ฉบับที่ 105 ฮีโร่วัยเด็ก

ใช่จะมีแต่เจ้าหน้าที่และผู้ใหญ่ที่ช่วยกันสอดส่องดูแลผลิตภัณฑ์อันตรายรอบๆ ตัวเรานะครับ เดี๋ยวนี้เด็กไทยเขาพัฒนาแล้วครับ ล่าสุดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีเรื่องแตกตื่นกัน แต่ไม่ใช่แตกตื่นเพราะกรุแตกนะครับ แต่แตกตื่นเพราะมีของเล่นมหัศจรรย์แพร่ออกมา เด็กๆ ในจังหวัดนี้เขาไปซื้อหามาเล่นตามประสาน่ะครับ ของเล่นชนิดนี้เป็นชิ้นเล็กๆ รูปร่างต่างๆ เช่น กลม สี่เหลี่ยม ผัก ผลไม้ จิ้งจก จระเข้ เต่า กบ ฯลฯ แต่ที่เด็กๆ ชอบคือ พอนำมาแช่น้ำ ก็จะจองหองพองขน ขยายใหญ่โตขึ้นมาทันตาเห็น (ทำตัวอย่างกับนักการเมืองตอนได้ตำแหน่ง..ฮา) ไม่พองธรรมดานะครับ มันพองคับบ้านคับเมือง มากขึ้นหลายร้อยเท่า และเมื่อนำมาตากแห้งทิ้งไว้ ก็สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ งานนี้เด็กๆ นักเรียน อย.น้อยในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เลยนำข้อมูลมาบอก เภสัชกร สันติ โฉมยงค์ เภสัชกรประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ ซึ่งเป็นเสมือน อย.ใหญ่(หมายถึงเภสัชกรที่เป็นผู้ใหญ่แต่ใจยังเด็ก..ฮา) เรื่องราวถึงได้ดังระเบิดระเบ้อ จนมีการออกข่าวเตือน และมีการกวดขันไม่ให้จำหน่ายในที่สุด ในส่วนของจังหวัดสมุทรสงครามก็มีเหตุการณ์แบบนี้ โดยผมได้รับแจ้งจาก พี่อัญชลี เจ้าหน้าที่ฝ่ายเวชกรรมสังคมของโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ซึ่งได้ข่าวมาจากพยาบาลที่ได้ข้อมูลมาจากลูกอีกทอดหนึ่ง รวมทั้งมีข่าวว่าเด็กเผลอกลืนเข้าไป จนนำไปสู่การเตือนผู้บริโภคในที่สุด ความจริงไอ้เจ้าตัวเขมือบน้ำชนิดนี้ มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น ตัวดูดน้ำ ตัวเลี้ยง ตัวกินน้ำ หรือน้ำตานางเงือก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากวัสดุโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้อย่างมหาศาล (Super Absorbent Polymer ; SAP) เช่น Polyacrylic acid , Sodium polyacrylate ฯลฯ วัสดุโพลิเมอร์เหล่านี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ดินวิทยาศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และผ้าอนามัย ฯลฯ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดสำหรับของเล่นวิทยาศาสตร์ชนิดนี้ก็คือ อันตรายจากการกลืนกินเข้าไป เพราะจะทำให้เกิดการพองตัวกีดขวางทางเดินอาหาร หากไม่สามารถนำออกมาได้ อาจทำให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้สีที่ใช้ผสมในของเล่น ฯ ดังกล่าว ไม่ใช่สีผสมอาหาร เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการควบคุมต่างๆ อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการนำมาจำหน่ายในลักษณะของเล่นของในกลุ่มเด็กเล็กๆ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่เด็กจะกลืนกินเข้าไป งานนี้ต้องยกให้เด็กเขาเป็นฮีโร่ล่ะครับ ถ้าเขาไม่นำเรื่องนี้มาบอกผู้ใหญ่ พวกเราคงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 104 ปวดร้าวเพียงใด

ฉบับที่แล้วผมให้ข้อมูลไปว่า ยาสมุนไพรหากจะผลิต แปรรูปเป็นยาแผนโบราณ ก็ต้องนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ช่วยตรวจสอบว่ามันเป็นยาที่มีความเป็นไปได้ในแง่ผลการรักษาเพียงใด โดยจะเปรียบเทียบอ้างอิงกับตำรับยาแผนโบราณเพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่มีอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ในท้องตลาดยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำหน่ายในทำนองนี้ด้วย เช่น เครื่องดื่มสมุนไพร หากเราสังเกตชื่อที่ระบุประเภทว่า “เครื่องดื่ม” เราจะทราบว่ามันคือเครื่องดื่ม ไม่ใช่ยา ดังนั้นมันจึงไม่สามารถ บำบัด บรรเทา รักษาโรคได้ ล่าสุดเภสัชกรสาวสวยคนเดิมจากโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ได้ส่งข้อมูลมาอีกแล้ว เธอเล่าว่าผู้ป่วยชาย อายุ 60 ปี ได้ซื้อเครื่องดื่มสมุนไพรจีน มิทเชลล์ฉาง มารับประทาน โดยดื่มวันละ 2 อึก แก้พังผืด ข้อตึง (สรุปง่ายๆ คือซื้อมากินเพื่อรักษาโรคนั่นแหละ) หลังจากรับประทานมาประมาณ 1 เดือน ก็มีอาหารผิดปกติเกิดขึ้นจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เภสัชกรสาวสวยขี้สงสัยคนนี้ จึงได้ส่งเครื่องดื่มชนิดนี้ไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ผลปรากฏว่าคราวนี้เธอร้องกรี๊ดดดดด ดังกว่าเดิม (ไม่รู้ตกใจหรือโกรธ) เพราะผลการตรวจปรากฏว่าพบยาแก้ปวด ลดไข้ พาราเซตามอล ผสมอยู่ด้วย เธอจึงรีบแจ้งมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามให้ติดตามตรวจสอบต่อไป ในเบื้องต้นพบว่า เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้มีวางขายแพร่หลายตามท้องตลาด ในราคา ขวดละพันกว่าบาท โดยโฆษณาว่าเป็นเครื่องดื่ม สูตรสมุนไพรแบบองค์รวม ปรุงขึ้นตามตำรับจีนโบราณ โดยเน้นความสมดุลของระบบหยิน-หยาง และธาตุทั้ง 5 (ดิน น้ำ ทอง ไม้ ไฟ) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลสุขภาพ สามารถขจัดอนุมูลอิสระ(Antioxidant) อันเป็นเหตุของความชราภาพและโรคภัยต่างๆ มากมาย(ในโฆษณาไม่มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบันนะครับ) ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบเชิงลึกอยู่นะครับว่า ยาแก้ปวดลดไข้ พาราเซตามอล มันเข้ามาอยู่ในขวดได้อย่างไร แต่เผอิญเมื่อวานได้มีโอกาสนั่งประชุมกับน้องๆ เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม น้องเล่าว่าผลการตรวจยาสมุนไพรมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมๆ ที่พบแค่สารสเตียรอยด์โดยพบว่าเริ่มมีการผสมยาแผนปัจจุบันบางชนิดแล้ว และยังพบในผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยาลูกกลอนด้วย เช่น พบในยาผงสมุนไพร หรือยาน้ำหรือเครื่องดื่มอีกด้วย {xtypo_info}เรื่อง ที่เล่ามานี้คงเป็นข้อมูลเตือนภัยอีกทางหนึ่งว่า แม้การดูแลสุขภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเลือกผลิตภัณฑ์มาใช้อย่างรอบคอบระมัดระวัง ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง และถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่ยา (เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฯลฯ) ยิ่งต้องระวัง ไม่ใช้อย่างสับสน ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “มันคืออาหาร ไม่ใช่ยา มันจึงรักษาโรคไม่ได้” เราจะได้ปลอดภัยทั้งตัวและปลอดภัยทั้งตังค์นะครับ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 103 โอม… เพี้ยง! ไขมันจงลด

