คอลาเจน ช่วยให้เต่งตึงได้จริงหรือ

คอลาเจน ช่วยให้เต่งตึงได้จริงหรือโดย รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันโภชนาการ  มหาวิทยาลัยมหิดล  อะไรคือสิ่งที่ผู้หญิงหลายคน (รวมทั้งชายบางประเภท) กลัวที่สุดแต่ก็ต้องพบ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้   คำตอบก็คือ ความเหี่ยวและแก่ ดังนั้นถ้ามีใครเอาอะไรก็ไม่รู้มาขาย แล้วบอกว่า สิ่งนี้ช่วยพิชิตความเหี่ยวและแก่ได้  สิ่งนั้นก็จะขายดี  ตัวอย่างที่เห็นชัดในสังคมไทยวันนี้คือ การโฆษณาขายคอลาเจน ดังเช่นที่ปรากฏในเว็บขายของทั้งไทยและเทศ สำหรับผู้เขียนแล้ว เวลาเห็นโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เรียกว่าคอลาเจนทีไร ผู้เขียนจะนึกถึงขาหมูพะโล้ที่เก็บในตู้เย็นทุกที ทั้งนี้เพราะขาหมูพะโล้ที่เก็บในตู้เย็นคืนหนึ่งแล้ว พอเปิดตู้เย็นดูจะเห็นส่วนที่เป็นน้ำขาหมูกลายเป็นเจลหยุ่นๆ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ส่วนที่กล่าวถึงนั้นก็คือ คอลาเจนจากขาหมู คอลาเจนคืออะไร ในทางชีวเคมีแล้ว คอลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นกรดอะมิโนชนิดที่ต่างจากโปรตีนอื่นๆ ของร่างกาย แต่ก็มีความสำคัญมากเพราะเป็นองค์ประกอบถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของผิวหนัง โดยทำให้ผิวหนังแข็งแรง ดังนั้นโปรตีนทั้งหมดของร่างกายจึงมีองค์ประกอบเป็นคอลาเจนถึง 33 เปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนขออธิบายให้ผู้ไม่เคยเรียนวิชาชีวเคมีมาก่อนทราบว่า โปรตีนที่เรากินนั้นต้องมีกรดอะมิโนอย่างน้อย 10 ชนิดที่ร่างกายเราสร้างไม่ได้ และจะไปผสมกับกรดอะมิโนอีก 10 ชนิดที่ร่างกายสร้างได้เอง จากนั้นจะมีกระบวนการที่เซลล์ของร่างกายนำกรดอะมิโนเหล่านี้มาต่อกันให้เป็น โปรตีนที่ร่างกายต้องการตามแต่ชนิดเซลล์ของแต่ละอวัยวะ ดังนั้นโปรตีนในร่างกายจึงมีลักษณะต่างกันตามลำดับของกรดอะมิโนต่าง ๆ สำหรับคอลาเจนนั้นเป็นโปรตีนที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งองค์ประกอบและโครงสร้าง องค์ประกอบพิเศษคือ มีกรดอะมิโนที่ถูกปรับให้มีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนไป 2 ชนิด คือ จากกรดอะมิโนโพลีนและกรดอะมิโนไลซีน ถูกปรับไปเป็นกรดอะมิโนไฮดรอกซีโพลีนและกรดอะมิโนไฮดรอกซีไลซีน ส่วนกรดอะมิโนชนิดอื่นที่เป็นองค์ประกอบของคอลาเจนก็คือ กลัยซีน โพลีน และไลซีนนั้น เป็นกรดอะมิโนธรรมดา จึงทำให้สายของกรดอะมิโนที่ต่อกันเป็นโปรตีนคอลาเจนนั้นมีกรดอะมิโนหลัก เพียง 5 ชนิด จึงถูกจัดว่าเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ และมีลักษณะโครงสร้างโมเลกุลเป็น เบต้าพลีตเต็ดชีท ซึ่งต่างกับโปรตีนทั่วไปที่เป็นอัลฟาเฮลลิก คอลาเจนที่ผิวหนังนั้นถูกสร้างจากเซลล์ไฟโบรบลาสท์ใต้ผิวหนัง ซึ่งในกระบวนการสร้างนั้นต้องมีไวตามินซีช่วย การขาดไวตามินซีจึงทำให้เกิดปัญหาที่ผิวหนัง รวมไปถึงเหงือก ซึ่งจะแสดงอาการมีเลือดออกตามไรฟัน คอลาเจนนั้นมีการสร้างทดแทนอยู่ตลอดเวลาที่ร่างกายแข็งแรง แต่กระบวนการสร้างนั้นก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ไปตามวัย จนถึงจุดหนึ่งการสูญเสียคอลาเจนตามธรรมชาติเกิดมากกว่าการสร้าง ความเหี่ยวก็จะมาเยือน ข้อมูลเรื่องนี้ดูได้จากเว็บโฆษณาต่างๆ  สาเหตุหลักของการสูญเสียคอลาเจนจากผิวหนังก็คือ โดนแสงอัลตร้าไวโอเล็ทหรือที่เรียกทั่วไปว่า แสงยูวี จึงควรป้องกันด้วยการไม่โดนแสงแดดจัด และกินอาหารที่มีสารป้องกันอนุมูลอิสระ เช่น พืชผักใบเขียว หรือผลไม้สีจัด มีข้อสังเกตว่า ผิวบริเวณที่ไม่โดนแดดเลยของคนไทย เช่น แก้มก้น คอลาเจนจะมีเหลืออยู่มาก ทำให้บริเวณนี้เป็นบริเวณผิวหนังที่ดูสวยที่สุดของร่างกาย ข้อมูลที่ให้นี้ดูเป็นวิชาการมากทีเดียว ต่อไปก็จะเป็นข้อมูลกึ่งวิชาการบ้าง เพราะมักมีคำถามว่ากินคอลาเจนแล้วได้ประโยชน์อะไรในทางโภชนาการแล้ว คอลาเจนเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ คือ ให้กรดอะมิโนไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ โดยทั่วไปแล้วโปรตีนเกือบทุกชนิดถูกย่อยด้วยระบบย่อยอาหารในทางเดินอาหารจน ได้กรดอะมิโนอิสระออกมา ซึ่งต้องมีครบทั้ง 20 ชนิด ส่วนคอลาเจนให้เพียง 5 ชนิด ดังนั้นการกินอาหารมีคอลาเจนนั้น จึงเป็นการกินเพื่อความบันเทิง มากกว่าจะเอาประโยชน์จริงจัง จะไม่ให้กล่าวว่าโปรตีนคอลาเจนให้ความบันเทิงในการกินได้อย่างไร ในเมื่อคอลาเจนเป็นองค์ประกอบของผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน (Cartilage) เอ็น (tendons) และเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments) เช่น เหงือกของสัตว์ชั้นสูง ดังนั้นเวลาเรากินลูกชิ้นเอ็น เราก็ได้เคี้ยวคอลาเจนสนุกปาก ส่วนในน้ำต้มขาหมู คอลาเจนจากกระดูกและเอ็นก็จะถูกความร้อนทำให้เปลี่ยนสภาพไป และสามารถอุ้มน้ำได้มาก เกิดสภาพที่เป็นเจลซึ่งเรียกว่า เจลาติน โดยเมื่อได้รับความร้อนก็จะละลายกลับสู่สภาพน้ำขาหมูพะโล้ ดังนั้นเวลาเห็นโฆษณาเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นคอ ลาเจนแล้ว ผู้เขียนก็จะรู้สึกหดหู่ใจทุกครั้งว่า มนุษย์หนอมนุษย์ เมื่อไม่มีความรู้ ก็มักเป็นเหยื่อเหมือนหมูให้คนต้มได้ง่ายๆ การสร้างคอลาเจนของร่างกายเรา โดยเฉพาะที่ผิวหนังนั้น มีเพียงในช่วงอายุต้นๆ เมื่อแก่แดดแก่ลมไป การสร้างก็จะน้อยลงเรื่อยๆ คราวนี้ก็เป็นเรื่องของบุญกรรม ถ้าทำกรรมมาก คือ ใช้ร่างกายอย่างทารุณ ไม่รู้จักถนอม คอลาเจนก็ถูกทำลายหายไปจากผิวหนัง ผลตามมาก็คือ ความเหี่ยว ดังนั้นเครื่องสำอางหลายชนิดจึงโฆษณาว่าสามารถลดความเหี่ยว หรือพลิกกลับผิวหนังให้เต่งตึงได้ ซึ่งไม่จริง ทั้งนี้เพราะคอลาเจนนั้นเมื่อทำเป็นเครื่องสำอางทาหน้า ก็มีคุณสมบัติคล้ายเจล (เพ็คติน) ในแตงกวา คือ ช่วยดูดน้ำทำให้ผิวชุ่มชื้นตราบที่มันยังติดบนผิว ที่สำคัญคือผู้เขียนไม่เชื่อว่าคอลาเจนจะซึมเข้าสู่ผิวได้ เพราะผิวหนังเราทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายของร่างกาย ถ้าขืนให้อะไรต่ออะไรซึมได้ โอกาสเกิดอันตรายก็จะมากขึ้น แล้วถ้ากินคอลาเจนเข้าไป ร่างกายเราสามารถดูดซึมได้ไหม คำตอบคือ ไม่มีทาง แม้แต่ในเว็บที่ขายสินค้าดังกล่าวก็ยังบอกว่าไม่ได้ ผู้บริโภคจำนวนมากมักเชื่อคนขายสินค้าที่ถูกสอนมาให้พูดว่า คอลาเจนที่กินเข้าไปนั้นจะไปเสริมแทนที่คอลาเจนที่สูญสลายไปจากผิวหนัง ในทางวิชาการ คำพูดลักษณะนี้ถือว่าผิด เพราะ ประการที่หนึ่ง คอลาเจนต้องถูกย่อยออกเป็นกรดอะมิโนอิสระก่อนถูกดูดซึม ซึ่งก็ไม่มีอะไรวิเศษนัก เพียงแต่เราได้ไฮดรอกซีโพลีนและไฮดรอกซีไลซีน ซึ่งนำไปสร้างคอลาเจนได้เลย ทั้งที่ความจริงเราสามารถสร้างกรดอะมิโนทั้งสองได้เอง คุ้มไหมกับสิ่งที่ได้ในราคาที่แพงกว่ากินเนื้อสัตว์ธรรมดา  ประการที่สอง ถ้าร่างกายไม่สามารถสร้างคอลาเจนได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ กรดอะมิโนทั้งสองที่ได้จากคอลาเจนที่กินเข้าไป ก็เกือบเปล่าประโยชน์ เว้นเฉพาะบางส่วนของผิวหนัง เช่นที่เล็บ อาจมีการนำเอาคอลาเจนไปช่วยสร้างเล็บให้สวยได้ และในคนวัยหนุ่มสาวที่ชอบการเพาะกาย คอลาเจนก็จะช่วยได้บ้าง รวมถึงพวกนักมวยปล้ำที่เป็นแผลแตก ก็จะหายได้เร็ว ส่วนพวกหัวงูที่ชอบปล้ำเหมือนกัน คอลาเจนคงไม่ช่วยอะไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 เรื่องของกะปิ

  บทความนี้เขียนในเดือนธันวาคม 2555 ซึ่งปรกติแล้วอากาศควรจะเย็นๆ แต่ปีนี้ถึงน้ำไม่ท่วม แต่เหงื่อก็ท่วมกายได้ เพราะเมืองไทยมีอากาศละม้ายสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ออกผนวช และยังทรงมีปราสาทสามฤดูคือ ฤดูหนึ่งก็พักที่ปราสาทหลังหนึ่ง เปลี่ยนฤดูก็เปลี่ยนไปพักอีกหลังหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าทรงมีความสุขมากแต่ก็ยังทุกข์จนต้องออกผนวช ส่วนคนกรุงเทพมหานครวันนี้ มีปราสาท (บ้าน) หลังเดียว แต่มีโอกาสที่ในหนึ่งวัน (เปรียบเสมือน) มีสามฤดูเลยทีเดียวคือ ตอนเช้ารู้สึกเย็น ๆ บ่ายร้อนจะเหงื่อไหล แล้วค่ำ ๆ ก็มีฝนตก   วันที่เขียนบทความนี้เป็นวันที่ละครเรื่อง รากบุญ กำลังจะอวสาน ซึ่งก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ว่า (คน)ทำดีได้ดี (คน)ทำชั่วได้ชั่ว เพราะเจติยาจะได้รับผลดีจากการทำดีเสียที โดยที่น้าพิสัยก็ต้องตายเสียที ซึ่งก็เป็นตามคำสาปแช่งของผู้ชมทั่วไป เพราะทั้งเรื่องไม่ทำอะไรที่ระบุได้ว่าเป็นความดีเลย นี่ก็คือละคร   ความจริงผู้เขียนไม่ค่อยได้ดูละครโทรทัศน์สักเท่าไร เพราะทนความเร้าร้อนทางโลกีย์วิสัยที่ผู้สร้างประเคนให้คนดูอย่างเกินพิกัด แต่บังเอิญเรื่องรากบุญนั้นเป็นละครที่สอนเรื่องการทำความดี และที่สำคัญนักแสดงแสดงได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับผู้กำกับละครทำได้ในแบบของหนังฝรั่งคือ ไม่เยิ่นเย้อ ผู้เขียนจึงติดตามขนาดเอาไปฝัน (ซึ่งไม่เหมือนฝันของ ส.ส.ชาย ในสภา) ว่า กล่องรากบุญได้ขอให้ผู้เขียนทำความดี 3 ประการ(ซึ่งพอตื่นขึ้นก็เสียดายที่จำไม่ได้) โดยแลกกับพร (ที่กล่องรากบุญบังคับให้ขอว่า) อาหารที่มีอยู่ในบ้านจะไม่มีวันหมดอายุ กินได้ตลอดชาติไม่ต้องโยนทิ้ง   ในฝันนั้น ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าตอบรับคำขอไปหรือเปล่า แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาเช็คเมล์ก็พบนัดขอสัมภาษณ์ให้ความเห็นว่าผู้บริโภคควรทำไงดี เกี่ยวกับข่าวเรื่องกะปิจากปักษ์ใต้อันตรายเพราะใส่สี ผู้เขียนจึงตอบรับ โดยหวังว่า มันน่าจะเป็นการทำความดีตามที่กล่องรากบุญน่าจะมาขอในฝัน   ข่าวเรื่องกะปิอันตรายนั้นมีในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ รวมทั้งฉบับที่ออนไลน์ให้อ่านในอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีข้อความคล้ายๆ กันว่า อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เปิดเผยข้อมูลการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์กะปิของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดตรัง ในปี พ.ศ. 2552-2554 ซึ่งเก็บตัวอย่างกะปิจากจังหวัดกระบี่ ตรัง ระนอง รวม 88 ตัวอย่างมีการใช้สี 52 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 59 โดยเป็นสีคือ สีโรดามีนบี ที่ไม่มี อย. ชาติใดในโลกยอมให้ใช้ในอาหาร 49 ตัวอย่าง ซึ่งเมื่อสีนี้สะสมอยู่ในร่างกายในปริมาณที่มากพออาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ส่วนสีอื่น ๆ ที่เหลือเป็นสีเหลืองซันเซ็ตเยลโลว์เอฟซีเอฟ สีแดงเอโซรูบีน และสีแดงปองโซ 4 อาร์ นอกจากนี้ผู้ผลิตกะปิยังแถมกรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิกเป็นของชำร่วยแก่ผู้บริโภคโดยไม่คิดมูลค่าเพิ่ม ก่อนอื่นผู้เขียนขออธิบายถึงสีอื่น ๆ  ที่ไม่ใช่สีโรดามีนบีว่า เป็นสีที่อยู่ในบัญชีอนุญาตให้ใช้ในอาหาร (บางชนิด) ได้ โดยมีการจำกัดปริมาณไว้ที่ระดับที่ไม่ควรก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค แต่บังเอิญกะปิเป็นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ซึ่งในสากลโลกนี้เขาไม่ยอมให้ใส่สีอะไรลงไปเพราะเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่ง อย. บ้านเราก็มีประกาศห้ามใส่สีในเนื้อสัตว์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถึงสีเหล่านี้ใส่ในอาหารบางชนิดได้ แต่ก็ไม่ควรตรวจพบในกะปิ สำหรับสารกันบูดคือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก (ซึ่งความจริงเวลาใส่ในอาหารจะอยู่ในสถานะที่เป็นเกลือ เราจึงเรียกว่า เกลือเบนโซเอตและเกลือซอร์เบต) นั้น สำหรับกะปิแล้วก็ไม่ควรตรวจพบเพราะ กะปิเป็นอาหารที่ถูกหมักในสภาวะมีเกลือเป็นสารถนอมอาหาร เชื้อโรคที่เป็นอันตรายนั้นไม่ควรทนความเค็มได้ แต่การที่ผู้ผลิตต้องเติมสารกันบูดสองชนิดนี้ลงไปเพราะกะปิที่เขาผลิตนั้นไม่แห้งจริง โดยเจตนาทำให้มีความชื้นสูง(เพราะหนักกิโลดี) ดังนั้นพอกะปิมีความชื้นสูง แบคทีเรียและรา ก็สามารถเจริญเติบโตและก่ออันตรายแก่ผู้บริโภคได้ สำหรับประเด็นสีโรดามีนบีนั้น เป็นสีที่มีความสามารถในการเรืองแสงชนิดที่เรียกว่า ฟลูออเรสเซนต์ ดังนั้นจึงมีการใช้มากในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่ต้องย้อมสีเซลล์หรือเนื้อเยื่อ ประโยชน์อีกอย่างคือ ใช้เป็นตัวติดตามการไหลของของเหลวเช่น น้ำ เพื่อติดตามตรวจสอบสภาวะการไหลว่ามีการติดขัดที่จุดใดในระบบ ซึ่งมีทั้งระบบในอาคารตลอดจนถึงแม่น้ำ ลำคลอง   ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ คือ สีชนิดนี้มีราคาที่น่าจะถูก เพราะผู้บริโภคไทยมีประสบการณ์ของปัญหาเนื่องจากสีโรดามีนบีในอาหารมานานจนผู้เขียนจำไม่ได้ว่านานแค่ไหน เนื่องจากตั้งแต่จำความได้เมื่อจบปริญญาตรีก็ได้ยินข่าวเรื่องสีชนิดนี้ปนเปื้อนในอาหารแล้ว เวลาผ่านไป 30 ปีจนจะเกษียณอายุจากการทำงานในปีหน้า ปัญหานี้ก็ยังไม่จบ และก็มองไม่เห็นทางจบเสียด้วยซ้ำ เพราะการขายสารเคมีในสยามประเทศนี้ปราศจากการตรวจสอบติดตามแบบที่ฝรั่งใช้คำว่า Chemical inventory ซึ่งหมายความว่า เมื่อสารเคมีถูกขายไปเพื่อการใดการหนึ่งแล้ว ผู้ซื้อต้องรายงานต่อทางการว่า ณ เวลาใดๆ สารนั้นถูกใครใช้ทำอะไร เหลือเท่าไร ถ้าสนใจเรื่องนี้ขอเชิญไปลองอ่านได้ที่ http://www.ehs.berkeley.edu/hs/197-chemical-inventory-program.html   ที่ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดีก็คือ ประเทศเวียดนามก็มีประสบการณ์เนื่องจากสีชนิดนี้เช่นกัน โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารของเวียดนามก็พบสีโรดามีนบีในพริกป่น ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหารในเวียดนาม โดยทางผู้ประกอบการที่ถูกจับกล่าวว่า ได้ใช้สีนี้ผสมในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก่อนผสมลงในพริก เพื่อปรับปรุงสีและลักษณะปรากฏของพริกป่นให้ดีขึ้น พริกป่นเหล่านี้จะใช้เป็นเครื่องเทศในการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารทะเลแห้ง (http://www.udo.moph.go.th/post-to-day-2/upload/ 613873892/2006110045.pdf)   ส่วนในประเทศมาเลเซียซึ่งคนไทยนิยมไปซื้อของกินที่ชายแดนเข้ามากินในประเทศไทย (โดยไม่ได้ดูว่ามันมาจากจีนหรือเปล่า) ก็มีข่าวในเว็บ http://thestar.com.my (เว็บ the star online) ว่าสีโรดามีนบีซึ่งถูกห้ามใช้ในประเทศนี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1952 คือ 60 ปี มาแล้ว ก็ยังมีการใช้ในอาหารที่เรียกว่า belacan (shrimp paste) ซึ่งคงไม่ต่างจากกะปิไทย ดังนั้นการที่กะปิปักษ์ใต้มีการเติมสีนั้น อาจเป็นได้ว่าผู้ผลิตไทยได้ละเมิดลิขสิทธิ์การผลิตอาหารอันตรายจากมาเลเซียเข้าแล้ว หรืออาจเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่อาเชียนก็ไม่รู้ ความจริงการผลิตกะปิใส่สีในบ้านเรานั้นไม่ได้มีเฉพาะปักษ์ใต้ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนจำได้ว่าเมื่อสักยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เมื่อผู้เขียนได้เป็นผู้แทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการในอนุกรรมการกำหนดคุณภาพและมาตรฐานอาหารหรือที่เรียกว่า อ3. นั้น ประเด็นเรื่องกะปิใส่สีก็เข้ามาในการพิจารณาว่าเป็นปัญหา   ปัญหาเกิดเนื่องจากจังหวัดชายทะเลของเราที่เคยทำกะปิจากเคย (สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกุ้ง ในกลุ่มกุ้ง-กั้ง-ปู ซึ่งเป็นอาหารของปลาใหญ่ต่างๆ เช่น ปลาวาฬ ปลากระเบนราหู นกบางชนิด รวมทั้งคนซึ่งเอาเคยมาทำกะปิ)นั้นหาเคยไม่ได้ ต้องทำกะปิจากปลาเล็กปลาน้อย (ที่ขายไม่ได้) จึงได้กะปิมีสีไม่น่าดู (แถมเหม็นคาวต่างหาก) จึงต้องแต่งสีเพื่อหลอกผู้บริโภค และสีหนึ่งที่ใช้ก็คือ สีโรดามีนบี ผู้เขียนจำได้ว่า มีการพยายามเสนอให้มีการอนุญาตให้สามารถเติมสีในกะปิได้ โดยใช้สีอาหารที่ อย. อนุญาต แต่สุดท้ายดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะอนุกรรมการยอมรับการหลอกลวงผู้บริโภคไม่ได้   ความจริงกะปิที่ดีซึ่งทำจากเคยนั้นจะมีลักษณะค่อนข้างแห้ง เพราะมีเกลือสูง และถ้าได้รับการตากแดดอย่างเต็มที่ สีกะปิดีจะออกม่วงอ่อนอมขาวเพราะเกล็ดเกลือ เมื่อเอาไปอังไฟโดยห่อใบตองก่อน จะมีกลิ่นหอมเหมือนกุ้งเผาออกเค็ม แต่ถ้าเป็นกะปิทำจากปลาจะมีกลิ่น (เหม็น) คาวปลาซึ่งบางคนอาจชอบ แต่ผู้เขียนรับประทานไม่ลง   ที่สำคัญซึ่งผู้บริโภคควรรับทราบก็คือ การผลิตกะปินั้นส่วนใหญ่สกปรก แม่ผู้เขียนเคยเล่าว่า ในสมัยโบราณกะปิไทยมีการผลิตคล้ายการผลิตไวน์ในฝรั่งเศส กล่าวคือ ใช้เท้าย่ำไปบนวัตถุดิบจนกว่าจะละเอียดเนียนเท้าจึงเอาไปตากแดดให้แห้งบนพื้นคอนกรีต ซึ่งในการย่ำกะปินั้นถ้าผู้ย่ำเป็นแม่ลูกอ่อน ก็จะอุ้มลูกไปด้วยในการย่ำ ลูกก็จะดูดนมแม่ไปพลาง ถ่ายอึ ถ่ายฉี่ไปพลาง ลงบนกองกะปิที่กำลังย่ำ   ในปัจจุบันนี้ ถึงกะปิถูกผลิตด้วยเครื่องจักรแต่ก็ยังสกปรกอยู่ จึงสามารถตรวจพบแบคทีเรียกลุ่ม คลอสตริเดียมเพอร์ฟิงเจ็น (Clostridium perfringen) จึงทำให้ผู้บริโภคกะปิดิบมักเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเนื่องจากเชื้อโรคนี้ แต่มักไม่ตายได้อยู่กินกะปิสกปรกอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตจึงนิยมใส่สารกันบูดลงในกะปิที่ทำให้ไม่แห้ง (เพื่อให้หนักกิโล) เป็นการป้องกันการเกิดอุบัติการณ์ปวดท้องของผู้บริโภค   ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้ว เมื่อจะบริโภคอาหารอะไรที่มีกะปิ ก็จะต้องดูว่าอาหารนั้นทำจากเคยหรือปลา โดยการดมกลิ่นซึ่งต่างกันชัดมาก และที่สำคัญอาหารที่ทำจากกะปิไม่ว่าจากสัตว์อะไร ผู้เขียนจะต้องทำให้สุกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกมะนาว ข้าวผัดกะปิ หรือแม้น้ำปลาหวาน ทั้งนี้เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนธาตุอ่อนมาแต่เกิด กินกะปิดิบนิดหน่อยก็ท้องเสียแล้ว จึงทำให้กลายเป็นคนไม่ค่อยชอบกินข้าวเย็นนอกบ้าน เกิดผลพลอยได้คือ ไม่เปลืองสตางค์มากเกินไปกับการกินอาหารมื้อเย็นอย่างคนทั่วไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 142 เดอะ จีเอ็มโอ สไตรค์แบค (The GMO strikes back)

แล้วผลการลงคะแนนเสียงในสหรัฐอเมริกาก็ปรากฏออกมาว่า นอกจากโอบามาจะได้เป็นใหญ่ในประเทศมหาอำนาจต่อไปแล้ว จีเอ็มโอก็ยังไม่เคยสยบต่อใครเลย ดูได้จากการที่ proposition 37 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีผู้พยายามเสนอให้อาหารที่มีองค์ประกอบเป็นจีเอ็มโอหรือสิ่งมีชีวิตที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมต้องแสดงฉลากให้ชัดเจน ต้องตกกระป๋องไปอย่างที่หลายคนคาดไว้ในลักษณะที่ว่า แข็งเท่าเหล็กเงินง้างได้ดั่งใจ ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ใน ฉลาดซื้อ ฉบับที่ผ่านมาว่า การต่อสู้เพื่อไม่ให้การติดฉลากจีเอ็มโอผ่านสภาของรัฐแคลิฟอร์เนียนั้น มีการใช้เงินราว 45 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อทำรณรงค์ให้คนในรัฐนี้เชื่อใจว่า จีเอ็มโอไม่อันตราย การรณรงค์นี้เป็นไปตามกฎหมายของสหรัฐ จึงไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งดูแปลกดีเหมือนกันถ้าปรากฏการณ์ทำนองนี้มาเกิดขึ้นในบ้านเรา เมื่อวันที่ 29 สิงหา 2012 www.naturalnews.com นี้ได้แสดงโปสเตอร์ที่บอกให้ประชาชนอเมริกันรู้ว่า บริษัทใดบ้างที่มีส่วนในการลงขันเพื่อยับยั้งร่างกฎหมายนี้ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่หรือทั้งหมดยังไม่ได้มาขายในบ้านเรา ขอให้ท่านผู้อ่านดูโปสเตอร์ที่ผู้เขียนได้นำมาจากอินเตอร์เน็ต แล้วแสดงให้ท่านผู้อ่านดูนี้ อาจไม่ชัดนัก ถ้าท่านผู้อ่านต้องการดูชัดๆ ท่านสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.cornucopia.org/2012/09/california-proposition-37-your-right-to-know-what-is-in-your-food   ความจริงผลการลงคะแนนไม่รับกฎหมายติดฉลากจีเอ็มโอนี้ ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายที่ผู้เขียนและผู้ที่มีความสงสัยในอาหารจีเอ็มโอคาดไว้แต่แรก ทั้งนี้เพราะธุรกิจอาหารจีเอ็มโอนั้นมหาศาลจนสามารถทำให้ผู้บริหารประเทศไม่ว่าระดับใดมีปัญหาได้ อีกทั้งหัวข้อข่าวที่พาดหัวข่าวในอินเตอร์เน็ตก็ออกมาในทำนองเดียวกันว่า “Proposition 37 appears to have failed in California, but GMO labeling awareness achieves victory” ซึ่งความหมายง่ายๆ ก็คือ ถึงแพ้ในการโหวต แต่ผู้ต่อต้านจีเอ็มโอก็ชนะในการสร้างกระแสให้ผู้บริโภคคำนึงว่า เวลาซื้ออาหารให้สำนึกว่า อาจมีจีเอ็มโอได้ เพราะไม่มีการติดฉลาก ดังนั้นในความพ่ายแพ้นั้น ก็เสมือนฝ่ายไม่ไว้ใจจีเอ็มโอ จะชนะ ที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปเริ่มระแวงในอาหารที่ยังไม่ผ่านการประเมินความปลอดภัยอย่างที่หลายฝ่ายคิดว่าควรต้องทำ การประเมินความปลอดภัยของอาหารนั้นมีหลายระดับ ในกรณีที่เป็นสารเจือปนในอาหารนั้น กว่าจะได้ผ่านมาเข้าปากผู้บริโภคนั้น ต้องเข้าปากสัตว์ทดลองเป็นพันตัวขึ้นไป ทั้งสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ จำนวนของสัตว์นั้นขึ้นกับว่าสารเคมีใหม่นั้น มีลักษณะทางเคมีและกายภาพน่าสงสัยแค่ไหน และมีการใช้ปริมาณเท่าใด ที่สำคัญการประเมินนั้นจะเริ่มจากการทดสอบในสัตว์ระยะสั้นแบบชั่วคราวไม่กี่วันถึงเป็นเดือน และแบบค้างยาวตลอดชาติของสัตว์นั้น จนได้ข้อมูลว่า ปริมาณเท่าใดของสารเคมีที่ศึกษาให้สัตว์กินทุกวันตลอดชีวิตแล้วสัตว์ไม่มีอาการอะไรเลย (ซึ่งรวมถึงมะเร็งและเนื้องอก) สารนั้นถึงจะถูกนำมาคำนวณว่าคนควรได้รับสักเท่าไร อีกทั้งยังมีการประเมินแบบถึงลูกหลานเพื่อดูศักยภาพการก่อพิษในตัวอ่อนและระบบสืบพันธุ์ด้วย   ส่วนอาหารที่มีความเป็นอาหารมากกว่า สารเจือปนในอาหาร เช่น อาหารที่มาทดแทนการใช้แป้ง ไขมัน หรืออื่นๆ เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะผู้บริโภคบางกลุ่ม จะต้องการการทดลองในสัตว์ทดลองระดับหนึ่งเพื่อประกันว่าจะไม่เกิดปัญหาสุขภาพ จากนั้นจึงมีการศึกษาทดลองในอาสาสมัครที่มีการควบคุมการศึกษาโดยผู้ชำนาญการ ในการศึกษาอาหารประเภทนี้ จะมีลักษณะการออกแบบการทดลองเฉพาะ   ในขณะที่อาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอนั้น การประเมินความปลอดภัยทำเพียงแค่มองๆ ดม  หรือวิเคราะห์ทางเคมีว่า มีอะไรเหมือนกับอาหารปรกติเท่านั้น แล้วก็บอกว่าปลอดภัย (substantial equivalence) แต่ไม่เคยลองนำอาหารมาสกัดหาสารซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการตัดแต่งพันธุกรรมที่อาจก่ออันตรายต่อสิ่งมีชีวิตมาศึกษาในสัตว์ทดลอง ทั้งนี้เพราะพืชหรือสัตว์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมแล้วนั้นถือว่า ได้กลายพันธุ์ไปแล้ว เพราะหน่วยพันธุกรรมสามารถสร้างสิ่งที่ไม่เคยสร้างได้ขึ้นมา   ที่สำคัญในทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพนั้น ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดปฏิเสธได้ว่า การทำงานของยีนใดยีนหนึ่งมีความสัมพันธ์กับอีกหลายยีน การที่ยีนหนึ่งทำงานจะมีผลกระทบให้อีกยีนทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้ พูดไปพวกจงรักจีเอ็มโอก็จะบอกว่า เอาหลักฐานมาดูสิ   ในความเป็นจริงแล้ว วารสารวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับคือ Environment International ชุดที่ 37 ปีที่พิมพ์คือ  2011 หน้าที่ 734 ถึง หน้าที่ 742 ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการประเมินความปลอดภัยของอาหารจีเอ็มโอที่น่าสนใจคือ บทความชื่อ A literature review on the safety assessment of genetically modified plants เขียนโดย José L. Domingo และ Jordi Giné Bordonaba ซึ่งเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยชื่อ Universitat Rovira i Virgili ประเทศสเปน   ในบทความดังกล่าวนั้นได้สรุปว่า แทบจะยังไม่พบปัญหาอะไรเลยในทางสุขภาพที่เกิดเนื่องจากพืชจีเอ็มโอเมื่อศึกษาในสัตว์ทดลองถ้างานวิจัยนั้นทำโดยนักวิจัยของบริษัทที่ผลิตจีเอ็มโอ (ข้อความที่กล่าวไว้คือ Nevertheless, it should be noted that most of these studies have been conducted by biotechnology companies responsible of commercializing these GM plants) และที่สำคัญซึ่งเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปคือ บริษัทที่ผลิตสินค้าจีเอ็มโอไม่ค่อยชอบให้ทุนนักวิจัยอิสระทำวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารจีเอ็มโอเลย อาจเนื่องจากไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลจะออกหัวหรือก้อย   ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ Séralini และคณะชื่อ Genetically modified crops safety assessments: present limits and possible improvements ซึ่งได้ทุนจาก the French Ministry of Research และ The Regional Council of Basse-Normandie ทำวิจัยแบบที่เรียกว่า meta-analysis (หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า การวิเคราะห์อภิมาน) และตีพิมพ์ใน Environmental Sciences Europe ชุดที่ 23 หน้า 1-10 ปี 2011 วารสารดังกล่าวเป็นวารสารวิชาการของ Springer Open Journal ซึ่ง Springer ไม่ใช่บริษัทที่กระจอก แต่เป็นบริษัทที่พิมพ์วารสารที่อยู่ในระดับน่าเชื่อถือของยุโรปทีเดียว การวิเคราะห์อภิมานนั้น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณที่ใช้วิธีการทางสถิติมาสังเคราะห์งานวิจัยหลายๆ เรื่องที่ศึกษาปัญหาวิจัยเดียวกัน โดยใช้งานวิจัยแต่ละเรื่องเป็นหน่วยตัวอย่างของการวิเคราะห์ งานวิจัยแต่ละเรื่องนั้นจะถูกแปลงให้เป็นหน่วยมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้สามารถสรุปผลรวมเข้าด้วยกันได้ หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า การวิเคราะห์อภิมานเป็นการวิจัยงานวิจัย (Research of Research) โดยใช้วิธีการทางสถิติมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุปอย่างมีระบบจากงานวิจัยหลายๆ เรื่องที่ศึกษาปัญหาวิจัยเดียวกัน ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ meta-analysis สามารถไปอ่านได้ที่ http://rci2010.files.wordpress.com/2011/ 06/mata.pdf ข้อสรุปหนึ่งที่ Séralini และคณะกล่าวไว้คือ จากการที่หนู rat ได้กินข้าวโพด MON 863 (ซึ่งเป็นข้าวโพดจีเอ็มโอ) นาน 90 วัน แล้วดูเหมือนว่า ตับและไตจะมีปัญหาในระดับหนึ่ง ผู้ที่สนใจอ่านผลงานวิจัยนี้เชิญได้ที่ http://www.enveurope.com/content/pdf/2190-4715-23-10.pdf เพื่อจะได้ทราบว่า ผู้เขียนไม่ได้อ้างเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ เพราะ ความจริงก็คือความจริง เพียงแต่ว่าเราจะเอาความจริงมาใช้ประโยชน์หรือไม่ ซึ่งขึ้นกับผู้กำกับการบริโภคอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมจะเอางานวิจัยลักษณะนี้มาใช้หรือไม่เท่านั้น   สำหรับผู้เขียนแล้วก็ยังนึกดีใจว่า รัฐบาลของเราไม่ว่าจะชุดไหนก็ตาม ยังคงไว้ซึ่งหลักการว่า ไม่รับจีเอ็มโอเพื่อให้ผลิตผลการเกษตรของเรา ยังขายได้ในประเทศที่ไม่ต้อนรับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 141 ไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

