน “Night cream” ซึ่งจะมีส่วนผสมของเนื้อครีมที่เข้มข้นด้วยสารอาหารสำหรับผิวหน้า เช่น วิตามินอี วิตามินเอ คอลลาเจน อีลาสตินและสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ โดยส่วนประกอบของน้ำมันมักจะหนักกว่าครีมสำหรับทาตอนกลางวัน เพื่อปกป้องผิวหน้าจากอากาศเย็นและแห้งในห้องแอร์ 5. ถ้ามีเวลาว่างในช่วงวันหยุดยาว ภายหลังการทำความสะอาดผิวหน้าแล้วอาจพอกหน้าด้วยแตงกวาสดหรือว่านหางจระเข้ โดยล้างให้สะอาด ตัดเป็นแว่นและวางบนผิวหน้า สารอาหารและความชุ่มชื้นจากแตงกวาหรือว่านหางจระเข้จะแทรกซึมเข้าฟื้นฟูและซ่อมบำรุงผิว 6. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลา 8 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลททั้งยูวีเอและยูวีบี ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง ผิวหนังหนา หยาบกร้านและดำคล้ำ แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดได้ ควรปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อแขนยาวหรือกางร่ม และทาผิวด้วยครีมกันแดดที่มีองค์ประกอบของสารที่สามารถกรองรังสีทั้งสองชนิดและมีค่า “เอสพีเอฟ” (SPF) อย่างน้อย 15 (จาก หนังสือ “สวยอย่างฉลาด” โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 ครีมไวท์เทนนิ่ง ทดสอบความพึงพอใจ

เมื่อความ “ขาว” ถูกสร้างให้เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยจึงพยายามมองหาวิธีที่จะทำให้ตนเองมีผิวที่ขาวขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานวิตามิน การฉีดสารกลูตาไธโอน หรือ การใช้ครีมไวท์เทนนิ่ง ซึ่งดูจะมีต้นทุนในการเข้าถึงที่น้อยและปลอดภัยกว่า 2 วิธีแรก ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง ที่อ้างว่าหรือโฆษณาในทำนองว่า ครีมไวท์เทนนิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงสีผิวให้ขาวขึ้นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เช่น ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส พิสูจน์ได้ภายใน 7 วัน หรือขาวขึ้นภายใน 28 วัน จนเกิดคำถามว่า ข้อความในโฆษณาที่กล่าวอ้างนั้นจริงหรือไม่ ฉลาดซื้อทดสอบ เมื่อเกิดคำถามเราก็ลองมาหาคำตอบกัน ฉลาดซื้อเปิดรับอาสาสมัคร 100 คน เข้าร่วมพิสูจน์การเปลี่ยนแปลงของสีผิวหลังการใช้ครีมไวท์เทนนิ่ง โดยการใช้เกณฑ์วัดความพึงพอใจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสีผิวของผู้บริโภคหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ อาสาสมัครมีอายุตั้งแต่ 15 – 40 ปี โดยแต่ละคนจะได้รับครีมไวท์เทนนิ่งคนละยี่ห้อ โดยอาสาสมัครแต่ละคนจะไม่ทราบว่าตัวเองใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใด   ลักษณะการทดสอบและวัดผลครั้งนี้จะเป็นเพียงการวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ตามที่ได้รับมอบเท่านั้น ผู้บริโภค 1 คน จะต้องใช้ครีมไวท์เทนนิ่งติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 28 วัน และในระหว่างที่ใช้ครีมผู้บริโภคที่เข้าร่วมทดลองต้องเลี่ยงการเผชิญแสงแดดที่ไม่ใช่การดำเนินชีวิตปกติ เช่น เที่ยวทะเล รวมทั้งห้ามใช้ครีมไวท์เทนนิ่งหรือครีมอื่นที่ช่วยให้ผิวขาวระหว่างการใช้ครีมที่ทดลอง  และต้องใช้ครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน นอกจากนั้นจะต้องวัดผลการทดลองด้วยแถบวัดสีผิวทุกๆ 7 วัน โดยการวัดผลต้องวัดในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้บริโภคที่เข้าร่วมทดลองต้องหยุดใช้ครีมทันทีเมื่อเกิดอาการแพ้ ข้อจำกัดของการทดสอบ จากอาสาสมัคร 100 คน มีอาสาสมัครจำนวน 69 คน ที่สามารถใช้ครีมตัวอย่างที่ได้รับไปทดลองใช้จนครบ 28 วัน เนื่องจากมีผู้ทดลองบางคนที่เกิดอาการแพ้หรือละเลยเรื่องตัวแปรเช่น การออกแดด ฯลฯ ดังนั้นผู้บริโภคที่เข้าร่วมทดสอบครีมไวท์เทนนิ่งแต่ละยี่ห้อจึงมีจำนวนไม่เท่ากัน (จากเดิมอาสาสมัคร 20 คน ต่อ 1 ยี่ห้อ) ผลการทดสอบครั้งนี้จึงเป็นเพียงแนวทางเริ่มต้นเท่านั้น ในส่วนของข้อดี ข้อด้อย ที่อาสาสมัครนำเสนอ เช่น ใช้แล้วทำให้มีสิวขึ้น รูขุมขนกว้าง อาจขึ้นอยู่กับสภาพผิวของอาสาสมัครด้วย   ผลการทดสอบความพึงพอใจ       ฉลาดซื้อแนะนำ1. เลือกใช้ครีมไวท์เทนนิ่งให้เหมาะกับสภาพผิว  เนื่องจากสภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน สาวๆ ที่มีผิวแห้งไม่ควรเลือกใช้ครีมไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมจากกรดผลไม้ เพราะจะทำให้หน้าแห้งยิ่งขึ้น และอาจเกิดอาการแพ้ ส่วนใครที่มีผิวมันก็ไม่ควรใช้ครีมไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของน้ำมัน 2. ไม่ควรเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ สเตียรอยด์ (Steroids)และสารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เพราะทางการแพทย์ระบุว่า สารดังกล่าวเป็นสารอันตรายที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวเห่อแดง และอาจทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี รวมทั้งกัดผิวจนด่างขาวและทำให้ผิวลอกได้  3. ควรดูแลสุขภาพควบคู่ไปกับการใช้ครีมไวท์เทนนิ่ง เช่น ผู้บริโภคต้องพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง  รวมทั้งเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใย และต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ครีมไวท์เทนนิ่งกับครีมกันแดดอย่างไหนสำคัญกว่า ?รศ.ดร.พิมลพรรณ  พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ครีมไวท์เทนนิ่งโดยทั่วไปมักจะมีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นมากกว่าสารที่ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ดังนั้นถ้าผู้บริโถคไม่ต้องการให้ผิวเกิดความหมองคล้ำการใช้ครีมกันแดดจึงสามารถช่วยได้มากกว่าครีมไวท์เทนนิ่ง  อีกทั้งยังสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและรังสียูวีบีได้อีกด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 110 เลือกรองพื้นมิเนอรัล ยี่ห้อไหนดี

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่อ้างว่า “จากธรรมชาติ” หรือ “ปลอดสารเคมี” ที่ทำออกมาให้เราได้เลือกใช้กันนั้น จะปลอดสารหรือปลอดภัยจริงหรือไม่นั้น ฉลาดซื้อฉบับนี้มีคำตอบมาฝาก ขอขอบคุณข้อมูลจาก CHOICE  นิตยสารเพื่อผู้บริโภคของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรของเรา การทดสอบนี้มีอาสาสมัครเข้าร่วมทดลองใช้ทั้งหมด 29 คน แต่ละคนทดลองใช้รองพื้น 8 ยี่ห้อ โดยใช้แต่ละยี่ห้อเป็นเวลา 3 วันติดต่อกันและตอบแบบสอบถามระดับความพึงพอใจของพวกเธอในประเด็นต่างๆ และนำมาจัดเป็นคะแนนเป็นกลุ่มๆ ซึ่งแยกออกได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้  การทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน (ร้อยละ 40)  ความสะดวกในการใช้ (ร้อยละ 30) การปกปิดจุดด่างดำ (ร้อยละ 10) ลักษณะเนื้อรองพื้นบนผิวหน้า (ร้อยละ 10) และแปรง (ร้อยละ 10) หมายเหตุไว้ตอนท้าย* CHOICE ให้ความสำคัญกับเรื่องความสะดวกในการใช้ค่อนข้างมากเพราะรองพื้นแบบผงนี้ต้องใช้แปรงเป็นตัวช่วยในการนำมาทาลงบนใบหน้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ใช้สะดวกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะคงไม่มีใครอยากทาครึ่งทิ้งครึ่ง หรือต้องทำความสะอาดผงรองพื้นที่ตกกระกระจายบนโต๊ะเครื่องแป้ง ** CHOICE พบว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ใดติดทนเกิน 8 ชั่วโมง แม้จะมีบางยี่ห้อโฆษณาเอาไว้ว่าอยู่ได้นานกว่านั้นก็ตาม*** เครื่องสำอางแบบมิเนอรัลนั้นมักนำเสนอเป็นจุดขายว่าช่วยรักษาปัญหาผิวและเหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่าย แต่การทดสอบครั้งนี้พบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้คุณสมบัติในการ “รักษา” แต่อย่างใด   ผลทดสอบ (เรียงอันดับ 1 – 14 ตัวที่ได้ 80 คะแนน ทำให้เด่นกว่าตัวอื่นๆ นอกนั้นทำเล็กลงมาหน่อย เพราะหน้าจำกัด) Elizabeth Arden Pure Finish Mineral Powder Foundation 80 คะแนนราคา  1,200 บาทปริมาณ   8.33 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   4ใช้สะดวก    5 MAC Mineralize Foundation Loose 80 คะแนนราคา  1,530 บาทปริมาณ   8.5 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   4ใช้สะดวก   4 bareMinerals Mineral Foundation 70 คะแนนราคา  บาทปริมาณ   กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   4ใช้สะดวก   4 Laura Mercier Mineral Powder 70 คะแนนราคา  1,200 บาทปริมาณ   9.6 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   4ใช้สะดวก   4 Prestige  Skin Loving Minerals Gentle Finish Mineral Powder Foundation 70 คะแนนราคา 830  บาทปริมาณ   6.5 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง                 4ใช้สะดวก   4 L’Oreal  Paris True Match Minerals 70 คะแนนราคา   550 บาทปริมาณ  10 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   4ใช้สะดวก   3 Nude by Nature Natural Mineral Cover 70 คะแนนราคา 1,000 บาทปริมาณ  15 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   4 The Body Shop Nature’s Mineral Foundation 60 คะแนนราคา   1,200 บาทปริมาณ 5 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   4 Revlon ColorStay Mineral Foundation 60 คะแนนราคา   550 บาทปริมาณ  9.9 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   3 Bloom Pure Mineral Powder Foundation 60 คะแนนราคา  1,050 บาทปริมาณ  13 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       3จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   4 Maybelline NY Mineral Power Powder Foundation 60 คะแนนราคา   บาทปริมาณ  กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       3จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   3                      Natio Natural Loose Foundation 60 คะแนนราคา   600 บาทปริมาณ  10 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       3จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   3 Max Factor Natural Mineral Foundation 50 คะแนนราคา   1,000 บาทปริมาณ  10 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   3 Rimmel London Lasting Finish Minerals Loose Powder Foundation50 คะแนนราคา   600 บาทปริมาณ  6.5 กรัม ผิวดูเรียบเนียน                       4จุดด่างดำดูจางลง   3ใช้สะดวก   3   ฉลาดซื้อแนะQ     เครื่องสำอางประเภทมิเนอรัลเหมาะกับผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่มีสิว เพราะเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติไม่มีการใช้สารเคมี  จริงหรือหลอก? A   ศัพท์คำว่า Mineral หรือแร่ธาตุ คือ สารหรือสสารที่เกิดโดยธรรมชาติ แร่ธาตุเหล่านี้อาจจะอยู่ในรูปของของแข็งหรือสารอนินทรีย์ แต่มีโครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีที่แน่นอน ทั้งนี้แร่ธาตุบางชนิดก็เป็นอันตรายต่อผิวหนังได้เช่นกันไม่ได้แปลว่าการได้มาจากธรรมชาติจะปลอดภัยเสมอไป เครื่องสำอางในกลุ่มของ Mineral Cosmetics  เช่น แป้งฝุ่น ครีมรองพื้น อายเชโด้ รวมทั้งแป้งแข็งและแป้งฝุ่นโรยตัวเด็กมักจะมีองค์ประกอบของแร่ธาตุเป็นพื้นฐาน เช่น ซิงค์ออกไซด์ ไทเทเนี่ยมไดออกไซด์ บิสมัทช์ออกซี่คลอไรด์ และทาวคัม เครื่องสำอางที่กล่าวมามักจะมีแร่ธาตุเหล่านี้เป็นองค์ประกอบ บางชนิดมีเพียง 1 % เท่านั้น ก็มีการเคลมว่าเป็น Mineral Cosmetics แล้ว ความจริงเรื่องหนึ่งที่ต้องทราบคือ เรามักจะคิดว่าถ้ามาจากธรรมชาติต้องดีกว่าและปลอดภัยกว่าการใช้สารเคมี ข้อมูลนี้ไม่ถูกต้องเสมอไป แร่ธาตุและสารจากธรรมชาติมีมากมายที่ไม่เหมาะที่จะใช้ในเครื่องสำอาง ในทางตรงกันข้ามนักวิทยาศาสตร์จึงได้พัฒนาและสังเคราะห์สารเคมีขึ้นใหม่ โดยเลียนแบบจากธรรมชาติ แต่พัฒนาให้ข้อบกพร่องและพิษจากสารธรรมชาติหายไปหรือลดน้อยลงมากที่สุด ขอขอบคุณ รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกูล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 93 ทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์กันแดด

ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลทดสอบผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งประเภทครีม โลชั่น และสเปรย์ ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มาฝากผู้อ่านกัน แต่ต้องย้ำกันตรงนี้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำการทดสอบเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีขายในยุโรป และส่งเข้าทดสอบโดยองค์กรผู้บริโภคในยุโรปนั่นเอง  การทดสอบครั้งนี้จุดประสงค์อยู่ที่การสำรวจว่าในบรรดาผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น แท้จริงแล้วมีค่า SPF และประสิทธิภาพในการกันน้ำ ตามที่ได้แจ้งไว้บนฉลากหรือในโฆษณาหรือไม่ โดยมีอาสาสมัครเป็นผู้ลงทุนอุทิศแผ่นหลังเพื่อการทดสอบ ประมาณ 10 – 14 คน ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ ในการทดสอบครั้งนี้มีผลิตภัณฑ์ที่ถูกส่งเข้าทดสอบทั้งหมด 55 ผลิตภัณฑ์ แต่เราขอนำมาลงเฉพาะแบรนด์ที่พอจะพบเห็นกันได้ในบ้านเราเพียง 15 ผลิตภัณฑ์ จากการทดสอบพบว่า•    ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีค่า SPF ใกล้เคียงกับที่แจ้งไว้บนฉลาก หรือไม่ก็มากกว่า (มีอยู่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอในครั่งนี้ที่มีค่า SPF น้อยกว่าที่แจ้ง หนึ่งในนั้นมีไม่ถึงครึ่งของค่าที่แจ้งไว้ด้วย) •    ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังเหลือประสิทธิภาพในการกันแดด มากกว่าร้อยละ 50 หลังจากที่ผิวหนังสัมผัสกับน้ำ (เกณฑ์ที่ระบุไว้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สามารถระบุที่ฉลากว่ากันน้ำได้ คือร้อยละ 50)-----ฉลาดซื้อสำรวจ การใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด•    ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (ร้อยละ 84) เคยใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด โดยเหตุผลที่ใช้คือ เพื่อป้องกันผิวเสีย ริ้วรอย และป้องกันปัญหาสุขภาพผิว•    เกือบร้อยละ 50 ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทุกวัน ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร•    มากกว่าร้อยละ 30 ของผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถาม ซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดประมาณ 5 ครั้งต่อปี•    แต่ทั้งนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 62) ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับอันตรายของสารเคมีในผลิตภัณฑ์กันแดด•    มีถึงร้อยละ 16 ที่เคยได้รับผลข้างเคียงจากผลิตภัณฑ์กันแดด และร้อยละ 94 ของผู้ที่เคยได้รับผลข้างเคียงเชื่อว่าสาเหตุคือสารเคมีในผลิตภัณฑ์  •    ร้อยละ 86.5 ของผู้ตอบแบบสอบถาม อ่านฉลากก่อนซื้อ•    ร้อยละ 87 เห็นด้วยว่าค่า SPF ในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป ตามแต่ลักษณะการใช้ •    แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กันแดด อันดับหนึ่งได้แก่โฆษณาจากสื่อต่างๆ ตามด้วยเพื่อนหรือบุคคลใกล้ชิด•    ปัจจัยในการเลือกซื้ออันดับหนึ่งคือประสิทธิภาพในการป้องกันแดด ตามด้วยราคา และสภาพผิว(* สำรวจในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในเขตกรุงเทพมหานคร มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 100 คน เป็นผู้หญิง 60 คน ผู้ชาย 40 คน)•    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าตลาดครีมกันแดดในประเทศไทยในปี 2551 จะมีมูลค่าประมาณ 750 ถึง800 ล้านบาท -----•    อย่าลืมอุปกรณ์ป้องกันแสงแดดใกล้ๆตัว แบบใช้แล้วใช้ซ้ำได้ เช่นเสื้อ กางเกงขายาว หมวก หรือแว่นกันแดด (ยอมรับกันเถอะพี่น้อง ว่าคนทั่วไปที่ไม่ใช่ดาราที่ต้องคอยระวังปาปารัซซี่แอบถ่าย ก็ใส่ได้)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 89 Moisturiser ของสิงห์สำอาง

สมัยนี้ไม่ใช่แค่สาวๆ ที่อยากมีผิวสวยใส ผู้ชายเองก็อยากให้หน้าเนียนเด้งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะผู้ชายกลุ่ม Metrosexual ถ้าจำกันได้ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 80 เคยนำเสนอเรื่องเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายไปแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้ย้ำในบทความว่า “โครงสร้างของผิวหนังมนุษย์ผู้ชายหรือผู้หญิงนั้นไม่ได้ต่างกันขนาดที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์คนละตัวกัน  แต่ที่ต้องมีผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับท่านชายขึ้นมาก็เพื่อเหตุผลทางการตลาดนั่นเอง”  ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปได้แก่ ลักษณะหรือสีสันของบรรจุภัณฑ์ หรือกลิ่นของเครื่องสำอางนั้นๆ มากกว่า และอาจเป็นได้ว่าผู้ชายนั้นมีความอดทนน้อยกว่าในการรอให้ครีมซึมลงสู่ผิวหนัง ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่า “เพื่อผู้ชาย” หรือ For Men จึงเน้นที่ความเร็วในการซึมลงสู่ผิวหนังด้วยฉลาดซื้อฉบับนี้เลยขอหยิบผลการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว “สำหรับผู้ชาย” โดยสมาชิกของวารสาร Choice (วารสารเพื่อผู้บริโภคของประเทศออสเตรเลีย) มาฝากสิงห์สำอางบ้านเรา วารสาร Choice ทดสอบผลิตภัณฑ์กับผู้บริโภคจำนวน 57 คน โดยหนุ่มๆ แต่ละคน (ที่มีผิวธรรมดา) จะได้ครีม/เจลบำรุงผิวไปคนละ 6 ยี่ห้อ และทดลองใช้แต่ละยี่ห้อเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่ตนเองใช้นั้นเป็นยี่ห้อใด จากนั้นแต่ละคนจะตอบแบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจ ในหัวข้อต่อไปนี้ •    ประสิทธิภาพในการสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า •    ความพึงพอใจลักษณะของเนื้อครีม/เจล •    ความพึงพอใจต่อกลิ่น และ•    การซึมลงสู่ผิวหนัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 81 วัคซีน ความจำเป็นหรืออุบายขายโรค

โลกยุคนี้ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้ผลได้ทั้งบวกและลบกับทุกคนบนโลกใบนี้ ยิ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ยิ่งสำคัญ และยิ่งต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะข้อมูลที่ถูกนำเสนอเพื่อให้ซื้อหรือใช้บริการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็ก  คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ฉลาดซื้อสนใจทำสำรวจ เรื่องการบริการวัคซีนในโรงเรียน ด้วยเหตุจากผู้ปกครองหลายคนสอบถามเข้ามาว่า จดหมายที่โรงเรียนนำมาแจกให้และมีข้อความเชิญชวนให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคให้ลูกหลานนั้นจะทำอย่างไรดี ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อดี  ฉลาดซื้อจึงจัดเวทีเล็กๆ ร่วมกับเครือข่ายพ่อแม่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พบว่า ยังมีผู้ปกครองหลายคนที่ไม่รู้เรื่องการให้บริการวัคซีนอย่างเพียงพอสำหรับการตัดสินใจ ส่วนใหญ่ก็จะยินดีให้เด็กรับวัคซีนไว้ก่อน นัยว่า “กันไว้ดีกว่าแก้”  ข้อดีคือป้องกันย่อมดีกว่ารักษา แต่ค่าบริการก็ไม่ใช่น้อยๆ และบางครั้งก็เป็นการฉีดวัคซีนซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุฉลาดซื้อร่วมกับเครือข่ายพ่อแม่ จึงได้ลองทำแบบสำรวจเล็กๆ เพื่อวัดความรู้เรื่องวัคซีนของคุณพ่อคุณแม่ขึ้น และดูแนวโน้มของการเสนอบริการวัคซีนทางเลือกที่รุกเข้าสู่สถานศึกษา  แบบสอบถามทั้งหมดได้จากผู้ปกครองจากโรงเรียนประเทืองทิพย์ พระมหาไถ่  สายน้ำทิพย์ อนุบาลโชคชัย  สายน้ำผึ้ง เทพศิรินทร์ วัฒนาวิทยาลัย และอื่นๆ จำนวน 301 ราย  เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 78.4 ชั้นมัธยมศึกษาร้อยละ 21.6   ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่เป็นคุณแม่อายุ 31-45 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี  ร้อยละ 46.7 มัธยมปลาย ร้อยละ 21 ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 78 คิดว่า บุตรของตนได้รับวัคซีนครบตามมาตรฐาน แต่ความจริงคือ… วัคซีนบังคับ หมายถึง วัคซีนที่รัฐจัดบริการให้ฟรีแก่เด็กตั้งแต่แรกเกิด  เพื่อลดอัตราการป่วยและตายจากโรคติดเชื้อต่างๆ ได้แก่ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบบี คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สมองอักเสบ (เด็กทุกคนจะมีสมุดคู่มือการฉีดวัคซีนประจำตัว)วัคซีนบังคับ...ไม่รู้ว่าฟรีจึงต้องเสียสตางค์จากการสำรวจของฉลาดซื้อพบว่า วัคซีนวัณโรค ร้อยละ 88.7 คิดว่าได้รับแล้ว ในจำนวนนี้ ร้อยละ 87.9 ได้รับที่โรงพยาบาล  ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนจะดำเนินการให้วัคซีนนี้ซ้ำในระดับป.1แต่มีผู้ตอบว่า ได้รับวัคซีนตัวนี้ที่โรงเรียนเพียง ร้อยละ 0.8 ซึ่งหมายถึง อาจมีปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง เช่นเดียวกับวัคซีนคอตีบ บาดทะยักซึ่งเด็กนักเรียนควรได้รับครั้งที่ 5 เมื่อชั้น ป. 6 แต่มีผู้ปกครองตอบมาว่า ได้รับจากโรงเรียนน้อยกว่าร้อยละ 1วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ และตับอักเสบบี เป็นวัคซีนบังคับซึ่งผู้ปกครองมากกว่าร้อยละ 90 คิดว่า ได้รับแล้วที่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่   วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งเป็นวัคซีนบังคับเช่นกันต้องได้รับสองครั้งที่อายุ 9 เดือน และ 5 ปี รวมทั้งวัคซีนไข้สมองอักเสบที่ต้องได้รับสามครั้งที่อายุหนึ่งปี เป็นต้นไป แต่ผู้ปกครองรับรู้ว่าได้รับวัคซีนทั้งสี่ชนิดนี้แล้วเพียงร้อยละ 80-85 เท่านั้น  ส่วนใหญ่ได้รับที่โรงพยาบาล ผู้ปกครองรับรู้ว่า โรงเรียนมีส่วนในการให้วัคซีนนี้เพียงร้อยละ 1.8 1สำหรับหัดเยอรมัน วัคซีนอีกสามชนิด โรงเรียนมีส่วนในการให้ต่ำกว่าร้อยละ 1วัคซีนชุดนี้รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดหาวัคซีนแก่เด็กทั้งหมดอย่างเพียงพอ และเด็กทุกคนต้องได้รับโดยไม่ต้องจ่าย อย่างไรก็ตามผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคงจ่ายค่าวัคซีนในการฉีดที่คลินิก โรงพยาบาล โดยไม่ได้รับรู้เรื่องการจัดสรรงบประมาณโดยรัฐบาล มีเพียงโปลิโอเท่านั้นที่ผู้ปกครองร้อยละ 82 คิดว่า รัฐบาลจัดหาวัคซีนให้ฟรี สำหรับวัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยักนั้นผู้ปกครองร้อยละ 58 รับรู้เรื่องการฉีดฟรี  วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม และตับอักเสบบีนั้นผู้ปกครองรับรู้เพียงร้อยละ 37-39  และน้อยกว่าร้อยละ 29 ในไข้สมองอักเสบวัคซีนทางเลือก หรือวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับ เป็นวัคซีนที่ไม่จำเป็นต้องฉีดในเด็กทุกราย แต่สามารถเลือกฉีดได้ตามความเหมาะสม เช่น มีการระบาดของโรคติดเชื้อบางอย่าง หรือเด็กต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โรคอีสุกอีใส เป็นต้นวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับซึ่งมีในตลาดมานานระยะหนึ่งแล้ว  เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่อายุสองปีครึ่ง มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 68 โดยเป็นการได้รับที่โรงเรียนร้อยละ 1.8 เท่านั้น เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันโรคสุกใส ซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่อายุหนึ่งปีเป็นต้นไป มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 50 โดยเป็นการได้รับที่โรงเรียนร้อยละ 1.5 เท่านั้น  สำหรับวัคซีนใหม่นั้นได้แก่     ไข้หวัดใหญ่  IPD  มะเร็งปากมดลูก มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 30, 17, 0.5 ตามลำดับ โดยที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีการให้ที่โรงเรียนในสัดส่วนสูงกว่าวัคซีนอื่นคือร้อยละ 8อย่างไรก็ตามวัคซีนใหม่เหล่านี้มีราคาสูงเนื่องจากไม่เป็นวัคซีนบังคับ รัฐบาลมิได้จัดการกลไกการตลาดเพื่อลดราคา ขณะเดียวกันนักวิชาการได้ให้ข้อมูลประชาชนในวงกว้างในเรื่องความจำเป็น คุณประโยชน์ที่ได้รับ ประกอบกับโรงพยาบาลเอกชนมีการเดินตลาดโรงเรียนเพื่อขายวัคซีนเป็นลอตใหญ่ๆโดยร่วมมือกับโรงเรียนออกจดหมายถึงผู้ปกครองลักษณะการสื่อความรู้ กระบวนการดังกล่าวเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองก็จริงแต่เป็นการกดดันผู้ปกครองให้ไม่มีทางเลือก เนื่องจากไม่มีเหตุผลใดจากข้อมูลที่ได้รับที่จะตัดสินใจไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน นอกจากไม่ยอมจ่ายเงินเท่านั้น หากวัคซีนใหม่เหล่านี้มีความจำเป็นจริง นักวิชาการควรดำเนินการแสดงประโยชน์และความคุ้มทุนต่อรัฐบาล เพื่อต่อรองให้เด็กทุกคนได้รับเท่าเทียมกัน  การขายวัคซีนนั้นไม่ควรให้มีการเดินซื้อขายผ่านโรงเรียนยอย่างเสรีโดยพนักงานขายตรง และให้ข้อมูลสุขภาพเชิงโฆษณาแม้ว่าข้อมูลจะมีประโยชน์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในการป้องกันโรค โดยซ่อนเร้นการไม่ยอมแก้ไขกลไกตลาดเพื่อลดราคาลง ทั้งนี้ทั้งนั้นประโยชน์มิได้คำนึงถึงเด็กที่จะได้รับวัคซีนนี้น แต่คำนึงถึงกำไรสูงสุดที่บริษัทผู้ผลิตจะได้รับ รวมทั้งผลประโยชน์เล็กน้อยที่โรงพยาบาลและโรงเรียนจะได้รับเป็นค่ายี่ปั๊ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 76 ทดสอบครีมลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

ในบรรดาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่ใช้ ๆ กันอยู่ นอกจากครีมเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่งซึ่งเป็นที่นิยมมาพักใหญ่ ๆ แล้ว  ผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านและลดริ้วรอยบนใบหน้าก็เป็นเครื่องสำอางอีกชนิดหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ และหนุ่ม ๆ หลายคนทราบกันดีว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูง ยิ่งยี่ห้อที่มีเคาน์เตอร์ในห้างเป็นของตัวเองก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก  แต่จากการที่คนบางคนไม่อยากให้ตัวเองดูแก่กว่าวัย ซ้ำยังอยากให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ ปราศจากริ้วรอย เหมือนกับพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณา หลาย ๆ คนจึงยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้ผิวประเภท “โกงอายุ” มาประดับใบหน้ากัน ผลก็คือ ทำให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านและลดริ้วรอยเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสถิติมูลค่าการตลาดของครีมบำรุงผิวซึ่งอยู่ที่ 6,000 ล้านบาทนั้น พบว่าเป็นมูลค่าการตลาดของครีมต้านริ้วรอยถึงร้อยละ 40 โดยเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 60 เลยทีเดียว   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในบรรดาผลิตภัณฑ์ครีมลดริ้วรอยที่วางขายกันอยู่ ยังไม่มีใครทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานที่แท้จริงของมันเลย และต่อไปนี้คือผลการทดสอบที่ทำโดยองค์การทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research and Testing) โดยผลการทดสอบชิ้นเดียวกันนี้ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ใน นิตยสารคอนซูเมอร์ รีพอร์ท (Consumer Reports) ของสหรัฐอเมริกา และ นิตยสารเคอ ชัวร์ซี (Que Choisir) ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมส่งตัวอย่างเข้าทดสอบ ในฉบับเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งจะช่วยไขปริศนาว่าครีมลบริ้วรอยหลาย ๆ ยี่ห้อที่เราพบเห็นทั่วไป หรือที่บางคนอาจกำลังใช้อยู่ทุกเช้าเย็นนั้น มีประสิทธิภาพเหมือนที่ได้โฆษณาไว้จริงแท้แน่นอนแค่ไหน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ผลที่ได้จากการทดสอบ 1.ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดจัดเป็นครีมลดริ้วรอยที่ดีที่สุดได้ จากคะแนนรวม 100 คะแนนโดยวัดผลจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย , ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว และการไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ พบว่าจาก 13 ผลิตภัณฑ์มีเพียง 4 ผลิตภัณฑ์เท่านั้นที่ได้รับคะแนนเกินครึ่ง ซึ่ง Diadermine Expert rides เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับคะแนนสูงสุด แต่ก็ได้เพียง 62 คะแนน เท่านั้น อันดับสองคือ Oil of Olay Olay Regenerist 61 คะแนน , อันดับสามคือ Lancôme Renergie 56 คะแนน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยในขั้นดีแต่ไม่ถึงกับดีมาก แต่มีประสิทธิภาพในการบำรุงในขั้นดีมากและไม่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้แก่ผู้ทดสอบ  และอันดับสี่คือ Roc Retin-OX 54 คะแนน มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยและประสิทธิภาพในการบำรุงอยู่ในขั้นดี แต่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้มากโดยมีผู้ทดสอบหยุดใช้ถึง 5 คนจากจำนวน 20 คน2.ราคาหรือยี่ห้อ หรือคำโฆษณา ไม่ใช่ตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ แท้จริงแล้ว “ผลิตภัณฑ์ควบคุม” ในการทดสอบครั้งนี้ คือ ครีมบำรุงผิว Oil of Olay สูตรดั้งเดิม ซึ่งมีคะแนนทดสอบ 33 คะแนนอยู่อันดับที่ 11 ราคาเพียง 253 บาทซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่นำมาทดสอบ แต่ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์อย่าง La Prairie Cellular  ซึ่งมีราคาถึง 6 พันกว่าบาทนั้น กลับมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันมาก โดยได้คะแนนทดสอบ 34 คะแนนอยู่อันดับที่ 10 นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าช่วยลบเลือนริ้วรอยบนผิวหน้าได้ก็ยังได้คะแนนทดสอบต่ำติดท้ายตารางเสียด้วยซ้ำ คือ Roc Retinol Correxion Deep Wrinkle 31 คะแนน อยู่อันดับที่ 12  และ Nivéa visage Q10 Advanced Wrinkle Reducer 27 คะแนน อันดับที่ 13และเมื่อดูคะแนนโดยรวมทั้ง 13 ผลิตภัณฑ์แล้ว ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยไม่ได้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนัก หน้าที่หลัก ๆ ของครีมเหล่านี้ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิว รักษาความชุ่มชื้นเสียมากกว่า 3. ความพึงพอใจของผู้ใช้กับการโฆษณาส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับดี ถึงดีมาก แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกของผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งมักจะถูกมาใช้ประโยชน์เพื่อการโฆษณาของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ดังกรณีตัวอย่างของครีม Klein-Becker USA ความจริงแล้วสิ่งที่ผู้บริโภคควรเข้าใจคือ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านั้น เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างรังสีดวงอาทิตย์ และปัจจัยภายใน คืออายุที่มากขึ้น หรือความเครียดของเรานั่นเอง และเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ไม่มีเครื่องสำอางใด ๆ ที่จะสามารถลบเลือนได้ง่าย ๆ เราจึงควรหันมาป้องกันที่สาเหตุ ด้วยการใช้ครีมกันแดด และใช้ชีวิตให้มีความเครียด หรือความกังวล น้อยที่สุด การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยได้มากKlein-Becker USA Strivectin-SD Intensive Concentrate for Existing Stretch Marks  เป็นครีมสัญชาติอเมริกัน ที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นครีมลดรอยแตกลายของผิวหนัง ครีมยี่ห้อนี้โด่งดังมากในฝรั่งเศส และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นครีมที่ลบริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาแล้ว จากการสำรวจความเห็นของสาวฝรั่งเศส 264 คน เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา !! แต่เมื่อดูจากผลทดสอบแล้ว กลับพบว่าประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยอยู่แค่ระดับปานกลางเท่านั้นเอง อยู่ลำดับที่ 8 จาก 13 ผลิตภัณฑ์ แต่ราคาขายคิดเป็นเงินไทย 3,450 บาทจัดว่าแพงทีเดียวเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของมันหน้าที่ของสารชื่อดังในเครื่องสำอาง1.    เรตินอล เป็นญาติห่าง ๆ กับกรดวิตามินเอ ซึ่งสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ เรตินอลสามารถใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ เพราะทำให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่า ในขณะที่กรดวิตามินเอนั้นมีการทำงานเข้มข้น (และมีผลข้างเคียงคืออาการระคายเคือง ในคนที่ผิวแห้ง) จัดเป็นยาและต้องมีการควบคุมความเข้มข้นในการใช้  เป็นสารที่ไวต่อแสงมาก อาจทำให้ผิวหน้าแดง คัน หรือแสบได้ จึงเหมาะกับการใช้ทาในเวลากลางคืนเท่านั้น 2.    คิวเท็น (Q 10) เป็นสารที่ผิวของคนเรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ให้พลังงานกับเซลล์ และเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ เพียงแต่เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือได้รับแสงแดดมาก ๆ สารตัวนี้จะลดลง ผู้ผลิตนิยมใช้สารตัวนี้ในครีมสำหรับผิวที่แพ้ง่าย เพราะไม่ทำให้เกิดอาการระคายผิวเหมือนสารในตระกูลวิตามินเอ นั่นเอง3.    คอลลาเจนและอิลาสติน เป็นโปรตีนเรามีอยู่แล้วใต้ชั้นผิวหนัง ทำหน้าที่ควบคุมความยืดหยุ่นและความสามารถในการอุ้มน้ำของผิวหนัง แต่คุณภาพของโปรตีนเหล่านี้จะเสื่อมสภาพลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น 4.    กรด AHA (Alpha Hydroxy Acids) และ BHA (Beta Hydroxy Acids) เป็นกรดที่สกัดได้จากผลไม้ สามารถทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหนังชั้นบนหลุดออก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและใสขึ้น 5.    วิตามินอี นิยมใช้กันมากในครีมบำรุงผิว เพราะพบว่านอกจากจะเป็นสารบำรุงทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตแล้ว ยังสามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดริ้วรอยได้ด้วย วิตามินอีสามารถละลายในไขมันผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดี 6.    วิตามินซี เป็นอีกหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ผลิตนิยมใช้เป็นส่วนผสมทั้งในครีมสำหรับกลางวันและกลางคืน เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยาต่อแสงแดด วิตามินซีนั้นดีตรงที่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และมีคุณสมบัติในการให้ผิวขาวใสขึ้น แต่คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อผิวน้อยมาก เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำ จึงไม่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ ประสิทธิภาพการลดริ้วรอยของเครื่องสำอางต่างกันแค่ไหน โดยทั่วไปแล้วส่วนผสมน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของครีมลบริ้วรอย แต่ถ้าดูจากผลการทดสอบครั้งนี้ จะเห็นว่า ส่วนผสมของครีมกับประสิทธิภาพโดยรวมของครีม มีความสัมพันธ์กันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนสูงที่สุด และคะแนนต่ำที่สุดต่างก็มี เรตินอล เป็นส่วนผสมทั้งคู่  ------------------------------------------------------------------------------------------------ •    ในแต่ละปี คนอเมริกันใช้เงินกว่า 1 พันล้านเหรียญ (สามหมื่นหกพันล้านบาท) เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย •    โดยเฉลี่ยแล้ว คนฝรั่งเศสหนึ่งคนจะใช้จ่ายเงินในการซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม คนละ 100 ยูโร (ประมาณ 4,700 บาท) ต่อปี •    ร้อยละ 70 ของผู้หญิงฝรั่งเศส ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และร้อยละ  38 ของผลิตภัณฑ์ที่ซื้อนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ------------------------------------------------------------------------------------------------ ผิวหนังเกิดริ้วรอยมีสาเหตุจากอะไร สาเหตุของการเกิดริ้วรอยบนผิวหนัง นั้นเกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังเสียความชุ่มชื้นมีสองประการได้แก่ 1.    รังสีจากดวงอาทิตย์  และ2.    