ฉบับที่ 163 12 อาหารสำเร็จรูปที่ต้องระวัง

โดย : รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันโภชนาการ  มหาวิทยาลัยมหิดล  ไม่ว่าท่านผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่กับวลีที่นักวิชาการชอบพูดว่า กินแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ผู้เขียนคิดว่า สำหรับคนที่มีวิถีชีวิตในสังคมที่วุ่นวาย ซึ่งต้องการประหยัดเวลา เพื่อให้ได้เขี่ยสมาร์ทโฟนติดตามข่าวร้อยแปดพันประการได้ทัน มักไม่ค่อยสนใจวลีนี้ เพราะเขาทั้งหลาย (They) นิยมบริโภคอาหารปรุงสำเร็จ ซึ่งเขาทั้งหลายจะได้ความหวานเป็นพิเศษและก็เสพติดรสชาติของไขมัน โดยไม่รู้ว่ามันเป็นอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว อาหารปรุงสำเร็จ “ถูกสร้างภาพ”  ให้เป็นอาหาร "สำหรับคนรุ่นใหม่" และอาหารเหล่านี้มีช่วงเวลา “ลด แลก แจก แถม” ตามหลักการโฆษณาสมัยใหม่ จนยากที่หลายคนจะต่อต้านและพร้อมที่จะลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่ตามมาภายหลังกินอาหารปรุงสำเร็จแล้วคือ สุขภาพของเขาทั้งหลาย ดังนั้นเว็บ http://www.fitnea.com จึงเตือนว่า ผู้ที่พัฒนาพฤติกรรมการบริโภคไปเป็นแบบอเมริกันแล้ว น่าจะทราบข้อมูลต่อไปนี้เพื่อใช้ในการตัดสินชะตากรรมของชีวิตของตนเอง   12 อาหารสำเร็จรูปที่ต้องระวัง 1.ไก่บดทอด (Chicken nuggets) เป็นอาหารที่ถูกคุณชี้เลือกเพื่อสนองความหิวตามร้านอาหารจานด่วน (เช่น ของตาลุงผู้พัน) โดยยอมรับสารเจือปนในอาหารปริมาณสูง เพราะมันเป็นอาหารที่ดูดี กรอบ เหลือง แม้ว่าเค็มด้วยเกลือและไขมันสูง และที่สำคัญถ้าท่านผู้อ่านเข้า YouTube แล้วพิมพ์คำว่า What Are Chicken Nuggets Made Of? แล้ว คุณอาจต้อง อึ้ง ทึ่ง เสียว ในทันใด 2.มันฝรั่งทอด (French Fries) ให้พลังงานสูงพร้อมข้อมูลวิทยาศาสตร์สุขภาพที่กล่าวว่า เมื่อคุณกินมันเข้าไป คุณกำลังเข้าไปทักทายกับโรคเบาหวานและโรคอ้วนโดยรู้ตัว คุณค่าทางโภชนาการของอาหารนี้ต่ำมาก แต่ถ้าคุณถึงภาวะที่รู้สึกว่าต้องการการกินมันฝรั่งทอดเหลือเกิน คุณควรทำเองด้วยการ “อบ” ไม่ใช่ทอดในน้ำมัน  3.ข้าวเกรียบมันฝรั่ง (Potato chips) ญาติสนิทของมันฝรั่งทอด ซึ่งดูคล้ายข้าวเกรียบไทย เช่น ข้าวเกรียบกุ้ง ข้าวเกรียบเห็ด ฯ อาหารชนิดนี้ถูกระบุว่า ทำลายความพยายามของคนที่ลดน้ำหนักให้ย่อยยับลงมานักต่อนักแล้ว มันเพิ่มพลังงานและเกลือแกงพร้อมสารกันบูด เพราะโรงงานอาหารสำเร็จรูปได้เติมสารเจือปนต่างๆ เพื่อให้มันเป็นสินค้าที่มีลักษณะล่อตาผู้บริโภค หลังจากที่ถูกทอดในน้ำมันเดือดจนกลายเป็นอาหารอมน้ำมันสูงที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบและขาดใยอาหาร 4.น้ำอัดลม (Soda pop) เป็นตัวอย่างของอาหารที่เรียกว่า empty calories เพราะมันให้แต่พลังงานอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอะไรเลย สุดจะเลวร้าย(ที่เราชอบดื่มจริงๆ ขณะเมื่อจะตายเพราะกระหายน้ำ) ความหวานของน้ำอัดลมมักได้จาก น้ำเชื่อมฟรักโตส(fructose syrup) ซึ่งดูเหมือนไม่มีอันตรายเพราะไม่ต้องการอินซูลินในการนำเข้าเซลล์ของร่างกาย แต่ด้วยสมมุติฐานของนักวิทยาศาสตร์บางท่านที่กล่าวว่า น้ำเชื่อมฟรักโตสที่เข้าสู่ตับอย่างรวดเร็วจะกระตุ้นกระบวนการสร้างไขมัน(lipogenesis) อย่างฉับพลันจนเกิดอาการที่ตับรับไม่ไหวที่เรียกว่า fatty liver ซึ่งในสัตว์ทดลองนั้นถ้าพบการที่ตับมีไขมันสะสมสูงเมื่อไร ก็หมายความว่าตับสัตว์นั้นพังแล้ว 5.ไส้กรอกฝรั่ง หมูแฮมและเบคอน (Fermented meat products) ซึ่งมีการเติมสารปรุงรสเช่น ผงชูรส เกลือดินประสิว และอื่น ๆ เนื่องจากอาหารเหล่ามักใช้วัตถุดิบคุณภาพรองจึงต้อง แต่งกลิ่น แต่งสี ให้เก็บแช่แข็งได้นานก่อนนำมาขายแก่ผู้บริโภค กระบวนการดังกล่าวนี้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเรามีกฎหมายที่ทำให้มันถูกต้อง อย่างไรก็ดีอาหารกลุ่มนี้ถูกยกย่องจากนักพิษวิทยาทั่วไปว่า มีสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามีนแน่นอน มากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นเด็กและสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค สำหรับผู้ที่ประสงค์จะบริโภค ควรมีตับแข็งแรงเพื่อทำลายสารพิษนี้และบริโภคพร้อมกับผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง 6.แฮมเบอร์เกอร์จานด่วน (Fast food hamburgers) เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารก่อมะเร็งซึ่งเกิดจากการปิ้งย่างรมควันเนื้อสัตว์ ตลอดจนถึงความเสี่ยงต่อเบาหวานซึ่งมีการศึกษาทางระบาดวิทยาว่า ผู้หญิงที่กินแฮมเบอร์เกอร์มากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์มีแนวโน้มที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน 7.อาหารเช้าธัญพืช (Cereal) เป็นความสะดวกสบายของผู้ต้องการอาหารเช้าที่อยู่ในกล่องสวยงาม เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้น้ำตาลเพิ่มขึ้นจนเสี่ยงต่อเบาหวาน ดังนั้นถ้าต้องกินอาหารชนิดนี้ควรเพิ่มอาหารที่มีเส้นใยสูงเข้าไป หรือมองหาอาหารธัญพืชที่ให้ใยอาหารประมาณ 5 กรัม ขึ้นไป พร้อมทั้งอย่าเลือกชนิดที่มีรสหวานจัดนัก หรือจะให้ง่ายกว่านั้น กินข้าวเม่าไทยดีกว่า ถูกและปลอดภัยไร้สารพิษ 8.กราโนล่า (Granola bars) คือขนม(โคตร) หวานของฝรั่ง เป็นได้ทั้งอาหารเช้าธัญพืชหรือเมื่อเหงาปาก ส่วนประกอบมักมีข้าวโอ๊ต ถั่ว น้ำผึ้ง บางครั้งเพิ่มผลไม้แห้ง ลูกเกด หรืออินทผลัมลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความหวานสุดๆ แล้วอบจนกรอบ ขนมนี้ให้พลังงานสูง น้ำหนักเบา เก็บได้นาน ใช้เป็นเสบียงระหว่างการเดินทางหรือระหว่างเกมกีฬาดีๆ เพราะให้พลังงานและอยู่ท้องพอสมควร ในบ้านเราสินค้านี้มักมีเด็กเล็กเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องพุ่งเข้าชน ขนมดังกล่าวมักถูกเติมน้ำเชื่อมฟรักโตสเพื่อความหวานจัด ที่ร้ายกว่านั้นในกระบวนการปรุงแต่งมักทำให้มันเป็นขนมที่มีโซเดียมและไขมันค่อนข้างสูง 9.ขนมอบต่าง ๆ (Store-bought cookies, crackers, cakes and muffins) ที่มีมากมายหลายชนิดซึ่งพบได้ในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ จัดเป็นอาหารทำลายสุขภาพซึ่งมักให้กันในช่วงวันหยุดเทศกาลเหมือนมีเจตนาร้ายซ่อนไว้ ขนมนี้ให้เกลือและน้ำตาลพร้อมทั้งไขมันทรานส์ซึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายต่อสุขภาพของหัวใจอย่างสุดๆ 10.เครื่องดื่ม (ในซอง) พร้อมชง และเครื่องดื่ม (ในขวด) พร้อมดื่ม เป็นเครื่องดื่มที่เตรียมได้ง่ายและราคาถูก เพราะมักทำจากวัตถุดิบราคาต่ำ จากนั้นจึงแต่งกลิ่น สี และรสชาติสังเคราะห์ด้วยสารเคมีเพื่อให้สินค้าดูดี ถ้าองค์ประกอบมีครีมเทียมด้วยก็จะได้ไขมันทรานซ์ ส่วนน้ำตาลนั้นก็อาจเป็นน้ำเชื่อมฟรักโตสซึ่งเมื่อบริโภคมากอาจเกิดปัญหาต่อสุขภาพตับ สินค้านี้ขายได้ด้วยเทคนิกทางการโฆษณาโดยแท้ ไม่เชื่อคุณลองวิเคราะห์ต้นทุนด้วยว่า อะไรคือต้นทุนหลักของสินค้านี้ 11.เนยเทียม (Margarine) เป็นทางเลือกที่ถูกนำมาใช้ในการเตรียมอาหารเช้าของคนไทยจน ๆ เนื่องจากเนยแท้หรือ butter มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ การกินขนมปังทาเนยเทียมจึงดูหรูสุดๆ แล้วสำหรับคนจน เนยเทียมนั้นทำจากน้ำมันพืชที่ถูกนำมาเติมอะตอมของไฮโดรเจนด้วยวิธีการทางเคมีเพื่อให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัวที่แข็งพร้อมการแต่งกลิ่น สี และรสด้วยสารเคมีจนละม้ายคล้ายเนยจริง ข้อเสียหลักๆ เกี่ยวกับเนยเทียมคือ ไขมันทรานส์ ซึ่งมีการเชื่อมโยงสู่สุขภาพเลวของผู้บริโภค 12.ข้าวโพคคั่วในถุงไมโครเวฟ (Microwave popcorn) อาหารนี้เป็นที่นิยมของมนุษย์ผู้ไม่ชอบให้ปากว่างระหว่างชมโทรทัศน์ที่บ้าน นอกจากทำลายสุขภาพฟันแล้วยังทำให้คุณเสี่ยงต่อการรับสารไดอะเซ็ตติล ซึ่งเป็นกลิ่นรสเนยสังเคราะห์ที่สามารถทำลายปอดได้ ที่สำคัญสุดๆ คือ ถุงสำหรับใส่ข้าวโพดเพื่อนำไปรับความร้อนในไมโครเวฟนั้นมักถูกเคลือบด้วยสารเทฟลอน(Teflon) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่ใช้เคลือบกระทะ nonstick ซึ่งเมื่อถูกความร้อนสูง ๆ จะสลายตัวให้กรด perfluorooctanoic (เปอร์-ฟลูออ-โร-ออค-ตะ-โนอิค) ซึ่งถูกสงสัยว่าก่อมะเร็ง แต่ที่แน่ ๆ ถ้าสารนี้เกิดจากการตั้งกระทะเคลือบเทฟลอนบนเตาจนร้อนแล้วไม่เติมอาหารลงไป เพราะแม่บ้านมัวแต่คอเอียงโทรศัพท์หรือเขี่ยสมาร์ทโฟนอยู่ นกแก้วที่แม่บ้านฝรั่งชอบเลี้ยงเป็นเพื่อนในครัวมักตายด้วยสารนี้ สนใจข่าวนี้สามารถอ่านได้โดยใช้ google แล้วพิมพ์ว่า Non-Stick Cookware Kills Another Parrot ผู้เขียนให้ข้อมูลแก่ท่านผู้อ่านแล้ว ก็สุดแต่ท่านจะไขว้คว้าเอาอาหารนี้มาทำลายสุขภาพกันตามหลักสำคัญที่บอกว่า ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 162 พฤติกรรมการกินที่ดี ช่วยคุณได้

รสนิยมในการกินอาหารของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยดูแล้วน่าสงสาร เพราะกินแต่อาหารมีพลังงานและไขมันสูง อีกทั้งรสชาติอาหารก็ซ้ำซากอย่างที่เห็นในภาพยนตร์จากฮอลลิวู้ด ขาดความประณีตและจินตนาการในการปรุงแต่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เพื่อนชาวอเมริกัน(สมัยที่ผู้เขียนมีโอกาสไปเรียนในสหรัฐอเมริกา) ได้รับคำเชิญให้ร่วมงานกินอาหารของชาวเอเชียแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ปฏิเสธและตั้งตารอ Annie Tucker Morgan และ Divine Caroline จาก www.care2.com ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ  Healthy Diet Habits from Around the World ซึ่งเล่าถึงพฤติกรรมการกินอาหารที่ทั้งสองคนเชื่อว่า น่าจะช่วยให้สุขภาพของชาวอเมริกันที่ทำตามดีขึ้น ผู้เขียนจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะปัจจุบันคนไทยหลายส่วนก็ใกล้จะเป็นชาวอเมริกันเข้าไปทุกขณะแล้ว พฤติกรรมแรกเป็นของคน “โปแลนด์” ซึ่งกินอาหารที่บ้านเป็นประจำ จึงกำหนดปริมาณอาหารไม่ให้มากเกินไปได้ ต่างจากเวลาไปกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งอาหารแต่ละจานบางครั้งก็มากเกิน จนผู้บริโภคต้องยอมท้องแตกดีกว่าของเหลือ เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ชาว “แกมเบีย” ในอัฟริกาจึงเลือกกินถั่วหลากชนิด เป็นอาหารหลัก เพราะได้ทั้งโปรตีน แป้ง ไขมัน รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ชาวแกมเบียเป็นกลุ่มชนที่มีอัตราการเป็นโรคอ้วนและมะเร็ง(ในภาพรวมทุกชนิด) ต่ำที่สุดในโลกชาติหนึ่ง   ถ้าถามหนุ่มอเมริกันว่า สาวชาติใดเซ็กซี่มากที่สุดในโลกในการเยื้องย่างร่างกาย คำตอบส่วนใหญ่มักยกให้ สาว “บราซิล” ซึ่งมีสไตล์การเต้นแซมบ้าที่เร้าใจ โดยไม่มีหน้าท้องมาขัดขวางการส่ายสะโพก แม้ว่าชาวบราซิเลียนกินอาหารที่มีแป้งค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นแป้งในรูปเมล็ดธัญพืชและถั่วทั้งเมล็ด ซึ่งมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Obesity Research สนับสนุนว่า อาหารแป้งในอาหารบราซิเลียนนั้นลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนถึงร้อยละ 14 เพราะมีใยอาหารและไขมันต่ำ ทั้งช่วยชะลอการเพิ่มความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดและทำให้อิ่มทน สำหรับอาหารที่มีเครื่องเทศสูงของ “ไทยและมาเลเซีย” สามารถทำให้คนอเมริกันหลั่งน้ำตามานักต่อนักด้วยความซาบซึ้งว่า ได้กินของดีที่ทำให้แสบร้อนตั้งแต่รากผมถึงปลายเท้า เพราะเครื่องเทศในอาหาร เช่น ขมิ้นซึ่งมีสารเคอร์คิวมิน (curcumin) ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ส่งผลให้กินช้าลงเพราะต้องคอยซดน้ำเปล่าล้างความเผ็ดร้อนและอิ่มก่อนที่ร่างกายจะถึงจุดอิ่มจริง ซึ่งต่างจากอาหารของชาวอเมริกัน ซึ่งมักทำให้รู้สึกอิ่มหลังจากกินเกินเข้าไปแล้ว เนื่องจากอาหารไขมันสูงมักทำให้เรารู้สึกอร่อยจนหยุดไม่อยู่ ปรัชญาการไม่พลาดอาหารเช้าของชาว “เยอรมัน” นั้น ดูขัดความรู้สึกว่ามันน่าจะทำให้อ้วน แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่า อาหารเช้าช่วยให้น้ำหนักลดถ้าเริ่มอย่างถูกต้อง คือ มีไข่ ธัญพืชทั้งเมล็ดและผลไม้ เพื่อเปิดสวิทช์การใช้พลังงานในร่างกายและตอบสนองความต้องการของสมอง ซึ่งลดโอกาสการตะกายหาอาหารกิน (เกิน)ในช่วงสายเหมือนคนละเลยอาหารเช้า ที่มาแปลกแต่ดูเป็นประโยชน์มากคือ ความคิดของชาวดัชท์ใน “เนเธอร์แลนด์” เกี่ยวกับการขยับแข้งขยับขาก่อนกินอาหาร โดยชาวดัทช์มักถีบจักรยานเพื่อไปซื้ออาหารมากิน ต่างจากชาวอเมริกันที่นิยมระบบ Drive in เพื่อซื้ออาหารจานด่วนมานั่งคุดคู้กินในรถ ที่น่าสนใจคือ ในเนเธอร์แลนด์นั้นจำนวนจักรยานมีมากกว่าจำนวนพลเมืองเสียอีก และกว่าครึ่งของชาวดัทช์ใช้จักรยานในการเดินทางประจำวัน ซึ่งเผาผลาญพลังงานได้ราว 550 แคลอรีต่อชั่วโมง ผู้คนรอบทะเลเมดิเตอเรเนียน เช่น “กรีก” รวมทั้งชาวเอเชียมองเนื้อสัตว์เป็นเพียงส่วนเสริมของมื้ออาหารโดยให้ความสนใจกับพืชผักท้องถิ่น เช่น น้ำมันมะกอก มะเขือต่างๆ และมองหาโปรตีนที่มาจากถั่ว ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดแบบอเมริกันๆ ที่ให้เนื้อสัตว์และมันฝรั่งเป็นองค์ประกอบหลักของอาหารแต่ละมื้อ สำหรับเครื่องดื่มในมื้ออาหารนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่รู้จักศีลข้อ 5 เรื่องห้ามดื่มสุรา เบียร์จึงขายดีมาก ต่างจากชาว “อัฟริกาใต้” ที่นิยมดื่มชาแดงรอยบอส (Rooibos) ซึ่งถูกสกัดจากใบและกิ่งของต้น แอสปาเลตัสลีเนียรีส (Aspalathus linearis) ซึ่งเป็นไม้พุ่มและขึ้นที่เดียวในโลกคือ อัฟริกาใต้ ชานี้มีความหอมและรสชาติดีพร้อมคาเท็คชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ปราศจากคาเฟอีนและมีแทนนินต่ำ แต่ถ้าเป็นความยากลำบากในการหาชาดังกล่าว ไทยมีชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพมากมายหลายชนิด ที่ผู้เขียนขอแนะนำให้ชาวอเมริกันคือ ชามะตูม เพราะทั้งหอมและมีรสละมุน การปรับให้อาหารกลางวันเป็นมื้อหลักแทนอาหารค่ำตามพฤติกรรมการกินของ “ชาวยุโรปและเม็กซิโก” น่าจะดีกว่าการที่ชาวอเมริกันชอบยกเลิกมื้อเช้า กินกลางวันให้น้อยหน่อย เพื่อสงวนกระเพาะอาหารสำหรับมื้อเย็นพร้อมการสังสรรค์ จากนั้นก็ไปนอนเพื่อให้อาหารถูกย่อยกลายเป็นพลังงานสำหรับสร้างไขมันสะสมที่พุง สารคดีในโทรทัศน์บางเรื่องให้ความรู้เกี่ยวกับการกินอาหารของชาวยุโรปว่า มีความพิถีพิถันในการปรุงและตั้งราคาให้แพงเข้าไว้ จึงต้องกินแต่เพียงน้อย สุขภาพของคนที่กินอาหารตามแบบยุโรปจึงค่อนข้างดีกว่าคนที่กินอาหารแบบอเมริกัน ปัญหาของคนที่ชอบกินของอร่อยและลดน้ำหนักไม่ได้คือ กินเร็ว แบบว่าชอบออกกำลังแขนด้วยการยกช้อนส้อมด้วยความถี่สูง มีผู้ช่างสังเกตพบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 28 ได้พบหน้าคนในครอบครัวที่โต๊ะอาหารมื้อเย็น ในขณะที่ชาว “ฝรั่งเศส” ร้อยละ 92 กินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นประจำในตอนค่ำ ซึ่งการกินอาหารพร้อมกันนั้นทำให้ต้องกินช้า (มิเช่นนั้นอาหารอาจติดคอเวลาพูดคุยกัน) นักสรีรวิทยากล่าวว่า ระหว่างการเคี้ยวข้าวให้แหลกในปากนั้น จะมีการย่อยแป้งด้วยเอนไซม์อมัยเลสจากน้ำลาย ก่อให้เกิดน้ำตาลกลูโคส ซึ่งถูกดูดซึมเข้าเลือดส่งไปยังสมองทำให้รู้สึกอิ่ม ซึ่งต่างจากคนที่กลืนข้าวโดยไม่เคี้ยวจะอิ่มช้ากว่า จึงกินได้มากกว่าและอ้วนกว่า การเพิ่มปลาและอาหารทะเลอื่นในมื้ออาหารมากขึ้นตามแบบพฤติกรรมการบริโภคของชาว “ญี่ปุ่นและดัทช์” นั้น ทำให้ผู้บริโภคได้กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกาสาม ซึ่งเชื่อกันว่ากระตุ้นการทำงานของสมองเด็ก ลดความเสี่ยงต่อปัญหาของเส้นเลือดหัวใจ และลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเพิ่มการสะสมของไขมันหน้าท้อง ที่สำคัญอาหารทะเลส่วนใหญ่เว้นปลาหมึกมีไขมันต่ำผู้บริโภคจึงมักกินกันได้เต็มที่ ลักษณะพิเศษชาวญี่ปุ่นซึ่งชาวอเมริกันค่อนข้างชื่นชมแกมอิจฉาคือ ไม่ค่อยอ้วนเมื่อแก่ โดยเฉพาะเมื่อชะแง้แลดูชาวโอกินาวา ซึ่งมีพฤติกรรมการกินแบบที่เรียกว่า ฮารา ฮาชิ บุ (hara hachi bu) ซึ่งหมายความว่า ให้หยุดกินเมื่อเริ่มอิ่ม เพราะถ้ารอให้รู้สึกอิ่มจริง กระเพาะจะขยายตัวเองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการเดินออกจากโต๊ะอาหาร หลังจากจ่ายค่าอาหารแล้วอย่างเร็วโดยไม่อ้อยอิ่งเติมของหวาน นำไปสู่การมีดัชนีมวลกายที่ดูดี ชาวโอกินาวานั้นมีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 21.5 ในขณะที่ชาวอเมริกันตัวเลขอยู่ที่ 28 ส่วนคนไทยก็ตัวใครตัวมันนะครับท่าน ที่เขียนให้อ่านนี้ก็เพียงหวังว่า ท่านผู้อ่านที่ฉลาดซื้อ จะสนใจหยิบยกเรื่องราวดี ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันบ้างไม่มากก็น้อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 161 อยากท้อง อ่านตรงนี้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ปีนี้ www.environmentalhealthnews.org ได้ตีพิมพ์บทความหนึ่งชื่อ “Miscarriage risk rises with BPA exposure, study finds” ซึ่งเราควรสนใจบ้างไม่มากก็น้อย เพราะในตอนสุดท้ายบทความได้สรุปว่า สตรีที่สัมผัสต่อบีพีเอ (bisphenol A หรือ BPA) ระดับสูงในช่วงเริ่มตั้งท้องจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงขึ้นถึงร้อยละ 83 เมื่อเทียบกับผู้ไม่สัมผัส ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการศึกษาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้อาสาสมัคร 115 นางซึ่งท้องแล้วไม่เกิน 4 อาทิตย์ พบว่าอาสาสมัครที่ระดับบีพีเอในเลือดยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งแท้งง่ายเท่านั้น รายงานการศึกษาใหม่นี้ได้เพิ่มหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ความเข้มข้นต่ำของสารเคมีที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตและในกระป๋องบรรจุอาหาร ตลอดจนใบเสร็จรับเงินอย่างง่าย (แบบว่ารับได้จากสถานีเติมน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ) นั้นอาจมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ อาจารย์ในภาควิชาสูตินารีเวชศาสตร์แห่งมหาวิทยาสแตนฟอร์ดกลุ่มหนึ่ง (ณ เวลาที่ผู้เขียนกำลังเขียนต้นฉบับนี้) กำลังจะตีพิมพ์บทความเรื่อง Conjugated bisphenol A (BPA) in maternal serum in relation to miscarriage risk ในวารสารชื่อ Fertility and Sterility ซึ่งกล่าวประเด็นสำคัญหนึ่งว่า “คู่ผัวตัวเมียที่มีปัญหาในการมีลูกหรือผู้ที่แท้งใหม่ๆ ควรลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารบีพีเอเพราะมันน่าจะเป็นสารที่มีผลลบต่อการพัฒนาของตัวอ่อนในท้องแม่”  อย่างไรก็ดี การศึกษาใหม่นี้ยังไม่ได้หมายความว่า บีพีเอก่อให้เกิดการแท้งลูก สิ่งที่ค้นพบนั้นอยู่บนฐานของการตรวจเลือดของหญิงแต่ละนางเพียง 1-2 ครั้งระหว่างท้อง และที่สำคัญคือ ยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก เมื่อมีการเผยแพร่ผลการศึกษานี้ก่อนการตีพิมพ์ในวารสารอย่างเป็นทางการ ก็มีสูตินารีแพทย์อีกท่านหนึ่งของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ (University of Rochester’s Medical Center) ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้เสียกับโครงการวิจัยดังกล่าวให้ข้อสังเกตต่องานวิจัยนี้ว่า แม้ว่าการแท้งนั้นเกิดในอาสาสมัครถึง 68 คนจาก 115 คน (ซึ่งเป็นอัตราเสี่ยงประมาณ 3 เท่าของสาวอเมริกันทั่วไป) ก็ตาม แต่อาสาสมัครของโครงการนั้นเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงอยู่แล้ว เพราะมิเช่นนั้นคงไม่มาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ให้เสียเวลา ดังนั้นความสัมพันธ์ของสารนี้กับการแท้ง อาจไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ขยายไปถึงสาวๆ ทั่วไป  อย่างไรก็ดีแพทย์ท่านนี้ก็ได้กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นการแสดงหลักฐานที่ชัดเจนอีกหนึ่งชิ้นที่กล่าวว่า สารเคมีในสิ่งแวดล้อมนั้นอาจเป็นปัญหาต่อการตั้งครรภ์ได้ มีข้อมูลเชิงสมมุติฐานที่ผู้เขียนขอเสนอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาคือ มีสารธรรมชาติชนิดหนึ่งชื่อ เจ็นนิสตีน (genistein) ซึ่งเป็นสารไฟโตเคมิคอลในถั่วเหลือง ที่มีศักยภาพคล้ายสารเอสโตรเจน จึงสามารถจับกับตัวรับเอสโตรเจน (estrogen receptor) ของเซลล์ต่อมน้ำนมและเซลล์มดลูกได้ แต่ออกฤทธิ์น้อยกว่าเอสโตรเจนมาก ซึ่งผลที่ตามมาคือ เอสโตรเจนที่มีมากเกินพอในสาวๆ บางคน ไม่สามารถออกฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการคัดหน้าอกและปวดมดลูกตอนมีประจำเดือน ซึ่งเราถือว่าเป็นผลดีของเจ็นนิสตีน ที่น่าสนใจคือ wikipedia ก็ได้ให้ข้อมูลว่า บีพีเอนั้นสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นของทศวรรษ 1930 โดยนักชีวเคมีชาวอังกฤษชื่อ Edward Charles Dodds โดยมุ่งหวังให้เป็นเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) สังเคราะห์ แต่ปรากฏว่ามันมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติถึง 37,000 เท่า เขาจึงหันไปสังเคราะห์สารอีกตัวหนึ่งคือ diethylstilbestrol (DES) ซึ่งได้ผลสมใจเพราะมันออกฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน (และมีฤทธิ์แรงกว่า) จึงช่วยแก้แพ้ท้อง แต่มีผลข้างเคียงทำให้ลูกสาวของผู้กินยานี้เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเมื่อเข้าสูวัยสาว สารนี้จึงถูกยกเลิกการนำมาใช้ ดังนั้นถ้าเราเชื่อในสมมุติฐานที่กล่าวว่า ขณะกำลังท้องระดับเอสโตรเจนของสาวๆ ต้องเพิ่มขึ้นเพื่อไปกระตุ้นให้ตัวอ่อนในมดลูกมีการพัฒนาตามรูปแบบที่ควรเป็น(เอสโตรเจนมีศักยภาพในการกระตุ้นการแบ่งและพัฒนาเซลล์ของตัวอ่อนให้เจริญอย่างรวดเร็ว) แต่บีพีเอ (ซึ่งมีศักยภาพค่อนข้างต่ำมาก ๆ ที่จะออกฤทธิ์เป็นเอสโตรเจน) อาจแย่งที่ในการจับตัวกับตัวรับเอสโตรเจน ส่งผลให้เอสโตรเจนเข้าจับตัวกับเซลล์ตัวอ่อนน้อยลง ทำให้ตัวอ่อนในท้องแม่ไม่พัฒนาเท่าที่ควรจึงแท้ง(ปรกติผู้หญิงที่กำลังเริ่มท้องจะมีอาการแพ้ท้องมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าวันไหนเลิกแพ้ท้องให้ระแวงได้เลยว่า น่าจะแท้ง) สมมุติฐานคล้ายกันนี้มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการแล้ว แต่เป็นการศึกษาถึงผลการได้รับเจ็นนิสตีนในระดับสูงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสัตว์ทดลองว่าทำให้สัตว์ทดลองมีลูกน้อยลง และคล้ายกันกับการศึกษาทางระบาดวิทยาในผู้หญิงที่อยากท้องแต่กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเพราะเป็นมังสวิรัติมักมีลูกยาก จึงมีการแนะนำว่า ช่วงเริ่มตั้งครรภ์ควรลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองลงบ้าง(กินโปรตีนจากพืชชนิดอื่นได้) จนแน่ใจว่าการตั้งครรภ์ไม่มีปัญหาแล้วจึงกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเท่าเดิมหรือรอจนกว่าจะคลอดเรียบร้อยปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ ในปี ค.ศ. 2005 ได้มีการศึกษาเล็กๆ ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งพบว่า สตรี 45 นางที่เคยมีวิบากกรรมตั้งท้องไม่ถึง 3 เดือนแล้วแท้งอย่างน้อย 3 ครั้ง มีปริมาณบีพีเอในเลือดสูงเป็นสามเท่าของสตรี 32 คนที่ไม่เคยมีปัญหาระหว่างการตั้งท้อง พอผลการศึกษาออกมาดังนี้ โฆษกของสภานักเคมีอเมริกัน (American Chemistry Council) ก็อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาเม้นต์ว่า “การศึกษานี้ยังมีข้อบกพร่องเหมือนกับการศึกษาอื่นๆ ที่พยายามตรวจวัดบีพีเอในเลือด ณ วันใดวันหนึ่งแล้วพยายามมโนว่าตัวเลขนี้มีความสัมพันธ์กับการแท้งลูก” ย้อนกลับไปที่สูตินารีแพทย์ของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์อีกที เพราะเธอได้กล่าวต่อไปว่า ช่วงเวลาที่ทีมวิจัยที่ฮาร์วาร์ดเลือกตรวจเลือดนั้นอยู่ในช่วง 7 สัปดาห์แรกของการท้องซึ่งเป็นช่วงแห่งความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งต่อการแท้ง และที่สำคัญคือ คนอเมริกันนั้นราวร้อยละ 90 มีบีพีเออยู่ในเลือดเป็นปรกติวิสัยอยู่แล้ว (คงเพราะกินอาหารกระป๋องเป็นหลัก ตั้งแต่คนถึงหมาแมว) เรื่องราวที่ตอบโต้ไปมาเกี่ยวกับว่าบีพีเอปริมาณต่ำ ๆ นั้นทำอันตรายประชาชนหรือไม่นั้น ทาง อย. สหรัฐอเมริกกาก็ยังคงยืนหยัดว่า “บีพีเอที่ความเข้มข้นต่ำแบบที่คนอเมริกันกลืนลงท้องนั้นปลอดภัย” (คือหน่วยงานยังเอาอยู่) โดยอ้างรายงานชื่อ Toxicity evaluation of bisphenol A administered by gavage to Sprague-Dawley rats from gestation day 6 through postnatal day 90 ซึ่งศึกษาโดย ดร. Barry Delclos และคณะนักวิทยาศาสตร์ชาว อย. 12 คน ซึ่งตีพิมพ์ผลงานนี้ใน  Toxicological Sciences (ข่าวโดยละเอียดนั้นอ่านได้จาก www.environmentalhealthnews.org/ehs/news/2014/feb/bpa-low-doses) สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่เคยมีงานวิจัยการศึกษาปริมาณบีพีเอในเลือดพวกเราเลย จึงมีประเด็นว่า คนที่อยากท้องให้ตลอดรอดฝั่งนั้นควรทำอย่างไรในการลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสบีพีเอ(แม้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์อเมริกันจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีปัญหา ๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง) ดังนั้นคำตอบสำหรับผู้ที่อยากมีลูกสักคนมันก็จะแสนยากนั้น คือ ต้องรู้ว่า บีพีเอนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง (แนะนำให้เข้าไปอ่านบทความของผู้เขียนเรื่อง บีพีเอแถมฟรี ในเว็บไซต์โลกสีเขียว www.greenworld.or.th คอลัมน์นักเขียนรับเชิญ) แล้วก็พยายามอย่าเอามันเข้าสู่ร่างกาย เพราะมันไม่ใช่สารจำเป็นต่อร่างกายแม้แต่นิดเดียว   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 160 มารู้จักน้ำเต้าหู้กันหน่อย