เช้าวันนี้ (อังคารที่ 9 ตุลาคม 2555) เป็นวันที่พายุ แกมี ซึ่งมีสัญชาติเกาหลีได้เคลื่อนผ่านประเทศไทยเตรียมเข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อนพม่า ดังนั้นปริมาณฝนตกในประเทศไทยจึงลดลงอย่างน่าดีใจ โดยเฉพาะผู้เคยเป็นโรคประสาทจากน้ำท่วมปี 54 พายุลูกนี้มีความรุนแรงน้อยกว่าที่คาดกันเนื่องจากไปพักผ่อนกับเพื่อนในเวียดนามเสียนาน แถมเมื่อเข้ากัมพูชาก็ไปติดใจในโบราณวัตถุสมัยขอมเสียจนดูเหมือนไม่อยากเข้าไทย ผู้เขียนเป็นคนนอนตื่นเช้าจึงได้มีโอกาสดูข่าวทางโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 7 และ ช่อง 9 ก่อนไปทำงานเป็นประจำ เช้านี้ได้ฟังข่าว (ซึ่งภายหลังไปตามรายละเอียดจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ 2 ฉบับในอินเตอร์เน็ต) กล่าวว่า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล เกาหลีใต้ ประกาศเขตภัยพิบัติพิเศษ บริเวณพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศคือ เมืองกูมิ หลังเกิดอุบัติเหตุสารเคมีคือ กรดไฮโดรฟลูออริก 8 ตัน รั่วไหลเนื่องจากการระเบิดขณะทำการขนย้ายในโรงงานแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ส่งผลให้มีคนงานเสียชีวิต 5 ศพ และมีประชาชนเจ็บป่วยกว่า 3,000 คน ด้วยอาการคลื่นไส้ มีผื่นคันตามร่างกาย รวมถึงเจ็บคอและเจ็บหน้าอก อุบัติเหตุนี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักให้แก่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 500 เอเคอร์ คร่าชีวิตสัตว์ 3,200 ตัว และทำให้บริษัท 80 แห่ง จำเป็นต้องปิดตัวลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 17.7 พันล้านวอน (ราว 492 ล้านบาท ) ข่าวกล่าวอีกว่า ประชาชนกว่า 300 คน จากหมู่บ้านบองซานรี และอิมเชินรี ต้องย้ายไปยังสถานที่ปลอดภัยชั่วคราว ท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาด้านสุขภาพของประชาชน ในแถลงการณ์ดังกล่าวของรัฐบาลเกาหลีใต้ยังกล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่เมืองกูมิ (ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ห่างจากรุงโซลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 200 กม) ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุครั้งนี้จะได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน ที่ครอบคลุมถึงการได้ลดภาษีเป็นการชั่วคราว และค่าชดเชยจากส่วนราชการในจำนวนที่เหมาะสม จากข่าวดังกล่าวซึ่งดูเหมือนจะธรรมดามาก เพราะนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ของบ้านเราก็มีการรั่วไหลของสารเคมี (ซึ่งเป็นสารที่มีการพิสูจน์แล้วว่าก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง) เป็นประจำ (โดยเฉพาะตอนน้ำท่วมปลายปี 54 นั้น ตอนเข้าไปล้างบ้านผู้เขียนยังพบคราบน้ำมันสีดำลอยอยู่รอบบ้าน ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงเป็นสารเคมีจากนิคมอุตสาหกรรมที่ เอาอยู่ ทั้งหลาย) แต่เราก็ยังรู้สึกเฉยๆ ประเด็นสำคัญคือ มีผู้อ่านหรือฟังข่าวสักกี่คนที่รู้ว่า กรดกัดแก้วที่มีชื่อเคมีว่า ไฮโดรฟลูออริก (hydrofluoric acid) นั้นอันตรายเพียงใด ที่สำคัญใกล้บ้านท่านมีใครขายกรดชนิดนี้บ้างหรือไม่ ผู้เขียนเข้าไปในอินเตอร์เน็ตแล้วค้นหาใน Google โดยใช้คำว่า กรดกัดแก้ว ปรากฏว่ามีเว็บเพจขึ้นมา 939,000 รายการ ซึ่งบางรายการก็เป็นความเข้าใจผิดของ Google ที่สับสนระหว่างกรดกัดแก้วและกรดอื่นๆ สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการขายกรดอันตรายต่างๆ ในเว็บ โดยดูไม่ออกว่าหน่วยราชการใดดูแล ในเว็บหนึ่งประกาศว่า  มีสินค้าต่อไปนี้จำหน่ายคือ ปรอท เคมีอุตสาหกรรมสิ่งทอ, กระดาษ ชุบโลหะ, อาหาร, อีเลคโทรนิค, ดอกไม้ไฟ กำจัดน้ำเสีย, น้ำมันพืช, อาหารสัตว์ มีเครื่องหมายรับรองฮาลาล รายการสารเคมีจำนวนกว่าร้อยชนิด ที่สำคัญคือ กรดกัดแก้ว (Hydrofluoric Acid), กรดเกลือ 35% (Hydrochloric Acid), กรดกำมะถัน 98% (Sulfuric Acid), คลอรีน 65-70 % (Calcium Hyprochlorite), โซดาไฟน้ำ 50%, ไนตริก แอซิด 68%, โปตัสเซียม ไฮดร๊อกไซด์ 48%, โปตัสเซียม ไฮดร๊อกไซด์ 95%, โปตัสเซียมเปอร์มังกาเนต, ฟอสฟอริคแอซิด 85%, ฟอร์มิคแอซิด, ฟอร์มาลีน 40% และ แอมโมเนียน้ำ 27% เป็นต้น สารเคมีที่ยกตัวอย่างให้ดูนี้บางชนิดสามารถใช้ทำลายซากสัตว์ (รวมทั้งคน) ให้หายไปจากโลกนี้โดยไม่มีหลักฐานได้ มีตัวอย่างในภาพยนต์จากฝรั่งเศสชื่อ Nikita (La Femme Nikita) ซึ่งฮอลลิวูดนำมาสร้างในภาคอเมริกันชื่อ Point of No Return (เข้าใจว่ามาฉายในเมืองไทยในชื่อว่า The Assassin) ในภาพยนต์เรื่อง Nikita นั้นมีตอนหนึ่งที่ Nikita ซึ่งเป็นนักฆ่าได้ทำลายศพของฝ่ายตรงข้ามในอ่างอาบน้ำที่ทำด้วยกระเบื้องโดยการเอาน้ำกรดเข้มข้นราดลงไปบนศพจนเกิดควัน จากการที่กรดเผาไหม้ศพคนจนกลายเป็นของเหลว จากนั้น Nikita ก็เปิดน้ำก๊อกราดศพละลายลงท่อระบายน้ำไป วิธีการทำลายศพด้วยกรดเข้มข้นนั้นไม่ต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการเคมี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่วิเคราะห์แร่ธาตุหรือสารเคมีบางชนิดในอาหาร จำเป็นต้องทำลายเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อให้หมดไป เพื่อให้ทำการวิเคราะห์ได้ตามต้องการ กรดที่นักวิทยาศาสตร์ใช้นั้นเข้มข้น รุนแรง และภาชนะที่ใช้นั้นก็ต้องเป็นแก้วชั้นดีเท่านั้น การวิเคราะห์ถึงจะสำเร็จได้ตามประสงค์ แต่สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับกรดกัดแก้ว สมัยที่ผู้เขียนจบวิทยาศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใหม่ๆ ได้ไปทำงานเป็นนักวิเคราะห์ที่ศูนย์วิจัย โรงพยาบาลรามาธิบดี มีหน้าที่ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของอาหารต่างๆ จนวันหนึ่งก็มีตัวอย่าง ก้อนหิน ระบุให้วิเคราะห์แร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งปัญหาที่สำคัญคือ การย่อยสลายองค์ประกอบหลักที่เป็นหินนั้นใช้กรดธรรมดาไม่ได้ ผู้เขียนจึงไปเปิดคู่มือการวิเคราะห์หินก็พบว่า กรดที่ใช้ย่อยสลายหินได้คือ กรดกัดแก้ว ซึ่งเป็นกรดที่สามารถกัดให้ภาชนะที่เป็นแก้วกร่อนได้ ในการวิเคราะห์แร่ธาตุในอาหารนั้น ภาชนะที่ใช้โดยปรกติจะทำจากแก้วเนื้อดี แต่กรณีการวิเคราะห์จากก้อนหินโดยอาศัยกรดกัดแก้วเป็นตัวช่วยนั้น ภาชนะที่ใช้ต้องทำจากโลหะที่ชื่อ เซอร์โคเนียม (Zirconium) เท่านั้น การย่อยสลายถึงจะสามารถทำได้โดยปลอดภัย ดังนั้นถ้าเป็นไปตามข่าวที่เกิดในเกาหลี สิ่งที่จะเป็นหายนะตามมาสำหรับคนเกาหลีในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุก็คือ คงมีหลายคนติดเชื้อโรคจนตายในภายหลัง เพราะผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ได้สูดดมกรดกัดแก้วเข้าปอดไปในปริมาณที่คงไม่ตายทันที เพราะสามารถถูกอพยพไปอยู่เมืองอื่นได้ แต่สุขภาพของร่างกายโดยเฉพาะปอดคงไม่ปลอดภัย เนื่องจากกรดกัดแก้วคงกัดเนื้อเยื่อปอดทำให้เกิดแผลจนสามารถติดเชื้อโรคในอากาศซึ่งปรกติไม่สามารถทำอันตรายคนที่มีปอดแข็งแรงได้ ความช่วยเหลือด้านการเงิน ที่ครอบคลุมถึงการได้ลดภาษีเป็นการชั่วคราว และค่าชดเชยจากส่วนราชการในจำนวนที่เหมาะสมนั้น จริงแล้วไม่คุ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อประชาชนเลย ทั้งนี้เพราะอุบัติเหตุของโรงงานอุตสาหกรรมนั้นเป็นสิ่งที่คาดคะเนได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ประชาชนได้ทราบหรือไม่ว่า โรงงานที่อยู่ในละแวกบ้านของตนนั้นมีสารเคมีที่ก่ออันตรายร้ายแรง สมัยที่ผู้เขียนจบการศึกษากลับมาทำงานใหม่ๆ นั้น เป็นจังหวะเริ่มแรกของการสร้างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งมีการออกแบบและข้อกำหนดต่างๆ เพื่อความปลอดภัยค่อนข้างน่าเชื่อถือ มีอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เคารพมาเล่าให้ฟังว่าได้ไปซื้อที่แถวนิคมไว้บ้างเพื่อเก็งกำไร ซึ่งก็คงได้กำไรอย่างที่ตั้งใจเพราะคนไทยมักมองว่า สถานที่ใดถ้าจะต้องมีคนเข้าไปทำงานเยอะมักมีราคาดี เนื่องจากเป็นทำเลค้าขาย โดยไม่ได้ดูว่า นิคมอุตสาหกรรมนั้นต้องใช้สารเคมีมากๆ ยิ่งถ้าเป็นอุตสาหกรรมด้านปิโตรเคมีนั้น สารเคมีที่เอามาใช้มักก่อมะเร็งได้แทบทั้งนั้น ในหลักการด้านพิษวิทยาที่ผู้เขียนเรียนมาสอนให้รู้ว่า โรงงานอะไรก็ตามที่ผลิตสารพวกโพลีเมอร์มักใช้สารที่เป็นโมโนเมอร์มาผลิต สำหรับตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นโพลีเมอร์แล้วนั้นความเป็นอันตรายมักหมดไปเนื่องจากกลายเป็นสารเฉื่อย ไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับใครแล้ว แต่สารตั้งต้นคือ โมโนเมอร์ นั้นโดยธรรมชาติต้องไวมากๆ จึงจะถูกผลิตเป็นโพลีเมอร์ได้ ความไวนั้นรวมไปถึงการที่สามารถทำปฏิกิริยากับ ดีเอ็นเอ หรือหน่วยพันธุกรรมในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ด้วย ดังนั้นประเด็นสำคัญที่อยากให้ผู้อ่านเก็บไว้คิดคือ ถ้าบริเวณโดยรอบบ้านท่านนั้นมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ก็ควรรู้ว่าเขาใช้สารเคมีอันตรายหรือไม่ ถ้ามีการใช้แล้วเกิดปัญหาเช่น ไฟไหม้หรือระเบิด ท่านจะทำอย่างไร บางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นโรงงานอุตสาหกรรม แค่บ้านจัดสรรบางแห่งที่ราคาไม่แพง ก็มีคนซื้อบ้านไว้เก็บสารเคมีอันตรายเช่นกัน ดังนั้นถ้าท่านเห็นว่าเพื่อนบ้านไม่ค่อยอยู่บ้านแต่มีถังอะไรไม่รู้กองอยู่เต็ม ก็ไม่ควรเมินเฉย หาเวลาคุยกัยหน่วยงานของรัฐที่ดูแลความสงบของบ้านเมือง ไม่ว่าเป็น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ และถ้าพบว่าไม่ไหวจริงหรือไม่รู้จะทำอย่าง ก็ลองติดต่อที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคดู อาจมีทางป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างได้หวังรอค่าชดเชยเลย เพราะไม่คุ้มเหมือนตัวอย่างที่เกิดไฟไหม้คลังสินค้าของท่าเรือคลองเตยเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน คนที่เหลือรอดชีวิตนั้น ตอนนี้ดูไม่จืดเลย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 140 ติดฉลากจีเอ็มโอ มีหรือในอเมริกา

ในสหรัฐอเมริกา มลรัฐที่เคยมีผู้ว่าการเป็นคนเหล็ก (Arnold Alois Schwarzenegger) คือ แคลิฟอร์เนีย กำลังมีการต่อสู้ทางความคิด แบบว่าใช้เงินกันน่าดูของกลุ่มคนสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือ บริษัทที่ผลิตสินค้าที่เป็นอุตสาหกรรมเกษตรที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ส่วนอีกฝ่ายคือ เกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ร่วมหัวจมท้ายกับนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและองค์กรเอกชน ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายหาเรื่องให้คนกลางคือ ผู้บริโภค เกิดอาการเวียนหัวคือ Proposition 37 (ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติชื่อ “California Right to Know Genetically Engineered Food Act” คนอเมริกันเรียกกันง่าย ๆ ว่า Prop 37) ซึ่งกล่าวถึงการ ติดฉลากอาหารที่ตัดแต่งพันธุกรรมจะมีการลงมติว่า ประกาศได้หรือไม่ประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ ทำไมเรื่องนี้จึงน่าสนใจ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจไม่ทราบว่า สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ประเทศเดี่ยวที่ใครแบ่งแยกไม่ได้เหมือนประเทศไทย การรวมตัวเป็นสหรัฐนั้น มีกฎหมายกลางซึ่งใช้บังคับทั้งประเทศ มีกฎหมายรัฐที่ใช้บังคับทั้งรัฐ แถมกฎหมายท้องถิ่นที่ใช้เฉพาะท้องถิ่นอีกด้วย ดังนั้นแต่ละรัฐจึงเปรียบเสมือนแต่ละประเทศที่มักมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เหมือนกระทรวง (ซึ่งใช้คำว่า Department of ต่างๆ ไม่ใช่ Ministry of เช่นบ้านเราซึ่งเข้าใจว่าเลียนแบบอังกฤษ) เช่น เมื่อมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐอเมริกา ก็ย่อมมีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เดียวกันในระดับรัฐ และมีอำนาจออกกฎหมายที่ใช้เฉพาะในรัฐได้ ขอเพียงอย่างเดียวกฎหมายนั้นต้องไม่แย้งกฎหมายกลางที่ออกตามรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น   ดังนั้นในประเด็นของอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ที่ไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดจาก อย. ของสหรัฐอเมริกาให้มีการติดฉลากอาหารประเภทนี้เหมือนประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศไทย (ผู้เขียนภูมิใจมากที่ได้เขียนอย่างนี้) จะด้วยเหตุผลใดคงไม่เกินท่านผู้อ่านจะเดาได้ เพราะระบบรัฐสภาของสหรัฐนั้นว่าไปเปิดเผยทุกอย่างจนออกนอกหน้า กล่าวคือ ในการออกกฎหมายอะไรก็ตาม จะมีการประกาศให้รู้กันล่วงหน้าเป็นเวลานานพอควร นานจนกฎหมายบางฉบับแท้งคาปากกาไปเลย เพราะมีการวิ่งเต้นล้มกฎหมายได้อย่างถูกต้อง โดยบุคคลที่ทำอาชีพเป็น lobbyist บทความในฉลาดซื้อฉบับนี้ จึงขอยกเอาเรื่องของ การติดฉลากอาหารตัดแต่งพันธุกรรมในรัฐแคลิฟอร์เนียมาเป็นตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามในอนาคตว่า ฝีมือ lobbyist นั้นจะแน่สักแค่ไหน ข้อมูลจากวารสาร Nature ฉบับออนไลน์ (http://www.nature.com) วันที่ 20 August 2012 ได้ออกข่าวระบุว่า ปฏิบัติการเพื่อให้มีกฏหมายติดฉลากอาหารตัดแต่งพันธุกรรม (Prop 37) นั้นเป็น expensive war ทั้งนี้เพราะ ฝ่ายผู้ประกอบการได้เริ่มต้นตั้งงบประมาณในการรณรงค์คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ด้วยวงเงินราว 13 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณ 400 ล้านบาท ส่วนฝ่ายผู้สนับสนุนกฏหมายนี้คือ องค์กรอิสระที่ต่อต้านการใช้กระบวนการตัดแต่งพันธุกรรมกับอาหารนั้นก็ตั้งงบไว้ในการรนณรงค์ครั้งนี้ 2.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ ซึ่งคงได้จากการบริจาคล้วนๆ ความสำคัญของ Prop 37 นี้ก็คือ มันเป็นตัวแทนของปรัชญาพื้นฐานของสิทธิของผู้บริโภคที่มีสิทธิจะรู้ถึงคุณลักษณะของสินค้าที่จะบริโภค โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นว่า การตัดแต่งพันธุกรรมนั้นมีอันตรายหรือไม่ ในขณะที่ผู้ผลิตก็กล่าวอ้างว่า การติดฉลากนั้นจะกระทบถึงผู้บริโภคแน่เพราะมันต้องใช้เงิน ซึ่งส่งผลถึงการเพิ่มราคาสินค้า การพยายามให้มีการติดฉลากอาหารที่มีองค์ประกอบผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมนั้นมีมาแล้วใน 19 รัฐ แต่ก็แท้งหมดทุกครั้ง เพราะมีการต่อต้านจากผู้ประกอบการ แต่สำหรับแคลิฟอร์เนียในครั้งนี้ดูเหมือนจะเสร็จแน่ เนื่องจากมีการรณรงค์อย่างจริงจังในการออกกฎหมายนี้ และถ้ากฎหมายนี้ผ่านได้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย อีกหลายรัฐคงเอาบ้าง ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องอาหารตัดแต่งพันธุกรรมของชาวอเมริกันเลยทีเดียว การติดฉลากอาหารผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมนี้ ย่อมมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกามักอยู่ในกลุ่มหลัง ถึงขนาดเรียกกฏหมายในลักษณะนี้ว่า เป็นกฎหมายที่ต่อต้านการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์หลายคนมีความรู้สึกว่า กฎหมายลักษณะนี้จะทำให้เกิดความท้อแท้ในการจะพัฒนาความรู้ในการดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ขายผู้บริโภค ที่สำคัญนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐส่วนใหญ่ไม่คิดว่า การตัดแต่งพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั้น เป็นการทำให้เกิดชีวิตแบบใหม่ เพราะสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงนั้นได้มีการกลายพันธุ์ไปแล้ว และที่สำคัญและมักหลงลืมกันก็คือ การทำงานของหน่วยพันธุกรรม (gene) ลักษณะหนึ่งมักมีผลต่อการทำงานของหน่วยพันธุกรรมอื่นด้วยในเซลล์เดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การตัดแต่งพันธุกรรมของถั่วเหลืองให้ต่อต้านสารกำจัดวัชพืชนั้น ได้ทำให้ถั่วเหลืองมีการสร้างสารไอโซเฟลโวน (isoflavone) เช่น เจ็นนิสติน (genistin) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ผู้บริโภคหวังว่าต้องได้จากการบริโภคถั่วเหลือง(เพื่อลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม) ลดลงไปถึงระดับที่นักตัดแต่งพันธุกรรมเรียกว่า ต่ำปรกติ (หมายความว่า ถึงต่ำก็ยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่าไม่ผิดปกติ) นักตัดแต่งพันธุกรรมพืชมักกล่าวว่า การที่พืชทางเศรษฐกิจสามารถต้านสารกำจัดวัชพืชนั้น เป็นผลดีต่อเกษตรกร เพราะช่วยประหยัดเวลาในการใช้สารเคมี เนื่องจากไม่ต้องกังวลว่า สารกำจัดวัชพืชจะไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นพืชที่ต้องการ แต่ในกรณีนี้นักต่อต้านการใช้พืชตัดแต่งพันธุกรรมกลับคิดว่า เกษตรกรพันธุ์ใหม่มีความมักง่ายที่จะไม่สนใจว่า สารเคมีที่ตกค้างบนพืชนั้นเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ส่งผลให้ผลิตผลการเกษตรนั้นมีสารตกค้างในปริมาณที่สูงขึ้น อีกทั้งความสามารถในการใช้สารเคมีได้ตามสบายยังส่งผลถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้ออาหารที่แพงขึ้นด้วย โดยผู้ขายสารเคมียิ้มสบาย ทำไมการติดฉลากอาหารที่มีองค์ประกอบผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมจึงสำคัญสำหรับผู้บริโภคในรัฐแคลิฟอร์เนีย คำตอบก็คือ ปัจจุบันมีนักวิชาการได้ประเมินว่า อาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น มีองค์ประกอบที่ได้จากพืชตัดแต่งพันธุกรรม มากกว่าร้อยละ 70 (ข้อมูลเหล่านี้ดูได้จาก Youtube) ตัวเลขที่แน่นอนนั้นยังไม่ยืนยัน แต่ที่แน่ๆ คือ มีการทำการทำโพลล์ (poll หรือคำเติมคือ opinion poll) หลายการสำรวจเช่น ของ Thomson Reuters ในปี 2010 พบว่า คนอเมริกันทั่วไปกว่าร้อยละ 90 ต้องการฉลากดังกล่าว อย่างไรก็ดี การดูข้อมูลจากการทำโพลล์นั้นมักต้องติดตามให้ทันสมัยเพราะข้อมูลเปลี่ยนไปมาได้ตลอด ที่สำคัญก็ต้องดูว่าเป็นโพลล์ของสำนักไหน เพราะคนทำโพลล์ก็ต้องกินข้าว อยู่บ้าน มีรถขับ และอยากได้เฟอร์นิเจอร์ประดับกายอื่นๆ เหมือนกัน จะหวังคนทำโพลล์ถือศีลครบห้าข้อตลอดนั้น ชาติหน้าบ่าย ๆ ค่อยหวังแล้วกัน ดังนั้นการเต้าโพลล์จึงเป็นของธรรมดาในประเทศทุนนิยม ในรัฐแคลิฟอร์เนียนั้น เคยมีการทำโพลล์ว่าคนในรัฐนี้ร้อยละ 67 สนับสนุนการขึ้นภาษีบุหรี่ ดังนั้นบริษัทผลิตบุหรี่จึงทุ่มเงินราว 50 ล้านเหรียญเพื่อรณรงค์ต่อต้านกฎหมายนี้ และประสบความสำเร็จเสร็จที่สุดว่ากฎหมายเพิ่มภาษีบุหรี่ต้องตกไป จึงมีนักข่าวหลายคนคาดว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นกับกฎหมายการติดฉลากอาหารตัดแต่งพันธุกรรมได้ ต้องคอยดูกัน ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจไม่เคยทราบหลักการติดฉลากอาหารตัดแต่งพันธุกรรมของไทยว่า เรามีข้อกำหนดอย่างไร ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 251) พ.ศ.2545 เรื่อง การแสดงฉลากอาหารที่ได้จากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรมหรือพันธุวิศวกรรม มีอาหารในหมวดที่ต้องแสดงฉลาก 22 ชนิด ซึ่งอาหารที่ควบคุมจะเป็นอาหารประเภทถั่วเหลืองและข้าวโพด ในประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า “ให้ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพดที่ได้จากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรมเป็นอาหารที่ต้องมีฉลาก ซึ่งหมายความว่า อาหารที่มีถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพดที่มีสารพันธุกรรมหรือโปรตีนที่เป็นผลจากการดัดแปรพันธุกรรมนั้นอยู่ตั้งแต่ร้อยละ 5 ของแต่ละส่วนประกอบที่เป็นส่วนประกอบหลัก 3 อันดับแรกต้องติดฉลากบอกปริมาณ” จึงมีคำถามว่า ถ้าองค์ประกอบชนิดที่ 4 เป็นอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมและมีปริมาณเกินร้อยละ 5 ขึ้นไปด้วย จะต้องแสดงฉลากขององค์ประกอบที่ 4 หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ (โดยอธิบายในเชิงว่าคงไม่มีอาหารอะไรที่จะมีองค์ประกอบลำดับที่ 4 มีปริมาณเกินร้อยละ 5) การออกประกาศติดฉลากของอาหารตัดแต่งพันธุกรรมของไทยนั้น เป็นการทำตามธรรมเนียมของประเทศที่เป็นสมาชิกที่ดีของ WTO ที่พึงกระทำตามที่ Codex ขององค์การสหประชาชาติกำหนด ในขณะที่สหรัฐอเมริกานั้นใหญ่โตเกินว่า Codex จะกล้าวอแว ดังนั้นการที่จะมีการออกกฎหมายการติดฉลากอาหารตัดแต่งพันธุกรรมเพียงในรัฐเดียวของมหาประเทศนี้ จึงเป็นเรื่องที่ควรจับตามองจากคนทั้งโลก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 139 เมาแล้วขับแต่ไม่ถูกจับ (มีหรือ)

“ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน” ถ้าถามเด็กปัจจุบันว่ากลอนแปดบทนี้ใครแต่ง อาจพบว่าเด็กบางคนร้อง เอ๋อ ไม่ใช่ อ๋อ เพราะมันคงดูเชยบรมถ้าตอบคำถามแบบนี้ได้ คงมีแต่ผู้ใหญ่ล้าสมัยแบบผู้เขียนที่พอจำได้ว่า สุนทรภู่ แต่งไว้ในนิราศภูเขาทอง สุนทรภู่นั้นเป็นกวีสุดยอดของไทย แต่มีพฤติกรรมสุดแย่คือ ติดสุรายาดองเป็นอาจิณ ตามภาษาคนไทยใจเบิกบาน ดีใจก็เหล้า เสียใจก็เหล้า บวชก็เหล้า แต่งงานก็เหล้า แถมงานเผาคนอื่นก็เหล้า (จนสุดท้ายเหล้าก็ทำให้ตนเองถูกเผา) ทั้งที่อาราธนาศีลห้าเป็นประจำจนชินชาลืมไปว่าศีลข้อ 5 ห้ามดื่มเหล้า สุนทรภู่นั้นโชคดีที่สมัยนั้นยังไม่มีกฏหมายห้ามขี้เมาขี่ม้า ขี่ช้าง หรือพายเรือ จึงไม่ต้องถูกจับตรวจลมหายใจวัดปริมาณแอลกอฮอล์เหมือนขี้เมาสมัยนี้ เราเลยอดอ่านนิราศของสุนทรภู่เกี่ยวกับการถูกตรวจวัดแอลกอฮอล์หรือการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เมื่อถูกศาลสั่งลงโทษ เหมือนกับข่าวที่ดาราดังหลายคนต้องกระทำโดยไม่ตั้งใจ มีข่าวว่า มีผู้หวังดีแนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวหลังเมาแล้วตั้งใจจะขับรถ ซึ่งกรณีดื่มนมเปรี้ยวแกล้มเหล้านี้ รมช.สาธารณสุขท่านหนึ่งได้ออกมาให้ข่าวว่า ได้สั่งการให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทดลองว่า นมเปรี้ยวสามารถลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้จริงหรือไม่ ผลการศึกษาพบว่าการดื่มนมเปรี้ยวลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้เพียงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น แต่ไม่ช่วยลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจนผ่านเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของตำรวจที่ด่านได้ ความจริงคนไทยมีภูมิปัญญาชาวบ้านเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรในคนติดเหล้าคือ รางจืด ช่วยถอนอาการเมาค้างได้ แต่ยังไม่มีใครทดสอบว่าสมุนไพรนี้ ช่วยลดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจสำหรับนักดื่มที่ต้องการขับรถตอนกลางคืนหรือไม่   แล้ววันหนึ่งนักข่าวท่านหนึ่งที่นิยมคุยกับผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เพื่อประกอบการทำข่าวเกี่ยวกับสินค้าที่อาจมีการหลอกลวงผู้บริโภคก็ได้โทรมาถามว่า มีโอกาสไหมที่จะลดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจของขี้เมาก่อนขับรถผ่านด่านตำรวจ เพราะมีคนนำสินค้าชนิดหนึ่งมาโฆษณาขายใน youtube ว่า เมื่อบริโภคสินค้านี้แล้ว รับรองเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ บอดแน่ พร้อมทั้งส่ง URL ของคลิปใน youtube มาให้ด้วย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านก่อนว่า เมื่อท่านดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต เร็วช้าขึ้นกับแต่ละคนว่ามีเวรกรรมประมาณใด เพราะระดับความเมาขึ้นกับระดับเอนไซม์ในร่างกายที่ทำงานในการกำจัดแอลกอฮอล์ว่าสูงหรือต่ำ ที่สำคัญด้วยคือ สภาวะร่างกายโดยเฉพาะตับนั้นแข็งแรงหรืออ่อนแอ แอลกอฮอล์นั้นเป็นชื่อสามัญประจำบ้านของสารอินทรีย์ที่มีชื่อทางเคมีว่า เอ็ทธิลแอลกอฮอล์ สารนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำให้มนุษย์และสัตว์เมาได้ ดังนั้นมนุษย์บางคนที่กินเหล้าเมาจึงถูกสังคมประณามว่า เมาเหมือนสัตว์ที่ใช้เฝ้าบ้าน ซึ่งเป็นความไม่ยุติธรรมกับสัตว์ประเภทนี้เลย เพราะเวลาเอาเหล้าเทใส่ชามให้เขาดื่ม เขามักเลี่ยงที่ไม่ดื่ม (ยกเว้นในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องจับกรอกปาก เขาก็เมาได้เหมือนคน) ดังนั้นจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะพูดว่า คนเมาเหมือนเขา การที่มีหน่วยงานหนึ่งยับยั้งการเผยแพร่โปสเตอร์รูปคนกินเหล้าแล้วกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งนั้น ถูกต้องแล้วเพราะเป็นการไปละเมิดสิทธิสัตว์ประเภทนั้น เมื่อแอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้าเลือดแล้ว ปราการด่านแรกในการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากเลือดคือ ตับ ดังนั้นตับจึงมักเป็นอวัยวะที่ถูกทำลายในผู้ติดเหล้า จนเกิดอาการตับแข็ง ซึ่งเป็นสภาวะรับประกันว่า ผู้ที่ตับแข็งนั้นจะไม่เป็นมะเร็งเพราะเซลล์ตับมันพังจนเป็นมะเร็งไม่ไหวแล้ว ในเซลล์ตับนั้นมีเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮดรอจีเนส ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงเอ็ทธิลแอลกอฮอล์ไปเป็นสารอีกชนิดชื่อ อะเซ็ตทัลดีไฮด์ ซึ่งจะถูกเปลี่ยนต่อไปอีกเป็นกรดน้ำส้มหรือ อะเซ็ทติกแอซิด (ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับกรดน้ำส้มสายชูที่เราใช้เติมก๋วยเตี๋ยว) ด้วยเอนไซม์อะเซ็ตทัลดีไฮด์ดีไฮดรอจีเนส จากนั้นน้ำส้มสายชูที่ได้ในตับจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานได้ และเนื่องจากแอลกอฮอล์ให้พลังงานมากกว่าแป้งเกือบสองเท่าตัว จึงทำให้คนติดเหล้านั้นไม่หิวข้าว แต่เป็นความอิ่มแบบขาดแคลนสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอื่น ๆ ส่งผลให้เซลล์ตับอ่อนแอ คนที่กินเหล้าในปริมาณมาก ๆ นั้น แอลกอฮอล์จะไปกดระบบประสาททำให้ซึมได้ในบางคน แต่บางคนก็ทำให้ความอดกลั้นต่อความทุกข์ยากของชีวิตหมดไป จึงระบายออกมาแบบการโวยวาย นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังทำให้มนุษย์หมดยางอายได้ สามารถทำในสิ่งที่ต้องการความยั้งคิด เช่น การเปลือยกายในที่สาธารณะ หลายท่านอาจเคยเห็นคนที่เมาปลิ้นแบบสิ้นสตินั้นมีอาการปวดหัวเมื่อสร่างเมา ซึ่งเรามักใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า แฮ้ง มาจากคำว่า hangover สาเหตุสำคัญของอาการ แฮ้ง นี้เกิดเนื่องจากร่างกายกำจัดอะเซ็ตทัลดีไฮด์ไม่ทัน เลยทำให้ปวดสมองในกระโหลกได้ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงใช้คุณสมบัตินี้ในการผลิตยาเลิกเหล้า โดยหาสารที่ยับยั้งการทำงานของอะเซ็ตทัลดีไฮด์ดีไฮดรอจีเนส ส่งผลให้มีการสะสมของอะเซ็ตทัลดีไฮด์ในสมองของผู้ดื่มจนปวดกระโหลกเป็นประจำ โดยไม่รู้ว่า ผบ.ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) ได้เอายานี้ผสมเหล้าให้กิน และเมื่อมีอาการนี้บ่อยเข้า ถ้าชีวิตยังพอมีบุญอยู่บ้างก็เกิดอาการเบื่อที่จะดื่มเหล้าได้ ที่เล่ามาอย่างยืดเยื้อนี้เพื่อให้เห็นคุณสมบัติทางชีวเคมีของแอลกอฮอล์ว่า ถูกลดปริมาณได้ด้วยเอนไซม์ แอลกอฮอล์ดีไฮดรอจีเนส ดังนั้น ในสินค้าที่อ้างว่าลดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจได้นั้น ถ้าเป็นสินค้าที่มีเอนไซม์นี้อยู่ แล้วแอลกอฮอล์ยังอยู่ในทางเดินอาหาร โอกาสลดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจก็สูง ซึ่งในคลิปของ youtube ที่ผู้เขียนเข้าไปดูนั้น ก็พบว่า เป็นการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจหลังจากบริโภคสินค้าตามเหล้าที่ดื่มทันที ซึ่งไม่ตรงกับพฤติกรรมจริงของนักดื่มที่มัก hang around อยู่ในผับหรือบาร์จนเมา เพราะถ้าไม่ต้องการเมาจะไปดื่มเหล้าหาพระแสงด้ามอะไร สินค้าที่มีขายเพื่อลดแอลกอฮอล์ในลมหายใจนั้นคงไม่ช่วยอะไร ถ้าแอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้ว เพราะถึงมีเอนไซม์อะไรก็ตามที่ทำลายแอลกอฮอล์ได้ ตัวเอนไซม์เองคงไม่พ้นถูกน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กจัดการป่นเป็นกรดอะมิโน หมดสภาพเอนไซม์ไปเลย ในการวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจด้วยเครื่องที่เรามักเห็นตำรวจถือในโทรทัศน์นั้น เป็นการวัดระดับแอลกอฮอล์ที่ซึมเข้าเลือด แล้วบางส่วนผสมกับเลือดไหลผ่านไปสู่ปอดและระเหยออกมา เมื่อผู้ดื่มเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจที่พ่นผ่านเครื่อง (ซึ่งมีระบบตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งต่างกับ GT-200) จะเป็นปริภาคโดยตรงกับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งเป็นตัวกำหนดความเมาของผู้ดื่ม ดังนั้นผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าลดแอลกอฮอล์ในลมหายใจได้ อาจเจอปัญหาว่า มันลดได้เฉพาะในเวลาที่แอลกอฮอล์ยังไม่ซึมเข้าเลือด แต่พอซึมเข้าไปในระบบเลือดแล้ว คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่ามันจะออกมาที่ปอดเข้าสู่ลมหายใจออกเท่าไร ตำรวจเท่านั้นที่จะตอบได้ เมื่อท่านถูกขอให้เป่าอุปกรณ์ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ประเด็นที่สำคัญก็คือ ใน youtube นั้นมีคลิปหนึ่งที่มีผู้ไปสัมภาษณ์แพทย์ท่านหนึ่งของออสเตรเลียซึ่งได้ฟันเสาธงเลยว่า สินค้านี้เชื่อไม่ได้ และในประเทศออสเตรเลียห้ามจำหน่าย ดังนั้นผู้ที่ดื่มเหล้าจนแอลกอฮอล์ซึมเข้าเลือดไปแล้ว โอกาสที่จะหาอะไรมาทำลายแอลกอฮอล์ได้คงไม่มี ยกเว้นว่ามีใครคิดทำการทำวิจัยว่า มีสารอะไร หรืออาหารอะไร ที่สามารถกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในตับให้เปลี่ยนแอลกอฮอล์ไปเป็นอัลดีไฮด์แล้วต่อเป็นกรดน้ำส้มได้เร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันยังไม่เคยมีใครประกาศว่าค้นพบ และในกรณีที่ทำได้ ก็ต้องเป็นการกระตุ้นก่อนที่จะดื่มสุราเมรัย เสมือนเป็นการเตรียมระบบเผาผลาญให้พร้อมเสมอที่จะเผาแอลกอฮอล์ทิ้ง ซึ่งคอสุราหลายท่านคงไม่ปรารถนานักเนื่องจากเป็นการลดความบันเทิงในอารมณ์เมานั่นเอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 138 หนทางเพื่อความเป็นอมตะ

ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผู้เขียนได้ฟังรายการธรรมะทางช่อง 7 ซึ่งพระธรรมโกศาจารย์ แห่งวัดประยูรวงศาวาสได้บรรยายว่า พระพุทธเจ้าเคยเทศน์ให้พระอานนท์ฟังเมื่อเสด็จพักผ่อนกลางวัน ณ ปาวาลเจดีย์ว่า ถ้าใครดำรงชีวิตโดยยึดถืออิทธิบาท 4 แล้วสามารถมีอายุยืนได้ชั่วกัลป์ แต่พระอานนท์ไหวไม่ทันว่ามีความหมายอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงทรงปลงอายุสังขารเมื่ออายุ 80 พรรษา เพราะพญามารได้เข้าทูลอารธนาขอให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน(จาก www.kanlayanatam.com ให้นิยามคำว่า 1 กัลป์ คือ 4,320,000,000 ปี มนุษย์) เรื่องนี้ฟังดูก็แปลกดีเพราะหลาย ๆ ท่าน รวมทั้งผู้เขียนเข้าใจว่า อยู่ชั่วกัลป์คือ อยู่ไปเรื่อยๆ แบบฝรั่งเรียกว่า immortal แต่ท่านพระธรรมโกศาจารย์ก็ได้เฉลยไว้ประมาณว่า ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะที่บอกว่า อิทธิบาท 4 ช่วยทำให้อยู่ได้ชั่วกัลป์นั้น หมายความว่า การถือปฏิบัติอิทธิบาท 4 นี้ทำให้ชีวิตคนเรามีความหมายเมื่อยังมีลมหายใจ ซึ่งทำให้ผู้เขียนพอเข้าใจว่า คนที่แม้ยังมีลมหายใจอยู่ถ้าไม่ทำอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวมีประโยชน์ต่อสังคมเสียเลยก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว   สำหรับ อิทธิบาท 4 ซึ่งแปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จช่วยให้อายุยืนนั้น น่าจะหมายถึง การที่เรามีความพอใจที่เกิดมาเป็นคน (ฉันทะ) จึงต้องมีความพากเพียรในการประกอบการงานไม่ขาดตอน (วิริยะ) ไม่ทอดทิ้งสิ่งนั้นไปจากความรู้สึกของตัว โดยทำสิ่งซึ่งเป็นวัตถุประสงค์นั้นให้เด่นชัดอยู่ในใจเสมอ (จิตตะ) พร้อมทั้งคอยสอดส่องในเหตุและผลแห่งความสำเร็จเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป (วิมังสา) การประพฤติดังนี้ คนเป็นเท่านั้นที่ทำได้ ในทางวิทยาศาสตร์อาจอธิบายได้ว่า เมื่อเราทำงานแล้วมีความพอใจในผลงานที่ได้ทำ ผลนั้นย่อมกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา สารนี้ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อในร่างกายสมดุล สดชื่น แข็งแรง ดังนั้นเมื่อเทียบกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นนัยกับพระอานนท์ว่า ทรงปรารถนาจะอยู่เป็นกัลป์เพื่อทรงทำงานที่ทรงรักคือ การเผยแพร่พุทธศาสนา น่าจะสามารถทำให้พระองค์มีอายุยืนยาวได้จริงๆ แต่จะได้นานแค่ไหนนั้นคงไม่มีใครตอบได้ เพราะเราคงต้องถามตัวเองก่อนว่า ถ้าเราอยู่ได้ถึง 1 กัลป์ จะอยู่ไปทำไมและเพื่อใคร บางทีคำถามนั้นอาจจะจบลงที่ว่า ถ้าพระพุทธองค์ยังอยู่จะมีประโยชน์ต่อสรรพสัตว์มากมายแค่ไหนและนั่นคงเป็นคำตอบของการอยู่ไปทำไม และเพื่อใครจริงๆ ดังนั้นเมื่อพุทธศาสนิกชนเข้าใจแล้วว่า ชั่วกัลป์ นั้นเป็นอย่างไร แต่ฝรั่งหรือคนไทยบางคนก็ยังเข้าใจว่า ชั่วกัลป์ คือ ช่วงเวลาที่นานมากๆ นัยหนึ่งคือ นานจนเมื่อนึกถึงการมีชีวิตแล้วกลายเป็นอมตะ จึงมีการแสวงหาอะไรก็ได้มากินหรือใช้กับร่างกาย เพื่อทำให้ร่างกายนั้นอยู่ในสภาวะที่ไม่เสื่อมสลายไป(ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้) ประเด็นเรื่องความเป็นอมตะนั้น ใน www.quackwatch.com มีผู้เขียนบทความน่าสนใจเรื่องหนึ่งชื่อ Position Statement on Human Aging โดยกล่าวในแง่ว่า ในปัจจุบันมีคนเชื่อว่า ความก้าวหน้าทางการแพทย์นั้น ทำให้มีกระบวนการหรือสินค้าที่ป้องกันความแก่(antiaging) มาขายให้แก่คนที่อยากอยู่ยั้งยืนยงชั่วกัลปาวสานได้ ก่อนอื่นท่านผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนว่า ทำไมเซลล์ในร่างกายเราถึงแก่ได้ คำอธิบายคือ เซลล์ร่างกายเรานั้นมีการแบ่งเซลล์เมื่อถึงความเหมาะสมหนึ่งคือ อิ่มพลังงาน มีทรัพยากรในเซลล์พอ หรือมีการกระตุ้นให้เกิดการแบ่งเซลล์จากภายนอกเซลล์ ในการแบ่งเซลล์นั้นต้องมีการเพิ่มจำนวนโครโมโซม(ดีเอ็นเอที่ห่อหุ้มด้วยโปรตีน) เป็นสองเท่าของของเดิมก่อน แล้วจึงแยกโครโมโซมออกจากกัน จากนั้นก็มีการแบ่งส่วนที่เหลือของเซลล์ออกเพื่อให้เป็นสองเซลล์ ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งของการเพิ่มจำนวนโครโมโซมคือ ดีเอ็นเอที่เป็นหน่วยพันธุกรรมของเราแต่ละแท่งนั้น มีบริเวณส่วนปลายที่เรียกว่า ทีโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งมักจะขาดแหว่งไปทุกครั้งที่มีการแบ่งเซลล์ ในขณะที่เซลล์ก็พยายามซ่อมให้เท่าเดิม ยามที่เซลล์ยังเยาว์อยู่ก็ซ่อมได้ดี แต่เมื่อเซลล์มีอายุเพิ่มขึ้นการซ่อมนั้นก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง จนสุดท้ายนานเข้าก็ซ่อมไม่ได้เลย ทำให้การแบ่งเซลล์ต้องหยุด แล้วเซลล์ก็เริ่มแก่ จึงมีผู้ตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าสามารถทำให้การซ่อมทีโลเมียร์สมบูรณ์ได้ เซลล์ก็ไม่น่าแก่ (ความจริงปรากฏการณ์นี้เกิดกับเซลล์มะเร็ง ซึ่งแบ่งตัวได้ตลอดเวลา แต่เป็นการแบ่งแล้วไม่พัฒนาเซลล์ให้ทำงาน) ในบทความของ quackwatch ที่ผู้เขียนเข้าไปดูนั้น กล่าวถึงอายุไขของมนุษย์ว่า เคยมีชาวฝรั่งเศสชื่อ Madame Jeanne Calment ตายเมื่ออายุได้ 122 ปี ในขณะที่ปัจจุบันคนอเมริกันมีอายุไขเฉลี่ยที่ 77 ปี (ใกล้กับความหมายของ 1 กัลป์ ที่กล่าวในตอนต้น) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 30 ปี จากเดิมคือ 47 ปี เมื่อ ค.ศ. 1900 ดังนั้นในศตวรรษที่ 21 นี้คนอเมริกันควรมีอายุไขเฉลี่ย 90 ปี ถ้าวิทยาการทางการแพทย์ยังพัฒนาไปข้างหน้าดังในปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกามีนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มที่ทำการศึกษาถึงกระบวนการที่ทำให้ร่างกายมนุษย์แก่ ซึ่งว่าไปแล้วมันน่าจะหมายถึง การแก่ของเซลล์ต่างๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ผลรวมของความแก่ทำให้มนุษย์ตาย ความเข้าใจในกระบวนการนี้น่าจะช่วยในการชะลอให้ความแก่เกิดช้าที่สุด แต่ไม่ได้หมายถึงการทำให้มนุษย์หยุดความแก่ได้ ในประวัติศาสตร์จีนก็มีตัวพ่อที่พยายามหาทางต่อสู้กับความแก่คือ จิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ตายเน่าเป็นเหยื่อให้แบคทีเรียกินไปในที่สุด ส่วนอียิปต์โบราณก็พยายามทำมัมมี่ ซึ่งสุดท้ายก็เหลวกลายเป็นศพแห้งอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่พอจะกล่าวว่าสำเร็จเกี่ยวกับมัมมี่ก็คือ มีผู้สร้างหนังเอาความหวังในการทำมัมมี่ของคนโบราณมาหารับประทานไปหลายเรื่อง ความเป็นอมตะนั้นเป็นความฝันอันเลื่อนเปื้อนที่สุด ในหลักศาสนาพุทธแล้ว ใครต้องการเป็นอมตะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากครอบครัวซึ่งไม่เคยมีคนตาย(ซึ่งเป็นไปไม่ได้แม้จะแอบไปตั้งนามสกุลใหม่ก็ถือว่ายังมีโคตรเง่าอยู่) ดังนั้นความหวังสู้ความแก่ หวังเป็นอมตะ โดยไปซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีการโฆษณาในอินเตอร์เน็ตว่า ชะลอหรือหยุดความแก่ได้ ก็เป็นเพียงหวังลมๆ แล้งๆ ในอินเตอร์เน็ตท่านผู้อ่านจะพบข้อมูลในการโฆษณาว่า มีผลิตภัณฑ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นตอของความแก่ของเซลล์ได้ ในความเป็นจริงแล้ว อนุมูลอิสระเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งในหลายสาเหตุที่จะทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโตแล้วเข้าสู่ภาวะ Senescence(biological aging) ซึ่งเป็นการหยุดการแบ่งเซลล์และอยู่เฉยเหมือนคนที่เกษียณแล้ว ไม่ต้องทำงาน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ รอยย่นบนใบหน้า เมื่อใดที่สภาวะนี้เกิดทั่วร่างกายคนผู้นั้นก็ไม่ใช่คนเป็นแล้ว ดังนั้นการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ เป็นการลดอันตรายที่เป็นผลเนื่องจากอนุมูลอิสระ แต่ไม่ใช่การชะลอความแก่เสียทีเดียว ปัจจุบันในวงการแพทย์บางประเทศซึ่งอาจรวมประเทศไทยด้วย ได้มีสาขาการแพทย์ที่เรียกว่า Geriatric Medicine ซึ่งน่าจะหมายถึงการศึกษาโดยอายุรแพทย์ที่พยายามชะลอความแก่ของคนไข้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ คำแนะนำในการปรับปรุงด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การงดสูบบุหรี่ กินเหล้า เป็นต้น คำแนะนำเหล่านี้เป็นความหวังที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ดังนั้นปฏิบัติการดังกล่าวจึงควรเกิดขึ้นในสถานพยาบาลไม่ใช่บนอินเตอร์เน็ต เพราะมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่าง ไม่มีใครเหมือนกันโดยตรง การแนะนำที่หวังจะชะลอความแก่นั้นต้องจัดพิเศษเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ยังมีการนำคำว่า antiaging medicine มาใช้ในการโฆษณาเพื่อชะลอความแก่ โดยมักเป็นการขาย วิตามินผสมยาบางขนาน ตลอดจนฮอร์โมนเพศบางชนิด โดยมักโฆษณาให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เพราะยังไม่มีข้อมูลที่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่าการใช้ ยา วิตามิน หรือฮอร์โมนเพศ นั้นทำให้แก่ช้าลง ทั้งนี้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้แก่ช้านั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนมากกว่าการจะจัดการโดยใช้ปัจจัยเดียวได้ อีกประเด็นที่มีการพยายามนำมาใช้ในการแนะนำเพื่อชะลอความแก่คือ การจำกัดปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารให้น้อยกว่าที่คนปรกติกิน เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่เรียกว่า Lean body คือมีแต่เนื้อ (หุ้มกระดูก) ปราศจากไขมัน เหมือนกับเวลาเราซื้อไก่ ส่วนที่เป็น lean คือ อกไก่ เพราะมีไขมันต่ำ ในการศึกษาเกี่ยวกับการจำกัดพลังงานในอาหารในสัตว์ทดลองนั้น ผลมักปรากฏว่า สัตว์ทดลองนั้นเป็นมะเร็ง(เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสารก่อมะเร็ง) น้อยกว่าสัตว์ปรกติที่กินตามใจปาก(ถูกกระตุ้นด้วยสารก่อมะเร็งเดียวกัน) แต่ความรู้นี้ก็ยังไม่สามารถนำไปต่อยอดขนาดทำให้สัตว์ทดลองอายุยืนกว่าปรกติได้ โดยสรุปแล้วบทความเรื่อง Position Statement on Human Aging (ซึ่งเป็นบทความที่เคยตีพิมพ์ในวารสาร Scientific American Magazine และ Journal of Gerontology: Biological Sciences) นั้นหวังให้ผู้บริโภคตระหนักว่า ความก้าวหน้าทางวิชาการในปัจจุบันยังไม่สามารถประกาศว่า ความแก่ชะลอได้ หรือยืดช่วงอายุของแต่ละคนออกไปได้ เพียงแต่มีแนวโน้มว่า การปรับปรุงสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตให้เหมาะสม เช่น การกินอาหารให้ครบถ้วนนั้น น่าจะเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เร่งให้เราแก่เร็วได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 137 กาวติดเนื้อ(meat glue)

ในห้องปฏิบัติการของผู้เขียนมีนักวิจัยประจำอยู่สองคน คนหนึ่งไปเรียนต่อปริญญาเอกและกลับมาแล้วพร้อมลูกสองคน ในขณะที่อีกคนกำลังจะไปเรียนบ้าง ทั้งนี้เพราะสมัยนี้ใครไม่จบปริญญาเอกไม่สามารถเป็นผู้นำในการขอทุนวิจัยได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า การศึกษาระดับปริญญาโทของเรานั้นมันด้อยเกินไปในสายตาผู้ให้ทุน จึงต้องมีหลักเกณฑ์สำคัญขั้นต้นว่า ต้องจบปริญญาเอกก่อนจึงขอทุนได้ จริงแล้วในฉบับนี้ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจคุยเรื่องการขอทุนวิจัยหรอก แต่ขอกล่าวอ้างถึงนักวิจัยคนที่สองที่ผู้เขียนดูแลว่า เมื่อสอบเรียนต่อได้แล้วก็มีการไปเลี้ยงฉลองกินสเต็กกับเพื่อนๆ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ก็อาจมีอะไรได้ ขอให้ท่านผู้อ่านติดตามต่อไป   เวลาเราไปกินสเต็กหรืออาหารเนื้อสัตว์ตามร้านอาหารต่างๆ นั้น เราไม่เคยได้เข้าไปดูในครัวว่า เนื้อที่เอามาปรุงให้เรากินนั้นมีสภาพก่อนปรุงเสร็จอย่างไร ทุกคนคงคิดเอาเองว่า คงจะเป็นเนื้อที่ดี คุณภาพเป็นเลิศ ก็สเต็กจานนั้นมันออกจะแพงแบบว่าไม่อร่อยไม่ได้แล้วนี่ ปรากฏว่าเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้เขียนได้พบข่าวในอินเตอร์เน็ตภายใต้หัวข้อว่า Is meat glue safe enough to eat? ซึ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากไม่เคยเรียนวิชาเกี่ยวกับการปรุงอาหารมาก่อน แม้เคยได้ยินคำว่า meat glue มาบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ดังนั้นพอเห็นหัวข้อข่าวดังกล่าว จึงทำให้ต้องไปหา wikipedia ว่า meat glue คืออะไร ซึ่งปรากฏว่า เมื่อพิมพ์คำว่า meat glue ใน search engine ของ wikipedia ข้อมูลที่ได้กลายเป็นเรื่องของ ทรานซ์กลูตามิเนส (Transglutaminases) ซึ่ง wikipedia บอกว่า Redirected from Meat glue ทรานซ์กลูตามิเนส เป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สร้างพันธะโควาเลนท์ระหว่างกลุ่มเอมีนอิสระที่อยู่ในสายโปรตีนหนึ่งกับกลุ่มแกมม่าคาร์บอกซาไมด์ที่อยู่บนอีกสายโปรตีนหนึ่ง การสร้างพันธะนี้แข็งแรงมากขนาด เอนไซม์ที่สามารถย่อยโปรตีนทั่วไปไม่สามารถย่อยพันธะที่สร้างขึ้นโดยทรานซ์กลูตามิเนสได้ (ข้อความนี้มาจาก wikipedia) แต่ก็มีการแย้งข้อมูลนี้หลังผู้เขียนเข้าไปอ่านเอกสารของผู้ผลิตเอนไซม์นี้ว่า การย่อยเนื้อสัตว์ที่ใช้ทรานซ์กลูตามิเนสนั้นไม่ต่างจากเนื้อสัตว์ทั่วไป ก็คงต้องฟังหูไว้หู หลายท่านที่ไม่ได้จบด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพอาจงง ก็จงงงต่อไปเถิดครับ ส่วนคนเรียนค่อนมาทางด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพหรือวิทยาศาสตร์ทางอาหารคงพอเข้าใจบ้าง ที่สำคัญเอนไซม์นี้พบได้ในกระบวนการแข็งตัวของเลือดสัตว์ชั้นสูง และเอนไซม์นี้มีบทบาทในอุตสาหกรรมอาหารเกี่ยวกับการเชื่อมเนื้อสัตว์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน นานมาแล้วเอนไซม์นี้เคยสกัดได้จากเลือดสัตว์  ซึ่งทำให้มีราคาแพงมากเกินกว่าจะเอามาใช้ทางอุตสาหกรรมอาหาร จนในปี 1989 จึงมีบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นตัวพ่อ ที่เชี่ยวมากในเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพ จึงสามารถผลิตเอนไซม์นี้โดยอาศัยแบคทีเรียที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในดินชื่อ Streptoverticillium mobaraense ดังนั้นราคาของเอนไซม์นี้จึงถูกลง จนสามารถนำไปใช้ในการผลิตอาหารเช่น แฮม และซูริมิซึ่งเมื่อนำไปแต้มสีต่อก็เป็นปูอัดได้ เอนไซม์ทรานซ์กลูตามิเนสนี้ เป็นสารชีวเคมีที่สามารถพบได้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั่วไป ซึ่งปัจจุบันเป็นเอนไซม์ที่รู้จักกันดีของนักวิทยาศาสตร์ทางอาหาร ตลอดไปจนถึงพ่อครัวแม่ครัวในต่างประเทศ ผู้เขียนเข้าใจว่าป่านนี้พ่อครัวแม่ครัวในไทยคงรู้จักบ้างแล้ว ในทางการค้ามีการเอาเอนไซม์นี้ไปผสมกับองค์ประกอบอื่น จนได้สินค้าที่รู้จักกันในชื่อ meat glue หรือแปลง่ายๆ ว่า กาวติดเนื้อ   กาวติดเนื้อนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางชีวเคมีโดยแท้ เพราะสามารถทำให้ผู้ปรุงอาหารสามารถนำเอาเนื้อสัตว์ต่างชนิดชิ้นเล็กๆ มารวมกัน แล้วใช้กาวชนิดนี้โรยลงไป ขยำให้เข้ากัน จากนั้นก็ห่อด้วยแผ่นพลาสติกบางใสสำหรับห่ออาหารที่เรียกว่า wrap ให้แน่นๆ สักพักก็จะเป็นเนื้อสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่หาไม่พบในโลกนี้ เพราะคุณสามารถจะผสมเนื้อสัตว์อะไรก็ได้เข้าด้วยกัน ขอย้ำเน้นว่า เนื้อสัตว์อะไรก็ได้เข้าด้วยกัน เพื่อได้เนื้อสัตว์ที่มีรสชาติพิเศษระดับเกิดมาไม่เคยขย้ำทีเดียว   ในบทความโฆษณาของผู้ผลิตกาวนี้ได้บอกประโยชน์ของกาวติดเนื้อประการหนึ่งคือ reduce waste ซึ่งหมายถึง ลดปริมาณขยะซึ่งเกิดจากเศษเนื้อ ซึ่งคุณลักษณะนี้เจ้าด่างทั้งหลายคงไม่พึงประสงค์จะได้ยินแน่ นอกจากใช้กับเนื้อสัตว์แล้ว ยังสามารถทำให้ไข่แดงเข้มข้นขึ้น ทำให้แป้งขนมปังมีลักษณะสัมผัสที่หนึบขึ้น ไอศกรีมดูดีขึ้น ตลอดจนสามารถใช้ได้ดีกับเต้าหู้เพื่อให้ดูดีขึ้นกว่าเต้าหู้ที่ไม่ได้ใช้กาวนี้ เอนไซม์ที่ใช้ทำกาวติดเนื้อนี้ ได้รับการยอมรับในหลายประเทศให้มีสถานะภาพ GRAS (generally recognized as safe) ซึ่งเป็นสถานะภาพสำหรับสารเจือปนในอาหารที่มีการใช้มานานน้านนานจนนึกไม่ออกว่าเริ่มใช้แต่เมื่อใดในอาหาร ทำให้อนุมานว่า กินแล้วไม่เป็นพิษ กาวติดเนื้อนี้มีประโยชน์มากถ้าใช้อย่างซื่อสัตย์ เช่น การเอาเนื้อปลาชนิดเดียวกันมาเชื่อมเพื่อให้มีขนาดเหมาะสมในการนำไปทอด แต่แย่มากถ้าเนื้อที่เชื่อมกันเป็นเนื้อปลาและเนื้อสัตว์บก เพราะเนื้อสัตว์ต่างชนิดกันนั้นใช้เวลาในการทอดให้สุกต่างกัน ดังนั้นท่านอาจจะได้เนื้อที่ดิบผสมสุก หรือสุกผสมไหม้ได้ อย่างไรก็ดีบางครั้งก็สามารถนำไปใช้กับการเอาหนังไก่มาหุ้มเนื้อปลาก่อนทอด ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ทำให้เนื้อปลาไหม้ ที่น่าอนาถที่สุดคือ การนำเอาชิ้นเนื้อซึ่งได้จากการเลาะจากเนื้อชิ้นใหญ่ระหว่างการตัดแต่งเนื้อ (ซึ่งปรกติแล้วชิ้นเนื้อเล็กๆ นี้ควรจะจำหน่ายในราคาที่สุนัขชอบ) มารวมกันให้ดูกลายเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ด้วยกาวติดเนื้อนี้แล้วขายในราคาเนื้อสำหรับทำสเต็ก ปรากฏการณ์แบบนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าเกิดในร้านอาหารเมืองไทยหรือไม่ ส่วนที่น่ากังวลสำหรับพี่น้องมุสลิมก็คือ ถ้ามีพ่อครัวใจบาปเอาเนื้อวัวผสมกับเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ขัดต่อข้อบัญญัติทางศาสนา เมื่อกินเข้าไป ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นการนำกาวติดเนื้อมาใช้ในครัวของร้านอาหาร จึงเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมกันว่า ไม่ก่อให้เกิดการหลอกลวงผู้บริโภคเกี่ยวกับข้อบัญญัติทางศาสนา ประเด็นว่าการใช้กาวติดเนื้อนั้นทำให้อาหารมีกลิ่นผิดปรกติหรือไม่นั้น ปรากฏว่ามีคนเคยทดลองแล้วเขียนข้อมูลในเน็ตว่า ถ้ามีการใช้ปริมาณสูงกับเนื้อที่นำไปปรุงภายใต้ระบบสูญญากาศในถุงพลาสติกชนิดพิเศษ ผู้บริโภคสามารถสัมผัสกับกลิ่นที่ต่างจากเนื้อสัตว์ที่ปรุงวิธีเดียวกันแต่ไม่ใช้กาว ผู้ทดลองศึกษาคิดว่า กลิ่นนั้นอาจเกิดเนื่องมาจากโปรตีนเคซีอีน (casein) ที่เป็นองค์ประกอบในกาวติดเนื้อหรือเนื่องจากก๊าซแอมโมเนียที่หลุดออกมาจากการปรุงอาหารเป็นเวลานาน ดังนั้นผู้ทดลองจึงแนะนำว่า อย่าใช้กาวมากเกินไป และจะให้ดีเจาะถุงให้เป็นรู เพื่อให้อะไรที่เกิดเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์หลุดออกไปได้ระหว่างการปรุง ในการเก็บรักษาผงกาวนี้ ผู้ประกอบการแนะนำว่า ผงกาวนี้สามารถเก็บได้นานถึง 18 เดือนที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส หรือให้ดีแช่แข็งไปเลย ส่วนการพิสูจน์กาวว่ายังดีหรือไม่นั้น ทำได้โดยเอาผงกาวทากับเนื้อไก่บดแล้วขยำรวมกันแล้วดมดู ถ้ายังมีกลิ่นเป็นเนื้อไก่ แสดงว่าผงกาวมันเสื่อมไปแล้ว แต่ถ้ามีกลิ่นคล้าย wet dog หรือ หมาเปียกน้ำ แล้วไซร้ผงกาวยังดีอยู่ ใครไม่รู้จักกลิ่นนี้ คงต้องลองทำดู โดยสรุปงวดนี้หมาซวยไปหลายตัวแน่ สำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัยที่บริษัทผู้ผลิตให้ไว้ในอินเตอร์เน็ตนั้น อ่านดูน่าจะไม่มีปัญหานัก เพราะกาวติดเนื้อนี้เมื่อโดนความร้อนก็จะหมดสภาพไป กลายเป็นโปรตีนธรรมดา ผู้ผลิตยืนยันว่าไม่ทำให้มือของผู้ปรุงอาหารติดกันแน่นอน และอาหารที่ใช้กาวติดเนื้อนี้ก็จะไม่มีกลิ่นผิดไปจากปรกติ ข้อควรระวังก็คือ กาวนั้นอยู่ในสภาพผง จึงอย่าหายใจเข้าไปเด็ดขาดและอย่าบังอาจกินเข้าไปโดยตรง เพราะอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เนื่องจากยังไม่มีการทดลองว่ามันจะก่ออันตรายหรือไม่ สิ่งที่ผู้บริโภคควรทราบก็คือ กาวติดเนื้อนี้ถ้ามองกันในมุมของนักวิทยาศาสตร์ทางอาหารแล้ว มันอยู่ในสถานะของ สารช่วยการผลิต หรือ processing aid ซึ่งคงยากที่จะตรวจพบได้หลังการผลิต ดังนั้นจึงไม่มีการติดฉลากบนอาหาร แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ คงไม่มีการบังคับให้ติดฉลากบอกด้วยซ้ำว่า เนื้อสัตว์ที่ติดกาวนั้นมีองค์ประกอบเป็นเนื้อจากสัตว์อะไรบ้าง เข้าใจว่าหน่วยงานที่ควรดูแลเรื่องนี้ คงต้องการให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกเหมือน เต๋อ ฉันทวิทย์ ใน กวน มึน โฮ ที่ซาบซึ้งเมื่อได้กินเนื้อ man best friend กระมัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 ความคิดที่เหมือนถูกแต่ผิด