การลดลงของฮอร์โมนเพศ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังของขาดความยืดหยุ่น ความสามารถในการอุ้มน้ำลดลง และความเครียด ที่เป็นตัวการทำให้เซลล์ผิวเสื่อมเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น กระบวนการทดสอบ   ระยะเวลาทดสอบ 12 สัปดาห์  (13 มีนาคม – 16 มิถุนายน 2549) สถาบันทดสอบ Institut Dr. Schrader Creachem GmbH ประเทศเยอรมนี ผู้เข้าร่วมการทดสอบ เพศหญิง อายุระหว่าง 30 ถึง 70 ปี  มีสุขภาพผิวดี ไม่เคยได้รับการฉีดโบทอกซ์ หรือคอลลาเจน และไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อสภาพผิวหนัง ในช่วงสามสัปดาห์ก่อนการทดสอบ (ไม่ว่าจะเป็นโดยการรับประทาน หรือการใช้ภายนอก) ผลิตภัณฑ์ที่ทดสอบ 13 ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ที่ติดอันดับขายดีที่สุดในผรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา (11 ผลิตภัณฑ์ เป็นครีมที่แยกใช้เฉพาะกลางวันและกลางคืน ที่เหลืออีก 2 ผลิตภัณฑ์ เป็นครีมประเภทที่ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน) จะใช้ผู้ทดสอบ 20 คนต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ วิธีทดสอบ ผู้ร่วมการทดสอบในแต่ละผลิตภัณฑ์ จะได้รับครีม 2 ตัวอย่าง เพื่อใช้ทาบนใบหน้าทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ทราบว่าทั้ง 2 ตัวอย่างเป็นผลิตภัณฑ์ใด ครีมตัวอย่างที่หนึ่ง เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมที่ผู้ทดสอบจะได้รับเหมือนกันทุกคน ใช้ทาบนใบหน้าด้านหนึ่ง (ในการทดสอบครั้งนี้ ครีมควบคุมได้แก่ ครีมบำรุงผิวธรรมดา ที่ไม่ได้มีส่วนผสมเพื่อการลดริ้วรอย) ครีมตัวอย่างที่สอง เป็นผลิตภัณฑ์ทดสอบ ซึ่งผู้ทดสอบ จะใช้ทาลงบนใบหน้าอีกด้านหนึ่ง ผู้ร่วมการทดสอบทุกคนจะทำความสะอาดผิวหน้าด้วยวิธีเดียวกัน ได้แก่การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดเดียวกัน ในตอนเย็น และล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า (ที่อุณหภูมิห้อง) ในตอนเช้า คำอธิบายตาราง(1) ราคา เป็นราคารวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับกลางวัน และกลางคืนของต่างประเทศ แปลงค่าเป็นเงินบาท  (2) คะแนนโดยรวม เต็ม 100 คะแนน โดยวัดผลจาก 3 ปัจจัย คือ 80 คะแนน จากประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย10 คะแนน จากประสิทธิภาพในการบำรุงผิว10 คะแนน จากการที่ครีมไม่ทำให้เกิดอาการแพ้(3) ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย ประเมินจาก1. ความเปลี่ยนแปลงของจำนวนรอยย่น  รวมถึงความยาว ความลึก และความหยาบกร้านของผิว หลังการใช้เป็นเวลา 12 สัปดาห์2. ภาพถ่ายรอยย่นบริเวณหางตาของผู้ทดสอบ ก่อน ระหว่าง และหลังการใช้เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก(4) ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ประเมินจากปริมาณน้ำที่วัดได้ในผิวหนัง หลังจากการใช้เป็นเวลา 12 สัปดาห์ เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก(5) การทำให้เกิดอาการแพ้ วัดจากจำนวนผู้เข้าทดสอบที่ต้องเลิกใช้เพราะเกิดอาการแพ้ เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ไม่พบ หมายถึงไม่มีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ผลิตภัณฑ์พบ หมายถึงมีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ ไม่เกิน 2 คนพบมาก หมายถึงมีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ มากกว่า 2 คน(6) ความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการลดริ้วรอย ผู้ทดสอบตอบแบบสอบถามด้านความพึงพอใจ ในสัปดาห์ที่ 4 และ 12 เกี่ยวกับ ความชุ่มชื้น ความเรียบลื่น และความยืดหยุ่นของผิวหนัง และการจางหายไปของริ้วรอย ที่ผู้ทดสอบรู้สึกได้(7) ความพึงพอใจต่อตัวเนื้อครีม เช่น ลักษณะของเนื้อครีม กลิ่น ความสม่ำเสมอในการกระจายตัวเนื้อครีม การซึมลงสู่ผิวหนัง และลักษณะของผิวหน้าหลังทาครีม เกณฑ์ให้คะแนนความพึงพอใจ แบ่งเป็น  ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก   ผลการทดสอบเครื่องสำอางที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยบนใบหน้า   ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากประเทศ ราคา(1) (บาท)   คำโฆษณาบนบรรจุภัณฑ์   คะแนนรวม(2) ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย(3) ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว(4) การทำให้เกิดอาการแพ้(5) ความพึงพอใจของผู้ใช้ ความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการลดริ้วรอย(6) ความพึงพอใจต่อตัวเนื้อครีม(7) 1 Diadermine Expert rides ฝรั่งเศส 529 เสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ริ้วรอยตื้นขึ้น   62 ดี ดีมาก ไม่พบ ดี ดีมาก 2 Oil of Olay Olay Regenerist อเมริกา       721 เผยผิวใหม่ ทีละเซลล์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม 61 ดี ดีมาก ไม่พบ ดีมาก ดีมาก 3 Lancôme Renergie ฝรั่งเศส  อเมริกา   3,154 ซ่อมแซมผิว เพิ่มความกระชับ ต่อต้านริ้วรอย 56 ดี ดีมาก ไม่พบ ดี ดี 4 Roc Retin-OX   ฝรั่งเศส   851 บำรุงผิว รักษาริ้วรอย อย่างเข้มข้น 54 ดี ดี พบมาก ดีมาก ดี 5 Neutrogena Neutrogena Visibly Firm   อเมริกา 613 สูตรปรับปรุงใหม่ เพื่อผิวที่กระชับ เต่งตึงขึ้น 47 ปานกลาง ดี พบ ดี ดี 6 Avon Anew Alternative         ฝรั่งเศส  อเมริกา 1,748 ดูแลริ้วรอยที่เกิดจากวัยอย่างเข้มข้น 44 ปานกลาง ดีมาก พบ ดีมาก ดี 7 L'Oreal Paris Dermo Expertise Wrinkle De-Crease with Boswelox ฝรั่งเศส  อเมริกา   592 ปรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น 42 ปานกลาง ดีมาก พบ ดี ดี 8 Klein-Becker USA Strivectin-SD Intensive Concentrate for Existing Stretch Marks ฝรั่งเศส  อเมริกา 3,450 ทำให้ผิวดูเรียบ กระชับขึ้น รอยแตกลายดูจางลง พิสูจน์แล้วว่าได้ผล โดยร้อยละ 93 ของผู้ทดลองใช้ 40 ปานกลาง ดี ไม่พบ ดี พอใช้ 9 L'Oreal Paris Dermo Expertise RevitaLift Anti-Wrinkle & Firming Cream ฝรั่งเศส  อเมริกา   494 ประสิทธิภาพ การทำงานล้ำลึก 38 ปานกลาง ดีมาก ไม่พบ ดี ดีมาก 10 La Prairie Cellular ฝรั่งเศส  อเมริกา 6,042 เสริมสร้างเนื้อเยื่อ 34 ต่ำ ดี พบ ดี ดี 11 Oil of Olay Active hydrating cream – original   อเมริกา     253 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว 33 ต่ำ ดีมาก พบ ดี พอใช้ 12 Roc Retinol Correxion Deep Wrinkle อเมริกา 721 ลบเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ และริ้วรอยลึก 31 ต่ำ ดีมาก พบ ดีมาก ดี 13 Nivéa visage Q10 Advanced Wrinkle Reducer ฝรั่งเศส  อเมริกา     484 ลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ ปรับสภาพผิวอย่างเข้มข้น 27 ต่ำ ดีมาก ไม่พบ ดี พอใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 64 การพัฒนาเพื่อคุณภาพร้านยาในประเทศไทย

ภ.ญ.ดร.พัชราภรณ์ ปัญญาวุฒิไกร1, ภ.ก.วราวุธ เสริมสินสิริ2 สำนักงานรับรองคุณภาพร้านยา สภาเภสัชกรรม, สำนักงานโครงการพัฒนาคุณภาพร้านยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา   ร้านยาเป็นสถานบริการทางสาธารณสุขในระดับปฐมภูมิ (Primary Care Unit) ซึ่งมีความสำคัญ เป็นที่พึ่ง และอยู่ใกล้ชิดประชาชนและชุมชนมาเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นแหล่งที่ประชาชนตัดสินใจเลือกไปใช้บริการในเบื้องต้นเมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้น เป็นทางเลือกเพื่อการดูแลสุขภาพก่อนที่จะเริ่มมีการก่อตั้งโรงพยาบาลต่าง ๆ ตามการแพทย์ตะวันตก  และจากการศึกษามากมายบ่งชี้ให้เห็นว่า  ร้านยาเป็นจุดที่ประชาชนเลือกมารับบริการเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยในเบื้องต้นสูงถึงร้อยละ 60-80  และคิดเป็นมูลค่าสูงถึงร้อยละ 45 ของมูลค่าการบริโภคยาทั้งประเทศ (สุวิทย์และคณะ, 2537)  และพบว่าการใช้บริการด้านยาผ่านร้านยานี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 14.8 ของค่าใช้จ่ายสุขภาพของครัวเรือน หรือประมาณร้อยละ 6.83 ของรายจ่ายสุขภาพเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งหมดของประเทศไทย (อดิศวร์ หลายชูไทยและคณะ, 2541) จากสภาพเศรษฐกิจและวิถีชีวิตในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนไม่มีเวลาที่จะดูแลสุขภาพตนเองมากนัก ละเลยในการสร้างเสริมสุขภาพ ไม่ได้ใส่ใจที่จะออกกำลังกาย มุ่งแต่ทำงาน  และมีเวลาให้ตนเองน้อยลง เมื่อเกิดการเจ็บป่วยเล็กน้อย ประชาชนจึงยังต้องพึ่งบริการจากร้านยา แม้ว่าปัจจุบันสถานพยาบาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลเกิดขึ้นมากมายแล้วก็ตาม ร้านยายังเป็นทางเลือกที่สะดวก เข้าถึงง่าย จากการสำรวจรายจ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือน (ระบบยา, 2545) พบว่าหลังจากเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ แนวโน้มที่ประชาชนซื้อยากินเองกลับเพิ่มขึ้นจาก 15.4 ในปี 2542 เป็น 18.6 ในปี 2543 ขณะที่สัดส่วนการใช้บริการที่สถานพยาบาลลดลง   และจากรายงานการสำรวจอนามัยและสวัสดิการ ในปี 2544 (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2545) พบว่าพฤติกรรมในการเลือกใช้บริการเมื่อเจ็บป่วยกรณีไม่ต้องนอนโรงพยาบาลของประชาชนไทย ส่วนใหญ่ซื้อยากินเองร้อยละ 23  ใช้บริการที่สถานีอนามัยร้อยละ 20   ใช้บริการที่โรงพยาบาลจังหวัด/โรงพยาบาลอื่นๆ ของรัฐ ร้อยละ 20  ใช้บริการที่โรงพยาบาลชุมชนร้อยละ 13   ใช้บริการที่คลินิกเอกชนร้อยละ 12  และอื่นๆ   จะเห็นได้ว่าร้านยาเป็นสถานบริการหนึ่งที่ประชาชนเลือกใช้บริการเป็นด่านแรก และยังคงเป็นที่พึ่งทางด้านสุขภาพของประชาชนส่วนใหญ่ในการดูแลตนเอง แต่การที่ประชาชนตัดสินใจซื้อยากินเอง ก็พบปัญหาที่ต่อเนื่องมากมาย  ทั้งการใช้ยาไม่เหมาะสม การใช้ยาฟุ่มเฟือยมากเกินความจำเป็น การใช้ยาที่ไม่ต่อเนื่อง รวมถึงอันตรายจากการใช้ยาในบางประเภท ทั้งยาชุดและยาควบคุมพิเศษต่าง ๆ   สาเหตุหลัก ๆ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากร้านยาในสังคมไทย ยังไม่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดและคาดหวังไว้ การควบคุมกำกับร้านยาให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ยังไม่ต่อเนื่องจริงจัง มีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นถึงการจ่ายยาที่ผิดกฎหมายและไม่เหมาะสมตามหลักการวิชาการ (บรรหาร และคณะ, 2540; เพียงฤทัย และดวงฤดี, 2544; โกมาตร และคณะ, 2542; Thamlikitkul 1998) สอดคล้องกับผลการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในปี 2544 ที่ชี้ให้เห็นว่า มีการจ่ายยาเตตร้าซัยคลินที่หมดอายุแล้วโดยร้านขายยาแผนปัจจุบันและร้านขายยาแผนปัจจุบันบรรจุเสร็จฯ ถึงร้อยละ 23.8 และ 21.7 ตามลำดับ (เพียงฤทัย และดวงฤดี, 2544) นอกจากนี้ จากการสำรวจของบริษัท IMS (ธีระ ฉกาจนโรดม, 2543) พบว่ายอดขายยาผ่านช่องทางร้านยาสูงสุด 10 อันดับแรก มีมูลค่ารวมกันประมาณ 1,289 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 12.4 ของมูลค่าการบริโภคยาผ่านช่องทางร้านยาในช่วงเดียวกัน  โดยยาคุมกำเนิด Diane-35 มียอดขายสูงสุด รองมาเป็นยาแก้หวัด Tiffy  ผลการสำรวจสอดคล้องกับการสำรวจรายการยา จากร้านยาเพื่อการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคหมวดค่ายาเมื่อปี 2541 (รุ่งเพ็ชร เจริญวิสุทธิวงศ์, 2541)  ที่พบว่า Tiffy มียอดขายสูงสุดในยากลุ่มทางเดินหายใจ และ Diane-35 มียอดขายสูงสุดในกลุ่มยาคุมกำเนิด   มีข้อสังเกตว่ายา Diane-35 ซึ่งติดอันดับยอดขายสูงสุดไม่ใช่ยาที่ควรซื้อใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร   จากการพิจารณายาใน 10 อันดับแรกที่มีการบริโภคสูงสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการโฆษณาที่บริษัทต่างๆ ใช้ ผลักดันให้อุปทานยาขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลให้เกิดการบริโภคยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เกินความจำเป็น หรือมีการบริโภคผิดซึ่งอาจเกิดอันตรายและสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการศึกษาประเมินความสูญเปล่าจากการจ่ายยาแก้ปวดหลังของร้านยาในกรุงเทพมหานครโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบว่ามีมูลค่า 29 - 62 ล้านบาทต่อปี (ดวงทิพย์, 2540) ปัญหาเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายควบคุมร้านยาที่เป็นอยู่น่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ และไม่สามารถใช้เป็นมาตรการหลักในการกำกับให้เกิดการบริการที่มีคุณภาพในร้านยาได้ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้มีโครงการพัฒนาร้านยาให้มีมาตรฐานตามเกณฑ์ที่สร้างขึ้น  