ผู้เขียนได้พบกระทู้ในเว็บพันทิปที่ตั้งขึ้นว่า “ตอนนี้งดมื้อเย็นเลยหันมากินน้ำเต้าหู้แทนค่ะแต่เป็นน้ำเต้าหู้ไม่เครื่องหวานน้อย ซื้อครั้งละ 5 ถุง ไม่รู้ว่าอ้วนไหม กินมา 2-3 เดือนแล้วค่ะ แต่น้ำหนักไม่เห็นลง มีแต่เพิ่ม 55555 ลูกสาวเรา 3 ขวบ ก็กินน้ำเต้าหู้กะเราบางวันกินที มากกว่า 2 ถุงเลย มีผลอะไรไหมค่ะ ลูกสาวเราเป็นเด็กทานเก่งมากว่า น้องค่อนข้างอวบ ๆ ไม่รู้ผลมาจากน้ำเต้าหู้ด้วยไหม” ในกระทู้นั้นก็มีคนเข้ามาให้ความเห็นว่า “นมถั่วเหลืองให้พลังงานสูงค่ะ ยิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ข้างทาง ไม่รู้มีแค่น้ำนมถั่ว+น้ำ รึป่าว เห็นว่าบางเจ้าใส่แป้ง ใส่นมวัวเพิ่ม นอกจากนี้น้ำเต้าหู้ช่วยเพิ่มฮอร์โมนผู้หญิง ลูกคุณกินมาก อาจมีรูปร่างโตเป็นสาวไว มี ปจด.เร็ว” ทั้งคำถามและคำตอบในกระทู้นี้สรุปได้ว่า มีผู้สนใจเรื่อง น้ำเต้าหู้(หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้นเอง) ซึ่งน่ายินดีมาก เพราะเป็นที่ยอมรับกันทางระบาดวิทยาแล้วว่า ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้นลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมและมดลูก ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยมีบอกในภาพยนตร์ไทยเรื่อง น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ ที่ฉายเมื่อ พ.ศ. 2537 อย่างไรก็ดี มีบางประเด็นที่ทั้งผู้ตั้งกระทู้และผู้แสดงความเห็นนั้นอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่น้อยหน่อยคือ การกินน้ำเต้าหู้ ลดอาหารเย็น แล้วแต่น้ำหนักยังไม่ลด ประเด็นนี้ไม่ต้องประหลาดใจเพราะ การทำน้ำหนักขึ้น 1 กิโลกรัม นั้นใช้เวลาสบายๆ แค่อาทิตย์เดียว แต่การจะลดน้ำหนักสัก 1 ขีด หรือ 100 กรัมนั้น ครึ่งปียังทำได้ยากเลย   การลดอาหารมื้อเย็นนั้นบางครั้งทำให้เราสบายใจว่า ได้ตัดพลังงานทิ้งไปแล้ว จึงไม่ค่อยระวังในมื้อเช้า ที่สำคัญในการลดน้ำหนักนั้นปัจจัยที่สำคัญที่สุดและทำได้ยากมากคือ การออกแรงเผาพลังงานทิ้ง ซึ่งต้องทำจนถึงขั้นที่ร่างกายดึงเอาไขมันที่สะสมอยู่ออกมา น้ำหนักจึงจะลด ดังนั้นการลดน้ำหนักนั้นจึงต้องศึกษาหาความรู้ว่าควรกินอย่างไร ลดอะไร เพิ่มอะไร ปฏิบัติตัวอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หาได้ไม่ยากเลยในเว็บไทย ๆ ขอฝากท่านผู้อ่านทำเป็นการบ้าน อีกประเด็นที่น่าสนในคือ ข้อมูลที่กังวลเกี่ยวกับการกินสารไฟโตเอสโตรเจนในผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเกี่ยวกับความกังวลเรื่องได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนทำให้มี ปจด. (ประจำเดือน) มาก่อนเวลาอันควรของเด็กหญิงนั้น ไม่ควรกังวลแต่อย่างใด ถ้าเด็กคนนั้นกินอาหารมีใยอาหาร โดยเฉพาะเพ็คตินจากพืชตระกูลส้ม ฝรั่ง กล้วย แตงกวา ฯลฯ มากพอ เพราะเพ็คตินมีผลทางอ้อมในการยืดเวลาเริ่มการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งทำให้เริ่มมีประจำเดือน และไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลืองนั้นเป็นสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนค่อนข้างต่ำ ไฟโตเอสโตรเจนคือ สารจากพืชที่ออกฤทธิ์เป็นฮอร์โมนเพศหญิงคือ เอสโตรเจน จึงมีศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเป็น Estrogen agonist คำว่า agonist นั้นหมายถึง สารที่มีฤทธิ์ต่อสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ความเหมือนนั้นมีทั้งเหมือนแบบฤทธิ์มากกว่าและเหมือนแบบฤทธิ์น้อยกว่า สารที่เป็น Estrogen agonist แต่ออกฤทธิ์มากกว่าเอสโตรเจนในมนุษย์คือ ไฟโตเอสโตรเจนที่อยู่ในกวาวเครือ ซึ่งมีประโยชน์ใช้เป็นยาแผนโบราณสำหรับหญิงและชายที่เข้าสู่วัยทอง (ถ้ารู้ขนาดใช้ที่เหมาะสม) โดยอาศัยฤทธิ์ที่คล้ายเอสโตรเจนธรรมชาติช่วยบรรเทาปัญหาของความรู้สึกภายในร่างกายซึ่งกำลังเปลี่ยนถ่ายจากวัยเจริญพันธุ์ไปสู่วัยชรา จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้จัดให้เอสโตรเจนในร่างกายผู้หญิงเป็น สารก่อมะเร็งธรรมชาติ (สนใจไปหาข้อมูลได้ที่ http://ntp.niehs.nih.gov) เพราะถ้าใครมีมากเกินความจำเป็น โอกาสเป็นมะเร็งเต้านม มดลูก และรังไข่จะสูงกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ส่วนในผู้ชายนั้นการใช้สารสกัดจากกวาวเครือมากๆ ทำให้ผู้ชายมีหน้าอกใหญ่คล้ายผู้หญิงได้ แต่โอกาสเป็นมะเร็งเท่าผู้หญิงหรือไม่นั้น ยังต้องรอการศึกษาต่อไป ส่วนสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนน้อยกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติ (เมื่อคิดต่อน้ำหนักสารบริสุทธิ์เท่ากัน) ที่น่าสนใจคือ เจ็นนิสตีน (genistine) ในถั่วเหลือง สารนี้จับกับบริเวณรับฮอร์โมนเอสโตรเจนบนผนังเซลล์ต่อมน้ำนม(mammary gland cell) และของมดลูกของผู้หญิงดีมาก แต่ออกฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติที่ผู้หญิงผลิตเอง ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นเมื่อสารนี้เข้าไปแย่งที่จับบนผนังเซลล์ ฤทธิ์ของเอสโตรเจนธรรมชาติจึงลดลง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้หญิงหลายคนในช่วงมีประจำเดือน ผู้เขียนขออธิบายง่ายๆ ว่า ปรกติเอสโตรเจนธรรมชาติมีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้เซลล์ที่มันเข้าไปจับเตรียมพร้อมที่จะแบ่งตัว กล่าวคือ ทำให้เซลล์ต่อมน้ำนมและมดลูกขยายใหญ่เตรียมแบ่งในช่วงผู้หญิงมีประจำเดือน (เพื่อรอการปฏิสนธิของตัวอ่อน ถ้ามี) สภาวะนี้จึงทำให้ผู้หญิงบางคนที่ร่างกายสร้างเอสโตรเจนออกมามากกว่าคนอื่น เกิดอาการคัดเต้านมและปวดมดลูกในช่วง 2-3 วันแรกที่มีประจำเดือนหรืออาจมีอาการล่วงหน้าก่อนมีประจำเดือนด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าให้ผู้ที่มีปัญหาปวดคัดเต้านมและปวดมดลูกช่วงเวลามีประจำเดือนได้กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเป็นประจำ เจ็นนิสตีนจะเข้าไปแย่งจับที่บริเวณรับของเอสโตรเจนที่เซลล์เป้าหมาย ทำให้เอสโตรเจนธรรมชาติออกฤทธิ์น้อยลง ที่สำคัญก็คือ การแย่งที่จับที่บริเวณรับของเซลล์ต่อมน้ำนมและมดลูกนี้เป็นการลดความเสี่ยงที่เซลล์ดังกล่าวจะถูกกระตุ้นให้กลายเป็นมะเร็งได้ ในกรณีที่ไม่มีการปฏิสนธิในมดลูก นอกจากเจ็นนิสตีนจะมีผลดีต่อผู้หญิงในเรื่องลดความเสี่ยงต่อมะเร็งแล้ว สารนี้ยังมีศักยภาพในการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งที่เกิดใหม่ด้วยซึ่งเป็น ผลดีผสมร้ายถ้ากินไม่เป็น ความหมายของการกินไม่เป็นคือ ไปกินเจ็นนิสตีนในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งเป็นการกินสารนี้เข้มข้นกว่าการกินจากผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหลายร้อยเท่า จึงอาจส่งผลให้ผู้หญิงมีลูกยาก มีสมมุติฐานกล่าวว่า ขณะที่ผู้หญิงมีตัวอ่อนอยู่ในมดลูก ตัวอ่อนนั้นมีศักยภาพคล้ายก้อนมะเร็งก้อนใหญ่ที่ร่างกายแม่ต้องสร้างเส้นเลือดเพื่อส่งอาหารไปเลี้ยงตัวอ่อนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านทางรก ดังนั้นถ้ากินเจ็นนิสตีนในปริมาณมาก การสร้างเส้นเลือดไปเลี้ยงตัวอ่อนอาจถูกขัดขวาง ที่สำคัญได้มีข้อมูลจากการศึกษาในสัตว์ทดลองแล้วว่า เจ็นนิสตีนปริมาณสูงทำให้สัตว์ทดลองมีลูกยากขึ้น จึงมีคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตั้งใจมีลูก ผู้หญิงอาจต้องลด(ไม่ได้หมายว่าหยุดเลย) การบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจนกว่าเด็กจะคลอดหรืออย่างน้อยให้พ้นช่วงสามเดือนแรกไปก่อน และเมื่อใดที่ปลงใจว่าปิดโรงงานการผลิตทายาทแล้ว การบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเป็นประจำน่าจะเป็นคำแนะนำที่ดีในการลดความเสี่ยงของมะเร็งของอวัยวะที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 159 วิตามินอีกับมะเร็ง

ผู้เขียนได้รับข่าวงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ (มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง) ฟรีจากวารสาร Nature ซึ่งเป็นวารสารวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติที่ใจกว้างมากฉบับหนึ่งเป็นประจำ ในข่าวประจำวันที่ 29 เดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนได้พบหัวข้อข่าวที่น่าสนใจว่า “Study suggests supplements such as vitamin E promote tumour growth.” ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่า มีการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินอีนั้นเป็นการสนับสนุนการเจริญของเนื้องอก เนื้อข่าวกล่าวว่า ในการทดลองให้หนู mouse(ซึ่งคล้ายหนูถีบจักรสีขาวที่มีขายที่สวนจตุจักร) กินสารต้านออกซิเดชั่น(ซึ่งคนทั่วไปมักเรียกว่า สารต้านอนุมูลอิสระ) คือ วิตามินอี หรือ เอ็น-อะเซ็ตติลซิสตีอีน  (N-acetylcysteine (NAC)) แล้วกลับพบว่า เป็นการสนับสนุนการขยายขนาดของเนื้องอก ไม่ใช่ไปยับยั้งตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้ งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine ซึ่งคงไม่ถูกใจพระเดชพระคุณนับล้านคนที่กลืนเม็ดวิตามินอีในลักษณะอาหารเสริมเป็นประจำ ในสหรัฐอเมริกานั้นเคยมีการสำรวจว่า ผู้ใหญ่ราวร้อยละ 11 กินวิตามินอีเสริมในขนาด 400 IU หรือมากกว่า(ซึ่งขนาดที่นักวิชาการแนะนำว่า มนุษย์ธรรมดาควรได้รับจากอาหารคือ 22.4 IU) ด้วยความหวังว่าวิตามินอีและสารต้านออกซิเดชั่นอื่นๆ จะไปช่วยสกัดกั้นอนุมูลอิสระที่เป็นผลพลอยได้จากการใช้พลังงานและการทำงานในระบบภูมิต้านทานของร่างกาย(ส่วนใหญ่เป็นอนุมูลที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบที่มีความไวในการทำปฏิกิริยาชีวเคมีกับสารอื่นในเซลล์) ไม่ให้ไปทำอันตรายชีวโมเลกุลอื่นๆ ในเซลล์   เพราะบางครั้งเกิดมากเกินจำเป็น จนก่อความเสียหายแก่ดีเอ็นเอ (ตัวกำหนดการทำงานของเซลล์) ซึ่งความเสียหายนั้นอาจนำไปสู่การเกิดเนื้องอกและมะเร็ง   โดยปรกติแล้วเรามักคิดว่า สารต้านออกซิเดชั่นนั้นเป็นตัวลดการเกิดอันตรายในลักษณะนี้ได้ จึงนำไปสู่ธุรกิจการขายสารต้านออกซิเดชั่นต่าง ๆ เช่น วิตามินอี เบต้าแคโรทีน วิตามินซี สารสกัดจากใบไม้ เปลือกไม้ เปลือกผลไม้ เมล็ดพืช และอื่นๆ อีกมากมาย ให้แก่ผู้บริโภคที่ประเมินตนเอง(ตามคำแนะนำของผู้ขายสินค้า วิทยากรในรายการโทรทัศน์ดาวเทียมและฟรีทีวีต่างๆ) ว่ามีความเสี่ยงต่ออันตรายดังกล่าว รายงานการวิจัยใน 1994 เกี่ยวกับการที่เบต้าแคโรทีนไปส่งเสริมการเกิดมะเร็งปอดของอาสาสมัคร 29,133 คนที่เป็น สิงห์อมควันนั้น ผู้เขียนได้กล่าวถึงหลายครั้งในหลายโอกาสแล้ว เพราะข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นตำนานในการเรียนการสอนด้านระบาดวิทยาของโรคที่ไม่ติดต่อในมนุษย์ที่พบว่า การเสริมสารเคมีเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านระบบที่ไม่ใช่การกินจากอาหารแล้วส่งผลเสียได้เหมือนกัน ข่าวจาก Nature เล่าถึงกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเต็นเบอร์ก ประเทศสวีเดน (University of Gothenburg เขียนเป็นภาษาสวีดิชว่า  Göteborgs universitet) ที่พบว่า การให้สาร NAC แก่หนู mouse ที่ตัดแต่งพันธุกรรมให้เป็นมะเร็งปอดได้ง่ายนั้น แทนที่จะเป็นการไปลดการเกิดมะเร็งกลับเป็นการเพิ่มการเกิดมะเร็งถึง 3 เท่าของกลุ่มที่ไม่ได้รับสารนี้ ก่อนอื่นต้องเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบว่า NAC หรือ N-acetylcysteine นั้นเป็นยาที่ลดอาการไอจากเสลด ใช้ล้างพิษพาราเซตตามอลที่มากเกินไป แต่ปัจจุบันถูกขายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะต้านการออกซิเดชั่นได้ดีกว่า L-Cysteine และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กลูตาไธโอนในร่างกาย จึงมีการโฆษณาขาย(โดยไม่ขออนุญาต อย.) ว่า กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน บำรุง และปกป้องเซลล์ตับจากสารพิษ ควบคุมการผลิตเม็ดสีเมลานินในร่างกาย รักษาแผลหลังผ่าตัดหรือแผลที่เกิดจากรอยไหม้ ปกป้องผิวจากการถูกรังสีเผาไหม้ และป้องกันการเกิดมะเร็งจากสารเคมีในควันบุหรี่ ฯลฯ ดังนั้นผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเต็นเบอร์ก จึงไปลบล้างคำโฆษณาเกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปอด ทั้งที่ความจริงแล้วถ้ากลูตาไธโอนเกิดขึ้นเองในร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว สารนี้จะเป็นสารที่ใช้จับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย สิ่งที่น่าสนใจจาก Nature ต่อไปคือ คณะนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ทำการวิจัยลึกลงไปอีกว่า การเสริมสารต้านออกซิเดชั่นคือ วิตามินอีให้แก่หนูในขนาดที่มากกว่าที่มนุษย์ควรได้รับในแต่ละวัน 5 ถึง 50 เท่า(ซึ่งปรกติถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ขายให้คนนั้นจะมากกว่า  4 ถึง 20 เท่า) นั้น ไปเสริมการเกิดมะเร็งที่ปอดถึงสามเท่า เมื่อเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการเสริมสารต้านออกซิเดชั่น ที่หนักไปกว่านั้นคือ การเสริมสารต้านออกซิเดชั่นทั้งสองชนิดนั้น ทำให้หนูตายด้วยมะเร็งเร็วกว่าปรกติถึงสองเท่า ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในการศึกษาโดยใช้เซลล์มะเร็งปอดจากหนูหรือคนในห้องปฏิบัติการนั้น พบว่า สารต้านออกซิเดชั่นที่ผสมในอาหารเลี้ยงเซลล์กลับช่วยปกป้องหน่วยพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งที่เลี้ยงไว้ให้เข้มแข็ง จึงทำให้ผู้วิจัยเข้าใจว่าสารต้านออกซิเดชั่นนั้นไปลดการทำงานของยีนที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบและทำลายดีเอ็นเอที่กลายพันธุ์ไปแล้วของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ดีเนื่องจากผลการศึกษานั้นเป็นการทำให้ห้องปฏิบัติการ ผู้ทำวิจัยจึงระบุในการแถลงข่าวว่า มันอาจยากที่จะแปลผลไปสู่มนุษย์ และที่สำคัญยีนมะเร็งของหนูที่ใช้ทดลองนั้นได้ถูกกระตุ้นให้ทำงานแล้ว(เนื่องจากหนูนั้นถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้เป็นมะเร็งได้ง่าย) ซึ่งต่างกับมนุษย์ทั่วไปที่ยีนมะเร็งอาจอยู่สงบเป็นพรหมลูกฟักตลอดไป ถ้าไม่มีสารก่อมะเร็งไปกระตุ้นให้ตื่น ดังนั้นการทดลองของผู้วิจัย(จึงเหมือนเสียเปล่าเพราะ) ไม่ได้ระบุว่าสารต้านออกซิเดชั่นมีผลอะไรต่อคนที่มีสุขภาพดีทั่วไป แต่แนะให้สนใจถึงผลของสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีต่อสิงห์อมควันทั้งหลาย ซึ่งใครจะรู้ว่าขณะอมควันแล้วเกิดอาการหายใจไม่สะดวกเนื่องจากมีเมือกมากในปอดจึงต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นสารต้านออกซิเดชั่น เช่น NAC เพื่อให้หายใจคล่องนั้น จะมีปรากฏการณ์เหมือนที่เกิดในหนูทดลองและเซลล์มะเร็งที่เลี้ยงในห้องทดลองหรือไม่ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในเมือง Houston รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาคือ  University of Texas MD Anderson Cancer Center ได้กล่าวในการประชุมหนึ่งว่า สารต้านออกซิเดชั่นนั้นป้องกันการเกิดความเสียหายของดีเอ็นเอเนื่องจากอนุมูลอิสระได้ แต่ทันทีที่เกิดเซลล์มะเร็งแล้ว สารต้านอนุมูลอิสระน่าจะกลับทำงานปกป้องการถูกทำลายของเซลล์มะเร็งด้วยระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งประเด็นนี้ผู้บริโภคมักสับสนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่นักวิชาการควรแนะนำผู้บริโภคคือ สารต้านการออกซิเดชั่นนั้นมีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ตราบที่ได้รับจากการกินอาหาร แต่เมื่อใดที่เริ่มมีเซลล์มะเร็งแล้ว การกินในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจไปส่งเสริมให้เซลล์มะเร็งอยู่รอดปลอดภัยจากการต่อสู้ของระบบทำลายสารพิษในร่างกายเรา   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 158 ผักจากทะเลของโต๊ะโตะจัง

