ฉบับที่ 93 กระแสต่างแดน

โดย ศศิวรรณ ปริญญาตร สิทธิของโจ๋กิมจิเออนะ จะมีใครคิดบ้างว่าแต่ละวันที่เด็กๆ หิ้วกระเป๋าหรือแบกเป้ไปโรงเรียนนั้น พวกเขาต้องถูกละเมิดสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็มี สส.ควอน ยอง กิล จากพรรคแรงงานประชาธิปไตยของเกาหลีใต้นี่แหละที่คิด วันก่อนแกก็เพิ่งจะเสนอ พรบ.การศึกษา ฉบับแก้ไข เพื่อส่งเสริมการพิทักษ์สิทธิตามรัฐธรรมนูญของเด็กนักเรียนประถมและมัธยมต้น เนื่องในโอกาส “วันนักเรียนแห่งชาติ” ที่จัดกันมาแล้ว 78 ครั้งนั่นเองคาดว่าถ้าพรบ. ฉบับใหม่นี้ผ่านการพิจารณา โจ๋เกาหลีคงได้มีเฮ สส.ควอนบอกว่าถึงเวลาแล้วที่โรงเรียนจะต้องหยุดการละเมิดสิทธิของเด็กๆ โดยใช้การศึกษาบังหน้า โรงเรียนต้องให้สิทธิกับนักเรียนในการเลือกทรงผมที่พวกเขาชอบ ต้องไม่นัดให้เด็กมาเรียนนอกเวลาปกติเช่น เช้าหรือดึกเกินไป ต้องไม่ใช้วิธีรุนแรงในการลงโทษนักเรียน และที่สำคัญ ต้องไม่มาเปิดกระเป๋า เปิดเป้ตรวจค้นสมบัติส่วนตัวด้วย อ้อ! ลืมบอกไปว่า กฎหมายดังกล่าวยังกำหนดไว้ว่าเด็กๆ จะต้องได้รับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวันอีกด้วย คุณควอนยืนยันว่า สิ่งที่โรงเรียนควรจะใส่ใจและส่งเสริมให้กับเด็กๆ ได้มี คือความคิดสร้างสรรค์และการรู้จักเรียนรู้ที่จะมีวินัยในตนเองมากกว่า โจ๋ไทยอ่านข่าวนี้แล้ว คงอยากได้ สส.แบบนี้บ้างสินะ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ รับสมัครนักแอบถ่าย ... รายได้ดีต่อไปช่องทางหารายได้เพิ่มเติมสำหรับนักเรียน นักศึกษา แม่บ้าน หรือคุณตาคุณยายวัยเกษียณ ที่ประเทศเกาหลี คือ การรับจ็อบเป็นปาปาราซซี่ แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ไปแอบถ่ายว่าใครกิ๊กใครที่ไหนหรอกนะ เขาทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานรัฐ คอยหาหลักฐานเอาไว้มัดตัวผู้กระทำผิด เช่น คนที่สูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ พวกที่ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง หรือเจ้าของร้านที่แอบแจกถุงหิ้วให้ลูกค้าฟรีๆ (ตามกฎหมายเกาหลี เค้าให้คิดเงินค่าถุงด้วย) ค่าตอบแทนจากงานนี้น่าสนใจทีเดียว หลังพวกเขาส่งหลักฐานให้ทางการ เช่นภาพตอนกระทำผิด พร้อมกับข้อมูลที่จะช่วยให้สืบหาตัวผู้กระทำผิดได้ (เช่นหมายเลขทะเบียนรถ) ไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง พวกเขาจะได้ “เงินรางวัลนำจับ” อย่างต่ำ 50,000 วอน หรือประมาณ 12,000 บาท (รายได้ดีมากๆ) แต่ค่าตอบแทนนี้จะแปรผันตามความร้ายแรงของความผิดที่กระทำด้วย เด็กนักเรียนคนหนึ่งบอกว่า “เขามีรายได้ถึง 8 ล้านวอน หรือประมาณ 196,000 บาท จากการทำงานแอบถ่ายเป็นเวลาสองสัปดาห์” (โอ้ ...มีคนทำผิดมากมายจนเด็กเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ จะดีใจดีมั้ยเนี่ย) ที่สำคัญ งานนี้เป็นที่นิยมมากถึงกับมีโรงเรียนที่เปิดอบรมคอร์สสำหรับปาปาราซซี่โดยเฉพาะ ค่าเล่าเรียนสำหรับแต่ละคอร์ส (ใช้เวลาประมาณ 3 – 7 วัน) ก็ประมาณ 350,000 วอน (ประมาณ 8,500 บาท) โดยโรงเรียนจะสอนให้รู้จักเทคนิควิธีการถ่ายแบบซ่อนกล้องและการตัดต่อภาพเพื่อการนำเสนอเพื่อการดำเนินคดีด้วย ข่าวบอกว่าทางการเกาหลีใต้ไม่อยากจะใช้งบประมาณของรัฐมาจ่ายเหล่าปาปาราซซี่มากนัก ก็เลยคิดจะลดค่าตอบแทนลง แต่จริงๆ แล้วเขาคงแอบหวังให้อาชีพนี้สูญพันธ์ไปในที่สุด เพราะไม่มีใครทำผิดกฎหมายอีกต่อไป ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   ผู้ดีอังกฤษสิ้นหนทางทำกิน?ขณะนี้ประเทศอังกฤษกำลังพบกับความยากจนชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นชนชั้นบัตรเดบิต บัตรเงิน บัตรทอง หรือบัตรแพลตตินั่ม เจมี่ โอลิเวอร์ พ่อครัวหนุ่มชื่อดังที่หลายคนเคยเห็นแกมาทำกับข้าวให้เราดูทางช่องเคเบิ้ลทีวี กล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพในรัฐสภาอังกฤษว่า นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยที่มีสถิติว่า ประชากรอังกฤษที่มีความสามารถในการทำกับข้าวกินเองได้นั้นมีอยู่เป็นจำนวนน้อยมากๆ โดยทั่วไปในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอยและการทำมาหากินฝืดเคือง ผู้คนก็จะต้องพยายามตัดลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ลงรวมถึงค่าอาหารด้วย เชฟเจมี่แกบอกว่า สมัยก่อนครอบครัวอังกฤษยังรู้จักทำอาหารที่ดี มีประโยชน์กินแม้จะต้องเผชิญกับงบที่จำกัด แต่ในปัจจุบันสิ่งที่คนอังกฤษนิยมทำเพื่อประหยัดเงิน หาใช่การทำกับข้าวกินเองที่บ้านไม่ ทางเลือกในยามทุนต่ำของคนอังกฤษทั้งคนที่มีฐานะและคนที่รายได้น้อย คือการพึ่งพาอาหารฟาสต์ฟู้ด อันเนื่องมาจากความเคยชินกับความสำเร็จรูป และความสะดวกสบายนั่นเอง แต่หากได้ลองทบทวนกันจริงๆ แล้ว