โดย รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันโภชนาการ  มหาวิทยาลัยมหิดลวันหนึ่งก็มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ขอความเห็นเรื่องการบริโภค raw food ซึ่งผู้เขียนไม่เคยสนใจมาก่อน เพราะมันไม่ได้อยู่ในสารบบของความรู้ทางวิชาการที่เรียนรู้กันในมหาวิทยาลัยที่ สกอ. (สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา) รับรอง ดังนั้นเมื่อได้ยินคำนี้ก็นึกเอาโดยใช้ไขสันหลังมากกว่าสมองว่า มันน่าจะหมายถึงการกินอาหารดิบ ซึ่งมีทั้งพืชและเนื้อสัตว์ และก็เข้าใจเอาเองว่า คนไทยที่เรียนจนจบอย่างน้อยระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป น่าจะเคยได้รับการสอนสั่งว่า อาหารที่ยังดิบนั้น ถ้ากินเข้าไปเราจะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคต่างๆ ทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา และพยาธิ ตัวอย่างการกินอาหารเนื้อสัตว์ดิบแล้วป่วยเป็นโรคนั้นมีทุกวันถ้าท่านผู้อ่านตามสถิติในเว็บของกระทรวงสาธารณสุข ที่เก็บทั่วประเทศจะพบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินอาหารเนื่องจากแบคทีเรีย ป่วยเป็นพยาธิใบไม้ตับเพราะกินปลาดิบ มีพยาธิตัวจี๊ดไชตามแขนขาแล้วลามไปสมอง หรือกินปลาปักเป้าน้ำจืดตายเนื่องจากพิษที่อยู่ในตัวปลาซึ่งดูไม่ปักเป้าเลย (คนไทยมักนึกภาพปลาปักเป้าว่าต้องกลม ๆ และมีหนามแหลม ทั้งที่ความจริงปลาปักเป้าน้ำจืดนั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น จึงมีคนจับมากินเพราะนึกว่าไม่มีพิษ)   ปรากฏว่าเมื่อได้คุยกับนักข่าวที่โทรศัพท์มาสัมภาษณ์ กลับเป็นเรื่องของการกิน raw food ซึ่งเป็นพฤติกรรมการกินอาหารพืชผักสด..... ฟังดูไม่น่าเป็นปัญหาอะไร เพราะเราก็กินผักผลไม้สดกันเป็นประจำ แต่ว่าปัญหาที่ผู้สื่อข่าวแจ้งคือ คนที่กิน raw food นั้นเข้าใจว่า ตนได้รับสิ่งที่กินเข้าไปมากกว่าที่ควรได้ เช่น ได้เอนไซม์จากน้ำผักปั่น ไปช่วยย่อยอาหารในท้องเรา ซึ่งเป็นความหลงผิดแบบฝรั่งเรียกว่า ignorance หรือภาษาไทยน่าจะหมายถึง เขลาเบาปัญญา (ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะเขลาเพราะขาดความรู้ เมื่อได้รับความรู้แล้ว ความเขลาก็จะหายไป) ดังนั้นจึงควรลองดูความเข้าใจของหลายคนในเน็ตว่า เขาเข้าใจกันอย่างไร เกี่ยวกับ raw food และทำไมมันจึงเป็นประเด็นขึ้นมาได้ ในบล็อกขายอาหารบล็อกหนึ่งบนเน็ตมีผู้กล่าวว่า “raw food หมายถึงอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนที่สูงกว่า 118 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 42 องศาเซลเซียส ซึ่งการปรุงอาหารด้วยความร้อนที่สูงเกินกว่า 42 องศาเซลเซียสนั้น สารอาหารส่วนใหญ่จะถูกทำลายและทำให้องค์ประกอบทางเคมีถูกเปลี่ยนไป สารอาหารที่จำเป็นจึงสลายไป ความร้อนจะทำลายเอนไซม์ วิตามิน แร่ธาตุและไขมันที่มีประโยชน์ และทำให้อาหารนั้นย่อยยากขึ้น อาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นจะไม่สามารถชดเชยความหิวของร่างกายได้ ทำให้เกิดการกินมากเกินควร เกิดอาการอยากอาหารมากเกินซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคตามมา”   ข้อความคำอธิบายดังกล่าวนั้น แสดงว่าผู้เขียนไม่เข้าใจในเรื่องของการย่อยอาหารในวิชาสรีรวิทยา เพราะความจริงที่มีการพิสูจน์มานานแสนนานแล้วว่า อาหารเนื้อสัตว์ที่ไม่เสียสภาพคือ ยังดิบ นั้นย่อยยาก การเสียสภาพของเนื้อสัตว์ด้วยความร้อนประมาณการต้ม ทอด ผัดนั้นทำให้โปรตีนเกิดการคลายตัว ส่งผลให้เอนไซม์ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดี ดังนั้นการทำให้โปรตีนเสียสภาพด้วยความร้อนกำลังดี จึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นอกเหนือไปจากการฆ่าเชื้อโรค ในกรณีของการสูญเสียของสารอาหารเช่น วิตามินนั้นมีบ้างคือ วิตามิน ซี ซึ่งควรกินจากผักผลไม้สด ส่วนวิตามินชนิดอื่นไม่ใคร่มีปัญหานัก แร่ธาตุและไขมันนั้นสามารถทนความร้อนระดับการหุงต้มได้ดี ที่สำคัญความอยากกินอาหารมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ เช่น รสชาติการปรุง และความหิวที่สมองเป็นศูนย์ควบคุมสั่งการ ไม่ใช่อย่างที่มีผู้เขียนในบล็อกยกให้ดูเป็นตัวอย่าง นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายในอีกบล็อกว่า “การกินมังสวิรัติแบบกินสดๆ โดยที่ไม่ผ่านความร้อนเกิน 42 องศาเซลเซียส ฟังดูยุ่งยากแล้วทำไมต้องห้ามเกิน 42 ด้วย คำตอบคือ เพราะการที่อาหารโดนนำไปผ่านความร้อนที่อุณหภูมิเกิน 42 องศาเซลเซียสจนสุกนั้นเรียกว่า เป็นอาหารที่ตายแล้ว  ความร้อนจะทำลายสารอาหารถึง 95% เหลือแค่เพียง 5 % ที่ร่างกายได้รับ ร่างกายจะต้องดึงเอาเอนไซม์ในร่างกายมาย่อยอาหารปรุงสุกที่คุณกินเข้าไปอีก” ข้อความดังกล่าวนั้นผิดพลาดจากหลักการทางวิชาการหลายจุดเช่น คำว่า อาหารที่ตายแล้ว นั้นไม่มีในตำราวิชาการเล่มใดที่เป็นเรื่องเป็นราว ยกเว้นในหนังสือที่คนเขียนเขียนเอามัน มั่วไปตามเพลง   โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เอนไซม์ในการย่อยอาหารนั้น เป็นข้อกำหนดตามธรรมชาติที่ต้องเกิดในทางเดินอาหารของเรา อาหารที่เรากินเข้าไปแบบมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ป่วยนั้น ต้องการการย่อยด้วยเอนไซม์แทบทั้งสิ้น และมันก็ไม่ทำให้ร่างกายมีปัญหาใดในการสร้างเอนไซม์มาย่อยอาหาร คนในบล็อกที่คิดว่าตนเองรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารดีกล่าวอีกว่า “ปกติร่างกายจะสร้างเอนไซม์ได้เอง  แต่ความจริงแล้วเอนไซม์ก็เปรียบเสมือนเงินในธนาคารที่ใช้แล้วหมดไป เอนไซม์จะหมดไปเรื่อยๆ ตามอายุของเรา ลองสังเกตดูสิ พวกคนมีอายุชอบบ่นว่าพออ้วนแล้วลดยาก เป็นเพราะว่าเอนไซม์เริ่มน้อยลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานช้าด้วย” ประโยคในข้อความดังกล่าวนั้นมีความถูกต้องบ้างว่า เอนไซม์นั้นจะมีน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็ไม่ถูกนักเพราะเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยอาหารนั้นสร้างใหม่ทุกมื้อ การที่มนุษย์แก่จนถึง 70-80 ปีแล้ว เซลล์ตับอ่อนที่สร้างเอนไซม์สำหรับย่อยอาหารในลำไส้เล็กก็แก่ด้วย สร้างเอนไซม์ได้น้อยลง อาหารกินเข้าไปก็ใช้ได้น้อยลง จึงลดการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย ถึงวันหนึ่งไม่มีเอนไซม์ย่อยอาหารเพราะตับอ่อนแก่เกินไป เราก็ตาย แต่ก็มีบางคนที่ยังแข็งแรง ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงแม้อายุมาก เรื่องนี้ไม่น่าประหลาดใจเพราะความหนุ่มแก่นั้นขึ้นกับพันธุกรรมและการปฏิบัติตนให้มีการทำงานหรือออกกำลังเป็นประจำ ตัวอย่างที่มีการเผยแพร่ทางโทรทัศน์บางรายการคือ การไปสัมภาษณ์ ตาหรือยาย ที่มีอาชีพปีนตาล ซึ่งยังสามารถในการโยนตัวจากยอดตาลหนึ่งไปอีกยอดหนึ่ง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ของการฝึกฝนร่างกายให้ทำงานหนักตลอดเวลา จนไม่อ้วน คนที่ทำงานนั่งโต๊ะและขาดการออกกำลังกายจะอ้วน เพราะไขมันในอาหารที่กินเข้าไปขาดการเผาผลาญ จึงสะสมทำให้ตัวใหญ่ขึ้น กรณีนี้ไม่ได้หมายถึงการลดลงของเอนไซม์ แต่เป็นการไม่ออกกำลังกาย ร่างกายจึงไม่เผาไขมันเป็นพลังงาน เพราะไม่รู้จะเผาไปทำไมเนื่องจากร่างกายไม่ต้องการใช้พลังงาน ที่สำคัญการรับประทาน raw food นั้นเท่าที่อ่านจากเว็บทั้งไทยและอังกฤษนั้น ได้มุ่งเน้นถึงผักและผลไม้ โดยไม่ได้พูดถึงอาหารหมู่อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะถูกต้อง ยกเว้นในบางกรณี เช่น การลดน้ำหนัก ซึ่งต้องการการลดการรับพลังงานจากอาหารแป้งและไขมันในช่วงที่เหมาะสม ส่วนโปรตีนนั้นร่างกายยังคงต้องการในปริมาณที่แต่ละคนต้องการ วัดได้ด้วยการสังเกตว่า ถ้าปริมาณอาหารที่กินนั้นถูกต้อง สุขภาพของผู้บริโภคควรจะดี ไม่เป็นหวัด สามารถทำงานและออกแรงได้เป็นอย่างดี จากความคิดของผู้กิน raw food ที่ว่า “การรับประทานอาหารแบบ raw Food นอกจากจะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องรับสารพิษเข้าไปสะสมแล้ว ยังดีต่อการลดน้ำหนักอีกด้วยเพราะไม่มีแคลอรี สามารถทานได้มากเท่าที่ต้องการ มีวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่างๆ อยู่ด้วย แถมยังเตรียมง่าย ไม่ต้องเสียเวลาปรุง” มีทั้งส่วนถูกและคลาดเคลื่อน เพราะถ้าการกิน raw food นั้นหมายถึงผักและผลไม้อย่างเดียว ร่างกายย่อมไม่แข็งแรงเพราะขาดสารอาหารหลักที่มนุษย์ต้องการคือ โปรตีน คงต้องเน้นย้ำว่า ในวิชาที่สอนเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์นั้นกล่าวว่า เราต้องการสารอาหาร 5 ประเภทคือ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ เพื่อช่วยในการสร้างและซ่อมแซมร่างกาย ส่วนน้ำและใยอาหารนั้นก็ขาดไม่ได้ แม้ไม่ใช่สารอาหารที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมร่างกายโดยตรง หลายคนอาจถามว่าแล้ว พฤกษเคมี หรือสารต้านอนุมูลอิสระหายไปไหน ความจริงแล้ว สารพฤกษเคมีและสารต้านอนุมูลอิสระนั้นร่างกายจะได้รับเมื่อกินผักผลไม้ มากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับชนิดและปริมาณของผักผลไม้ในแต่ละมื้อ โดยไม่จำเป็นต้องไปซื้อชนิดเป็นเม็ดมากินเหมือนสัตว์ปีกกินอาหารที่คนให้ โดยสรุปแล้ว ถ้าคำว่า raw food หมายถึงการกินผักผลไม้สดไม่ผ่านความร้อน ปัญหาไม่น่าจะเกิดขึ้นถ้าจัดมื้ออาหารให้มีโปรตีนและไขมันพอที่ร่างกายต้องการ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 135 พืชชั้นต่ำรับประทานโดยสัตว์ชั้นสูง

ขึ้นชื่อว่าสินค้าใดที่กินแล้วทำให้สวยขึ้น ผอมลง หรือแม้แต่ฉลาดขึ้นอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม ไม่ว่าสินค้านั้นจะอยู่ที่ใด นักการค้าหากำไรในประเทศนี้ย่อมไม่รอให้เสียจังหวะการนำมาบริการลูกค้า เพราะขืนช้าเท่ากับพลาดโอกาสโกยสินทรัพย์เข้ากระเป๋า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประเภทตอบสนองความต้องการแบบนี้ เกิดเร็ว ตายเร็ว ผู้เขียนไม่ประหลาดใจเลยที่หนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่งมีบทความกึ่งโฆษณาเกี่ยวกับการใช้สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาลในการลดน้ำหนัก บทความกล่าวว่า สาหร่ายสีน้ำตาล หรือ ลามินาเลีย ดิจิตาตา นั้นมีสรรพคุณในการดูดซับสารพิษและสามารถถูกนำมาใช้เสริมความงามสาวๆ ที่พึ่งวิธีเติมสวยด้วยธรรมชาติ เนื่องจากเป็นข่าวธุรกิจหารับประทานด้านความสวยความงามจึงต้องดึงเอาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์มาเล่าถึงที่มาของสาหร่ายสีน้ำตาลว่า   “นับย้อนหลังไป ณ ทะเลแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ผู้คนนิยมนำน้ำทะเลของที่นี่มาใช้ในการบำบัดเวลาชาวบ้านเป็นแผล ก็จะเอาสาหร่ายมาโปะแล้วแผลก็หาย นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสจึงนำน้ำมาทำวิจัยพบว่า น้ำทะเลแห่งนี้มีองค์ประกอบเดียวกับพลาสมาในร่างกายมนุษย์ จึงช่วยใน การสมานแผล" (คำว่าพลาสมาในร่างกายมนุษย์นั้นหมอท่านนี้น่าจะหลงลืมวิชาสรีรวิทยาที่เรียนมาในโรงเรียนแพทย์ไปแล้วว่ามีลักษณะอย่างไร ซึ่งผู้เขียนคงไม่ขออธิบายให้ยาวเยิ่นเย้อ แต่ฟันธงว่า มันคนละเรื่องเลย เป็นการกล่าวในลักษณะที่เกินเลยให้ผู้เบาปัญญาฟังเท่านั้นเอง) แพทย์ท่านนั้นยังได้กล่าวอีกว่า “ภายใต้ท้องทะเลแห่งนี้ยังมีสาหร่ายชนิดหนึ่ง คือ ลามินาเลีย ดิจิตาตา หรือสาหร่ายสีน้ำตาล ซึ่งมีคุณค่า หายาก และมีเฉพาะที่ทะเลแห่งนี้ (ซึ่งความจริงไม่จริง ผู้เขียนพบข้อมูลในวิกิพีเดีย ซึ่งจะกล่าวต่อไปว่า สาหร่ายนี้หาได้ที่ไหนบ้าง) เมื่อลองนำสาหร่ายมาสกัด สารประกอบ พบว่ามีความเข้มข้นมากกว่าน้ำทะเลแห่งนั้นถึง 10,000 เท่า และสามารถซึมในร่างกายมนุษย์ ประมาณ 92-95% โดยสามารถซึมถึงชั้นไฮโปเดอมิส ซึ่งเป็นชั้นใต้ชั้นหนังแท้ของมนุษย์ หากเปรียบกับวิตามินที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น อย่างมากคือ 40% และการซึมผ่านลงไปสามารถอยู่ได้แค่ชั้นหนังแท้ แต่สารสกัดจากธรรมชาติตัวนี้สามารถซึมลงไปลึกกว่านั้น” (ประเด็นที่เหยื่อทั้งหลายควรสำนึกคือ แพทย์ท่านนี้ไม่ได้บอกว่า สารประกอบนั้นคืออะไร และสำนวนภาษาไทยที่ใช้บรรยายแสดงถึงความพิการในการใช้ภาษาไทยเขียนเรียงความด้วย) ที่ตลกกว่านั้นคือ แพทย์ท่านนี้ยังได้กล่าวอีกว่า “นอกจากสรรพคุณในการสมานแผล แล้ว สาหร่าย ทะเลยังขึ้นชื่อเรื่องการดูดซับสารพิษต่างๆ เห็นได้จากช่วงโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ระเบิดจากสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อปีที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นต้องหาสาหร่ายทะเลมากินเพื่อขับสารพิษ เพราะสาหร่ายมีธาตุไอโอดีนสูงมาก ซึ่งไอโอดีนนี่เองจะช่วยป้องกันร่างกายมนุษย์จากพวกกัมมันตภาพรังสีและสาร พิษต่างๆ แต่ว่าคนญี่ปุ่นกลับไม่สามารถใช้คุณค่าจากสาหร่ายในทะเลของตัวเองได้ เพราะปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี จึงทำให้หลายคนแย่งกันซื้อผลิตภัณฑ์ของแล็บที่ฝรั่งเศสกันอย่างคึกคัก   โดยพวกเขานำมารับประทาน ทาตัว และแช่น้ำอาบ เพื่อดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุด” ท่านผู้อ่านน่าจะพอมีสติระลึกรู้ว่า คนญี่ปุ่น (รวมทั้งจีนและเกาหลี) นั้นกินสาหร่ายมาเป็นเวลานานตั้งแต่จิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่เกิดแล้ว ไม่ว่าโรงไฟฟ้าปรมาณูจะระเบิดหรือไม่ เขาก็จะกินสาหร่ายเป็นประจำ คงไม่ใช่พอมีอุบัติเหตุแล้วจึงไปสรรหามากิน ที่สำคัญก็คือ แพทย์ท่านนี้ได้อ้างถึงสรรพคุณสำคัญของสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ที่อาจโดนใจสาวไทยมากที่สุด คือ ช่วยปรับสมดุลแห่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมนุษย์ โดยอ้างอิงจากสถาบันขายเครื่องสำอางในประเทศฝรั่งเศสว่า “สารสกัดจากสาหร่าย ช่วยปรับสมดุลแห่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมนุษย์ ให้ผลในการสลายไขมัน ช่วยลดน้ำหนักและลดสัดส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปราศจากผลข้างเคียง  เพราะสารสกัดทำให้เกิดการสลายตัวของไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก” ดังที่ทราบโดยทั่วกันแล้วว่า ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนั้น ลับ ลวง พราง มากกว่าข้อมูลการปฏิวัติเสียอีก ดังนั้นผู้เขียนจึงได้ลองเข้าหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่า มีใครที่กล่าวถึงสาหร่ายสีน้ำตาลที่ต่างจากข้อมูลที่เชิญชวนการใช้สาหร่ายเพื่อความงามบ้าง ก็พบว่าในวันที่ 3 พฤศจิกายน Sarah Terry ได้เขียนบทความเกี่ยวกับสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลในเว็บ www.livestrong.com ซาร่าได้กล่าวว่า สาหร่ายสีน้ำตาลนี้ เป็นพืชทะเลมีชื่อสามัญว่า kelp และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Laminaria digitata ซึ่งโดยทั่วไปแล้วใช้เป็นแหล่งอาหารที่มี โปรตีน วิตามินหรือเกลือแร่ แต่สำหรับประเด็นที่ว่า มีการนำสารสกัดจากสาหร่ายชนิดนี้ไปใช้ในการเป็นอาหารลดน้ำหนักนั้น Sarah ได้กล่าวเตือนว่า ควรปรึกษาจากแพทย์ก่อน เพื่อให้ทราบขนาดที่ควรบริโภคและความเสี่ยงของอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ความจริงสาหร่ายสีน้ำตาลซึ่งอยู่ใน genus Laminaria นั้นมีหลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาบริโภคคือ Laminaria digitata ซึ่งทางหน่วยงานด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยของรัฐมิชิแกนได้ทำการศึกษาว่าเป็นแหล่งอาหารที่ดีในเรื่องวิตามิน โดยเฉพาะ มีกรดโฟลิกค่อนข้างสูง  แร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม โปแตสเซียมและแคลเซียม ดังนั้นศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์ก จึงได้ศึกษาบ้างและสามารถเตรียมสารสกัดจากสาหร่ายนี้เพื่อศึกษาผลด้านการแพทย์เป็นการเฉพาะ ความที่สาหร่ายชนิดนี้มีไอโอดีนสูงจึงสามารถเพิ่มการเผาผลาญในร่างกายสิ่งมีชีวิตโดยผ่านการทำงานของไทรอยด์ฮอร์โมน นอกเหนือไปจากการใช้แก้ปัญหาการขาดไอโอดีนที่ก่อให้เกิดอาการคอพอกในบางพื้นที่ของโลกเรา แต่ช้าก่อนนะจอร์จ ซาร่าได้กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือ ทางศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์กได้เตือนว่า คุณสมบัติการเพิ่มการเผาผลาญในร่างกายนั้นไม่ได้มีผลเลยไปถึงการใช้สารสกัดในการลดน้ำหนักผู้ป่วยโรคอ้วนเพราะยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าวารสาร Drug Digest ได้กล่าวว่าสาหร่ายนี้มีองค์ประกอบบางชนิดที่ออกฤทธิ์เป็นยาระบายช่วยในการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกาย ลดความดันโลหิต ต้านไวรัสและต้านมะเร็งได้ (ในสองกรณีหลังนี้เป็นข้อมูลที่ซาร่าได้อ้างศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์ก ซึ่งท่านผู้อ่านก็ต้องใช้กาลามสูตรให้จงหนัก) ที่สำคัญซาร่าได้ระบุว่า หน่วยงานด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยของรัฐมิชิแกนก็ได้ตือนว่า การบริโภคสาหร่ายชนิดนี้มากเกินไปจะทำให้ได้ไอโอดีนในระดับสูง ซึ่งอาจทำให้ต่อมไทรอยด์ของผู้บริโภคทำงานผิดปรกติได้ ดังนั้นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์อยู่แล้วจึงต้องคิดให้จงหนักในการบริโภคสาหร่ายนี้ โดยเฉพาะในรูปสารสกัด ผลข้างเคียงของการกินสาหร่ายที่เพี้ยนผิดไปจากการกินเป็นอาหารคือ สิวขึ้นผิดปรกติ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ ลิ้นปร่า ที่สำคัญคือ การได้รับโปแตสเซียมในสารสกัดสาหร่ายเกินขนาดนั้นไม่ได้เป็นของดีกับคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจมีผลขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาบางชนิด ข้อมูลต่าง ๆ อาจอ่านเพิ่มได้จาก http://www.livestrong.com/article/295828-laminaria-extract-weight-loss/#ixzz1qIChxISq ส่วนในวิกิพีเดียก็ได้กล่าวว่า สาหร่ายชนิดนี้มีแหล่งธรรมชาติทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่กรีนแลนด์จึงแหลมคอด และบริเวณตอนเหนือของรัสเซียและไอซ์แลนด์ไปจนถึงฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งแสดงว่าเป็นสาหร่ายที่ชอบน้ำเย็น ๆ ดังนั้นการหารับประทานจึงต่อเสียเงินนำเข้าจากต่างประเทศเป็นพิเศษ ไม่สามารถช้อนขึ้นมากินได้จากคูคลองเหมือนสาหร่ายที่ใช้เลี้ยงเป็ดที่บางบริษัทได้ช้อนมาอัดเม็ดขายในราคาโลละเป็นหมื่น ปรกติแล้วสาหร่ายชนิดนี้ได้ถูกใช้เป็น fertiliser ซึ่งแปลว่า ปุ๋ย ในศตรวรรษที่ 18 สาหร่ายประเภทนี้จะถูกทำให้แห้งแล้วเผาเพื่อเอาธาตุโปแตสเซียมเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการผลิตแก้วทางอุตสาหกรรม จากนั้นในศตวรรษที่ 19 จึงมีการเตรียมสารสกัดจากสาหร่ายนี้เพื่อใช้แก้ปัญหาขาดไอโอดีน พอถึงศตวรรษที่ 20 สาหร่ายชนิดนี้ก็ถูกละเลยเนื่องจากแร่ธาตุทั้งโปแตสเซียมและไอโอดีนนั้นหาได้จากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่า ที่ยังคงมีการใช้อยู่ก็คือ ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนสารสกัดกรดอัลจินิก (alginic acid) จากสาหร่ายนี้ใช้ในการผลิตยาสีฟัน และเป็นสารเจือปนในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งรวมถึงการผลิตหัวน้ำซุปของจีนและญี่ปุ่น ดังนั้นผู้ที่หวังว่าจะกินสารสกัดจากสาหร่ายเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้น ก็ขอให้ใช้กาลามสูตรจนเกิดปัญญาก่อนจึงตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่ เพื่อถึงซึ่งประโยชน์แห่งความสวยงามโดยไม่ประมาทเถิด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 134 ลดน้ำหนักอาจได้ของแถม