สาหร่ายทะเลแห้ง เป็นสินค้าผักชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากคนไทย(ยกเว้นผู้เขียนซึ่งไม่ใคร่ชอบกลิ่นทะเล แม้จะชอบอ่านหนังสือเรื่อง โต๊ะโตะจัง ก็ตาม) เพราะเป็นอาหารที่มีไอโอดีนและธาตุอาหารอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณสูง ที่นิยมกันสุดๆ คือ ปรุงเป็นแกงจืดสำหรับผู้ที่ชอบผักมีกลิ่นคาวและได้ผงชูรสธรรมชาติ หรือเป็นขนมกินเล่นแต่ได้ประโยชน์ สาหร่ายทะเลนั้นเป็นพืชขึ้นตามชายฝั่งทะเลที่มีแสงแดดส่องถึง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามเม็ดสีภายในเซลล์ คือ สาหร่ายสีแดง สาหร่ายสีน้ำตาล และสาหร่ายสีเขียว คนส่วนใหญ่คุ้นกับสาหร่ายที่ฝรั่งเรียกว่า เคลป์ (kelp) ซึ่งเป็นสาหร่ายสีน้ำตาลที่มีขนาดใหญ่และสูงมาก คนเอเชียที่อยู่ริมทะเลนั้นเก็บสาหร่ายกินกันเหมือนคนอยู่ชายขอบป่าเก็บผักหวานป่ากิน ชาวตะวันตกในอเมริกาและยุโรปเป็นกลุ่มคนท้ายๆ ที่เพิ่งตาสว่างเห็นว่าสาหร่ายทะเลมีประโยชน์ สาหร่ายเป็นแหล่งของโปรตีนคล้ายเนื้อสัตว์ (แต่คุณค่าด้อยกว่า) ชาวญี่ปุ่นและชาวจีนเป็นชาติแรกๆ ที่เห็นคุณค่าของสาหร่าย อาหารญี่ปุ่นและจีนมีเมนูอาหารที่ใช้สาหร่ายเป็นส่วนผสมมาก คนจีนเรียกสาหร่ายทะเลว่า “จีฉ่าย” นิยมปรุงเป็นแกงจืดใส่เต้าหู้หมูสับ มีสาหร่ายทะเลอีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกตัดเป็นแผ่นบางรูปสี่เหลี่ยม บรรจุซองพลาสติก ซองละ 4-5 แผ่น เด็กๆ ชอบซื้อกินอาจด้วยชอบรสชาติที่ปรุงแต่งด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ   สำหรับคุณค่าสารอาหารของสาหร่ายทะเลนั้นเคยมีผู้ศึกษาพบว่า ทั้งชนิดแผ่นกลมไม่ปรุงรส (จีฉ่าย) และชนิดปรุงรสบรรจุซองมี โปรตีนระหว่าง 10-40 กรัมต่อ 100 กรัม ใยอาหารตั้งแต่ 27-41 กรัมต่อ 100 กรัม (www.healthtodaythailand.net) มีไขมันและแป้งต่ำจึงให้พลังงานราว 366-382 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม ข้อมูลทางวิชาการที่พอเชื่อถือได้ (แต่ก็ต้องฟังหูไว้หูอย่าเชื่อจนงมงาย) กล่าวถึงประโยชน์ของสาหร่ายทะเลว่า การเติมสาหร่ายทะเลเข้าไปในอาหารสามารถชะลอหรือแก้ไขโรคที่เกิดจากความเสื่อมต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การบริโภคสาหร่ายทะเลนั้นยังมีประโยชน์ในด้าน ขับโลหะหนักและสารรังสี (โดยอาศัยใยอาหารเป็นตัวขัดขวางการดูดซึม แต่ต้องไม่กินสาหร่ายทะเลจากจังหวัดฟูกูชิมะของญี่ปุ่น ซึ่งมีอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าปรมาณูรั่วไหล) ขับสารพิษเช่น ไดออกซินและพีซีบีออกจากร่างกาย (เข้าใจว่าเพราะสาหร่ายทะเลคงดูดซึมสารพิษเหล่านี้ไว้ในปริมาณน้อยจึงกระตุ้นระบบทำลายสารพิษของผู้กินเข้าไปให้ตื่นตัว ดังนั้นข้อมูลว่าช่วยขับสารพิษจึงไม่น่าแปลกใจ และมีนักวิจัยญี่ปุ่นตีพิมพ์ใน Journal of Agriculture and Food Chemistry ชุดที่ 50 หน้าที่ 910-917 ในปี 2002 ว่า ใยอาหารในสาหร่ายทะเลช่วยจับสารพิษในทางเดินอาหารไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบโลหิตได้) ส่งเสริมระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง (เพราะสาหร่ายทะเลมักมีโปรตีน เบต้าแคโรทีน และสังกะสีซึ่งเป็นสามเสาหลักของระบบภูมิต้านทาน) ป้องกันคอหอยพอก (เพราะสาหร่ายทะเลเป็นแหล่งสะสมไอโอดีนซึ่งจำเป็นต่อการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน) ลดน้ำหนัก (เนื่องจากใยอาหารในมื้ออาหารลดปริมาณอาหารที่ให้พลังงานสูงจึงลดการสร้างไขมันในร่างกาย) จึงพบว่าคนเอเชียมักมีรูปร่างบางกว่าคนตะวันตก   ชาวตะวันตกนั้นมักกังวลกับความสะอาดของสาหร่ายทะเล อาจเนื่องจากเคยได้กลิ่นเหม็นเขียวออกเค็มที่หลอนหลังได้พบสาหร่ายเน่าทับซ้อนกันตามชายทะเลในฤดูร้อนช่วงน้ำลงตามชายหาด และมีข้อมูลการวิเคราะห์ปริมาณสารหนูในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลซึ่งตีพิมพ์ใน Environmental Health Perspective ฉบับที่ 4 ของชุดที่ 115 หน้า 606-608 ในปี 2007 ที่สรุปว่าการกินสาหร่ายทะเลนั้นน่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ เกือบสิบปี (2548) มาแล้วเคยมีผู้ให้ข้อมูลว่า หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งได้ตรวจสอบสาหร่ายทะเลแห้งที่มีการปรุงแต่งรสและกลิ่นให้ถูกปากคนไทยมีสารแคดเมียมปนเปื้อนเกิน 2 มก./กก. ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานที่หลายประเทศกำหนดไว้ ดังที่กล่าวแล้วว่า สาหร่ายทะเลสามารถดูดซับสารเคมีที่อยู่ในทะเลได้ หากขึ้นในบริเวณมีขยะปนเปื้อน ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งโรงงานตามริมทะเลที่มีนิสัยมักง่ายทิ้งลงทะเล สาหร่ายก็ดูดซับสารเหล่านั้นเข้ามาไว้ในเซลล์ ทั่วไปแล้วสาหร่ายทะเลแห้งมีสารหนูประมาณ 30 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งกล่าวได้ยากว่าอันตรายหรือปลอดภัย ในเภสัชตำหรับของยุโรป (Europian Pharmacopia) ยอมให้สาหร่ายเคลป์ที่ใช้ทำยาแผนโบราณมีสารหนูปนเปื้อนได้ถึง 90 ส่วนในล้านส่วน เพราะสารหนูในสาหร่ายทะเลนั้นอยู่ในรูปสารหนูอินทรีย์ซึ่งพิษค่อนข้างต่ำ แม้คนไทยไม่ได้บริโภคสาหร่ายทะเลเป็นอาหารหลักเหมือนกับคน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ จีน แต่เพื่อความปลอดภัยจึงมีผู้แนะนำในเน็ทว่า ให้กินสาหร่ายแห้งในปริมาณที่ไม่มากเกินปกติ ซึ่งกรณีสาหร่ายแห้งปรุงรสน่าจะไม่เกิน 1- 2 ซองต่อวัน และอย่ารับประทานติดต่อกันหลายวันนัก เพื่อลดโอกาสการสะสมของสารพิษที่อาจมี สำหรับผู้เขียนซึ่งเป็นแฟนพันธุทาง(คือดูบ้างไม่ดูบ้าง) ของเว็บพันทิปดอทคอมได้พบกระทู้ใน ห้องที่เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ ถามว่า “คือช่วงนี้ติดสาหร่ายทอดมากๆ ที่กินบ่อยมากๆ คือ ยี่ห้อXXXX  ค่ะ วันนึงประมาณ 3-4 ถุงใหญ่ค่ะ (ถุงนึงประมาณ 20 แผ่นมั้ง) ทำแบบนี้มาประมาณเดือนนึงละ จะมีอันตรายอะไรไหมคะ กลัวเรื่องเกลือเหมือนกันว่าจะมีโซเดียมเยอะ แต่ก็อร่อย แฮะๆ” มีผู้เข้ามาให้คำตอบประมาณว่า “พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ไขมันเยอะ อ้วน ผงชูรสเยอะมาก เกลือโซเดียมก็เยอะมาก ควรทำตามคำแนะนำข้างซอง บริโภคแต่น้อย ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ” ที่น่าสนใจคือมีสาวหนึ่งกล่าวว่า “สาหร่ายปรุงรสพวกนี้มีโลหะหนักปนเปื้อนค่ะ พวกสารหนู แคดเมียม ตะกั่ว ขึ้นอยู่กับแหล่งเพาะเลี้ยง ถ้าใกล้แหล่งอุตสาหกรรม สาหร่ายก็จะดูดซับโลหะหนักเข้าไปมาก แต่จากการสุ่มตรวจพบในปริมาณไม่เยอะค่ะ เพราะส่วนใหญ่จะล้างก่อนเข้ากระบวนการ แต่ก็ไม่ควรทานเยอะ โลหะหนักพวกนี้มันสะสมในร่างกาย นานๆ เข้าก็เป็นอันตราย ยิ่งเด็กเล็กจะมีผลต่อพัฒนาการและสุขภาพค่ะ” (สาวท่านนี้คงเข้าใจผิดว่า สารพิษที่อยู่ในอาหารทะเลนั้นเหมือนธุลีดินที่ติดเสื้อผ้า) ที่น่ากังวลใจคือ มีข้อมูลกล่าวว่า “ระวังจะเจอสาหร่ายปลอมด้วยนะคะ เคยเห็นในกระทู้ไหนจำไม่ได้แล้ว พี่จีนเอาถุงก๊อบแก๊บมาตี ๆ ปั่น ๆ แล้วอัดมาเป็นสาหร่ายก๊อปเกรด A” ดังนั้นการบริโภคสาหร่ายทะเลย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เลวได้ถ้ามันมากเกินไปและบ่อยเกินไป เพราะพาราเซลซัสบิดาแห่งวิชาพิษวิทยาได้กล่าวว่า อะไร ๆ ก็ตามในโลกนี้มีทั้งข้อดีและข้อเลว ขึ้นกับปริมาณและความถี่ที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการเดินสายกลางในด้านการกินจึงเป็นข้อปฏิบัติที่ดีสำหับผู้บริโภค //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 157 ฉลาดที่จะฉลาด

มีการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต วิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ค่อนข้างมากเกี่ยวกับการดื่มหรือบริโภคอาหารมหัศจรรย์บางชนิด ที่ทำให้มีเชาว์ปัญญาสูงขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองอย่างแท้จริงคือ น้ำตาลกลูโคส ซึ่งให้พลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินการส่งกระแสในระบบประสาทขณะคิด หลายท่านคงมีประสบการณ์ว่า ทันทีที่ความเข้มข้นของน้ำตาลนี้ในสมองต่ำลง ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นคือ ไขว่คว้าหาอาหาร(แป้งต่างๆ ) ที่ให้น้ำตาลดังกล่าวมาใส่ปาก ถ้าจะให้ดีต้องมีของแถมคือ สารต้านออกซิเดชั่น ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เนื่องจากเวลาสมองใช้น้ำตาลกลูโคสไปสร้างเป็นพลังงานนั้นมีการส่งผ่านอิเล็กตรอนเป็นจำนวนมาก โอกาสเกิดอนุมูลอิสระจึงสูง ดังนั้นเมื่อมีผู้ตั้งประเด็นถามกับผู้เขียนว่า ในทางด้านอาหารและโภชนาการแล้ว กินอะไรถึงจะทำให้เด็กฉลาด สอบเข้าเรียนต่อในสาขายอดนิยมในสังคมไทยของมหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ผู้เขียนจึงมักเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ เนื่องจากผู้เขียนไม่เชื่อว่า การกินอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้คนฉลาดขึ้น เพราะความฉลาดของคนนั้นขึ้นกับปัจจัยทั้งสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถทำได้ในช่วงสั้นๆ ก่อนสอบ นักวิชาการด้านการศึกษากล่าวว่า เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ปิดตนเองจากสังคม มักมีความสามารถในการนึกคิดแก้ปัญหาได้น้อยกว่าเด็กที่มีโอกาสเห็นอะไรต่อมิอะไรที่เกิดในสังคม ดังนั้นการให้ความรู้ต่างๆ ตั้งแต่เด็กยังเล็กจึงสำคัญมากต่อกระบวนการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหา แต่ที่สำคัญกว่าคือ การทำให้สมองของเด็กพร้อมเปิดรับการฝึกที่จะเรียนรู้   เราคงยอมรับกันว่า ถ้าเด็กได้กินดีอยู่ดี โอกาสที่เด็กจะฉลาดย่อมสูงขึ้น แต่เราก็ยังเห็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะการเงินดีทำความเลวได้สุดๆ ดังนั้นคำว่ากินดีอยู่ดีนั้นจะต้องควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมที่ดีรวมถึงการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องที่ครอบครัวป้อนให้ ผู้เขียนได้ลองสังเกตผู้คนที่อยู่ในสังคมของผู้เขียนก็พบว่า ปัจจัยที่ทำให้คนฉลาดคือ สมาธิ(รวมถึงความขยัน) หรือ พันธุกรรมที่ดี (คู่ไปกับอาหารและโภชนาการที่ดี) และถ้าจะฉลาดมาก ๆ ต้องมีทั้งสองปัจจัยไปด้วยกัน ก่อนจะไปต่อในเรื่องของความฉลาด คงต้องกลับมาทำความเข้าใจกันว่า ฉลาดและดี นั้นไม่ใช่คำเดียวกัน เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าในสังคมไทยนั้น คนโกงชาติมักเป็นคนฉลาดในการทำสิ่งที่ดีเฉพาะกับตนเอง โดยไม่สนใจผลว่าสิ่งที่ตนกระทำก่อความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างไร ดังนั้นจึงน่าจะสรุปได้ว่า ความพยายามหาทางให้เด็กไทยฉลาดนั้นยากหนักหนา แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ การหาทางกำกับให้เด็กไทยที่ฉลาดเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่คดในข้องอในกระดูกจนทำให้ประเทศไทยติดโผขี้โกงลำดับต้น ๆ ของโลก เราเชื่อกันว่าความฉลาดของคนอยู่ที่สมองซึ่งเป็นอวัยวะกำหนดความคิด สังเกตได้ว่าเด็กสองคนที่มองเห็นสิ่งเดียวกัน อาจแสดงออกถึงความเข้าใจหรือยอมรับในสิ่งที่เห็นต่างกัน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะมีอายุใกล้กันและเลี้ยงดูมาคล้ายกันเช่นพี่กับน้อง ผู้เขียนได้เข้าไปดูการบรรยายหนึ่งใน Youtube ซึ่งผู้บรรยายเป็นอาจารย์ด้านระบบประสาทท่านหนึ่งจากฮาร์วาร์ด ผู้บรรยายเล่าถึงการทดลองในสัตว์ทดลองว่า การที่สัตว์จะยอมรับรู้อะไรหรือไม่นั้นขึ้นกับว่าเซลล์ที่รับรู้นั้นทำงานถูกต้องหรือไม่ โดยหลักการแล้วเซลล์ที่เกี่ยวกับการรับรู้(เซลล์ประสาท) ต้องมีสุขภาพดีจากการได้รับสารอาหารเต็มที่(เด็กขาดสารอาหาร ไม่ว่าสารอาหารใด มักแสดงออกด้วยอาการปัญญาอ่อนที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม) จากนั้นการทำงานของเซลล์จึงเกิดขึ้นโดยมีการสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่ในการรับการกระตุ้นเพื่อส่งสัญญาณไปยังส่วนที่เกี่ยวกับการรับรู้ มีงานวิจัยทางด้านระบบประสาทสัมผัสเช่น กลิ่นรสที่จมูกหรือลิ้นสรุปผลว่า ถ้าโปรตีนที่เป็นตัวรับสัมผัสนั้นไปปรากฏที่เส้นประสาทที่ต่างกันผลย่อมต่างกัน กล่าวคือ ถ้าโปรตีนตัวรับสัมผัสไปปรากฏที่เส้นประสาทที่ทำให้เรารู้สึกชอบ การเรียนรู้ของสมองจะสอนให้ชอบกลิ่นหรือรสนั้น แต่ในทางตรงข้ามถ้าโปรตีนตัวรับสัมผัสไปปรากฏที่เส้นประสาทที่ทำให้เรารู้สึกไม่ชอบ การกระตุ้นระบบประสาทด้วยสิ่งเดียวกันย่อมส่งผลไปในทางตรงข้าม คำอธิบายนี้อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้เขียนถึงเกลียดกลิ่นคาวปลาต่างๆ จนแทบไปยอมกินอาหารที่มีปลาเป็นองค์ประกอบ ในขณะที่ทุกคนในครอบครัวชอบกินปลา ในระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ไม่ว่าจะค้นข้อมูลด้วยภาษาไทยหรืออังกฤษใน Google ก็พบว่ามีเว็บไซต์มากมายที่พูดถึง อาหารที่ทำให้สมองทำงานได้ดี ยิ่งถ้าไปดูใน Youtube ด้วยแล้ว มีนักวิชาการและนักวิชาเกินมากหน้าหลายตามาให้ข้อมูลซึ่งหลายคลิปแฝงการค้าเข้าไปด้วย ผู้ชมจึงควรใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้าช่วยในการตัดสินว่าควรเชื่อหรือไม่ อย่างไรก็ดีมีเว็บหนึ่งให้ความรู้ค่อนข้างกลางๆ เกี่ยวกับการทำให้มนุษย์มีประสาทรับรู้ดีขึ้นโดยเป็นบทความเรื่อง 10 Easy Ways To Boost Your Cognitive Performance ของ Gregory Myers (เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2013) ใน http://listverse.com   บทความนั้นกล่าวว่า มนุษย์ต้องใช้สมองคิดทุกวันเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ แต่ในหลายสถานการณ์เราต้องการให้สมองสามารถรับรู้เพื่อคิดดีขึ้นกว่าปรกติเช่น ขณะสอบข้อเขียน ขณะทำงานในโครงการสำคัญ หรือขณะที่พยายามเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ จึงมีความสำคัญที่จะต้องหาอะไรสักอย่างมากระตุ้นกระบวนการรับรู้ให้สามารถคิดได้ดีกว่าเดิม Gregory Myers กล่าวว่ามี 10 แนวทางที่น่าจะกระตุ้นให้การรับรู้เพื่อแก้ปัญหาดีขึ้น โดยมี 3 แนวทางที่เกี่ยวข้องกับการกิน ดังนี้ การดื่มกาแฟสามารถกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัว โดยมีข้อแม้ว่าต้องนอนหลับให้อิ่มก่อน (ไม่ใช่ดูบอลจนตีห้าแล้วดื่มกาแฟเพื่อเข้าสอบในตอนแปดโมงเช้า ชาติหน้าบ่ายๆ คงสอบผ่าน) งานวิจัยทางประสาทวิทยาหลายชิ้นกล่าวว่า สารแคฟเฟอีนในกาแฟเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัว มีสมาธิในงานที่น่าเบื่อหน่ายและปรับปรุงความคิดทุกอย่างที่เกี่ยวกับเชาว์ปัญญา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาประมวลเหตุผลและตอบสนองของสมองให้สั้นลง อย่างไรก็ดีการได้รับแคฟเฟอีนไม่ได้หมายความว่าผู้ได้รับมีสมองไวตลอดไป เพราะมันดีแค่เพียงช่วงที่แคฟเฟอีนออกฤทธิ์เท่านั้นเอง เครื่องดื่มอีกประเภทที่มีการแนะนำว่า ดื่มแล้วความคิดความอ่านอาจดีขึ้น(นักการเมืองหลายคนที่เป็นจอมเขียนโครงการจึงจมปลักอยู่กับมัน) คือ ไวน์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้นที่จะทำให้การรับรู้ของสมองดีขึ้น โดยคาดว่าเป็นผลเนื่องจากสารต้านออกซิเดชั่นในไวน์เป็นตัวรับผิดชอบ ประเด็นที่เป็นปัญหาคือ ปริมาณที่เหมาะสมในการดื่มนั้นมักถูกละเลย เนื่องจากผู้ดื่มลืมรับรู้ว่าควรพอแค่ไหน กลับเอาแต่สนุกกับความผ่อนคลายสมองมากไปจนเมาแม้ต้องเข้าประชุม…… แนวทางที่สามนั้นไม่ใช่ตัวอาหารแต่เป็นการปรับพฤติกรรมการการกินที่แปลกมาก โดยแนะนำว่า ถ้าอยากให้สมองแล่นควรงดอาหารก่อนทำกิจสำคัญ ทั้งนี้เพราะมีงานวิจัยของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยลพบว่า หนูทดลองที่ถูกงดให้อาหารมีการรับรู้ต่อข้อมูลดีกว่าอีกกลุ่มที่ได้อาหาร ผลการทดลองนี้นักวิจัยอภิปรายสรุปความหมายว่า เราน่าจะทำงานได้ดีขึ้นเพราะเราต้องการให้มันเสร็จเสียทีเพื่อจะได้กินอาหาร คล้ายกับเป็นการสร้างแรงจูงใจของพระเจ้าตากสินที่สั่งทุบหม้อข้าวก่อนการบุกยึดเมืองจันทบุรีกระมัง ดังนั้นโดยสรุปแล้วการที่เด็กจะฉลาดหรือไม่ฉลาดนั้น อาจต้องรอการค้นคว้าในอนาคตที่สามารถพิสูจน์ได้จริงทางวิทยาศาสตร์ว่า ปัจจัยการกินอาหารอะไรหรือใช้กระบวนการอย่างไรจึงทำให้สมองเด็กฉลาดถาวรพ่วงกับการเป็นคนดีของสังคมด้วย   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 156 หลับไม่เต็มตื่น

