ฉบับที่ 108 มาเป็นแม่บ้านไร้สารกันเถอะค่ะ

“ฉลาดซื้อ” ฉบับนี้นำเรื่องดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้เราขอเอาใจคุณแม่บ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่บ้านที่รักการทำความสะอาดบ้าน (และที่ทำเพราะหน้าที่) “ฉลาดซื้อ” อยากชวนคุณแม่บ้านทุกท่านมาลองคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการทำให้บ้านอันแสนอบอุ่นของทุกคนเป็นบ้านปลอดสาร(พิษ) สะอาดอย่างปลอดภัย แถมยังห่วงใยโลก สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่หัวใจสีเขียว ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษ สารเคมีใกล้ตัวไม่กลัวไม่ได้นะแค่พูดถึง “สารเคมี” ทุกคนก็คงรู้สึกไม่ดีกันแล้วใช่ไหมคะ คุณแม่บ้านหลายคนอาจจะคิดว่าสารเคมีแม้จะเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวแต่ก็เป็นเรื่องไกลตัวคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะอันตรายจากสารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ มากขนาดที่เราทุกคนใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสารเคมีในบ้านของเราเองตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน ซึ่งสารเคมีที่เราต้องสัมผัสพบเจอในชีวิตประจำวันของเราก็ไม่ได้มาจากที่ไหนไกลมาจากข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างรอบตัวเรา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราใช้ภายในบ้านนี่แหละ ทั้งผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ และอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่วางขายทั่วไปอยู่ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมหลักทั้งนั้น สำรวจบ้านหาจุดเสี่ยงสารเคมี!!!ตอนนี้คุณแม่บ้านลองเดินสำรวจในบ้านของตัวเองดูนะคะ ลองดูซิว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราซื้อเข้าบ้านมีอะไรที่เป็นตัวนำสารเคมีเข้ามาบ้าง เริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านของคุณแม่บ้านก่อนเลยค่ะ หลายๆ บ้านคงจะใช้บริเวณด้านนอกของบ้านเป็นโซนซักล้าง ซึ่งที่นี่เราจะได้พบสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราซื้อมาจากร้านค้า ทั้งผงซักฟอก น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาซักแห้ง น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือถ้าคุณแม่บ้านมีรถ ก็จะเจอสารเคมีได้อีกในน้ำยาทำความสะอาดรถยนต์ น้ำยาขัดเงา น้ำมันเครื่อง เข้ามาในบ้าน ที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ในนี้จะมีสารเคมีที่เราคิดไม่ถึงซ่อนอยู่เยอะเลย ทั้งในพรมสังเคราะห์ ที่มักผลิตมาจากโพลียูริเทนโฟมซึ่งมีสารบางตัวที่อาจถูกปล่อยออกมาก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจ นอกจากนี้อาจมีสารเคมีตกค้างจากน้ำยาทำความสะอาดพรมด้วย วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ที่ทำจากพลาสติกก็อาจปนเปื้อนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ นี่ยังไม่พูดถึงบรรดาน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ รวมทั้งแร่ใยหินจากกระเบื้องที่อยู่เหนือศีรษะเรา มาต่อกันที่ห้องครัว ที่ที่เราใช้ปรุงอาหารรับประทาน ถ้ามีสารเคมีอยู่ด้วยแบบนี้น่ากลัวนะคะ แต่ว่ายังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ เพราะในห้องนี้เราอาจเจอสารเคมีได้ทั้งใน เตาอบไมโครเวฟ เครื่องครัวเคลือบเทฟลอน รวมถึงในน้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดคราบสกปรก น้ำยาขจัดสิ่งอุดตันในท่อ และยาฆ่าหนูและแมลงต่างๆ ปิดท้ายที่ห้องน้ำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าทั้ง สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า ล้วนแล้วมีส่วนผสมของสารเคมีทั้งนั้น แม้จะไม่อันตรายมาก แต่อาจมีบ้างบางคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์บางตัวบางยี่ห้อ สารเคมีที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังในห้องน้ำน่าจะเป็น น้ำยาขัดพื้นห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดโถส้วม และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เพราะพวกนี้มักมีสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง คุณแม่บ้านที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้คงเคยสังเกตว่าเวลาหยดผลิตภัณฑ์พวกนี้ลงพื้นก็จะเกิดฟองขึ้นทันที ซึ่งเป็นฤทธิ์ของการกัดกร่อนของสารเคมี ขนาดพื้นปูนพื้นกระเบื้องยังขนาดนี้ ถ้าโดนตรงๆ กับผิวหนังของเราก็คงดูไม่จืดแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ภายในบ้านที่อาจเสี่ยงสารเคมี ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้พลาสติก ตู้ไม้อัด ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บ สเปรย์ใส่ผม ยาย้อมผม สีทาบ้าน ยาฉีดยุง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพีวีซี อย่าง ท่อน้ำ กระเบื้องยางปูพื้น ของเล่นเด็ก ฯลฯ แม้จะดูเยอะจนน่าตกใจ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงและลดการใช้สารเคมีในบ้านของเราได้ค่ะ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็อย่าซื้อหาเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน คือใช้เท่าที่จำเป็น ใช้แต่พอดี อันไหนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ และรู้สึกว่าอาจต้องเสี่ยงกับสารเคมีก็ต้องศึกษาข้อมูลวิธีการใช้ คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ ให้ดี หรืออะไรที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทดแทนได้ อย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านต่างๆ ก็หามาใช้หรือถ้าทำใช้ได้เองก็ยิ่งดีค่ะ ซึ่งนอกจากจะดีกับสุขภาพของคุณแม่บ้านและคนในครอบครัว ยังดีต่อโลกของเราด้วยเพราะไม่มีสารเคมีตกค้างไปทำร้ายสิ่งแวดล้อม แถมยังถูกกว่าประหยัดกว่า และการลองทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติด้วยตัวเอง อาจช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นงานที่สนุกมากขึ้นก็ได้ค่ะ คำแนะนำเพื่อทำให้บ้านปลอดสารพิษจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด1.