ทางเลือกนี้ไม่ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายของครอบครัวลดลงเลย สิ่งที่คุณพ่อครัวคนดังกล่าวต้องการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ คือการที่คนในประเทศหันมาเรียนรู้วิธีการทำอาหาร และหันมาพึ่งตนเองให้มากขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ จอแบน ราคาไม่แบนคุณคงสังเกตแล้วว่า ราคาของจอภาพที่ใช้ในโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือได้ลดลงฮวบฮาบในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่เชื่อหรือไม่ ว่าที่ลดนั้นมันยังลดได้ไม่เร็วพอ ทั้งนี้เพราะกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเขาได้สืบพบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผู้ผลิตหลายๆ เจ้า ผนึกกำลังกันตรึงราคาของจอแอลซีดีเอาไว้ให้นานที่สุด ทั้งๆ ที่ราคาควรลดได้ตั้งนานแล้ว แอลจี จากเกาหลี ชาร์ปจากญี่ปุ่น และบริษัทหลอดภาพชุงวาจากไต้หวัน รับสารภาพว่า พวกเขาได้มีส่วนร่วมในกระบวนการที่ดึงราคาจอแอลซีดีไว้ และตอนนี้โดนศาลสั่งปรับทั้งหมด 585 ล้านเหรียญ (ประมาณสองหมื่นกว่าล้านบาท) ไปเรียบร้อย โดยแอลจีบริษัทเดียวก็โดนปรับไป 400 ล้านเหรียญ (ประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านบาท) แล้ว ตามข่าวบอกว่า เงินค่าปรับดังกล่าวยังไม่สะท้อนถึงความเสียหายต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกานั้น บริษัทอาจโดนปรับเป็นสองเท่าของรายได้ที่มาจากการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย แต่ตัวเลขที่ออกมานั้นเป็นตัวเลขที่ผ่านการเจรจาต่อรองแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามขณะนี้การสอบสวนก็ยังดำเนินการต่อไปทั้งใน ยุโรป จีน และเกาหลีใต้ด้วยเช่นกันซึ่งมูลค่าความเสียหายทั่วโลกก็น่าจะสูงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว ข้อมูลการตลาดระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาจอแอลซีดี ขนาด 15 นิ้วสำหรับโน้ตบุ๊ค นั้นลดลงจากประมาณ 3,400 บาท ลงมาเป็น 2,200 บาท หรือจอโทรทัศน์ขนาด 32 นิ้ว ก็ลดลงจาก 11,200 เป็น 7,800 บาท ถามว่า ราคาจอลดลงแล้วเป็นไง อ้าวเรื่องนี้สำคัญนะคุณ เพราะเงินที่เราจ่ายไปเพื่อซื้อโน้ตบุ๊คนั้น เป็นค่าจอภาพเสียร่วม 10-20% เชียวนะเออ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เราต้องพึ่งมันแล้วพี่น้องพี่น้องครับ ... ในที่สุดเราก็มีทางออกสำหรับปัญหาอาหารขาดแคลนในอนาคตแล้ว นักวิทยาศาสตร์เขาคิดไปคิดมาก็พบว่าที่แท้ทางแก้ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็นมันนั่นเอง ผู้รู้บอกว่า “มันฝรั่งหรือโปเตโต้” นี่แหละ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในฐานะอาหารหลักของประชากรในประเทศที่กำลังพัฒนาแทนที่ข้าวหรือข้าวสาลี ที่มักจะมีราคาผันผวนอย่างรุนแรงตามกลไกตลาด รัฐบาลของหลายๆประเทศ อย่างเช่น จีน เปรู และมาลาวี ได้เริ่มรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาปลูกและบริโภคมันฝรั่งกันมากขึ้น ประเทศจีนนั้นมีผลผลิตมันฝรั่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 จากปี 2548 จนถึง 2550 โดยการรณรงค์ให้มันฝรั่งเป็นหนทางช่วยให้หายจน ส่วนที่เปรูนั้นประธานาธิบดี อลัน การ์เซีย ได้ออกมาประกาศชักชวนให้ประชาชนหันมาช่วยกันกินขนมปังที่ทำจากมันฝรั่งกันให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้มันฝรั่งดูเหมือนจะเป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันเฉพาะในโลกตะวันตกเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันจีนและอินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคมันฝรั่งมากเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสามของโลกแล้ว ว่ากันว่าองค์การสหประชาชาติ เคยคิดจะประกาศให้ปี 2551 เป็น “ปีมันฝรั่ง” แต่ไม่มีใครรับไอเดียนี้ไปทำต่อ เพราะตอนนั้นราคาข้าวยังไม่พุ่งขึ้นเป็นสองเท่า (ว่ากันว่าสหประชาชาติเองก็ต้องการเงินเพิ่มอีก 500 ล้านเหรียญ เพื่อเตรียมไว้ซื้อข้าวที่ราคาแพงขึ้น) เหตุที่ต้องพึ่งมัน ก็เพราะว่ามันฝรั่งนั้นมีข้อดีอันเนื่องมาจากข้อเสียของมันนั่นเอง เพราะมันฝรั่งมีปัญหาเรื่องระยะเวลาจำกัดในการขนส่ง มันจึงไม่เป็นสินค้ายอดฮิตในตลาดการเงินระดับนานาชาติ ทำให้ราคาของมันยากแก่การเก็งกำไร จึงทำให้ราคาไม่ผันผวนขึ้นลงมากนัก มันฝรั่งเป็นแหล่งสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุอย่างสังกะสีและเหล็ก แถมยังใช้พลังงานและน้ำในการปลูกน้อยกว่าข้าวสาลี ที่สำคัญปลูกที่ไหนก็ได้ แล้วเก็บเกี่ยวได้เลยภายในสามเดือนอีกด้วย เยี่ยมไปเลยล่ะทีนี้ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ระวังยาผสมอาหารเสริมอย. สหรัฐออกมาเตือนผู้บริโภคว่า