เช้าตรู่ (ประมาณ 5.45 น) ของวันหนึ่งในเดือนมกราคม 2557 ผู้เขียนได้ดูสารคดีสั้นจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งมีรายการข่าวค่อนข้างเช้าให้ข้อมูลว่า ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วดื่มนมจะทำให้กลับไปนอนหลับต่อได้ดี โดยให้เหตุผลซึ่งฟังแล้วรู้สึกว่า คนจัดหาข้อมูลนั้นพยายามน้อยไปหน่อยหรือขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิงอย่างน่าใจหาย จึงเขียนเหตุผลทำให้พิธีกรหญิงต้องเพ้อเจ้อว่า การดื่มนมทำให้ผู้ดื่มระลึกถึงสมัยเป็นทารกที่ได้ดื่มนมแม่แล้วรู้สึกสบายจึงนอนหลับได้ ผู้เขียนแทบไม่เชื่อหูในเหตุผลดังกล่าว แต่ก็ฉุกใจว่าควรคิดให้รอบคอบก่อน มันอาจจะเป็นความรู้ใหม่ที่มีผู้รู้ค้นพบ ดังนั้นจึงลองใช้ google ค้นหาคำอธิบายในเรื่องดังกล่าวจากคนไทยทั่วไปในอินเตอร์เน็ตก็พบว่า ส่วนใหญ่แล้วอธิบายประเด็นคำถามนี้ด้วยเหตุผลเดิมๆ ว่า การดื่มนมแล้วนอนหลับง่ายขึ้นเพราะ นมนั้นเป็นเครื่องดื่มที่มีกรดอะมิโนอิสระคือ ทริปโตเฟน ซึ่งร่างกายเราสามารถดูดซึมแล้วนำไปเปลี่ยนแปลงเป็นสารชีวเคมีชื่อ เมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งออกฤทธิ์ที่สมองซึ่งเป็นตัวควบคุมการนอนหลับของมนุษย์และสัตว์ชั้นสูงส่วนใหญ่   ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ชื่อทางชีวเคมีของเมลาโทนินคือ N-[2-(5-methoxy-1H-indol-3-yl)ethyl]acetamide ซึ่งเป็นสารที่ถูกสร้างภายในต่อมไพเนียล (Pineal gland) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อในสมองโดยใช้กรดอะมิโนทริปโตเฟน ซึ่งได้จากการกินอาหารและการสลายตัวของโปรตีนในร่างกายเป็นสารตั้งต้น แล้วส่งไปทำงานทั่วร่างกาย จึงถูกจัดว่าเป็นฮอร์โมนธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเฉื่อยชารวมถึงอุณหภูมิของร่างกายลดต่ำลง ร่างกายจึงเข้าสู่สภาวะต้องการนอนหลับ การหลั่งของฮอร์โมนชนิดนี้ถูกกระตุ้นโดยความมืดและถูกยับยั้งโดยแสง ระดับของเมลาโทนินลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเช้ามืดของวันใหม่ และมีต่ำมากในตอนกลางวันถ้าอยู่ในที่มีแสงสว่าง ดังที่เราเกือบทุกคนเป็นเหมือนกันคือ ถ้าอยู่ในที่มืดนาน ๆ จะเกิดอาการง่วงนอน ดังนั้นอุบัติเหตุที่เกิดเนื่องจากการเดินทางด้วยพาหนะจึงมักเกิดตอนกลางคืน ส่วนอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดตอนกลางวันมีแดดจ้านั้นคงไม่เกี่ยวกับเมลาโทนิน แต่คงเป็นเพราะร่างกายมันล้า อ่อนเพลียทนไม่ไหวแล้วมากกว่า ระดับของเมลาโทนินนั้นเพิ่มขึ้นสูงสุดในเด็กที่มีสุขภาพดีทั่วไปช่วงหลังเที่ยงคืน ส่วนผู้สูงอายุนั้นระบบการสร้างเมลาโทนินจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ การศึกษาในสัตว์ทดลองแสดงให้เห็นว่า การหลั่งเมลาโทนินลดลงมีความสัมพันธ์กับกลไกการชราภาพ ซึ่งเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า ทำไมผู้สูงอายุจึงพบกับปัญหาในการนอนไม่หลับมากกว่าผู้ที่อายุยังน้อย เมลาโทนินนี้เป็นสารชีวเคมีที่พบในพืชด้วย กล่าวกันว่าสารชีวเคมีนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของส่วนลำต้นของพืชแต่ลดการเจริญของราก และที่สำคัญคือเป็นสารต้านออกซิเดชั่นซึ่งพืชที่กำลังเจริญเติบโตต้องการมาก สารนี้พบได้ในพืชหลายชนิดได้แก่ feverfew (ลักษณะคล้ายดอกเก็กฮวย) Saint John’s wort ข้าว ข้าวโพด มะเขือเทศ ผลไม้หลายชนิดเช่น กล้วย สับปะรด เชอรี่ องุ่น และส้ม และที่เป็นที่รู้กันว่าดื่มเมื่อไรมีโอกาสหลับได้ง่ายคือ ไวน์และเบียร์ ดังนั้นการบริโภคอาหารดังตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้ ความเข้มข้นในเลือดของเมลาโทนินย่อมสูงขึ้นได้ ส่งผลให้ท่านอาจหลับในช่วงเวลาทำงานได้ไม่ยาก ซึ่งน่าจะใช้เป็นเหตุผลในการอ้างถึงการหลับกลางวันของหลายท่านได้อย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการผลิตเมลาโทนินไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดก็ผลิตเมลาโทนินในเวลากลางคืนได้เช่นกัน โดยเฉพาะวัวจะผลิตด้วยกลไกเดียวกันกับมนุษย์ โดยส่งผ่านจากกระแสเลือดเข้าไปในน้ำนม ทั้งนี้ปริมาณเมลาโทนินขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของกลางวันและกลางคืน ผสมผสานไปกับอาหารที่วัวได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบแสงที่ออกแบบพิเศษในการเลี้ยงวัวนม มีผู้รายงานว่าน้ำนมนี้มีเมลาโทนินสูงขึ้นกว่านมทั่วไปถึง 1 ใน 3 เท่าของนมปกติ จึงมีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งร่วมกับบริษัทผลิตนมบริษัทหนึ่งในประเทศไทยขอจดสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตแบบนี้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในระหว่างการขอจดทะเบียนยาอีกด้วย ซึ่งประการหลังนี้ผู้เขียนค่อนข้างประหลาดใจในความคิดเป็นอย่างมากว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะยังไม่เห็นผลการศึกษาในคนว่า คนที่ดื่มนมพิเศษนี้นอนหลับง่ายกว่าคนที่ดื่มนมปรกติ ผู้เขียนเป็นคนมีกรรม เวลาต้องไปนอนต่างถิ่นมักนอนไม่ค่อยหลับ ยิ่งถ้าต้องไปนอนในต่างประเทศยิ่งมีปัญหาเนื่องจากเวลาเปลี่ยนไป อาการนี้หลายท่านคงทราบดีว่าฝรั่งใช้ศัพท์ว่า Jet lag มีงานวิจัยหลายชิ้นที่รายงานความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเมลาโทนินในการแก้อาการ Jet lag ด้วยวิธีการวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis) [เป็นวิธีการนำงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่ทำเรื่องเดียวกัน แล้วนำมาตัดสินความน่าจะเป็นไปได้โดยรวมด้วยวิธีทางสถิติชั้นสูง เพื่อให้ได้คำตอบว่า ประเด็นที่เป็นปัญหานั้นใช่หรือไม่ แต่สถิติก็คือสถิติซึ่งเป็นวิชาที่เข้าถึงได้ยากของคนทั่วไป] ที่เปิดเผยข้อมูลโดย องค์กรความร่วมมือคอเครน (Cocrane) ของประเทศอังกฤษว่า การใช้เมลาโทนินที่ปริมาณ 0.5 - 5 มิลลิกรัมหรือไม่ใช้ในคนที่มีสภาวะ Jet lag นั้นให้ผลในการบรรเทาอาการไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากใช้ที่ปริมาณมากกว่า 5 มิลลิกรัมขึ้นไปจะทำให้เวลาในการเคลิ้มหลับสั้นลง และยิ่งเห็นผลชัดมากขึ้นในคนที่ข้ามโซนเวลาคือ บินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก การวิเคราะห์อภิมานอื่นๆ กลับพบว่า เมลาโทนินไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ได้อย่างชัดเจนสำหรับอาการ Jet lag รวมทั้งไม่ได้ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในกรณีที่เกิดอาการนอนไม่หลับสำหรับผู้ที่ทำงานเป็นกะ นอกจากนี้เวลานอนหลับโดยรวมก็ไม่ได้นานอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการจะบริโภคเมลาโทนินเพื่อช่วยในการนอนหลับนั้น ผู้บริโภคควรใช้วิจารณญาณอย่างเต็มที่ ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ถามขณะฟังการบรรยายวิชาการของผู้เขียนว่า “เวลานอนไม่หลับกลางดึกของคืนที่ต้องนอนให้หลับเพราะพรุ่งนี้มีกิจกรรมสำคัญต้องทำ ควรทำอย่างไรเพื่อให้หลับ” คำตอบจากผู้เขียนนั้นอาจไม่ใช่คำตอบที่เป็นยาครอบจักรวาล แต่มักใช้ได้ผลกับผู้เขียนเองคือ “ช่างหัวมัน อย่าหวังว่าจะหลับ ปล่อยตามสบาย ถ้าจะไม่หลับก็แสดงว่า ร่างกายพักผ่อนพอแล้ว ให้ทำเป็นนอนเล่นสบาย ๆ ไม่คิดอะไร จากนั้นเผลอประเดี๋ยวเดียว เช้าแล้ว” สำหรับผู้เขียนในปัจจุบันนี้สามารถนอนหลับได้ง่ายเพราะ สามารถทำใจให้โปร่งสบาย ไม่คิด (แค้นใคร) ไม่เครียด (เพราะเกษียณแล้ว) และไม่เข้านอนหลัง 4 ทุ่ม (เพราะรายการทีวีไม่ค่อยได้เรื่อง กำลังรอดิจิตอลทีวีอยู่) ส่วนการกินอาหารที่มีเมลาโทนินหรือสารตั้งต้นคือ ทริปโตเฟน นั้นก็เป็นตัวช่วยได้ในกรณีที่นอนหลัง 4 ทุ่ม ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างตามบุญตามกรรม แต่ไม่เคยกินสารเมลาโทนินที่สังเคราะห์ใส่ขวดขายเพราะมันเป็นกาลกิณีต่อกระเป๋าสตางค์นั่นเอง   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 ข้าวนอกบ้าน(เพื่อสุขภาพ)

สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขอเล่าเรื่องต่อจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลจาก www.nhs.uk โดยหัวข้อที่เลือกในฉบับนี้ชื่อว่า Healthy eating out หรือ กินข้าวนอกบ้านเพื่อสุขภาพ ซึ่งดูเหมาะกับสภาวะความเป็นอยู่ของคนเมืองใหญ่ที่หลายคนต้องอยู่คอนโดมิเนียม NHS ให้ความรู้แก่คนอังกฤษว่า ถ้าต้องไปกินอาหารนอกบ้านตามร้านจานด่วนหรือภัตตาคาร โอกาสเจออาหารที่ดีนั้นยังมีอยู่ ทั้งนี้เพราะอาหารที่จะมาวางบนโต๊ะนั้นเป็นการเลือกของคุณเอง ที่สำคัญคุณต้องสามารถมองออกว่า อาหารแต่ละจานที่วางบนโต๊ะนั้นเป็นประเภท กินแล้วอ้วนแน่ เบาหวานถามหา หรือความดันขึ้นสูงหรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้อาหารที่ก่ออันตรายในลักษณะดังกล่าวมีอยู่ สำหรับคนไทยแล้วคุณมีสิทธิเลือกจะไม่กิน หรือกินแต่พอรู้รส ทั้งนี้เพราะความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การได้กินของที่ชอบ แต่ต้องกินแบบมีสติสัมปชัญญะ คือ รู้ว่าควรกินเท่าไรแล้วควรไปตัดบางส่วนของอาหารชิ้นอื่นออกท่าไร เช่น ถ้าใจมันอยากกินข้าวขาหมูและได้พยายามไม่กินส่วนที่เป็นหนังมัน ๆ แล้ว ท่านยังต้องมองที่จะตัดอาหารอื่นที่ให้พลังงานสูง เช่น แกงกะทิ ออกไปด้วย เพราะยังไง ๆ ข้าวขาหมูก็ต้องมีมันบ้างไม่มากก็น้อย   ความรู้หนึ่งที่ท่านผู้อ่านควรมีไว้ประดุจเป็นอาวุธต่อสู้โรคภัยจากการกินคือ รู้ว่าอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ ขาหมูพะโล้ หมูกรอบ กุนเชียง ไอศกรีมทำเอง (ซึ่งอุดมทั้งนมเนยไข่) รู้ว่าอาหารอะไรมีน้ำตาลสูงเช่น น้ำชานั้นโดยธรรมชาติมีรสขม ถ้าจะทำให้หวานสดชื่นจะต้องใส่น้ำตาลหลายช้อนโต๊ะ ส่วนน้ำมะตูมนั้นแม้ไม่หวานนัก แต่ก็มีความหอมธรรมชาติที่ไม่ต้องเติมน้ำตาลมากก็ทำให้เกิดความชื่นใจได้ ผู้เขียนนั้นได้รับการสอนมาไม่ให้กินทิ้งกินขว้าง จึงมักกินอาหารในลักษณะที่ล้างจานได้ง่าย ในขณะที่หนุ่มสาวปัจจุบัน สั่งอาหารกินตามที่ตาเห็นว่าน่ากิน แต่พอเข้าปากแล้วไม่ถูกใจ ก็เลิกกินอาหารจานนั้น ซึ่งดูแล้วขัดตาผู้เขียนยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารจนหมดจานก็ได้ (แม้ว่ามันจะสุดอร่อย) เมื่อรู้สึกอิ่มแล้วก็หยุดกิน ฝรั่งใช้สำนวนว่า “You don't need to clear your plate. Instead, eat slowly and stop when you are full.” วิธีนี้ทำให้ความเสี่ยงในการกินอาหารเกินจำเป็นลดลง หลายท่านอาจเคยเตลิดเปิดเปิงไปกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง ถ้าต้องไปงานเลี้ยงที่สอดแทรกการทะนุบำรุงวัฒนธรรมการกินอาหารไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน ฯลฯ นั้นเมื่อกินแล้วมักหยุดยาก จึงต้องมีใจหนักแน่น หายใจเข้านึกรู้ว่าอ้วนแน่ หายใจออกนึกรู้ว่าโรคถามหา ที่สำคัญถ้าไปงานเลี้ยงแบบฝรั่ง ซึ่งขนมนมเนยเต็มที่นั้น ขอให้มองให้ออกว่า ประตูสู่นรกของสุขภาพเลวเปิดกว้างแล้ว บทความ Healthy eating out นั้นมีเรื่องที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ คำแนะนำให้เปลี่ยนใจไม่กินอาหารอย่างหนึ่งไปกินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าว่า food swap ซึ่งน่าจะมีความหมายใกล้กับคำว่า food exchange แต่ไม่เหมือนกันทีเดียวเพราะ food swap นั้นเป็นการมองที่ชนิดอาหารโดยรวม ในขณะที่ food exchange นั้นมองลงลึกถึงองค์ประกอบทางโภชนาการของอาหารที่เทียบเท่ากัน ตัวอย่างของ food swap คือ คำแนะนำเมื่อไปกินอาหารตามภัตตาคารเช่น ถ้าเบื่อเนื้อไก่ไม่มีหนังนั้นสามารถเปลี่ยนไปกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอื่นเช่น แฮม หรือปลา (ซึ่งไม่ได้ทำให้สุกโดยการทอด) ถ้าไม่ต้องการกินขนมพาย เบคอนและไส้กรอก ก็หันไปกิน pulses ซึ่งหมายถึง เมล็ดถั่วต่าง ๆ ส่วนเครื่องปรุงเช่น ซอสที่มีครีมและเนยแข็งนั้นควรเปลี่ยนไปใช้ซอสที่ทำจากผักหรือผลไม้เช่น ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น ผู้เขียนนั้นค่อนข้างเห็นด้วยกับการใช้ food swap มากกว่า food exchange เพราะถ้าจำเป็นต้องกินสลัดเพื่อให้ได้ผัก ตามภัตตาคารมักทำสลัดแบบฝรั่งซึ่งมีน้ำสลัดที่มีค่าพลังงานสูง ทั้งที่คนไทยควรกินสลัดผักไทยคือ ส้มตำ ซึ่งสามารถเปลี่ยนชนิดของผักเป็นอะไรก็ได้ อีกทั้งน้ำสลัดของส้มตำนั้นพลังงานต่ำมาก ส่วนในกรณีท่านที่พ้นวัยรุ่นมาหลายฝนแล้วแต่ยังต้องการดื่มนมก็น่าจะเป็นการดื่มนมถั่วเหลือง เพราะมีไขมันต่ำและมีสารไฟโตเคมิคอลซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม บทความกินอาหารนอกบ้านเพื่อสุขภาพได้มีการแนะนำเคล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเลือกสั่งอาหารในเมนูที่เขียนว่า เพื่อสุขภาพ (ซึ่งในร้านอาหารบ้านเรายังไม่มี) บริกรในประเทศพัฒนาแล้วมักอธิบายได้ว่า มันเป็นอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลใด ความจริงอาหารไทยเช่น แกงป่าต่าง ๆ ส้มตำ ขนมถั่วแปบนั้นจัดเป็นอาหารสุขภาพได้เลย ในหลายประเทศที่เจริญแล้ว เมนูของร้านอาหารนั้นได้มีการกำกับจำนวนพลังงานที่ท่านจะได้รับโดยประมาณไว้ด้วย ซึ่งประเทศไทยน่ามีกฎหมายบังคับกับอาหารจานด่วนที่วัยรุ่นชอบกิน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถกำหนดได้ว่า จะกินอะไรบ้างเพื่อไม่ให้พลังงานที่ได้รับต่อวันไม่เกินไปจากที่ควรเป็นคือ หญิง 2000 กิโลแคลอรี และชาย 2500 กิโลแคลอรี ประเด็นหนึ่งที่บทความดังกล่าวย้ำเน้นคือ เมื่อไปรับประทานอาหารตามร้านนั้น ผู้บริโภคมักไม่เคยได้เห็นว่า พ่อครัวหรือแม่ครัวได้ทำการปรุงอาหารในลักษณะใด  ผู้บริโภคจึงควรบริหารสิทธิโดยถามว่า อาหารแต่ละจานนั้นปรุงแบบใดเช่น กรณีของคนไทยกินก๋วยเตี๋ยว ควรถามผู้ปรุงหรือสำทับหลังสั่งอาหารว่า ไม่ต้องใส่ผงชูรส (เพิ่มจากที่มีอยู่ในน้ำซุปแล้ว) เป็นต้น เรื่องการถามวิธีการปรุงอาหารนี้ไม่สำคัญเลยถ้าท่านไปโจ้ส้มตำไก่ย่างข้างปัมพ์น้ำมัน เพราะเราเห็นได้แน่ ๆ ว่า แม่ค้าปรุงอาหารสะอาดหรือสกปรกเพียงใด เติมอะไรให้เรากินบ้าง น้ำมะนาวนั้นเป็นมะนาวเทียมหรือเปล่า (ถ้าสนใจสังเกต) สิ่งที่สำคัญในกรณีของส้มตำนั้น ควรมีคำถามติดปากว่า ปูเค็มหรือปลาร้า นั้นสุกหรือไม่ มิเช่นนั้นถ้าติดเชื้อที่ทำให้ท้องเสียแล้วก็ไม่ควรบ่นให้เสียเวลา เพราะเข้าตำราว่า กินอยู่กับปาก (อ)ยากอยู่กับท้อง ในยุคสมัยที่คนไทยยอมรับกันแล้วว่า วัฒนธรรมการกินของคนไทยในเมืองใหญ่นั้นไม่ต่างจากชาวตะวันตก เพราะชีวิตมันรันทดนัก ต้องเร่งรีบซื้อ รีบกิน รีบกลับไปทำงาน ดังนั้นอาหารที่กินง่ายเช่น แซนด์วิชจึงตอบสนองกับรูปแบบชีวิตได้ดี บทความดังกล่าวได้แนะว่า ถ้ายังมีโอกาสทำแซนด์วิชไปกินเองที่ทำงานก็ควรทำ เพราะประหยัดเงินและสามารถจัดให้อาหารจานด่วนนี้มีคุณค่าทางโภชนาการดูดีและสะอาดเท่าที่เราต้องการ เช่น การเลือกใช้ขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีไม่ขัดสี การใส่ผักในแซนด์วิชให้มากพอที่ควรลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ผู้เขียนไม่กล้าใช้คำว่า โภชนาการครบ กับการกินอาหารประจำวัน เพราะจริง ๆ แล้วมีใครบ้างสามารถทำให้อาหารแต่ละจานมีคุณค่าโภชนาการครบได้จริง ที่เป็นไปได้ก็แค่ดูเหมือนครบ ซึ่งแค่ดูเหมือนก็คงพอแล้ว เช่น ขอให้มีผักผลไม้ประมาณกึ่งหนึ่งในมื้ออาหาร เป็นต้น ประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากต่อผู้ที่ต้องซื้ออาหารกินคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดมักเน้นย้ำว่า ท่านต้อง “อ่านฉลาก” ที่ติดที่ภาชนะบรรจุอาหารให้เข้าใจทุกครั้งว่า ท่านได้สารเจือปนในอาหารสักเท่าไร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารที่ได้จากผู้ผลิตซึ่งทำตามมาตรฐานที่ดีแล้ว จะบอกสิ่งสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ผู้บริโภคควรรู้ต่าง ๆ เช่น ปริมาณเกลือ สำหรับผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่ปรกติ เป็นต้น ดังนั้นท่านอาจต้องทำป้ายติดที่โต๊ะอาหารว่า วันนี้คุณอ่านฉลากอาหารแล้วหรือยัง   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 อาหารใส่ปากและการคำนวณแคลอรี่

ฉบับที่แล้วผู้เขียนได้เขียนถึงอาหารที่ควรใส่บาตรให้พระสงฆ์ จากนั้นก็มานึกได้ว่า แล้วอาหารที่ควรใส่ปากเรานั้นน่าจะเป็นอย่างไรดี ความจริงประเด็นนี้หลายท่านคงพอนึกออกแล้ว และบางท่านได้กระทำมาเป็นเวลานานด้วย ในฉลาดซื้อฉบับนี้ผู้เขียนจึงเพียงหวังเพื่อกระตุ้นหรือเสนอทางเลือกใหม่ในการหาความรู้เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ เนื่องจากผู้เขียนได้ไปพบเว็บหนึ่งบนอินเตอร์เน็ตชื่อ www.nhs.uk NHS (National Health Service) เป็นองค์กรอิสระสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ ตั้งขึ้นมาตามพระราชบัญญัติชื่อ Health and Social Care Act 2012 คำว่า “องค์กรอิสระ” นี้เรียกกันเป็นทางการว่า Non Departmental Public Bodies (NDPB) ซึ่งอังกฤษมีเป็นจำนวนมากทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งระดับชาติถึงระดับท้องถิ่น องค์กรอิสระในอังกฤษนั้นรับผิดชอบงานที่ไม่เหมาะจะให้รัฐเป็นผู้กระทำการเอง หรือเพื่อเป็นการขยายการมีส่วนร่วมของประชาชน สำหรับบ้านเรานั้นองค์กรอิสระที่มีลักษณะเดียวกันคือ “ไทยพีบีเอส” ความน่าสนใจของเว็บนี้คือ มีบทความซึ่งอ่านไม่ยากนัก(แต่จะลำบากสำหรับท่านที่มีอาการภาษาอังกฤษเป็นพิษ) หลายเรื่องซึ่งอาจตอบปัญหาที่ค้างคาใจผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรด้านโภชนาการได้ ที่จะกล่าวถึงในฉบับนี้คือ ในการกล่าวถึงอาหารที่ให้พลังงาน 100 แคลอรี ท่านผู้อ่านสามารถยกตัวอย่างได้หรือไม่ว่าได้แก่อะไร ปริมาณเท่าใดบ้าง ถ้าคำตอบคือ ไม่ ท่านน่าจะไปลองอ่านบทความเรื่อง What does 100 calories look like? ในบทความ What does 100 calories look like? นั้น กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องเข้าใจว่า แคลอรี(ซึ่งความหมายจริง ๆ ทางโภชนาการนั้นคือ กิโลแคลอรี) ซึ่งเป็นหน่วยวัดของพลังงานที่ได้จากอาหารนั้นจำเป็นอย่างไร เพราะถ้าท่านไม่สามารถประเมินได้ว่า การกินอาหารของท่านแต่ละมื้อนั้นท่านได้พลังงานสักเท่าไร โอกาสที่ท่านจะได้รับพลังงานจากอาหารเกินกว่าที่ต้องการและถูกนำไปสะสมในรูปไขมันโดยเฉพาะที่หน้าท้องก็มีมาก ท่านผู้อ่านอาจเคยได้ยินเพื่อนบางคนที่พยายามดูแลสุขภาพตนเองพูดเป็นเชิงว่า “วันนี้กินอาหารมากเกินไปหน่อยเพราะมันอร่อยจนอดใจไม่ได้ เดี๋ยวต้องไปวิ่งเพื่อรีดไขมันออกบ้าง” โดยมีความหมายในเชิงว่า จะได้ไม่ต้องกังวลต่อการขึ้นของน้ำหนักตัว ซึ่งร้อยทั้งร้อยมักเอาออกได้ไม่หมด ยกเว้นเพื่อนผู้นั้นเป็นผู้ที่รักในการเล่นกีฬาแบบจริงจัง หลังจากได้ทราบความหมายของคำว่า แคลอรี จากบทความดังกล่าวแล้ว ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจมีอาการเหมือนผู้เขียนคือ ลืมคำจำกัดความนี้ได้ในทันทีที่ละสายตาไปอ่านบรรทัดต่อไป เพราะสำหรับผู้เขียนแล้วมันดูไม่มีความหมายอะไรนัก เพราะสิ่งที่อยากรู้นั้นอยู่ในตอนต่อไปของบทความ ข้อมูลหนึ่งที่นักโภชนาการ(ซึ่งผู้เขียนไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มนี้) มักบอกกับคนทั่วไปว่า ผู้หญิงควรได้รับพลังงานจากอาหารโดยเฉลี่ยต่อวันคือ 2000 แคลอรี ส่วนผู้ชายนั้นตัวเลขคือ 2500 แคลอรี ข้อมูลนี้ค่อนข้างหยาบมาก เพราะควรบอกเป็นจำนวนแคลอรีต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม เนื่องจากมนุษย์ไม่ว่าเพศใด น้ำหนักตัวควรเป็นไปตามความสูง เช่น สตรีสูง 100 เซนติเมตร ถ้าได้พลังงาน 2000 แคลอรี ก็ย่อมอ้วนได้ ต่างจากสตรีที่สูง 200 เซนติเมตรซึ่งจะดูผอมทันที อย่างไรก็ดี ตัวเลข 2000 และ 2500 ก็ยังเป็นที่นิยมของนักโภชนาการอยู่ดี ก่อนที่จะรู้ว่ากินอะไรจึงจะได้พลังงานที่เพียงพอในแต่ละวัน บทความดังกล่าวได้กล่าวถึงสัดส่วนของพลังงานที่คุณควรได้ในแต่ละวันว่า มื้อเช้าควรให้พลังงานร้อยละ 20 มื้อเที่ยงให้ร้อยละ 30 และมื้อค่ำให้อีกร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ 20 นั้นอาจได้จากขนมนมเนยและเครื่องดื่ม ซึ่งก็ดูเป็นธรรมดี เพราะการห้ามมนุษย์กินขนมนั้นเป็นการทารุณจิตใจมาก นักโภชนาการไทยหลายคนนิยมห้ามในเรื่องนี้ จึงทำให้คำปรึกษาในเรื่องการจำกัดน้ำหนักต่อผู้เป็นโรคอ้วนล้มเหลว เพราะมันฝืนธรรมชาติของมนุษย์เกินไป เมื่ออ่านบทความนี้จบผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า สิ่งที่กล่าวในบทความนี้เป็นหลักการง่ายของ food exchange เพื่อให้เราเตือนตัวเองว่า เช้าวันนี้กินขนมมากเกินไปแล้ว ควรลดปริมาณอาหารในมื้ออื่นเพื่อให้ปริมาณพลังงานรวมในวันนั้นไม่เบี่ยงเบนไปจากค่าที่มีการแนะนำ บทความได้ยกตัวอย่างพร้อมรูปภาพปริมาณอาหารที่ให้พลังงาน 100 แคลอรี ซึ่งความรู้นี้เมื่อทำให้ง่ายแล้ว ประชาชนบางส่วนน่าจะใช้ประเมินปริมาณพลังงานที่ได้รับแต่ละมื้อ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการควบคุมน้ำหนักตัว ส่วนข้อมูลในลักษณะเดียวกันที่เป็นภาษาไทยนั้น ผู้เขียนคิดว่าน่าจะมีใครสักคนทำไว้บ้างแล้ว แต่จากการเข้าเว็บเจ้าประจำที่มักดูคือ เว็บของสำนักโภชนาการ กรมอนามัยนั้น มีเอกสารให้ดูแต่เข้าใจยากเพราะมองไม่เห็นภาพ ตัวอย่างเช่น ตารางปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว นึกภาพไม่ออกเลยเพราะเป็นตัวเลข ซึ่งต้องมาจากการนำเอาพลังงานจากที่ผู้บริโภคได้รับจากอาหารแต่ละชนิดมาบวกกัน อย่างไรก็ดีเมื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลใน google โดยใช้คำว่า อาหารแลกเปลี่ยน (food exchange)  ผู้เขียนก็ได้พบข้อมูลที่มีการทำเป็นตารางว่า อาหารแต่ละชนิดในปริมาณหนึ่งนั้นให้พลังงานเท่าใด ซึ่งน่าจะพอทำให้กะได้ว่าท่านได้รับพลังงานสักเท่าใดในแต่ละมื้อ ท่านผู้อ่านเข้าไปดูตารางนั้นดูได้จาก www.bloggang.com/data/l/lovelydear/picture/1280891409.png ตัวอย่างปริมาณอาหารที่ให้พลังงาน 100 แคลอรี ได้จาก www.nhs.uk ที่น่าสนใจอีกเว็บคือ เว็บของคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งมีเอกสารชื่อ รายการอาหารแลกเปลี่ยน เขียนโดย อาจารย์ศรีสมัย วิบูลยานนท์ ซึ่งมีรูปภาพน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้การกะระดับพลังงานที่ได้ในแต่ละมื้อเป็นไปอย่างสะดวกนัก ท่านผู้สนใจเข้าไปดูได้ที่ www.si.mahidol.ac.th/th/division/diabetes/admin/news_files/12_44_1.pdf ความสามารถในการกะปริมาณพลังงานในอาหารที่บริโภคนั้น เป็นเรื่องน่าจะสำคัญมากในเรื่องสุขภาพของคนไทย ดังนั้นในการปรับปรุงระบบการศึกษาใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการนั้น น่าจะบรรจุเรื่องง่าย ๆ ที่ทำได้แล้วส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน เช่น การกะปริมาณพลังงานจานอาหารแต่ละมื้อก็จะดี //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 153 ตักบาตรให้ได้บุญ