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม “อัลดุลลา....มาแหล่ว....หายมั๊ย...หาย...ลดมั๊ย...ลด” ยาสมุนไพร เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุนิยมใช้กันมาก ยาสมุนไพรหากจะผลิต แปรรูปเป็นยาแผนโบราณ ก็ต้องนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ช่วยตรวจสอบว่ามันเป็นยาที่ทีความเป็นไปได้ในแง่ผลการรักษา โดยจะเปรียบเทียบอ้างอิงกับตำรับยาแผนโบราณเพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่มีอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผลการรักษาของยาแผนโบราณมันจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ผลปรู๊ดปร๊าดรวดเร็วแบบยาแผนปัจจุบันนะครับ วันหนึ่งมีผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 40 ปี มาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ด้วยอาการที่ผิดปกติที่คาดว่าน่าจะเกิดจากการใช้ยา เภสัชกรสาวสวยผู้รับเรื่อง จึงได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจึงทราบว่า ผู้ป่วยรายนี้ได้รับประทานยา “สมุนไพรอโรคยาศาลาอิสระธรรม” ตามสรรพคุณที่ว่า “ขยายหลอดเลือด ลดไขมันในเลือด” พร้อมทั้งเล่าว่าได้ยานี้มาจาก อโรคยาศาลาอิสระธรรม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยจะรับประทานครั้งละ 3 เม็ด วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น หลังจากการกินมาประมาณ 2 เดือนก็พบอาการผิดปกติเภสัชกรสาวสวย (เธอฝากมาย้ำว่าให้ระบุด้วย) จึงได้ส่งยาไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ผลการตรวจปรากฏว่า พบ “ยาลดไขมัน Simvastatin” ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบัน ผสมอยู่ในยาชนิดนี้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอจะร้อง กรี๊ดดดดดด หรือไม่ รู้แต่ว่าเธอแจ้นมาแจ้งเรื่องยัง เภสัชกร ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามทันที เจ้ายาลดไขมัน Simvastatin นี้ บางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆ เช่น อาการปวดเกร็งท้อง ท้องเสียหรือท้องผูก คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ปวดแสบกระเพาะ ปวดศีรษะ มองภาพไม่ชัด เวียนศีรษะ ผื่น คัน นอกจากนี้ยังมีคำเตือนสำหรับผู้ใช้อีก คือ “ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์หรือสงสัยว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์ รวมทั้งในระยะให้นมบุตรด้วย และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากเป็นโรคตับ โรคไต ติดเชื้ออย่างรุนแรง ความดันโลหิตต่ำ ควรบอกแพทย์หรือเภสัชกรว่าขณะนี้ได้รับยาอะไรอยู่บ้าง โดยเฉพาะยา ซัยโคลสปอริน อิริโธรมัยซิน เจ็มไฟโปรซิล ไนอะซิน และยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วอร์ฟาริน ฯลฯ (เพราะมันส่งผลต่อกัน) และถ้าหากต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟันให้บอกแพทย์หรือทันตแพทย์ด้วยว่าขณะนี้ได้รับยา Simvastatin นี้อยู่ เนื่องจากยานี้จะไปส่งผลต่อยาอื่นและมีผลต่อร่างกาย และถ้ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแข็งกดเจ็บ ตะคริวหรืออ่อนเพลีย โดยมีไข้หรือไม่มีไข้ให้รีบพบแพทย์ทันที” แค่เห็นคำเตือนต่างๆ ก็ย่อมจะทราบได้ว่าเจ้ายาลดไขมันที่มันไปปรากฏแบบไม่ได้รับเชิญในยาสมุนไพรนั้น มันมีอันตรายอย่างไร ขณะนี้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ได้แจ้งเรื่องไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม ให้ไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ที่เล่านี้ก็อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ว่า สมัยนี้หากจะเลือกยาสมุนไพรหรือยาแผนโบราณมารับประทาน อย่าไว้ใจง่ายๆ ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “ต้องมีทะเบียนยา” เสมอ และหากเจอผลการรักษาที่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าด ให้พึงสังหรณ์ใจไว้ก่อนว่าอาจจะมีแขกที่กฎหมายไม่ได้เชิญมาปนอยู่ด้วยก็ได้ ให้รีบแจ้งกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค อย.หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อติดตามตรวจสอบโดยด่วน โอม เพี้ยง!

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 จะผอมสวย ก็ต้องพร้อมเสี่ยงกันเลยหรือ

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ความสวยความงามเป็นสุดยอดปรารถนาของผู้หญิงส่วนใหญ่ และก็ไม่รู้ใครไปดลใจ เป่าหูคุณผู้หญิงมาตลอดว่า ถ้าจะสวยแล้ว ผู้หญิงจะต้องผอม ทำให้กระแสสวยต้องผอมจึงอยู่ยั้งยืนยาวมาตลอด แต่ใดๆ ล้วนอนิจจัง เพราะขณะที่ “ใจอยากผอมแต่ปากอยากผาย” หันไปทางไหนก็ล้วนมีสิ่งล่อตาล่อใจให้อ้าปากเขมือบอยู่เรื่อยๆ จนแล้วจนรอดมันก็เลยไม่ผอมสักที ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภท “สนองปากอย่าง ใจอย่าง” จึงบังเกิดขึ้นและขายได้ดีมาโดยตลอด ล่าสุดนี้มีผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่นิยมของชาวบ้าน มีวางขายตามที่ต่างๆ ผมได้ตัวอย่างมาจากน้องคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าได้ผลิตภัณฑ์นี้จากร้านที่ขายยาประเภทขายส่ง แถวๆ บางประกอก ราคากระปุกละ 180 บาทมี60 เม็ด (ตกเม็ดละ 3 บาท) ตอนซื้อมา เธอเห็นฉลากมันโชว์รูปเอวคอดกิ่ว เย้ายวนว่าน่าจะผอม เธอเพ่งดูส่วนประกอบที่แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร (เช่น L-Carnitine , โครเมียม, ถั่วขาว , แคปซิคั่ม ,สัมแขก , CLA , มะข้ามป้อม , ตะบองเพชร) เธอก็คิด (เอาเองว่า) ไม่น่าจะเป็นอันตราย ฉลากเขาบอกว่าให้รับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อหนักประมาณ 10-20 นาที แถมมีคำเตือนด้วยว่า เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน ควรเก็บในที่ร่ม และให้พ้นแสงแดด แต่สังเกตดูแล้วฉลากไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ผลิต ไม่มีเลข อย.   สรุปว่าเธอก็ไม่รู้ว่ามันคือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านอย.หรือไม่ ผลิตที่ไหนก็ไม่รู้ รู้ว่าแต่เป็นแคปซูลและกินไปแล้วเธอน่าจะผอมสวย เธอจึงตัดสินใจพร้อมเสี่ยง หวังว่าในไม่ช้าความผอมจะมาเยือน แต่....ชีวิตหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใดไม่ พอเธอกินเข้าไปสักระยะหนึ่ง แม้น้ำหนักเธอจะลดลงบ้าง แต่เธอกลับมีอาการใจสั่นหวิว คอแห้ง ปากแห้ง(แม้ไม่อดอยาก) ท้องผูก ในที่สุดเธอกลัวว่างานนี้หากขืนดันทุรังพร้อมเสี่ยงกินต่อไปนอกจากน้ำหนักจะลดแล้ว บางที “อายุเธออาจจะลดสั้นลงไปด้วย” เธอจึงหยุดกินผลิตภัณฑ์ชนิดนี้แล้วนำมามอบให้ผมดู ผมดูลองเข้าไปค้นหาข้อมูลในเน็ต พบว่ามีประเด็นอีกว่า มีการปลอมผลิตภัณฑ์นี้ระบาดกันอีก (แสดงว่ามันฮิตจริงๆ) ในเว็ปที่เจอ เขาบอกว่า แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ ทำหน้าที่ช่วยทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน แถมยังโฆษณาประโยชน์ที่ได้รับจากสาร L-carnitine มากมาย เช่น เร่งการเผาผลาญไขมัน ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน ดักจับไขมันสัตว์ คาร์โบไฮเดรต และแป้ง ฯลฯ สรุปง่ายๆ ว่ามีประโยชน์มากมาย แต่ไหงประโยชน์ที่ผู้ผลิตกลับไม่ยอมทำให้ถูกต้องตามกฎหมายคือ มายื่นขออนุญาตให้ถูกต้องล่ะครับ หรือมายื่นแล้วเขาไม่อนุญาตก็ไม่รู้ ยังไงใครเจอวางขายที่ไหน แจ้ง อย. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้ไปตรวจเช็ค จัดระเบียบให้ถูกต้องตามกฎหมายเลยนะครับ สาวๆ ที่น่าทะนุถนอมจะได้ไม่ต้อง “ผอมสวยแบบพร้อมเสี่ยง” กันอีกต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 ไปดูเขาขาย น้ำสมุนไพรหมักแบบลักไก่