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นระบบ คือให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันหรือทำหน้าที่เหมือนกันเก็บไว้ด้วย เช่นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าก็ไว้รวมกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำก็แยกกลุ่มออกมาให้ชัดเจน 2.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนอกเหนือจากหน้าที่ของมัน คือไม่เอาผงซักฟอกไปล้างจาน หรือเอาน้ำยาขัดพื้นห้องน้ำมาขัดพื้นห้องรับแขกหรือห้องครัว 3.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่จะซื้อเข้ามาในบ้าน ต้องเลือกที่มีฉลากแสดงข้อมูลต่างๆ ชัดเจน วิธีการใช้ คำเตือนของอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และวิธีการรักษาอาการแพ้เบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ 4.เมื่อคุณแม่บ้านอ่านข้อความวิธีการใช้และคำเตือนต่างๆ บนฉลากข้างผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งสวมเสื้อผ้ามิดชิด ไม่สัมผัสโดยตรง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 5.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ห่างจากมือเด็กมากที่สุด 6.ซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแค่เท่าที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ควรซื้อมาเก็บตุนไว้มากๆ เพราะแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงสารเคมีให้กับตัวเอง 7.ลองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติหรือมีอันตรายน้อยกว่ามาทดแทน อย่างเช่น ผงฟู หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ได้ไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่วางขายอยู่ตามร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต-------------------------------------------------- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใกล้ตัว ใช้แล้วไม่ต้องกลัวสารพิษ ผงฟู : ผู้พิชิตผงฟู หรือที่บางคนเรียก เบคกิ้งโซดา หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต นอกจากจะใช้ทำให้ขนมฟูดูน่ากินแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ความสะอาดบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก เพราะความที่มีอนุภาคเล็กและมีรูปทรงผลึกอ่อนนุ่ม จึงดีต่อการใช้ขัดถูทำความสะอาด มีสรรพคุณปรับค่าความเป็นกรดด่างและฆ่าเชื้อโรค แถมยังช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เรียกว่าเราสามารถนำผงฟูไปเป็นสูตรทำความสะอาดได้ตั้งแต่ เสื้อผ้า จานชาม พื้นบ้าน อุปกรณ์เครื่องครัว ขจัดกลิ่นตู้เสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงใช้แทนยาสีฟันก็ยังได้ น้ำส้มสายชู : คุณค่าคู่ครัวไม่เพียงแค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่น้ำส้มสายชูยังเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการทำความสะอาดคราบต่างๆ ได้ด้วย น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยกัดกร่อนคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามพื้นห้องน้ำ พื้นกระเบื้อง หรือคราบสนิทอยู่เกาะอยู่ตามก๊อกน้ำ ฝักบัว หรือเครื่องครัวต่างๆ ทั้งแบบที่ทำจากอลูมิเนียม อย่าง กาต้มน้ำ ที่เมื่อใช้ไปนานๆ มักเกิดคราบจากตะกอน คราบเขม่า และเครื่องครัวที่เป็นแก้วหรือคริสตัล น้ำส้มสายชูก็สามารถทำความสะอาดให้กับมาใสปิ๊งเหมือนใหม่ได้ด้วย น้ำมะนาว : เราทำได้นอกจากจะเพิ่มความเปรี้ยวให้กับชีวิตแล้ว น้ำมะนาวยังเป็นน้ำยาขัดขาวสูตรธรรมชาติปลอดภัยไร้สารอีกต่างหาก น้ำมะนาวใช้ขัดทำความสะอาดได้ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองและทองแดง ช่วยขจัดคราบสนิมและคราบสกปรกจากอาหารที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า และยังช่วยขจัดคราบกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดอยู่ตามอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวอย่าง เขียงและมีด สบู่ : สู้ความสกปรกสบู่ที่เราใช้อาบน้ำมักจะเหลือค้างเป็นก้อนเล็กๆ เพราะมันเล็กจนจับไม่ถนัดมือเราจึงไม่ได้ใช้มันต่อ และเหมือนจะหมดประโยชน์ไปโดยปริยาย แต่สบู่ก้อนเล็กๆ เหล่านี้จะมีกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง โดยการเก็บรวบรวมนำมาผสมกับน้ำร้อนใช้เป็นน้ำยาล้างจานได้ เพราะสบู่มีคุณสมบัติของสารลดแรงตึงผิวเหมือนกัน แต่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ปลอดภัยกับผิวเรามากกว่า น้ำ : ทำได้หมดวัตถุดิบพื้นฐานสุดๆ ที่เราใช้ทำความสะอาดทุกๆ อย่าง ทั้ง ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ทำความสะอาดนู้นนี้ เราใช้น้ำช่วยในการชำระล้างคราบสกปรกต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพของน้ำเปล่าๆ อาจไม่เข้มข้นพอที่จะขจัดคราบสกปรกบางอย่างชนิดที่เกาะติดแน่นมากๆ แต่บางครั้งแค่น้ำเปล่าธรรมดาบวกกับการออกแรงขัดถูนิดน้อย คราบสกปรกที่เราหวั่นใจก็อาจหลุดออกได้ง่ายๆ แบบที่เราอาจคาดไม่ถึง สูตรน้ำยาทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษน้ำยาล้างห้องน้ำแม่บ้านหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์รุนแรง ถึงขนาดกัดกร่อนคราบสกปรกต่างๆ ได้ง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องเปลืองแรงขัด นั้นก็เพราะในน้ำยาล้างห้องน้ำมีส่วนผสมของกรดหลายชนิด ที่นิยมมากที่สุดก็คือ กรดเกลือ (hydrochloric acid) ซึ่งขนาดคราบสกปรกบนพื้นปูนหรือพื้นกระเบื้องยังขจัดออกได้ แล้วถ้าโดนเข้ากับผิวหนังของเราก็ไม่ต้องเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ถ้าโดนผิวหนัง เข้าตา หรือหายใจสูดเอากลิ่นของมันเข้าไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้ -ใช้แอมโมเนียและน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่งถ้วย