เพื่อยกระดับการให้บริการของร้านยา แต่โครงการก็ไม่สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เนื่องจากปัญหาความไม่ชัดเจนของมาตรฐาน กลไกการประเมิน วิธีเพิกถอนใบรับรอง และที่สำคัญในระบบที่ผ่านมายังขาดแรงจูงใจและความชัดเจนในการกระตุ้นให้ร้านยาต่าง ๆ พัฒนาตนเอง (มาตรฐานร้านยา อย., 2537, 2540) สภาเภสัชกรรมเห็นความสำคัญของร้านยา ที่มีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้ดูแลตนเองยามเจ็บป่วยเบื้องต้น เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างเหมาะสม และเพื่อให้ร้านยาพัฒนาบทบาทให้เกิดความยอมรับในการเป็นหน่วยหนึ่งแห่งระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า จึงได้พัฒนาและจัดการยกระดับคุณภาพร้านยาให้สามารถเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนและสังคมโดยรวมได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยดำเนินการให้มีการรับรองคุณภาพร้านยาขึ้น และพัฒนา "มาตรฐานร้านยา" ตั้งแต่ปี 2544 เพื่อใช้เป็นคู่มือแนวทางในการบริการของเภสัชกรชุมชนที่ร้านยา และเป็นเกณฑ์ในการประเมิน ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดทำมาตรฐานร้านยา รายละเอียดของคู่มือ แนวทางการประเมินตนเอง แนวทางการเยี่ยมสำรวจ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ ทำการเยี่ยมสำรวจ และประชุมรับรองคุณภาพร้านยารอบแรก ถึงรอบที่ 3 ไปแล้ว โครงการ "พัฒนาและรับรองคุณภาพร้านยา" ของสภาเภสัชกรรมนี้ เป็นงานในความรับผิดชอบของสำนักงานรับรองคุณภาพร้านยา กิจกรรมหลักในโครงการฯ จะเป็นการสร้างรูปแบบการปฏิบัติงานและการให้บริการของร้านยาที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีการสร้างกลไกประเมินที่ตรวจสอบได้และทันการณ์ และมีการสร้างแรงจูงใจให้ร้านยาพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานที่กำหนด (สภาเภสัชกรรม: โครงการพัฒนารูปแบบการรับรองคุณภาพร้านยา, 23 ธค.45)บทบาทของร้านยาคุณภาพต่อสุขภาพของคนใช้ยา เภสัชกรที่ให้บริการในร้านยาเป็นส่วนหนึ่งและในหลายกรณีมีฐานะเป็น "ด่านแรก" ที่ผู้ป่วยจะเข้ามาใช้บริการสุขภาพจากผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งบางรายดูแลสุขภาพตนเองมาแล้วในเบื้องต้นโดยไม่ใช้ยา ผู้ป่วยที่พึ่งพาร้านยา ไว้วางใจให้ร้านยาเป้นบริการด่านแรกของตนมีหลายกลุ่ม แบ่งได้ดังนี้ 1.    กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการดูแลรักษาพยาบาลตนเองในเบื้องต้น (Self medication)ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวต้องการที่จะเลือกซื้อยาบำบัดอาการ ความเจ็บป่วยของตนในเบื้องต้น โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจของตนเอง การบอกเล่าจากเพื่อน เครือญาติ จากประสบการณ์ตรงของตนเอง หรือ มาจากการโฆษณายาทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านสื่อต่างๆ ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวจะมาเภสัชกรในร้านยาโดยจะเรียกหา "รายชื่อยา" ที่คิดว่าเหมาะสมสำหรับดูแลรักษาตนเองหรือคนในครอบครัว ต่อกรณีนี้บทบาทของเภสัชกรในร้านยาจะมีบทบาทหลัก คือการประเมินความเหมาะสม ของยาที่เรียกหานั้น และส่งเสริมการดูแลตัวเองด้วยการใช้ยาอย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยเภสัชกรจะมีกระบวนการในการสอบถาม ตรวจสอบซ้ำถึงความเจ็บป่วยและอาการของผู้ป่วย เภสัชกรจะประเมินยาที่เรียกหาว่ามีความเหมาะสมกับอาการและความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่มากน้อยเพียงใด รวมทั้งประเมินความเหมาะสมด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นอายุ โรคประจำตัว ยาที่ใช้ประจำอยู่ หากผู้ป่วยเข้าใจผิดในสรรพคุณของยาที่ตนเองเรียกหาหรือเกิดความไม่เหมาะสมขึ้น เภสัชกรจะให้ความรู้และปรับเปลี่ยนให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องโรคหรืออาการที่เป็นอยู่ รวมทั้งเสนอแนวทางการเลือกใช้ยา และการรักษาที่ถูกต้อง 2.    กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการปรึกษาต้องการคำแนะนำและให้เภสัชกรพิจารณาเลือกจ่ายยาที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวจะเข้ามาด้วยการบอกเล่า อาการความเจ็บป่วยและให้เภสัชกรเลือกสรรยาที่เหมาะสมให้ ต่อกรณีนี้บทบาทของเภสัชกร คือการคัดกรองและรักษาโรคพื้นฐานอย่างเหมาะสม อยู่ภายใต้ขอบเขตความรู้ความสามารถของ เภสัชกรโดยเภสัชกรจะมีกระบวนการซักประวัติผู้ป่วย วินิจฉัย และเลือกยาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วย โดยใช้องค์ความรู้หลักๆ คือ Pharmaco therapy (เภสัชบำบัด) ความรู้พื้นฐานเรื่องโรค รวมทั้งทักษะในการสื่อสารกับผู้ป่วย แต่อย่างไรก็ตาม บทบาทดังกล่าวนั้นจะถูกวางกรอบไว้ เฉพาะผู้มารับบริการรายที่ป่วยด้วยโรคพื้นฐาน (ไข้หวัด ท้องเสีย กระเพาะปัสสาวะอักเสบ บาดแผล เป็นต้น) โดยเภสัชกรจะประเมินแล้วว่า อยู่ในขอบเขตที่สามารถให้การดูแล รักษาได้ การส่งต่อผู้ป่วยให้ไปรับการตรวจวินิจฉัย และ รักษาจากแพทย์ในสถานพยาบาลที่เหมาะสมหลังจากที่เภสัชกรคัดกรองผู้ป่วยแล้วจะส่งต่อผู้ป่วยไปพบแพทย์ในรายที่มีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและการรักษาจากแพทย์ เช่น เป็นอาการฉุกเฉินของโรคบางอย่าง เป็นโรคที่เกินกว่าศักยภาพของเภสัชกรในการดูแล มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเรื้อรัง หรือ ควรพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น การสื่อสารกับแพทย์อาจจะจำเป็นในบางกรณีเพื่อทุ่นเวลาหรือชี้ประเด็น สำหรับอำนวยความสะดวกกับแพทย์ที่จะรับการส่งต่อ โดยอาจจะมีเอกสารประกอบการส่งตัว เช่น ใบส่งตัว (Referral form) 3.    กลุ่มผู้ป่วยที่มาเรียกหา "ยาที่ใช้ประจำ" หลังจากได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์มาแล้วในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวนั้นจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มโรคเรื้อรังซึ่งจำเป็นต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน ต้องการการติดตามการดำเนินโรคและการควบคุมโรคจากแพทย์ โดยหลักแล้วการมีโอกาสได้พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ในหลายกรณี การพบแพทย์อย่างต่อเนื่องนั้นมีอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การเสียเวลารอคอย ภาระค่าใช้จ่ายที่สูง หรือกรณีที่ยาหมดก่อนถึงวันนัด เป็นต้น ดังนั้นการมาเรียกหายาที่ใช้ประจำในร้านยาจะเป็นการสะดวกกับผู้ป่วย โดยบทบาทของเภสัชกรในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวคือประเมินสภาวะของโรคและความเหมาะสมในการจ่ายยาที่ใช้ประจำ [Refill]รวมทั้ง สืบค้น และติดตามอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ก่อนที่เภสัชกรจะ Refill ยาให้ผู้ป่วย การประเมินความเหมาะสมก่อนจ่ายยามีความจำเป็น โดยการพิจารณาถึง ประสิทธิภาพการการควบคุมโรคของยาเดิมด้วยการติดตามผลการรักษาว่าสามารถควบคุมอาการ โรคได้หรือไม่ โดยจะมีซักถามอาการ รวมทั้งอาจจะให้บริการอื่นๆ เช่น บริการเจาะเลือดวัดระดับน้ำตาลโดยใช้เครื่องตรวจแบบง่ายๆ หรือวัดความดันโลหิต นอกจากนั้นจะพิจารณาถึง ความถี่ห่างของการพบแพทย์ และที่สำคัญคือ การ สืบค้นปัญหาจากการใช้ยาของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ความร่วมมือในการใช้ยา การได้รับยามากเกินไป น้อยเกินไป การเกิดDrug Interaction ระหว่างยาเป็นต้น ให้คำแนะนำเฉพาะที่จำเป็นต่อผู้ป่วยที่มารับบริการ จ่ายยาเดิมที่ใช้ประจำ [Refill] ยาหลังจากนั้นจะให้บริการด้านคำแนะนำเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้มาใช้บริการร้องขอหรือประเมินแล้วผู้ป่วยขาดข้อมูลที่จำเป็น ซึ่งคำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีมากมาย เช่น-    ข้อบ่งใช้ของยา-    การปฏิบัติตัวเฉพาะของผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ-    อาการแทรกซ้อนที่จะตามมา-    การใช้และรับประทานยาที่ถูกต้อง-    ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น -    ปฏิกิริยาของ ยาอื่นๆ ที่ผู้ใช้อยู่ประจำ กับ ยาที่มาหาซื้อ-    ส่วนอื่นๆที่สนใจ เช่น การแก้ไขเบื้องต้นในอาการแทรกซ้อนที่จะเกิด-    การปรับวิถีชีวิตและการปฏิบัติตัว (Life  style  modification) เฉพาะของผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ-    ความจำเป็นในการพบแพทย์ และช่วงเวลาที่ควรไปพบแพทย์ครั้งต่อไป โดยการประเมินจากประสบการณ์ส่วนตัวของเภสัชกรว่า โรคนั้นๆ ผู้ป่วยรายนั้นๆ ควรไปพบแพทย์เมื่อใด บ่อยแค่ไหน แพทย์นัดเมื่อไร ผู้ป่วยทั้ง 3  กลุ่ม นอกจากจะได้รับการบริการเฉพาะข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับบริการที่เป็นพื้นฐานในการให้บริการ คือ การส่งมอบยา พร้อมคำแนะนำด้านยา และตอบสนองสิทธิผู้ป่วยพื้นฐานด้านข้อมูลยาหลังจากเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแล้ว การส่งมอบยาพร้อมคำแนะนำด้านการใช้ยาเป็นบทบาทสำคัญที่ตามมา โดยเภสัชกรจะให้คำแนะนำด้านการใช้ยากับผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพในการรักษา มีเข้าใจ และเกิดความร่วมมือในการใช้ยา (Compliance) โดยการให้คำแนะนำจะเน้นประเด็นต่างๆที่สำคัญ เช่น ชื่อยา (ระบุบนซองยา) ปริมาณและวิธีการใช้ยาที่ถูกต้องมีประสิทธิภาพ (ระบุบนซองยา)   คำเตือน (ระบุบนซองยา)  สรรพคุณของยา ข้อบ่งใช้ กลไกของยาในการรักษาเบื้องต้น และการเฝ้าระวัง ป้องกัน และบำบัดอาการอันไม่พึงประสงค์จากการบริโภคยา โดยใช้องค์ความรู้ในเชิง เภสัชวิทยา (Pharmacology) เสริมในการให้บริการ นอกเหนือจากความรู้ที่ใช้ในการรักษาโรคพื้นฐานด้วยยาการให้ความรู้เรื่องโรคและยา ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ผู้ป่วยควรรู้บทบาทในการให้ความรู้ด้านอื่นๆ นอกจาก "ยา" เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่มีความจำเป็น เนื่องจาก ผู้ที่มาใช้บริการมักจะขาดความรู้ในเรื่องที่จำเป็นในการดูแล รักษาโรคที่ตนกำลังประสบอยู่ ไม่ว่าจะเป็น สาเหตุของโรค การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การดูแลตนเองให้หายจากการเจ็บป่วยเร็วมากขึ้น การประเมินความรุนแรงของโรคด้วยตนเอง การระวังอาการอันไม่พึงประสงค์ และการปฏิบัติตัวเพื่อลดอาการอันไม่พึงประสงค์ หรือจะเป็นความรู้เบื้องต้นในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพชนิดอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง เป็นต้นการให้ความรู้นอกจากจะให้เป็นรายบุคคลแล้ว เภสัชกรจะให้ความรู้กับผู้ที่สัญจรไปมา ด้วยการจัดบอร์ดให้ความรู้ เอกสารแผ่นพับ จดหมายข่าว ฯลฯ  หรือในบางกรณีเภสัชกรชุมชนอาจจะมีกิจกรรมที่ให้ความรู้ต่อชุมชน  เช่น  การมีจดหมายข่าวไปสู่สมาชิกในชุมชน  การเยี่ยมบ้าน หรือการจัดบอร์ดในชุมชนการคัดเลือกยาที่มีคุณภาพ และ รับประกันคุณภาพของยาก่อนถึงมือผู้ใช้กระบวนการในการคัดเลือกยาที่จะมาให้บริการในร้าน เป็นอีกบทบาทที่มีความสำคัญ โดยการใช้ทักษะองค์ความรู้เฉพาะทางเภสัชศาสตร์ พิจารณารูปแบบยาจากภายนอก ประสบการณ์ในการคัดเลือก ประสบการณ์ด้านคุณภาพโรงงานผลิต เป็นต้น เพื่อการมียาที่คุณภาพดีที่จะใช้บริการผู้ป่วย นอกจากนั้นยังต้องสร้างระบบการควบคุม เฝ้าระวังการหมดอายุของยา ใม่ว่าจะเป็นระบบแถบสี หรือ บัญชียาหมดอายุ รวมทั้งการเก็บรักษายาตามหลักเภสัชศาสตร์เพื่อป้องกันการเสื่อมอายุของยา การเป็นปรึกษาและเป็นที่พึ่งเรื่องสุขภาพของคนในชุมชน ที่เข้าถึงง่ายเมื่อเรื่องของสุขภาพมีในหลายแง่มุม กว้างขวาง ประชาชนยังมีความรู้ไม่พอเพียง และต้องการที่ปรึกษาที่เข้าถึงง่าย เภสัชกรในร้านยาที่มีคุณภาพมักจะสามารถสร้างความเชื่อถือ ไว้ใจ ใกล้ชิดกับประชาชนพอที่จะให้บริการตอบคำถามต่างๆ ในเรื่องของสุขภาพได้ โดยไม่คิดมูลค่า เช่น ในกรณีที่ต้องการให้ช่วยประเมินความปลอดภัยของยาที่จะใช้กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์  การประเมินความจำเป็นในการไปพบแพทย์ เป็นต้น บริการดีๆของร้านยาที่มีคุณภาพ บทบาทของเภสัชกรในร้านยาที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นบริการขั้นพื้นฐานที่ร้านยาคุณภาพพึงจะมีให้ผู้ป่วยที่มาใช้บริการ นอกจากบทบาทพื้นฐานเหล่านี้  เช่น-    เก็บบันทึกประวัติผู้ป่วยเรื้อรังที่มีปัญหาจากการใช้ยาหรือป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ระบบการติดตามผล -    การรณรงค์ป้องกันโรคในชุมชน โดยให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม-    บันทึกแจ้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในกาคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา-    ออกให้บริการ ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา นอกสถานที่ แล้วแต่เทศกาล-    เยี่ยมบ้านสำหรับผู้ป่วยบางราย-    ทำจดหมายข่าวให้ความรู้ กรณีตัวอย่างที่ 1ร้านส่งเสริมเภสัช ตั้งอยู่เลขที่ 255/47 ถนน พหลโยธิน ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี - ตำบลคูคต เป็นตำบลในเขตการปกครองของอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ประกอบด้วย  6 หมู่บ้าน คือ บ้านขจรเนติยุตร, บ้านคลอง 3, บ้านสายไหม, บ้านลำสามแก้ว, บ้านสาดสนุ่น, บ้านสามัคคี เป็นตำบลที่มีการคมนาคมสะดวก เป็นที่ตั้งของตลาดสดสี่มุมเมือง ทำให้มีการสัญจรไปมาขับคั่ง ตำบลคูคต ทิศเหนือ ติด ต.