ผลิตภัณฑ์ยาผสมอาหารเสริมของไบเออร์ ที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้ผล ยาดังกล่าวจึงยังถือเป็นยาเถื่อนอยู่ในขณะนี้ ผลิตภัณฑ์สองตัวที่ยังไม่ได้รับอนุญาตได้แก่ Bayer Aspirin with Heart Advantage และ Bayer Women’s Low Dose Aspirin + Calcium ตอนนี้ทางการยังไม่ได้สั่งให้เก็บผลิตภัณฑ์ทั้งสองออกจากชั้น แต่เตือนให้ไบเออร์รีบดำเนินการขออนุญาตโดยด่วนหรือไม่ก็ต้องหยุดขายก่อนที่จะถูกดำเนินคดี แต่ทางบริษัทยืนยันว่า ตนเองมีสิทธิที่จะขายยาดังกล่าว แล้วก็ขอยืนยันสรรพคุณที่อ้างไว้ในโฆษณาหรือที่ข้างกล่องด้วย ไบเออร์อ้างว่าได้แจ้งในโฆษณาแล้วว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาแอสไพรินผสมอาหารเสริมดังกล่าว และผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีประโยชน์ต่อหัวใจก็ได้แจ้งแก่ผู้บริโภคแล้วว่าไม่สามารถใช้แทนยาลดโคเลสเตอรอลได้ แต่เรื่องจริงคือ ผลิตภัณฑ์ตัวที่ว่ากลับแจ้งไว้ที่กล่องว่า ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล ในขณะที่อีกตัวหนึ่งที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงก็อ้างว่าช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และป้องกันโรคกระดูกผุ ทางอย.สหรัฐฯ ยืนยันชัดเจนว่า ไบเออร์ฝ่าฝืนนโยบายของทางการ และข้อความเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนในจุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์ และยังไม่มีข้อมูลว่าเมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายใดๆ หรือไม่ ตามกฎหมายสหรัฐนั้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างวิตามินหรือสมุนไพรนั้นสามารถขายในท้องตลาดได้เลยโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าปลอดภัย หรือใช้ได้ผล แต่การนำเอาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมารวมกับยาที่ได้รับการรับรองแล้ว หมายความว่าต้องมีการส่งตรวจอีกครั้งหนึ่ง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 ตัวอย่างหลักสูตร การคุ้มครองผู้บริโภคในโรงเรียน: ความเท่าทันสื่อ (Media Competency)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการบทความนี้ผมได้แปลสรุปมาจากสื่อการเรียนการสอนของ องค์กรผู้บริโภคแห่งเยอรมนี ที่ได้จัดทำสื่อให้กับคุณครูและเด็กนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดทำหลักสูตรดังกล่าวมีองค์กรภาคเอกชนหลายหน่วยงานได้เข้ามาร่วมกันทำงาน  สำหรับเนื้อหาในเรื่องความเท่าทันสื่อนี้ องค์กรคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่างานบางอย่างรัฐไม่ได้ดำเนินการเอง แต่สนับสนุนให้องค์กรภาคเอกชนดำเนินการ แม้แต่เรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนในการศึกษาขั้นพื้นฐานรัฐก็ไม่ได้ผูกขาดไว้คนเดียว องค์กรปกครองส่วนท้องถื่นในบ้านเราที่มีความเข้มแข็งในการปกครองตนเอง ก็น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับ โรงเรียนในสังกัดกันบ้างนะครับ ในปี 1998 ผลการศึกษาของ JIM* การใช้มัลติมีเดียของวัยรุ่นอายุระหว่าง 12- 19 ปี พบว่ามีเพียง 19 % เท่านั้นที่ใช้อินเตอร์เน็ต และ 20 % ที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับอินเตอร์เน็ตหรือ โทรศัพท์มือถือเลย ในขณะที่ผลการศึกษาในปี 2010 กว่า 90 % ของวัยรุ่นเล่นอินเตอร์เน็ตทุกวันและวันละหลายครั้ง วัยรุ่น 97 % มีโทรศัพท์มือถือส่วนตัว และหากนับรวมสื่ออื่นๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และยูทูบ ตลอดจนเกมส์คอมพิวเตอร์ จะเห็นว่าสื่อทั้งหลายเหล่านี้อยู่รอบๆ ตัวของวัยรุ่น เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ รับทราบ และเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ครู อาจารย์ยุคนี้ ที่กลัวว่าสื่อยุคใหม่จะส่งผลในเชิงลบต่อพฤติกรรมวัยรุ่นยุคนี้ จนเป็นที่มาของความเสื่อมในด้านวัฒนธรรม (Sittenverfall) การแพร่หลายของสื่อประเภทต่างๆ นี้ มีผลต่อวัยรุ่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลทางด้านบวก หรือผลทางด้านลบ เป็นทั้งโอกาสและเป็นทั้งความเสี่ยง หน้าที่อย่างหนึ่งของคุณครูและพ่อแม่ต่อการรับมือกับสภาพของสื่อที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็คือ เข้าไปทำความรู้จัก เรียนรู้ นำตัวอย่างที่ดีมาสอน อธิบายเรื่องความเสี่ยงและความน่ากลัวของสื่อ ให้วัยรุ่นรับฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่วัยรุ่นในยุคนี้จะต้องเรียนรู้ และสามารถคิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนกำหนดการใช้เวลาอยู่กับสื่อต่างๆ เหล่านี้ ได้ด้วยตนเอง จึงเป็นที่มาของหลักสูตร การเท่าทันสื่อ (Media