ใครก็ตามที่เคยจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก คงเคยมีประสบการณ์ในการจำกัดพลังงานในอาหารให้น้อยลงพร้อมกับการออกกำลังกาย ซึ่งทั้งสองประการนั้นเป็นวิธีการมาตรฐานเพื่อให้ถึงซึ่งสิ่งที่ปรารถนา แต่สำหรับบางท่านที่ทำไงก็เฉือนก้อนไขมันออกจากร่างกายไม่ได้สักที ก็คงต้องหาทางอื่นซึ่งอาจทำให้มีโอกาสถูกทำร้ายจากบริการลดน้ำหนักเชิงพาณิชย์ที่มีการใช้สารอันตราย ได้แก่สาร HCG ในการเป็นตัวช่วยลดน้ำหนัก โดยสารนี้อาจพรางตัวมาในลักษณะของการขายสินค้าของการแพทย์ทางเลือกต่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายซึ่งศรัทธาในกระบวนการดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย) ของสหรัฐอเมริกาได้ทำการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการขาย human chorionic gonadotropin หรือ HCG ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักในรูปของ ยาน้ำ ยาเม็ด หรือยาพ่น ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและในร้านขายยาแบบไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ว่า อย. อเมริกัน และ Federal Trade Commission(ซึ่งดูแลเกี่ยวกับความยุติธรรมในการค้าและมีบทบาทเกี่ยวกับอาหารเสริมต่างๆ) ไม่เคยรับรองการใช้สารนี้ และได้เคยจดหมายเตือนไปยังบริษัทที่ขายอาหารหรือผลิตภัณฑ์ผสมสารนี้ ในฐานความผิดเกี่ยวกับการโฆษณา เพราะบริษัทเหล่านี้พยายามทำโฆษณาให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าสินค้าของตนสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างและการทำงานของร่างกาย(ซึ่งหมายถึงการบำบัดโรค) ตัวอย่างคนขี้ฉ้อเหล่านี้ ได้แก่   นาย Richard Matmer เจ้าของบริษัท Nutri Fusion Systems LLC ที่อยู่คือ เมือง Sandy รัฐยูทาห์  กล่าวโฆษณาสินค้าของตนคือ "HCG Fusion 30" และ "HCG Fusion 43” ทางอินเตอร์เน็ตว่า หลังจากการลดน้ำหนักที่เกินได้แล้ว ร่างกายต้องปรับสภาพสู่จุดสมดุลของน้ำหนักใหม่ ซึ่ง HCG ในรูป Fusion drop (ใช้หยดใส่ปาก) นั้นจะช่วยในการเผาผลาญไขมันที่พุงแทนการใช้พลังงานจากอาหาร ส่วนนาย Tom Hall จากบริษัท  Natural Medical Supply แห่งเมือง American Fork รัฐยูทาห์ ก็ได้กล่าวอ้างว่า ถ้าผู้บริโภคต้องการลดน้ำหนักก็ต้องกินสินค้าของเขาซึ่งเป็นสูตรผสม HCG ที่ปรกติแล้วเมื่ออยู่ในร่างกายชายหญิงทำหน้าที่นำเอาไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงาน โดยเฉพาะไขมันจากสะโพก ต้นขา แก้มก้น โคนแขน และคาง เป็นต้น จนเหลือแต่กล้ามเนื้อที่ดูมีสุขภาพดี สินค้าของเขาความสามารถช่วยลดไขมันได้ถึง 1 ถึง 2 ปอนด์ต่อวัน แถมด้วยการเอาสารพิษที่อาจมีสะสมออกมาด้วย อาหารประหลาดมหัศจรรย์นี้สามารถช่วยให้ไม่หิวนักจนอยู่ได้ด้วยพลังงานแค่ 500 แคลอรี จากอาหารที่ขายพร้อมกัน สำหรับนาย Kevin Wright ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Rightway Nutrition ในเมือง Bluffdale รัฐยูทาห์ ซึ่งขาย HCG Platinum LLC ได้โฆษณาชวนโง่ว่า สินค้านั้นช่วยลดน้ำหนักได้วันละปอนด์เพราะมีสมญาว่าเป็น “Fat burning” คือทำลายไขมันที่ร่างกายสะสม และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง พร้อมกับสามารถควบคุมความอยากอาหาร เป็นต้น ฝ่ายนาย Greg Grimshaw เจ้าของกิจการขายของบนอินเตอร์เน็ตเว็บ hcg-miracleweightloss.com ซึ่งมีที่ตั้งร้านขายของที่เมือง Orofino รัฐไอดาโฮ ซึ่งเหนือขึ้นไปจากรัฐยูทาห์ก็โฆษณาว่า สินค้าของเขาลดน้ำหนักได้ 30 ปอนด์ใน 30 วัน โดย HCG สามารถไปปรับระบบการทำงานของสมองส่วนไฮโปทาลามัสจนทำให้มีการลดน้ำหนักได้ถาวร ในขณะที่กล้ามเนื้อยังอยู่ดี และนาย Clint Ethington ซึ่งเป็น CEO บริษัท HCG Diet Direct เมือง Tuscon รัฐอริโซนา ซึ่งอยู่ตอนใต้รัฐยูทาห์นั้น ขาย “Ultimate Weight Loss & Metabolism Formula” ซึ่งปรับสมดุลร่างกายในแนวโฮมิโอพาธีย์โดยใช้อาหาร ซึ่งลดน้ำหนักได้วันละปอนด์เช่นด้วยกับสินค้าบริษัทอื่น และมีการปรับความสามารถตามธรรมชาติของร่างกายที่จะปรับเปลี่ยนให้เกิดสมดุลของร่างกายในการสะสมไขมัน มีข้อสังเกตว่า บริษัทที่ถูกเตือนเหล่านี้ถ้าไม่อยู่ในรัฐยูทาห์ (ซึ่งผู้เขียนไปเรียนหนังสือที่รัฐนี้) ก็อยู่รัฐทางเหนือหรือใต้ของยูทาห์ สำหรับรายละเอียดของจดหมายว่าเขียนสละสลวยด้วยภาษากฎหมายอย่างไรนั้น ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ www.fda.gov/hcgdiet สินค้าที่มีสาร HCG ผสมนั้นมักเป็นอาหารลดน้ำหนัก ซึ่งมักให้พลังงานเพียงมื้อละ 500 แคลอรีต่อวัน (ในขณะที่อาหารสำหรับคนทั่วไปควรให้พลังงานประมาณ 2,000 แคลอรี) โดยอาหารลดน้ำหนักเหล่านี้มักถูกโฆษณาว่าลดน้ำหนักได้ราววันละปอนด์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการใช้พลังงานของร่างกายให้ต่ำลง ซึ่งทาง อย. อเมริกันได้ฟันธงว่า ในความเป็นจริงการที่น้ำหนักตัวลดได้นั้นเป็นเพราะกินอาหารพลังงานน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่เพราะ HCG สาร HCG นี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นยาในสหรัฐอเมริกาที่ต้องขายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น โดยเป็นยาที่ใช้ในสตรีที่มีบุตรยาก และอาการอื่นๆ แต่ไม่เคยมีการอนุญาตให้มีการใช้ในการลดน้ำหนัก ที่สำคัญก็คือ ที่ขวดใส่ยาจะมีคำเตือนว่า ยานี้ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนบอกว่าสามารถช่วยการลดน้ำหนักของผู้บริโภคที่เกิดจากการลดพลังงานในอาหารที่กิน ไม่มีผลในการจัดระเบียบการกระจายไขมันในร่างกาย และไม่ลดความอยากอาหารโดยเฉพาะเมื่อกินอาหารลดพลังงาน อันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคอาหารอันตรายนี้โดยตรงคือ การที่มันให้พลังงานแค่ 500 แคลอรี ซึ่งต่ำกว่าครึ่งที่ร่างกายต้องการนั้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว เกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกายซึ่งส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ผู้บริโภคอาจขาดวิตามินที่สำคัญต่าง ๆ และอาจมีการเต้นของหัวใจผิดปรกติ ที่น่ากังวลในประเทศไทยนั้นคือ นักโภชนาการส่วนใหญ่มักใช้วิธีการลดพลังงานในอาหารของผู้รับบริการลดน้ำหนักแต่ละมื้อ มากกว่าการแนะนำให้เพิ่มการออกกำลังกายให้หนักขึ้น เพราะมนุษย์นั้นมีความลำบากในการก้าวข้ามความไม่ชอบผลลัพธ์บางอย่างของการออกกำลังกายได้แก่ ความเจ็บปวดกล้ามเนื้อ การมีเหงื่อออกจนชุ่ม (ซึ่งอาจทำให้บางคนมีกลิ่นตัวรุนแรงจนตนเองยังทนไม่ไหว) ความกระหายน้ำและอื่น ๆ จึงต้องเสี่ยงต่อการกินอาหารพลังงานต่ำจนอาจถึงตายได้ ใน Wikipedia.org ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ HCG ว่าเป็นฮอร์โมน(สารที่ร่างกายหลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นให้อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทำงาน) ที่สตรีหลั่งออกมาเมื่อตั้งครรภ์ ซึ่งเข้าใจกันว่ามีบทบาทในการทำให้ตัวอ่อนเพิ่มขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าฮอร์โมนชนิดนี้พบว่าสูงขึ้นในใครก็ตามที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ชาย ผู้เขียนจึงขอฟันเสาธงเลยว่ามะเร็งได้มาเยือนแล้ว โดยธรรมชาติแล้ว HCG จะเป็นตัวทำให้ส่วนของรังไข่ที่เรียกว่า corpus luteum ซึ่งเป็นรอยที่เกิดขึ้นหลังจากไข่หลุดจากรังไข่แล้วสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีหน้าที่ทำให้มดลูกเตรียมความพร้อมต่างๆ ให้ตัวอ่อนได้เจริญตามปรกติ ที่สำคัญ HCG นี้มีสมบัติพิเศษติดตัวมาคือ สามารถกันไม่ให้ระบบภูมิต้านทานคือเม็ดเลือดขาวเข้าวุ่นวายกับตัวอ่อนในมดลูก เพราะตัวอ่อนนี้ว่าไปเปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอมที่อาจกล่าวว่า มันคือเนื้องอกที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งที่สตรีนิยมให้เกิดในร่างกาย ประเด็นการป้องกันระบบภูมิต้านทานของ HCG นี้น่าสนใจเพราะในกรณีที่มีฮอร์โมนนี้เกิดขึ้นในร่างกายโดยไม่ตั้งครรภ์นั้น มีคำถามว่า ฮอร์โมนนี้จะไปช่วยป้องกันเซลล์มะเร็งที่เกิดเองตามธรรมชาติหรือถูกกระตุ้นให้เกิดเนื่องจากสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกายรอดพ้นจากการถูกกำจัดโดยเม็ดเลือดขาวหรือไม่ ที่น่าสนใจไปกว่าคือ การกิน HCG เข้าไปนั้น ฮอร์โมนนี้สามารถเข้าสู่กระแสโลหิตของผู้บริโภคจริงหรือไม่ ถ้าจริงฮอร์โมนนี้ไปมีผลต่อระบบภูมิต้านทานหรือไม่ แต่ในกรณีที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าระบบโลหิต นั่นก็หมายความว่าผู้บริโภคเสียค่าโง่ไปแล้ว สรุปแล้วผู้บริโภคฮอร์โมนประเภทนี้ในอาหารลดน้ำหนักมีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น ปัจจุบันทาง อย. ของสหรัฐอเมริกาได้ออกคำเตือนให้ผู้บริโภคที่กำลังใช้อาหารลดน้ำหนักสูตรเติม HCG นั้น หยุดการใช้ทันที โดยวิธีการง่ายๆ คือ โยนลงถังขยะ(อย อเมริกาใช้คำว่า throw it out) แล้วเลิกเชื่อคำแนะนำในการลดน้ำหนักแบบหักดิบโง่ ๆ คือกินอาหารพลังงานต่ำมาก ๆ เสียที และถ้าใครในสหรัฐอเมริกามีปัญหาเกี่ยวกับการใช้อาหารลดน้ำหนักผสม HCG ก็ให้ติดต่อ FDA’s MedWatch program ได้ ส่วนถ้าท่านอยู่ในเมืองไทย ก็ติดต่อมาที่สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เราคงพอช่วยคลายทุกข์ได้บ้างครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 133 ซื้ออย่างฉลาด ด้วยระบบแนะนำสินค้า

  ผู้เขียนเป็นนักซื้อ(shopper) ที่ไม่ดีเพราะเท้าไม่ติดดิน เนื่องจากเวลามีดินติดเท้ามักมีความรู้สึกว่ามันไม่สะอาด แต่ถ้าต้องลุยลงสนามเพื่อทำอะไรสักอย่างที่เลอะดินก็มักไม่ปฏิเสธเพราะเป็นเรื่องจำเป็นต้องสกปรก แต่ถ้าต้องสกปรกแบบไม่จำเป็น เช่น การเดินไปซื้อกับข้าวหรือวัตถุดิบในการปรุงอาหารจากตลาดทั่วไปของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้เขียนมักปฏิเสธเพราะมีภาพพจน์ที่ไม่ดีเรื่องความแฉะของตลาดแบบนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วตลาดหลายๆ แห่งในกรุงเทพมหานครหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ค่อนข้างแห้งและสะอาดแล้วดังนั้นผู้เขียนจึงยอมถูกกล่าวหาว่า นิยมชมชอบตลาดติดแอร์ ในแต่ละครั้งที่เดินในตลาดติดแอร์นั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดอยู่ตลอดเวลาคือ การตัดสินใจซื้อสินค้าอาหารนั้น เราควรใช้อะไรเป็นเกณฑ์ หลายคนรวมทั้งผู้เขียนในบางครั้งใช้ราคาต่อหน่วยน้ำหนักเป็นตัวตัดสินใจ เช่น กรณีกาแฟที่ขายในรูป 3 in 1 ซึ่งยี่ห้อไหนก็ไม่อร่อยเท่ากัน เหมาะต่อการดื่มเพื่อเลิกกาแฟหรือดื่มเพื่อบอกกระเพาะอาหารว่า ดื่มกาแฟแล้วนะเลิกอยากสักที ส่วนสินค้าอื่นบางชนิดที่ไม่ใช่อาหารเช่น ตู้เย็น อาจใช้เครื่องหมายการค้าเป็นตัวตัดสิน แต่เวลาที่ผ่านไปเครื่องหมายการค้าที่เชื่อถือนั้นบางครั้งก็ต้องเลิกเชื่อ เพราะข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าที่ไม่เคยเชื่อถือนั้นดีขึ้น จะเห็นว่าเกณฑ์ในการซื้อสินค้าของผู้เขียนไม่ได้เรื่อง ขาดรูปแบบที่ดี ไม่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไร การดูฉลากของอาหารนั้นก็ไม่ได้ช่วยสักเท่าไร เพราะขนาดผู้เขียนทำงานในหน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องคุณภาพทางโภชนาการ บางครั้งก็งงกับตัวฉลากและรู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลืองในการทำฉลากอาหารตามวิธีการปัจจุบัน จนวันหนึ่งในปีที่แล้ว (พ.ศ. 2554) ก่อนจะรู้จักกับประสบการณ์น้ำท่วมหลายเดือน ผู้เขียนก็ได้ดูข่าวทางโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่มีรายงานข่าวถึงระบบที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น ด้วยระบบที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ข่าวนั้นสั้นมากจนต้องเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แล้วนำไปสอนนักศึกษา ซึ่งก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักศึกษาเท่าไร จนปีนี้เมื่อนำมาใช้สอนอีกครั้งปรากฏว่าได้รับการตอบสนองที่ดีขึ้น จึงคิดว่าน่าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง   ระบบการแนะนำสินค้าอาหาร ระบบการแนะนำในการซื้อสินค้าอาหารนั้น อาจมีหลายระบบ แต่ผู้เขียนหาพบเพียงสองระบบคือ ระบบ Guiding Stars และ NuVal โดยระบบแรกคือ Guiding Stars นั้นได้แบ่งระดับความน่าซื้อสินค้าไว้ด้วยการติดดาวซึ่งมีมากสุด 3 ดวง เมื่อเข้าไปในเว็บของ Guiding Stars นั้นก็ไม่ใคร่ได้ข้อมูลที่น่าสนใจสักเท่าไร ดังนั้นในฉบับนี้จึงจะขอกล่าวถึงเฉพาะระบบ NuVal ว่าเป็นอย่างไร ก่อนอื่นคงต้องเล่าให้ฟังว่า การแนะนำว่าสินค้าห่อใดควรซื้อหรือไม่นั้นเป็นระบบที่ร้านค้าในรูปของ Chain Stores จ้างหน่วยงานเอกชนทำการจัดระดับความน่าซื้อสินค้าอาหารต่างๆ โดยการให้ระดับความน่าสนใจ เช่น ดาว หรือตัวเลข ซึ่งในกรณีของ NuVal นั้นให้ตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดย 100 นั้นแสดงว่าอาหารนั้นมีความน่าซื้อที่สุดเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่ผู้บริโภคได้รับโดยคำนึงถึงสุขภาพที่ดี NuVal นั้นคำนึงถึงทั้งประโยชน์และโทษของสินค้าที่ผู้บริโภคได้ในแง่โภชนาการ สิ่งที่มีประโยชน์คือ สารอาหารทั่วไป ส่วนที่เป็นโทษนั้น เช่น น้ำตาลและเกลือแกง (เมื่อมากไป) โคเลสเตอรอล ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นไขมันเลว โดยข้อมูลทั้งดีและไม่ดีนั้นจะถูกนำมาผสมผสานเพื่อการตัดสินใจให้ระดับความน่าซื้อเป็นตัวเลขที่ประชาชน (ซึ่งเชื่อในหลักการของระบบนี้) ใช้ตัดสินใจซื้อได้ในเวลาไม่กี่วินาทีโดยไม่ต้องอ่านฉลาก (ซื่งมักแสดงด้วยตัวหนังสือเล็กจิ๋ว) นานนัก กระบวนการตัดสินใจให้ตัวเลขลำดับนั้นเป็น อัลกอริธึม (Algorithm) โดยที่อัลกอริธึมนั้นเป็นกระบวนการนำหลักเหตุผลและคณิตศาสตร์มาช่วยเลือกวิธีการหรือขั้นตอนการดำเนินงานต่อไปจนกระทั่งถึงขั้นตอนสุดท้าย เป็นวิธีการที่ใช้แยกย่อยและเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการในการทำงานต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและแก้ไขปัญหา โดยผู้ที่เข้ามาดำเนินการในองค์กรเอกชนนี้เป็นทั้งนักวิชาการในวงการโภชนาการ สาธารณสุข และด้านการแพทย์ต่าง ๆ ฐานข้อมูลความรู้หลักที่ใช้ของ NuVal นั้นได้มาจาก  Institute of Medicine’s Dietary Reference Intakes ซึ่งให้ข้อมูลว่าสารอาหารอะไรที่มนุษย์ควรกินเข้าไป และข้อแนะนำการบริโภคอาหารของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า Dietary Guidelines for Americans ในการคำนวณหาตัวเลขนั้นหลังจากได้ข้อมูลแล้ว ข้อมูลที่ดีของอาหารที่สนใจจะเป็นตัวตั้งที่หารด้วยข้อมูลที่ไม่ค่อยดีของอาหารนั้น เพื่อให้เห็นภาพชัด ก็จะขอเสนอภาพที่ NuVal แสดงไว้ในเว็บ จะเห็นว่า ตัวตั้งหรือ numerator นั้นคือ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น ใยอาหาร วิตามินโฟเลท วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินบี 12 วิตามินบี 6 โปแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก กรดไขมันโอเมกา 3 ไบโอฟลาโวนอยด์ แคโรตีนอยด์ เป็นต้น ส่วนตัวหารนั้นที่ยกตัวอย่างชัดๆ คือ ไขมันทรานซ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดปัญหาในการทำงานของหัวใจ เกลือแกงซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิต น้ำตาลซึ่งเป็นต้นเหตุของเบาหวาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับ คุณภาพของโปรตีน ไขมัน พลังงานที่ได้ ค่าดัชนีน้ำตาล คือ ค่าที่บอกถึงอัตราการเพิ่มของกลูโคสในกระแสเลือดภายหลังจากการรับประทานอาหาร เป็นต้น ข้อมูลที่ได้จากเว็บของ NuVal นั้นไม่ละเอียดถึงขั้นว่า การนำข้อมูลมาใช้นั้นใช้หน่วยน้ำหนักอย่างไร หรือมีชนิดข้อมูลเท่าไร ทั้งนี้คงเป็นเพราะระบบของ NuVal นั้นมีลิขสิทธิ์ที่วิธีการประเมินให้ตัวเลขนั้นจึงลับพอควรแต่ก็อาจเข้าถึงได้ถ้าสนใจเป็นลูกค้าจริง ตัวอย่างสินค้าที่ได้ค่า NuVal แบบเสียไม่ได้คือ 1 นั้นได้แก่ น้ำอัดลมรสองุ่น ซึ่งบ้านเรามีขายหลายยี่ห้อ ส่วนสินค้าที่ได้ค่า NuVal สูง ๆ ได้แก่ หอมใหญ่เหลือง (yellow onion) และแอปเปิ้ลการา ได้ค่าระดับ 93 และ 93 ตามลำดับ ที่น่าสังเกตคือ สินค้าเกษตรนั้นมักได้ค่า NuVal สูง ทั้งนี้เพราะยังไม่มีการนำข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่ความจริงแล้วผักผลไม้ดิบนั้นส่วนใหญ่มีสารพิษเกิดตามธรรมชาติปนอยู่แทบทั้งนั้น การทำลายสารพิษจะต้องใช้กระบวนการปรุงอาหาร เช่น ความร้อนเป็นวิธีการกำจัดสารพิษที่เกิดตามธรรมชาติดังนั้นเรื่องของสารพิษจึงยังเป็นจุดด้อยของ NuVal การขาดการนำขอมูลของการปนเปื้อนของสารพิษมาประกอบการให้ลำดับตัวเลข ทั้งที่สารพิษนั้นมีแน่ๆ นั้น อาจเป็นเพราะสารพิษที่เป็นองค์ประกอบของอาหารดิบ หรือที่อาจปนเปื้อนลงในอาหาร(ซึ่งรวมถึงแบคทีเรีย) นั้นเป็นข้อมูลด้านความปลอดภัยซึ่งต้องมีการวิเคราะห์เป็นครั้งๆ ไป (ไม่สามารถวิเคราะห์ครั้งเดียวแล้วใช้ไปตลอดชาติเหมือนองค์ประกอบทางอาหาร) จึงจะบอกได้ว่า มีหรือไม่มี ทั้งที่กฎหมายของทุกประเทศนั้นมักกำหนดให้ไม่มีหรือมีสารพิษในระดับไม่ก่ออันตราย แต่ข้อมูลประเภทนี้ในทางพิษวิทยาแล้วเป็นข้อมูลที่ต้องระบุเป็นความเสี่ยง ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนักในการตั้งระบบขึ้นด้วยองค์กรเอกชน แม้ในประเทศที่นำหน้าในเรื่องพิษวิทยาอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังทำได้เท่าที่ NuVal ทำ ประเด็นที่ผู้เขียนตั้งคำถามในเรื่องการดำเนินการของระบบแนะนำการซื้อสินค้าอาหารนั้นคือ ผู้ประกอบการที่สินค้าถูกให้คะแนนต่ำคงไม่พอใจ แล้วสามารถฟ้องร้องว่า NuVal หมิ่นประมาทสินค้าหรือบริษัทหรือไม่ ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่การค้าความนั้นเป็นอาชีพที่ได้เงินมากที่สุด หมอความนั้นค่อนข้างรวยกว่าหมอรักษาคน ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า บริษัทเจ้าของ NuVal นั้นคงมีนักกฎหมายประเภทเซียนเหยียบเมฆเรียกพี่อยู่หลายคนแน่ๆ จึงยังอยู่รอดปลอดภัยได้ บทความนี้เขียนขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ให้ผู้อ่านวารสารฉลาดซื้อได้ทราบความก้าวหน้าของการทำฉลากอาหารในสหรัฐอเมริกา ไม่ได้หวังว่าบ้านเราจะมีการนำมาใช้เพราะเป็นการเพิ่มราคาของสินค้าอาหารให้สูงขึ้น เนื่องจากเป็นระบบที่แพงเหมาะกับประเทศที่ประชาชนมีความสนใจรักษาสุขภาพ หรือเป็นประเทศที่มีสุขภาพเป็นปัญหา เช่น สหรัฐอเมริกา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 132 วัคซีนสมอง เข็มพิเศษ : อัพเดตเรื่องรังนก

  ช่วงปีใหม่ 2555 นี้ ผู้เขียนมีความสุข สนุก กับการจัดการบ้านที่ถูกน้องน้ำจัดการชั้นล่างเสียกระจุยตามความกรุณาของรัฐบาลที่ให้หยุดวันที่ 3 มกราคม เพิ่ม ผู้เขียนจึงจัดหนักในการซ่อมแซมบ้านจนเมื่อยล้า แบบว่าเกิดมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ นับว่าเป็นความกรุณาอย่างสูงของฟ้าดินทีเดียว เมื่อเซ็งต่อการจัดการบ้าน ผู้เขียนจึงเข้าเน็ตเพื่อหาความรู้ ความบันเทิงตามภาษาคนกรุง ซึ่งไม่รู้จะไปไหนดี ก็พบบทความหนึ่งซึ่งเอาขึ้นเน็ตในเว็บนานาสาระที่น่าจะฮิตที่สุดของไทย ผู้เขียนมักเข้าเว็บนี้เพื่อไปอ่านหนังสือพิมพ์ บทความนี้น่าสนใจเพราะเป็นเรื่องอาหารการกินที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต แต่อาจมีผลทางจิตใจของสาวกมืออาชีพ บอกกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อมคือ เรื่องของรังนก ซึ่งเป็นประเด็นว่า ถ้าผู้บริโภคได้รับข้อมูลแล้วต้องมีหูที่หนัก(โดยไม่ต้องห้อยห่วงเหล็ก) อย่าหูเบาเด็ดขาด เพราะมันเป็นเรื่องของการโฆษณานั่นเอง ผู้เขียนนั้นโดยส่วนตัวไม่เคยพิศวาสการกินรังนก เพราะไม่ชอบลักษณะสัมผัส ที่สำคัญคือ เมื่อนึกว่ามันคือ น้ำลายนกที่ถ่มออกมาสร้างรังแล้ว น้ำลายตัวเองถ่มออกมายังกลืนกลับไม่ได้ (ต่างกับคนบางคนที่เวลาหาเสียงเวลาได้รับเลือกแล้วพูดอีกอย่าง ซึ่งเรียกว่าเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง) ดังนั้นพอเป็นน้ำลายนกก็เลยขอผ่าน และพยายามไม่สนใจกับข่าวคราวที่มีการโฆษณาสินค้านี้ แบบว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า ใครชอบจะกินก็ไม่ว่ากระไร แต่พอเห็นบทความดังกล่าวก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะดูเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เคยพบ ผู้เขียนขอสำเนาเพียงบางส่วนมาให้ดูแล้วจะแสดงข้อมูลว่า เป็นบทความที่ดูจะไม่ตรงไปตรงมาเมื่อไปค้นข้อมูลที่พบได้ในเน็ต เว็บโปรดของผู้เขียนลงข่าวว่า   หลายคนคงสงสัย อะไรคือฟังก์ชันนัลฟู้ดและเกี่ยวอะไรกับรังนก วันนี้เรามาไขความกระจ่างกันว่าฟังก์ชันนัลฟู้ดคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ทำไมต้องทานรังนก ฟังก์ชันนัลฟู้ด คืออาหารที่มีสารอาหารคุณค่าเต็มเปี่ยม มีประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือไปจากคุณค่าทางอาหารหลักที่เราได้รับเป็นประจำทุกวัน .......ทำให้เรา ได้รับคุณค่าจากสารอาหารเพิ่มมากขึ้น พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ อาหารเสริมชั้นดีนี่เอง และรังนกคือฟังก์ชันนัลฟู้ดอีกหนึ่งทางเลือกค่ะ มีการโต้เถียงกันในวงกว้างว่ารังนกไม่มีสารอาหาร ราคาแพง แล้วทำไมเราถึงยังต้องทานและเลือกเป็นของขวัญของฝากให้กับคนที่คุณรัก คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ และจำได้จนขึ้นใจก็คือ รังนกน่ะมีสรรพคุณทางยาค่ะ แพทย์จีนแผนโบราณใช้รังนกเป็นอาหารในการฟื้นฟู........ เราไม่ได้พูดหรือกล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ นะคะว่ารังนกเป็นฟังก์ชันนัลฟู้ดที่ดี แต่ที่พูดมาทั้งหมดน่ะ เพราะเรามีหลักฐานมาแบ่งปันกันให้ทราบแน่นอน งานวิจัยของดร. Kong และคณะในปี 1987 ระบุว่ารังนกประกอบด้วยสาร EGF (Epidermal Growth Factor) ซึ่งเป็นสารที่มีองค์ประกอบคล้ายเซลล์มนุษย์ ช่วยในการซ่อมแซมผิว ผลัดเซลล์ผิวและช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของผิว พออ่านมาถึงตอนนี้ ความรู้อะไรเยอะแยะไปหมด น่าเบื่อจัง เอาเป็นว่ารู้กันพอหอมปากหอมคอก็พอค่ะโธ่! ที่แท้ เคล็ดลับความงามและอายุยืนของชาวจีนก็มีที่มาจากรังนกนี่เอง แบบนี้ต้องหามาลองกันซักหน่อยแล้ว   สิ่งที่ผู้เขียนสนใจก็คือ การอ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าจริง ข้อมูลการเรียนการสอนด้านอาหารและโภชนาการ อาจต้องเปลี่ยนไปในเรื่องเกี่ยวกับรังนก แต่ผลปรากฏว่า ข้อมูลนั้นอ้างแบบเอาสีข้างเข้าถู ประการแรก ข้อความว่า “สาร EGF (Epidermal Growth Factor) ซึ่งเป็นสารที่มีองค์ประกอบคล้ายเซลล์มนุษย์.....” นั้นดูไม่ค่อยถูกต้อง เมื่อดูข้อมูลจาก wikipedia หรือเอกสารอื่น ๆ จะพบว่า EGF นั้นเป็นชีวโมเลกุลประเภทนำข่าวไปกระตุ้นให้เซลล์ที่มันเข้าไปติดต่อเตรียมแบ่งตัว ไม่ใช่องค์ประกอบของเซลล์ทั่วไป สาร EGF นี้ควบคุมที่จะให้เซลล์แบ่งตัวและพัฒนาเซลล์ให้ทำงาน ปรกติเซลล์ในร่างกายคนที่โตเต็มที่แล้วนั้นเลิกแบ่ง แต่มีการพัฒนาให้เป็นเซลล์ที่ทำงานตามข้อกำหนดของแต่ละอวัยวะที่มันอยู่ จะเห็นว่า เซลล์ตับ เซลล์ปอด เซลล์หัวแม่มือ ฯลฯ นั้นเมื่อนำมาส่องดูผ่านกล้องจุลทรรศน์จะเห็นมีลักษณะสัณฐานที่ต่างกัน ทั้งที่เมื่อมีการแบ่งเซลล์ใหม่ ๆ มีความเหมือนกัน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า เซลล์มีการ Differentiation กล่าวคือ พอแบ่งตัวเสร็จเหมือนคนจบการศึกษารับปริญญาแล้ว ต้องพัฒนาตนเอง มีการแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อทำงานเสียที และแต่ละเซลล์ที่อยู่คนละสำนักงาน(อวัยวะ) ก็แต่งตัวต่างกัน เซลล์ที่ทำงานแล้วนั้น โดยปรกติแล้ว EGF ไม่ควรกระตุ้นให้แบ่งใหม่เพราะถ้าแบ่งเกินจำเป็นและไม่แต่งหน้าแต่งตัวแล้ว เซลล์นั้นจะถูกสันนิษฐานว่า เกิดอาการผิดปรกติซึ่งอาจร้ายแรงถึงการเป็นมะเร็ง ดังนั้น EGF นั้นจึงไม่ใช่สารที่มีแต่ประโยชน์เท่านั้น อาจส่งผลก่อปัญหาได้ถ้าเซลล์ที่มีหน้าที่ปล่อยสารนี้ออกมา ไม่ถูกกาลเทศะ Wikipedia บอกว่า Epidermal growth factor can be found in human platelets, macrophages, urine, saliva, milk, and plasma. ดังนั้นคนเขียนบทความดังกล่าวจึงสรุปเลยว่า น้ำลายนก ซึ่งกลายเป็นรังนกนั้นก็ควรมีสารนี้ด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อาจมีหรือไม่ก็ได้ และถ้ามีอาจมีความสามารถในการกระตุ้นเซลล์มนุษย์ได้หรือไม่ได้ก็ยังไม่รู้ได้ เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์เรื่องนี้ทางวิทยาศาสตร์ ส่วนที่บทความดังกล่าวได้อ้างงานวิจัยของ Dr. Kong นั้น เป็นการอ้างถากๆ ทั้งนี้เพราะเรื่องนี้ผู้เขียนได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเว็บ www.hkfsta.com.hk/articles/special/article7.htm ซึ่งเมื่อเข้าไปก็พบว่า มีบทความชื่อ Review of Scientific Research on Edible Bird's Nest เขียนโดย Shun Wan CHAN แห่งภาควิชา Applied Biology and Chemical Technology ของมหาวิทยาลัย Hong Kong Polytechnic University ว่า The first scientific evidence was given by Ng et al. (1986) in Hong Kong. Edible bird's nest aqueous extract was found to potentiate mitogenic response of human peripheral blood monocytes to stimulation with proliferative agents, Concanavalin A and Phytohemagglutinin A. It suggested that edible bird's nest might possess immunoenhancing effect by aiding cell division of immune cells. One year later, other scientific evidence was published by Kong et al. They demonstrated an epidermal growth factor (EGF)-like activity in aqueous extract of edible bird's nest that stimulated the DNA synthesis in 3T3 fibroblast in a dose dependent manner in vitro. ข้อมูลนี้สำคัญเพราะนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Dr. Ng และคณะนั้นได้ทำการศึกษาและตีพิมพ์ผลงานวิจัยว่า สารสกัดด้วยน้ำจากรังนกนั้นสามารถเสริมการทำงานของสารที่กระตุ้นการแบ่งเซลล์คือ Concanavalin A และ Phytohemagglutinin A (ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่สกัดออกมาได้จากถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ฯ ที่เราบริโภคกัน สมัยที่ผู้เขียนทำวิจัยเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกก็เคยใช้สารนี้ในการกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของเซลล์เม็ดเลือดขาวหนูทดลอง) บทความดังกล่าวไม่ได้บอกว่า สารสกัดด้วยน้ำจากรังนกกระตุ้นการแบ่งเซลล์เอง แต่บอกว่าเป็นการช่วยเซลล์ที่ถูกกระตุ้นแล้วให้แบ่งเร็วขึ้นมากกว่า ประการหนึ่ง อีกประการที่สำคัญคือ Dr Kong ซึ่งปรากฏในบทความของ Dr. Ng และคณะนั้นได้ถูกเขียนว่าเป็นผู้รายงานผลวิจัย (ในวารสารที่ผู้เขียนเชื่อถือ) ว่า สารสกัดด้วยน้ำจากรังนกมีฤทธิ์ที่เรียกว่า epidermal growth factor (EGF)-like activity ซึ่งคำว่า like activity นั้นแปลแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า มีฤทธิ์คล้าย ซึ่งไม่ได้ระบุว่ามี เพราะอาจจะยังไม่มีการแยกสารนี้ออกมา (เหมือนกับเรื่องของซุปสกัดจากเนื้อสัตว์ที่บอกไม่ได้ว่า ผลที่ทำให้คนฉลาดขึ้นเกิดจากสารที่มีตัวตนหรือไม่) สรุปแล้วถ้าอ้างตามบทความที่ผู้เขียนค้นพบ ยังไม่มีใครออกมายืนยันว่า รังนก มีสาร EGF แต่อาจมีศักยภาพคล้ายการทำงานของสาร EGF ที่สำคัญเซลล์ที่ Dr. Kong ใช้ในการศึกษานั้นเป็นเซลล์ Fibroblast ที่ได้จากตัวอ่อนของหนูในท้องแม่ (ดูข้อมูลได้จาก Wikipedia) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีความไวต่อการกระตุ้นให้แบ่งเนื่องจากเนื้อเยื่อตัวอ่อนที่อยู่ในท้องแม่นั้นโดยธรรมชาติต้องแบ่งอย่างรวดเร็วก่อนออกจากท้องแม่ ต่างจากเซลล์มนุษย์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ซึ่งมักมีความด้านต่อการกระตุ้นให้ทำอะไร ดังนั้นถ้า Dr. Kong คิดทำการศึกษาต่อ ก็คงต้องแนะนำให้ใช้เซลล์จากผิวแก้มของสาวๆ ที่กร้านแดดกร้านลมสักหน่อย จึงอาจจะนำผลมาเกี่ยวข้องกับรังนกได้ มีอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มของ Dr. Herbst และ Langer ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง Epidermal growth factor receptors as a target for cancer treatment: The emerging role of IMC-C225 in the treatment of lung and head and neck cancer ในวารสาร Seminar in Oncology ชุดที่ 29 หน้า 27 เมื่อปี 2002 เป็นเชิงห่วงว่า อะไรก็ตามที่มี epidermal growth factor (EGF)-like activity นั้นอาจจะกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งที่อาจมีอยู่ในตัวผู้บริโภคแล้วเพิ่มปริมาณได้เร็วขึ้นกว่าเดิม (ทั้งนี้เพราะเซลล์มะเร็งนั้นเป็นเซลล์ที่พร้อมต่อการแบ่งตัวแบบไม่หยุดอยู่แล้ว) อย่างไรก็ดี Dr. Shun Wan CHAN แห่งมหาวิทยาลัย Hong Kong Polytechnic University ผู้เขียนบทความเรื่องรังนกนี้ ได้กล่าวว่าข้อมูลของ Dr. Herbst และ Langer ยังไม่ได้มีการยืนยันว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะเขาและคณะได้ทดลองศึกษาสารสกัดด้วยน้ำจากรังนกกับเซลล์มะเร็งที่มีอยู่คือ เซลล์มะเร็งเต้านม MCF-7 (ATCC HTB-22) และเซลล์มะเร็งตับHepG2 (ATCC HB-8065) ก็ไม่ได้พบว่าสารสกัดดังกล่าวกระตุ้นให้มีการแบ่งตัวเร็วไปจากที่เป็นอยู่ตามลักษณะของเซลล์มะเร็งดังกล่าว ข้อสรุปในประเด็นสุดท้ายนี้เพื่อให้สมกับปี พ.ศ. 2555 ก็คือ ในการใช้สารสกัดด้วยน้ำจากรังนกกับเซลล์มะเร็งซึ่งไวต่อการกระตุ้นให้แบ่งโดยธรรมชาติแล้วก็ยังไม่ได้ผล แล้วเซลล์ใบหน้าด้านๆ ที่ตากแดดตากลมมาอย่างน้อยเป็นสิบปีจะได้ผลอะไร คิดดูเองเถิดครับพี่น้อง ทุกท่านก็มีสมองที่มีน้ำหนักใกล้ๆ กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าท่านจะใช้หรือไม่ใช้เท่านั้นในกรณีที่ได้รับข้อมูลการโฆษณาอาหารประเภทนี้  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 131 ความเพ้อเจ้อในเดือนธันวา