ผสมกับผงฟู ¼ ถ้วย นำไปเทลงบนพื้นแล้วใช้แปรงขัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ ใช้เป็นน้ำยาทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง -ใช้น้ำส้มสายชูเทลงในโถส้วม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้แปรงขัด ใช้ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ได้ -ใช้น้ำยาฟอกขาวกับน้ำมะนาว ¼ ถ้วย ผสมกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค สำหรับขัดตามอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ฝักบัว ผงซักฟอกไขข้อข้องใจสำหรับแม่บ้านที่ซักผ้าด้วยมือ ผงซักฟอกเป็นสารเคมีพวกกรดด่าง สารละลายอินทรีย์ และอาจมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสิ่งสกปรก เมื่อผิวหนังเราสัมผัสสารเหล่านี้เป็นเวลานานอาจเกิดผลเสียขึ้นได้ ทั้งผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ผิวแห้งและแตก อีกเรื่องที่อยากฝากเตือนคุณแม่บ้านคือ ไม่ควรนำผงซักฟอกไปล้างทำความสะอาดอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นล้างจานชาม หรือล้างมือ เพราะถ้ามีสารตกค้างเข้าสู่ร่างกาย อาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรือถึงขั้นช็อคเลยก็ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-นำผงสบู่ที่ได้จากการสบู่ก้อนบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของสีและกลิ่นมาขูดให้เป็นผงประมาณ 1 ถ้วย ผสมกับน้ำ 3 ถ้วยที่ใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่บอแรกซ์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เป็นสบู่เหลวซักผ้า -นำผงสบู่ผสมน้ำร้อนอย่างละ 2 ถ้วย ทำให้ผงสบู่ละลายแล้วเติมแอลกอฮอล์ 1 ถ้วย น้ำมันยูคาลิปตัส 2 ช้อนโต๊ะ ใช้เป็นหัวเชื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม เวลาใช้ให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร เมื่อปรับผ้านุ่มแล้วให้ซักด้วยน้ำอุ่นอีกหนึ่งครั้ง -ผงฟูช่วยทำให้ผ้านุ่มและขจัดกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้าได้ โดยการเทผงฟูประมาณ ½ ถ้วยลงในน้ำสุดท้ายของการซักผ้าน้ำยาล้างจานส่วนผสมหลักๆ ของน้ำยาล้างจานคือ สารสังเคราะห์ในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว (surfactant) รวมทั้งยังผสมสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเพื่อทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรก นอกจากนี้ยังมีการผสมสารต่างๆ อีกหลายชนิด สารที่ให้กลิ่นหอม สารฟอกสี ซึ่งสารสังเคราะห์เหล่านี้ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงสบู่ 1 ถ้วย ผสมน้ำตั้งไฟจนเดือดคนจนละลาย ผสมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาล้างจาน -น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว ใช้เช็ดถูทำความสะอาดคราบบนภาชนะต่างๆ เช่น หม้อ กาต้มน้ำ และใช้ขัดคราบและกลิ่นบนเครื่องครัวที่ทำจากไม้ อย่าง เขียง ได้ด้วย น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่จะผสมสารที่ชื่อว่า ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (isopropyl alcohol) ซึ่งเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ซึ่งถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60 – 70% หากเราหายใจเอาเจ้าสารนี้เขาไปในปริมาณมากๆ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอและจมูก เป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ ปวดหัว วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณเท่ากัน ชุบด้วยผ้านุ่มใช้เช็ดทำความสะอาดกระจก แต่หากใช้น้ำส้มสายชูเช็ดกระจกแล้วเกิดคราบ ให้ใช้แอลกฮอล์เช็ดที่กระจกก่อน -ใช้ผ้าเปียกถูกับสบู่ก้อน เช็ดบนกระจก ล้างออกแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ช่วยทำให้กระจกที่เป็นฝ้ามัวกลับมาใสเหมือนใหม่น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ทำมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แว็กซ์ และน้ำมัน ไม่ควรสูดดม สัมผัส หรือนำเข้าสู่ร่างกาย หากได้รับสารดังกล่าวเข้า อาจมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ แนะนำว่าเวลาใช้น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ควรทำในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำมันพืช 1 ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้ผ้าชุบเช็ดทำความสะอาด ซึ่งสูตรนี้ช่วยลบรอยขีดข่วนได้ด้วย -ใช้น้ำมันทานตะวัน ½ ถ้วย ผสมกับสบู่เหลวและน้ำอย่างละ ¼ ถ้วย ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ -น้ำ 1 ถ้วย สบู่เหลว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ผสมเข้าด้วยกัน ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง -น้ำมันจมูกข้าวสาลี ½ ถ้วย ผสมกับน้ำมันละหุ่ง ¼ ถ้วย ใช้เป็นสูตรผสมสำหรับเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์หนัง น้ำยาทำความสะอาดพรมส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาดพรมคือ น้ำยาซักแห้ง และ แนพทาลีน (Naphthalene) ซึ่งเป็นสารเคมีที่อยู่ในลูกเหม็น อันตรายคงสารนี้ก็คือ เมื่อสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นานเข้าก็จะไปทำร้ายปอด รวมทั้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟูหรือเกลือป่น โรยทิ้งไว้บนพรม 1 – 2 ชั่วโมง แล้วดูดฝุ่นออก ช่วยในการดับกลิ่น - บริเวณที่เปื้อนคราบสกปรกให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสบู่หยดลงไป แล้วเช็ดเบาๆ ด้วยแปรงขนอ่อน เสร็จแล้วซับด้วยผ้าให้แห้ง ผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันส่วนใหญ่คือ โซดาไฟ ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ถ้าถูกผิวหนังอาจเกิดการระคายเคือง เป็นแผลไหม้ ถ้าเข้าตาอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด ถ้าเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้ ปาก คอ และช่องท้องเกิดแผลอย่างรุนแรง ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟู 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยผสมในน้ำร้อนแล้วเทลงไปในท่อ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วเทน้ำตาม ช่วยทำให้ท่อระบายได้เร็วขึ้นและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ -ถ้าท่อระบายน้ำตันให้ใส่เกลือลงในท่อ ½ ถ้วย แล้วเทน้ำเดือดตามลงไป ที่มา : บทความเรื่อง “แม่บ้านไร้สารพิษ”. คมสัน หุตะแพทย์, วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 1/2552 “กรีนคอนซูเมอร์”. กรรณิกา พรมเสาร์. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค “10 วิธีทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมชาติ” มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 106 ของขวัญที่คุณไม่อยากได้

ฉลาดซื้อฉบับนี้กลัวตกรถไฟเลยต้องเกาะกระแสไอเดียของขวัญปีใหม่กับเขาบ้าง แต่เราจะลองหันมาพูดถึงอีกแง่มุมของการให้ของขวัญบ้าง นั่นคือของขวัญที่คนไม่อยากได้ สมาชิกฉลากซื้อหลายท่านคงจะเคยได้รับของขวัญที่เมื่อได้มาแล้วไม่รู้จะทำอะไร จะทิ้งก็กระไร วางไว้ก็ฝุ่นเกาะ ทำให้กลายเป็นของรกบ้าน ว่าแล้วเราเลยลองทำการสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างที่เป็นของขวัญไม่พึงประสงค์ สำหรับปีใหม่ที่จะถึงนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 170 คน ในการสำรวจระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีพ.ศ. 2552 ที่ (หญิง 106 คน ชาย 59 คน) โดยร้อยละ 60 อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ลองมาดูว่าเราพบอะไรบ้าง   TOP TEN unwanted gifts 10 อันดับของที่ไม่อยากได้ {xtypo_rounded_left2} 1. เครื่องดื่มอัลกอฮอลล์ “ไม่อยากให้ใครดื่มของมึนเมา” “ถือศีลห้า” “รณรงค์ว่าไม่ดี” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}6. กระปุกออมสิน“ไม่ได้ใช้ ฝากเงินกับธนาคาร” “ไม่มีเงินใส่” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}2. น้ำยาดับกลิ่นตัว /กลิ่นปาก“เหมือนหลอกด่า”“ซื้อเองได้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}7. เทียนหอม“ไม่ค่อยได้ใช้ประประโยชน์”“กลัวไฟไหม้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2} 3. สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก“ยี่ห้อไม่ถูกใจ” “รู้สึกไม่ใช่ของขวัญ{/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}8. เครื่องแก้ว จาน ชาม“มีอยู่แล้ว”“ไม่ได้ใช้” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}4. ชุดหม้อ/กระทะ“อยากซื้อเอง” “ดูผู้ใหญ่เกินไป” “ไม่ชอบทำอาหาร” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2} 9. ตุ๊กตา“ทิ้งไว้ฝุ่นเกาะ”“ไม่เหมาะกับวัย”{/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}5. เกมต่างๆ“ไม่มีเวลาเล่น”“ไม่มีประโยชน์” {/xtypo_rounded_left2} {xtypo_rounded_left2}10. กรอบ/อัลบั้มรูป“เอารูปไปโพสต์ใน Facebook ก็ได้” “ขี้เกียจหารูปใส่” {/xtypo_rounded_left2} แผนปีใหม่ยอดนิยม1. ไปเที่ยวกับครอบครัว (ร้อยละ 62.5)2. ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต (ร้อยละ 59.5)3. ซื้อกุหลาบ เอ๊ย .. ของขวัญ ให้ตัวเอง (ร้อยละ 44.6)4. เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (ร้อยละ 34.5) งบซื้อของขวัญให้ตัวเอง : ร้อยละ 33 บอกว่าตั้งงบประมาณในการซื้อของให้ตัวเองในปีใหม่นี้เอาไว้ประมาณ 500 – 1,000 บาท อีกร้อยละ 26 ยินดีทุ่มสุดตัวด้วยงบต่ำกว่า 500 บาท งบซื้อของขวัญให้คนอื่น: ร้อยละ 40 เตรียมใจใช้งบไม่เกิน 500 บาทเพื่อซื้อของให้คนอื่น อีกร้อยละ 35 ตั้งใจจะซื้อของขวัญให้คนอื่นด้วยงบระหว่าง 500 -1,000 บาท ให้โดยไม่สูญเสีย นาทีนี้ เงินสดคือของขวัญที่ดีที่สุด?นักเศรษฐศาสตร์มีทัศนะว่าการให้ของขวัญที่จะส่งผลดีต่อทั้งผู้รับและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมนั้นคือการให้เป็นเงินสดไปเลย ... ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะมันเป็นการให้ที่ปราศจาก “การสูญเสียโดยไร้ประโยชน์” เจ้าการสูญเสียฯ ที่ว่านี้เขามีการวัดไว้ด้วย งานวิจัยของ Joel Waldfogel แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียได้ทำการวิจัยพบว่า คนเราจะประเมนราคาของที่ตนเองได้เป็นของขวัญ ต่ำกว่าราคาที่แท้จริงของมันร้อยละ 20 ทางเศรษฐศาสตร์เรียกมูลค่าที่หายไปร้อยละ 20 นี้ถือเป็นการสูญเสียโดยไร้ประโยชน์ หรือ Deadweight Loss นั่นเอง เขาบอกว่าในอเมริกานั้นมีการสูญเสียดังกล่าวถึงปีละ 25,000 ล้านเหรียญต่อปีในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเลยทีเดียว* ดังนั้นเขาจึงสรุปว่าการให้เงินสดหรือบัตรของขวัญ เพื่อให้ผู้รับนำไปซื้อของขวัญที่ตนเองต้องการเลยนั้นเหมาะที่สุด แต่อย่าเพิ่งท้อใจไป ถ้าคุณยังทำใจไม่ได้ และยังอยากให้ของขวัญที่เป็นมากกว่าบัตรหรือแบงค์ ก็อย่าลืมทำการบ้านมาให้ดี สืบเสาะ ใส่ใจ คลุกวงใน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมาให้ได้ว่าคนที่คุณต้องการซื้อของขวัญให้นั้นเขาอยากได้อะไร อัตราการสูญเสียฯ ที่ว่านั้นจะได้ลดน้อยลง หรือไม่ก็หันไปลงมือทำ “ของขวัญ” ที่สร้างคุณค่าทางจิตใจเสียเลย รับรองไม่พลาดเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมูลค่า ? *อ้างอิงจากบทความ Scroogenomics: Gift-giving is waste of money, economist says จาก www.financialpost.com วันที่ 4 ธันวาคม 2552 GREEN GIFTS / SLOW GIFTS / SAFE GIFTSหม้อความดันไอน้ำ ... เขาว่าเป็นเครื่องครัวที่สามารถใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นกานใช้ความดันไอน้ำเพื่อทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น ใครจะซื้อหามาเป็นของขวัญให้กับเพื่อหรือญาติที่รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจก็ไม่ว่ากัน ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อไว้ดังนี้ การเลือกซื้อหม้อความดันไอน้ำ สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือ ขนาดของหม้อต้องเหมาะสมกับการใช้งาน สอง ระบบการไหลเวียนของไอน้ำในภาชนะต้องมีประสิทธิภาพดี เนื่องจากในขณะใช้หม้อความดันไอน้ำ จะมีความดันสูง อาจทำให้เกิดอันตรายได้ หากหม้อระเบิดขึ้น เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อต้องดูว่าหม้อความดันไอน้ำนั้น มีเครื่องหมายประกันคุณภาพในด้านความปลอดภัย เช่น T?V, CE หรือ GS หรือไม่ สาม ตรวจสอบอะไหล่และชิ้นส่วนของหม้อไอน้ำ เช่น ซีลริง (Seal ring) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่จะเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน หากผู้บริโภคซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์เนม เวลาหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยน ก็จะสามารถหาอะไหล่ประเภทนี้ได้ง่ายกว่า สินค้าราคาถูกที่ไม่ได้ทำอะไหล่รองรับการใช้งานในระยะยาว นอกจากนี้ มาตรบอกความดันก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก เพราะช่วยให้เราทราบถึงระดับความดันในหม้อ ซึ่งจะมีประโยชน์ในด้านการประหยัดพลังงานเพราะเมื่อเราให้ความร้อนจนกระทั่งความดันในหม้อถึงระดับที่ต้องการแล้ว เราก็สามารถปรับระดับของความร้อนจากเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊สลง โดยที่ความดันในหม้อยังรักษาระดับไว้อยู่ สุดท้าย คือ การทำความสะอาด ควรพิจารณาว่าหม้อความดันไอน้ำสามารถแยกชิ้นส่วนได้หรือไม่ หากทำได้ ก็จะทำให้การทำความสะอาดหม้อสะดวกยิ่งขึ้น และจะทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บอีกด้วย ของเล่นปลอดภัย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หน.ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อของเล่นไว้ดังนี้ “ ของขวัญสำหรับเด็ก ๆ ในเทศกาลปีใหม่ ที่พ่อแม่ต้องเลือกให้ลูก ๆ ควรเป็นของเล่นที่สร้างสรรค์ และไม่เป็นอันตราย หรือหนังสือที่เหมาะกับเด็กก็ได้ ส่วนของเล่นที่ไม่ควรเลือกซื้อให้ลูกๆ เช่น ของเล่นที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนในสีที่เคลือบอยู่ ของเล่นที่มีความแหลมคมหรือมีชิ้นส่วนเล็กๆ เป็นต้น ฉะนั้นการให้ของขวัญกับลูกในช่วงเทศกาลนี้จึงควรเลือกซื้อของเล่นที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกๆ เช่น เด็กวัย 3 ปี ควรเลือกซื้อจิ๊กซอว์ ขนาด 10 ชิ้น แทน 50 ชิ้น เพราะยิ่งจำนวนชิ้นมาก ชิ้นส่วนก็จะเล็กลง เป็นอันตรายกับเด็กเล็กเพราะชิ้นส่วนอาจจะหลุดเข้าคอของเด็ก ๆ ได้ ส่วนเด็กๆ ที่อยู่ในวัยโตขึ้นมา อย่างเด็กผู้ชายต้องระวังเรื่องปืนอัดลมเด็กเล่นที่ผลิตเหมือนของจริงๆ เพราะความแรงของปืนทำให้เกิดบาดแผลได้ ส่วนลูกวัยรุ่นที่รอคอยของขวัญชิ้นใหญ่ที่อยากได้มานาน อย่างจักรยานยนต์นั้น พ่อแม่ควรคำนึงถึงให้มากที่สุด เพราะว่าจักรยานยนต์คือสินค้าที่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต สุดท้ายคือการเลือกซื้อของขวัญสำหรับครอบครัวใหม่ อย่างสินค้าสำหรับทารก อย่าง โมบาย ยางกัด กุ๊งกิ๊ง รถหัดเดิน นั้น สินค้าบางอย่างในหมวดนี้มักจะมีมาตรฐานควบคุมอยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลมาก แต่บางอย่าง เช่น รถหัดเดิน ที่บางประเทศห้ามใช้แล้ว เพราะ 2 ใน 3 ของผู้ใช้จะเกิดอุบัติเหตุนั้น ยิ่งต้องระวัง ไม่ควรซื้อเป็นของขวัญให้กับใครเลย" กระถางกุยช่ายให้คุณเทรนด์คนสนใจปลูกผัก ทำสวนครัวในเมืองมาแรงในปี 2552 และคาดว่าจะได้รับการตอบรับดีในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกอับเฉา ข้าวปลาอาหารราคาแพงและมีความเสียงปนเปื้อนสรอันตรา ผู้คนตึงเครียดกับการดำเนินชีวิตในวิถีคนเมือง รวมไปถึงกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่องในเรื่องอาหารอินทรีย์และการรักษาสุขภาพทางเลือก ที่เลือกทำได้เองง่ายๆ ในครอบครัว ประหยัดค่าใช้จ่าย ของขวัญปีนี้ที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เฉพาะเลยกับเจ้าของคอลัมน์ Connecting ของฉลาดซื้อซึ่งเมื่อผ่านปีใหม่ 2010 ไม่นานก็จะกลายสภาพจากแม่มารเป็นคุณแม่ลูกอ่อน คือ กุยช่ายกระถาง พร้อมกับสูตรบำรุงน้ำนมจากเมนูกุยจากน้องจิต คุณแม่ลูก 2 กุยช่ายมีกลิ่นเฉพาะตัว เหมาะที่จะปลูกในกระถางก้นตื้นเพราะรากไม่ยาว ขึ้นได้ดีทั้งในร่มรำไร หรือกลางแดดจ้า ที่สำคัญปลูกขึ้นไว้เสียหนหนึ่งแล้วสามารถตัดกินแล้วปล่อยให้แตกกอได้เรื่อยๆ ในเขตร้อนชื้นอย่างบ้านเรายังปลูกให้เป็นดอกแล้วปล่อยให้เกิดเมล็ดจนเมล็ดแก่แล้วเก็บมาปลูกต่อก็ยังได้ ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าต้านทานต่อโรคแมลงและหอยทากอัฟริกา คุณค่าทางอาหารของต้นและใบกุยช่ายเหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดมากๆ เพราะมีฤทธิ์ขับน้ำนม มีเส้นใยมากทำให้รักษาสมดุลของระบบย่อยและช่วยในการขับถ่าย นอกจากกินสดและกินสุกกับผัดไทย ขนมผักกาด แล้วยังผัดกับตับหมูเป็นเมนูบำรุงเลือดได้ดี บางแห่งนำไปใส่ในแกงเลียง แต่สูตรน้องจิตที่เคยบอกฉันไว้ตอนแรกคลอดลูกชาย คือ นำไปต้มกับปลาช่อน โดยตั้งน้ำบนเตาด้วยไฟอ่อน ใส่หอมแดงบุบ 4 – 5 หัว ลงไปต้มให้เดือด ปรุงรสด้วยเกลือ แล้วใส่ปลาช่อนนาสดๆ ลงไปต้มให้สุกโดยไม่ต้องคน เมื่อเดือดดีอีกครั้งใส่ใบกุยช่ายลงไปแล้วดับเตาไฟ ยกลงรับประทานอุ่นๆ ถ้าชอบรสแซบก็เติมมะนาว พริกขี้หนูลงเพิ่มก็ไม่ว่ากัน จริงๆ กำลังรอเก็บเมล็ดผักโขมจีน ผักป็อบอาย hi- antioxidant ไว้สำหรับคุณพ่อกระรอกที่บอกว่าอยากได้ไปปลูกให้ลูกม่อนกินเป็น รวมไปถึงต้นกล้าส้มจีน ที่กะว่าจะนำมาแบ่งใส่กระถางรอวันให้คนสนใจอยากเอาไปปลูกลงดินให้กลายเป็นต้นใหญ่ ไว้ใช้ทำเครื่องดื่มและตำน้ำพริกแทนยามมะนาวแพงอีก 10 กว่าต้นนก อยู่วนา จากคอลัมน์เรื่องเรียงเคียงจาน  ของขวัญที่ลงมือทำเอง ศจินต์ ประชาสันต์ จากคอลัมน์ Connecting ก็ให้ไอเดียของขวัญเขียวๆ ช้าๆ ไว้เช่นกัน เจ้าตัวไม่ว่าถ้าใครสนใจจะลอกเลียนแบบ “การ์ดอวยพรทำเอง เค้กฝีมือคุณอา น้ำอัญชันจากสวนใส่ขวดผูกโบว์ ต้นไม้เล็กๆสักต้น