Competency) พัฒนาการและการสนับสนุน หลักสูตรการเท่าทันสื่อ จะมีกระบวนการดังต่อไปนี้ คือความรู้ในเรื่องสื่อ (Knowledge) กระบวนการการประเมินผล (Reflexion) และกระบวน การการจัดการ (Take action) จากกระบวนการเรียนรู้การเท่าทันสื่อตามแนวความคิดดังกล่าว วัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้ คือ การสามารถวิเคราะห์การใช้สื่อต่างๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งกระบวนการประเมินผล จะเป็นกระบวนการสำคัญ เนื่องจากเด็กวัยรุ่นจำนวนมากได้ใช้สื่อต่างๆ อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การที่เปิดโอกาสให้เด็กสามารถทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สื่อของตัวเอง การอภิปรายในเรื่องงานอดิเรกอื่นๆ ในเวลาว่าง และสามารถทำการประเมินระดับของการเสพติดสื่อได้ สำหรับคุณครูหรือพ่อแม่ที่ เกิดก่อนปี 1980 นั้นต้องเข้าใจว่า เป็นพวกอพยพเข้ามาสู่ยุคดิจิตอล(Digital Immigrants) ในขณะที่เด็กที่เกิดหลังปี 1980 นั้น จะเป็นพวกชนพื้นเมืองยุคดิจิตอล(Digital Natives) เนื่องจากคนกลุ่มนี้พอเกิดมาจำความได้ ก็รู้จักสื่อต่างๆ ที่รายรอบตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมารุ่นก่อนต้องทำความเข้าใจในการสอน Media Competency ภายใต้หลักการที่ว่า เป็นกัลยาณมิตรต่อกันและกัน คือ ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกับบางสิ่งบางอย่างที่คนรุ่นใหม่กระทำทุกเรื่อง แต่ภายใต้ความหวังดีที่มีให้นั้น ก็สามารถเป็นที่ปรึกษากับพวกเขาเหล่านั้นได้ เนื่องจากพ่อ แม่ ผู้ปกครองมีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมกว่าเด็กวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนการเจริญเติบโต เนื้อหาในหลักสูตรนั้นทางองค์กรผู้บริโภค ได้จัดเตรียมไว้ให้กับคุณครูทางอินเตอร์เน็ต คุณครูสามารถดาวน์โหลด เพื่อมาประกอบการเรียนการสอนในห้องได้ นอกจากนี้ยังมีช่องทางให้คุณครูสามารถประเมินหลักสูตร เพื่อเป็นเสียงสะท้อนให้กับฝ่ายจัดทำหลักสูตรได้อีกด้วย เยอรมันเป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาทุกระดับ และสิทธิในการได้รับการศึกษาก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของไทย เพียงแต่เขาเอาจริง และทำจริงมากกว่าของเราในตอนนี้   *JIM เป็นโครงการการสำรวจอิทธิพลของสื่อที่มีต่อเด็กวัยรุ่น โดยทุกๆปี โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1998 จะทำการสอบถามวัยรุ่นจำนวน 1,000 คน ในประเด็นดังต่อไปนี้ การทำกิจกรรมในยามว่าง หัวข้อที่สนใจและแหล่งของข้อมูล รายการโทรทัศน์ที่ชื่นชอบ การใช้สื่อประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต แนวความคิดในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์กับโรงเรียน การใช้โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 ผลสำรวจค่าธรรมเนียมโรงเรียนอนุบาล

ปิติ วาสนาดำรงดี ผลสำรวจค่าธรรมเนียมโรงเรียนอนุบาล“สมัยนี้ ค่าธรรมเนียมโรงเรียนอนุบาลเอกชนที่ไหนๆ ก็แพงกันทั้งนั้น แล้วฉันจะส่งลูกเข้าเรียนที่ไหนดีล่ะ“ นี่เป็นปัญหาใหญ่มากๆ ของบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย เมื่อพบว่าบุตรหลานของพวกเขาอายุครบ 3 ขวบแล้ว ถึงเกณฑ์ที่จะส่งเข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาล 1 ค่าธรรมเนียมแพงจริงไหม และมีที่มาจากค่าอะไรบ้าง เราควรเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับฐานะเศรษฐกิจของครอบครัวและให้เหมาะสมกับลูกรัก แล้วรัฐบาลได้เข้ามาอุดหนุนค่าธรรมเนียมการศึกษาอย่างไรเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง เรามาติดตามกัน แบ่งประเภทโรงเรียนอนุบาลตามสังกัด โรงเรียนอนุบาลในบทความนี้ คือโรงเรียนที่เปิดสอนชั้นระดับอนุบาล1 ขึ้นไป ซึ่งมีหลายระดับตั้งแต่เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับอนุบาลอย่างเดียว หรือเปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 ขึ้นไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลขอแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มเอกชน แบ่งออกเป็นโรงเรียนในเครือคาทอลิก โรงเรียนเอกชนทั่วไป และโรงเรียนนานาชาติ ทุกแห่งสังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 2.กลุ่มโรงเรียนรัฐบาล โดยหลักแล้วแบ่งย่อยออกเป็น โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษาของกรุงเทพมหานคร และโรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทย   ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่กับค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรก ค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรก จะหมายถึงค่าเล่าเรียนรวมค่าแรกเข้า ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในวันที่ผู้ปกครองจะต้องชำระในวันมอบตัวต่อโรงเรียน (สำหรับโรงเรียนใดมีมากกว่า 2 เทอม ค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรกจะเพิ่มขึ้นโดยการหารเฉลี่ยเพื่อคิดแบบ 2 เทอมต่อปี)   โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก 1.โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก ในกทม. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 22,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 6,500 -50,000 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 แห่ง)2.โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก ในตจว. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 13,500 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 3,180 -36,880 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 แห่ง)ประมาณการสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนในเครือคาทอลิก แบ่งเป็น ค่าเล่าเรียน 41% ค่าแรกเข้า 27% ค่าอาหาร 17%และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 15%   โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไป1.โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไป ในกทม. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 20,350 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 4,000 -57,800 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 64 แห่ง)2.โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไป ในตจว. ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 8,040 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด ฟรี -79,000 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 85 แห่ง)ประมาณการสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนเอกชน แบ่งเป็น ค่าเล่าเรียน 31% ค่าแรกเข้า 26% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 23%และค่าอาหาร 20% สำหรับสัดส่วนห้องเรียนชั้นอนุบาลโรงเรียนเอกชนอยู่ในช่วง 2-3 ห้อง มีนักเรียนประมาณ 20-30 คน และมีครู 2 คน (มีครู 1 คน พี่เลี้ยง 1 คน) โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ1.โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ ในกทม. มีค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่ ตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป มีค่าธรรมเนียมเฉลี่ย 247,300 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 64,000 – 759,200 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 24 แห่ง)2.โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ ในตจว. มีค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 50,001-300,000 บาท มีค่าเฉลี่ยคือ 173,820 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำสุด- สูงสุด จำนวน 41,000 – 430,000 บาท (สุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 แห่ง จากทั้งหมด 30 แห่ง) ประมาณการสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนนานาชาติ แบ่งเป็น ค่าเล่าเรียน 40% ค่าแรกเข้า 38% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 19%และค่าอาหาร 3%ส่วนโรงเรียนนานาชาติมีอยู่ในช่วง 1-2 ห้อง และมีนักเรียนอยู่ในช่วง 10-25 คน และมีครูในช่วง 2-3 คน (ครู 2 พี่เลี้ยง 1 คน) โรงเรียนอนุบาลของรัฐบาลโรงเรียนของรัฐบาลนั้นมีค่าธรรมเนียมการศึกษาฟรี รัฐอุดหนุน 100% ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ผู้ปกครองเสียแค่ ค่าอาหาร ค่าพี่เลี้ยงค่าใช้จ่ายส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งรวมกันแล้วประมาณ 3,000 ต่อเทอม วิธีคิดค่าธรรมเนียมเทอมสองแบบคร่าวๆค่าธรรมเนียมเทอมสองนั้น มีวิธีคิดง่ายๆ คือ นำค่าธรรมเนียมการศึกษาแรกเข้า เทอม 1 หักค่าใช้จ่ายค่าแรกเข้า (โดยส่วนใหญ่แล้วค่าแรกเข้าคือส่วนต่างระหว่างค่าธรรมเนียมการศึกษาทางเทอม 1 กับเทอม 2) ตัวอย่างเช่น โรงเรียนอนุบาลในเครือคาทอลิก มีค่าธรรมเนียมเทอม 1 รวมค่าแรกเข้าเฉลี่ย เท่ากับ 22,000 บาท และมีสัดส่วนแรกเข้าเท่ากับ 27% หรือและเท่ากับ 5,940 บาท ดังนั้นโรงเรียนจะมีค่าใช้จ่ายเทอม 2 ประมาณ 16,060 บาท (สัดส่วนนี้เป็นการประมาณแบบคร่าวๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละสถาบัน) โครงสร้างค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรกรวมค่าแรกเข้า โรงเรียนอนุบาลเอกชนทั่วไปในกทม.