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ในยุคที่ผู้บริโภคหันกลับมาสนใจกับสมุนไพร การผลิตน้ำสมุนไพรโดยกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่สร้างสีสันให้แก่ผู้บริโภคมาก และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่มันอ่อนระโหยโรยแรงกันหรืออย่างไร ส่วนใหญ่น้ำสมุนไพรเห็นที่ผลิตกันหลายต่อหลายรายจึงมักจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง โดยการผลิตก็จะนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านต่างๆ มาหมักเป็นน้ำสมุนไพรและนำมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ   วันหนึ่งก็เกิดปรากฎการณ์มหัศจรรย์แบบ “ลักไก่” เกิดขึ้นจนได้ เรื่องของเรื่อง คือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ดันไปตรวจพบน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราโสมตังเซียม และน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ ที่ผลิตแถวๆ อำเภอสูงเนิน วางจำหน่ายในท้องตลาด โดยยังไม่ได้ขออนุญาตสถานที่ผลิตให้ถูกต้องเป็นเรื่องเป็นราวซะด้วยสิ จากการตรวจสอบฉลากข้างขวดของน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ มันระบุว่า ประกอบไปด้วย หัวโสม ม้ากระทืบโรง กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร โด่ไม่รู้ล้ม แหม…แต่ละอย่างมันชวนให้สอดคล้องกับ สรรพคุณที่ระบุว่า “บำรุงร่างกายให้แข็งแรง” ซะด้วย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เขาพลิกคว่ำพลิกหงายตะแคงขวดตรวจดูยังไง ก็ไม่ยักเจอ เลขทะเบียนยาแผนโบราณ เลยเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์นครราชสีมา เพื่อดูให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่ามันมีส่วนผสมอะไรบ้าง แล้วความจริงก็ปรากฏ คือพบยาแผนปัจจุบันผสมลงไปด้วย เป็นยา Cyproheptadine ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่รับประทานเจริญอาหารขึ้นมาได้ ไม่รู้ผู้ผลิตเขาคิดง่ายๆ คือให้กินยาน้ำสมุนไพรเข้าไป แล้วก็คงจะเจริญอาหารขึ้นมาทันตาเห็น พอกินอาหารได้มากขึ้น ร่างกายก็อาจจะแข็งแรงขึ้นมามั้ง ขออนุญาตเอากรณีดังกล่าวนี้เป็นตัวอย่างป่าวประกาศเลยนะครับ หากใครจะผลิตน้ำสมุนไพรหมัก โดยจะโฆษณาว่ามีสรรพคุณทางยา อย่าลืมมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณให้ถูกต้องนะครับ และเมื่อได้รับอนุญาตให้ทำการผลิตได้แล้ว ก็ต้องแสดงฉลากให้ผู้บริโภคเห็นข้อมูลครบถ้วนตามที่กฎหมายเขากำหนด รวมทั้งต้องแสดงเลขทะเบียนตำรับยาด้วย และที่สำคัญ “ต้องผลิตด้วยสูตรตามที่ได้รับอนุญาต” นะครับ ประเภทที่ขออนุญาตผลิตยาแผนโบราณ แต่แอบเอายาแผนปัจจุบันผสมแบบลักไก่ให้ออกฤทธิ์ตามต้องการนั้นไม่ถูกกฎหมายนะครับ ติดคุกนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 100 มหัศจรรย์...นมเหนือนม

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม นมเล็ก นมใหญ่ ไม่เกี่ยว นมเบี้ยวก็ถอยไป เพราะนี่คือนมมหัศจรรย์ครับ เรื่องของเรื่องคือหัวหน้าแผนกของผม ท่านไปได้เอกสารชิ้นหนึ่งและนำมามอบให้ผมดำเนินการต่อ สงสัยเห็นว่าเรื่องนมน่าจะถูกกับจริตของผม(ฮา) ผมดูผ่านๆ มันก็คือเอกสารโฆษณานมผงชนิดละลายน้ำดื่มนั่นเอง แต่เมื่อเริ่มอ่านต่อไปเรื่อยๆ ความมหัศจรรย์ของนมชนิดนี้ก็เริ่มปรากฏครับ นมชนิดนี้เขาระบุว่าผลิตจากประเทศนิวซีแลนด์ อ้างว่าคุณค่าจากสมมติฐานน้ำนมมารดานั้น อุดมไปด้วยสิ่งที่กระตุ้นต่อมตื่นเต้นได้ง่ายๆ เช่น มีภูมิคุ้มกันโรคถึง 26 ชนิด มีสารต่อต้านการอักเสบบวมแดง มีสารต่อต้านการอุดตันของไขมัน และมีสารกระตุ้นเซลล์ Macrophage แต่ที่เด็ดสะระตี่ (อีกแล้ว) คือมีการอ้างว่าได้รับสิทธิบัตรด้านอาหารและยากว่า 250 ฉบับจาก 27 ประเทศทั่วโลก คงเข้าทำนอง นมเหนือนมที่เราๆ ท่านรู้จักกัน (ฮา) ส่วนสิทธิบัตรนั้นก็ระบุว่าเป็นสิทธิบัตรหลักที่ผ่านการรับรอง ซึ่งมีถึง 10 ประการเชียวนะครับ (ขอบอก) และผมขอย้ำว่าก่อนจะอ่านต่อไป โปรดใช้วิจารณญาน พิจารณาตามหลักกาลามสูตรด้วยนะครับ (หากเป็นเด็กเล็กควรได้รับการชี้แนะจากผู้ปกครอง) ทีแรกก็เริ่มแค่การป้องกัน เริ่มตั้งแต่ป้องกันความดันโลหิตสูง , ป้องกันการอักเสบ พอผ่านไปสองข้อ เริ่มมีการรักษาเข้ามาด้วยแล้ว ป้องกัน – รักษาการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด , ป้องกัน – รักษาไขข้ออักเสบปวดตามข้อ , ป้องกัน – รักษากระเพาะอาหารและลำไส้ , ป้องกัน - รักษาปอด หลังจากนั้นก็เริ่มอ้างว่า เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรคให้สูงขึ้น แต่ที่เด็ดสะท้านโลกันต์มันพะย่ะค่ะก็คือ มีการอ้างว่าป้องกันฟันผุ กำจัดกลิ่นตัวและชะลอการเสื่อมสลายก่อนวัย โอ้...แม่เจ้า! มันช่าง มหัศจรรย์ ชนิดนมเหนือนม ซะนี่กระไร (ฮา) งานนี้ผมคงไม่ต้องมาอธิบายซ้ำว่ามันจะเป็นจริงไปได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ฉลาดซื้อทุกคนคงจะมีคำตอบแล้วนะครับว่า เจ้าอาหารประเภทนมน่ะมันจะสามารถรักษาโรคได้ขนาดนี้ทีเดียวหรือ และจำได้ไหมครับ ผมเคยเล่าให้ฟังเสมอๆ ว่า ผลิตภัณฑ์นมนั้นต้องมี อย. และหากจะดูว่า เอกสารโฆษณาชิ้นใดได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง มันจะต้องมีตัวอักษร ” ฆอ ” พร้อมตัวเลขแสดงลำดับที่การได้รับอนุญาตแสดงให้เห็นด้วย แต่ผมก็พลิกคว่ำพลิกหงายดูหลายตลบก็ยังไม่เจอ หรือว่าจะเป็นความมหัศจรรย์อย่างสุดท้ายของผลิตภัณฑ์นี้ที่จะสำแดงให้ผมเห็นก็ได้.....เอวัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 99 สนุก Hi5 ขายแบบไม่ตกยุค

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม วัยรุ่นยุคนี้เขามี Hi5 กัน ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอมตกยุค ขอตะเกียกตะกายมี Hi5 กับเขาบ้าง คนที่เคยเล่น Hi5 คงจะรู้ว่า วันดีคืนดี จะมีคนมาขอ add เพื่อเป็นเพื่อน Hi5 ของเรา ทีแรกผมก็หลงคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์มากมาย ไหนได้ ระบบมันสุ่มสี่สุ่มห้า ส่งไปทั่ว (ฮา) แต่อย่างไรก็ตาม ถึงผมจะปูนนี้แล้วก็ใช่ว่าจะรับ add ใครๆ แบบใจง่ายนะครับ หากแปลกหน้าแปลกตาไป ผมมักจะต้องขอตามไปดูที่ Hi5 ของเขาก่อนว่าเป็นใคร มาจากไหน และวันหนึ่งผมก็ตามไปเจอข้อมูลนี้ปรากฎใน Hi5 ของคนๆ หนึ่ง “Agel Suspension Technology” นวัตกรรมใหม่ของสารอาหารสุขภาพ หนึ่งเดียวในโลกของเทคโนโลยี เจล นิวตริชั่นนอล เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ 100% สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 3-15 นาที สารอาหารออกฤทธิ์เร็ว ให้สารอาหารในปริมาณที่แม่นยำ ความเข้มข้นสารอาหารในร่างกายคงที่ จึงทำให้ได้รับสารอาหารครบ ไม่มีผลต่อระดับของเหลวในร่างกาย รสชาติดี รับประทานง่าย บรรจุภัณฑ์ช่วยคงคุณภาพของสารอาหารได้ดี และพกพาสะดวก รูปแบบทันสมัย โดดเด่น” แถมลงท้ายแบบท้าทายใจวัยสะรุ่นซะอีก “.....คุณจะดูเป็นเหมือนคนป่วยกินยา เวลากินอาหารเสริมแบบเม็ดและน้ำ......หรือเป็นคนรุ่นใหม่กินอาหารเสริมแบบเจล ที่เสริมทั้งสุขภาพ บุคลิกภาพ และรายได้.....อยู่ที่คุณเลือก..!” ได้ผลแฮะ ปรากฏว่ามีคนสนใจ มาเม้นต์ ด้วยครับ “มั่นใจได้ไงว่าไม่มีผลข้างเคียงต่อตับ และไตไม่ทำงานหนักเหรอ ...แล้วราคามันเอื้อมถึงไหมเนี่ย มันเป็นแบบ MLM หรือเปล่าอ่ะคุณพี่” เจ้าของ Hi5 เลยถือโอกาสตอบซะเลย “ด้วยความที่ดูดซึมได้เร็ว ทำให้ไม่เปลี่ยนแปลงระดับของเหลวของร่างกาย สารอาหารที่ช่วยรักษาสมดุลของเลือดและการทำงานของร่างกาย จะส่งผลดีต่อการทำงานของตับและไตอีกต่างหากครับ ราคาสำหรับสมาชิกอยู่ประมาณ 2500 เป็นระบบ MLM ครับ ..........แต่สำหรับ Agel เราคือ เครือข่ายคนรักสุขภาพ ต่อให้ไม่ใช่นักขาย ต่อให้เกลียดการขาย ก็สามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ได้ครับ” เรียกว่าทั้งบรรยายสรรพคุณ และแนะนำเครือข่ายการขายไปพร้อมๆ กันเลย ทีเดียว ด้วยความสงสัย (ความจริงก็อยากจุ้นน่ะครับ...ฮา) ผมเลยขอตามรอยไปดูผลิตภัณฑ์นี้ในเน็ต ก็เลยพบข้อมูลที่อ้างว่า เป็นสารสกัดจากผลไม้หายาก 17 ชนิด และยังอ้างอีกว่า ในสารสกัดจากผลไม้สุกจะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระกว่า 200 ชนิด ดูแลการล้างสารพิษระดับเซลล์ ชะลอความชราและช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งอีก ไอ้ผลไม้หายาก 17 ชนิด ก็มี องุ่นดำ บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ อโรเนีย โปรเมแกรนเต้ อเซโลร่า เอลเดอร์เบอร์รี่ พรุน โนนิ บิลเบอร์รี่ โวลฟ์เบอร์รี่ ว่านหางจระเข้ แก็ค ซีบัคธอร์น มังคุด รูอิโบ้ส อาไค และยังระบุคุณสมบัติที่น่าทึ่งอีกมากมาย เช่น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เหมาะกับผู้ที่เป็นภูมิแพ้และหอบหืด ผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงและปวดประจำเดือน กระตุ้นภูมิต้านทานชีวิต ฟื้นฟูเซลล์ให้แข็งแรง ช่วยขจัดล้างสารพิษในร่างกาย (อนุมูลอิสระ) ทำงานได้ระดับเซลล์ (ไลโบโซม) ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดภาวะเสี่ยงของเส้นเลือดหัวใจตีบ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง..... 1 ซอง 21g ราคา 110 บาท , 1 กล่อง 30 ซอง ราคา 3000 บาท เป็นไงครับ โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงจนผิดกฎหมายอีกแล้ว เลยถือโอกาส เตือนผู้บริโภคนะครับ อย่าได้หลงเชื่อ ยิ่งยุคนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ มักมีรูปแบบกลไกในการขายแปลกๆ ใหม่ๆและทันสมัยเสมอๆ หากเจ้าหน้าที่ตามไม่ทันก็อาจจะหลงหูหลงตาไปได้ ยังไงใครพบเห็นอะไรทะแม่งๆ ช่วยนำมาบอกต่อเพื่อเตือนกันด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 98 ยาฝืนสังขาร