ของสุดรักนำมาแลกเปลี่ยนกัน เสียงดนตรีเล่นเองอัดใส่ซีดี รูปถ่ายที่มีความหมายเอามาใส่กรอบ ผ้าปักครอสติส รูปวาด ปฏิทินปี 2553 ทำมือ บัตรสมนาคุณพาเที่ยวรอบหมู่บ้านโดยรถจักรยานฟรีตลอดสัปดาห์ ซีดีเพลง green สักแผ่น ตุ๊กตาเต่าหรือหอยทาก (เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการใช้ชีวิตให้ช้าลง) ข้าวสารอินทรีย์ แชมพูสมุนไพร สบู่ทำเอง หนังสือว่าด้วยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์หุงข้าว ตะกร้าสานใส่ผ้า โมบายปลาตะเพียน ฯลฯ”ศจินต์ยังแนะนำชั้นในยี่ห้อ TRY ARM ของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ไว้ด้วย กางเกงชั้นใน Try Arm ราคาตั้งแต่ 39//59/79 แม้จะมีสีและแบบให้เลือกยังไม่มาก แต่ดูจากเนื้อผ้าและการตัดเย็บแล้ว ราคานี้ถือว่าคุ้มจริงๆ ค่ะพี่น้องหาซื้อได้ที่ใต้ถุนตึกกระทรวงแรงงานและบูธที่โรงแรมเดอะพาลาสโซ่ ใกล้ศูนย์วัฒนธรรม ทางกลุ่มบอกว่าปีหน้าจะมีเสื้อชั้นในออกมาให้ได้ซื้อหากันด้วย ไอเดียเก๋ๆ จากเว็บคนรักสิ่งแวดล้อม www.treehugger.comผ้าพันคอเส้นใยธรรมชาติผ้าพันคอเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องมี เพราะสามารถเข้ากับเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ กางเกงยีนส์ หรือจะคลุมทับค็อกเทลเดรสใส่ไปเฉิดฉายในงานปาร์ตี้ก็ได้ คราวน์เจเวลส์ลิปกลอสจากทาร์ตชุดลิปกลอสคราวน์เจเวลส์จากทาร์ต 15 แท่งที่ไล่เฉดสีตั้งแต่ชมพูอ่อนไปถึงแดงเข้มและทองระยับไปจนถึงน้ำตาล หนึ่งกล่องมี 3 ชุด ชุดละ 5 แท่ง ซึ่งคุณจะแบ่งให้เพื่อนคนละชุดหรือจะมอบให้ทีเดียวหนึ่งกล่องใหญ่เลยก็ได้ ที่สำคัญลิปกลอสน่ารักๆ พวกนี้ปราศจากสารเคมี เช่น พาราเบน ปิโตรเคมิคอล น้ำหอม และซัลเฟตอีกด้วย คีย์บอร์ดและเมาส์ไม้ไผ่จากผลงานของ Brandoคีย์บอร์ดไม้ไผ่ขนาดมาตรฐาน 106 ปุ่ม และเมาส์ลูกกลิ้ง ใช้ได้ทั้ง OS Windows และ Linux เปลี่ยนโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่แสนจะธรรมดาให้ดูน่าสนใจขึ้น เพิ่มต้นไม้และจุดเทียนหอมสักหน่อยก็จะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น โปสเตอร์หนังทำเอง ทำโปสเตอร์ที่มีอันเดียวในโลกด้วยการปะติดรูปภาพและข้อมูลของคุณลงบนโปสเตอร์หนังที่ชื่นชอบ ซึ่งเป็นของขวัญที่เหมาะมากๆ สำหรับเพื่อนผองพี่น้องที่หลงใหลในภาพยนตร์ กล่องข้าวสุดกิ๊บให้กล่องข้าวเป็นของขวัญเพื่อให้คนรับมีภาชนะที่สะอาดสำหรับใส่อาหารพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ทั้งยังช่วยลดขยะได้อีกด้วย ว้าว! ถุงซิปถุงซิปขนาดพกพาจะช่วยเก็บอุปกรณ์ที่จำเป็นหรืออาจต้องใช้ยามฉุกเฉินเวลาเดินทาง เช่น ไฟฉาย กุญแจ หรือสิ่งอื่นๆ ไว้ใกล้มือ ปลอกคอสัตว์เลี้ยงปลอกคอน่ารักๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่คุณสามารถทำได้เอง โดยใช้วัสดุเหลือใช้มาดัดแปลง เช่น ถุงผ้า ซิป กระดิ่ง ริบบิ้น ฯลฯ ตกแต่งลวดลายต่างๆ ให้สวยงาม กระเป๋าผ้าลายสวยกระเป๋าผ้าจากฝีมือคุณแสดงถึงความตั้งใจที่คุณจะมอบให้กับใครสักคน แถมยังช่วยลดโลกร้อน อย่างนี้เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โคมไฟประดิษฐ์จากขวดเบียร์ดินเนอร์จะกลายเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่น่าจดจำ ด้วยเทียนในขวดแก้ว ที่คุณสามารถมอบเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนอื่น สร้างพื้นที่สีเขียวสร้างพื้นที่สีเขียวมอบเป็นของขวัญให้โลก วิธีการง่ายๆ เพียงปลูกต้นไม้ที่บ้านตัวเอง และชักชวนให้เพื่อนมาร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 ตะกั่วในสีอันตรายที่ห้ามมองข้าม

ทั่วโลกขับเคลื่อนห้ามมีตะกั่วในสีทาบ้านและสีตกแต่งในประชุมสุดยอดแห่งสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลนานาชาติและองค์กรระหว่าง ได้มีมติร่วมกันในการจัดตั้งยุทธศาสตร์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีระหว่างประเทศ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่ายุทธศาสตร์ไซคัม (Strategic Approach to International Organization on Chemicals Management หรือ SAICM) และต่อมาในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลนานาประเทศได้ให้การรับรองยุทธศาสตร์นี้ร่วมกันอีกครั้งในการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 1 (The 1st International Conference on Chemicals Management: ICCM-1) ณ กรุงดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   น.ส. วลัยพร มุขสุวรรณ นักวิจัยอาวุโสด้านสารเคมีและของเสียอันตราย จากมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลของหลายๆ ประเทศเริ่มปรับนโยบาย มาตรการ และแผนงานการจัดการสารเคมีอันตรายต่างๆ ภายในประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไซคัม ตัวยุทธศาสตร์นี้มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ต้องการเน้นให้เกิดการจัดการสารเคมีอย่างเหมาะสมตลอดวงจรชีวิตของสารเคมีนั้นๆ และมีเป้าหมายร่วมกันในระดับโลกว่า ภายในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 การผลิตและการใช้สารเคมีจะต้องให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ซึ่งนี่เป็นแนวทางสำคัญที่จะปกป้องสังคมโลกให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ยุทธศาสตร์ไซคัมให้ความสำคัญกับหลักการพื้นฐานสั้น 5 ข้อด้วยกัน คือ 1) การลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย 2) การทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและการส่งเสริมองค์ความรู้ต่างๆ 3) การสร้างธรรมาภิบาล 4) การเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือทางเทคโนโลยี และ 5) การห้ามการขนส่งของเสียอันตรายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย เธอกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ไซคัมเองยังมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ทั่วโลกช่วยกันปกป้องสุขภาพของเด็ก สตรีมีครรภ์ คนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ คนยากจน คนงาน และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เปราะบางทั้งหลายไม่ให้ได้รับอันตรายจากสารเคมีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้องค์กร Toxics Link (อินเดีย) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนของอินเดีย ร่วมกับเครือข่ายระหว่างประเทศที่ต่อต้านสารพิษตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมหรือที่เรียกว่า International POPs Elimination Network (IPEN) ได้เสนอให้รัฐบาลทั่วโลกเร่งมีมาตรการควบคุมการใช้ตะกั่วในสีทาบ้านหรือสีตกแต่งต่าง ๆ ในเวทีการประชุมระดับโลก 2 ครั้งคือ ในการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมีครั้งที่ 6 หรือ Sixth Session of International Forum on Chemical Safety (IFCS Forum VI) ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน 2551 ที่กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล และต่อมามีการเสนอในการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2 (ICCM 2) เมื่อวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2552 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง ความพยายามผลักดันให้มีการควบคุมสารตะกั่วในสีทาบ้านและสีตกแต่งต่างๆ เนื่องจากเห็นว่าตะกั่วที่ผสมอยู่ในสีเหล่านี้เป็นแหล่งแพร่กระจายของตะกั่วสู่เด็กแหล่งใหญ่ที่สุด หลังจากที่ทั่วโลกได้มีมาตรการยกเลิกการใช้ตะกั่วในน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้ว ที่ต้องผลักดันเรื่องนี้เพราะว่า ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศยังไม่มีกฎข้อบังคับที่ควบคุมหรือห้ามการใช้ตะกั่วเป็นส่วนผสมในสี ที่ประชุม ICCM 2 มีมติร่วมกันในการควบคุมสารตะกั่วในสีที่สำคัญ 2 เรื่องด้วยกันคือ 1) มีมติให้บรรจุเรื่องตะกั่วในสีเป็นนโยบายเร่งด่วนใน SAICM และ 2) มีมติให้นานาประเทศสร้างความร่วมมือระดับโลกเพื่อช่วยกันสร้างความตระหนักเรื่องผลกระทบของตะกั่วในสีที่มีต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ให้มีการพัฒนาโครงการป้องกันอันตรายจากตะกั่วในสีโดยหามาตรการหรือสร้างความรู้เพื่อป้องกันสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งสนับสนุนประเทศต่างๆ ให้กำหนดกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องออกมาบังคับใช้ ประเทศไทยมีมาตรการอะไรแล้วบ้าง น.ส. วลัยพร ซึ่งได้เข้าร่วมกับโครงการทดสอบสีของ Toxics Link กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทยเองก็ได้เข้าร่วมกับการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 1 และได้ให้การรับรองยุทธศาสตร์ไซคัมด้วย โดยมีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในฐานะศูนย์ประสานงานแห่งชาติของไซคัม ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องนำเอายุทธศาสตร์และหลักการสำคัญที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ไซคัมมาดำเนินการในประเทศด้วย ขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2550 – 2554) ซึ่งจัดทำเสร็จแล้ว โดยแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ได้บรรจุเอานโยบายและหลักการสำคัญๆ ของยุทธศาสตร์ไซคัมเข้ามาด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันติดตามต่อไปว่า ประเทศไทยมีการปฏิบัติตามหรือมีการดำเนินมาตรการอะไรในเรื่องนี้บ้าง เพื่อให้สังคมไทยมีความปลอดภัยจากอันตรายของสารเคมีภายในปี 2563 ตามที่ไซคัมตั้งเป้าหมายเอาไว้ สำหรับประเด็นตะกั่วในสีนั้น กรมควบคุมมลพิษในฐานะศูนย์ประสานงานแห่งชาติของ ไซคัมได้จัดประชุมเตรียมความพร้อมและกำหนดท่าทีของประเทศ 2 ครั้ง คือครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2552 และครั้งที่ 2 วันที่ 9 เมษายน 2552 และได้นำประเด็นนี้เข้าปรึกษาหารือในที่ประชุมคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 เพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทย แต่เนื่องจากมีข้อมูลการใช้สารตะกั่วในการผลิตสีไม่ตรงกัน ที่ประชุมจึงมีมติให้มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงงานผลิตสีว่ามีการใช้สารตะกั่วหรือไม่อย่างไร ล่าสุดนี้คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมีมีการประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 ในที่ประชุมครั้งนี้มีการนำเอาผลการประชุมของ ICCM 2 มาพิจารณาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการขึ้นในประเทศด้วย ในส่วนของปัญหาตะกั่วในสี ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปดำเนินการให้เกิดการจัดการตะกั่วอย่างเหมาะสมตลอดทั้งวงจรตั้งแต่การผลิต การใช้ และการกำจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะกั่วในสี เอกสารอ้างอิง1. SAICM Secretariat, Information bulletin No.1, January 2008.2. เอกสารการประชุมคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี ครั้งที่ 3/ 2552

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 มีสี (ไม่จำเป็นต้อง) มีเสี่ยง