พิจารณาจากค่าธรรมเนียมรวมค่าแรกเข้าในเทอมแรก โดยใช้ค่าเทอมเฉลี่ยโรงเรียนอนุบาลเอกชนในกรุงเทพฯ จำนวน 64 แห่ง สุ่มตัวแทนจากทุกเขตรวมกัน มีค่าเฉลี่ยค่าธรรมเนียมการศึกษาเทอมแรกเท่ากับ 20,350 บาท และมีค่าธรรมเนียมเทอมสองหักค่าแรกเข้าร้อยละ 30 (พิจารณาจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายโรงเรียนเอกชน) จะเหลือค่าธรรมเนียมเทอม 2 จำนวน 14,245 บาท เมื่อรวมกับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจำนวน 5,896 บาทต่อคนต่อปี รวมเป็นค่าธรรมเนียมการศึกษาแรกเข้าแท้จริง จำนวน 40,491 บาทต่อคนต่อปี ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ส่วนค่าเล่าเรียนที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียน(~40%) เป็นการเก็บค่าเรียนแบบคงที่ จำนวน 4,960 บาท 2.ส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เป็นเงินอุดหนุนแบบคงที่(~60%) จำนวน 5,896 บาท แบ่งเป็น เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานจำนวน 1,700 บาทและเงินอุดหนุนเงินเดือนครูต่อนักเรียน 1 คนจำนวน 4,196 บาท 3.เงินค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่มเติมแบ่งเป็นค่าธรรมเนียมแรกเข้า,ค่าอาหาร,ค่าอุปกรณ์พิเศษ,ค่าเรียนพิเศษ,ค่าบำรุงการศึกษา ฯลฯ จากข้อมูลนี้พบว่า ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่มเติมมีมากสุด ร้อยละ 73 ค่าเล่าเรียนที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียน ร้อยละ 12 เงินอุดหนุนเงินเดือนครูต่อนร.1 คน ร้อยละ 10 เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานร้อยละ 4 ส่วนเงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนจากรัฐบาลมีอัตราต่ำรวมกันมีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น ขณะที่ค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติมจากโรงเรียนอยู่ในอัตราสูงร้อยละ 73 ถ้าโรงเรียนสามารถลดค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติมหรือคงระดับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในปีต่อไป และให้ภาครัฐเข้ามาเพิ่มสัดส่วนเงินอุดหนุนให้มากขึ้นก็จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองในยามภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนี้ได้ เงินอุดหนุนของรัฐต่อโรงเรียนอนุบาลเอกชน ปัจจุบันโยบายของรัฐที่ให้เงินอุดหนุนแก่โรงเรียนอนุบาลเอกชน รายหัวนักเรียนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 จากยอดรายรับต่อหัวเฉลี่ยของโรงเรียน ซึ่งทางรัฐคำนวณแล้วว่ารายได้ต่อนักเรียน 1 คนเท่ากับ 10,856 บาท แบ่งเป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 1,700 บาท* เงินอุดหนุนเงินเดือนครูต่อนักเรียน 1 คน 4,196 บาท รวมเป็นเงินอุดหนุน 5,896 บาท โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียนอีก 4,960 บาท ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน คือ ค่าใช้จ่ายจริงสำหรับผู้เรียนทุกคนและค่าใช้จ่ายสำหรับสถานศึกษาเพื่อดำเนินงานจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานสถานการณ์ปัจจุบันโรงเรียนเอกชนขอรับเงินอุดหนุนกว่าร้อยละ 90 จากโรงเรียนทั้งหมด ทั้งนี้โรงเรียนที่ขอรับเงินอุดหนุนจะต้องประกาศเฉพาะค่าเล่าเรียนไว้ตามที่รัฐบาลกำหนดเท่ากับจำนวน 4,960 บาท โรงเรียนที่ไม่ขอรับเงินอุดหนุน ส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามส่งเสริมการจัดการศึกษา โดยการเพิ่มเงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนให้ ร้อยละ 70 จากเดิม ร้อยละ 60 ช่วยลดภาระค่าเล่าเรียนของผู้ปกครองให้เหลือเพียงร้อยละ 30 และนโยบายเรียนฟรี 15 ปีจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 5,000 บาทต่อปี หากทำได้จะทำให้สามารถยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียน ปีละ 4,960 บาท

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก

ปิติ วาสนาดำรงดีกองบรรณาธิการ โรงเรียนอนุบาลในประเทศไทยมีจำนวนมากเหลือเกิน แล้วจะเลือกอย่างไรดี คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกในวัยที่ถึงเกณฑ์ต้องส่งลูกเข้าเรียนชั้นอนุบาลคงกลุ้มใจเหลือกำลัง ยิ่งเข้ายุคเศรษฐกิจไม่ดีด้วยแล้ว เหลือบไปเห็นค่าเทอมค่าธรรมเนียมที่แสนจะแพงเข้า ก็เล่นเอาหนาวไปเหมือนกัน แต่เพื่อให้ลูกรักได้สิ่งที่ดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่ต้องพิถีพิถันกันหน่อย และก็ไม่ใช่ว่า ราคาแพงจะเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะสิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากที่สุดคือ ลูกได้รับการดูแลที่ดี โรงเรียนสามารถเตรียมความพร้อมให้ลูกได้มากพอจะไปรับมือหรือเรียนรู้กับสังคมได้ ที่สำคัญลูกต้องมีความสุขที่ได้ไปโรงเรียนด้วยมิใช่หรือ   