  บทความในฉบับนี้ยังคงเป็นควันหลงจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตคนอายุต่ำกว่าเจ็ดสิบปี ดังนั้นจึงยังไม่มีข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาเล่าให้ฟัง เพราะผู้เขียนเพิ่งได้เข้าไปที่ทำงาน ยังไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลที่เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการทางเน็ตสักเท่าใด จึงเป็นข้อมูลจากความรู้สึกล้วน ๆ มีคนกล่าวว่า คนไทยรักโลก รักสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ด้วยปาก คนที่ทำจะไม่พูด ส่วนคนที่พูดจะไม่ทำ (ยกเว้นเวลาสร้างภาพ) ซึ่งผู้เขียน ณ วันนี้แล้วคิดว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้น่าจะจริง เพราะเหตุน้ำท่วมใหญ่ปีนี้ นอกจากปัญหาการบริหารน้ำได้ไม่ดีแน่ๆ แล้ว การไหลลงของน้ำในลักษณะน้ำหลากอย่างรุนแรงก็เป็นการฟ้องที่ชัดเจนว่าเราขาดแคลนป่าไม้ ทั้งที่มีนโยบายปิดป่าไปตั้งนานแล้ว หรือว่าเป็นการปิดป่าแบบปิดประตูตีแมวก็ไม่รู้ ผู้เขียนลี้ภัยไปท่องเที่ยวที่หัวหินเสียหนึ่งเดือน รู้สึกประหลาดใจในความแล้งของภูเขาในส่วนอำเภอหัวหินเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างขับรถไปดูโน่นดูนี่ ก็เห็นการทำไร่ต่างๆ เต็มไปหมด แม้เนินเขาที่ไม่น่าออกโฉนดได้ก็ยังมีไร่สับปะรด ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ที่ประทับใจคือ สับปะรดพันธุ์ฉีกตา ซึ่งแปลกดีเพราะสามารถกินโดยไม่ต้องปอก แต่ความอร่อยก็งั้น ๆ ที่น่ากังวลคือ เศษดินที่อยู่ตรงตาที่ฉีกว่าจะเป็นสาเหตุของท้องร่วงหรือไม่ เรื่องการออกโฉนดได้ในที่ที่ไม่ควรออกได้นั้น ปรากฏการณ์น้ำท่วมคราวนี้เห็นได้ชัดมากกับการพบคลองตันในเขตบางขุนเทียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนประหลาดใจในหน่วยราชการที่ออกโฉนดแก่ผู้ขอโดยไม่ลืมหูลืมตา และคนกรุงเทพมหานครก็ควรตั้งตาดูว่า หลังน้ำท่วมแล้วจะมีการเช็คบิลกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือจะปล่อยให้ยายนวลถูกลอยอีก (ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล) ตามระเบียบ หลายครั้งที่ไปเที่ยวตามต่างจังหวัด เวลาไปพักตามรีสอร์ทที่มีสภาพป่าเขา ผู้เขียนมักรู้สึกสงสัยว่า การที่เรามาพักในที่แบบนี้เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดในเรื่องการรุกป่าหรือไม่ แต่เรื่องแบบนี้คงพูดไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องไม่เห็นใครสนใจกัน เพราะต่างคนต่างก็รักป่าจนน้ำลายไหล เมื่อเราพูดถึงการประหยัดพลังงาน วันหนึ่งได้ไปกินข้าว (แบบจำใจ) ที่ร้านอาหารในสยามสแควร์ซึ่งราคานั้นเป็นสี่เท่าของร้านที่กินประจำที่สถาบันโภชนาการ เรื่องของราคานั้นไม่เท่าไร แต่ที่รู้สึกว่าคนไทยรักษ์พลังงานแต่ปากก็คือ เมื่อสั่งน้ำแข็งใส่น้ำชา สาวเสิร์ฟก็เอาน้ำชาร้อนๆ ควันพุ่งเทลงในแก้วน้ำแข็ง ซึ่งถ้ามองในแง่การประหยัดพลังงานแล้วมันเป็นความเลวร้ายมากที่เอาน้ำร้อนราดบนน้ำแข็ง มองในแง่ที่ดีคือ คนเสิร์ฟคงเข้าใจว่าได้ทำการฆ่าเชื้อโรคในน้ำแข็งด้วยการลวกน้ำร้อน การขึ้นลิฟต์ในสถานที่ทำงานเพียงสองสามชั้นทั้งที่มีการติดป้ายว่า ลิฟต์สำหรับขนของหนักและผู้พิการ ก็เป็นตัวอย่างการประหยัดพลังงานด้วยปาก ยิ่งถ้าเป็นสถานบริการต่างๆ แล้ว การขึ้นลิฟต์เพียงชั้นเดียวนั้น เป็นการเอาให้คุ้มกับเงินที่จ่ายไปกับบริการของสถานที่ ขณะที่เขียนบทความนี้ผู้เขียนยังต้องลี้ภัยน้ำท่วมมานอนที่คอนโดของพี่ภรรยา บนถนนราชดำริ ดังนั้นคงไม่ต้องประหลาดใจที่ต้องเล่าให้ฟังว่า ได้เห็นความหรูหรา ฟุ่มเฟือยของการใช้พลังงานไฟฟ้าของคนไทยที่ทำตัวเลียนแบบชาติที่ไม่ยอมลงนามในคำประกาศลดภาวะโลกร้อนที่เรียกว่า พิธีสารโตเกียว ตัวอย่างเช่น ตึกข้าง ๆ ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่มีลักษณะเป็นกึ่งโรงแรมกึ่งคอนโด (ซึ่งชั้นหนึ่งมีสองหน่วยราคาซื้อต่อปัจจุบันคือ หน่วยละแปดสิบเจ็ดล้านบาท) เวลาตอนกลางคืนผู้เขียนมองออกนอกหน้าต่างก็เห็นหลายห้องเปิดไฟทั้งไม่มีคนอยู่จนเช้า บางห้องก็เปิดโทรทัศน์ตลอดเวลา อาจเปิดเป็นเพื่อนเพราะอยู่คนเดียวเลยกลัวผี ดังนั้นถ้าคนซึ่งอยู่ในป่าเขา สายไฟฟ้ายังลากไปไม่ถึงมาเห็นพฤติกรรมการใช้ไฟของคนมีสตางค์ บ้านเมืองนี้คงร่มเย็นยาก คนไทยเป็นคนฉวยโอกาสและขาดระเบียบเป็นที่สุด ยิ่งพอน้ำหลากมาจะท่วมกรุง คนไทยก็แสดงธาตุแท้ของการ เอาไว้ก่อนพ่อแม่มันสอนไว้ เช่น การกวาดซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนเดียวหลายๆ กล่อง ไม่แบ่งปันให้คนข้างหลัง ย้อนกลับไปสมัยเราขาดแคลนน้ำมันปาล์ม ผู้เขียนไปซื้ออาหารที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ปิดป้ายประกาศว่า ครอบครัวหนึ่งซื้อน้ำมันปาล์มได้หกขวด สิ่งที่เห็นกับตาคือ การกวาดน้ำมันปาล์มลงจากชั้นสู่รถเข็นมากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วก็ให้เหล่าบริวารของอาเจ้ (ทั้งไทยและจีน) เอารถเข็นเข้ามารับไปที่ละหกขวดเพื่อไปจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการเวียนเทียนนอกเทศกาลทางพุทธศาสนา โดยพนักงานของห้างสรรพสินค้านั้นได้แต่มอง พอถามว่า ทำไมไม่ห้าม พนักงานของห้างก็กล่าวว่าไม่กล้ากลัวโดนมธุรสวาจา ภาษาดอกไม้ทองของอาเจ้ทั้งหลาย ดังนั้นอย่างที่รู้ๆ กันว่า ถ้าประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าปรมาณูแบบที่หลายๆ คนต้องการให้มี โดยอ้างว่า เวียดนามก็ทำสัญญาแล้ว เขมรก็วางแผนแล้ว ไทยก็คงต้องมีบ้าง โดยไม่ดูตัวเองว่า คนไทยที่มีคุณภาพคือ มีจิตใจดีมีวัฒนธรรมความเป็นคนสูงนั้น ค่อนข้างน้อยมาก แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบที่เกิดกับเมืองฟูกูชิมะของญี่ปุ่นแล้ว การอพยพ หนีภัย แจกสิ่งของคงดูไม่จืดแน่ ย้อนกลับมาที่น้ำท่วมบ้านเราอีกที ผู้เขียนอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และในเน็ตพบว่า ยังไม่เห็นมีใครเขียนถึงเรื่องดังกล่าวคือ ความเรื่องมากของผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะพวกที่ไปลี้ภัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ สิ่งได้ฟังมาคือ มีการเสนอความต้องการว่า ทำไมอาหารน้อย ทำไมอาหารไม่อร่อย ทำไมไม่เปิดแอร์ (บางมหาวิทยาลัยใช้บริเวณส่วนกลางของหอพัก ซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะให้เข้าไปอยู่ในห้องพักนักศึกษาไม่ได้เนื่องจากยังมีของใช้ส่วนตัวของนักศึกษาอยู่) โดยที่ผู้อพยพไม่ได้มองว่า ค่าใช้จ่ายในเรื่องดังกล่าวนั้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเป็นเงิน ซึ่งอาจเป็นเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน ประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่า คนไทยขาดการชี้นำและอบรมให้รู้จักรับภัยธรรมชาติ เพราะเราคิดกันว่า ประเทศไทยไม่ควรมีภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงดอก อย่างสึนามิที่มีมาก็คงอีกร้อยปีกระมังถึงจะเกิดอีก ที่มีการซ้อมก็เริ่มซาๆ ไป สักวันหนึ่งหอเตือนภัยก็คงเหมือนเสาโด่ธรรมดาที่เตือนภัยไม่ได้ เพราะขาดการบำรุงรักษาเยาวชนไทยเราขาดการศึกษาในสิ่งที่ควรมีประจำตัวหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความซาบซึ้งในความรู้เรื่องการกินอาหารให้ถูกหลักการทางโภชนาการ ความรู้ในวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมที่ถูกชำแหละให้ไปอยู่ในวิชาประหลาดๆ ที่ดูดีแต่เลว เพราะสอนแล้วก็ทำกันไม่ได้ ซึ่งผิดกับข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตของรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาที่มักสอนทุกเรื่อง ตั้งแต่อาหารโภชนาการจนถึงแผ่นดินไหว และการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูว่า เด็กควรทำตัวอย่างไร ในวันหนึ่งถ้าเกิดแผ่นดินไหวในกรุงเทพเกินหกริกเตอร์ อะไรจะเกิดขึ้น ผู้เขียนนึกภาพไม่ออกว่าผู้เขียนจะทำตัวอย่างไร เพราะไม่เคยเรียนรู้หรือฝึกปฏิบัติ แม้แต่การหนีไฟที่อาจเกิดที่ทำงาน ผู้เขียนจำได้ว่าไม่เคยซ้อม ซึ่งว่าไปก็ดูเป็นความประมาท เพราะเมื่อถามตัวเองว่า ถ้าเกิดปัญหาสาธารณภัยขึ้นมา เราจะคว้าอะไรออกไปกับตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะออกวิ่งแต่ตัวเปล่าโดยไม่เอาบัตรประจำตัวประชาชนไว้แสดงกับเจ้าหน้าที่ราชการ ซึ่งมักไม่สามารถจะตรวจสอบว่า คนที่ประสบภัยคือใคร ทั้งที่เวลาทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดนั้น มีทั้งรูปถ่ายปัจจุบันและลายนิ้วมือตั้งหลายนิ้ว แค่ใส่ชื่อในคณิตกรณ์หรือคอมพิวเตอร์นั้น ถ้าระบบดีจริงก็ควรตรวจหาได้ว่า ใครเป็นใคร อาจต้องรอให้มีการพิมพ์ลายนิ้วอย่างอื่นเพิ่มกระมัง ถึงจะสามารถพิสูจน์สถานภาพของผู้เคราะห์ร้ายจากการสืบค้นด้วยคณิตกรณ์ นอกจากบัตรประจำตัวซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการแสดงตัวตนแล้ว ถ้ามีการเตรียมพร้อมให้ดีก็ควรมีอาหารแห้งที่ไม่ใช่ บะหมี่อาม่า เพราะหลายคนอาจจดจำความขมขื่นในการกิน อาม่า ไปจนวันตาย ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า มหาวิทยาลัยในเมืองไทยขาดการทำวิจัยถึงการผลิตอาหารในยามวิกฤตที่มนุษย์สามารถกินได้แบบที่ยังคงความเป็นมนุษย์ไว้ เช่น อาจมีข้าวหลามไส้หมูสับพร้อมผักในภาชนะพลาสติกปลอดเชื้อ ซึ่งไม่ต้องใช้ความร้อนก่อนบริโภค เหตุที่ควรเป็นข้าวหลามก็เพราะมันอร่อยกว่าข้าวสวย และไขมันของกะทิก็ยังช่วยถนอมอาหารได้พอควร ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์ทางวิทยุในเรื่องประเด็นอาหารในช่วงวิกฤตน้ำท่วมว่า ควรเป็นอย่างไร (โดยไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมีประสบการณ์ เนื่องจากคิดว่ารัฐบาล เอาอยู่) ซึ่งในหลักการแล้ว อาหารที่ดีควรจะบูดเสียยาก เช่น ข้าวผัด ทั้งนี้เพราะน้ำมันที่เคลือบเมล็ดข้าวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดี ผู้เขียนจำได้ว่า ครั้งหนึ่งที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แล้วเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น ทางกรุงเทพมหานครได้ส่งข้าวหลามไปช่วยชาวญี่ปุ่น ซึ่งคนญี่ปุ่นก็ยังประทับใจไม่ลืมการจัดของยังชีพที่มีแต่ อาม่า และอะไร ๆ ที่มีแค่ยังชีพได้นั้น เป็นการช่วยที่คนได้รับคงลืมไม่ลงในความยากลำบาก ณ วันนี้น้ำลดเกือบหมด (บ้านผู้เขียนที่ถนนศาลาธรรมสพน์ ยังมีน้ำขังอยู่นิดหน่อยและยังขึ้นลงตามปริมาณน้ำในคลองหลังหมู่บ้าน) ถามว่า อนาคตจะเป็นอย่างนี้อีกหรือไม่ ร้อยทั้งร้อย ทุกคนตอบแบบมั่นใจว่า ปีหน้ามีแน่และอาจจัดหนักกว่าปีนี้ ตราบใดที่การบริหารน้ำของประเทศยังเป็นระบบแบบที่เป็นอยู่ ดังนั้นเราควรเตรียมตัวอย่างไรกับอาหารที่จะกักตุนเวลาน้ำท่วม หลายท่านอาจเคยดูรายการทีวีที่ออกมาแนะนำเรื่องการเตรียมอาหารเพื่อสู้น้ำท่วมต่างๆ นานา ซึ่งไม่มีอะไรผิดเลย ถ้าท่านจะปักหลักอยู่กับน้ำอย่างมีความสุข แต่ผู้เขียนได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีคุณพ่อที่เกษียณจากกรมชลประทานเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อสอนว่าชาวไทยชนบทนั้นไม่เคยคิดจะสู้กับน้ำท่วมเลย เพราะประเทศเราต้องมีการท่วมเป็นประจำ ดังนั้นต้องรับน้ำเข้าบ้านแล้วส่งต่อให้ไปไกลๆ เลย การต่อสู้ไม่ว่าด้วยถุงใหญ่หรือถุงเล็กนั้น อย่างไรก็แพ้ ดังนั้นถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงต้องใช้หลักการที่มีคนกล่าวในยูทูปว่า น้ำท่วมให้แจว ไปหาที่อยู่ที่อื่น เหมือนที่มีนักวิชาการของศูนย์ที่ผู้เขียนไม่ต้องการจะเอ่ยนามแนะนำในตอนแรกของการเกิดน้ำท่วมคราวนี้ว่า ให้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะท่องเที่ยวไทยเป็นการพักร้อนที่ได้เงินเดือนฟรีสำหรับข้าราชการหรือพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างผู้เขียน สรุปท้ายบทความนี้คงต้องกล่าวว่า ช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่านั้น เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตไร้ความหมายเกือบที่สุดของชีวิต ข้อดีที่เกิดขึ้นคือ การทบทวนว่าเราโชคดีหรือโชคร้ายที่มีโอกาสได้อยู่กันแบบครอบครัวทั้งวันทั้งคืน เมื่อต้องอพยพไปอยู่ในต่างถิ่น ผู้เขียนยังโชคดีกว่าที่ไม่ต้องเข้าศูนย์พักพิง ซึ่งหลายท่านต้องเข้า ดังนั้นความดีความชอบที่เกิดในช่วงอุทกภัยนี้ควรจะยกให้ใคร เกือบทุกท่านคงตอบได้นะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 130 วิกฤตที่ขาดโอกาสของคนไทย

  บทความฉบับนี้เกิดขึ้นอย่างทุลักทุเลที่สุดในชีวิตของผู้เขียน เพราะต้องกลายเป็นผู้ประสบอุทกภัยที่เป็นฝันร้ายสุดๆ ในชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า คำประกาศของหน่วยงานที่รัฐจัดตั้งขึ้นจะทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนต้องเปลี่ยนแปลงไปแบบคาดไม่ถึง เพราะประชาชนส่วนมากเชื่อว่า น้ำคงท่วมไม่มาก แค่ตาตุ่ม หรือหัวเข่า ซึ่งถ้าเป็นจริงมันก็แค่ชิล ๆ แต่ปรากฏว่า ก็แค่ตาตุ่มหรือหัวเข่าจริงเพียงแต่ว่ามันแค่ตาตุ่มหรือหัวเข่าเมื่อคนให้ข่าวเอามือเดินต่างเท้าเท่านั้น เพราะเมื่อวัดระดับน้ำท่วมจริงมันดันกลายเป็นเมตรครึ่งไปได้อย่างไร สุดท้ายผู้เขียนเลยต้องอพยพไปอยู่หัวหินแบบเตรียมตัวเกือบไม่ทัน เพราะรอน้องน้ำตั้งนานก็ไม่มา แต่พอหล่อนมาก็เหมือนปลาวาฬไปเลยคือ เร็วมาก เพราะหล่อนข้ามคันกั้นน้ำคลองมหาสวัสดิ์พรวดเดียวถึงถนนศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ จนวันนี้เป็นเช้าวันที่สิบเอ็ดซึ่งตรงกับวันลอยกระทงแล้ว เมื่อตรวจสอบข่าวน้ำท่วมที่บ้านผู้เขียนก็พบว่า ยังไม่เห็นแนวโน้มการลดลงของระดับน้ำเลย มีแต่จะเพิ่มเพราะน้ำทะเลหนุนในวันลอยกระทงวันนี้ มีแพทย์ท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ทางทีวีช่อง TNN ที่รับสัญญาณผ่านจานดาวเทียมทำนายว่า การระบายน้ำที่ท่วมบ้านประชาชนนั้นจะทำได้ดีทันทีที่ลอยกระทงผ่านไป เพราะน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีนจะลดต่ำกว่าตลิ่งเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งจะทำให้การระบายน้ำทำได้วันละหลายร้อยล้านลูกบาศ์กเมตร นี่เป็นข่าวที่ให้ความหวังเดียวในเรื่องน้ำลด ตั้งแต่ผู้เขียนมาอยู่หัวหิน ว่าไปช่วงวิบัติภัยที่เกิดขึ้นกับคนไทยนี้เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้เขียนได้ทำอะไรๆ ที่ไม่เคยทำเป็นครั้งแรก เช่น การเขียนบทความนี้ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดวางตัก (lab top) ซึ่งแต่แรกผู้เขียนรู้สึกว่า มันน่าจะยากเพราะลักษณะการใช้งานมันไม่คล่องนิ้วเหมือนชนิดวางโต๊ะ (desk top) แต่พอใช้ๆ ไป มันก็แก้ขัดได้ไม่เลวนัก สิ่งใหม่ประการที่สองที่ได้ทำคือ การดูทีวีผ่านจานรับสัญญาณดาวเทียมแบนจานใหญ่เท่ากระทะเจียวไข่ ซึ่งให้สัญญาณราวห้าสิบช่อง ทำให้สามารถตามข่าวน้ำท่วมได้ทั้งทางฟรีทีวี และทีวีข่าวอย่าง สปริงนิวส์ ทีเอ็นเอ็น หรือ เนชั่น ได้ทั้งวันเสียที การดูทีวีผ่านดาวเทียมนั้น ความจริงผู้เขียนก็ทำใจอยู่แล้วว่า นอกจากจะได้ดูข่าวที่ไวกว่าฟรีทีวีแล้วอาจต้องดูขยะที่เป็นการขายสินค้าหลอกลวงผู้บริโภค แต่ก็ไม่เคยนึกว่า การหลอกลวงนั้นมันจะโจ่งครึ่มแบบที่ได้เห็น ยกตัวอย่างรายการขายสินค้าที่เป็นสารสกัดจากผักผลไม้ ซึ่งท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า ผู้ขายสินค้านั้นต้องเรียกว่า น้ำเอนไซม์ ซึ่งเป็นการขายสินค้าโดยมีพิธีกรผู้หญิงสัมภาษณ์ลูกจ้างของบริษัทขายสินค้านั้นโดยเรียกเขาผู้นั้นว่า อาจารย์ ซึ่งผู้เขียนขอแปลงเป็น อาชาม แล้วกัน เพราะข้อมูลเกี่ยวกับเอนไซม์ที่เขาผู้นั้นกล่าว เป็นเรื่องมั่วที่สุดทางชีวเคมีที่เคยได้ยินมา ข้อมูลมั่ว ๆ ที่เคยได้ยินผ่านมา และที่มาได้ยินในวันนั้นทางทีวีดาวเทียมก็มีหลายประการเช่น การบอกว่าในน้ำสกัดผักที่บรรจุขวดขายนั้นมี เอนไซม์บริสุทธิ์ บรรจุอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วของเหลวที่อยู่ในขวดนั้นเป็นเพียงสารสกัดน้ำชนิดหยาบ (crude water extract) จากผักผลไม้เท่านั้น ที่สำคัญก็คือ เอนไซม์หลายชนิดของสิ่งมีชีวิต เมื่อถูกสกัดออกมาจากเซลล์ ไม่ว่าจากพืชหรือสัตว์แล้ว มักไม่ค่อยอยู่ตัวในสภาวะที่เป็นอุณหภูมิห้อง ดังจะเห็นได้จากการเรียนวิชาปฏิบัติการทางชีวเคมีในระดับมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับเอนไซม์นั้น ส่วนใหญ่จะต้องทำให้สภาวะแวดล้อมเย็นโดยการแช่สารละลายที่สกัดได้ในอ่างควบคุมอุณหภูมิไม่เกินสี่องศาเซลเซียส มีเอนไซม์เพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถทนอุณหภูมิห้องได้ เมื่อถูกสกัดออกมาเป็นสารละลาย ยกตัวอย่างให้เห็นได้คือ ยางมะละกอ หรือน้ำสับปะรด ซึ่งมีเอนไซม์กลุ่มที่สามารถช่วยย่อยโปรตีนของเนื้อสัตว์ให้เกิดอาการยุ่ยเคี้ยวได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง และมีเอนไซม์บางชนิดที่สกัดได้จากตับอ่อนสัตว์ที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งเอนไซม์นั้นจะถูกนำไปทำให้เป็นผงด้วยกรรมวิธีค่อนข้างพิเศษหน่อยที่ไม่มีความร้อนเข้าไปเกี่ยวข้อง จากนั้นจึงนำมาผสมกับส่วนผสมปั้นเป็นเม็ด นำมาขายเป็นยาช่วยย่อยแก่ผู้มีปัญหาการย่อยอาหารไม่ค่อยดี ซึ่งมักมีอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ดังนั้นของเหลวในขวดที่มีสัญลักษณ์ผ่านการขึ้นทะเบียนของ อย แล้วนั้น จึงไม่น่าเชื่อว่ามีเอนไซม์จริง โดยประเด็นการผ่านการจดทะเบียนจาก อย นั้นเป็นเรื่องเก่าแล้วว่า ทำไม อย ถึงยอมให้ขึ้นทะเบียน เพราะคำตอบที่เคยได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ อย คือ สินค้านั้นขึ้นทะเบียนเป็น เครื่องดื่มธรรมดา แต่เวลามาโฆษณาขายทางทีวีนั้นผู้ขายก็ได้ยกระดับสินค้าจนดูกลายเป็นสินค้าที่มีผลต่อสุขภาพ อีกทั้งการโฆษณาผ่านทีวีในลักษณะนี้ไม่ได้มีการขออนุณาตทาง อย แน่นอน เพราะไม่มีสัญลักษณ์การผ่านการขออนุญาตตลอดการแพร่ภาพทางทีวี (ฆอ.) กลับมาที่อาชามที่มาขายเอนไซม์ในขวดดีกว่าว่า คนเหล่านี้จะมีลักษณะเหมือนๆ กันคือ อาจเคยเรียนวิชาชีวเคมีมาจากสถานศึกษาที่สอนวิชานี้แบบไม่จริงจัง คือ สักแต่สอนให้ได้ชื่อว่ามีวิชานี้ในหลักสูตร เหตุที่ผู้เขียนกล้ากล่าวเช่นนี้เพราะ เวลาผู้เขียนออกข้อสอบคัดเลือกนักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาโทที่ผู้เขียนรับผิดชอบนั้น ความรู้ทางชีวเคมีเป็นความรู้หลักที่ต้องตรวจสอบ ซึ่งนักศึกษาที่มาจากมหาวิทยาลัยที่มีคนสอนวิชาชีวเคมีไม่ดีนั้นจะตอบไม่ได้เลยในเรื่องเกี่ยวกับเอนไซม์ เรื่องแบบนี้ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อก็ลองถามลูกหลานที่เคยเรียนวิชาชีวเคมีในระดับปริญญาตรีว่า เอนไซม์ คืออะไร มีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรในชีวิตประจำวัน แล้วท่านผู้อ่านจะได้เห็นตัวอย่างของความสูญเปล่าทางการศึกษาที่แท้จริงว่า นักศึกษาร้อยละกว่าเก้าสิบห้าขึ้นไป เรียนวิชาชีวเคมีในระดับปริญญาตรีเพียงเพื่อผ่าน ทั้งที่ชีวเคมีเป็นวิชาที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวันของมนุษย์วิชาหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกานั้น วิชาชีวเคมีมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลเร็วมาก และเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพทุกสาขาและวิทยาศาสตร์กายภาพบางสาขาต้องเรียน และเมื่อเรียนแล้วเวลาผ่านไปประมาณห้าปี แล้วนักศึกษาผู้นั้นยังไม่จบการศึกษา หลายมหาวิทยาลัยมีข้อบังคับว่า นักศึกษาผู้นั้นต้องกลับไปเรียนวิชาชีวเคมีพื้นฐานระดับบัณฑิตศึกษาใหม่ ในขณะที่เมืองไทย แค่ผ่านก็พอ จากนั้นความรู้ที่อาจได้บ้างก็คืนอาจารย์ไป ดังนั้นเมื่อดูทีวีผ่านดาวเทียมมีอาชามมาอธิบายว่า เอนไซม์ในขวดที่บรรจุน้ำสกัดผักผลไม้นั้นสามารถทะลุทะลวงให้เส้นเลือดในสมองที่บีบตัวขณะเกิดอาการไมเกรนเนื่องจากมีขยะในเส้นเลือดหายไป ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนดีขึ้น ผู้เขียนก็ได้แต่ปลงอนิจจังว่า การหลอกลวงแบบที่เอาคนที่ไม่มีความรู้มาอธิบายขายสินค้าเฮงซวยนี้ มันคงแก้ไขอะไรไม่ได้แน่ เพราะแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ช่วงเวลาที่แม่บ้านดูทีวีหลังทำงานบ้านเสร็จในตอนสายๆ หรือบ่ายๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นไม่ต่างกับในไทย ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ถ้าเป็นคนช่างสังเกตหน่อยจะเห็นว่า ข้อมูลการหลอกลวงในการขายสินค้าเกี่ยวกับอาหารส่วนใหญ่นั้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาชีวเคมีแทบทั้งนั้น เพราะสารชีวเคมีนั้นมีความเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ และเรื่องราวเกี่ยวกับชีวเคมีนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างลึกซึ้ง ซึ่งหาคนสอนให้เด็กไทยเข้าใจได้ค่อนข้างยาก จริงอยู่เรามีนักวิทยาศาสตร์สาขาชีวเคมีในระดับพอคุยได้ว่าตัดแต่งพันธุกรรมได้ แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้มักจะเข้าใจในวิชาชีวเคมีก็ต่อเมื่อไปเรียนวิชานี้อีกครั้งในต่างประเทศ ซึ่งน่าจะแสดงว่าการเรียนการสอนวิชาชีวเคมีในประเทศไทยนั้น ยังมีปัญหา ประเด็นปัญหาที่สำคัญในการสอนชีวเคมีในประเทศไทย คือ ทำอย่างไรจึงจะให้นักศึกษาที่ผ่านวิชานี้เข้าใจในความรู้ที่สามารถใช้ป้องกันการถูกอาชามต่างๆ มาหลอกลวงขายสินค้าเฮงซวยที่เกี่ยวข้องกับชีวเคมีได้ ท่านผู้อ่านอาจนึกไม่ถึงว่า แค่การซักผ้านั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวเคมีในชีวิตประจำวันที่เราควรเข้าใจให้ดี ทั้งนี้เพราะมีการหลอกลวงหรือพูดผิดๆ ถูกๆ ในการโฆษณาขายผงซักฟอกเป็นประจำทางจอทีวีโดยที่ไม่มีนักชีวเคมีระดับตัดแต่งพันธุกรรมได้มาช่วยให้ประชาชนเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ผงซักฟอกที่ดีนั้นควรดูจากอะไร หรือทำอย่างไรจึงจะให้เด็กไทยที่ต้องจบการศึกษาภาคบังคับมีความรู้ด้านชีวเคมีในชีวิตประจำวันเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกหลอกลวงได้ ผู้เขียนมักออกข้อสอบถามนักศึกษาว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการซักผ้าที่เปื้อนเหงื่อจากการออกกำลังกายโดยไม่ใช้ผงซักฟอกหรือสบู่ในการซักผ้าชิ้นนั้น คำตอบซึ่งมักถูกคือ ผ้าชิ้นนั้นมีกลิ่นเหม็น แต่พอถามต่อว่า แล้วทำไมเมื่อใช้ผงซักฟอก(โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น ซิลเวอร์นาโน) แล้วทำไมผ้าชิ้นนั้นจึงไม่เหม็น ทั้งที่อาจตากให้แห้งในตอนกลางคืน คำตอบที่ได้มักอยู่ในระดับที่ต้องให้คะแนนเท่ากับ ศูนย์ ตัวอย่างความไม่รู้ในเรื่องการซักผ้าให้สะอาดนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีว่า เด็กที่ผ่านการศึกษาภาคบังคับนั้น ขาดตกบกพร่องในเรื่องความรู้เกี่ยวกับชีวเคมีที่ควรรู้ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่สินค้าที่มีกลูตาไทโอน โคเอนไซม์คิวเท็น คอลลาเจน น้ำมันปลาจากทะเลลึก จึงยังขายได้เป็นล่ำเป็นสัน โดยที่ประชาชนมิได้รู้ตัวเลยว่า สิ่งที่กินเข้าไปนั้นมันของเสียเปล่า กินหรือไม่กินค่าก็เท่ากัน คุณภาพของประชาชนขึ้นกับคุณภาพของการศึกษาที่ประชาชนได้รับนั้น เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้แล้วในยุคสมัยที่มีคนโพสต์ในเน็ตว่า ความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมนั้นเกิดจากการที่เราเลือกผู้บริหารประเทศได้ในระดับที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งเป็นยุคที่เด็กเน็ตเขาเรียกว่า ยุคเอาปัญญาชนไปกรอกถุงทราย เอาปัญญาควายไป…