บังเอิญได้เหมาะเจาะจริงๆ หลังจากที่สมาชิกของฉลาดซื้อได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรทำทดสอบสีทาบ้านดูบ้าง เราก็ได้รับข้อมูลจากมูลนิธิบูรณะนิเวศ (Ecological Alert and Recovery - Thailand, EARTH) ว่าทางมูลนิธิฯ ได้เข้าร่วมโครงการระหว่างประเทศเพื่อศึกษาการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสีตกแต่งและสีทาบ้านใน 10 ประเทศ ซึ่งดำเนินการโดย Toxics Link ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในอินเดีย และเครือข่ายระหว่างประเทศต่อต้านสารพิษ POPs (International POPs Elimination Network, IPEN) โครงการนี้เน้นการทดสอบหาความเข้มข้นของตะกั่วในสีที่ใช้กันอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา เพราะปัจจุบันเป็นที่ทราบกันว่า มีวัตถุดิบที่เป็นอันตรายน้อยกว่าตะกั่วและสามารถนำมาใช้แทนตะกั่วได้ในการผลิตสีได้ แต่ที่ยังไม่ทราบคือมีผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสุขภาพของเรา   ฉลาดซื้อจึงขอนำผลการทดสอบดังกล่าวมาลงให้สมาชิกได้รู้กันก่อนใคร ว่าสียี่ห้อไหนปลอดภัย และยี่ห้อไหนไม่ควรซื้อมาใช้ ในการสำรวจครั้งนี้ที่มีประเทศ 10 ประเทศเข้าร่วมโครงการและส่งตัวอย่างสีไปทดสอบหาสารตะกั่วในห้องปฎิบัติการของประเทศอินเดีย ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา แทนซาเนีย อัฟริกาใต้ ไนจีเรีย เซเนกัล เบลารุส เม็กซิโก และบราซิล การเก็บตัวอย่างสี (ทั้งสีน้ำและสีพลาสติก) ทำในระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และมีสีที่ถูกทดสอบทั้งหมด 317 ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ของ Toxics Link ได้เตรียมตัวอย่างก่อนส่งไปทดสอบที่ห้องปฎิบัติการด้วยการทาสีลงบนแผ่นแก้ว ทิ้งไว้ 72 ชั่วโมงให้แห้ง จากนั้นจึงขูดสีที่แห้งแล้วออกมา เพื่อส่งไปยังห้องปฏิบัติการ Delhi Test House สำหรับประเทศไทยนั้นส่งตัวอย่างสีทั้งหมด 27 ตัวอย่าง เป็นสีน้ำมัน 17 ตัวอย่าง สีพลาสติก 10 ตัวอย่าง ยี่ห้อที่มีการเก็บตัวอย่างได้แก่ ทีโอเอ กัปตัน เบเยอร์ โจตัน นิปปอน รัสท์-โอเลียม และเดลต้า ผลทดสอบ ไม่มีสีพลาสติกรุ่นใดมีความเข้มข้นของตะกั่วเกิน 90 ppm (ส่วนในล้านส่วน) พบสีน้ำมันที่มีความเข้มข้นของตะกั่วเกิน 600 ppm ถึง 8 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 17 ตัวอย่าง สีน้ำมันในกลุ่มที่ราคาต่ำกว่า 200 บาท ทุกตัวอย่างมีความเข้มข้นของตะกั่วเกิน 600 ppm สีน้ำมันยี่ห้อ ทีโอเอ เบเยอร์ และโจตัน มีความเข้มข้นของตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm ** หมายเหตุ: ตัวอย่างสีที่ทดสอบนั้นอาจจะยังไม่ครอบคลุมยี่ห้อหลักๆ ที่มีในตลาดบ้านเราทั้งหมด แต่ไม่ต้องห่วงเรากำลังส่งตัวอย่างเพิ่มไปยังห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์บริการ เพื่อให้ทดสอบด้วยกรรมวิธีเดียวกันกับที่ทางอินเดียได้ทำไว้ ได้ผลเมื่อไร ฉลาดซื้อจะนำมาลงให้สมาชิกได้ทราบทันที จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2550 เรามีโรงงานผลิตสีอยู่ทั้งหมด 296 โรง ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 9,300 ล้านบาท ผู้ผลิตสีส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย มีบริษัทผู้ผลิตสี ขนาดใหญ่เพียง 6 ราย ได้แก่ ทีโอเอ อีซึ่นเพ้นท์ นิปปอนเพ้นท์ ไทยคันไซ และบริษัทข้ามชาติอัคโซโนเบิล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ โจตัน จากประเทศนอร์เวย์ มูลค่าทางการตลาดของธุรกิจสีในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2551 อยู่ที่ 24,500 ล้านบาท  ส่วนแบ่งการตลาดของสียี่ห้อต่างๆในประเทศไทย   ยี่ห้อ ผู้ผลิต ร้อยละของส่วนแบ่งตลาด ทีโอเอ ทีโอเอ เพ้นท์ 40 ไอซีไอ อัคโซ โนเบล 15 กัปตัน กัปตัน เพ้นท์ 15 เบเยอร์ เบเยอร์ 8 โจตัน โจตัน ไทยแลนด์ 7 อื่นๆ 15   สถานการณ์สีทาบ้านกับสารตะกั่วในประเทศอื่นเราลองมาดูผลการทดสอบในประเทศอื่นๆ กันบ้าง เผื่อว่าเห็นแล้วจะรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่เราเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนของสีที่มีสารตะกั่วเกินต่ำที่สุดในกลุ่ม แต่ความจริงแล้วไม่น่าจะต้องมีผู้บริโภคที่ไหนต้องเสี่ยงกับผลิตภัณฑ์สีที่ไม่ปลอดภัย ....   * มีน้ำมันเคลือบเงา 3 ตัวอย่างรวมอยู่ด้วย** มีน้ำมันเคลือบเงา 4 ตัวอย่างรวมอยู่ด้วย   สีประกอบด้วยอะไรบ้าง สีที่เราใช้อยู่ปัจจุบันจะมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ชนิด คือ 1.ตัวเนื้อสี (Pigment) มีหน้าที่ทำให้เกิดสีที่สวยสดงดงามกับตาของเรา 2.สารยึดเกาะ (Binder) ทำหน้าที่เป็นตัวยึดเกาะกับตัวผนัง พื้นผิว และมีหน้าที่เป็นเนื้อของสี ซึ่งเกรดของสีจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนการผสมตัวสารยึดเกาะลงไปในผลิตภัณฑ์ 3.ตัวทำละลาย (Solvent) ทำหน้าที่ให้ เนื้อสีและกาว เจือจางลง จนสามารถนำมาทาได้ในบริเวณที่กว้างขึ้น ซึ่งถ้าเป็นสีน้ำ ก็ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย ส่วนสีประเภทสีน้ำมัน ก็จะใช้ทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย ตัวทำละลายนี้จะระเหยออกไปหลังการทาสี4.ตัวเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ (Additive) เพื่อให้สีมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งปัจจุบัน ตัวนี้คือจุดขายสำคัญที่บริษัทสีแข่งขันกัน เช่น ทนกรดด่าง ทนชื้น ปกปิดรอยร้าว ฯลฯ คำแนะนำสำหรับการเลือกสีทาบ้าน 1.สีทาบ้านมีหลายเกรด ราคาตั้งแต่ถังละ 400 บ. - ถังละ 3,000 บ จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมเพื่อจะได้งานที่มีคุณภาพดีในราคาประหยัด การเลือกใช้สีว่าจะของยี่ห้อใดนั้นให้เปรียบเทียบที่รุ่นสินค้าของแต่ละยี่ห้อ แทนการมั่นใจในตัวยี่ห้อสินค้า เพราะเมื่อนำมาเปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่นแล้ว จะพบว่าคุณสมบัติไม่ต่างกันมากนัก 2.เลือกใช้สีให้เหมาะสมกับงาน โดยหาความรู้เพิ่มเติมหรือปรึกษาช่าง เช่น ปูนทาสีน้ำ เหล็ก/ไม้ทาสีน้ำมัน เป็นต้น จากนั้นก็ประเมินตัวเองว่า อยากได้สีแบบไหน สีกันร้อน สีเช็ดได้ สีปกปิดรอยแตกลายงา สียืดหยุ่นได้ สีกันคราบน้ำมัน ฯลฯ และต้องการสีที่มีอายุงานกี่ปี 2 ปี 4 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี เมื่อประเมินได้แล้วจึงค่อยหาแคตตาล็อกของบริษัทผู้ผลิตสีมาเปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่น เพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการในราคาที่ถูกใจ3. ก่อนลงมือทาสีจริง ควรทดลองทาสีด้วยการเอาสีขนาดบรรจุเล็กๆ มาทาก่อน ถ้าชอบใจค่อยไปซื้อมาเป็นถังใหญ่เพื่อทาจริง เพราะสีจริงจะเพี้ยนไปจากแคตตาล็อกนิดหน่อย อาจจะเพราะรองพื้นหรือสภาพพื้นผิวที่เราจะทา4.เลือกชนิดที่ปลอดสารตะกั่ว ทุกชีวิตในบ้านจะได้ปลอดภัย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point