ฉลาดซื้อแนะ หลักในการเลือกโรงเรียนอนุบาล1. เยี่ยมชมโรงเรียนคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเลือกโรงเรียนให้บุตรหลานของคุณจากเหตุผลเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านหรือได้รับคำชักชวนจากเพื่อนบ้าน ถึงอย่างไรก็ดี สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นและมือคลำ เนื่องจากโรงเรียนที่คุณเลือกอาจไม่ได้ตรงตามสิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยตนเอง สิ่งต่างๆที่ควรสังเกต เรียงตามลำดับก่อน-หลัง ดังนี้การเดินทางเข้ามาโรงเรียน มีความสะดวกสบายและมีการจราจรเป็นอย่างไร มีป้ายบอกชื่อและทางเข้าโรงเรียนไหม สถานที่จอดรถสำหรับการรับส่งนักเรียนเป็นอย่างไร สภาพพื้นที่ภายนอกก่อนเข้ามาที่โรงเรียนว่ามีความปลอดภัยเพียงใดและวิธีการแลกบัตรเข้ามาโรงเรียน เป็นต้นห้องเรียน ควรไปชมการเรียนการสอนในห้อง ตรวจดูความสะอาด สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในห้องเรียนว่ามีพอเพียงหรือไม่ อุปกรณ์ความปลอดภัยในห้องเรียน เช่น ถังดับเพลิง และสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ข้อควรคำนึงคือโปรดระมัดระวังการจัดฉากจากโรงเรียนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายนอกห้องเรียน เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา ห้องน้ำ ตู้น้ำดื่ม ห้องพยาบาล โรงอาหาร สนามเด็กเล่น สนามกีฬา สระว่ายน้ำ สระว่ายน้ำ เป็นต้น พิจารณาว่ามีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และมีความสะอาด หรือไม่ อาหารและนม คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกไปเยี่ยมชมโรงเรียนช่วงก่อนรับประทานอาหารเที่ยงของนักเรียนสักเล็กน้อย เพื่อจะได้เห็นการรับประทานอาหารของเด็กนักเรียน และพิจารณาว่าอาหารและนมของเด็กมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ 2. ขอดูนโยบายและแนวทางการเรียนการสอนโรงเรียนอนุบาลหลักๆ มี 2 แนว คือ แนวกระแสหลัก เน้นการเรียนรู้เชิงวิชาการ กับแนวทางเลือก เน้นการเตรียมความพร้อม และใช้นวัตกรรมการเรียนแบบใหม่ โรงเรียนอนุบาลกระแสหลักหรือแนววิชาการซึ่งโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่จะเป็นแบบแนวนี้ เป็นรูปแบบจัดการเรียนการสอนแต่ดั้งเดิม ด้วยเชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในการเรียนรู้ได้เต็มที่ ดังนั้นควรเร่งสอนให้เด็กสามารถหัดอ่าน หัดเขียน หัดบวกลบเลขให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะสามารถเรียนรู้เพิ่มขีดความสามารถของสมองให้กว้างขึ้น ส่วนโรงเรียนอนุบาลทางเลือกหรือแนวเตรียมความพร้อม จะเน้นพัฒนาศักยภาพของเด็ก โดย นําเอาความต้องการของเด็ก ความสุขของเด็กเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเริ่มที่ตัวเด็กเอง โดยผ่านกิจกรรมทั้งหลาย เช่น วาดรูป เล่นเกม ร้องเพลง เป็นต้น เพื่อพัฒนาแนวคิด สำหรับนวัตกรรมการสอนและทฤษฎีที่โรงเรียนทั้วไปยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Reggio Emilia, Project Approach, Whole Language , จิตพิสัย เป็นต้น การศึกษาและสอบถามนโยบายและแนวทางการเรียนการสอนจากคุณครูหรือผู้บริหารจะทำให้เข้าใจแนวคิดของโรงเรียน และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ครูผู้สอน นอกจากนั้นควรสอบถามถึงรางวัลโรงเรียนดีเด่นหรือรางวัลชนะเลิศด้านต่างๆของโรงเรียน อัตราการเข้าเรียนโรงเรียนดัง รวมถึงถามคำถาม เกี่ยวกับอัตราสวนคุณครูกับจำนวนนักเรียน ข้อมูลเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันที่นักเรียนแต่ละคนต้องทำ 3. ตรวจสอบครูผู้สอน ครูผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการอบรม สั่งสอน และปลูกฝังความคิด ทัศนะคติและความรู้ แก่เด็ก ดังนั้น คุณพ่อและคุณแม่ควรสัมภาษณ์ครูผู้สอน ประวัติการศึกษา ถ้าคุณครูจบมาทางด้านครุศาสตร์มาโดยตรงจะมีความได้เปรียบกว่าสายอื่นๆ เนื่องจากคุณครูจะสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ได้อย่างดี นอกจากนั้นลักษณะและบุคลิกของครูผู้สอนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอย่างรอบคอบ 4.ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆโรงรียนอนุบาลเอกชน โดยมากมักมีค่าธรรมเนียมการศึกษาต่ำ แต่จะมีค่าแรกเข้าสูง หรือหลายๆครั้งโรงเรียนจะเลี่ยงการเก็บค่าแรกเข้าที่สูง โดยเก็บเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าอุปกรณ์,ค่ากิจกรรมพิเศษ,ค่าคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ทั้งหมดที่เกี่ยวกับค่าเทอมแรกเข้า ค่าเทอมสองและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดปีการศึกษาด้วย และถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องออกเพิ่มเติมด้วย เช่น ค่าเสื้อผ้า,ค่าหนังสือ,ค่ารถโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนส่วนใหญ่จะไม่นำมาคำนวณในค่าเทอมแรกเข้า และควรคำนวณให้เพียงพอต่อรายได้ของครอบครัว คำแนะนำเพิ่มเติมกรณีโรงเรียนเอกชนตรวจสอบรายได้ของผู้ปกครอง โดยใช้เกณฑ์ 10% จากรายได้ครัวเรือน รายได้ของครอบครัว(คุณพ่อและคุณแม่)ที่เหมาะสมคือเดือนละ 30,000 บาท ขึ้นไป สามารถส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนได้ เนื่องจากสามารถรับค่าเล่าเรียนเอกชนตกเดือนละประมาณ 3,000 บาทได้ (ค่าธรรมเนียมการศึกษาเฉลี่ยต่อปีประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป) หรือร้อยละ 10 ของรายได้ ซึ่งพิจารณาจากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2549 พบว่าครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,787 บาท รายได้จำนวน100%แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ 32% ค่าที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ภายในบ้าน 22% ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะ และการเดินทาง 18% การสื่อสาร 4% ค่ารักษาพยาบาล 2% ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา 2% และมีเงินออม 20% ดังนั้นเมื่อนำเงินออม 8% หรือลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบ 8% เพราะควรเหลือเงินออมขั้นต่ำร้อยละ 10 ของรายได้ จะสามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาและส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนได้ ทั้งนี้หนี้สินเพื่อการศึกษาซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพื่อการศึกษาของตนเองในอัตราร้อยละ 2 นั้นยังค่อนข้างต่ำเพราะหนี้สินเพื่อการศึกษาถือว่าเป็นการลงทุนประการหนึ่ง ที่เพิ่มศักยภาพของการหารายได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต สำหรับโรงเรียนนานาชาตินั้น รายได้ครอบครัวควรมีรายได้เดือนละประมาณ 400,000 บาท เป็นต้นไป เนื่องจากค่าธรรมเนียมเฉลี่ยตกปีละ 500,000 บาทหรือเดือนละ 41,666 บาท คิดในอัตราส่วนร้อยละ 10 ของรายได้ ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น คุณแม่เลือกอย่างไรคุณปวีณา ตั้งจิตรพร ผู้ปกครองส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลคาทอลิก ต่างจังหวัด เป็นผู้ปกครองท่านหนึ่งที่มีรายได้เพียงพอและมีความเห็นว่าโรงเรียนอนุบาลเอกชนมีค่าธรรมเนียมการศึกษาไม่แพงนัก เหมาะสมกับคุณภาพการเรียนการสอนที่โรงเรียนจัดให้ แสดงความเห็นดังนี้ “ที่เลือกส่งลูกเรียนเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ มีการเรียนการสอนครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาพื้นฐานทั่วไปหรือด้านภาษา โดยโรงเรียนให้ความสำคัญกับการเรียนด้านภาษามาก นอกจากนั้นทางโรงเรียนได้จัดการเรียนพิเศษภาคฤดูร้อน(summer) โดยคลอบคลุมทักษะด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา,ดนตรี,ศิลปะและคอมพิวเตอร์ ที่ผ่านมาถือว่าโรงเรียนได้มีคุณภาพการสอนดี สังคมและสิ่งแวดล้อมที่นี่ก็ดี กิจกรรมที่โรงเรียนจัดทุกปีคือ เช่น งานกีฬาสี กิจกรรมผู้ปกครองก็มีเช่น กิจกรรมของสมาคมผู้ปกครอง อยากให้ลูกเรียนที่นี่จนถึง ป 6. แล้วจึงให้ลูกเรียนต่อในโรงเรียนของรัฐชื่อดัง เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่า ลูกสอบได้ที่ไหนก็ให้เข้าเรียนที่นั่น สำหรับค่าเทอมถือว่าไม่แพงนัก ค่าเทอมปกติประมาณเทอมละ 20,000 บาท แต่ผู้ปกครองที่จะส่งลูกเข้าเรียนที่นี่ควรมีฐานะปานกลางขึ้นไป จะได้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นตามมา” ในขณะที่ผู้ปกครองที่ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลรัฐบาล (สพฐ.).ในต่างจังหวัด คุณสวนีย์ ฉ่ำเฉลียว กล่าวว่า “ที่เลือกส่งลูกเรียนที่นี่เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน มีญาติเป็นครูในโรงเรียน อีกทั้งตนเองยังเป็นศิษย์เก่าที่เคยเรียนมา โรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ป6.เชื่อมั่นในคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนนี้ เพราะสามารถปั้นให้เป็นคนเก่งได้ทุกคน ไม่จำเป็นต้องเรียนในโรงเรียนเอกชน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของเด็กเองด้วย ที่ผ่านมาเห็นว่าคุณครูมีความเอาใจใส่ต่อเด็กทุกคน มีความเข้าใจเด็ก และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างดี อัตราครูต่อนักเรียนของโรงเรียนไม่น้อยเกินไป มีความเหมาะสม อีกทั้งค่าธรรมเนียมการศึกษาฟรี จ่ายเพียงค่าเสื้อผ้า 500 บาทเท่านั้น”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point