ชาวพุทธส่วนใหญ่มักได้รับการปลูกฝังให้ทำบุญใส่บาตรเพื่อจะได้มีชาติหน้าที่ดี ทั้งที่ไม่เคยรู้เลยว่า ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนหรือไม่ แต่ต่างก็แอบหวังว่าชาติหน้าน่าจะได้เป็นคน โดยมีบุญที่เกิดจากการทำในชาตินี้ไปรอตอบสนอง ขนาดบางวัดมีการนำเอาเรื่องบุญมาคำนวณว่า ทำเท่าไรได้ขึ้นสวรรค์ชั้นใด ดังนั้นการทำบุญหวังผลจึงเกิดกันทั่วไป สำหรับเรื่องการใส่บาตรนั้น ผู้เขียนก็ทำบ้างไม่ทำบ้างแล้วแต่จังหวะเหมาะ วันหนึ่งในเดือนกันยายน 2556 (ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของการรับราชการของผู้เขียนแล้ว) ก็มีนักข่าวจากโทรทัศน์ช่องหนึ่ง สนใจสัมภาษณ์ผู้เขียนในเรื่องเกี่ยวกับอาหารสำหรับการใส่บาตร จึงทำให้ผู้เขียนต้องมานั่งสำรวจตัวเองว่า เวลาใส่บาตรผู้เขียนทำอย่างไร เท่าที่จำความมา ผู้เขียนมักใส่บาตรพร้อมกับภรรยาเป็นประจำ เพราะผู้หญิงมักเป็นคนคิดถึงบุญกรรม ชาติหน้า ชาติก่อน มากกว่าผู้ชาย ของใส่บาตรนั้นส่วนใหญ่แล้วมักใส่ข้าวสารอาหารแห้งเป็นประจำ โดยหวังว่าพระจะได้มีของไว้ฉันในวันที่มีคนใส่บาตรน้อยเช่น วันฝนพรำ แต่เมื่อถามว่าอาหารที่ใส่นั้นครบถ้วนทางโภชนาการหรือไม่ คำตอบก็เป็นอย่างที่เดากันได้ว่า ไม่น่าครบ ส่วนที่ขาดมักเป็นผักและผลไม้ ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า จะพยายามแก้ในสิ่งนี้ให้ได้   ก่อนให้สัมภาษณ์นักข่าวนั้นผู้เขียนได้เข้าไปตรวจดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่า ประเด็นเกี่ยวกับ พระ โภชนาการ และการใส่บาตร นั้นมีเว็บใดกล่าวถึงกันบ้าง ผลปรากฏว่ามีน้อยมาก ไม่กี่สิบเว็บ แต่ก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า มีการกล่าวถึงชนิดของอาหารที่ควรใส่บาตรให้พระสงฆ์ เพื่อให้พระนั้นมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะบางเว็บได้กล่าวถึงการที่พระสงฆ์มีสุขภาพไม่ค่อยดี มีโรคที่เกิดเนื่องจากความเสื่อมเช่น ความดันสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน ฯ เร็วกว่าคนธรรมดา ซึ่งสาเหตุนั้นหลายท่านคงเดาได้ว่า คนไทยใส่บาตรนั้นต่างพยายามใส่อาหารที่ตนคิดว่าอร่อยที่สุด (เผื่อชาติหน้า) โดยไม่ค่อยใส่ใจกับคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร จากการค้นหาข้อมูลทางโภชนาการว่า อาหารอะไรที่ควรใส่ในบาตรพระนั้น พบว่ามีหนังสืออิเล็คทรอนิค 2 เล่มมีข้อมูลดังกล่าว โดยเล่มแรกนั้นเป็นหนังสือที่เขียนโดย ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล และคณะ(ในช่วงที่อาจารย์ยังไม่เกษียณจากสถาบันโภชนาการ) ชื่อ“คู่มือการเลือกอาหารตักบาตรเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีแด่พระภิกษุสงฆ์” ทุกท่านสามารถเข้าไปอ่านได้ฟรีที่ http://www.inmu.mahidol. ac.th/th/ebook/Book/magazine5/index.html#/0  หนังสือเล่มนี้หนา 166 หน้า ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำบุญทำทานที่มีโภชนาการเข้าไปเกี่ยวข้อง รวมทั้งโรคที่เกิดแก่พระสงฆ์เป็นประจำ ข้อมูลต่างๆ ในหนังสือของอาจารย์ประไพศรีและคณะนั้น ความจริงแล้วเป็นข้อมูลด้านโภชนาการที่คนไทยควรทราบ แต่ก็น่าประหลาดใจว่า เมื่อถามเด็กนักเรียนที่จบหลักสูตร(ที่ปรับแล้วปรับอีก) ของกระทรวงศึกษาเกือบทุกคนเกี่ยวกับความรู้ทางโภชนาการของอาหารที่กินทุกวัน คำตอบมักไม่เป็นเรื่องเป็นราว จนดูเหมือนไม่เคยเรียนมา นอกจากนี้ถ้าท่านผู้อ่านลองถามตนเองเกี่ยวกับความรู้ด้านโภชนาการของท่านแล้วรู้สึกว่า ไม่แน่ใจมันยังอยู่หรือไม่ ขอแนะนำให้ท่านเข้าไปอ่านหนังสือเล่มดังกล่าว แล้วสิ่งที่ตกหล่นหายไปอาจถูกกู้คืนมาได้ ยังมีหนังสืออีกเล่มชื่อ “แนวทางการตักบาตรให้ได้บุญ” ของ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดทำเพื่อให้ประชาชนได้อ่านบนจอคอมพิวเตอร์ หรือจะ download จาก http://nutrition.anamai.moph.go.th/temp/main/public01.php มาเก็บไว้อ่านยามว่าง หนังสือเล่มนี้น่าอ่านมากเช่นกัน เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับพิธีกรรมในการตักบาตรทำบุญ แถมบอกด้วยว่าทำบุญอย่างไรจึงจะได้บุญมาก และมีเมนูอาหารที่ประสกสีกาควรเลือกมาประกอบเพื่อถวายให้พระสงฆ์มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม หนังสือก็คือหนังสือ มักมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องอ่านหลายรอบกว่าจะจบ ดังนั้นสิ่งที่ควรกำหนดไว้ในใจเมื่อต้องการทำบุญตักบาตรนั้น ผู้เขียนได้บอกแก่นักข่าวที่มาสัมภาษณ์ว่า ถ้าคิดว่าทำบุญอะไรแล้วจะได้อย่างนั้นในโลกหน้า ก็คงต้องเตรียมบุญให้ถูกหลักโภชนาการหน่อย หลักการคือ เวลาใส่บาตร ถ้าใส่ข้าวกล้องได้จะดีเลิศประเสริฐศรี เพราะนอกจากมีแป้งแล้ว ยังมีใยอาหาร วิตามินบีรวม วิตามินอี เบต้า-แคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระอีกมากมาย รวมทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวด้วย และบุญจะมากขึ้นถ้าใส่ข้าวกล้องข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี หรือข้าวเหนียวดำ (ซึ่งผู้เขียนเคยทำวิจัยพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวหลายชนิด) ในส่วนของอาหารโปรตีนซึ่งมักมาในรูปแกงของไทยนั้น พยายามเลี่ยงแกงกะทิ เพราะกะทินั้นเป็นไขมันที่อร่อยมาก กินแล้วหยุดยาก แต่ถ้าต้องการใส่แกงกะทิจริงแนะนำให้ท่านแบ่งใส่ถุงให้พระฉันเพียง 2-3 คำ หรือถ้าเปลี่ยนเป็นแกงป่าซึ่งมีสมุนไพรและเครื่องเทศมาก ใส่เท่าไรก็ไม่มีปัญหา โปรตีนในรูปเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอดหรือทอดโดยไม่ชุบแป้งนั้น ควรใส่บาตรแต่น้อย เพราะเป็นอาหารที่อมน้ำมัน และทราบกันมานานแล้วว่า เนื้อสัตว์ที่ถูกทอดให้กรอบนั้นมักมีสารก่อมะเร็ง สารก่อมะเร็งในอาหารทอด(รวมถึงปิ้งย่างรมควัน) นั้นถ้ากินไม่มากนัก อวัยวะภายในของเราคือ ตับและไตก็คงสามารถทำลายทิ้งได้ โดยมีข้อแม้ว่าเซลล์ของอวัยวะที่ทำลายสารพิษนั้นต้องแข็งแรง ไม่ถูกทำลายด้วยเหล้าหรือบุหรี่เสียก่อน(ควันบุหรี่นั้นนอกจากไปปอดแล้วยังลงไปตับได้ด้วยการกลืนน้ำลายขณะสูบ) ประการสำคัญเราควรคำนึงว่า อาหารครบห้าหมู่หรือไม่ สำหรับคำแนะนำของผู้เขียนคือ ให้มื้ออาหารที่จะใส่บาตรนั้น มีหมู่ผักและผลไม้ดูแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง จากนั้นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมีอาหารแป้ง (ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือเผือกมัน) อยู่ครึ่งหนึ่ง(1 ใน 4 ของอาหารทั้งหมด) ส่วนที่เหลือก็เป็นเนื้อสัตว์ที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบจากการผัดหรือทอด ขณะที่มองภาพรวมของอาหารที่ใส่บาตร(หรือแม้ใส่ปากเราเองก็ตาม) ควรเห็นภาพว่า อาหารนั้นมีสีหลากหลาย คือ มีสีรุ้ง (ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง) เพื่อประกันว่า ได้องค์ประกอบของอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ ทั้งสารอาหารหลักคือ แป้ง โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่และใยอาหาร และองค์ประกอบรองคือ สารที่มีประโยชน์จากผัก ผลไม้และเครื่องเทศต่างๆ ซึ่งไม่ช่วยในการซ่อมแซมร่างกาย แต่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายต่างๆ ประการสำคัญในการใส่บาตรอีกประการคือ พระควรได้เดินออกจากวัดมาบิณฑบาต เพื่อเป็นการออกกำลังกายของพระในทางอ้อม ยิ่งถ้าได้เดินสักวันละเป็นกิโลเมตรขึ้นไป สุขภาพพระก็น่าจะดี การนำภัตตาหารไปใส่บาตรที่วัดนั้น ควรกระทำเฉพาะกับพระที่อาพาธ มีอายุมาก หรือน้ำท่วมวัดแล้วเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 152 รูป รส กลิ่น สี ในอาหารอุตสาหกรรม

ผู้เขียนดื่มกาแฟมาแต่เล็ก เนื่องจากเห็นผู้ใหญ่ดื่มกันก็ดื่มบ้าง ถามว่าติดไหม ตอบได้ว่าไม่ดื่มก็ได้ ถ้าวันนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่มีดื่ม ก็ไม่รู้สึกอะไร จึงเข้าใจว่าผู้เขียนไม่น่าถูกจัดว่าเป็นคนติดกาแฟ คำอธิบายง่าย ๆ สำหรับปรากฏการณ์นี้คือ ผู้เขียนน่าจะมีระบบการเปลี่ยนแปลงแคฟฟีอีนเพื่อขับออกจากร่างกายค่อนข้างเร็ว เพราะทุกครั้งที่ดื่มกาแฟหมดแก้ว จากนั้นไม่นานเกินรอก็ต้องเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะซึ่งเป็นการขับแคฟฟีอีนที่ถูกเปลี่ยนแปลงแล้วพร้อมกับสารที่ให้กลิ่นของกาแฟออกจากร่างกายดังนั้นการดื่มกาแฟก่อนนอนจึงไม่เคยเป็นปัญหาต่อการนอนหลับของผู้เขียนเลย แถมกลับพบว่า วันใดที่รู้สึกเครียดหรือเหนื่อยมาก การได้ดื่มกาแฟสักนิดกลับทำให้หลับสบาย แคฟฟีอีนนั้นเป็นสารเคมีที่มีความสามารถในการกระตุ้นให้ผู้ดื่มกาแฟเกิดความสดชื่น ประสาทตื่นตัว ยิ่งถ้าอยู่ในร่างกายนานเท่าใด ร่างกายก็ตื่นตัวมากขึ้นเท่านั้นจนถึงนอนไม่หลับ ค่าครึ่งชีวิต (half-life) ของแคฟฟีอีนจาก Wikipedia คือ ประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า แคฟฟีอีนในแต่ละแก้วที่คนทั่วไปดื่มจะถูกขับออกทางปัสสาวะครึ่งหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป 5 ชั่วโมงจากนั้นที่เหลือก็จะถูกขับออกอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือเมื่อเวลาผ่านไปอีก 5 ชั่วโมง เรื่อยๆ จนอยู่ในระดับที่ไม่พอออกฤทธิ์ จึงต้องมีการเติมแคฟฟีอีนจากกาแฟแก้วต่อไป สำหรับพฤติกรรมในการดื่มกาแฟนั้น ผู้เขียนไม่นิยมดื่มกาแฟที่มีขายตามซุ้มหรือร้านต่างๆ ตามศูนย์การค้า เนื่องจากกาแฟที่ขายนั้นมักมีความเข้มข้น หวานและมันมากจนเสี่ยงต่อความอ้วน ที่สำคัญปริมาณแคฟฟีอีนที่สูงมากอาจเป็นอันตรายต่อหัวใจเป็นอย่างยิ่ง   เคยมีลูกศิษย์ซื้อกาแฟโบราณซึ่งทั้งเข้มข้นและหวานมันมาให้ดื่มในช่วงเที่ยง ซึ่งเป็นขณะที่ผู้เขียนกำลังจะไปเล่นแบดมินตัน ผลปรากฏว่า วันนั้นเมื่อเริ่มเล่นเกมส์ไปได้เพียงห้านาทีผู้เขียนก็ต้องหยุดเล่นทันทีเพราะรู้สึกตัวว่าหัวใจเต้นเร็วมาก และทำท่าจะไม่ยอมลดลงมาเต้นปรกติเลยแม้หยุดยืนพัก(ซึ่งปรกติแล้วกีฬาที่ต้องใช้แรงเป็นพัก ๆ นั้นเมื่อเกมส์หยุด อาการเต้นเร็วของหัวใจควรผ่อนลงเป็นปรกติ) เมื่อผู้เขียนถามตนเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็นึกได้ว่าเพิ่งดื่มกาแฟที่เข้มข้นไปราวครึ่งแก้วนั่นเอง บทเรียนนี้สอนว่า กาแฟนั้นมีประโยชน์ในการทำให้เราสดชื่นและช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยระหว่างการย่อยอาหาร แถมแคฟฟีอีน(ในขนาดที่พอเหมาะ) น่าจะเป็นเทอร์โมเจน (thermogen) ที่ช่วยในการใช้ไขมันเป็นพลังงานได้ดีระหว่างการออกกำลังกาย(ถ้าไม่มีการออกกำลังกาย เทอร์โมเจนก็ไม่ทำงาน) แต่จะเป็นโทษแก่หัวใจถ้าดื่มอย่างเข้มข้นในขณะที่ร่างกายต้องออกแรงอย่างหนัก ชนิดของกาแฟที่ผู้เขียนดื่มประจำคือ ทรีอินวัน ซึ่งเป็นกาแฟปรุงสำเร็จที่สะดวกมากในการตัดปากซองเทลงแก้วแล้วเติมน้ำร้อน คนให้เข้ากันดื่มได้เลย ที่สำคัญกาแฟลักษณะนี้มีราคาถูกเป็นหนึ่งในสิบของกาแฟที่ขายตามซุ้มต่างๆ และมัก ไม่อร่อยเลย จึงทำให้สามารถดื่มได้ทุกยี่ห้อ ขึ้นกับว่ายี่ห้อใดถูกที่สุด ณ เวลาซื้อ จนวันหนึ่งก็ได้พบว่า กาแฟปรุงสำเร็จแบบทรีอินวันซองหนึ่งเมื่อเทน้ำร้อนใส่ลงไปแล้ว กลิ่นนั้นหอมขจรกระจายไปทั้งห้อง จนนักศึกษาที่เดินผ่านมาต้องถามว่า อาจารย์ดื่มกาแฟยี่ห้ออะไรจึงหอมได้สะใจขนาดนี้ ผู้เขียนก็บอกยี่ห้อไปแล้วสำทับด้วยว่า ซองละ 2 บาท 85 สตางค์เท่านั้นเอง ทุกคนที่ได้ยินก็รู้สึกทึ่งว่า ทำไมกาแฟราคาแบบโลว์เอ็นจึงมีกลิ่นหอมเท่ากาแฟไฮเอ็นได้ ผู้เขียนจึงฉุกใจหยิบซองใส่กาแฟในถังผงขึ้นมาดู ก็ถึงบางอ้อว่า ไม่หอมได้อย่างไรในเมื่อในกาแฟนั้นได้เติมกลิ่นกาแฟสังเคราะห์ลงไปด้วย กลิ่นกาแฟสังเคราะห์นั้นเป็นสารเจือปนในอาหารที่มีการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อเลียนแบบกลิ่นธรรมชาติของกาแฟ สารเคมีกลุ่มนี้มีมากมายเพื่อเลียนแบบกลิ่นธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการผลิตอาหารต่างๆ ทางอุตสาหกรรม ความรู้ทำนองนี้สามารถหาได้โดยอาศัย google ที่เราคุ้นกันดี ที่สำคัญกาแฟลดน้ำหนักที่ขายตามเน็ตหลายยี่ห้อก็ใช้สารเคมีเหล่านี้   ที่น่าตลกก็คือ เคยมีผู้ผลิตกาแฟดำที่ผู้ซื้อสามารถนำไปผสมน้ำแข็งทำเป็นโอวเลี้ยงได้ ส่งตัวอย่างมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเคมีของที่ทำงานของผู้เขียน แล้วพบว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นกาแฟดำที่ไม่มีแคฟฟีอีนเลย   ผู้เขียนเคยเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตอนเปิดห้าง เมื่อผ่านร้านขายกาแฟที่มีราคาระดับไฮเอ็น(แต่รสชาติที่ผู้เขียนเคยสัมผัสเพราะมีคนซื้อให้ลองชิม ก็ไม่ได้ดีเลิศกว่าทรีอินวันสักเท่าไร) ปรากฏว่ามีกลิ่นกาแฟหอมยั่วยวนมากมาเตะจมูก ทั้งที่เด็กประจำร้านเพิ่งเปิดประตูร้านและยังไม่ได้ต้มน้ำร้อนเลย ทั้งนี้เพราะร้านใช้สเปรย์กลิ่นกาแฟพ่นเพื่อให้ลูกค้าทราบว่ามีร้านกาแฟอยู่แถวนั้นนะ สิ่งที่เป็นประเด็นที่หวังให้ท่านผู้อ่านคิดก็คือ สินค้าอาหารที่ไม่ได้ผลิตเพื่อขายในระบบอุตสาหกรรม นั้น เป็นการขายจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง ไม่มีการขึ้นทะเบียนที่เป็นระบบ เนื่องจากผู้บริโภคสามารถได้ข้อมูลจากปากผู้ผลิตโดยตรง(ถ้าถาม) แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักไม่สนใจ ยกตัวอย่างง่ายว่า ใครเคยถามผู้ขาย ขนมเค้ก ไอศครีม(โดยเฉพาะเชอร์เบ็ต) น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร ขนมปังสังขยา ขนมชั้น แม้แต่ขนมเปียกปูน (ที่ดำปี๋แต่ไม่มีกลิ่นถ่านไม้เลย) ว่าใช้สารเคมีทั้งหมดเลยหรือใช้สารเคมีผสมกับสารสกัดจากธรรมชาติบ้าง ทั้งที่ผู้ผลิตหรือแม่ค้านั้นควรมีป้ายแจ้งให้ผู้บริโภคทราบเนื่องจากเป็นสินค้าซึ่งผลิตขายหน้าร้าน (ไม่จำเป็นต้องมีฉลาก) ท่านผู้อ่านคงเคยอมทอฟฟีที่มีกลิ่นและรสกาแฟแล้วสงสัยว่า ทำไมยังง่วงอยู่ คำตอบง่าย ๆ ก็คือ ทอฟฟีหลายยี่ห้อนั้นใช้สารเคมีแต่งกลิ่นกาแฟผสมน้ำตาลทำเป็นทอฟฟีกาแฟ ยกเว้นทอฟฟีกาแฟบางยี่ห้อที่นักเรียนนักศึกษาที่ต้องการอยู่ดึกรู้จักดีว่า อมเมื่อไรตาค้างเมื่อนั้น เพราะมีแคฟฟีอีนสังเคราะห์ในระดับสูง ที่น่าตลกก็คือ เคยมีผู้ผลิตกาแฟดำที่ผู้ซื้อสามารถนำไปผสมน้ำแข็งทำเป็นโอวเลี้ยงได้ ส่งตัวอย่างมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเคมีของที่ทำงานของผู้เขียน แล้วพบว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นกาแฟดำที่ไม่มีแคฟฟีอีนเลย การใช้สารเคมีในการผลิตอาหารระดับอุตสาหกรรมนั้น นัยว่าเพื่อควบคุมการผลิตสินค้าให้อยู่ในมาตรฐานที่กำหนดได้ตามต้องการ ซึ่งต่างจากสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติซึ่งอาจมีการแปรเปลี่ยนของรสชาติได้ เนื่องจากวัตถุดิบมาจากคนละสวน หรือคนละไร่ ท่านผู้บริโภคจึงควรใช้วิจารณญานตัดสินใจเองว่า ต้องการกินสินค้าที่มีรสชาติมาตรฐานที่ทำจากสารเคมี(ซึ่งผู้ผลิตมักแจ้งที่ฉลากเพราะเป็นข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติของชาวบ้านซึ่งอาจมีรสชาติแปรปรวนได้ในการผลิตวันต่อวันโดยไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมีโดยไม่จำเป็น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 151 นมจีนไม่จืดอีกรอบแล้ว