ประชาธิปัตย์ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทิศใต้ ติด กรุงเทพฯ ทิศตะวันออก ติด ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และทิศตะวันตก ติด ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี จำนวนประชากรทั้งสิ้น 15,694 คน ในตำบลคูคต มีร้านยาจำนวน 25 ร้าน คิดเป็น จำนวนร้อยละ 16.55 ของจำนวนร้านยาทั้งหมดในจังหวัดปทุมธานี ร้านส่งเสริมเภสัช โดย ภ.ก.วิรัตน์ เมลืองนนท์ ได้จัด บอร์ดให้ความรู้แก่ผู้สัญจรไปมา และผู้มาใช้บริการ เพื่อให้ได้มีความรู้มากขึ้นในแง่ของการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค โดยมีบอร์ดสำเร็จรูปทั้งหมดที่ร้านทำไว้ 40 - 50 แฟ้มที่เอาไว้เปลี่ยน เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นโรคพื้นฐาน เช่น เรื่องโรคกระเพาะ เรื่องการใช้ยา เรื่องเริม และจะมีเปลี่ยนเดือนละ 1 - 2 ครั้ง ส่วนการเลือกเรื่องนั้น แล้วแต่ฤดูกาล"...เรื่องของ โปสเตอร์หน้าร้าน นั้นจะเปลี่ยนตามช่วง ช่วงที่มีไข้เลือดออกระบาดก็จะทำเนื้อหาเกี่ยวกับไข้เลือดออกเป็นต้น ซึ่งดูจากสื่อมวลชน เราจะรู้ว่าช่วงนี้ควรติดเรื่องอะไร และดูตามฤดูกาล เช่น เข้าหน้าหนาวเราควรดูแลตนเองอย่างไร ข้อมูลที่มาจากคนไข้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เป็นหลัก..." (สัมภาษณ์ เภสัชกรผู้ให้บริการหลักในร้านส่งเสริมเภสัช)บทบาทในการให้ความเรื่องอื่นนอกจาก "ยา" เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่มีความจำเป็น เนื่องจาก ผู้ที่มาใช้บริการมักจะขาดความรู้ในเรื่องที่จำเป็นในการดูแล รักษาโรคที่ตนกำลังประสบอยู่"...ความรู้ที่ให้ไปนั้น บางครั้งเรามองว่าเป็นบทบาทของอีกวิชาชีพหนึ่ง แต่ถึงเวลาจริงๆ คนไข้กลับไม่ได้รับความรู้เรื่องนั้นๆ ในชุมชนที่เราอยู่ไม่มีคนให้ความรู้ หรือ คนไข้ไม่ได้รับความรู้มาทั้งหมด มีระบบที่มีการให้พยาบาลมาให้ความรู้ตามโรงพยาบาล แต่ละโรงพยาบาล ระบบนี้ก็ไม่ได้ให้เหมือนกันทั้งหมด ผู้มาใช้บริการกับผมมักจะไม่ค่อยรู้ การแบ่งบทบาทวิชาชีพเป็นเรื่องดี แต่ในฐานะที่เภสัชกรชุมชน ที่มีหน้าที่ต้องคัดกรองและรักษาโรคเบื้องต้น ผมว่าควรให้ความรู้อื่นๆประกอบนอกจากเรื่องยาของเรา...และต้องมีองค์ความรู้เพียงพอในเรื่องโรค เพราะในบางครั้งเราสามารถเสริมในสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าผู้ป่วยเรียกร้อง หรือคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะให้.. บางครั้งเราก็ต้องรู้เพื่อแบ่งเบาภาระ แต่ต้องรู้ว่าด้านนี้ไม่ใช่ภาระหลักของเภสัชกร แต่เราต้องรู้เพื่อครอบคลุมการดูแลชุมชนของเรา เพื่อคุ้มครองเขา..." (สัมภาษณ์ เภสัชกรผู้ให้บริการหลักในร้านส่งเสริมเภสัช) กรณีตัวอย่างที่ 2ร้านเรือนยา  ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนฯ เป็นร้านขายยา ขนาด 2คูหา มี ภ.ก.คฑา บัณฑิตานุกูล เป็นเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการเปิดตั้งแต่ 8.00 - 22.00 น. มีการรับสมัครสมาชิกกว่า 500 ราย และมี จดหมายข่าวด้านสุขภาพ ในชื่อ " เรือนยาสัมพันธ์ " เป็นสายใยความผูกพันระหว่างร้านยาและผู้ใช้ยา ส่งตรงถึงบ้านสมาชิกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทุกเดือน ๆ ละฉบับ กว่า 4 ปีแล้ว ที่วารสารเกือบ 50 ฉบับได้ส่งถึงมือผู้รับพร้อมมอบสาระ ความรู้ และสร้างความผูกพันระหว่างกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากบริษัทยาใด ๆ เป็นความตั้งใจให้จดหมายข่าวทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง โดยมีความมุ่งหมายคือการส่งเสริมให้เกิดการดูแลสุขภาพทั้งก่อนเจ็บป่วยและหลังเจ็บป่วย รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างเหมาะสม บางฉบับมีการสร้างกิจกรรมร่วมกันโดยมีแบบสอบถามความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกัน ของขวัญที่เป็นหนังสือความรู้เรื่องเล็กๆน้อยๆ ล่าสุดมีความพยายามในการเปิดเวทีความคิดให้กับสมาชิกมาร่วมกันในจดหมายข่าวมากขึ้นเพื่อเพิ่มปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกด้วยกันมากขึ้น ตอนนี้ถึงแม้มีผู้ใช้ยาหลายคนย้ายที่อยู่และไม่ได้มาใช้บริการกับร้านเรือนยาแล้ว แต่ด้วยสายใยที่ยังเหนียวแน่น จดหมายข่าวจะยังไปถึงมือสมาชิกต่อไปแม้จะได้มาใช้บริการที่ร้านก็ตาม สิ่งดีๆเหล่านี้มีความเผยแพร่แนวคิดเรื่องจดหมายข่าวให้กับร้านยาอื่นๆ มากขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเนื้อหาสาระ รูปแบบใหม่ๆ ที่สำคัญคือการสานให้เกิดเครือข่ายร้านยาที่มีจุดหมายและกิจกรรมที่ดีๆสู่ผู้บริโภคอย่างยั่งยืน ต่อเนื่องและขยายตัวออกไป กรณีตัวอย่างที่ 3 ร้าน เอ็น & บี ฟาร์มา แคร์ เป็นร้านยาที่เปิดตัวขึ้นใหม่ แถวรามคำแหง 2 เขตประเวศ บริหารโดย ภ.ก.นาวี ช่วยชาติ เภสัชกรหนุ่ม ไฟแรงมีความใฝ่ฝันในการพัฒนาคุณภาพงานบริการทางเภสัชกรรมในร้าน เป็นร้านยาใหม่ที่วางแนวทางเป็นร้านยาคุณภาพตั้งแต่เริ่มต้น เป็นอีกร้านที่มีความพยายามที่จะนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการดูแลผู้ป่วยและบริหารจัดการภายในร้าน กิจกรรมที่น่าสนใจในร้านนี้เห็นจะได้แก่การเก็บประวัติการใช้ยาของผู้ป่วย 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง  เช่น โรคความดันโลหิตสูง และ กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านเชื้อจุลชีพ ที่เป็นผู้ป่วย 2 กลุ่มที่ต้องการการติดตามการใช้ยา ว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาหรือไม่ และใช้เป็นข้อมูลเฉพาะบุคคลที่เป็นพื้นฐานสำหรับในการให้บริการด้านยาในครั้งต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีข้อมูล  "ไม่เอาผู้มาใช้บริการเป็นหนูทดลองยาและบางครั้งยังทำให้เกิดการประหยัดสำหรับผู้มาใช้บริการด้วย"  เป็นทัศนคติที่สำคัญของเภสัชกรประจำร้าน ผู้มาใช้บริการร้านนี้ หลังจากใช้ยาที่ต้องติดตามแล้วจะมีเสียงโทรศัพท์จากร้านยา เพื่อแสดงความห่วงใยและติดตามผลการใช้ยา รวมทั้งเฝ้าระวังอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น  แม้จะเป็นบริการรูปแบบใหม่ ทำให้ผู้มาใช้บริการหลายคนถึงกับแปลกใจในระยะแรก ปัจจุบันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี 9 ข้อ ประเมินร้านยาที่ท่านใช้บริการ 1.    ท่านจะรู้ทันทีว่า ใครกำลังให้บริการท่านอยู่ เป็นเภสัชกร ผู้ช่วยเภสัชกร  แต่อย่างไรก็ตามเภสัชกรจะส่งมอบยาขั้นสุดท้ายก่อนถึงมือท่าน 2.    เมื่อท่านเรียกหายา ผู้ให้บริการจะถามถึงผู้ใช้ยาที่แท้จริง และถามย้ำเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า ยาที่ท่านเรียกหานั้น เหมาะสมกับโรคหรืออาการที่ท่านเป็น มีความปลอดภัยกับท่าน ไม่ตามใจท่านโดยขายอย่างเดียว3.    เมื่อท่านได้รับยาแล้ว ท่านจะรู้ว่า ยาที่ได้รับ มาจากร้านชื่ออะไร ชื่อยาอะไร รักษาอะไร วิธีใช้อย่างไร มีคำเตือนอะไร โดยระบุบนซองยาและฉลากให้ความรู้ด้านคำเตือนเสริมให้ในข้อมูลที่สำคัญ 4.    ไม่มีจ่ายยาเป็นชุดๆ  แต่จะ จ่ายยาพร้อมให้คำอธิบายที่จำเป็น เช่น วิธีใช้ การปฏิบัติตัวเพื่อให้หายป่วย การใช้ยาอย่างเหมาะสม เป็นต้น5.    ถ้าท่านเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องมารับบริการต่อเนื่อง จะมีแฟ้มเก็บ "ประวัติการใช้ยา" เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความปลอดภัยจากการใช้ยา 6.    ในกรณีมีปัญหาจากการใช้ยา จะมีบริการ "ให้คำปรึกษาด้านยา" เพื่อแก้ไขปัญหาจากการใช้ยา และ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาด้วยยาอยู่อย่างสม่ำเสมอ 7.    เมื่อโรคและอาการที่มาเกินความสามารถของเภสัชกรในการดูแล รักษา จะมีการส่งต่อให้แพทย์ดูแล 8.    มีสื่อให้ความรู้ด้านสุขภาพ และมีประกาศสิทธิผู้ป่วย ให้เห็นชัดเจน9.    ปรึกษาเรื่องยา เรื่องสุขภาพ การป้องกันโรค สร้างเสริมสุขภาพ ได้ด้วย -    Mapping (ร้านยาที่ผ่าน / ร้านยาที่สมัคร)ร้านยาที่สมัครเข้าโครงการเพื่อพัฒนาเป็นร้านยาคุณภาพ ปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มาก เพียง 200 กว่าร้าน แต่ก็กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการประสานงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดต่างๆ และ สมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) ร่วมกับสภาเภสัชกรรมร้านยาที่ผ่านการรับรองเป็นร้านยาคุณภาพ โดยสภาเภสัชกรรม ในปี 2546 (รุ่นที่ 1 ) มี 26 ร้าน และในปี 2547 (รุ่นที่ 2 ) 21 ร้านนี้ คาดว่าจะมีเพิ่มอีกกว่า 50 ร้านก่อนสิ้นปี 2547  ทั้งใน กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ ผู้ประสานงานเพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม ภ.ญ.ดร.พัชราภรณ์ ปัญญาวุฒิไกร อนุกรรมการ และ ผู้เยี่ยมสำรวจ สำนักงานรับรองคุณภาพร้านยา สภาเภสัชกรรม T. 02 590 1877, M. 01 627 4848ภ.ก.วราวุธ เสริมสินสิริ ผู้ประสานงาน สำนักงานโครงการพัฒนาคุณภาพร้านยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาT. 02 589 7147, M. 09 796 1437

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 58 ร้านยาไซเบอร์ มหันตภัยยุคออนไลน์

  ในขณะที่หลายคนยังงงสับสนอยู่ว่าทิศทางการขายยาตามรูปแบบกฎหมายยาฉบับใหม่จะไปทางไหน แพทย์จะขายยาได้อีกหรือเปล่า จะให้นั่งเขียนใบสั่งยาอย่างเดียวแล้วคลินิกที่เปิดจะอยู่ได้อย่างไร เภสัชกรจะวินิจฉัยโรคและสั่งยาได้เก่งกว่าแพทย์แค่ไหน ก็ปรากฏว่าโลกของการขายยาในยุคปัจจุบันไปไกลกว่าที่เราคาดถึงเสียแล้ว เมื่อร้านขายยาถูกยกระดับเป็นร้านขายยาไซเบอร์ขายกันทางออนไลน์ ซื้อขายกันได้ข้ามโลก คำถามคือว่ากฎหมายที่เรามีอยู่หรือแม้แต่กำลังจะออกมาใหม่จะคุ้มครองผู้บริโภคได้แค่ไหนกัน ...................................................