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 129 วัคซีนสมอง (เข็มที่ 3) มหัศจรรย์น้ำผัก

  ผู้เขียนเป็นคนตื่นนอนเช้าราวตีสี่ถึงตีห้า ไม่ใช่ว่าขยันอะไรหนักหนา แต่เป็นเพราะมักเกิดอาการหิวในช่วงเช้าตรู่ และถ้าไม่ได้กินอาหารจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหัวไมเกรนเอาง่ายๆ ยกเว้นกรณีเดียวคือ พอตื่นมาแล้วได้ออกกำลังไม่ว่าจะทำงานบ้านหรือเล่นกีฬา ก็สามารถเลื่อนไปกินอาหารเช้าได้ราว 7 โมงเช้า ความที่นอนตื่นเช้า เลยมักมีโอกาสได้ดูอะไรหลายๆ อย่างทางโทรทัศน์ที่เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับการโฆษณาขายสินค้าหลอกลวงผู้บริโภคต่างๆ ยังไม่ตื่น ความจริงสินค้าหลายอย่างที่โฆษณาขายนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คำพูดที่ใช้โฆษณานั้นเป็นตัวก่อปัญหา เนื่องจากเป็นคำโฆษณาที่ไร้ปัญญาหรือเจตนาจะหลอกลวงผู้บริโภคเอาดื้อๆ โดยคนที่โฆษณานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีอาชีพตบตาคนทั่วไปเป็นอาจิณคือ  นักแสดง นั่นเอง สินค้าที่กระทบใจผู้เขียนว่า ไม่ควรมีการโฆษณาเพ้อเจ้อขนาดนี้คือ เครื่องสกัดน้ำผลไม้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันก็คือเครื่องปั่นแยกกากเพื่อให้เราคั้นน้ำผลไม้กินได้สะดวกขึ้นนั่นเอง ผู้เขียนเคยซื้อไว้ชุดหนึ่งให้นักศึกษาใช้ในห้องปฏิบัติการที่สถาบันราคาประมาณ 300 บาท ซึ่งเป็นของลดราคาแต่คุณภาพปรกติ และปัจจุบันก็ยังใช้อยู่เรื่อยๆ ตามความจำเป็นในการทำวิจัย ส่วนเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้เพื่อให้ได้เอนไซม์มากินบำรุงร่างกายที่มีโฆษณาขายทางโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ทนั้น มีตัวอย่างราคาที่พบในการโฆษณาทั่วไปเช่น “ราคาช่วงแนะนำ 15,900 บาท เหลือ 14,900 บาท กรุงเทพ ปริมณฑล จัดส่งฟรี ต่างจังหวัดค่าขนส่ง ทั่วประเทศ 300 บาท พร้อมบริการหลังการขายที่ครบครัน ทั้งอะไหล่ และบริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ XXXHome Product โทร. 081 8357YYY, 02 4131ZZZ และ Fax. 02 8698AAA ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทเครื่องคั้นแยกกากน้ำผัก ผลไม้ เพื่อสุขภาพ แบรนด์ดังของอเมริกา สั่งผลิตและติดแบรนด์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น OBAMA (ชื่อสมมุติ) รุ่น VRT 330 (HD) และ VRT350 และอีกหลายแบรนด์ดัง สำหรับรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย YAHOM (นี่ก็ชื่อสมมุติ) รุ่น HU-100 เป็นรุ่น TOP สุด เทียบเท่า OBAMA VRT350 ในประเทศสหรัฐอเมริกา” และมีอีกเครื่องหนึ่งโฆษณาในเว็บเดียวกันว่า “มีราคาช่วงแนะนำ คือ 22,500 บาท กรุงเทพฯ ปริมณฑล จัดส่งฟรี” พร้อมกำกับคำโฆษณาว่าเหมาะสำหรับใช้สกัดน้ำผักจากต้นอ่อนข้าวสาลี ซึ่งฝรั่งนิยมดื่มกัน เข้าใจว่ามันคงมีกลิ่นรสคล้ายน้ำสกัดจากหญ้า เพราะข้าวสาลีก็เป็นหญ้า ดังนั้นเครื่องนี้คงเหมาะกับคนที่สมองมีปัญญาคิดในระดับใด ท่านผู้อ่านคงพอเดาได้ ความจริงการดื่มน้ำผักและน้ำผลไม้เป็นเรื่องที่ดี น่าสนับสนุน แต่ผู้ดื่มก็ควรดื่มอย่างมีสติ รู้จักใช้ปัญญาคิดว่า ต้องการดื่มเพราะอะไร ซึ่งมันไม่ถึงกับมีเหตุผลเป็นร้อยแปดพันประการดอก ทั่วไปแล้วน้ำผักน้ำผลไม้นั้น ควรดื่มเพื่อแก้กระหาย ซึ่งดีกว่าการดื่มน้ำอัดลมใส่สี ผลประโยชน์ทางอ้อมที่ได้คือ สารที่เป็นประโยชน์พวกไวตามินบางชนิดและเกลือแร่หลายตัว ที่สำคัญก็คือ ผักและผลไม้หลายชนิดที่นำมาทำเป็นเครื่องดื่มในปัจจุบันนั้น เป็นพืชสมุนไพร มีศักยภาพในการกระตุ้นระบบทำลายสารพิษได้ดี เพียงแต่ต้องปรุงให้ดีหน่อย เพื่อกลบกลิ่นรสที่รุนแรงเกินห้ามใจ (ห้ามใจให้กินนะครับไม่ใช่ห้ามใจไม่ให้กิน) แต่ในบางเว็บไซต์ได้ผลิตน้ำผักและผลไม้ในแบบฉบับที่ไม่รู้ไปเรียนมาจากตำราเล่มไหน เช่น ผลิตน้ำหมักเอนไซม์จากผลไม้กว่า 20 ชนิด หมักนานกว่า 6 ปี เป็นอย่างต่ำ โดยใช้สูตรและวิธีการหมักตามธรรมชาติของ XXX แห่งชมรม YYY ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ZZZ  เป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่ใช้เวลาในการหมักบ่มเพื่อสกัดเอาเอนไซม์และสาร อาหาร แร่ธาตุ วิตามิน ออกมาจาก…(บลา ๆๆๆๆๆ)…. ซึ่งดูไปดูมามันคือ น้ำส้ม (หมัก) ผลไม้รวมเสียมากกว่า แต่สิ่งที่รับได้ยากและเป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่วซั่วของเว็บไซต์คือ การอ้างสรรพคุณว่า น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ มีประโยชน์ในการปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย  ทำให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายดีขึ้น ทำให้แต่ละเซลล์ในร่างกายได้สารอาหารอย่างสมดุล  สลายสารพิษและสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย( ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ )  อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและเกลือแร่ คือ วิตามินบีรวม, บี 1, บี 2, บี12 สิ่งที่บ่งชี้ความมั่วนั้นมีหลายประเด็น แค่ประเด็นว่า น้ำผลไม้ให้โปรตีน ก็ลำบากใจที่จะรับแล้ว ทั้งนี้เพราะผลไม้ที่ให้โปรตีนนั้น ตั้งแต่ผู้เขียนหารับประทานโดยการสอนหนังสือมานั้น ก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าได้แก่อะไรบ้าง ถ้าเป็นถั่วบางชนิดพอพูดได้ว่า มีโปรตีนสูง แต่ผลไม้ที่เป็นแหล่งของโปรตีนนั้น นึกไม่ออกเอาทีเดียว ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคควรหาความรู้ไว้ประจำตัวก็คือ สารอาหารที่ร่างกายต้องการมี 5 กลุ่มคือ แป้ง โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุและไวตามิน นั้นมีอยู่ในอาหารอะไร ซึ่งข้อมูลประเภทนี้หาได้ตามหนังสือเรียนชั้นมัธยมทั่วไป การออกมาบอกว่า ผลไม้ให้โปรตีนนั้นมันส่ออะไรบางอย่างที่ท่านผู้อ่านควรคิดได้เองว่าควรเชื่อเว็บสังคโลกนี้หรือไม่ อีกตัวอย่างของการนำเอาผลไม้มาผสมปนกันแล้วหมักได้เป็นน้ำ มหามนตรา (ชื่อสมมุติ) ซึ่งแนะนำให้ “ควรดื่ม มหามนตรา อย่างน้อย 30 นาทีก่อนทานอาหาร เพราะเมื่อกระเพาะไม่เต็มไปด้วยอาหาร มหามนตรา สามารถซึมเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ยิ่งตอนเช้าหลังจากตื่นนอน ให้ มหามนตรา เป็นสิ่งแรกที่ท่านดื่ม ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะควรดื่ม มหามนตรา หลังอาหาร หลังจากเปิดใช้แล้วให้รีบปิดฝาคืนเพื่อมิให้จุลินทรีย์ในอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำผลไม้ในขวด  และไม่ควรแช่ตู้เย็นเพราะจะทำให้จุลินทรีย์ดีๆ ที่จะเข้าไปช่วยท่านเข้าจำศีลและเมื่อท่านดื่มเข้าไปเขาจะใช้เวลาในตื่นกลับมา บางขวดอาจจะยังมีแรงดันอยู่บ้างเนื่องจากความตื่นตัวของจุลินทรีย์ที่ดีที่มีอยู่ใน มหามนตรา ขอท่านอย่าได้ตกใจ ถือได้ว่าเป็นเรื่องปรกติ” โดยมีเป้าหมายของลูกค้าคือ ผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพ อาทิ เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด โรคกระเพาะ เบาหวาน มะเร็ง เอดส์ ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจ พาร์กินสัน เป็นต้นโลหิตต่ำ โรคหัวใจ พาร์กินสัน เป็นต้นการโฆษณาแบบนี้ทำให้ท่านผู้บริโภคได้ดื่ม (น้ำผลไม้ปนเชื้อจุลินทรีย์อะไรก็ได้แบบไม่ระบุเจาะจง) ที่มีลักษณะเหมือนจะเป็นน้ำหมักชีวภาพที่มหาวิทยามหิดล ศาลายาได้ผลิตจากของเหลือพวกผักผลไม้ แล้วจ่ายแจกฟรีให้บุคลากรนำไปใช้เป็นปุ๋ยน้ำรดต้นไม้ เนื่องจากมันมีความคล้ายหรือใช่เลยว่าเป็น น้ำอีเอ็ม นั่นเอง ความพยายามของผู้ประกอบการในการขายสินค้าที่ตนเองก็ไม่รู้จักจริงว่ามันมีประโยชน์ตามที่คิดหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่เห็นได้จากโทรทัศน์ทั่วโลก ไม่ต่างกัน เพราะถ้าที่ไหนมีคนที่คิดว่าตนเองไม่แข็งแรง (ซึ่งก็อาจจริง) ณ ที่นั้นก็จะมีคนพยายามหยิบยื่น สิ่งที่อาจใช่หรือไม่ใช่ ขายให้ หลายครั้งในตอนเช้ามืดที่ผู้เขียนเห็นดาราออกมาให้ข้อมูลว่า ผู้บริโภคควรบริโภคน้ำผักเพื่อให้ได้เอนไซม์ที่ช่วยให้สุขภาพดี ผู้เขียนมักจะถามตัวเองว่า มันเป็นเอนไซม์ตัวไหนหว่าที่อยู่ในผักแล้วมนุษย์ต้องการ ในวิชาชีวเคมีที่ผู้เขียนเรียนจบมาจากจุฬาเมื่อสามสิบปีก่อนสอนว่า ส่วนใหญ่ของเอนไซม์ที่อยู่ในอาหารคนนั้นมักถูกทำลายด้วยความร้อน การปั่นผักนั้นแม้ไม่ใช่ความร้อน แต่แรงอัด กระแทก ปั่นของเครื่องมักทำให้เอนไซม์เสียคุณภาพ ดังนั้นเวลานักศึกษาที่เรียนเกี่ยวกับเอนไซม์ ไม่ว่าจากพืชหรือสัตว์ จะต้องเป็นคนสุภาพในการสกัดเอนไซม์ ไม่ลงมือลงไม้แบบรุนแรงเพราะเอนไซม์จะเสียสภาพใช้งานไม่ได้ ทำไมนักแสดงละครและภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่รับโฆษณาเครื่องปั่นน้ำผักผลไม้ จึงมักกล่าวสนับสนุนให้คนซื้อเครื่องที่โฆษณาไปผลิตเอนไซม์จากพืชกิน คำตอบน่าจะง่าย ๆ ว่า เขาไม่เคยเรียนชีวเคมีมา คนที่เขียนบทให้เขาพูดก็ไม่เคยเรียนมา เจ้าของบริษัทก็ไม่เคยเรียนมา คนประดิษฐ์อุปกรณ์นี้อาจเคยเรียนมาแต่สอบตกชีวเคมีแบบไม่เหลือความรู้เลย ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นอันตรายต่อกระเป๋าผู้บริโภค เพราะการซื้อเครื่องปั่นสักเครื่อง เพื่อใช้ทำน้ำผักน้ำผลไม้ดื่มนั้นเป็นการดี แต่ไม่ควรต้องจ่ายในราคาหลายพันบาทจนถึงหลายหมื่นบาทขึ้นไป เพียงเพราะหลงเชื่อดาราที่ไร้ความรู้มาบอกเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 128 วัคซีนสมอง (เข็มที่ 2) ความรู้พื้นฐานของชีวิต

  ถ้าต้องการปิ้งลูกชิ้น 1 ไม้ให้สุกพร้อมกันทั้งไม้ ควรใช้อุปกรณ์แบบใดและวางในลักษณะเช่นใด  1. ใช้ตัวสะท้อนพาราโบลารับแสงอาทิตย์ นำลูกชิ้นวางไว้ที่จุดโฟกัส2. ใช้แว่นขยายซึ่งเป็นเลนส์นูนทำหน้าที่รวมแสง และวางลูกชิ้นไว้ที่จุดโฟกัสของเลนส์ด้านตรงข้ามกับด้านที่แสงตกกระทบ3. ใช้แผ่นโค้งพาราโบลารับแสงอาทิตย์ และวางลูกชิ้นไว้ตามแนวจุดโฟกัส4. ใช้กล่องอบแห้งแสงอาทิตย์ และวางลูกชิ้นภายในกล่องอบแห้ง  ที่ท่านผู้อ่านเห็นนี้เป็น ข้อสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพ วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เวลา 15.00 -17.00 น ได้มาจาก http://www.unigang.com ซึ่งแสดงให้เห็นความพยายามของคนออกข้อสอบในการประยุกต์ความรู้เกี่ยวกับแสงอาทิตย์และพลังงานสู่ชีวิตประจำวันของผู้เรียน แต่ความพยายามนี้น่าจะไร้ประโยชน์เพราะคงไม่มีใครทำในชีวิตจริง ยิ่งถ้าไปถามเด็กที่ไม่ได้เรียนสายสามัญเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เด็กคงบอกว่า ไปเซเว่น ก็ได้คำตอบแล้ว  ผู้เขียนเคยคุยกับผู้เข้าฟังการบรรยายต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาหาร โภชนาการและสุขภาพ พบว่าความรู้ทางวิชาการที่ได้จากการไปโรงเรียนนั้น หลายอย่างไรไม่ได้ช่วยให้ประชาชนเอาตัวรอดจากการถูกหลอกลวงให้ซื้อสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพเลย เพราะเป็นความรู้ที่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานในด้านการ คิดเป็น ของสมอง แต่มักเป็นความรู้ตายที่จำไว้ใช้ตอบข้อสอบ เมื่อเวลาผ่านไปก็ลืม ดังนั้นเมื่อพบผู้ประกอบการขายสินค้าสุขภาพที่มีความสามารถพิเศษในการเสกสรรปั้นแต่งข้อมูล โอกาสที่ถูกหลอกของผู้บริโภคจึงเกิดขึ้น  ดังนั้นในฉลาดซื้อฉบับนี้เราจะมาพิจารณาดูว่า ทำไมคนเราถึงยอมถูกหลอกให้ซื้ออะไรต่อมิอะไรกิน ซึ่งดูเหมือนกับเพลง รู้ว่าเขาหลอก ของศิรินทรา นิยากร ที่บรรยายว่ามันเป็นเวรกรรมที่ต้องถูกหลอกทั้งที่ก็รู้   จุดอ่อนของผู้บริโภค การหลอกลวงนั้นมีทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่คนอเมริกันซึ่งน่าจะมีความรู้ดี แต่เมื่อมีปัญหาทางสุขภาพ หลายส่วนก็ยังหลงเชื่อกระบวนการรักษาที่บางครั้งดูไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์  ความรู้ทางวิทยาการการแพทย์ของมนุษย์ในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่ผู้ที่ทนทุกข์ทรมานต่อการเผชิญกับความเจ็บป่วยเรื้อรัง ความผิดปรกติของร่างกาย หรือแม้แต่ความตายที่กำลังมาเยือน ยังจำเป็นต้องหาอะไรก็ได้ ที่ให้ความหวังว่าจะพ้นจากทุกขเวทนาที่ประสบอยู่ สภาวการณ์ดังกล่าวนี้จึงเอื้อต่อการถูกเอาเปรียบในการถูกกล่อมให้ซื้อทั้งสินค้าและบริการสุขภาพจากนักขาย ซึ่งบางครั้งเป็นผู้ที่จบการศึกษาสูงแต่ไร้คุณธรรม โดยที่เหยื่อนั้นมักมีลักษณะต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบ ขาดความระแวงระไว อาการนี้เป็นโทษสมบัติหลักของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งมักเชื่อในข้อมูลที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ แม้แต่บนกระดาษที่พับเป็นถุงกล้วยแขก ยิ่งถ้าคนให้ข้อมูลเป็นดอกเตอร์ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นด๊อกจากไหน เชื่อได้หรือไม่ เพราะในอเมริกานั้นด๊อกห้องแถวมีเยอะมาก พวกนี้มักอ้างว่าตนเองมีประสบการณ์สูง ผู้เคราะห์ร้ายก็จะทึกทักเองว่าข้อมูลคงเป็นจริงดังโฆษณา ยิ่งถ้าเป็นการขายสินค้าหรือบริการที่รับประกันความรวดเร็ว สะดวกสบาย หายจากโรคง่าย ความเชื่อถือก็จะง่ายขึ้น ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จึงอาจถูกจำแนกได้ว่า มีปัญหาทางจิตโดยคิดว่าตนเองนั้นอ่อนแอทั้งปัญญาและร่างกาย ทำให้ต้องหาคนที่ฉลาดกว่ามาปกป้อง สื่อสาธารณะบางประเภทก็เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลหลอกลวง ปัญหานี้มักไม่มีใครยื่นมือเข้าไปจัดการ เพราะของชั่วร้ายหลายคนพยายามหลีกเลี่ยง แม้แต่คนที่มีหน้าที่ดูแลก็พยายามหลีก สื่อเหล่านี้มีทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์และออกอากาศด้วยกรรมวิธีต่างๆ โดยเฉพาะประเภทหนีไปอยู่บนดาวเทียมนั้น ร้อยละร้อยหารับประทานแบบหลอกลวงทั้งสิ้น โดยเมื่อได้เงินจากเหยื่อแล้วมักไม่สนใจรับผิดชอบต่อคำรับประกันว่าสินค้านั้นใช้ได้หรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าเราจะพึ่ง กสทช ที่เพิ่งได้มาหมาดๆ หรือไม่ เพราะคลื่นของสื่อหลายคลื่นเป็นคลื่นหลอกลวงประจำวันเชื่อในสิ่งมหัศจรรย์ ประเด็นนี้เป็นลักษณะทั่วไปของคนไทยที่มักกล่าวว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เห็นพืชหรือสัตว์หรือสิ่งของที่มีลักษณะประหลาดก็กราบไหว้บูชาได้ ดังนั้นพี่น้องชาวไทยหลายคนจึงง่ายต่อการที่จะถูกโน้มน้าวให้เชื่อในความมหัศจรรย์ของอะไรก็ตามที่อาจมีเศษทองคำเปลวติดอยู่ แล้วนำมาบูชาหรือแช่น้ำดื่ม หรือแม้แต่ซื้อหนังสือมาสวดคาถาภาษาประหลาดเพื่อปลุกเสกอะไรสักอย่างด้วยอาคมเพื่อหวังช่วยตนเอง  มั่นใจในตนเองสูง ลักษณะดังกล่าวนี้มีโอกาสได้ทั้งสองด้านในการถูกชักชวนให้ซื้อสินค้าไม่เข้าท่าคือ อาจซื้อทันทีหรือไม่ซื้อตลอดไป ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องมีศิลปะในการหลอกสูงมากที่จะขายสินค้าให้บุคคลประเภทนี้ ซึ่งถ้าขายได้ ก็จะขายได้กับคนอื่นได้ เนื่องจากลูกค้าลักษณะนี้จะทุ่มกายถวายหัวประชาสัมพันธ์สินค้าต่อในลักษณะ หมาจิ้งจอกหางด้วน ที่พยายามประโลมเล้าให้คนมีความคิดเหมือนตน ความสิ้นหวังในชีวิต ผู้เคราะห์ร้ายหลายคนประสบปัญหาโรคร้ายที่แม้แพทย์ก็บอกว่า เป็นอาการของโรคที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 10 ของการเจ็บป่วยที่รักษาหรือไม่รักษาก็หาย คือ คนไข้หายไปจากโลกนี้  เคยมีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งบรรยายทางวิทยุสถานีหนึ่งว่า โรคที่มนุษย์เป็นนั้นแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกมีจำนวนร้อยละ 80 ไม่ต้องรักษาก็หายได้เอง ส่วนกลุ่มที่สองนั้นเป็นร้อยละ 10 ที่หายเมื่อได้รักษา ส่วนกลุ่มที่สามคืออีกร้อยละ 10 รักษาอย่างไรก็ตาย ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนมาหยิบยื่นการบำบัดโรคที่เป็นความหวังว่าอาจหายได้ให้ ทุกคนในกลุ่มที่สามก็จะไขว่คว้า ซึ่งหลายครั้งก็อาจหายหรือยืดอายุได้  ผู้เขียนได้เคยเห็นตัวอย่างของคนไข้ป่วยเป็นเอดส์สองคนที่ทำงานที่เดียวกัน คนหนึ่งตายไปตามความเป็นไปของโรค ในขณะที่อีกคนขวนขวายหาอะไรต่อมิอะไรมากิน แล้ววันหนึ่งก็ดูดีขึ้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อว่า เอดส์รักษาให้หายไม่ได้ แต่อยู่กับมันอย่างมีหวังได้ ถ้าปฏิบัติตนถูก แต่จะมีสักกี่คนที่จะโชคดีอย่างนี้ เพราะส่วนมากจะถูกหลอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากโรคร้ายแรงแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่สิ้นหวังจากความแก่ ความที่ไม่สามารถหยุดยั้งความเหี่ยว กล่าวง่าย ๆ ว่าเอาชนะสังขารไม่ได้ ก็มักจะเป็นเหยื่ออันโอชาของผู้ขายโดยหวังว่าจะกลับมาเป็นหนุ่มสาวได้  รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า alienation ความรู้สึกนี้คนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศในเมืองที่ไม่มีคนไทยเลยคงเข้าใจดี เป็นความรู้สึกว่ามองไม่เห็นใครเป็นที่พึ่ง บุคคลที่รู้สึกเช่นนี้ จะต่อต้านการรักษาพยาบาลแบบแพทย์แผนปัจจุบันและมักชอบวิธีการทางธรรมชาติ ไม่ชอบการใช้ยาซึ่งเป็นสารเคมีเนื่องจากมีความรู้บ้างว่า สารเคมีนั้นมักมีความเป็นพิษเมื่อใช้ในปริมาณสูง ในขณะที่สารธรรมชาติซึ่งมักอยู่ในรูปของสมุนไพร(ไม่ใช่สารบริสุทธิ์) กว่าจะแสดงความเป็นพิษนั้นจะต้องใช้ปริมาณสูงมากๆ จนเป็นไปไม่ได้ที่จะรับสารนั้นเข้าร่างกาย ลักษณะที่เด่นชัดของเหยื่อเหล่านี้คือ มีความไม่เชื่อถืออย่างรุนแรงต่อผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข อุตสาหกรรมอาหาร บริษัทยา และหน่วยงานรัฐ ซึ่งอาจเนื่องมาจากระบบการทำงานของบุคลากรของรัฐเป็นแบบพิธีรีตองมากจนน่าเบื่อ ดังนั้นหลายครั้งที่คนกลุ่มนี้จะเป็นเหยื่อของการแพทย์นอกระบบ ซึ่งมักอยู่ในที่ห่างไกลจากตัวเมือง คนไข้เข้าถึงได้เร็ว ไม่ต้องใช้เวชระเบียนให้เบื่อหน่าย  จากตัวอย่างลักษณะของผู้ที่มีอาการภูมิต้านทานสมองบกพร่องนี้จะเห็นว่า การที่จะทำให้คนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้านั้น คงต้องทำการกำจัดลักษณะดังกล่าวด้วยการวางพื้นฐานการศึกษาให้มีการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของสมองในการรับรู้ข้อมูลว่า ข้อมูลด้านสุขภาพที่ได้รับนั้นเป็นข้อมูลถูกหรือผิดเสียก่อน เพื่อให้การบริโภคสินค้าหรือบริการด้านสุขภาพนั้นเป็นไปในทางที่ไม่มีการหลอกลวง  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 127 วัคซีนสมอง (เข็มที่ 1) โฆษณามหาหลอก