ผู้เขียนมักแนะนำนักศึกษาในการเลือกซื้อนมผงว่า น่าจะเป็นนมจากทวีปออสเตรเลียซึ่งรวมนิวซีแลนด์เข้าไปด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าเป็นนมจากทางยุโรป ผู้เขียนยังมีความกังวลใจถึงการตกค้างของสารกัมมันตภาพรังสีที่ปนเปื้อนในอาหารวัว ตั้งแต่ครั้งที่โรงไฟฟ้าพลังปรมาณูเชอร์โนบิลของสหภาพโซเวียตแตกเมื่อปี ค.ศ. 1986 ส่วนนมจากสหรัฐอเมริกานั้น ผู้เขียนกังวลในราคาที่แพงกว่าคนอื่นเนื่องจากการเติมอะไรต่อมิอะไรลงไปจนอาจเกินจำเป็นต่อคนไทย แต่พอมาถึงวันนี้ วันซึ่งนมจากนิวซีแลนด์ก่อปัญหาดังที่หลายท่านได้ทราบข่าวแล้ว คำแนะนำเรื่องการเลือกซื้อนมผงที่เคยมั่นใจกลายเป็นความลังเลใจไปเสียแล้ว คงต้องแนะนำให้กินนมผงของไทยเสียกระมัง แต่ก็ยังมีคำถามว่า ในบ้านเรามีการอุตสาหกรรมผลิตนมผงที่ทันสมัยหรือไม่ ในปี 2008 คนจีนเคยเจอปัญหานมผงที่ใช้เลี้ยงทารกปนเปื้อนสารเมลามีน ซึ่งใส่ลงไปเพื่อหลอกผู้บริโภคว่า นมนั้นมีปริมาณโปรตีนสูงกว่าที่เป็นจริง พอมาถึงปี 2013 นี้ คนจีนก็พบปัญหาอีกว่า ผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจำหน่ายโดยใช้วัตถุดิบจากนิวซีแลนด์นั้น ปนเปื้อนแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม บอททูลินัม ซึ่งสามารถสร้างสารพิษซึ่งจัดว่าเป็นสารพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงที่สุดที่สิ่งมีชีวิตผลิตได้คือ สารบอททูลิน (botulin) หรือ บอททูลินัมทอกซิน (botulinum toxin) สารพิษบอททูลินนั้นมีผลต่อระบบประสาทสัตว์ชั้นสูง ทำให้ทุกอวัยวะของมนุษย์เป็นอัมพาต จนสุดท้ายปอดทำงานไม่ได้ ผู้เคราะห์ร้ายจะตายในเวลาอันสั้น มีผู้ประเมินว่า สารพิษชนิดนี้ปริมาณเท่ากับ 1 หัวเข็มหมุด สามารถฆ่าหนูถีบจักรได้ราว 1 ล้านตัว ดังนั้นเวลาทำการตรวจวัดปริมาณสารพิษนี้ จึงมักทำโดยการสกัดสารพิษออกมาแล้วทำให้เจือจางในความเข้มข้นที่พอเหมาะก่อนฉีดหนูถีบจักร จากนั้นก็คำนวณจำนวนหนูที่ตายและรายงานผลความร้ายแรงของสารพิษเป็น mouse unit การประกาศว่านมจีนมีปัญหานั้น เป็นผลเนื่องมาจากความรับผิดชอบเองของ Fonterra ซึ่งเป็นบริษัทผลิตนมเพื่อการส่งออกใหญ่ที่สุดในโลกของนิวซีแลนด์ ไม่ได้เป็นการพบเองของบริษัทนมจีน (หรือบริษัทนมในไทยบริษัทหนึ่ง ซึ่งได้เรียกคืนสินค้าบางชนิดของตนเองเช่นกัน) โดยเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวนั้นถูกตรวจพบเริ่มแรกในสินค้าที่เรียกว่า เวย์โปรตีน (whey protein) เวย์ (whey) คือ ส่วนของเหลวที่เป็นของเหลือของนมสดหลังจากการทำเนย (cheese) แล้ว ครั้งหนึ่งเคยถูกนำเอาไปเลี้ยงสัตว์ และพบว่าสัตว์เหล่านั้นมีการเจริญเติบโตดีมาก จึงมีการวิเคราะห์พบว่า ของเหลือนั้นมีโปรตีนที่มีคุณภาพสูงมากจนเชื่อกันว่า ร่างกายสามารถนำใช้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย อีกทั้งน่าจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายเพื่อต่อต้านการติดเชื้อ เป็นต้น (จริงไม่จริงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนนะครับ) จึงได้มีการแยกโปรตีนออกมาขาย การที่บริษัท Fonterra ประกาศเองว่า เวย์โปรตีนราว 40 ตัน ที่ผลิตในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมีการปนเปื้อนแบคทีเรียดังกล่าว และขอให้ลูกค้าที่ซื้อนำไปผลิตสินค้าอื่นคือ บริษัทผลิตอาหาร 3 แห่ง บริษัทผลิตเครื่องดื่ม 2 แห่ง และบริษัทผลิตอาหารสัตว์ 3 แห่ง เรียกสินค้ากลับคืนมาทำลาย นับว่าเป็นการล้อมคอกก่อนวัวหาย เพราะยอมทิ้งเงินค่าสินค้าไป ดีกว่าจะต้องถูกฟ้องร้องจากผู้บริโภคในอนาคต โดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์จุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในอาหารนมนั้น ส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะห์การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ต้องการออกซิเจนโดยรวม (total plate count) และจุลินทรีย์ที่ต้องการออกซินเจนและก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น Salmonella spp., Staphylococcus aureus, Bacillus cereus เป็นต้น ในบ้านเราการวิเคราะห์จะเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกตาม พ.ร.บ. อาหาร (2522) ฉบับที่ 156 พ.ศ. 2537 เรื่อง นมดัดแปลงสำหรับทารกและนมดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก และประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง มาตรฐานอาหารด้านจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค พ.ศ. 2552 (ประกาศนี้ออกตาม พ.ร.บ. อาหาร 2522 เช่นกัน แต่ไม่มีการระบุว่าเป็นฉบับที่เท่าไร เข้าใจว่าเพราะเป็นประกาศกลางเพื่อแก้ไขข้อกำหนดในฉบับที่ต่าง ๆ จำนวน 33 ฉบับ ในประเด็นการปนเปื้อนของจุลินทรีย์) อย่างไรก็ดีไม่ได้มีการกำหนดให้วิเคราะห์จุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการออกซิเจนในการเจริญเติบโตซึ่งมี คลอสตริเดียม บอททูลินัม เป็นสมาชิกอยู่เลย สาเหตุที่ต้องมีการวิเคราะห์แบคทีเรียชนิดก่อปัญหาร้ายแรงคือ คลอสตริเดียม บอททูลินัม นั้นทางบริษัทแจ้งแก่สื่อมวลชนว่า มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียระหว่างการผลิตเนื่องจากปัญหาความสะอาดของระบบท่อในการผลิตนมที่เมือง Waikato นิวซีแลนด์ ในเดือนมีนาคม แต่ปัญหายังไม่ได้เปิดเผยจนมีการตรวจพบแบคทีเรียดังกล่าวในเดือนกรกฏาคม การที่แบคทีเรียที่ต้องอยู่ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนจึงมีชีวิตได้ปนเปื้อนในท่อส่งนมนั้น น่าจะเกิดจากการที่แบคทีเรียนั้นเป็นชนิดที่สร้างสปอร์ได้และสปอร์นั้นคงลอยเข้าไปในท่อซึ่งมีนมค้างอยู่ ซึ่งเมื่อนมบางส่วนแห้งติดผิวท่อ โดยมีสปอร์อยู่ภายใต้คราบนม สภาวะขาดออกซิเจนจึงเกิดขึ้นส่งผลให้เชื้อเจริญขึ้นและสร้างสปอร์ได้อีก สารบอททูลินนี้เป็นสารพิษที่ทนความร้อน เชื้อคลอสตริเดียม บอททูลินัม สร้างสารพิษนี้ในตอนที่เจริญจากเป็นสปอร์ (ซึ่งเป็นสถานะภาพของเซลล์แบคทีเรียที่ทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายได้ดี ถึงขนาดการใช้ความร้อนระดับอุตสาหกรรมอาหารก็ยังไม่สามารถทำลายได้หมด) แต่ในกรณีของเวย์โปรตีนของ Fonterra นี้อาจเป็นการวิเคราะห์พบสปอร์ของ คลอสตริเดียม บอททูลินัม ด้วย ซึ่งผลในลักษณะนี้ทำให้บริษัทนมที่ใช้วัตถุดิบจาก Fonterra ที่มีตัวแทนจำหน่ายในไทยต้องเรียกสินค้าคืน เพราะอาจกังวลว่า สปอร์ที่อาจปนเปื้อนในนมผงนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับ บอททูลิซึมในทารก (Infant botulism) ซึ่งต่างจาก บอททูลิซึมธรรมดา บอททูลิซึมธรรมดานั้นเกิดจากสารพิษบอททูลินที่แบคทีเรียขับออกมาอยู่ในอาหาร แล้วออกฤทธิ์เมื่อผู้เคราะห์ร้ายกินอาหารนั้นเข้าไป แต่บอททูลิซึมในทารกนั้น มักเกิดกับทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน กินนมที่มีสปอร์ของเชื้อเข้าไป จากนั้นด้วยเหตุใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ (เข้าใจกันว่าเชื้อแบคทีเรียธรรมชาติในลำไส้ใหญ่ทารกมีไม่พอจะยับยั้งการเจริญของสปอร์หรือความเข้มข้นของน้ำดี (ซึ่งปรกติฆ่าเชื้อได้) น้อยเกินไป) สปอร์ของเชื้อจึงเจริญเป็นเซลล์ในทางเดินอาหารซึ่งไม่มีออกซิเจน เกิดการสร้างสารพิษซึ่งถูกดูดซึมจากลำไส้ใหญ่เข้าสู่ระบบโลหิต ทำให้ทารกตาย ดังนั้นการเรียกเก็บสินค้าคืนของบริษัทนมในไทยนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้จะต้องทำลายสินค้าทิ้งทั้งหมด แต่ก็เป็นการป้องกันการเกิดปัญหาที่ร้ายแรงต่อทารกซึ่งถ้าเกิดขึ้น บริษัทจะเสียหายทั้งทางแพ่งและอาญา แบบว่าอาจต้องปิดบริษัทไปเลย  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 150 มรดกทางพันธุกรรม

ผู้เขียนไม่ค่อยสบายใจเมื่อมองไปข้างหน้าแล้วคาดได้ว่า ประเทศไทยอาจมีทรัพยากรมนุษย์ที่ลืมตาดูโลกในช่วงนี้ เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่เป็นไปในลักษณะที่ควรเป็น ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะผู้เขียนได้ดูคลิปที่ได้มาจาก YouTube เรื่อง the ghost in your genes คลิปดังกล่าวให้ความรู้ใหม่ว่า มรดกทางพันธุกรรมที่ส่งผ่านจากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลานนั้น ไม่ได้อยู่ภายใต้การบงการจากยีน (ซึ่งอยู่บนโครโมโซม) เพียงประการเดียว แต่ยังขึ้นกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่นอาหารการกิน ความเป็นอยู่ในอดีต การต่อสู้และการก่อการร้าย ปัจจัยเหล่านี้ต่างแสดงอิทธิพลต่อการที่ลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละยีนจะแสดงออกหรือไม่ในรุ่นลูกหลาน ปัจจุบันเด็กไทยมีการสำส่อนในเรื่องเพศจนมีลูกเมื่ออายุ 10 ปี ขาดสัมมาคารวะ เป็นคนสร้างเกราะกำบังตัวเองเพื่อจะได้อยู่กับโลกไซเบอร์ ขึ้นรถไฟฟ้าก็แย่งที่นั่งโดยไม่เอื้อเฟื้อคนพิการหรือผู้อ่อนแอกว่า ซ้ำร้ายยังยอมรับในเรื่องคอรัปชั่นว่า ทำได้ถ้าตนเองได้รับส่วนแบ่งทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เคยปรากฏเมื่อสมัยผู้เขียนยังเป็นเด็ก The ghost in your genes นั้นเป็นสารคดีเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์อังกฤษที่ใฝ่ศึกษาว่า การส่งมรดกทางพันธุกรรมให้ลูกหลานนั้นเป็นไปอย่างเที่ยงตรงหรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันว่า การปิด-เปิดยีนเพื่อแสดงออกถึงลักษณะทางพันธุกรรมนั้น ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมที่เซลล์นั้นประสบ ยกตัวอย่างที่ท่านผู้อ่านอาจเคยประสบคือ การถ่ายท้องเมื่อกลับมาดื่มนมหลังจากเลิกดื่มไปนานแล้ว อาการถ่ายท้องนั้นเกิดเพราะเมื่อดื่มนมเข้าไปแล้วขาดเอนไซม์ แลคเตส ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสส่งผลให้น้ำตาลแลคโตสไม่ถูกย่อยจึงลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ กลายเป็นอาหารของแบคทีเรียที่ย่อยน้ำตาลนี้ได้เป็นก๊าซที่ทำให้ท้องอืด ส่วนน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการหมักของแบคทีเรียรวมกันก็เพิ่มความดันออสโมติกทำให้มีน้ำเพิ่มขึ้นในลำไส้ใหญ่ จนทำให้อุจจาระเหลวเกิดอาการที่เรียกว่า ถ่ายท้อง การหยุดสร้างเอนไซม์แลคเตสเพื่อย่อยแลคโตสนั้นเกิดเพราะ เอนไซม์ต่างๆ ในร่างกายมนุษย์มักถูกสร้างออกมาเพื่อตอบสนองกระตุ้นด้วยสิ่งมันจะทำการย่อย ดังนั้นใครก็ตามที่เลิกดื่มนมไปนานๆ ยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างเอนไซม์แลคเตสก็จะถูกปิด เพราะขาดน้ำตาลแลคโตสไปกระตุ้นการทำงาน แต่ในบางกรณี การปิดเปิดนั้นอาจเป็นปรากฏการณ์ถาวรได้ โดยในคลิปดังกล่าวนั้น ผู้ทำการวิจัยชาวอังกฤษได้ไปทำการศึกษาร่วมกับนักวิจัยชาวสวีเดนในหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นหมู่บ้านที่สามารถรักษาข้อมูลความเป็นไปของแต่ละครอบครัวที่เป็นสมาชิกของหมู่บ้านได้อย่างดี สามารถสืบกลับไปในอดีตว่า บรรพบุรุษของแต่ละครอบครัวนั้นประสบสุขหรือทุกข์ภัยอย่างใด มีความเป็นอยู่ในด้านโรคภัยไข้เจ็บแบบใด และผลดังกล่าวนั้นถ่ายทอดไปเป็นมรดกทางสุขภาพแก่ลูกหลานอย่างไร สิ่งซึ่งน่าแปลกใจในเรื่องอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อการเกิดตัวอ่อนมนุษย์ก็คือ มีประเด็นว่า เด็กสองคนซึ่งมีบางส่วนของโครโมโซมแท่งเดียวกันและตำแหน่งเดียวกันขาดหายไป กลับเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ต่างกัน คำถามคือว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น (ปรากฏการณ์นี้ต่างจากกรณีที่เด็กซึ่งมีจำนวนโครโมโซมคู่ที่ 21 เป็น 3 แท่ง มีอาการดาว์นซินโดรมทุกคน) คำตอบนั้นยังไม่มี แต่ในคลิปสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นอิทธิพลของปัจจัยภายนอกต่อการแสดงออกของความผิดปรกติที่โครโมโซม ข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ การเกิดโรคทางพันธุกรรมที่เกิดยากในภาวะธรรมชาตินั้นกลับเกิดได้ในเด็กหลอดแก้ว นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งในคลิปได้ตั้งประเด็นว่า การทำการปฏิสนธินอกมดลูก (IVF หรือ in vitro fertilization) นั้นอาจมีส่วนในการกระตุ้นให้โรคทางพันธุกรรมแสดงออกมา เนื่องจากปิดเปิดยีนบางตำแหน่ง ทั้งนี้เพราะมีการทดลองเลี้ยงตัวอ่อน (embryo) หนูในจานแก้วปรากฏว่า มีการปิดหรือเปิดยีนบางตำแหน่งต่างจากหนูที่โตในท้องแม่ ซึ่งปรากฏการนี้ได้ถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกด้วยเช่นกัน มีการศึกษาถึงผลที่ก่อให้เกิดปัญหาทางจิตใจอย่างร้ายแรงเช่น กรณี 911 ที่นิวยอร์กว่า มีผลต่อลูกของสตรีที่ประสบเห็นเหตุการณ์อย่างไร โดยนักวิจัยตั้งประเด็นว่า การเกิดเหตุร้ายช่วงการตั้งท้องเด็กนั้น ส่งผลต่อระดับสูงกว่าปรกติของฮอร์โมนเช่น คอร์ติโซน (cortisone ซึ่งจะหลั่งออกมาเมื่อมีความเครียด) ในเด็กที่โตขึ้น แม้ว่าเด็กจะคลอดหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ดังนั้นนักวิจัยจึงยังติดตามดูต่อพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า สตรีที่ท้องในช่วงมีการวางระเบิดในจังหวัดชายแดนใต้นั้นคงมีแน่นอน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กเหล่านี้ อย่างไรก็ดีในคลิปดังกล่าวนั้น ปัจจัยหลักที่นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าน่าจะสำคัญที่สุด ที่ทำหน่วยพันธุกรรมมีการทำงานที่เบี่ยงเบนไปก็คือ การได้รับอาหารและโภชนาการที่เปลี่ยนไป ซึ่งประเด็นนี้ในอดีตอาจขึ้นกับปริมาณผลผลิตทางการเกษตร แต่ในปัจจุบันเราคงสามารถเห็นได้ว่า พฤติกรรมการบริโภคแบบเร่งด่วน การกินอาหารตามใจตน ไม่สนใจหลักการกินอาหารที่ถูกต้อง น่าจะมีผลลัพธ์เป็นมรดกที่ส่งต่อให้กับเด็กไทยที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ทั้งทางด้านสุขภาพและนิสัยใจคอ มีประเด็นหนึ่งจากคลิปที่น่าสนใจกล่าวว่า คุณภาพของเซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นนั้น มีสภาวะแวดล้อมเป็นตัวกำหนดการแสดงออกของยีน หลังจากที่เซลล์สืบพันธุ์ชายและหญิงผสมกัน สิ่งนี้สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ เพราะปัจจุบันเราทราบดีกว่า แฝดแท้ (identical twin) นั้นถึงจะมียีนเหมือนกัน 100 % ถ้าถูกเลี้ยงดูอยู่ในสภาวะแวดล้อมต่างกัน เช่น กินอาหารต่างกัน ทำเลอยู่อาศัยต่างกัน มีอาชีพต่างกัน ใช้ชีวิตในรูปแบบต่างกัน ฯ สุดท้ายเมื่ออายุมากขึ้นเราสามารถมองเห็นความแตกต่างกันของรูปลักษณ์ภายนอกได้ชัดเจน (เรื่องประเภทนี้สามารถไปดูคลิปใน YouTube ได้โดยใช้คำค้นหาว่า epigenetic identical twins) ดังนั้นต่อให้แฝดแท้ชายทั้งสองคนไปแต่งงานกับแฝดแท้หญิงทั้งสองคน โอกาสที่ลูก (แม้เป็นเพศเดียวกันจากคู่แต่งงานแต่ละคู่) มีการทำงานของยีนที่ต่างกันย่อมเกิดได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมในช่วงการพัฒนาเซลล์สืบพันธุ์ที่ต่างกันทำให้การปิดเปิดยีนต่างกัน รูปลักษณ์ นิสัยใจคอ สุขภาพ ฯลฯ จึงอาจต่างกันได้ ประเด็นเรื่องของผลเนื่องจากสิ่งแวดล้อมต่อคุณภาพของคนนี้ เป็นที่สนใจของหน่วยงานรัฐบาลในบางประเทศ ที่มุ่งหวังจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ซึ่งควรจะส่งผลกระทบถึงคุณภาพคนที่ออกมา ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ พลเมืองของประเทศเช่น ภูฏาน ซึ่งไม่เคยคิดจะแข่งขันในการเป็นอารยะเช่นเดียวกับประเทศอื่น น่าจะเป็นคนที่มีสุขภาพทั้งกายและใจดีกว่าพลเมืองของอาเซียน ซึ่งเมื่อรวมกันก็จะพยายามแข่งขันกันเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในอาเซียนตามคำขวัญที่พยายามคิดขึ้นมา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 กาบ้า กับการมีสติในการซื้อสินค้า

ท่านเคยถามตนเองหรือไม่ว่า การซื้อสินค้าแต่ละชนิดนั้น อะไรคือปัจจัยสำคัญในการควักกระเป๋า สำหรับผู้เขียนแล้ว ความเชื่อมั่นในชื่อผู้ผลิต มีอิทธิพลมากแต่ไม่เสมอไป โดยเฉพาะสินค้าที่มีการทุ่มโฆษณาแล้ว มักทำให้การตัดสินใจซื้อยากขึ้น เพราะผู้เขียนค่อนข้างปักใจว่า สินค้ายิ่งโฆษณามากมักด้อยคุณภาพ เพราะโฆษณามักมากับความหลอกลวง ยิ่งถ้าใช้ดารานักแสดงด้วยแล้ว ความเชื่อมั่นยิ่งน้อย เพราะนักแสดงถูกสอนให้พูดตามบทแถมอาจไม่เคยใช้สินค้าชนิดที่รับโฆษณา ปัจจัยสำคัญอีกประการคือ ราคา แม้เราถูกสอนไม่ให้คิดว่า ของถูกไม่ดีของดีต้องแพง แต่บางกรณี เช่น น้ำผลไม้ที่ขายในภาชนะบรรจุกล่องที่ระบุว่ามาจากโรงงานเดียวกันแต่ติดยี่ห้อสินค้าต่างกัน รสชาติก็มักต่างกันตามราคา ความแตกต่างของรสชาติน่าจะเกิดจาก โรงงานต้องผลิตตามคำสั่งของเจ้าของตราสินค้าที่ต้องการแค่สินค้าไปเติมให้เต็มชนิดของสินค้าที่ต้องการขาย โดยกำหนดคุณภาพของวัตถุดิบให้ถูกกว่า เพื่อควบคุมต้นทุนให้ขายได้ในราคาที่ย่อมเยากว่าสินค้ายี่ห้ออื่นผลคือ สินค้าชนิดเดียวกันมาจากโรงงานเดียวกันแต่ติดยี่ห้อต่างกันมีรสชาติที่ต่างกัน ผู้เขียนจึงมักซื้อสินค้าที่มีราคาต่อหน่วยบริโภคแพงกว่า ทางออกสำหรับผู้เขียนคือ ซื้อสินค้าที่แพงกว่าเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่นในร้านสะดวกซื้อเช่น ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งหรือสองแถมหนึ่งเท่านั้น เพราะช่วงโปรโมชันนั้น สินค้าที่เคยแพงกลับถูกกว่าสินค้าที่มีคุณภาพด้อยกว่า อย่างไรก็ดีในการซื้อสินค้าบางชนิด ผู้บริโภคหลายท่านยังซื้อย้ำความผิดพลาดแบบซ้ำซาก อาจเนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้วิธีโฆษณาแบบ ตรรกะเทียมในความคิด เช่น ทั้งผู้บริโภคและผู้จำหน่ายต่างเคยสัมผัสข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ว่า สารกาบ้า (gaba หรือ gamma aminobutyric acid) นั้นมีบทบาทในการทำให้สมองได้ผ่อนคลาย เพราะเป็นสารที่ยับยั้งการส่งกระแสประสาทสมองจึงทำให้คนได้สงบจิตใจในบางเวลา สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคและผู้ผลิตสินค้ามองข้ามคือ ข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่พบว่า สารกาบ้าที่ทำให้สมองผ่อนคลายนั้นต้องถูกผลิตขึ้นเองจากกรดอะมิโนกลูตามิกในสมองจึงทำงานได้ ในขณะที่สารกาบ้าที่ได้จากการกินนั้นยังไม่มีข้อมูลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า ซึมผ่านระบบป้องกันอันตรายของสมองที่เรียกว่า blood-brain barrier ได้ในปริมาณที่มากพอจะออกฤทธิ์ทำให้สมองผ่อนคลาย จึงทำให้กาบ้าที่กินเข้าไปยังมีประโยชน์เพียงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่น่าประหลาดใจก็คือ มีการทำโฆษณาเครื่องดื่มชนิดหนึ่งผ่านโทรทัศน์ว่า เมื่อเจ้านายเห็นลูกน้องดื่มเครื่องดื่มที่เติมกาบ้าลงไปแล้วควบคุมสติได้ดีขึ้น มีความตื่นตัวในการทำงาน สมควรให้ไปดูแลกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมันต่างกับสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า กาบ้าช่วยผ่อนคลายลดความเครียดของสมอง  ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ตื่นตัวขึ้น   มีเว็บไซต์หนึ่งขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งรวมถึงกาบ้า ได้อ้างถึงข้อมูลจากเว็บไซต์ชื่อ Denver Naturopathic Clinic ซึ่งกล่าวเป็นเชิงว่า ผลดีในการคลายเครียดเนื่องจากการได้รับกาบ้าในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น ไม่ค่อยได้รับความสนใจศึกษา เนื่องมาจากอิทธิพลของบริษัทยาที่ผลิต ยาคลายเครียด หาทางไม่ให้มีการสนับสนุนการศึกษาในลักษณะนี้ สมมุติฐานดังกล่าวนี้ดูๆ ก็น่าสนใจศึกษาต่อว่าจริงหรือไม่ แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีกาบ้าสูง ช่วยหรือไม่ช่วย ให้คลายเครียดนั้นยังไม่ชัดเจน แต่ความจริงก็คือ คนไทยพอจะรู้ว่าอาหารอะไรที่กินแล้วทำให้รู้สึกคลายเครียดได้ หรือบางอย่างแม้จะยังเครียดอยู่ก็หลับได้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างความรู้ที่พบได้ในเน็ทคือ การกินอาหารที่มีโปรตีนสูงช่วยให้นอนหลับง่าย เพราะโปรตีนทั่วไปมีกรดอะมิโนชื่อ ทริปโตเฟน เป็นองค์ประกอบ หลังการย่อยโปรตีนในลำไส้เล็กแล้ว ทริปโตเฟนที่ถูกดูดซึมเข้าสู่เลือดบางส่วนจะถูกเปลี่ยนเป็นอนุพันธ์ของทริปโตเฟนส่งตรงเข้าสู่สมอง แล้วเปลี่ยนเป็นสารเซราโตนินซึ่งช่วยให้หลับง่ายขึ้น จากความรู้ที่ว่า ทริปโตเฟนน่าจะช่วยให้คนหลับง่ายขึ้น มีหรือที่บริษัทซึ่งผลิตสารเคมีให้คนกินจะปล่อยให้ความรู้นี้ฝังตัวแค่ในตำรา เหล่าผู้มองเห็นโอกาสทองเหล่านี้จึงผลิตทริปโตเฟนหรืออนุพันธ์ของทริปโตเฟนออกมาขาย เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อช่วยในการนอนหลับ แล้วฝันร้ายของการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคือ ทริปโตเฟน ก็เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1989 เมื่อบริษัท Showa Denko (ซึ่งล้มละลายไปแล้ว) ใช้แบคทีเรียที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้ผลิตทริปโตเฟนได้มากๆ ทำให้ราคาทริปโตเฟนถูกลง ซึ่งดูดีมากในทางอุตสาหกรรม แต่สุดท้ายกลับพบว่า ลูกค้ากลุ่มใหญ่ราวพันห้าร้อยคนเกิดอาการผิดปรกติในการเคลื่อนไหวและอีกสามสิบเจ็ดคนหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากสาเหตุอะไรแน่ และวิบากกรรมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทริปโตเฟนก็ยังมีต่อไป แต่บังเอิญธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสหรัฐอเมริกานั้นทรงอิทธิพลมาก ทริปโตเฟนจึงยังมีการขายได้ตามปรกติเพราะคนอเมริกันก็ไม่ต่างจากคนไทยในเรื่องการลืมเรื่องร้ายๆ ดังนั้นการที่มีโฆษณาสินค้าหลายชนิด ทั้งที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายใหญ่ และผู้ผลิตระดับท้องถิ่น กล่าวถึงประโยชน์ของกาบ้า(ที่เกิดตามธรรมชาติในสมอง) ช่วยในการผ่อนคลายสมอง เพื่อให้เกิดความสับสนกับสินค้าของตนที่มีกาบ้าเป็นองค์ประกอบว่า สินค้านั้นช่วยผ่อนคลายการทำงานของสมองได้เช่นกัน นับว่าเป็นความไม่ยุติธรรมต่อผู้บริโภคที่ขาดความสามารถในการหาความรู้ที่ถูกต้องของสารกาบ้า ปรากฏการณ์เช่นนี้ ผู้เขียนเขลาเกินกว่าจะทราบว่าเป็นหน้าที่ของใคร(ที่กินภาษีของประชาชน) จะดูแลในเรื่องนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 148 พ่อแม่รังแกฉัน