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามnuchote@hotmail.com คนเราเมื่ออายุมันมากขึ้น สังขารมันย่อมเสื่อมโทรมไปตามวัย แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านยาวนานไปแค่ไหน ยากลุ่มหนึ่งมักถูกนำมาโฆษณาเพื่อเชิญชวนให้เราได้พยายามตะกายฝืนสังขารอยู่เสมอๆ   วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาที่แผนกของผม พร้อมใบปลิวโฆษณาส่งเสริมการขายยาสมุนไพรหลายยี่ห้อ มีหลากหลายรูปแบบ ในแผ่นแรกๆ ของการโฆษณาดูผ่านๆ ก็เหมือนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะระบุสรรพคุณทั่วๆ ไป เช่น บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ขับปัสสาวะ แต่เมื่อดูแบบละเอียดก็พบว่ายาบางตัว(เช่น ยาปู่เซิน) จะบอกวิธีการใช้แปลกๆ เช่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานก่อนประกอบกิจกรรม รับประทานเพิ่มอีก 1 เม็ด (ตกลงมันจะทำงานอะไร หรือจะประกอบกิจกรรมอะไรกันแน่?) พอพลิกมาแผ่นโฆษณาที่สอง มีการพูดถึงยาสมุนไพรหลายตัว แต่คราวนี้เอาละหวา แม้จะทุกตัวจะมีเลขทะเบียนตำรับยาชัดเจน แต่ก็เริ่มมีการโฆษณาแบบไม่เกรงอาญาฟ้าดินเลย มีการพูดถึงการรักษาโรคต่างๆ เช่น รักษาโรคเก๊าท์ โรคกระดูกงอกตามอวัยวะทุกส่วน โรครูมาทิสซัม ฯลฯ แต่พอมาแผ่นที่สามและแผ่นที่สี่ซิ เด็ดสะระตี่ไปเลยครับ มีการพูดถึงเรื่องน้องชายกันโจ่งครึ่มไปเลย “เสริมกำลังให้ น้องชาย สู้ตาย...ทุกสนามรัก ด้วย จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” หลังจากนั้นก็ร่ายยาวกระเส่าอารมณ์กันไปอีกว่า ปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของเพศชาย อ้างว่ามีปริมาณถึงค่อนโลก (ดูถูกเพศชายมากจริงๆ...ฮา) ตามมาด้วยการอ้างว่าเภสัชกรรมจีนสมัยใหม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างครบวงจร แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ มีการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ ปู่เซิน กับ ไวอะกร้า ซะด้วย และแน่นอนครับในตารางข้อมูลของปู่เซินเหนือกว่าทุกข้อ นอกจากนี้ยังมีสำเนาใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ และผลการตรวจวิเคราะห์ แสดงผลการตรวจว่าไม่พบสารสเตียรอยด์ด้วย เป็นไงครับ เห็นมั้ยครับว่ากลยุทธ์การส่งเสริมการขายมันยอดเยี่ยมกระเทียมดองอย่างไร เริ่มตั้งแต่แสดงหลักฐานว่ายาได้ขึ้นทะเบียนแล้ว มีเลขทะเบียนตำรับแล้วด้วย แต่ที่ชวนมีพิรุธคือ การโฆษณาขายยานั้น เขาไม่อนุญาตให้โฆษณาว่าเป็นบำรุงกามหรือสมรรถภาพทางเพศน่ะซิ ตลอดจนสรรพคุณยาสมุนไพรต่างๆ ดังกล่าว ก็กระเดียดไปทางยาแผนปัจจุบันประเภทยาอันตรายที่เขาไม่อนุญาตให้โฆษณาอยู่แล้ว นี่ยังไม่รวมถึงการเอามาเปรียบเทียบกับไวอะกร้าซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันอีกต่างหาก ผมเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ฝืนสังขารแบบนี้คงมีออกมาเรื่อยๆ ตามตรวจจับกันแทบไม่หมด แต่ถ้าผู้บริโภครู้ทัน หัดสังเกตพิรุธต่างๆ ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่ามันโอ้อวดเกินจริงหรือไม่ ถูกหรือผิดกฎหมาย แต่ถ้าไม่แน่ใจ ขอแนะนำอย่างเคยครับ เก็บรวบรวมข้อมูลให้มาก ทั้งผู้ขาย แหล่งที่ขาย ตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขายและผลิตภัณฑ์ แล้วส่งไปให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารยา หรือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดตรวจสอบได้เลยครับ ดูสิว่าจะฝืนสังขารไปได้กี่น้ำ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 97 เก่ายังไม่ทันไป....ใหม่ดันจะมาอีก

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามnuchote@hotmail.com จำได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเคยออกข่าวประชาสัมพันธ์ “อย.เผยพบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลักลอบใส่ยาลดความอ้วน ไซบูทรามีน...อันตราย!” ตามข่าวระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคว่ารับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทเวนตี้ โฟร์ อินซ์ (ผลิตโดยบริษัท หจก. เนเจอร์ส เบสท์ เฮลท์ โปรดักส์ จัดจำหน่ายโดย บริษัท ท็อป ออฟ มายด์ จำกัด) ภายหลังรับประทานแล้วมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง เจ้าหน้าที่จึงไปเก็บตัวอย่าง ทเวนตี้ โฟร์ อินซ์ ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลการตรวจปรากฏว่า พบยาลดความอ้วนไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องจ่ายโดยแพทย์ ในสถานพยาบาลเท่านั้นและยังเป็นยาที่อยู่ภายใต้การติดตามความปลอดภัยอีกด้วย นอกจากนี้การใช้ยานี้ยังต้องระวังในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ดี ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีโรคต้อหิน รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ซึ่งขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำลังอยู่ในระหว่างดำเนินคดีกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายดังกล่าว ล่าสุด มีผู้ป่วยหญิงสูงอายุ ในจังหวัดสมุทรสงคราม อายุประมาณ 61 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัด ด้วยอาการใจสั่น หงุดหงิด มึนงง กินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ จากการซักประวัติ จึงทราบว่าผู้ป่วยได้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ฉลากระบุ ยี่ห้อ 3S Topofmind บรรจุอยู่ในซองฟอยด์ ซึ่งจากการวินิจฉัยเบื้องต้นของแพทย์คาดว่าน่าจะเกิดจากยาที่อาจจะผสมในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และที่น่าสังเกตคือ เป็นผลิตภัณฑ์ของผู้จัดจำหน่ายเจ้าเดิมที่มีคดีความกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อยู่ จากการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารโฆษณา ได้ข้อมูลจากการโฆษณาดังนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 3S (สกัดจากสาหร่ายทะเลน้ำลึก) ชนิดนี้มีส่วนประกอบที่สำคัญของ คือ สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล และสาหร่ายสีแดง วิธีรับประทาน วันละ 1-2 แคปซูล ก่อนอาหารเที่ยง จัดจำหน่ายโดย บริษัท ท๊อป ออฟ มายด์ จำกัด ขนาด 1 กล่อง ( 40 แคปซูล) ราคาขาย 1,200.00 บาท (ตกเม็ดละ 30 บาท) ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว แม้ผลจะยังไม่ออก แต่ดูจากข้อมูลทั้งอดีตและปัจจุบัน เชื่อว่าผู้อ่านน่าจะเดาเอาเองได้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวปลอดภัย หรือถูกต้องตามกฏหมายอย่างไรนะครับ ดังนั้นขอให้ท่านผู้อ่านระมัดระวังการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ และหากพบผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายต้องสงสัย อย่าลืมร้องเรียนกับ อย.หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 96 บริการครบวงจร