ฉลาดซื้อฉบับนี้ได้ทำการรวบรวมข้อมูลของปัญหาที่เกิดขึ้นจากร้านขายยาทางอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นใน 2 ประเทศ หนึ่งคือสหรัฐอเมริกาเจ้าแห่งโลกออนไลน์และเจ้าแห่งบริโภคนิยม สองคือประเทศไทย ประเทศที่มีประชากรใช้ยาในปริมาณที่ประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกายังอายและกำลังเดินเข้าหาโลกออนไลน์อย่างไม่ครั่นคร้าม พฤติกรรมการซื้อการขายยาของทั้งสองประเทศอาจจะมีจุดแตกต่าง แต่เมื่อพิจารณาให้ดีก็จะเห็นแนวทางอันตรายที่มีแนวโน้มไปในทางเดียวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผู้มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องขบคิดว่าจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็ต้องตระหนักให้ทันว่าร้านยาไซเบอร์คือความก้าวหน้าหรือมหันตภัยของชีวิตและสุขภาพของตัวเองกันแน่   เหตุเกิดที่ประเทศไทย ในปัจจุบันคนไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับยาด้อยคุณภาพอยู่แล้วในหลายลักษณะ เช่น ยาผิดมาตรฐาน ยาปลอม หรือยาเสื่อมคุณภาพ ทั้งจากทางบุคลากรทางการแพทย์ จากร้านขายยา หรือร้านขายของชำต่าง ๆ และเมื่อโลกออนไลน์สำหรับคนไทยขยายตัวกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น สภาพปัญหาที่เกิดจากการซื้อยาผ่านทางร้านยาอินเทอร์เน็ตก็มีมากขึ้นตามลำดับปัญหาที่เกิดจากการขายยาผ่านทางอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย มีการขายยาแผนปัจจุบัน ระบุชื่อการค้า และสรรพคุณ บางเว็บไซต์มีการโฆษณารูปภาพแสดงความทุกข์ทรมานและมีการลด แถม ให้ของสัมมนาคุณ มีการขายยาที่อ้างว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณและมีสรรพคุณเป็นยาบำรุง มีการขายยาโดยอ้างว่าเป็นการขายแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ แต่ผู้บริโภคทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้โดยมีการขายยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ มีการโฆษณายาโดยบุคลากรวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพใช้ชื่อของตนและอธิบายคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ โดยระบุชื่อการค้า โดยเฉพาะการโฆษณายาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เหตุเกิดที่สหรัฐอเมริกา ในสหรัฐอเมริกาผู้บริโภคจำนวนหนึ่งได้เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อยาจากร้านยามาเป็นซื้อยาผ่านทางอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์จำนวนนับร้อยมีบริการจำหน่ายยาโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ ทั้งที่โดยกฎหมายของสหรัฐอเมริกาแล้ว ยาเหล่านี้จะขายให้แก่ผู้ป่วยได้จะต้องมีการตรวจวินิจฉัยโรคก่อนโดยแพทย์และจะต้องมีใบสั่งยา ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมองไม่เห็นข้อเสียของการซื้อยาผ่านทางอินเทอร์เน็ตเปรียบเทียบกับวิธีเดิมที่ต้องไปพบแพทย์และไปรับยากับเภสัชกรที่ร้านยา เหตุผลที่สำคัญไม่แพ้กันที่ทำให้ผู้บริโภคหันไปใช้บริการร้านยาทางอินเทอร์เน็ตคือรู้สึกว่าได้รับความสะดวก ไม่ต้องเสียเวลา และให้ความเป็นส่วนตัว ทั้งยังคิดว่าน่าจะเชื่อถือได้เนื่องจากเว็บไซต์หลายแห่งมีการระบุ สถานที่ และที่ติดต่อให้ไว้ อย่างไรก็ดีปัญหาจากการซื้อยาผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจนนำไปสู่การเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารของรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ปัญหาที่เกิดจากการซื้อยาผ่านทางอินเทอร์เน็ต การขายยาให้ผู้ป่วยโดยไม่ผ่านการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ หรือการให้ผู้ป่วยกรอกแบบสอบถามแล้วจ่ายยาให้ การขายยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมทั้งเครื่องมือตรวจวินิจฉัย และให้การบำบัดรักษาทางการแพทย์ที่โอ้อวดเกินจริง มีการขายยาบางชนิดที่เข้าข่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทหรือสารเสพติด ลักษณะของร้านขายยาไซเบอร์Cybermedicine หรือ Cyberpharmacy เป็นชื่อที่ถูกใช้เรียกเว็บไซต์ขายยาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม 1.    PHARMACY BASED SITES เว็บไซต์ขายยากลุ่มนี้มีแบบแผนเช่นเดียวกับร้านยาปกติโดยทั่วไปเพียงแต่ย้ายมาตั้งบนเว็บไซต์ เว็บไซต์เหล่านี้จะขายยาให้แก่ผู้ป่วยที่มีใบสั่งแพทย์เท่านั้น ร้านขายยากลุ่มนี้จึงไม่ได้สร้างปัญหาในเรื่องความพยายามที่จะขายยา ปัญหาที่พบในทางกฎหมายจะเป็นในลักษณะที่บางเว็บไซต์ไม่มีใบอนุญาตจำหน่ายยาจากรัฐที่เว็บไซต์ดำเนินธุรกิจขายยาอยู่2.    PRESCRIBING BASED SITES ในสหรัฐอเมริกามีเว็บไซต์จำนวนนับพันแห่งที่มีแพทย์และเภสัชกรบริการให้คำแนะนำทางการแพทย์หรือให้ข้อมูลทางสุขภาพโดยไม่ได้จ่ายยาให้กับผู้ป่วยซึ่งนับเป็นเรื่องดี แต่กับ PRESCRIBING BASED SITES เว็บไซต์กลุ่มนี้จะให้ผู้ป่วยปรึกษากับแพทย์ทางอินเทอร์เน็ต (online doctor visit) โดยผู้ป่วยอาจจะตอบแบบสอบถามที่จัดไว้ให้ในเว็บไซต์ หรืออาจใช้รูปแบบของ Video Conference ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย คิดค่าบริการให้คำปรึกษาอยู่ระหว่าง 30 - 150 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,200 - 6,000 บาท) เมื่อให้คำปรึกษาแล้วแพทย์ก็จะสั่งจ่ายยาผ่านทางเว็บไซต์ขายยา หรือ online pharmacy ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่เดียวกันกับที่ตั้งของแพทย์ผู้ให้คำปรึกษา แพทย์ ร้านยา และผู้ป่วยอาจจะอยู่กันคนละรัฐก็ได้ ข้อเสียสำคัญคือ เนื่องจากเว็บไซต์ขายยาระบบนี้จะให้ผู้ป่วยตอบแบบสอบถามผ่านเว็บไซต์เท่านั้น แพทย์จึงไม่ได้พบผู้ป่วยเพื่อตรวจร่างกาย และอาจจะไม่พบโรคของผู้ป่วยเพราะโรคบางโรคจะพบได้ก็จะต้องมีการตรวจร่างกาย การรับบริการผ่านทาง PRESCRIBING BASED SITES ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการที่แพทย์จะตรวจโรคได้ไม่ครอบคลุมทั่วถึง พฤติกรรมของเว็บไซต์ขายยากลุ่มนี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมละเมิดจริยธรรมและวิธีปฏิบัติของการประกอบวิชาชีพของแพทย์3. Online drug shop  เป็นร้านขายยาบนอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน กลุ่มร้านยาออนไลน์เหล่านี้เน้นการขายยาอย่างเดียวไม่มีการตรวจร่างกาย ไม่มีการให้คำปรึกษาหรือแม้แต่การกรอกแบบสอบถามผู้ป่วย ยาที่ขายมีทั้งยาควบคุมพิเศษ , ยาอันตรายที่ต้องการใบสั่งแพทย์ และขายยาที่ไม่ผ่านการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ผู้ซื้อสามารถเลือกยาอะไรก็ได้ที่ต้องการโดยจ่ายเงินผ่านทางเครดิตการ์ด เว็บไซต์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่นอกประเทศสหรัฐอเมริกาและสร้างปัญหาอย่างมากในการควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมาย ผู้บริโภคที่ซื้อยาจากร้านยาไซเบอร์กลุ่มนี้มักไม่รู้ว่าร้านยาเหล่านี้กระทำการละเมิดกฎหมายโดยตรง รัฐบาลสหรัฐฯถือว่าเว็บไซต์ในกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีปัญหามากที่สุด เนื่องจากเว็บไซต์เหล่านี้ไม่เปิดเผยที่อยู่และมักจะตั้งอยู่นอกประเทศ ดังนั้นการจัดการทางกฎหมายเพื่อให้เว็บไซต์เหล่านี้หยุดขายยานับเป็นเรื่องยากมาก แม้จะมีการปิดเว็บไซต์เหล่านี้ได้แต่เพียงไม่กี่วันก็จะเปิดขึ้นใหม่อีกโดยใช้ชื่อหรือที่อยู่ที่แตกต่างไปจากเดิม ผลเสียจากการขายยาผ่านทางอินเทอร์เน็ต เป็นการทำลายระบบคุ้มครองสุขภาพที่ผู้ป่วยควรจะได้รับจากการให้บริการของแพทย์หรือเภสัชกร ผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายจากยาที่ได้รับ เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบของเภสัชกรในระหว่างการจ่ายยา ยาจากเว็บไซต์ที่ไม่ระบุสถานที่แน่นอน อาจเป็นยาปลอม อาจมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เป็นยาที่หมดอายุ หรือไม่ได้มาตรฐาน การซื้อยาผ่านทางอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้ป่วยอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และไม่น่าจะได้รับยาที่ถูกต้องตรงตามโรค   เว็บไซต์ขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ควรหลีกเลี่ยง โลกออนไลน์เป็นโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและอาจจะช้าเกินการณ์ การหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้บริโภคในยุคออนไลน์ ในที่นี้ฉลาดซื้อขออนุญาตแนะนำหลักในการพิจารณาเว็บไซต์ขายยารวมถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของท่าน เว็บไซต์ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรค เว็บไซต์ขายยาที่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก อย. หรือพยายามเชื่อมโยงให้ซื้อยาขากเว็บไซต์อื่น เว็บไซต์ที่มีแต่เพียงเบอร์โทรศัพท์ ชื่อบุคคลสมมติ ไม่มีที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งแสดงไว้อย่างชัดเจน เว็บไซต์ที่ขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ใช่ยา แต่อวดอ้างสรรพคุณรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายข้อมูลจาก"สถานการณ์ แนวโน้ม และการแก้ไขปัญหาการขายยาผ่านทางอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา" โดย ภก.ดร.วิทยา  กุลสมบูรณ์ หน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 40 ทะเบียนยา

ตารางที่ 1 แสดงรายการทะเบียนยาผสมที่มี PPA เป็นส่วนประกอบในช่วงปริมาณมากกว่า 50 มก./แคปซูล/เม็ด/15 มล. เรียงตามชื่อทางการค้า ลำดับ เลขทะเบียน ชื่อผู้ประกอบการ ชื่อการค้า 1 2A373/31 สุพงษ์เภสัช คอฟ ดี.เอส 2 2A17/38 ห้างยาไทย 1942 จำกัด คอฟต้า คัพ 3 2A81/31 จิวบราเดอร์ส คอลเดท ไซรัป 4 2A218/32 ไซอเมริกันฟาร์มาซูติเคิ้ลส์ จำกัด โคซายร์ 5 2A870/27 สยามเมดิแคร์ จำกัด โคลดี้ 6 2A195/27 เจริญเภสัชแล็บ จำกัด ซี.บี.คัพ ไซรัป 7 2A278/41 แสงไทยกำปะนี (สาขา) ซูเม็ก คัพ ไซรัป 8 2A333/32 เลิศสิงห์เภสัชกรรม ดีเฟอร์ลิน ชนิดหยด 9 2C31/35 ไวเอท - เอเยิร์สท์ (ประเทศไทย) จำกัด ไดมีแท็ป ชนิดหยดสำหรับทารก 10 2B11/41 อินเตอร์ไทย ฟาร์มาซูติเคิ้ล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ไดมีแท็ป เอ็กซ์เทนแท็บส์ 11 2A374/32 ฟาร์สเป็ค จำกัด ทัสเปค ไซรัป 12 2C129/40 ฐิติรัตน์สานนท์ จำกัด โบรมาแท็ป 13 2A55/42 ยูเมด้า จำกัด พานากิน- เอ ไซรัป 14 2C26/40 ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ไรโนทัสซาล 15 2C27/40 ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ไรโนปรอนท์ ไซรัป 16 2A135/38 จิวบราเดอร์ส สโตคอน ไซรัป ตารางที่ 2 แสดงรายการทะเบียนยาที่มี PPA เป็นส่วนประกอบในช่วง 26-50 มก./เม็ด /แคปซูล/15 มล. เรียงตามชื่อทางการค้า ลำดับ เลขทะเบียน ชื่อผู้ประกอบการ ชื่อการค้า 1 2A428/27 เยาวราช จำกัด คอนเจน ไซรัป 2 2C1/43(N) สมิท ไคล์น แอนด์ เฟรนช์ (ไทยแลนด์) จำกัด คอนแทค 3 2B5/29 โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด คอนแทค 500 4 2C17/28 สมิท ไคล์น แอนด์ เฟรนช์ (ไทยแลนด์) จำกัด คอนแทค 500 5 2A739/30 เคนยากุ (ประเทศไทย) จำกัด เคนยา-ไอ ไซรัป 6 2A1099/29 เคมีภัณฑ์เมดิคอล โคโซแทน เอ็กซ์เปคทอแรนท์ 7 2A943/28 เลิศสิงห์เภสัชกรรม โคลดี้ ไซรัป 8 2A1140/29 เยนเนอร์ราลดรั๊กส์เฮ้าส์ จำกัด เจนเดคอน 9 2A51/29 ชาญกิจเทรดดิ้ง ซอปโก 10 2A84/41 ไทยนครพัฒนา จำกัด ซีซัส 11 2A1117/28 สหแพทย์เภสัช จำกัด เดนาคอฟ ไซรัป 12 2A194/43 อินเตอร์ไทย ฟาร์มาซูติเคิ้ล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ไดเมแท็ป เอเอฟ 13

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 99 รูปแบบของยาชุดลดน้ำหนัก

ความเดิมตอนที่แล้ว ฉลาดซื้อส่งอาสาสมัครสาวน้อย สาวใหญ่ที่รูปร่าง น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติไปรับบริการที่คลินิกลดน้ำหนักหลายจังหวัด พบว่า ส่วนใหญ่แพทย์จ่ายยามาให้กินกันเป็นกอบกำ มีอยู่ไม่กี่แห่งที่แพทย์ หรือพนักงานบอกว่า “ไม่อ้วนนะจ๊ะ ยาไม่ต้องกิน ไปออกกำลังกายดีกว่า”   หลังจากได้ยามาแล้ว ก็อยากรู้ต่อว่า ยาที่ได้รับมาเป็นยาอะไรบ้าง ยังเป็นรูปแบบเดิมๆ หรือไม่ อย่างไร เราจึงส่งตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จังหวัดอุบลราชธานี ตอนนี้ผลทั้งหมดอยู่ในมือแล้ว   สรุปผลสำรวจจากฉลาดซื้อ ฉบับ 95 จากการสังเกตและบันทึกผลของอาสาสมัคร พบว่า 1.แพทย์จากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จ่ายยาให้เมื่ออาสาสมัครบอกว่า อยากลดน้ำหนัก ทั้งที่ค่าบีเอ็มไอของอาสาสมัครอยู่ในเกณฑ์ปกติทุกคน 2.มีการเสนอบริการอื่นๆ เพื่อจูงใจให้ใช้บริการ แต่จะกระทำโดยพนักงานหรือประชาสัมพันธ์ของร้านมากกว่าแพทย์ 3.คลินิกส่วนใหญ่แพทย์จะให้เวลากับอาสาสมัครประมาณ 5-10 นาที คำแนะนำต่างๆ วิธีการใช้ยาหรือการควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีอื่น มักกระทำโดยพนักงานของร้านเป็นส่วนใหญ่ ทั้งก่อนและหลังพบแพทย์ 4.พบว่ามีสถานบริการบางแห่งจ่ายยาให้โดยไม่มีการซักประวัติการแพ้ยา หรือแม้แต่วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และมีหนึ่งแห่งได้แก่ คลินิกแพทย์หญิงกัลยาภรณ์ สตูล ที่จ่ายยาโดยพนักงานไม่ใช่แพทย์ “เมื่ออาสาสมัครเข้าไปในคลินิก มีพนักงานถามว่า มาทำอะไร พอบอกว่า ลดน้ำหนัก ก็บอกให้ชั่งน้ำหนักตัวและวัดส่วนสูง แล้วจัดยาให้เม็ดละ 20 บาท จำนวน 10 เม็ด ระบุหน้าซองยาว่า ยาลดไขมัน (จากการวิเคราะห์พบว่า เป็นยาไซบูทรามีน) โดยไม่ได้พบแพทย์ 5.จากการสำรวจพบว่า ค่าใช้จ่ายในการไปคลินิกเพื่อรับการรักษาเรื่องลดน้ำหนักมีค่าบริการต่ำสุดคือ 190 บาทต่อครั้ง และสูงสุด 1,130 บาทต่อครั้ง 6.