ชื่อเรื่องในฉบับนี้ผู้เขียนตั้งตามชื่อเรื่องสั้นที่แต่งโดยพระยาอุปกิตศิลปสาร ซึ่งกล่าวถึงเด็กชายคนหนึ่งมีพ่อแม่เป็นเศรษฐีและรักเขามาก ทำอะไรพ่อแม่ก็ชม แม้เรียนหนังสือพ่อแม่ก็หาครูที่ตามใจลูกมาสอนจนสุดท้ายลูกก็ไม่มีความรู้ มรดกที่พ่อแม่ให้ไว้ก็ถูกใช้เรียบจนกลายเป็นยาจก แต่เพราะบุญยังพอมีจึงมีคนช่วยสั่งสอนวิชาให้หากินได้ สุดท้ายก็สำนึกว่าที่ผ่านมานั้น พ่อแม่รังแกตนด้วยความรัก (ซึ่งปัจจุบันพ่อแม่แบบนี้มีมากจริง ๆ) อย่างไรก็ดีถ้าค้นคำว่า พ่อแม่รังแกฉัน ใน google จะไปตรงกับบทความที่ท่าน ว.วชิรเมธี เขียนไว้ เมื่อ 29 มกราคม 2552 ณ.สถาบันวุมุตตยาลัย โดยเป็นบทความแนะนำการเลี้ยงดูลูกในเชิงว่า อย่าทำอะไรที่จะทำให้ลูกเลว 14 ข้อ ซึ่งมีข้อที่ 12 กล่าวว่า “พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือ เขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคารวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองคน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนของเพื่อนมนุษย์” จากข้อแนะนำของท่าน ว. นี้ผู้เขียนขออภิปรายต่อว่า อะไรที่เป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อเด็กมีแล้วทำให้เด็กมีพฤติกรรมไม่ดี โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของฝรั่ง สมัยยังเล็กผู้ใหญ่มักสอนผู้เขียนว่า อย่าเอาขนมหวานให้หมากินเพราะมันจะดุ ซึ่งผู้เขียนก็พยายามหาคำอธิบายว่าเพราะอะไร คำอธิบายหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ หมามันคงติดใจขนม หลังจากนั้นมันก็คงพยายามขอเรากิน พอไม่ได้กินมันอาจเกิดอารมณ์แบบว่า ของขึ้น เลยแสดงออกซึ่งอาการที่เราเรียกว่า ดุ ออกมา   มาถึงวันนี้หลังจากใช้เวลาหาคำตอบในเรื่องนี้มาตลอดชีวิต ผู้เขียนก็ได้อ่านบทความกึ่งวิชาการที่ชื่อว่า “Could sweets every day as kids make adults aggressive” ในเว็บ www.foodnavigator.com ซึ่งให้ข้อมูลว่า มีการศึกษาโดย Dr. Simon C. Moore และคณะ (Cardiff University, สหราชอาณาจักร) ที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในชื่อเรื่องว่า Confectionery consumption in childhood and adult violence ในวารสาร British Journal of Psychiatry เดือนตุลาคม ปี 2009 สรุปว่า การกินขนมหวานทุกวันตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กนั้นส่งผลให้เมื่อโตแล้วกลายเป็นคนมุทะลุดุดัน (aggressive) ผลงาน Dr. Moore และคณะเริ่มการศึกษาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 (เข้าใจว่าคงนานราว 30 ปี) โดยใช้อาสาสมัคร 17,415 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 5, 10, 16, 26, 30, 34 และ 42 ปี แล้วพบว่า ร้อยละ 69 ของอาสาสมัครที่เข้าร่วมอยู่ในการศึกษาแล้วก่อเหตุรุนแรงในชุมชนเมื่ออายุ 34 ปีนั้น ตอนอายุ 10 ปี เริ่มกินขนมหวาน (confectionary) ติดต่อมาทุกวัน เมื่อเทียบกับคนในยุคเดียวกันวัยเดียวกันที่เป็นคนสุภาพเรียบร้อย (ซึ่งคงไม่ค่อยได้กินขนม) จากการศึกษานี้ได้บ่งชี้ว่า การกินขนมทำให้เด็กนิสัยเสีย เพราะผู้ใหญ่มักเอาขนมเป็นปัจจัยในการควบคุมพฤติกรรมเกเรของเด็ก คล้ายเป็นการซื้อความเกเรของเด็กโดยไม่สอนเด็กว่า ความเกเรนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้าย เด็กจึงคงพฤติกรรมดังกล่าวไว้เพราะหวังกินขนมอีก ดังนั้นเมื่อโตขึ้นนิสัยเกเรเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการจึงติดตัวเมื่อเป็นผู้ใหญ่ อีกปัจจัยหนึ่งที่ Dr. Moore และคณะสนใจคือ สารเจือปนในอาหารในขนมอาจเป็นสาเหตุของความเกเรของเด็ก โดยผู้วิจัยได้อ้างถึงงานวิจัยชื่อ Food additives and hyperactive behaviour in 3-year-old and 8/9-year-old children in the community: a randomised, double-blinded, placebo-controlled trial ซึ่งทำวิจัยโดย Dr. D. McCann และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet เมื่อปี ค.ศ. 2007 โดย ผู้วิจัยได้ทำการหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับการบริโภคสารเจือปนในอาหารต่อความเกเรของเด็ก แล้วสรุปผลการศึกษาว่า สีสังเคราะห์และ/หรือสารกันบูดคือ โซเดียมเบ็นโซเอท (เป็นสารกันบูดที่นิยมใช้ในบ้านเรามากที่สุดชนิดหนึ่ง) ในขนมที่เด็กกินนั้นอาจกระตุ้นอารมณ์ในการ”วีน”ต่อผู้อื่น ดังนั้นผู้เขียนจึงคิดว่า น่าจะถึงเวลาแล้วที่หน่วยราชการเช่น กระทรวงที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมและดูแลวัฒนาธรรมไทยออกมามองดูว่า เด็กของเรากินอะไรกันบ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กซึ่งยังเป็นไม้อ่อน (น่าจะพอ) ดัดได้ การกินขนมนั้นเป็นเหมือนรางวัลที่ผู้ใหญ่ให้แก่เด็ก ส่วนความใส่ใจในการเลือกซื้อขนมให้เด็กกินนั้นเป็นความเมตตากรุณาที่ผู้ใหญ่น่าจะมีต่อเด็ก สำหรับตัวผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์ในสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์และความปลอดภัยของอาหาร นั้น มีโอกาสควบคุมการทำวิจัยเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาหลายคนที่ศึกษาเกี่ยวกับขนมไทย จึงคิดว่าน่าจะนำผลการศึกษาบางเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟัง จากข้อมูลเดิมที่เคยทำวิจัยมาก่อนว่า กล้วยนั้นมีประโยชน์ในด้านการต้านสารก่อมะเร็ง (โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า) จึงมีนักศึกษาคนหนึ่งทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการใช้แป้งข้าวกล้องงอก เพื่อทำเป็นขนมกล้วยเพราะคิดว่า จะได้ขนมกล้วยที่ดีมาก ๆ กลับปรากฏว่าแป้งจากข้าวกล้องงอกไม่ช่วยให้ขนมกล้วยนั้นมีฤทธิ์ต้านสารก่อมะเร็งดีขึ้น แต่สรุปได้ว่า ขนมกล้วยนั้นสามารถต้านสารก่อมะเร็งได้ด้วยตัวกล้วยเอง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสภาวิจัยแห่งชาติ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับขนมไทยหลายชนิดซึ่งบริโภคกันมาแต่โบราณ ซึ่งผลการศึกษาเป็นไปอย่างที่คิดกันแต่แรกก็คือ ขนมไทยซึ่งมักทำลายสุขภาพเพราะประกอบด้วยแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก มีคุณประโยชน์ในการต้านสารพิษนั้นค่อนข้างน้อยมาก อย่างไรก็ดีเราสามารถทำให้ขนมไทยกลายเป็นขนมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ไม่ยากนัก โดยการเติมสารสกัดจากสมุนไพรไทยบางชนิด (เช่น น้ำสกัดจากฝาง ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ทำน้ำยาอุทัย น้ำสกัดจากพืช ผัก ผลไม้ เช่น ใบเตย หัวผักกาดแดง สีจากข้าวเหนียวดำ น้ำดอกอัญชัน เป็นต้น) ลงไปในขนมไทยที่ไม่มีสี เช่น ขนมถ้วยฟู ขนมน้ำดอกไม้ หรือแม้แต่ขนมที่มีสีอยู่แล้วเช่น เปียกปูน ขนมชั้น บัวลอย ลูกชุบ วุ้นต่าง ๆ ฯลฯ นั้นถ้าพยายามใช้สีธรรมชาติ เราจะได้ขนมไทยที่มีทั้งความหอมอร่อยพร้อมไปกับประโยชน์ในการต้านสารพิษมากมายหลายชนิด (ที่เกิดขึ้นในการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง) ในชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มใส่ใจให้เด็กได้กินขนมที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการและวัฒนธรรมบ้าง โอกาสที่เราจะได้เห็นคนที่มีความประพฤติดีเดินตามถนนมากกว่าคนประพฤติก้าวร้าวเดินในสภา คงไม่ถึงกับสิ้นหวังดังที่ผู้เขียนกำลังเป็นในปัจจุบันนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 กินดิน

มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกที่กินอาหารด้วยแรงขับสองประการคือ สัญชาติญาณเพื่อการอยู่รอด ซึ่งกินอาหารเพราะต้องการสารอาหาร เพื่อคงไว้ซึ่งการทำงานของอวัยวะภายใน แต่แรงขับที่สองนั้นเป็นการกินเพราะความอยากคือ กินในสิ่งที่ต้องมีการไขว่คว้าหามา ไม่ว่าด้วยตนเองหรือใช้พลังเงิน ความจริงแล้วสัตว์ป่าเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะใหญ่เป็นช้างจนถึงเล็กเป็นนกก็มีการกินอาหารบางอย่างที่ดูไม่ได้เป็นอาหารปรกติ จนเหมือนเป็นการกินเพื่อความบันเทิง เช่น การกินดินโป่ง เพื่อให้ได้สารอาหารสำคัญที่สัตว์ป่าต้องการแต่มีน้อยในอาหารปรกติคือ เกลือ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบสรีรวิทยาของร่างกายสัตว์หลายชนิด ดินโป่งของสัตว์ป่านั้น ในวิกิพีเดีย (ไทย) อธิบายว่า เป็นแหล่งดินที่มีรสเค็มและละเอียด ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุบางชนิด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แร่ธาตุในโป่งประกอบไปด้วย โซเดียม แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และสังกะสี ซึ่งเป็นที่ต้องการของกระดูกและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่ง ซึ่งสัตว์ไม่สามารถหาทดแทนได้จากพืช ดังนั้นโป่งจึงเป็นแหล่งแร่ธาตุสำหรับสัตว์ป่าซึ่งกินพืชเป็นอาหาร ส่วนใหญ่พบโป่งได้มากในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และ ป่าดงดิบ จากมากไปน้อยตามลำดับ จะเห็นว่าการกินดินของสัตว์ป่านั้นเป็นการกินตามสัญชาติญาณ เพื่อทำให้ระบบภายในร่างกายมีการทำงานได้ตามปรกติ ดังนั้นการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงในเมืองโดยขาดความรู้เรื่องโภชนาการของอาหารสัตว์ป่านั้น จึงเป็นการทำร้ายสัตว์เพื่อความบันเทิงของมนุษย์โดยแท้   ท่านผู้อ่านที่มีอายุมากหน่อยคงเคยได้รับข่าวสารว่า คนไทยนั้นก็มีการกินดินกันมานานแล้ว นัยว่าเพื่อสนองความเปรี้ยวปาก เช่น คนเชียงใหม่เรียกดินที่นำมากินกันนั้นว่า “อิด หรือ อิบ” โดยเลือกดินเหนียวที่อยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 2 เมตร อาจได้จากการขุดบ่อน้ำ แล้วนำดินนั้นมาหั่นเป็นแผ่นบางๆขนาดฝ่ามือแล้วผึ่งให้แห้ง การกินนั้นอาจเป็นเพราะความชอบกลิ่นรสโดยส่วนตัว หรือในช่วงการแพ้ท้องซึ่งมักต้องการกินอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากพฤติกรรมการกินปรกติ รายละเอียดเรื่องนี้สามารถไปดูได้ที่ http://www.gotoknow.org/posts/130370 ส่วนที่เป็นข่าวในระบบสื่อสารมวลชนของไทยนั้นก็มีในราวปี 2528 ที่มีการทำข่าวว่า เด็กในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ยากจนอดอยากจนต้องกินดินต่างข้าว ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องมีการเฉลยกันว่า การกินดินของเด็กนั้นเป็นเรื่องปรกติของเด็กที่มีความอยากเฉพาะตัว ไม่ได้อดอยากไม่มีอะไรกินจนถึงกับต้องขุดดินกิน ที่สำคัญเรื่องของการกินดินนั้นสามารถค้นหาข้อมูลดูได้จากระบบอินเตอร์เน็ทซึ่งมีผู้ลงข้อมูลว่า การกินดินนั้นมีอยู่ทั่วโลก การกินดินเพราะแพ้ท้องนั้น มีปรากฏในวรรณคดีที่ผู้เขียนเรียนในสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาคือ ในหนังสือเรื่องราชาธิราชมีเรื่องเล่า กล่าวถึงมเหสีของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ซึ่งเป็นพม่าเจ้าเมืองอังวะทรงอยากเสวยดินเพราะแพ้ท้อง การที่อยากกินของแปลกนี้เนื่องมาจากพระราชโอรสที่เกิดในพระครรภ์นั้น ชาติก่อนคือ พ่อลาวแก่นท้าว เคยมีความแค้นเคืองกับพระเจ้าราชาธิราชเจ้ามอญแห่งเมืองหงสาวดี (ซึ่งเป็นทั้งพระราชบิดาและศัตรูของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องซึ่งเป็นพระราชบิดาในชาติต่อมา) ดังนั้นก่อนตายพ่อลาวแก่นท้าว จึงอธิษฐานต่อพระธาตุมุเตาว่า เกิดมาชาติหน้าจะขอแก้แค้นให้สำเร็จ แล้วด้วยความแค้นจัดเลยเผลออธิษฐานเรื่องที่กำหนดให้พระราชมารดาอยากกินดินกลางเมืองหงสาวดีด้วย แต่คงอธิษฐานดังไปหน่อย พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบเลยทรงอธิษฐานเกทับเลยว่า ขอให้พระองค์ชนะต่อศัตรูซึ่งเคยเป็นลูกตลอดไป ดังนั้นพอทางพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องส่งทูตไปขอดิน ทางพระเจ้าหงสาวดีเลยส่งดินที่ขุดจากส้วมกลางเมืองหงสาวดีไปให้เป็นของขวัญกินเล่น เด็กที่ออกมาเมื่อโตขึ้นเป็นมังรายกะยอชวารบทุกครั้งก็แพ้ทุกคราว นิยายเรื่องนี้สอนว่า เวลาอธิษฐานอะไร ต้องกล่าวในใจมิเช่นนั้นจะมีคนอธิษฐานแบบเกทับเราได้ มูลเหตุที่ผู้เขียนสนใจหาเกร็ดความรู้เรื่องการกินดินมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนั้น เพราะวันหนึ่งได้ดูข่าวทั้งทางโทรทัศน์และหน้าเว็บไซต์กล่าวถึง ร้านอาหารญี่ปุ่น แหวกแนวนำ "ดิน" มาทำอาหาร โดยพ่อครัวของร้านอาหารชื่อ โทชิโอะ ทานาเบะ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เคยทำอาหารฝรั่งเศสอยู่ถึง 20 ปีแล้วคงไม่รุ่งพอ จึงทดลองนำดินมาทำเป็นอาหารบริการลูกค้าที่ชอบของแปลก โดยพ่อครัวนายนี้ยืนยันว่า อาหารที่ทำมาจากดินมีประโยชน์มากมาย (แต่ไม่ได้บอกว่าใครยืนยันว่าประโยชน์นั้นเป็นจริง) ต่อคำถามว่าดินนั้นเอามาจากไหน พ่อครัวนายนี้กล่าวว่า ดินที่ทำเป็นอาหารได้นั้นต้องเป็นดินที่สะอาด และไม่มีสารเคมีปนเปื้อน โดยเขาได้เดินทางไปหาดินมาทำอาหารในหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นตามภูเขา แต่ท้ายที่สุดก็พบว่า ดินที่ใช้ได้จริงๆ คือ ดินที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินจากเมืองคานุมะในจังหวัดโทชิกิ ซึ่งเป็นดินในระดับลึกจึงจะสะอาดพอที่จะสามารถนำมาใช้ทำอาหารได้ โดยเขามีตัวแทนคอยจัดหาดินสะอาดให้ทางร้านทุกวัน วันละ 1 กิโลกรัม เขาจึงมั่นใจได้ว่าดินที่ได้มาสะอาดไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค เมื่อได้ดินมาแล้วพ่อครัวท่านนี้จะจัดแจงร่อนดินเอาเศษทราย เศษหินแยกออกมา จากนั้นจึงนำดินมาเป็นส่วนผสม ตั้งแต่ในน้ำซุป นำมาผสมในอาหาร และปิดท้ายด้วยการราดดินบนเชอร์เบท สำหรับอาหารจานเด็ดของเขาคือ มันฝรั่งบดปั้นเป็นก้อนกลม มีเห็ดทรัฟเฟิลอยู่ตรงกลาง แล้วราดด้วยดิน   จากการพิเคราะห์คำอธิบายของพ่อครัวท่านนั้นแล้ว ไม่พบว่าตัวแทนจัดหาดินของเขาเคยเอาดินไปทำการตรวจวิเคราะห์เลยว่าดินมีสารพิษหรือไม่แต่อย่างไร   ถ้าท่านผู้อ่านลองใช้ Google หาข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษในดินแล้ว จะพบข้อมูลที่น่าตกใจว่ามันมีมากมายมหาศาล โดยบางครั้งสารพิษก็สามารถซึมเข้าไปสะสมอยู่ในพืชเช่น กรณีสารหนูจากดินสะสมในพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ ทั้งที่พืชและสัตว์นั้นต่างก็มีกระบวนการกำจัดสารพิษของตนเองแต่ก็ยังตกค้างก่อพิษร้ายให้มนุษย์ซึ่งเป็นโซ่ข้อสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร   ดังนั้นท่านผู้บริโภคผู้ใดที่ได้รับข่าวการนำดินมาปรุงอาหารของพ่อครัวชาวญี่ปุ่นนี้แล้ว พึงตั้งสติระลึกให้ได้ว่า คนญี่ปุ่นนั้นมีความละเมียดละไม พิถีพิถันในการสรรหาของกินหลายอย่างที่ชวนให้เกิดอาการสวิงสวายของลำไส้ เช่น การกินปลาปักเป้าดิบรวมทั้งสัตว์ทะเลไม่สุกอีกหลายเมนู   ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคซึ่งมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีอยู่ คงตั้งอยู่บนความเป็นอยู่ที่พอเพียง เมื่อหิวก็กินอาหารเพียงเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพื่อประกอบกรรมดีต่อสังคม ไม่ใช่มีชีวิตที่ตั้งหลักแต่จะกินเพื่อความสำราญของชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง โดยปราศจากคำสรรเสริญจากผู้อื่นเมื่อจากโลกนี้ไปเพราะประกอบแต่กรรมชั่วเช่น กินหิน กินปูน กินทราย กินเหล็กเส้น เป็นต้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 146 เรื่องของหัวใจ

โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ เพราะบางส่วนที่แพทย์ท่านนี้เสนอก็อาจเป็นจริงได้ เช่น ในเรื่องของการอักเสบเรื้อรังนั้นอาจเป็นสาเหตุของการตีบตันของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แต่หลายส่วนก็ยังตั้งคำถามไว้เพราะไม่ค่อยมั่นใจ ผู้เขียนได้รับจดหมายเวียนจากเพื่อนในที่ทำงาน แนบบทความซึ่งแปลเป็นภาษาไทยแล้วเรื่อง Heart Surgeon Speaks Out On What Really Causes Heart Disease โดยถามถึงความน่าเชื่อถือของบทความนี้ ซึ่งเมื่อตามหาตัวจริงของบทความปรากฏพบได้ในบางเว็บ เช่น http://www.sott.net/article/ 242516-Heart-Surgeon-Speaks-Out-On-What-Really-Causes-Heart-Disease หรือเข้าไปดูใน The Great Cholesterol Lie (http://thecholesterollie.com) ก็พบว่าศัลยแพทย์ที่เป็นต้นตอข่าวคือ Dr. Dwight Lundell อดีตหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่โรงพยาบาล Banner Heart Hospital เมือง Mesa รัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกาข้อมูลที่เป็นข่าวนั้นมาจากหนังสือที่แพทย์ดังกล่าวเขียนเอง โดยมีประเด็นน่าสนใจว่า แม้ประชากรในสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ย 25% กินยาลดไขมันกลุ่ม statin พร้อมกับการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังปรากฏว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา 60 ปี นั้นมากที่สุดเป็นประวัติการ โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน ในเรื่องการเกิดโรคหัวใจนั้น Dr. Dwight Lundell ตั้งสมมุติฐานว่า หากไม่มีการอักเสบเกิดขึ้นที่ส่วนใดในร่างกาย โคเลสเตอรอลจะไม่ตกตะกอนทำให้หลอดเลี้ยงหัวใจเลือดตีบ ดังนั้นการอักเสบจึงน่าจะเป็นต้นเหตุให้โคเลสเตอรอลกลายเป็นตะกรันจับยึดติดผนังภายในหลอดเลือด การอักเสบคือ กระบวนการปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่น เชื้อโรค สารแปลกปลอมหรือสารพิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่กระบวนการอักเสบกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง มันก็คือ อันตรายที่แท้จริง ตัวการในอาหารที่น่าจะเป็นต้นเหตุของปัญหาในกรณีนี้คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ที่อยู่ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน โดยที่ไขมันพวกนี้เป็นต้นตอของอนุมูลอิสระได้ Dr. Dwight Lundell เสนอให้เลิกเชื่อว่า ไขมันอิ่มตัวทำให้เป็นโรคหัวใจโดยไขมันอิ่มตัวทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นและกล่าวหาว่า วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่า สาเหตุการเกิดอาการหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบนั้นเกิดจากโคเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวนั้น ทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสส่งเสริมน้ำมันพืชว่า ต้องเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิด ทั้งยังโหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหากที่เป็นของดีต่อสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ฝากชีวิตไว้กับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลาย ก่อนอื่นเราควรต้องทำความรู้จักกับ Dr. Dwight Lundell ผู้กล้าออกมาจุดกระแสค้านในเรื่องที่วงการแพทย์ทั่วไปยอมรับ จากบทความเรื่อง A Skeptical Look at Dwight Lundell, M.D. ใน www.quackwatch.com ซึ่งเขียนโดย Dr. Stephen Barrett กล่าวว่า หลังจากที่ Dr. Lundell จบแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอริโซนาในปี 1971 ก็ไปเป็นแพทย์ประจำบ้านในภาควิชาศัลยศาสตร์ทรวงอกของมหาวิทยาลัยเยล 2 ปี จากนั้นทำงานผ่าตัดหัวใจคนมาด้วยดีราว 5,000 ราย จนสุดท้ายก็เกษียณในปี 2004 และในปี 2007 ก็ได้เขียนหนังสือชื่อ The cure for heart disease ซึ่งร้านหนังสือออนไลน์คือ Amazon Books บอกว่าเป็นหนังสือที่แหวกแนวที่สุดในเรื่องโรคหัวใจ เพราะมีการแนะนำการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง แป้งน้อย กินยาแอสไพรินขนาดต่ำเป็นประจำ กินน้ำมันปลาและ conjugated linoleic acid (หรือ CLA) เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ Dr. Lundell นี้ได้ประสบวิบากกรรมในเรื่องการประกอบวิชาชีพศัลยแพทย์ในช่วงท้ายของชีวิต โดยในปี 2000 เขาถูกแพทยสภาของรัฐอริโซนาปรับเงิน $2,500 โดนคุมประพฤติ และให้ไปฝึกอบรมเกี่ยวกับการทำบันทึกการรักษาผู้รับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ จากนั้นในปี 2003 แพทยสภาฯ ก็ยังกล่าวหาอีกว่า Dr. Lundell นั้นประเมินคนไข้ก่อนทำการรักษาไม่สมบูรณ์ และเหตุการณ์ก็มาซ้ำร้ายในปี 2004 ที่การบันทึกผลการรักษาคนไข้ไม่สมบูรณ์แบบของแพทย์ผู้นี้ถูกตรวจพบอีก จนสุดท้าย Dr. Lundell ก็ถูกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมในปี 2008 ที่สำคัญ Dr. Lundell ยังเจอปัญหาการถูกฟ้องล้มละลาย ปัญหาบัตรเครดิต และการแจ้งเท็จในการจ่ายภาษีประจำปีด้วย ข้อมูลที่เกี่ยวกับ Dr. Lundell นี้จะจริงเท็จเพียงใดผู้รับผิดชอบคือ Dr. Stephen Barrett ซึ่งเขียนไว้ในเว็บที่ระบุข้างต้น กลับมาที่ประเด็นคำแนะนำของ Dr. Lundell นั้นว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ เพราะบางส่วนที่แพทย์ท่านนี้เสนอก็อาจเป็นจริงได้ เช่น ในเรื่องของการอักเสบเรื้อรังนั้นอาจเป็นสาเหตุของการตีบตันของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แต่หลายส่วนก็ยังตั้งคำถามไว้เพราะไม่ค่อยมั่นใจ ผู้เขียนเคยพบบทความวิชาการเรื่องหนึ่งที่ตั้งสมมุติฐานว่า การขาดสารต้านอนุมูลอิสระนั้นเป็นหนึ่งของปัจจัยในการเกิดปัญหาหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน โดยอาศัยความรู้พื้นฐานทางฟิสิกส์ว่า เลือดเป็นของเหลวที่มีองค์ประกอบต่างๆ ทั้งโปรตีน เม็ดเลือดและสารอื่นๆ ไหลไปตามหลอดเลือดในลักษณะที่พื้นที่หน้าตัดของไหลส่วนตรงกลางไปเร็วกว่าส่วนที่ติดด้านข้างของหลอดเลือด เนื่องจากผนังหลอดเลือดมีความต้านที่สูงกว่าบริเวณกลางหลอดเลือด ดังนั้นถ้าผนังหลอดเลือดขรุขระ โอกาสที่ไขมันและอื่นๆ ที่ลอยอยู่ในน้ำเลือดจะตกตะกอนเกาะที่ผนังหลอดเลือดได้ โอกาสที่ผนังหลอดเลือดจะขรุขระนั้น สาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นได้คือ การที่ผนังของเซลล์ที่เรียงเป็นผนังหลอดเลือดนั้นเสียหายเนื่องจากองค์ประกอบที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว (polyunsaturated fatty acid) ถูกอนุมูลอิสระทำลาย จะเกิดสภาพที่เรียกด้วยศัพท์ทางชีววิทยาการแพทย์ว่า พล๊าก (Plaque) ซึ่งมีสภาพขรุขระ ดังนั้นถ้าเรากินสารต้านอนุมูลอิสระมากพอ โอกาสเกิดพล๊ากก็น่าจะลดลง ด้วยเหตุนี้คำแนะนำในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดสภาพหลอดเลือดหัวใจตีบในปัจจุบันข้อหนึ่งคือ การบริโภคผักผลไม้ที่มีสีสด เพราะอาหารกลุ่มนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติสูง นอกจากนี้ยังมีบทความวิจัยเรื่อง Bilberry anthocyanin-rich extract alters expression of genes related to atherosclerosis development in aorta of apo E-deficient mice ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition, Metabolism & Cardiovascular Diseases ชุดที่ 22 หน้า 70-80 ในปี 2012 ซึ่งมีการกล่าวว่า สารแอนโทไซยานินในผลบิลเบอรี่นั้น สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจผ่านหลายกระบวนการ สำหรับกระบวนการที่น่าสนใจในบทความดังกล่าวนั้นเสนอว่า แอนโทไซยานินสามารถกระตุ้นให้ยีนที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวเคลื่อนตัวผ่านรอยต่อระหว่างเซลล์ที่ประกอบเป็นผนังหลอดเลือดเข้าไปยังเนื้อเยื่อที่เป็นหลอดเลือด(เพื่อทำงานเมื่อเกิดการอักเสบ) ได้ดีขึ้น ทั้งนี้เพราะถ้าระบบดังกล่าวทำงานได้ไม่ดี เซลล์เม็ดเลือดขาวจะเกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด(โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ) แล้วทำการจับไขมันต่างๆ รวมทั้งโคเลสเตอรอลที่ลอยตามกระแสเลือดจนเปลี่ยนกลายเป็น foam cell (เซลล์มีลักษณะบวมพองเต็มไปด้วยไขมัน) เกาะที่ผนังหลอดเลือดแล้วกลายเป็นพล๊ากในที่สุด จากตัวอย่างสมมุติฐานที่ผู้เขียนยกตัวอย่างให้เห็นนั้น ทำให้เห็นว่าหลักการที่ Dr. Lundell กล่าวถึงมีความน่าจะเป็นไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาคือ ความน่าเชื่อถือของตัว Dr. Lundell เอง จึงทำให้เกิดการโต้แย้งในสมมุติฐานดังกล่าวจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ดีความรู้จากการศึกษาและวิจัยในปัจจุบันก็ยอมรับกันแล้วว่า การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระสูงจากอาหารธรรมดา(ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) นั้นช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากความเสื่อมเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งได้เป็นอย่างดี ท่านผู้อ่านจึงควรปฏิบัติตามนี้ไปก่อน โดยไม่ต้องเสียเวลารอให้มีใครมาอธิบายถึงกระบวนการเชิงลึกว่าเป็นอย่างไร เพราะอาจสายเกินแก้  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 145 ไทยพีบีเอส ขายตรง และผู้บริโภค

  บางประเทศมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของผู้ขายตรงว่า เมื่อเอาสินค้าให้ผู้บริโภคทดลองใช้แล้ว ห้ามไปยุ่งกับผู้บริโภคเลยภายใน 15 วัน เพื่อให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณในการซื้อสินค้าว่า ควรซื้อหรือไม่   ผู้เขียนเป็นนักดูโทรทัศน์ที่ชอบสถานีไทยพีบีเอสมาก เพราะไม่มีโฆษณา ยกเว้นการแจ้งว่ามีรายการอะไรที่จะออกอากาศวันเวลาใด ซึ่งก็ดี เพราะหลายครั้งผู้เขียนก็จำไม่ได้ว่า บางรายการยังออกอากาศอยู่หรือไม่ เนื่องจากไทยพีบีเอสมักประพฤติตนประหลาดๆ ที่ย้ายบางรายการที่ผู้เขียนกำลังติดตามอยู่ดีๆ ไปออกอากาศเสียดึก ทำให้ไม่ได้ดูเพราะผู้เขียนต้องเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม หรือบางที่ก็สลับวันโดยไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจน   แต่มีรายการหนึ่งของไทยพีบีเอสที่คนในครอบครัวลงความเห็นว่า น่ารำคาญมาก คือ รายการ เปิดบ้านไทยพีบีเอส ในวันเสาร์-อาทิตย์หลังข่าวค่ำ ที่ดูเป็นรายการสำหรับการแก้ตัวของสถานีเวลาที่ไทยพีบีเอสถูกผู้ชมทักท้วงถึงความไม่ถูกต้องของบางรายการ ซึ่งบางครั้งการแก้ตัวก็ฟังขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักจะทำให้คนในบ้านหงุดหงิด เช่น นานมาแล้วมีนักวิชาการด้านสัตววิทยาทักท้วงประมาณว่า มีรายการหนึ่งพูดถึงแมลงชนิดหนึ่งผิดไป เนื่องจากคนแปลบทพากษ์เข้าใจผิด จึงส่งจดหมายอธิบายความทางวิชาการให้เพื่อความถูกต้อง แต่คนของไทยพีบีเอสออกมาแก้ตัวแบบฟังแล้ว นักวิชาการส่วนใหญ่คงคิดเหมือนผู้เขียนว่า ปล่อยมันไปเถอะ และปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดหลายครั้ง จนทำให้คนในครอบครัวผู้เขียนตัดปัญหารำคาญใจไม่ดูรายการนี้ ย้ายไปดูช่องอื่นแล้วคำนวณเวลาว่า รายการเปิดบ้านไทยพีบีเอสจบหรือยังจึงกลับไปดูไทยพีบีเอสต่อ เนื่องจากชอบดูรายการ ทันโลก ของคุณชัยรัตน์ ถมยา   แต่เมื่อ 27 มกราคม 2556 นี้ที่ผู้เขียนกดรีโมทเปลี่ยนหนีรายการ เปิดบ้านไทยพีบีเอสไม่ทัน เลยรับฟังการแก้ตัวเกี่ยวกับการที่มีผู้ชมติชมไปยังไทยพีบีเอสว่า ไม่ควรเอาเรื่องเกี่ยวกับการขายตรงมาลบหลู่ เพราะกระเทือนใจผู้ประกอบอาชีพนี้เป็นอย่างยิ่ง   รายการที่ชาวขายตรงกล่าวถึงนั้นคือ ลูกไม้หลายหลายต้น ซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งดูในภาพรวมแล้วค่อนข้างดี บ่อยครั้งที่ผู้เขียนหลงไปดูอยู่เหมือนกัน และสำหรับตอนที่ถูกชาวขายตรงอ้างถึงว่าลบหลู่วิชาชีพนั้น ผู้เขียนก็ดูผาดๆ คือ ไม่สนใจมากนัก แต่ในใจก็นึกชมคนผลิตรายการว่า เอาซะบ้างก็ดี เพราะในเรื่องนั้นเป็นการสอนให้เยาวชนรู้จักความแตกต่างระหว่าง การขายตรงและแชร์ลูกโซ่   ในรายการเปิดบ้านไทยพีบีเอสวันนั้น ผู้ชี้แจงได้พยายามอธิบายความว่า สองเรื่องนั้นมันต่างกัน โดยตีประเด็นตรงๆ ว่า แชร์ลูกโซ่นั้นเป็นการหลอกลวง เพราะผู้เข้าร่วมวงการนี้ต้องหาสมาชิกมาต่อยอดให้ได้ เนื่องจากเงินที่จ่ายให้สมาชิกเก่าจะมาจากสมาชิกใหม่ ถ้าขาดสมาชิกใหม่เมื่อใด แชร์จะล้มลงทันทีและทำให้สมาชิกใหม่แทบฆ่าตัวตายมานักต่อนักแล้ว   ส่วนการขายตรงนั้นเป็นธุรกิจขายสินค้า ซึ่งไม่ได้เปิดเป็นร้านจริงจังแต่มีความเป็นบริษัท มีสินค้าจริง ขึ้นแต่ว่าสินค้านั้นจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ดังนั้นคนขายตรงจึงมีหลายประเภทคละกัน คือ ทั้งดีและไม่ดีตามประเภทสินค้า ความรู้เกี่ยวกับการขายตรงและแชร์ลูกโซ่นั้น ท่านผู้อ่านสามารถหาความรู้ได้จาก ขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่ (www.youtube.com/watch?v= sxGYVcsuZ1Q) และ แชร์ลูกโซ่หลอกครูอีสาน (www.youtube.com/watch?v=Jub7sJRbNzg) ทำไมการขายตรงจึงยังเป็นที่รังเกียจของคนหลายคน เหตุผลหาได้ไม่ยากเพราะ ถ้าใครเจอคนที่มีอาชีพขายตรงแล้ว มักเจอปัญหาในลักษณะที่ว่า ตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก จึงทำให้ในบางประเทศมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของผู้ขายตรงว่า เมื่อเอาสินค้าให้ผู้บริโภคทดลองใช้แล้ว ห้ามไปยุ่งกับผู้บริโภคเลยภายใน 15 วัน เพื่อให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณในการซื้อสินค้าว่า ควรซื้อหรือไม่ ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิด กฎหมายนี้เป็นของประเทศมาเลเชีย   ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ขายตรงในปัจจุบันอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดปัญหาคือ การขายตรงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยผู้ขายเองก็ไม่รู้ว่า ผลิตภัณฑ์นั้นจริง ๆ แล้ว กินดีหรือไม่ รู้แต่ว่า ถ้าขายได้ ก็ได้ค่านายหน้าเท่านั้นเอง ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่ผู้ทำหน้าที่ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคหวั่นใจมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจมูลค่ามหาศาล   ในสหรัฐอเมริกา ดร. Joan E. DaVanzo และคณะได้ทำรายงานเรื่อง The Economic Contribution of the Dietary Supplement Industry: Analyses of the Economic Benefits to the U.S. Economy ให้แก่ Natural Products Foundation’s Dietary Supplement Information Bureau (DSIB) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ค้ากำไรเมื่อ 7 พฤษภาคม  ปี 2009 ว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีมูลค่าการค้าต่อปีมากกว่าสองหมื่นล้านเหรียญตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและโภชนาการที่ขายในสหรัฐอเมริกา โดยมีอัตราการเจริญเติบโตราวร้อยละ 6 ต่อปี ซึ่งเป็นคุณต่อสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา   ในรายงานฉบับเดียวกันได้ให้เหตุผลหลักๆ ว่าคนอเมริกันกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะมีความสนใจในสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ลดความเสื่อมในการมองเห็น มีกระดูกแข็งแรง หรือป้องกันไม่ให้เด็กที่คลอดออกมาพิการ โดยคิดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นปลอดภัยกว่ายา อย่างไรก็ดี ในปี 2011 มูลค่าการค้าขายในประเทศของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ตกลงเหลือแค่ 5 พันกว่าล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งคงเป็นเพราะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาแย่กว่าเดิมมากนัก   สำหรับแนวทางในการบริโภคอาหารที่เหมาะสม หรือ Dietary Guidelines for Americans ที่กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกันออกมาเมื่อปี 2010 นั้นไม่ถึงกับปฏิเสธผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสียทีเดียว เพียงแต่บอกว่า ในบางกรณีการกินอาหารที่มีเติมสารอาหารเฉพาะเพิ่มลงไปหรือกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด อาจจำเป็นในคนที่กินสารอาหารบางชนิดไม่มากเท่าที่ทางกระทรวงสาธารณสุขแนะนำ   ประเด็นสำคัญคือ สถานการณ์อย่างไรที่ใครสักคนจะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกิน เราจะพบว่าส่วนใหญ่ผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้กินมักตัดสินใจบนพื้นฐานการชักชวน แนะนำหรือโฆษณาทั้งสิ้น อาจมีส่วนน้อยที่ผู้บริโภคได้รับคำแนะนำจากบุคคลากรสาธารณสุข ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลังนี้ควรเป็นผู้บริโภคที่ได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดและได้รับการซักถามถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารว่า อยู่ในสถานะที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่มนุษย์กินกัน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน จึงถูกแนะนำ   การบริโภควิตามินในกลุ่มคนไทยที่บางครั้งก็ตอบไม่ได้ว่า กินเข้าไปทำไม เพราะส่วนใหญ่นักเรียน นักศึกษาจะรู้ว่าวิตามินมีประโยชน์ก็จากโฆษณาทางโทรทัศน์ที่บอกว่า แก้อาการผอมแห้งแรงน้อย ทำให้อยากอาหาร ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย   วิตามินนั้นทำงานในร่างกายเราในลักษณะเหมือนน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ กล่าวคือ ต้องมีอาหารเข้าไปในร่างกายก่อน วิตามินจึงทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการทำให้อาหารนั้นเกิดประโยชน์ เช่น คาร์โบไฮเดรตและไขมันกลายเป็นพลังงาน โปรตีนถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนซึมเข้าร่างกายไปสู่เซลล์เฉพาะแล้วถูกสร้างขึ้นเป็นโปรตีนใหม่ที่ร่างกายต้องการ เป็นต้น ดังนั้นการกินวิตามินเข้าไปมาก ๆ แต่ขาดสารอาหาร การทำงานของวิตามินก็ไม่เกิดขึ้น   ดังนั้นจึงไม่เป็นการเกินเลยไปนักที่ บางรายการของไทยพีบีเอสจะให้ความรู้และการกล่าวเตือนให้ผู้บริโภคที่ขาดโอกาสมีความรู้เกี่ยวกับอาหารที่ถูกต้อง สามารถยั้งคิดได้เมื่อถูกชักชวนให้หาอาชีพเสริมซึ่งบางกรณีเป็นอาชีพที่ทำให้ให้เป็นที่รำคาญของบุคคลรอบข้างได้เช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 144 เหยื่อ

หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาด” ซึ่งถ้าคิดให้ลึกซึ้งต่อไปอีกคือ แล้วทำไมคนโง่จึงเป็นเหยื่อคนฉลาด คำตอบที่ผู้เขียนคิดเอาเองก็คือ เพราะคน(ที่อาจ) โง่นั้นมักคิดว่าตน(อาจ) เป็นคนฉลาด จึงไม่เคยหาความรู้เลยว่า สิ่งที่ตนรู้อยู่นั้นมัน ถูกหรือผิด   คนที่ถูกหลอก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนั้น มักเกิดเนื่องจากการเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองสูง จนออกอาการที่เราเรียกว่า “ดื้อ” ดังนั้นความดื้อจึงน่าจะเป็นหนทางไปสู่ความโง่   ความดื้อนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด จะเห็นว่าเมื่อไรก็ตามที่เราห้ามเด็กเล็กว่า “อย่าทำ  เด็กก็จะทำ” แล้วพอเกิดบาดเจ็บเด็กก็จะร้องไห้ ซึ่งก็จบแค่นั้นเพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่ห้ามนั้นมักไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ถ้าเป็นการห้ามเด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ซึ่งบางครั้งแม้เป็นเพียงข้อแนะนำว่า อะไรน่าจะถูก อะไรน่าจะผิด ผู้ให้คำแนะนำมักถูกตอบโต้(หรือในฐานกรุณาก็แอบคิดในใจ) ประมาณว่า มายุ่งอะไรกับ ข้าพเจ้า มันเรื่องของข้าพเจ้า   ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงไม่ประหลาดใจที่พบหัวข้อข่าวบน คมชัดลึกออนไลน์ ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2555 ว่า “ผู้ป่วยเบาหวานซื้อเอนไซม์ทางเคเบิลมากินถึงตาย หลงเชื่อโฆษณา เลิกกินยาจากโรงพยาบาล ผ่านไป 2 เดือนไตวาย กพย. (ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา) ชี้ผลิตภัณฑ์โฆษณาเกินจริงหัวหมอเลี่ยงกฎหมายเร่งคุมเข้ม”   ที่สำคัญจากเว็บของหนังสือพิมพ์ แนวหน้า เมื่อ 30 ธันวาคม 2555 ได้มีบทความที่กล่าวว่า “กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ในปีหน้า  อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ จะต้องทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น เพราะจะมีธุรกิจเคเบิล และทีวีดาวเทียมได้รับใบอนุญาตดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเกิดขึ้นของ ทีวีดิจิตอล ดังนั้น อนุกรรมการต้องสร้างกลไกการรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมายังไม่ได้ผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และต้องเร่งสร้างความรู้เท่าทันสื่อผ่านเครือข่ายผู้บริโภค”   ในบทความเดียวกันของ แนวหน้า (www.naewna.com) นั้น มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.เตรียมรับมือกับการขยายตัวของเคเบิล ทีวีดาวเทียม และทีวีดิจิตอล ในหลายระดับ ตั้งแต่การปรับปรุง พ.ร.บ.อาหาร ยา และเครื่องสำอาง โดยเพิ่มโทษปรับความผิดด้านโฆษณา จาก 5,000 บาท เป็นหลักแสนบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการกฤษฎีกาขั้นสุดท้าย ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป”   ตัวอย่างข่าวที่ผู้เขียนยกมาให้ดูนั้น เป็นหลักฐานยืนยันว่า ในปีใหม่ 2556 นี้ ถ้ากระบวนการของรัฐไม่สามารถทำได้เต็มความสามารถในการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับการผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและโภชนาการแล้ว น่าจะมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเกิดขึ้นอีกมากมาย ทั้งนี้เพราะในปัจจุบันโทรทัศน์หลายช่องออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง และเปิดโอกาสให้มีการโฆษณาขายสินค้าหลอกลวงผู้บริโภคในช่วงที่ผู้กำกับความถูกต้องอาจนอนหลับ (2.00 น. – 5.00 น.) หรือเพิ่งกลับมาจากกินข้าวกลางวัน (13.00 น. – 15.00 น.) หนังท้องยังตึง หนังตายังหย่อน   อีกทั้งใน Youtube เจ้าเก่านั้น ยังเป็นแหล่งเผยแพร่การขายสินค้าด้านอาหารและโภชนาการ โดยมีคนที่เป็นใครก็ไม่รู้ จบอะไรก็ไม่รู้ มาสาธยายความรู้งู ๆ ปลา ๆ อธิบายคุณสมบัติของสินค้าในระดับที่บางครั้งนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้เรียนรู้เฉพาะทางยังไม่เข้าใจ แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ คนที่มาโฆษณาขายสินค้านั้นกลายเป็นคนที่จบการศึกษาสูงหรือเป็นที่ยอมรับในวงสังคม   ใน Youtube นั้นนอกจากคนที่เป็นใครก็ไม่รู้มาหลอกขายของแล้ว ก็ยังมีดารามารับจ้างหารับประทานด้วย ขอให้ท่านผู้อ่านใช้คำค้นหาคลิปว่า “ดารา อาหารเสริม” เมื่อต้องการดูการขายสินค้าแบบไทยๆ  แต่ถ้าต้องการความเป็นอินเตอร์หน่อยก็ใช้คำว่า “celebrity dietary supplement” ท่านก็จะได้ดูอะไรที่บันเทิงไปอีกแบบหนึ่งว่า ดารานั้นนอกจากหลอกเราในหน้าจอภาพยนตร์และโทรทัศน์แล้ว ยังตามมาหลอก (หลอน) ในอินเตอร์เน็ตอีกหลายคน   นอกจากนี้เมื่อดูฟรีทีวีทั้งหลายในเวลาที่เป็นไพร์มไทม์คือ มีคนดูมาก บางครั้งก็มีคนที่บางท่านอาจชื่นชอบมาบอกว่า ให้กินสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยเปิดตู้เย็นออกมามีแต่สินค้าอย่างว่านั้นวางอยู่เต็มตู้ ซึ่งแค่ปลายตาดูก็รู้ว่า ไม่เป็นจริง (ท่านเข้าไปหาดูโฆษณาลักษณะนี้ได้ที่ www.adintrend.com) มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะแช่สินค้าชนิดเดียวเต็มตู้เย็น คำถามคือ คนประเภทนี้มีสิทธิมาหลอกผู้บริโภคโดยไม่มีกฎหมายมาจัดการหรืออย่างไร วกกลับมาที่เรื่องเอนไซม์ที่มีผู้ป่วยเลือกบริโภคแล้วเลิกการรักษาแผนปัจจุบันจนตายอีกทีว่า เป็นตัวอย่างที่ฟ้องให้เห็นถึงความล้มเหลวในการศึกษาที่ทำให้คนไทยไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธองค์บทที่ว่าด้วย กาลามสูตร เขาเหล่านั้นจึงขาดการออกกำลังสมองในการคิดว่าสิ่งใดควรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง   เอนไซมนั้นเป็นโปรตีน ดังนั้นการกินเข้าไปทางปาก ยังไงๆ ก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนแล้วจึงถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบโลหิต จากนั้นร่างกายก็เอากรดอะมิโนที่ได้ไปใช้ในการสร้างโปรตีนที่ร่างกายต้องการ ซึ่งหลักการนี้สามารถประยุกต์ได้กับสินค้าหลายชนิดเช่น คอลลาเจน (โปรตีน) กลูตาไทโอน (ไตรเป็บไทด์) ซึ่งเป็นสินค้าที่เมื่อกินก็ได้กิน จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกย่อยไปหมด   ปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดได้ต่อผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์แปลกๆ นั้นมีตัวอย่างมากมาย หาอ่านได้ในเว็บ www.quackwatch.com ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีพืชที่เรียกว่า Chaparral เป็นองค์ประกอบ ซึ่งในอนาคตอาจมีใครสักคนนำเข้ามาขายในบ้านเราแบบว่าทางการไม่รู้เรื่องก็ได้   Chaparral หมายถึง พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เป็นชายฝั่งทะเลตะวันตกของทวีปเช่น ในสหรัฐอเมริกาอยู่แถวแคลิฟอร์เนีย อเมริกาใต้แถวชิลี อัฟริกาใต้แถวเคปทาว์น ออสเตรเลียแถบตะวันตก และบางส่วนของทะเลเมดิเตอเรเนียน มีพืชหลายชนิดที่ขึ้นได้เฉพาะบริเวณ Chaparral และชนพื้นเมืองนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้าน ดังนั้นคำว่า Chaparral จึงมีอีกความหมายว่าเป็น ไม้พุ่มที่มีใบขนาดเล็กและหนามตามลำต้นจึงทนแล้งได้ดี มักขึ้นอยู่บนภูเขาตามแนวชายฝั่งทวีป เป็นพืชประเภทเดนตาย (คือ ตายยาก) และตัวมันมักติดไฟง่าย ด้วยเหตุนี้บริเวณ Chaparral เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียจึงมีไฟไหม้เป็นประจำ และเมื่อไฟดับแล้วมีฝนแรก พืชพวกนี้ก็จะงอกขึ้นมาทุกครั้ง   มีรายงานเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ของ Chaparral ใน Genus Adenostoma ว่ามีสารจำพวก แคมเฟรอล (kaemferol) และเควร์ซีติน (quercetin) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีการศึกษาว่าอยู่ในชาเขียว และน่าจะมีฤทธิ์ต้านมะเร็งถ้าบริโภคในรูปแบบที่มนุษย์ธรรมดากิน ไม่ใช่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร   ประเด็นที่น่าสนใจคือ พืชบางชนิดที่ขึ้นใน Chaparral นั้นถูกจัดเป็นสมุนไพรที่ก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบ (Hepatitis) มีรายงานผลการใช้ Chaparral ที่ได้จากต้น Larrea tridentata ซึ่งเป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดหนึ่งที่จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ามีอุบัติการเกิดพิษต่อตับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาจึงจัดสมุนไพรที่ขึ้นใน Chaparral ให้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ปลอดภัยและถอนทะเบียนไม่ให้จำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร   อีกตัวอย่างคือ Willow bark หรือเปลือกต้นวิลโลซึ่งมีองค์ประกอบทางพฤกษเคมีเป็นสารต้านอาการปวดเหมือนยาแก้ปวดแอสไพริน คือมีสารซาลิซิน(salicin) ซึ่งถูก เมื่อถูกกรดในกระเพาะอาหารจะเปลี่ยนเป็น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) จึงมีการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กแล้วโฆษณาว่าสามารถแก้ปวดได้โดยไม่มีแอสไพริน ทั้งที่ความจริงมีผลข้างเคียง(ซึ่งไม่ได้แสดงที่ฉลาก) เหมือนยาเม็ดแอสไพริน   ที่น่าตลกก็คือ เมื่อเปลือกไม้นี้ถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายในบ้านเรา กลับอยู่ในรูปเครื่องสำอางโดยโฆษณาว่า “สารสกัดจากเปลือกจากต้น Willow Tree ซึ่งพบได้ในอเมริกาเหนือ มีสาร Salicylic Acid และ Tannins อื่นๆ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกระชับรูขุมขน ช่วยผลัดผิว ต้านการอักเสบ ลดไข้บรรเทาปวด ฆ่าเชื้อโรคโดยเฉพาะแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิว สาร Salicylic Acid ธรรมชาติที่ได้จากการสกัดเปลือกของต้น Willow Tree นี้ มีฤทธิ์คล้าย Salicylic Acid ที่ผลิตทางเคมี แต่ไม่มีผลข้างเคียงร้ายใดๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการระคายเคืองต่อผิว จึงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ได้ถึงระดับ 65% (หรือเทียบเท่า Salycilic Acid ที่ 10%) จากผลการวิจัยพบว่า Willow Bark Extract สามารถทำหน้าที่ผลัดผิวได้ดีกว่า Salicylic Acid แบบเคมี นอกจากนี้ Willow Bark Extract ยังมีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียชนิด Staphylococcus aureus และ Propionibacterium acnes ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิว ทำให้เหมาะกับการผสมในเครื่องสำอางเพื่อช่วยรักษาสิว”   ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางนั้น ถ้ามีแหล่งกำเนิดมาจากต่างประเทศคือ สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียแล้ว ผู้บริโภคมักคิดว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัย เพราะเรามักมีภาพพจน์ว่า ฝรั่งนั้นฉลาดในการผลิตสิ่งเหล่านี้และหน่วยราชการของเขาน่าจะดูแลดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าท่านผู้บริโภคได้เข้าไปศึกษาถึงเรื่องการควบคุมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางของประเทศที่น่าจะเจริญแล้วทั้งสองนี้ จะรู้สึกว่าเดือนมกราคม 2556 นี้มันหนาวกว่าที่คิดเสียอีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point