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามnuchote@hotmail.com การทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค แหล่งข่าวเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะแม้เราจะเป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็น แต่โอกาสที่เราจะไปสอดรู้เรื่องผลิตภัณฑ์หรือสถานการณ์ที่มีปัญหาบางทีมันดันน้อยกว่าเรื่องชาวบ้าน (ฮา) ดังนั้นใครทำงานด้านนี้แล้ว หากช่างพูด ช่างคุย ช่างจุ้นจ้านแบบผม บางทีข่าวมันก็มาแบบไม่ตั้งตัว ผมได้ข่าวนี้มาจากแหล่งข่าว (ขอสงวนนาม เพื่อให้มันดูลึกลับสักหน่อย) ทีแรกแหล่งข่าว ก็แค่มาถามว่าจะเอายามาให้ตรวจสอบได้มั้ย เพราะสงสัยว่ามันมีสารอะไรผสมอยู่บ้าง แต่คุยไปคุยมาผมเห็นว่าดูมันไม่ปกติ เลยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ข้อมูลว่า ยานี้เป็นยาที่เพื่อนเขากินแก้ปวดเมื่อย ได้มาจากหมอแผนโบราณคนหนึ่งที่เดินทางมารักษาโรคในจังหวัดนี้“หมอแผนโบราณ แน่หรือครับ ?” ผมถามเพราะอยากรู้รายละเอียดมากขึ้น “น่าจะใช่ เพราะหมอคนนี้แกรักษาแบบสมัยโบราณนะ มีนวด กดจุด และก็จ่ายยาแผนโบราณ เห็นคนไปหาแกเยอะทีเดียว” “ไปหาที่ไหนครับ ทำไมผมไม่เห็นได้ข่าวมาก่อนเลย” ผมถามด้วยสงสัย เพราะถ้าคนแห่กันไปรักษากันมากขนาดนี้ ย่อมไม่พ้นใบหูอันระริกและสายตาอันซอกแซกของผมไปได้ “แกไม่ได้มาทุกวันหรอก แกจะมาแค่เดือนละครั้ง มาทีก็มาพักที่รีสอร์ทเลย แต่อยู่แค่วันเดียวนะ แกมากับแฟน 2 คนเอง” “เห็นเมื่อกี้บอกว่า แกจ่ายยาด้วย แกจ่ายยาอะไรหรือครับ” “แกไม่ได้จ่ายยาให้ทุกคนหรอก ถ้าเป็นไม่มาก แกก็ใช้วิธีกดจุด นวดตามแบบโบราณของแก แต่ถ้ารายไหนเป็นเยอะหน่อย แกก็จะจ่ายยาของแก คล้ายๆ ยาลูกกลอน แต่ถ้าอาการหนักๆ แกถึงจะให้ยาฝรั่งให้กินควบไปด้วยจะได้หายเร็วๆ” “งั้นวานไปถามเพื่อนอีกทีนะครับว่า แกจะมาครั้งต่อไปเมื่อไหร่ และมาที่รีสอร์ทไหน ยังไงผมจะได้ลงไปตรวจสอบให้นะครับ อยากรู้เหมือนกันว่า แกเป็นหมอจริงหมอปลอม และแกจ่ายอะไรให้ชาวบ้านกิน อย่างน้อยจะได้ช่วยป้องกันไม่ให้ถูกหลอกครับ” ผมฝากให้แหล่งข่าวตามข้อมูลเพิ่มเติม เพราะผมก็อยากสัมผัสบริการครบวงจรแบบ One Stop Service ของพ่อหมอรายนี้เหมือนกัน เผื่อจะถ้ามีโอกาสดวงสมพงษ์กัน ก็จะได้ร่วมดำเนินคดีแบบครบวงจรกับแก ไปในเวลาเดียวกันได้เลย ไม่แน่ว่าช่วงนี้แกกำลังเดินสายบริการครบวงจรอยู่ตามรีสอร์ทไหน เอาเป็นว่าใครได้ข่าว ช่วยสะกิดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมตรวจสอบด้วยนะครับ เพราะดูจากพฤติกรรมแล้ว ไม่น่าจะถูกต้องครับ เล่นเอายาอะไรมาจ่ายก็ไม่รู้ แถมปนเปกันไปหมด ทั้งนวดแผนไทย จ่ายยาแผนโบราณ ยาฝรั่ง เอากะแกซิ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 -หมึกแดงหลีกไป...หมึกดำมาแว๊วววว

ภก.ภาณุโชติ ทองยังnuchote@hotmail.comสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ในฉลาดซื้อฉบับก่อนๆ ผมได้เล่าว่าแผนกของผม ได้ออกรณรงค์ตรวจสอบเครื่องสำอางในท้องตลาด เพื่อเฝ้าระวังว่ามีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ อาศัยดูละครเรื่องคมแฝกบ่อยๆ (ฮา) จึงได้วางแผนออกปฎิบัติการ กระจายกำลังแบบป่าล้อมตลาด เพื่อครอบคลุมเป้าหมายพื้นที่เทศบาล เน้นกลุ่มหลัก คือร้านเสริมสวย และได้เก็บครีมทาหน้าขาวจากร้านต่างๆ มาตรวจสอบจนทราบผล และได้เล่าไปแล้ว มาตรการต่อจากนั้น ก็มีการวางแผนส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปแจ้งผลโดยตรงกับทางร้าน เพื่อสอบถามแหล่งที่มาของครีมที่พบสารอันตรายปนเปื้อน โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสำนักงานเทศบาลเมืองฯ รับเป็นเถ้าแก่คนกลางในการนัดเจรจา และเพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการ จึงได้เน้นการสร้างความเข้าใจและชักชวนผู้ประกอบการเข้ามาเป็นพวกเฝ้าระวังให้กับรัฐ แทนที่จะเป็นพวกที่ต้องคอยหลบหนีเนื่องจากกระทำผิด และเนื่องจากว่าผมมีพรสวรรค์ทั้งการพูดเกลี้ยกล่อม และการสอดรู้สอดเห็นจึงได้รับบทบาทดังกล่าว (ฮา) จากการพูดคุย ผมเลยได้ข้อมูลแปลกๆ มาเล่าสู่กันฟัง หนูรู้แต่หนูก็ใช้ผู้ประกอบการรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า “ครีมที่ตรวจเจอน่ะ หนูไม่ได้ใช้กับลูกค้าหรอกค่ะ เพราะปกติแล้วหนูจะใช้เครื่องสำอางดีๆ ที่ปลอดภัยมียี่ห้อกับลูกค้า เพราะหนูกลัวลูกค้าได้รับอันตราย แต่ตลับนี้ หนูซื้อมาใช้เองค่ะ เพราะหนูใช้แค่ไม่กี่ครั้ง หน้ามันข๊าวขาวทันใจดีแท้ค่ะ แถมก็ไม่เห็นด่างแบบในรูปของ อย.เลย แต่เพื่อความชัวร์ หนูก็ใช้ห่างๆ นะคะ“ โถ หนูครับ จะไม่ให้มันขาวเด้งแบบตื่นตาตื่นใจได้ยังไง ก็มันเจอทั้งสารไฮโดรควิโนน (ที่ทำให้หน้าด่างถาวร) และสารปรอทแอมโมเนีย (ที่ทำให้ไตพัง) คราวนี้พออธิบายถึงอันตรายให้ว่า ของพวกนี้มันไม่ใช่ทาปุ๊บหน้าพังปั๊บ แต่มันจะด่างถาวรแบบไม่คาดฝัน กลับคืนมาขาวไม่ได้ และยังจะมีผลต่อไตด้วย คราวนี้น้องเธอเลยชักแหยงๆ บอกว่า “พี่ขา หนูน่ะดูแต่รูปหน้าด่างที่ อย.ทำโฆษณา แต่ใช้ก็ยังไม่ด่างสักที หนูก็เลยคิดว่าไม่เท่าไหร่ คราวนี้ไม่เอาแล้วค่ะ อ้อ....หนูฝากพี่ไปบอก อย.ด้วย ทำสื่อให้ แรงๆ ไปเลย อย่ามาเน้นแค่หน้าด่าง บอกแรงๆ ไปเลยว่า ไตพัง ลูกพิการอะไรทำนองนี้ล่ะค่ะ” หมึกแดงหลีกไป...หมึกดำมาแว๊ววววอีกรายให้ข้อมูลว่า ตอนนี้มีการแอบใช้น้ำยาหมึกดำเพื่อเสริมความงาม โดยน้ำยาชนิดนี้หากใช้เพื่อให้หน้าขาวต้องทาให้ทั่วใบหน้า ราคาทาครั้งละ 5,000 บาท แต่ถ้าจะให้ขาวทั้งตัวหัวจนเท้า จะเสียครั้งละ 10,000 บาท โดยความขาวสวยดังฝันนั้นจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นต้องมาทาใหม่ (อะไรมันจะขาวแพงขนาดนี้) “แต่พี่รู้มั้ยคะ น้ำยามันคงกัดได้แรงนะ หนูสังเกตเห็นตามแขนของคนที่ทา มีรอยเล็บเป็นทางๆ ทีแรกหนูนึกว่าเขาโดนหมาแมวตะกุย ที่ไหนได้ เขาบอกว่า ไม่ใช่เล็บหมาหรอกค่ะ เล็บดิฉันเอง ก็มันคันก็เลยต้องเกา” ผมเดาเอาว่าน้ำยาชนิดนี้มันคงเป็นน้ำกรดอ่อนๆ น่ะครับ การเอาน้ำกรดมาทา มันก็อันตรายพอสมควร จับพลัดจับผลูไม่ดี เป็นแผลติดเชื้อจะยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้คนอยากสวยเหล่านี้ ชาติที่แล้วเคยไปทำกรรมเวรอะไรไว้ ชาตินี้จึงต้องมาหาเรื่องเสี่ยงและทรมานเข้าตัวแบบนี้ เรื่องเครื่องสำอางที่อันตรายมันมีอะไรใหม่ๆ แผลงๆ ออกมาเรื่อยๆ นะครับ ตราบที่คนเรายังรักสวยรักงาม ยังไงใครมีข้อมูลอะไร ก็ช่วยๆ กันบอกต่อๆ เพื่อช่วยกันเฝ้าระวังด้วยนะครับ อานิสงค์ที่ทำจะได้ช่วยให้ชาติหน้าเกิดมางามยิ่งขึ้นกว่าชาตินี้ครับผม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 เส้นทางสายออร์กานิก

ฉันเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าผ่อนอารมณ์จากไอแดดด้านนอก ข้าวของสารพันถูกจัดเรียงบนชั้นไว้อย่างสวยงาม ยั่วความ อยากได้ อยากมี เป็นอย่างดี ของพื้นๆหลายอย่างมักดูดีขึ้นในห้างเสมอ ฉันคิดในใจ พลันที่สายตาเหลือบไปเห็นกองผักหลากชนิดที่ถูกจัดวางอยู่ไม่ไกล ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ ความรู้สึกขัดแย้งในใจก็ปรี่เข้ามาอย่างช่วยไม่ได้  ข่าวหนังสือพิมพ์ที่บอกว่า ของที่ประทับ”ตราออร์แกนิก” ที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง ถูกตรวจพบว่า มีสารปนเปื้อนเกินกว่าค่ามาตรฐาน ผลตรวจสอบคงเป็นที่ผิดหวังของหลายฝ่าย จึงกลายมาเป็นประเด็นถกเถียงเสียใหญ่โต ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อต่างๆ วิทยุ โทรทัศน์ หรือในโลกโซเชียล ฉันนึกกระหยิ่ม และอยากจะพูดดังๆ ว่า “เพิ่งรู้กันหรอกหรือ”จริงๆ แล้วด้วยความที่ฉันเรียนเรื่องอาหาร และผูกพันอยู่กับวงการอาหารมาบ้าง ความเข้าใจที่ว่าความเป็นออร์แกนิกมันเป็นวิถีชีวิต มากกว่าการตีตราด้วยสัญลักษณ์เพียงไม่กี่อย่าง ก็ค่อยๆถูกซึมซับเข้าไปในแก่นความคิด ปรัชญาออร์แกนิกที่ฉันเข้าใจคือ การหวนกลับไปสู่ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมให้มากที่สุด ให้ลองย้อนกลับไปดูว่าคนโบราณเขาปลูกพืชอย่างไร ทำอย่างไรให้ดินสมบูรณ์ในโลกที่สารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ยังไม่เป็นที่รู้จัก การหว่านเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศถือว่าเป็นการเพาะปลูกที่พึ่งพาธรรมชาติล้วนๆ การสร้างบรรยากาศให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชโดยมีมนุษย์และสรรพสัตว์ในธรรมชาติเป็นผู้ช่วยทีขาดไม่ได้ แน่นอนว่ามันอาจไม่ได้ให้ผลผลิตมากเท่าการเกษตรในยุคปัจจุบัน  แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคุณภาพ และคุณค่าอาหารของพืชผล แต่ในปัจจุบันเมื่อเกษตรกรรมถูกทำให้กลายเป็นอุตสาหรรมกลายๆ  เรื่องราวของการปลูก การหว่าน ผู้คนที่ผ่านเข้ามาทำในวงจรการปลูก ก็ค่อยๆหายไป พร้อมๆกับการเข้ามามีส่วนร่วมของพ่อค้าคนกลาง การตัดตอน ต่อ เติม เรื่องราวการผลิตเพื่อเน้นค้ากำไร ทำให้ผู้บริโภคสมัยใหม่เกิดความหวาดระแวง จนต้องหันมาพึ่งพากับสิ่งที่เรียกว่า “มาตรฐานออร์แกนิก” แทน กระนั้นก็ตาม มาตรฐานความเป็นออร์แกนิกที่ผู้บริโภคหวังจะพึ่งพา ก็ถูกฉีกออกด้วยกำลังเงินที่หลั่งไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมออร์แกนิก  ที่กำลังเนื้อหอมในตลาดปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเคยคุยกับคุณลุงฝรั่งคนหนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญ คุณลุงเป็นคนตัวไม่ใหญ่นัก แต่ดูทะมัดทะแมง ลุงแกเล่าว่า แกเป็นเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองที่ไม่ได้ไกลออกไปนัก เมื่อฉันถามว่าฟาร์มของลุงปลูกพืชแบบออร์แกนิกมั้ย แกกล่าวว่า“ออร์แกนิกเหรอ มันก็แค่ภาพลักษณ์เท่านั้นแหละ สิ่งที่ผมทำมันยิ่งกว่าออร์แกนิกเสียอีก” คุณลุงกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมให้เหตุผลว่า ผักทุกอย่างที่ปลูกที่ฟาร์มล้วนแล้วแต่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว โดยลูกแก แฟนของลูก เพื่อนของลูก มาช่วยกันลงแขก แกไม่สนใจกับมาตรฐานออร์แกนิกที่ถูกกำหนดขึ้น เพราะการขอจดมาตรฐานไม่เพียงแต่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น(การขอจด USDA Organic ในฟาร์มอย่างแกมีค่าใช้จ่ายปีละเกือบล้านบาทเลยทีเดียว) แต่ยังทำให้ราคาสินค้าของแกสูงขึ้นมากจนคนทั่วไปไม่สามารถซื้อหาได้ นอกจากนี้แกก็ไม่เห็นถึงความสำคัญว่าต้องหาที่จัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าให้ใหญ่โต แกบอกว่า มีกลุ่มคนที่เข้าใจ และเชื่อใจในการปลูกของแกที่คอยอุดหนุนกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แกแนะว่าแกขายของผ่าน Farmers’ Market (ตลาดนัดเกษตรกร) ซึ่งต้องการสนับสนุนให้ผู้บริโภคได้ซื้อขายจากเกษตรกรโดยตรง รวมถึง CSA (Community Supported Agriculture) ที่คล้ายๆกับเครือข่ายการสนับสนุนการเกษตรที่จะทั้งกลุ่มจะไปเหมาผลิตภัณฑ์ฟาร์มมาทั้งปี โดยที่ทางฟาร์มจะส่งผักผลไม้ที่ได้ตามฤดูกาลไปให้สมาชิกอาทิตย์ละครั้ง ด้วยการสนับสนุนจากชุมชนเช่นนี้ ทำให้ฟาร์มของแกอยู่ได้ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็อยู่อย่างมีความสุข เพราะเหมือนเป็นการเผยแพร่ปรัชญาออร์แกนิกไปในตัวฉันเข้าใจได้ดีว่าในความหมายของคุณลุง Farmers’ Market เป็นอย่างไร มันคือตลาดที่มีกลุ่มเกษตรกรเป็นตัวตั้งตัวตี มักจัดขึ้นบนลานโล่งแจ้งหรือทางข้างถนน ไม่ว่าหน้าฝนหน้าหนาว แดดจะออก หิมะจะตก ทุกวันอาทิตย์ ชาวบ้านร้านช่อง เกษตรกร หรือคนธรรมดา ก็จะมารวมตัวกันในที่ที่นัดไว้แล้วเปิดหลังรถขายของขึ้น เพราะบางคนก็ขนของมาเต็มกระบะ แล้วก็โยนผักผลไม้มาให้คนที่จะมาซื้อได้ชิม ไม่มีการแต่งตัวสวยงามใดๆ จากผู้ขาย ไม่มีการเช็ดพืชผลแบบเช็ดแล้วเช็ดอีก เพราะบางรายก็เพิ่งเด็ด ขุด เอาพืชพันธุ์ของตนเองออกมาเมื่อตอนเช้าของวันนั้นเอง หัวแครอทยังมีคราบดิน ผลไม้ก็จะมีให้ชิมเป็นหย่อมๆ ลูกที่สุกเต็มที่ ดูเหมือนจะเริ่มเน่า เป็นลูกที่หวานที่สุด และก็ราคาถูกที่สุด เพราะต้องรีบขายให้ออก ไม่เพียงแค่พืชผักเท่านั้นยังมีสินค้าอื่นอีกมาก ทั้งแยม โยเกิร์ต ขนมปัง ซึ่งคนที่นำมาขายก็จะมีเต้นท์เป็นของตัวเอง เมื่อคนขาย พบคนซื้อ บทสนทนาที่มาที่ไปของอาหารต่างๆ ก็เกิดขี้นอย่างช่วยไม่ได้ “ผักนั้นเอามาจากไหน ปลูกยังไง เนื้อหมูนี้ออร์แกนิกหรือเปล่า ทำไมถึงออร์แกนิก ทำไมถึงไม่ทำออร์แกนิก ให้อะไรเป็นอาหารไก่ ผลไม้นี้ตอนปลูกใช้อะไรเป็นปุ๋ย เอาไปทำอะไรกินดี ส่วนไหนที่อร่อยที่สุด นมนี้เป็นหางนมหรือไม่ ชีสนี้ใช้นมแพะ หรือนมวัว ขนมปังนี้ใช้แป้งอะไรทำ คนแพ้ Gluten ทานได้มั้ย บลา บลา บลา”   บทสนทนาล้วนดeเนินไปอย่างมีอรรถรส ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย คำถามมักติดตามมาด้วยคำอธิบายยาวเหยียด พร้อมกับเหตุผลที่ทำให้ฉันสัมผัสได้ดีถึงหยาดเหงื่อ แรงงาน ความภูมิใจ และความรู้สึกผูกพัน ที่คนขาย มีต่อผลผลิตของเขาเมื่อฉันก็ย้อนกลับมามอง Farmers’ Market ในบ้านเรา ฉันพบว่ามันไม่ได้เป็น ตลาดของเกษตรกรตรงตัวแบบที่เราเข้าใจกัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ขายผลิตผลทางการเกษตรตรงๆ ส่วนใหญ่แล้วสินค้าที่ขายมักเป็นอาหารแปรรูป ทั้งของกินเล่น เครป ขนมปัง วัฟเฟิ้ล ชา กาแฟ ไอศกรีม เบอร์เกอร์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมความงาม หรือตกแต่งซึ่งล้วนแล้วแต่เน้นสินค้าทำมือให้เข้ากับรสนิยมต่างชาติ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยในเมืองไทย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นคนไทยซึ่งมักส่งสำเนียงภาษาต่างชาติออกมาเป็นประจำ ทำให้ฉันสามารถบอกได้เกือบจะทันทันทีว่าเขาเหล่านี้หาได้เป็นคนไทยทั่วๆไปไม่แน่นอนว่าการผลิตสินค้าเพื่อเอาใจคนกลุ่มนี้ ผู้ผลิตและผู้ขายย่อมต้องมีต้นทุนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ หรือ ต้นทุนความรู้ ทั้งความรู้ในการผลิต และความรู้ทางวัฒนธรรม ซึ่งเกษตรกรไทยทั่วไปที่ยังต้องเก็บหอมรอมริบเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คงไม่สามรถยกระดับตัวให้กลายเป็นผู้ขายในตลาดนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ขณะเดียวกันกับที่ Farmers’ Market ได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมเมืองกรุง ผู้คนมากมายต่างพากันมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าคลีนๆที่ว่านึ้ เกษตรกรหลายรายที่ไม่ได้ขัดสนได้ถือเอาตลาดแห่งนี้เป็นที่พบปะกับผู้บริโภค เรียนรู้ตลาดและความต้องการที่หลากหลาย แต่ใช่ว่าผู้ขายสินค้าการเกษตรทั้งหมดจะเห็นตรงกัน เพราะพร้อมๆกับที่ชื่อเสียงของตลาดแห่งนี้ได้มีมากขึ้น บริษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยที่ค่อยๆ กินรวบทั้งระบบการผลิต การค้าส่ง และค้าปลีก ก็เล็งเห็นช่องทางการขายแบบใหม่ ที่ให้กำไรดีกว่าสินค้าเดิม ก็ได้หาเหตุแอบแฝงมาในนามเกษตรกรรายย่อย และขายสินค้าของตนเองอย่างภาคภูมิใจด้วยถือว่าตนเองก็เป็น “ออร์แกนิก” เช่นกัน ฉันถอนหายใจอย่างปลงๆ พร้อมกับรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กๆ อาจเป็นเพราะมีเค้าลางส่อว่า “เงิน” มีค่ามากกว่า “ปรัชญา” ที่ฉันเคารพหรือเปล่า ฉันคิดไปว่า “เงิน” สามารถ “ซื้อ” ปัจจัยการผลิตได้ตั้งแต่ ที่ดิน นักวิชาการ แรงงาน วัตถุดิบ ฯลฯ เพื่อเอามาสร้างความร่ำรวยให้เพิ่มขึ้นได้อย่าง “ง่ายดาย” แล้วอะไรคือ หยาดเหงื่อแรงงานของคนผลิตที่ฉันอยากสนับสนุน “เงิน” ของฉันจะถูกนำไปใช้เพียงเพื่อต่อ “เงิน” ให้คนอื่นที่ไม่ได้ขัดสนอะไรเท่านั้นหรือ แล้วความภูมิใจที่ฉันอยากมอบให้แรงงาน เหมือนกับคุณลุงเจ้าของฟาร์มคนนั้นมันอยู่ไหน ฉันรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง มันช่วยไม่ได้ ก็เมื่อความคิด จินตนาการมันสวนทางกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงฉันเดินค่อยๆเดินถอยออกมาจากชั้นผัก “ออร์แกนิก” พร้อมๆ กับยิ้มเยาะให้กับตัวเลือกที่จำกัดของผู้บริโภคชาวกรุงยังอีกไกล...ที่คนบ้านเราจะเห็นออร์แกนิกเป็นปรัชญามากกว่าเป็นเพียงสินค้าสุขภาพยังอีกไกล...กว่าปรัชญาจะแทรกซึมให้เข้าไปถึงเบื้องลึกในใจของคนไทยยังอีกไกล...ที่แรงงานภาคเกษตรจะได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่าเม็ดเงินยังอีกไกล...ที่ตราออร์แกนิกจะสิ้นความหมายเพราะความเชื่อใจที่เพื่อนมนุษย์มีให้แก่กันยังอีกไกล...ที่  Farmers’ Market จะเป็นของทุกคน เพื่อทุกคน อย่างแท้จริงฉันคงได้แต่เพียงหวังว่า “วันนั้น” จะมาถึง ก่อนที่จะสายเกินไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 185 10 ข้อควรรู้ เอาไว้สู้กับพวกทวงหนี้โหด (ตอนที่ 2)