ไม่มีการแจ้งชื่อยา (ทั้งชื่อการค้าและชื่อสามัญ) แต่จะระบุเป็นประเภท ได้แก่ ยาลดไขมัน ยาลดไขมันพิเศษ ยาควบคุมความหิว ยาระบาย เป็นต้น 7.อาสาสมัครส่วนใหญ่ จะไม่ได้รับคำอธิบายที่ละเอียดมากพอสำหรับการใช้ยาแต่ละชนิด เช่น ไม่รู้ชื่อยา การทำงานหรือการออกฤทธิ์ของยา ผลข้างเคียงที่ต้องระวัง โดยเฉพาะสภาวะเสี่ยงเช่น ความดันโลหิตสูงหรืออาการทางจิตประสาท การใช้ยาลดน้ำหนักความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดผิดปกติ โรคหัวใจ โรคข้อเสื่อม โรคมะเร็ง ฯลฯ การลดความอ้วนจึงเท่ากับการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคลง ซึ่งการลดน้ำหนักนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งแบบปลอดภัย ค่อยเป็นค่อยไป และแบบเสี่ยงตาย อันตรายสูง วิธีหนึ่งที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูง และน่าจะเป็นหนทางสุดท้ายสำหรับการลดน้ำหนักคือ การใช้ยาเข้าช่วยเพื่อให้ “ผู้ป่วยโรคอ้วน” มีน้ำหนักลดลง แต่ทั้งนี้ควรเป็นไปภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะการใช้ยาลดน้ำหนักมีข้อถกเถียงกันมากทั้งในแง่ประสิทธิภาพของยา ระยะเวลาที่ให้การรักษา และผลข้างเคียงจากการใช้ยา ความจริงเกี่ยวกับยาลดน้ำหนัก1.การใช้ยาลดน้ำหนักนั้น ยาเพียงช่วยควบคุมน้ำหนักให้ลดลงและคงที่ แต่ยาไม่ได้รักษาโรคอ้วนให้หายไป ดังนั้นการหยุดยาลดน้ำหนักอาจจะทำให้น้ำหนักเพิ่มใหม่ได้ 2.การใช้ยาลดน้ำหนักจะได้ผลดีต้องใช้ร่วมกับการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3.การใช้ยาต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ แต่ถึงอย่างนั้นก็มักพบว่า แพทย์จำนวนไม่น้อยใช้ยาลดน้ำหนักโดยที่ผู้ป่วยไม่มีข้อบ่งชี้หรือความจำเป็นที่จะต้องใช้ยา ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อน และในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ (ข้อมูล การใช้ยาลดน้ำหนักในการรักษาโรคอ้วน (Drug Therapy of Obesity) โดย นพ.ฉัตรเลิศ พงษ์ไชยกุล) ยาที่ใช้ลดน้ำหนัก ปัจจุบันยาที่นำมาใช้ลดน้ำหนักแบ่งตามการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีขายในประเทศไทย มี 2 ประเภท คือ  ประเภทที่ 1 ลดความอยากอาหารหรือควบคุมความหิว ยาจะไปออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งยังแบ่งย่อยได้เป็นสามกลุ่ม คือ (1) ยาที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายกลุ่มแอมเฟตามีน ได้แก่ Phentermine เป็นยากลุ่มที่ควบคุมโดย พรบ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518(2) ยาที่จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ตาม พรบ.ยา พ.ศ.2510 ได้แก่ Sibutramine (3) ยาที่ไม่มีข้อบ่งใช้เพื่อการลดน้ำหนัก แต่มีผลข้างเคียงที่ทำให้ไม่อยากอาหาร ได้แก่ Fluoxetine ซึ่งจัดเป็นยาอันตรายตาม พรบ.ยา พ.ศ. 2510 (เป็นยาที่มีข้อบ่งใช้เพื่อรักษาอาการในกลุ่มโรคซึมเศร้า)   ประเภทที่ 2 ยาที่มีผลต่อทางเดินอาหาร ยามีผลทำให้ร่างกายไม่ย่อยอาหารประเภทไขมันและไม่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ Orlistat จัดเป็นยาอันตรายตาม พรบ.ยา พ.ศ.2510  รูปแบบการจ่ายยาลดน้ำหนักจากการศึกษาเรื่อง การวินิจฉัยและการจ่ายยาลดน้ำหนักในคลินิกลดความอ้วน ของกองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 (ผลการศึกษาตีพิมพ์ในวารสารอาหารและยา เล่ม 2/2552) พบว่า มีการจ่ายยาเพื่อลดน้ำหนัก 7 กลุ่ม ได้แก่   1.กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง 2.กลุ่มยาระบาย 3.กลุ่มยาขับปัสสาวะ 4.กลุ่มยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะ5.กลุ่มยาไทรอยด์ ฮอร์โมน 6.กลุ่มยาลดอาการใจสั่น หรือลดการเต้นของหัวใจไม่เป็นจังหวะ7.กลุ่มยาที่มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ง่วงนอน (ยานอนหลับ)   นอกจากนี้ยังมีการจ่ายอาหารเสริมร่วมด้วย หรือจ่ายอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว อาหารเสริมยังรวมถึง วิตามิน หรือสมุนไพร ที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ระบุว่า ลดไขมันหรือสารละลายไขมัน เป็นต้น รูปแบบการจ่ายยาลดน้ำหนักสำรวจโดยวารสารฉลาดซื้อ การศึกษาของ อย.กับทางวารสารฉลาดซื้อจะใกล้เคียงกัน คือ ส่งอาสาสมัครไปรับบริการในคลินิก แต่ของฉลาดซื้อไม่ส่งคนอ้วนหรือคนที่มีค่า บีเอ็มไอมากกว่า 27 เข้าไป เราให้สาวน้อย สาวใหญ่เป็นตัวแทนเข้าไปขอรับบริการ ดังนั้นข้อมูลสำคัญที่เราค้นพบก็คือ คลินิกส่วนใหญ่จ่ายยาลดน้ำหนักให้อาสาสมัคร แม้ไม่มีข้อบ่งชี้ว่า จำเป็นต้องใช้ยาลดน้ำหนัก และบางรายอายุน้อยกว่า 18 ปี (ยาลดความอ้วนทุกชนิด ไม่มีข้อบ่งใช้ในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการพลังงานในการเติบโต)โดยยาที่ได้รับกลับมานั้นเมื่อนำไปตรวจวิเคราะห์พบว่า มีรูปแบบการจ่ายยาดังนี้ 1. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว ชนิดเดียว ได้แก่ คลินิกแพทย์หญิงกัลยาภรณ์ สตูล หัสชัยคลินิก เชียงใหม่ (อาสาสมัครวัยรุ่นและวัยทำงาน แต่เป็นยาคนละชนิดกัน) และราชวิถี สลิมแคร์ เพชรบูรณ์ (อาสาสมัครวัยทำงาน) 2. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว สองชนิด ได้แก่ คลินิกผิวหนังแพทย์สันต์ เพชรบูรณ์ (อาสาสมัครวัยรุ่นและวัยทำงาน)3. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว+ยาระบาย ได้แก่ วิยดาคลินิก สาขา 2 สตูล นิติพลคลินิก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นครินทร์คลินิกเวชกรรม สมุทรสงคราม (อาสาสมัครวัยรุ่นและวัยทำงาน)4. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว+ยาระบาย+ยานอนหลับ ได้แก่ แพทย์ปริญญา เชียงใหม่ (อาสาสมัครวัยรุ่น) คอสเมส สลิมแคร์ พัทลุง5. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว สองชนิด+ยาระบาย+ยานอนหลับ ได้แก่ ราชวิถี คลินิกเวชกรรม กาญจนบุรี 6. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว+ยาระบาย+ยาลดอาการใจสั่น ได้แก่ วุฒิศักดิ์คลินิก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 7. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว+ยานอนหลับ ได้แก่ แพทย์ปริญญา เชียงใหม่ (อาสาสมัครวัยทำงาน)8. ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมความหิว+วิตามินบี1 ได้แก่ คลินิกหมอจริยา ลำปาง9. ไม่ทราบว่าเป็นยากลุ่มใด ได้แก่ เมเจอร์เมดิคอลคลินิก กาญจนบุรี และ ราชวิถี สลิมแคร์ เพชรบูรณ์ (อาสาสมัครวัยรุ่น) แทรกตาราง ทำไมต้องจ่ายยาเป็นกอบกำจากรูปแบบที่พบ จะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์อีกหลายตัวอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นยาหรือไม่ เพราะไม่สามารถตรวจหาตัวยาสำคัญทางห้องปฏิบัติการได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยทำให้อิ่ม อย่างพวกเส้นใยต่างๆ หรือที่เชื่อกันว่ามีผลต่อการลดน้ำหนัก เช่น ส้มแขกหรือพวกไคโตซาน เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้จะมีราคาแพง แต่ไม่มีผลที่ชัดเจนอะไรว่าช่วยลดน้ำหนักได้จริง มีแต่ช่วยเพิ่มในเรื่องราคาค่าบริการที่อาสาสมัครต้องจ่ายมากขึ้น ยาบางชนิดไม่ได้มีข้อบ่งใช้ในการลดน้ำหนัก แต่ก็พบว่ามีการจ่ายให้แก่อาสาสมัคร ได้แก่ ยา Fluoxetine ซึ่งใช้ในผู้ป่วยกลุ่มอาการซึมเศร้า มีผลข้างเคียงทำให้ไม่อยากอาหารก็จริง แต่ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่น่าเป็นห่วง ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ประสาทหลอน กระวนกระวาย คลื่นไส้ และผลข้างเคียงที่อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง เช่น การฆ่าตัวตายได้ ส่วนยาระบายเป็นยาที่ไม่เหมาะสมในการนำมาใช้เพื่อลดน้ำหนักอยู่แล้ว เพราะเป็นการระบายน้ำออกจากร่างกายแค่นั้น น้ำหนักที่ลดลงจึงไม่ใช่ของจริง แต่อีกสาเหตุที่นิยมจ่ายยาระบายก็คือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องผลข้างเคียงของยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ควบคุมความหิว เช่น Sibutramine ที่ทำให้ท้องผูก การจ่ายยาระบายก็เพื่อแก้ท้องผูกนั่นเอง หรือการจ่ายยานอนหลับก็เพื่อลดผลข้างเคียงของยากลุ่มที่ควบคุมความหิว ที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้นอนไม่หลับ เรียกได้ว่า กินยาลดน้ำหนักแล้วจะเกิดผลข้างเคียงอะไร ก็จ่ายยาแก้ควบคู่กันไปเพื่อลดอาการของผลข้างเคียงนั้นๆ เป็นที่มาของการที่ต้องกินยาเป็นกอบเป็นกำนั่นเอง   วิธีการสำรวจของฉลาดซื้อ 1.ส่งอาสาสมัครลงพื้นที่สำรวจคลินิกที่ระบุป้ายหน้าร้านว่าบริการลดน้ำหนัก ใน 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี เชียงใหม่ ลำปาง เพชรบูรณ์ อ่างทอง สมุทรสงคราม พัทลุงและสตูล 2.อาสาสมัครสาวทุกคนจะมีชุดคำถามสำหรับการเข้าใช้บริการในคลินิกที่เป็นเป้าหมาย อาสาสมัครมีทั้งที่เป็นสาววัยรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี และสาววัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไป ทุกคนมีน้ำหนักปกติ (ค่าบีเอ็มไอหรือดัชนีมวลกายไม่เกิน 23) 3.ในการสำรวจ อาสาสมัครบางจังหวัดจะเข้ารับบริการในคลินิกเดียวกันทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน เพื่อเปรียบเทียบวิธีการรักษาของผู้ให้บริการ   เมื่อไรที่ควรใช้ยาลดน้ำหนักการใช้ยาลดน้ำหนักในการรักษาโรคอ้วนนั้น ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการประเมินความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการรักษา ความคุ้มและประโยชน์ที่ได้รับ โดยมีข้อแนะนำดังนี้ 1.เมื่อดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 โดยที่ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว แต่ไม่สำเร็จ 2.เมื่อดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 27 แต่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดผิดปกติ โดยที่ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว แต่ไม่สำเร็จ   *บีเอ็มไอ (BMI) หรือดัชนีมวลกาย เป็นเครื่องมือหนึ่งในการประเมินว่าเรามีน้ำหนักตัวปกติ ผอมไปหรืออ้วนไป โดยสามารถคำนวณได้จากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตรยกกำลังสอง)ตัวเลขที่ได้ออกมาจะสามารถบอกได้ระดับหนึ่งว่า คุณอยู่ในภาวะใด โดยทั่วไปค่าดัชนีมวลกายปกติมีค่าระหว่าง 18.5 - 22.9 ต่ำกว่านี้ก็ผอมไป มากกว่านี้ก็ถือว่าน้ำหนักเกิน แนะนำสำหรับคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต ลองแวะไปที่ http://konthairaipung.anamai.moph.go.th/bmi.html ที่นี่เขาจะมีโปรแกรมคำนวณค่าบีเอ็มไอให้คุณได้อย่างรวดเร็วแค่กรอก น้ำหนักตัวและส่วนสูง พร้อมคำแนะนำในการปฏิบัติตัว จำนวนตัวอย่างและชนิดของยาที่จ่ายในคลินิกที่ทำสำรวจดาวโหลด file Word ตารางได้ที่นี่ค่ะ  หมายเหตุ * ผลิตภัณฑ์มีลักษณะคล้ายยา เป็นแคปซูล เป็นผง หรือเม็ด แต่ไม่สามารถตรวจหาตัวยาสำคัญ ทางห้องปฏิบัติการได้ ** อยู่ระหว่างตรวจวิเคราะห์ วิเคราะห์ที่ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ อุบลราชธานีผลการวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้นสำรวจระหว่าง สิงหาคม 2551 – มกราคม 2552 โดยอาสาสมัครวารสารฉลาดซื้อ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 กระเป๋าเดินทางล้อลาก

ฉลาดซื้อขอนำเสนอผลการทดสอบกระเป๋าล้อลากเอาใจคนรักการเดินทางกันบ้าง ผลการทดสอบที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ทำไว้คราวนี้ มีมาให้พิจารณากัน 17 รุ่น ทั้งแบบที่ทำจากพลาสติกและแบบที่ใช้วัสดุผ้า มีทั้งแบบ 4 ล้อ และ 2 ล้อ สนนราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 3,000 ไปจนถึงมากกว่า 20,000 บาท โชคดียังเป็นของผู้บริโภคอย่างเรา เพราะรุ่นที่ดีที่สุดไม่ใช่รุ่นที่แพงที่สุดและรุ่นที่ราคาต่ำที่สุดก็ไม่ได้คุณภาพต่ำตามราคา และทีมทดสอบพบว่าส่วนประกอบอย่างคันชัก ซิปและล้อของกระเป๋าทุกรุ่นที่ทดสอบมีความแข็งแรงทนทานในระดับที่น่าพอใจ แต่จะเฉือนกันอยู่ก็ตรงความทนทาน ความสามารถในการกันน้ำซึมเข้าของตัวกระเป๋า และความพึงพอใจของผู้ใช้ ... ติดตามรายละเอียดได้ในหน้าถัดไป                

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point