  ผู้เขียนเคยได้ดูรายการโทรทัศน์ที่มีวิทยากรออกมาให้คำจำกัดความของ โฆษณา ว่า เป็นการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค โดยการให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การโฆษณานั้นจะมีเป้าหมายที่แน่นอนว่า ผู้รับข้อมูลเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้แย้มฝาโลง เป็นต้น  เป้าหมายของการโฆษณาในแต่ละวัยนั้นจำแนกย่อยได้อีกเช่น วัยรุ่นไร้สมอง(พวกไร้สิ่งยึดเกาะทางจิตใจ ต้องหาไอดอลไว้สักการะ) วัยรุ่นขี้เกียจเรียน(ประเภทอยากเอ็นติดมหาวิทยาลัยดีๆ แต่ขี้เกียจเรียนเลยต้องกินสินค้าที่เข้าใจว่าเพิ่มความคิดให้สมอง) เป็นต้น สำหรับวัยใกล้แย้มฝาโลงก็คงต้องแบ่งเป็นหญิงและชาย เช่น ขายสินค้ากันหน้าเหี่ยว อกย้อย ไร้สมรรถนะความเป็นชาย เป็นต้น  นอกจากนี้การโฆษณายังรวมทั้งการสื่อในวัตถุประสงค์ที่ทำให้องค์กรดูมีคุณค่าเช่น บางองค์กรหารับประทานแบบผูกขาดการทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งอากาศและน้ำ แต่ออกมาปลูกป่าบ้างเป็นครั้งคราว  เขาทำโฆษณากันอย่างไร  ในการทำโฆษณานั้น ผู้ที่คิดโฆษณาจะคิดตัวโฆษณาโดยอาศัยความเชื่อของผู้บริโภค และมาตรฐานการกำกับดูแลเรื่องโฆษณาในแต่ละประเทศเป็นพื้นฐานสำคัญ แต่ที่เป็นลักษณะร่วมของการโฆษณาคือ การให้ข้อมูลเฉพาะด้านดีของสินค้าเท่านั้น ส่วนที่เป็นปัญหาเนื่องจากสินค้าจะมีการเม้มริมฝีปากไว้ไม่ให้มันหลุดรอดออกมาให้ผู้บริโภคได้ยิน โดยหมายว่าให้ผู้บริโภคไปมีประสบการณ์ตรงเอาเอง เหมือนเป็นการสนองตอบนโยบายของหลายโรงเรียนที่พยายามให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่เด็กๆ เรียกว่า ควายเซนเตอร์ การโฆษณานั้นไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ วิทยุ แผ่นพับ เศษกระดาษปลิว หรืออื่น ๆ อาจแบ่งแบบง่าย ๆ โง่ ๆ ได้เป็น การโฆษณาตรงๆ ชนิดจะขายอะไรก็บอกเลยจะขาย ขอให้ผู้บริโภคเชื่อแล้วมาซื้อเถอะไม่ผิดหวังได้เสียเงินแน่ แต่ไอ้ที่จะได้รับการตอบแทนแบบที่ต้องการนั้นคนทำโฆษณาไม่รู้ด้วย เพราะคนทำโฆษณาไม่ได้เป็นคนทำสินค้า การโฆษณาแบบนี้บางครั้งก็ไม่ได้เป็นการหลอกลวงอะไรเช่น การโฆษณายาถ่ายพยาธิ ซึ่งต่างกับการโฆษณาขายขยะที่ถูกทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มที่มักอวดอ้างสรรพคุณเกินเลยความจริง  แบบที่สองเป็นการโฆษณาแบบประชาสัมพันธ์ เป็นการทำเพื่อให้คนสามารถจดจำชื่อบริษัทได้ว่ายังมี brand นี้อยู่ในโลกนะ เพราะสินค้าของบริษัทนั้นได้ติดตลาดแล้ว ไม่ต้องโฆษณาก็น่าจะอยู่ได้ แต่ไม่ไว้ใจเสียทีเดียว เนื่องจากลูกค้าขาประจำนั้นก็แก่ไปตามวันเวลา ลูกของลูกค้าอาจไม่รู้จักสินค้าหรืออาจบอกว่า เนื่องจากเป็นสินค้าที่พ่อแม่ใช้ มันเลยต้องเชยระเบิด เพราะพ่อแม่อยู่ในยุค baby boom แต่ลูกมันเป็นพวก generation XYZ ขืนใช้สินค้า brand เดียวกันกับพ่อแม่เพื่อนล้อตาย ดังนั้นบริษัทจึงต้องหาทางดึงพวกลูกทรราชเหล่านี้ให้กลับไปมี brand royalty เหมือนพ่อแม่ ด้วยวิธีการต่างๆ แม้กระทั่งการหลอกลวง ประเภทที่สาม การโฆษณาแบบดูฉลาดแฝงความโง่ ซึ่งมักเห็นตามละครซิทคอม(ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ซิทคอมที่แท้จริง เนื่องจากเป็นการเปิดเทปเสียงคนหัวเราะ ปรบมือ ถ้าเป็นซิทคอมจริงต้องมีการหมุนกล้องไปให้เห็นว่า มีคนนอกกองถ่ายเข้าไปนั่งดูแล้วเอ็นจอยไปด้วย) คนทำโฆษณามักคิดว่าต้องทำแบบนี้เพราะคนไม่ชอบดูโฆษณาตรง ต้องหาวิธีแฝงเช่น เอาถ้วยกาแฟที่มียี่ห้อไปวางบนโต๊ะอ่านข่าว เอาป้ายโฆษณาสินค้าไปแปะที่หลังคาตึกแถวเวลาถ่ายช็อตอินเสิร์ตก่อนเข้าฉากจริง เหล่านี้แสดงความขี้เท่อของการโฆษณาออกมาโดยแท้  มีประเด็นหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือ ไม่มีการกำหนดให้การโฆษณาสินค้าต้องบอกราคากลางของสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้เป็นเครื่องตัดสินใจในการซื้อสินค้านั้น ดังนั้นสินค้าที่มาจาก lot เดียวกัน จึงอาจมีราคาที่ต่างกันเมื่อซื้อต่างแหล่งขาย ยกเว้นกรณีของน้ำมันที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ ซึ่งรัฐคุมราคาไว้ให้ใกล้กัน เพราะบางทีคนละยี่ห้อก็มาจากโรงกลั่นเดียวกัน ไม่ต้องโฆษณาหลอกให้มากนักผู้บริโภคก็ตัดสินใจซื้อ โดยความรู้สึกว่า เป็นบริษัทของคนไทยหรือต่างด้าว ซึ่งคล้ายๆ เป็นการวัดใจในความรักชาติไปกลายๆ  ลักษณะโฆษณาเอาเปรียบผู้บริโภค โฆษณาที่เอาเปรียบผู้บริโภคนั้นมีมากมาย เช่น กรณีบริการอินเตอร์เน็ตบอกว่าเร็วถึง 6.0 Mb นั้น เมื่อมีผู้นำไปทดสอบจริงในบริเวณที่เป็นแหล่งที่ควรจะมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเร็ว เช่น สยามสแควร์นั้นกลับพบว่ามีความเร็วจริงแค่ 0.1 Mb บริษัทจะตอบโต้ทันทีว่า เพราะมีคนบ้าเน็ตอยู่แถวนั้นเยอะ อยากให้เร็วจริงก็ต้องไปเล่นแถวบางกระเจ้าสมุทรปราการหรือบางระมาดใกล้พุทธมณฑลสิ จะได้เร็วตามที่โฆษณาไว้  บางครั้งก็มีการโฆษณาสินค้าแบบปิดๆ เปิดๆ เช่น นำคนที่ไม่ใช่ทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจริงๆ มายืนหันหลังแนะนำผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน โดยบอกในโฆษณาว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญที่โดยจรรยาบรรณแล้วให้เห็นหน้าไม่ได้ ลักษณะนี้เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า รัฐไม่ได้ดูแลหรือไม่อยากดูแลในเรื่องนี้ ปล่อยให้คนออกมาโกหกได้ในที่สาธารณะ  ความจริงแล้วในประเด็นการโกหกผ่านสื่อนั้นน่าจะมีการควบคุมอย่างจริงจัง เช่น ถ้าพรีเซนเตอร์บอกว่าดื่มสินค้านี้เป็นประจำทุกวันในโฆษณา พร้อมทำท่าเปิดตู้เย็นที่มีแต่เครื่องดื่มที่โฆษณา ทั้งที่ในสถานการณ์จริงแล้วรากแตกออกมาทุกครั้งที่ลองดื่ม ก็น่าจะมีกฎหมายสักข้อที่จะลงโทษฐานหลอกลวง หรืออย่างน้อยองค์กรทางศาสนาน่าจะออกมาประณามว่าเป็นคนผิดศีลข้อ 4  ในเรื่องการผิดศีลข้อ 4 นี้ผู้เขียนได้ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งชื่อ ทีวีธรรมดา ซึ่งออกอากาศทางไทยพีบีเอสแต่ต้องไปดูย้อนหลังใน youtube เพราะในเว็บของไทยพีบีเอสผู้เขียนหาไม่พบ เป็นตอนชื่อ คนหลอกคน ซึ่งมีดาราที่น่าสนใจมาออกรายการและได้เปิดประเด็นว่า การผิดศีลข้อ 4 นั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เพราะมันเป็นการไปก่อให้เกิดการผิดศีลข้ออื่นได้อีก ผู้เขียนลองนั่งหาตัวอย่างเอง(เพราะผู้ร่วมรายการมีเวลาน้อยที่จะยกตัวอย่าง) ก็นึกได้ว่า ตัวแทนขายรถ(ไม่ว่ายี่ห้อใด) ถ้ามีศีลข้อ 4 ควรจะบอกลูกค้าว่า รถของบริษัทนั้นมันก็ดีอยู่ถ้าไม่ขับเร็วเกินไป เช่น ถ้าเหยียบเกิน 150 กม ต่อชั่วโมงแล้ว โอกาสไปเกิดใหม่(ซึ่งอาจไม่ได้เป็นคน) จะสูงมาก ดังนั้นถ้ายังอยากเป็นคนอยู่ควรขับไม่เกิน 100 กม ต่อชั่วโมง ซึ่งก็มีสิทธิได้ใบสั่งจากตำรวจแล้ว อีกตัวอย่างคือ การโฆษณาขายเครื่องดื่มที่มีแทนนินสูง เช่น ชา นั้น น่าจะบอกผู้บริโภคว่า กินมากอาจอึแข็งได้ ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ไปอาจกลายเป็นริดสีดวงทวาร หรือถ้าไม่มีอาการอึแข็งก็หมายความว่าสินค้านั้นเป็นน้ำล้างถุงชา เพราะเขารู้กันมาตั้งแต่พระเจ้าจิ๋นซีฮ๋องเต้ยังไม่ตายว่า การดื่มชาแก่ๆ ทำให้อาการถ่ายท้องหยุดชะงัดนัก และถึงชานั้นชงไม่แก่ก็ทำให้ถ่ายลำบากบ้างพอควรในหลายคน ผู้ใหญ่สมัยก่อนจึงห้ามเด็กดื่มน้ำชากาแฟเนื่องจากมันทำให้สุขภาพไม่ดีเพราะท้องผูก และนอนไม่หลับ  อย่างไรก็ดีโฆษณาที่ดูถูกปัญญาของผู้บริโภคนั้นได้มีการถูกตอบโต้บ้างเหมือนกัน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปพบการพิสูจน์ของผู้บริโภคที่ลุกขึ้นมาบอกว่า โฆษณานั้นไม่เป็นความจริงเลย โดยมีผู้บริโภคสตรีลุกขึ้นมาบอกในเว็บ http://www.sudtua.com/index.php?topic=5423.0;wap2 ว่า ผ้าอนามัยที่มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายยี่ห้อ และบ้างก็พัฒนาไปถึงขนาดมีกลิ่นชาเขียว  นั้น คุณเธอกล่าวว่าได้ลองมาหมดแล้ว ทั้งแบบไม่มีปีก มีปีก แบบยาวจนถึง 35 เซนติเมตร รวมถึงบางยี่ห้อที่บอกว่ามีเส้นใยพิเศษเหมือนมีชั้นล็อคสามชั้นกันการซึมเปื้อนไม่หวั่นแม้วันมามาก ปรากฏว่าไม่ว่าจะมีปีกหรือไม่มีปีกนั้นมันช่างหลุดง่ายหลุดดายเสียจริงๆ บางทีแปะเสร็จแล้วชั่วเดินออกจากห้องน้ำ ปีกก็หลุด หรือแบบที่พรีเซนเตอร์ใส่แล้วตื่นนอนมาบอกว่าแห้งสนิทศิษย์ส่ายหน้านั้น จริงๆ แล้วตรงกันข้าม เป็นต้น   ดังนั้นจะเห็นว่า ตราบใดที่รัฐ โดยเฉพาะสภาที่เราเลือกคนเข้าไปทำหน้าที่ออกกฎหมาย ยังไร้ความสำนึกในการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องการโฆษณาแล้ว รีโมทโทรทัศน์แบบขายถูกตามตลาดนัด ย่อมขายดีแน่เพราะตัวที่มากับโทรทัศน์นั้นถูกกดเปลี่ยนหนีโฆษณาที่คิดว่าผู้บริโภคโง่พังไปก่อนอายุอันควรนั่นเอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ฟังก์ชั่นนอลฟู้ด อาหารเพื่อสุขภาพ ??

  มนุษย์มิได้กินอาหารเพียงเพื่อตอบสนองต่อความหิวเท่านั้น แต่เป็นการกินเพื่อตอบสนองต่อความอยากและความชอบ นอกจากนี้อาจมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ฐานะ เงินทอง และโอกาสฉลองต่างๆ มนุษย์ก็จะเพิ่มความวิลิศมาหราในการกินขึ้นไปจากเดิม จนหลายครั้งผู้เขียนก็ยังสงสัยว่า สิ่งที่คนหลายคนกินนั้นมันเกิดเนื่องจากเหตุผลอะไร และมีความสมควรที่จะกินหรือไม่   ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า Functional food ที่มีคนไทยแปลแบบทับศัพท์ว่า อาหารฟังก์ชั่น (ฟังดูแล้วเดิ้ลแต่ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ) มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นกล่าวว่า คำนี้เต็ม ๆ คือ physiologically functional food ซึ่งความหมายนั้นน่าจะหมายถึง “อาหารที่มีผลดีต่ออวัยวะภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่งส่งผลให้สุขภาพมนุษย์ดีเหมือนอย่างที่ควรเป็นได้” จึงน่าจะเรียกง่ายๆ ว่า อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ทำให้สุขภาพผู้บริโภค ดีเหมือนคนปรกติหรือป้องกันไม่ให้มีความผิดปรกติเกิดขึ้น แก่ระบบสรีรวิทยาของร่างกายผู้บริโภค  ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับคำนิยามของอาหารเพื่อสุขภาพที่นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เป็นอาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายเหนือไปจากการกินสารอาหารพื้นฐาน (ซึ่งตรงกับคำว่า nutrient) ที่ร่างกายต้องการ  ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถกินสารอาหารพื้นฐาน ซึ่งได้แก่ แป้ง โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน โดยปราศจากสารที่ไม่ได้เป็นสารอาหารพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ(ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า anutrient เช่น พฤกษเคมี หรือ phytochemical)  ตัวอย่างเช่น ในการกินข้าวเหนียวดำ เราได้แป้งซึ่งเป็น nutrient แน่นอน แต่ก็ยังได้ แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็น anutrient อย่างเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรเลี่ยง  ดังนั้นถ้าพยายามลองใช้คำจำกัดความของผู้ที่พยายามทำให้อาหารเพื่อสุขภาพดูวิเศษกว่าที่ควรเป็น มาอธิบายความหมายของ ข้าวเหนียวดำมูน (กะทิ) ถั่วแดงต้มน้ำตาล และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหารธรรมดาที่เรากินทุกวัน เราก็น่าจะประมวลได้ว่าอาหารเหล่านี้ต่างเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่เกิดตามธรรมชาติ ในขณะที่อาหารเพื่อสุขภาพที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้น เป็นการดัดแปลงเอาอาหารที่มีประโยชน์อย่างเดียวมาเติมสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมักสกัดมาจากแหล่งอาหารธรรมชาติอื่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดูดีขึ้น เช่น กรณีทำให้ขนมจีนสีขาวซึ่งมีแต่แป้งกลายเป็นขนมจีนสีดอกอัญชัญ ซึ่งเมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์แล้วได้ผลดี ขนมจีนสีดอกอัญชัน(รวมทั้งสีอื่นที่ได้จากธรรมชาติ) ก็น่าจะเป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการก่อกลายพันธุ์ และจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งได้  จะเห็นว่าอาหารเพื่อสุขภาพนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเรานัก เพียงแต่ขอให้มีปัญญาในการประดิษฐ์อาหารให้แปลกออกไปจนเป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ถ้ารู้ว่าอาหารจานใดขาดสารที่มีประโยชน์กลุ่มใดก็หามาเติมให้ครบ แต่ถ้าครบอยู่แล้วก็ควรได้แค่นั้น ไม่ควรเติมจนได้เกินนักเพราะอะไรที่กินเกินไปมักก่อโทษแก่ร่างกายได้   ฟังก์ชั่นนอลฟู้ดกับการจัดการสไตล์ญี่ปุ่น ในประเทศญี่ปุ่นมีคำว่า FOSHU (Foods for Specified Health Use) และอาจมีคำอื่นอีกเช่น Designed food และ Nutraceutical food ซึ่งน่าจะหมายถึงอาหารเพื่อสุขภาพเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ถ้าหวังจะให้คนท้องได้สารอาหารไปเพิ่มให้เด็กในท้องมีสุขภาพปรกติ ต้องผลิตอาหารที่มีแคลเซียมสูง เหล็กสูง โฟลิกสูง และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับคนท้องที่ไม่ค่อยมีโอกาส(อาจรวมถึงปัญญา) กินอาหารลักษณะนี้เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนในครรภ์เจริญเติบโตเต็มที่  ส่วนคนที่ขับถ่ายไม่สะดวก ก็ควรได้กินอาหารที่มีการประดิษฐ์ให้มีกากใยอาหารสูงและมีเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะ ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยทำให้ขับถ่ายดีผสมกัน พร้อมมีลักษณะสัมผัสที่คนทั่วไปชอบ ในขณะที่นักกีฬาซึ่งเสียเหงื่อมากระหว่างการออกกำลังกาย ต้องการการชดเชยของเกลือแร่ ก็มีการประดิษฐ์เครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อช่วยให้ไม่เป็นตะคริว และผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่แข็งแรง ต้องกินอาหารที่ประดิษฐ์ให้มีเกลือต่ำ เป็นต้น  ดังที่ได้เกริ่นในตอนต้นแล้วว่าในประเทศไทยนั้น คำจำกัดความจริงๆ ของอาหารเพื่อสุขภาพยังไม่มีเป็นทางการ ดังนั้นการคุ้มครองผู้บริโภคจึงไม่เป็นทางการด้วย เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักขึ้นทะเบียนเป็นอาหารทั่วไป แล้วไปโฆษณาเต็มที่เวลาขายตรง(ใครจะไปตามจับทัน หน่วยงานขาดบุคลากร งบประมาณและเครื่องมือ นี่คือคำอธิบายที่ได้รับเวลาถามหน่วยงานที่ควรเป็นผู้ดูแลว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาขายพร้อมโฆษณาเกินจริงได้อย่างไร) ผู้เขียนจึงขอนำหลักการดูแลอาหารประเภทนี้แบบคร่าว ๆ จากญี่ปุ่น (www.cspinet.org) มาเล่าให้ฟัง  การขออนุญาตให้อาหารที่เรียกว่า FOSHU ได้มีการขายแบบถูกต้องนั้น ต้องมีหลักการที่ทำให้ผู้บริโภครู้ว่า กำลังกินอะไรอยู่ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นขออนุญาตจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการขายผลิตภัณฑ์ โดยต้องยื่นข้อมูลประกอบด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า อาหารดังกล่าวนั้นมีผลจริงจากการทดลองโดยนักวิชาการจริงๆ เพื่อให้รู้ว่าอาหารที่ขอขึ้นทะเบียนขายนั้นมีประโยชน์ตามการอ้างในโฆษณาหรือไม่ นอกจากนี้ต้องมีการแสดงข้อมูลความปลอดภัยของอาหารนั้นๆ ตลอดจนมีวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบอาหาร ซึ่งต้องอยู่ในลักษณะของบทความทางวิทยาศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์เป็นสากล ไม่ใช้เอาบทความที่เขียนเองอ่านเองโดยผู้ผลิตอาหารมาอ้าง ส่วนฉลากของอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ต้องมีการแสดงข้อมูลที่ไม่ทำให้ผู้บริโภคฉลาดน้อยกว่าเดิม และหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจสอบและให้เครื่องหมายเฉพาะที่หมายความว่า ผ่านการตรวจสอบอย่างดีแล้ว ซึ่งก็ควรหมายความต่อว่า ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นเนื่องจากฉลาก ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบควรได้รับผลของความเลินเล่อให้ฉลากมั่วออกไปสู่ตาผู้บริโภคแบบเต็มๆ   จ่ายแพงไปทำไม สรุปแล้วอาหารที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ต้องมีสภาพทางกายภาพเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่แท้จริงคือ ไม่อยู่ในรูปแคปซูล หรือเป็นผงเหมือนยา และเป็นอาหารที่ได้หรือดัดแปลงจากวัตถุดิบตามธรรมชาติ มนุษย์ธรรมดาสามารถบริโภคเป็นอาหารได้เป็นประจำไม่มีข้อจำกัดเหมือนยา และมีส่วนประกอบที่ให้ผลโดยตรงในการส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ปรกติและป้องกันโรคต่างๆ ได้ โดยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพโดยผู้ชำนาญการเฉพาะ  สำหรับท่านผู้อ่านที่มีฝีมือในการปรุงอาหารอยู่แล้ว ความจำเป็นต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเพื่อสุขภาพนั้นควรจะหมดไป เพราะท่านสามารถดัดแปลงอาหารทั่วไปที่บริโภคในแต่ละมื้อให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้ เช่น กรณีของส้มตำ ถ้ามีความสะอาดดีพอก็จะเป็นอาหารที่เพิ่มกากใย ให้สารต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงโรคหลายโรคได้ สำหรับนมไขมันต่ำก็น่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนที่มีไขมันในเลือดสูงและ/หรือสำหรับคนต้องการแคลเซียมสูง ในกรณีที่ต้องการควบคุมความดันโลหิตสูง ก็ทำได้โดยกินอาหารมีเกลือต่ำ เช่น อาจผัดผักโดยไม่ใส่เกลือหรือน้ำปลาหรือใช้น้ำปลามีโซเดียมต่ำ เป็นต้น  ดังนี้แล้วเราก็จะประหยัดเงิน ไม่ต้องไปซื้ออาหารอะไรก็ไม่รู้ ที่มีใครก็ไม่รู้ มาบอกอะไรก็ไม่รู้ กินให้ไม่รู้อะไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 รวมเด็ดสะเก็ดข่าวอาหารและโภชนาการ ตอน 2

  ในฉบับนี้ผู้เขียนขอเล่าถึงคำถามที่มักต้องตอบเพื่อไขข้อข้องใจของผู้สนใจต่อจากที่ค้างในฉบับที่แล้วอีก 5 ประเด็น   กลูตาไทโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่  คำตอบคือถ้ากลูตาไทโอนปรากฏอยู่ในเลือดในระดับสูงกว่าปรกติมากๆ โอกาสที่ผู้นั้นจะมีผิวขาวกว่าเดิมก็มี แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ความเข้มข้นของกลูตาไทโอนในเลือดสูงขึ้นมาได้  ผู้ค้าสินค้าที่ผสมกลูตาไทโอน ไม่ว่ากินหรือทา ต่างก็นั่งยัน นอนยัน ว่าสินค้านั้นได้ผลทั้งสิ้น คือ ขาวแน่ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน มักบอกแต่ว่าลูกค้าบอกว่าขาวจริง ซึ่งอาจเป็นด้วยอุปทาน หรือกลัวเสียค่าโง่ที่ซื้อของไปแล้วไม่ได้ตามต้องการ เลยแกล้งบอกว่าได้ผล เพื่อให้มีคนโดนหลอกเหมือนตนเองบ้าง ทั้งนี้เพราะกลูตาไทโอนนั้น องค์ประกอบทางเคมีเป็นกรดอะมิโนสามชนิด คือ กลูตามิก ซิสเตอีนและกลัยซีน ต่อกันเป็นสายสั้นนิดเดียว(ไตรเป็บไตด์) เมื่อลงสู่ลำไส้เล็กของมนุษย์หลังการกลืนแล้ว ผู้เขียนยังหาหลักฐานยืนยันจากบทความที่เป็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่า มีการเพิ่มขึ้นของกลูตาไทโอนในเลือดแต่อย่างใด ผู้เขียนเข้าใจว่า กลูตาไทโอนนั้นถูกย่อยออกเป็นกรดอะมิโนทั้งสามชนิด ก่อนถูกดูดซึมเข้าเลือดไปตับ หลังจากนั้นการจะสร้างหรือไม่สร้างกลูตาไทโอนจากกรดอะมิโนทั้งสามนั้นเป็นไปตามบุญตามกรรม ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้กลูตาไทโอนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือ การฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงอันตรายต่อการเสียชีวิต ถ้าเป็นการฉีดจากผู้ไม่ชำนาญหรือปริมาณที่สูงเกินไปจนร่างกายรับไม่ได้ ดังนั้นโดยสรุปแล้ว ไม่ควรแลกความขาวของผิวกับความเสี่ยงที่ไม่ได้อยู่ดูโลกแตกในปี 2012 เลย ที่สำคัญถ้าผิวขาวขึ้นจริง ท่านก็จะต้องเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังสูงขึ้นเป็นรางวัลแด่คนช่างฝัน   การกินคลอลาเจนแล้วผิวจะเต่งตึงขึ้นหรือไม่  คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าอายุท่านแก่มากแค่ไหน ถ้ายังแค่ห่ามๆ เซลล์ร่างกายพอมีความสามารถในการสร้างคลอลาเจนได้จากกรดอะมิโนพิเศษคือ ไฮดรอกซีโพรลีนและไฮดรอกซีไลซีน(ซึ่งถูกย่อยออกจากคอลลาเจนที่กินเข้าไป) ผลที่มองเห็นว่ามีความเต่งตึงก็คงพอมี แต่คงไม่ต่างจากการกินโปรตีนทั่วไปสักเท่าไร ทั้งนี้เพราะกรดอะมิโนพิเศษที่ใช้ในการสร้างคลอลาเจนนั้นร่างกายมนุษย์เราผลิตได้เองจากกรดอะมิโนธรรมดาคือ โพรลีนและไลซีน ในร่างกายเราโดยอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยสำคัญ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่ผู้ซึ่งนิยมบริโภคผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงจะมีผิวสวยในราคาต้นทุนที่ถูกกว่า  แต่ถ้าท่านอยู่ในวัยที่สุกงอมคาต้นแล้ว กินอย่างไรก็ไร้ค่า วิธีเดียวคือ เสี่ยงตายฉีดคลอลาเจนเข้าใต้ผิวหนังส่วนที่ต้องการให้ตึง แล้วก็นั่งนับวันที่มันจะมีอาการบวมติดเชื้อตามมาได้เลย ถ้าคนฉีดไม่มีความสามารถจริง  *************** กินข้าวกล้องงอกแล้วดีหรือไม่ คำตอบคือ ดีแน่ เพราะข้าวกล้องโดยธรรมชาติแล้วอุดมไปด้วยวิตามินบีต่างๆ วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของใยอาหารที่ช่วยการขับถ่ายให้สะดวกด้วย นอกจากนี้เมื่อข้าวกล้องถูกนำมาทำเป็นข้าวกล้องงอก สิ่งที่ตามมาคือ การเป็นแหล่งของสารกาบา (gamma-aminobutyric acid) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีคือ ได้ทั้งสารที่มีประโยชน์จากการเป็นข้าวกล้อง และสารกาบาซึ่งเชื่อว่าช่วยให้เกิดการผ่อนคลายของสมอง แต่........  เมื่อเข้าค้นหาข้อมูลว่า การกินอาหารที่มีกาบาแล้วมีผลต่อการทำงานของสมองหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า อาหารที่มีกาบาสูงช่วยให้สมองมีการผ่อนคลาย ตัวอย่างเช่นข้อมูลจาก Wikipedia กล่าวว่า “GABA does not penetrate the blood-brain barrier; it is synthesized in the brain. It is synthesized from glutamate using the enzyme L-glutamic acid decarboxylase and pyridoxal phosphate (which is the active form of vitamin B6) as a cofactor via a metabolic pathway called the GABA shunt. This process converts glutamate, the principal excitatory neurotransmitter, into the principal inhibitory neurotransmitter (GABA)” นั่นก็คือ กินกาบาเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไม่เข้าสมอง เพราะไม่สามารถผ่านกำแพงสำคัญคือ blood-brain barrier ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ป้องกันสมองจากสารอันตรายต่างๆ และที่สำคัญกาบาที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายนั้นเป็นกาบาที่สมองสร้างขึ้นเองจากสารกลูตาเมต โดยสรุป ณ เวลานี้ กินข้าวกล้องงอกได้กาบา แต่ดูจะไม่มีประโยชน์ในด้านทำให้หลับสบายเพราะเข้าไปไม่ถึงสมองนั่นเอง  ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่หวังว่ากินข้าวกล้องงอกแล้วจะได้ประโยชน์จากสารกาบา  ให้ลูกกินน้ำมันปลาดีไหมจะได้ฉลาด  คำตอบน่าจะต้องเข้าใจพื้นฐานของคำว่า ฉลาด ก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร  ใน Cambridge Advanced Leraners’s Dictionary ให้ความหมายของคำว่า clever หรือ ฉลาดว่า having or showing the ability to learn and understand things quickly and easily ดังนั้นคนฉลาดจึงน่าจะหมายถึงคนที่เข้าใจอะไรได้เร็วหรือเรียนอะไรได้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งอาจเนื่องจากสมองมีระบบประสาทที่มีใยประสาทเชื่อมต่อกันอย่างดี สามารถประมวลผลความรู้ก่อให้เกิดเป็นปัญญาเร็วกว่าคนอื่น  นักวิจัยด้านการพัฒนาการทำงานของสมองกล่าวว่า ช่วงสามปีแรกของเด็กจะเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาสมอง ซึ่งขึ้นกับสภาวะโภชนาการที่ดี มีสารอาหารครบ อย่างไรก็ดียังไม่มีการระบุว่า สารอาหารอะไรที่มีความวิเศษที่จะเสกให้เด็กมีปัญญาเลิศเกินคนอื่น เพราะส่วนใหญ่เด็กที่จัดว่าฉลาดเช่น เข้าเรียนแพทย์โดยไม่ต้องกวดวิชา มักอยู่ในสังคมระดับที่พ่อแม่มีอันจะกิน ซื้อหาความรู้มาประดับสมองเด็กได้ ในขณะที่เด็กซึ่งอาจดูฉลาดแต่อยู่ในสภาวะแวดล้อมเลวร้ายเช่น ชุมโจร ก็อาจฉลาดได้สุด ๆ ในด้านการก่อความเลวร้ายได้  ผู้เขียนเคยฟังการบรรยายของแพทย์ท่านหนึ่งแล้วประมวลได้ว่า ในกรณีของน้ำมันปลาซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 นั้นช่วยให้เด็กมีระบบเส้นใยประสาทสมองเชื่อมกันได้ดี ถ้าแม่กินตั้งแต่เด็กยังไม่เกิด โดยแนะนำให้กินในรูปอาหารมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเมื่อเด็กออกมาจากท้องแม่แล้ว ความฉลาดจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเด็กที่ฉลาดนั้นมักจะขยันด้วยแล้วจึงได้ดี ในขณะที่เด็กบางคนท่าดีว่าจะฉลาดแต่เมื่อไม่ขยันในการเรียน ก็มักไม่ได้ดี อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว นอกจากจะพยายามส่งเสริมให้ลูกหลานฉลาดแล้ว ต้องปรับแต่งให้เด็กเป็นคนดีด้วย รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่หวังเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยทำผิดทำนองคลองธรรม เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ดังมีตัวอย่างที่ปรากฏแล้วหลายตัวอย่าง ****************************** การดื่มน้ำชาและกาแฟเป็นประโยชน์หรือโทษแก่ร่างกาย คำตอบคือ เป็นทั้งประโยชน์ถ้าดื่มเป็นและโทษถ้าดื่มไม่เป็น โดยก่อนอื่นท่านผู้อ่านต้องเข้าใจว่า เราดื่มน้ำชาและกาแฟด้วยวัตถุประสงค์อะไร  เครื่องดื่มทั้งสองชนิดว่าไปแล้วเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้การเข้าสังคมเป็นไปได้อย่างราบรื่น ดีกว่าการดื่มเหล้าและเบียร์แบบฟ้ากับเหว เพราะน้ำชาและกาแฟนั้นจะช่วยให้ผู้ดื่มสดชื่นจากแคฟเฟอีน อีกทั้งแคฟเฟอีนก็ช่วยในการกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่ประเด็นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ที่ช่วยการเรียกน้ำย่อย อย่างไรก็ดีการดื่มน้ำชาและกาแฟไม่ทำให้ไร้สติสัมปชัญญะ ต่างจากเหล้าและเบียร์ อีกทั้งน้ำชาและกาแฟชงสดๆ (แต่ไม่ร้อนเกินไป) จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านมะเร็งอยู่ด้วย ดังนั้นการดื่มน้ำชาและกาแฟไม่เกินวันละสามครั้งหลังอาหาร ก็ควรจะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพ แต่ถ้ามากไปและไม่เป็นเวลา อาการปวดหัวไมเกรนและโรคกระเพาะอาจถามหาได้ เพราะน้ำย่อยอาหารที่กาแฟเหนี่ยวนำออกมา ถ้าไม่มีอะไรย่อย ก็จะย่อยกระเพาะอาหารจนทำให้เป็นแผลในกระเพาะได้ กรณีนี้จะยกเว้นกับคนส่วนน้อยบางคนที่สามารถกินกาแฟได้ทุกช่วงเวลาโดยไม่เป็นอะไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point