ฉลาดซื้อ ฉบับที่แล้ว ผมได้แนะนำสาระสำคัญของ พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันไปแล้วว่ากฎหมายนี้ จะช่วยคุ้มครองสิทธิของคุณในฐานะลูกหนี้ได้อย่างไรบ้าง ผ่านไปแล้ว 4 ข้อ ซึ่งฉบับนี้เราจะมาพูดถึงข้อดีอื่น ๆ ต่อไป ให้ครบ 10 ประการ   5. ห้ามทวงหนี้โดยใช้ไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก แฟกซ์ หรือวิธีการอื่นใดที่สื่อให้เห็นว่าเป็นการทวงหนี้อย่างชัดเจน  แม้แต่ซองจดหมายที่ใช้ในการติดต่อกับลูกหนี้  กฎหมายก็ห้ามใช้ข้อความ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายใด ๆ      ที่สื่อไปในทางทวงหนี้ เพราะก่อนหน้านี้เอกสารทวงหนี้มัก        จะตีตรา “ชำระหนี้ด่วน”    ตัวแดงเด่นชัดเห็นมาแต่ไกล ราวกับจะประกาศให้คนทั้งหมู่บ้านรู้ว่าคุณเป็นหนี้ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับเจ้าหนี้ การพยายามเปิดเผยเรื่องหนี้กับบุคคลภายนอกจึงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 6. ห้ามทวงหนี้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ หรือบุคคลที่ลูกหนี้แจ้งชื่อเอาไว้ ถ้าเกิดไม่เจอตัวลูกหนี้ ทำได้อย่างมากก็แค่ถามข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ลูกหนี้เท่านั้น จะไปฝากเรื่องทวงหนี้เอาไว้กับเพื่อนร่วมงาน หรือคนข้างบ้านหวังจะประจานให้ลูกหนี้ได้อายอย่างเมื่อก่อนนี้ไม่ได้แล้ว  ข้อนี้ มีโทษหนักถึงขั้นต้องปิดบริษัท ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการทวงหนี้กันเลยทีเดียว7. ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ของส่วนราชการทุกแห่งประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ คนในเครื่องแบบ คนมีสี ไม่ว่าจะสีเขียว หรือสีกากี ต่อไปห้ามรับ job ทวงหนี้เด็ดขาด ถูกร้องเรียนขึ้นมามีโทษทั้งจำทั้งปรับ และอาจจะต้องออกจากราชการหมดอนาคตไปด้วย 8. การติดต่อลูกหนี้ถ้าเป็นวันธรรมดาให้ติดต่อได้ในช่วง 08.00-20.00 น. ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ให้ติดต่อเวลา08.00-18.00 น. แต่การเจรจาพูดคุยกับลูกหนี้ก็ต้องดูให้เหมาะสม ไม่ใช่โทรมาทุกสิบนาทีตลอดทั้งวัน แบบนั้นก็ไม่ใช่ละส่วนสถานที่ติดต่อต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ แต่ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงานก็ตาม พนักงานทวงหนี้ห้ามเข้ามาถ้าคุณไม่อนุญาต ไม่อย่างนั้น เจอข้อหาบุกรุกแน่  9. เป็นหน้าที่ของพนักงานทวงหนี้ ที่จะต้องแจ้ง ชื่อ -สกุล ชื่อหน่วยงานของตนและของเจ้าหนี้ กรณีรับมอบอำนาจมาก็ให้แสดงหนังสือมอบอำนาจด้วย และถ้ามีการชำระหนี้ก็ต้องออกหลักฐานการรับเงินให้ลูกหนี้ด้วย และตามกฎหมายจะถือว่าเป็นการรับชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โดยถูกต้องแล้ว10. ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิจากการทวงหนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้ หรือคนในครอบครัว สามารถร้องเรียนพฤติกรรมโฉดของแก๊งทวงหนี้ได้ ที่สถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง โดยเจ้าหน้าที่จะรวบรวมข้อเท็จจริงและเอกสารการร้องเรียน เสนอให้ “คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด” เป็นผู้พิจารณาจัดการกับพวกทวงหนี้โดยผิดกฎหมาย ต่อไป      ถึงตอนนี้ คุณก็ไม่ต้องกลัวพวกทวงหนี้โหดอีกแล้ว เพราะการติดหนี้นั้นเป็นคดีแพ่ง ไม่ต้องกลัวติดคุก แต่การทวงหนี้นอกกติกา ป่าเถื่อนนี่สิ เป็นคดีอาญา มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 10 ข้อควรรู้ เอาไว้สู้กับพวกทวงหนี้โหด (ตอนที่ 1)

นับตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2558 เป็นต้นมา การทวงหนี้โดยการข่มขู่ ประจาน ทำให้เสียชื่อเสียง ใช้กำลังประทุษร้ายหรือการคุกคามลูกหนี้ด้วยวิธีการสกปรกต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องต้องห้าม ผิดกฎหมาย พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 เจ้าหนี้คนไหนฝ่าฝืนมีโทษหนัก ทั้งจำทั้งปรับ  ดังนั้น ใครที่กำลังถูกพวกทวงหนี้โหดคุกคาม คุณควรจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ให้ดี เพราะมันเป็นเสมือนยันต์เกราะเพชร ที่จะคอยปกป้องคุณจากบรรดาพวกทวงหนี้ขาโหดได้เป็นอย่างดีสาระสำคัญของ พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ที่อยากให้คุณรู้ 1. พวกรับจ้างทวงหนี้ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานกฎหมาย ทนายความ หรือบริษัทรับทวงหนี้ จะต้องจดทะเบียน “การประกอบธุรกิจการทวงถามหนี้” กับทางราชการ เพื่อที่จะกำกับดูแลให้การทวงหนี้อยู่ในกรอบของกฎหมาย หากใครทวงหนี้โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับข้อมูลสำคัญ...ที่ต้องจำ เมื่อถูกทวงหนี้เจอพนักงานทวงหนี้ครั้งต่อไป อย่าลืมจดข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อ – นามสกุล, ชื่อบริษัทต้นสังกัด, เลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการทวงถามหนี้, หนังสือมอบอำนาจจากเจ้าหนี้,    ที่อยู่ - เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เพราะหากมีการพูดจาข่มขู่ คุกคาม คุณจะได้มีหลักฐานไว้เล่นงานพวกทวงหนี้นอกรีตเหล่านี้ 2. ห้ามทวงหนี้ในลักษณะที่เป็นการข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียชื่อเสียง หรือทำลายทรัพย์สินของลูกหนี้รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ด้วย ถ้าฝ่าฝืนมีโทษร้ายแรงมาก คือ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...งานนี้นักเลงทวงหนี้ มีสิทธิติดคุกยาว 3. ห้ามทวงหนี้ในลักษณะที่เป็นเท็จหรือทำให้ลูกหนี้เกิดความเข้าใจผิด เช่น จดหมายทวงหนี้ที่ใช้ข้อความว่า อนุมัติฟ้องดำเนินคดี เตรียมรับหมายศาล เตรียมยึดทรัพย์ ถ้าไม่ใช้หนี้จะติด Black List เครดิตบูโร เพื่อจะขู่ให้ลูกหนี้กลัว และที่สำคัญห้ามแอบอ้างให้ลูกหนี้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการกระทำของศาล หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐ โดยใช้เครื่องหมาย ตราสัญลักษณ์ หรือแต่งกายเลียนแบบ ข้อนี้มีโทษหนักมาก จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ4. ห้ามทวงหนี้โดยใช้วาจาหรือภาษาที่เป็นการดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น ข้อนี้น่าจะช่วยกำจัดพวกทวงหนี้ปากปลาร้าไปได้เยอะเลย เพราะถ้าคุมหมาในปากไม่อยู่ อาจจะต้องถูกปรับหนึ่งแสนบาท หรือต้องไปกินข้าวแดงในคุกฟรี นะจ๊ะอีก 6 ข้อควรรู้ที่เหลือ ติดตามต่อได้ในฉลาดซื้อ ฉบับหน้านะครับ ส่วนใครที่ร้อนใจ เพราะตอนนี้ปัญหาหนี้สินรุมเร้าเหลือเกิน ก็สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook : รู้สู้หนี้ หรือ www. rusunee.blogspot.com

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 การแสดงความคิดเห็นในสังคมออนไลน์

ความจำเป็นในการที่ต้องกำกับ ดูแล และตรวจสอบการใช้งาน รวมถึงมาตรฐานจรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน  ในประเทศสิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไป "ประจาน" คนอื่นในสังคมออนไลน์ และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่  การติดต่อสื่อสารทางระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนั้นมีเว็บไซต์ในลักษณะที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสัมพันธ์(Relationship) ระหว่างผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) บนโลกออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงกันกลายเป็นสังคมเสมือนจริง( Virtual Communities) โดยมีความสัมพันธ์และทับซ้อนกับการดำเนินชีวิตของผู้คนในโลกของความเป็นจริง เครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทเว็บไซต์ถือว่าเป็นการให้บริการโดยผู้ใช้สามารถสร้างแฟ้มข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจมีลักษณะสาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ โดยผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนและเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวของผู้ใช้อื่นๆ ในระบบเครือข่ายสังคมนั้น เว็บไซต์เครือข่ายสังคม เช่น Facebook ,  Line เป็นต้น  ซึ่งมีความแตกต่างกันในแง่ของวัตถุประสงค์ การใช้งาน รวมทั้งรูปแบบและลักษณะ บางเว็บไซต์มุ่งประสงค์ใช้เพื่อทางธุรกิจหรือทางวิชาชีพ ในขณะที่บางเว็บไซต์มุ่งประสงค์ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสังคมและความบันเทิง บางเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ในขณะที่บางเว็บไซต์มุ่งประสงค์แลกเปลี่ยนข้อมูลในลักษณะสื่อผสม ซึ่งในแต่ละเว็บไซต์จะมีลักษณะเฉพาะสำหรับการใช้งานแตกต่างกันออกไป และในปัจจุบันมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้อย่างกว้างขวาง ทำให้ความนิยมใช้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์มิได้จำนวนอยู่เฉพาะการใช้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น ทำให้การสื่อสารทางเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสังคมปัจจุบัน รูปแบบการสื่อสารในลักษณะสังคมเครือข่ายนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเปิดเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว ทั้งที่เป็นตัวอักษร บทความ รูปภาพ รวมทั้งการสนทนาและแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์รวมไปถึงเป็นแหล่งข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ผู้ใช้สามารถช่วยกันสร้างเนื้อหาขึ้นตามความสนใจของแต่ละบุคคล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ให้บริการ ในความเป็นอยู่ส่วนตัวนั้น เราอาจแยกพิจารณาออกเป็นสองประเภท ประเภทแรก คือความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค เช่น สิทธิในความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล  ประเภทที่สอง คือความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เช่น การเผยแพร่ภาพหรือข้อความในการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์     ขณะเดียวกันผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็มีหน้าที่ในการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกบนอินเทอร์เน็ต หากเป็นกรณีที่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตที่อยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตย  โดยหลักแล้วสิทธิและเสรีภาพในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของคนเราจะไม่แตกต่างกับสิทธิและเสรีภาพในการใช้สื่ออื่นๆ  เมื่อมีเสรีภาพเกิดขึ้น เป็นที่แน่นอนว่าเขตแดนของเสรีภาพแต่ละบุคคลย่อมจะชนและทับซ้อนกัน ในบางกรณีกลายเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ดูเหมือนว่าเขตแดนของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะมีมากจนบางครั้งอาจมีมากเกินไปด้วยซ้ำ ความจำเป็นในการที่ต้องกำกับ ดูแล และตรวจสอบการใช้งาน รวมถึงมาตรฐานจรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน  ในประเทศสิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไปประจานคนอื่นในสังคมออนไลน์ และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่  เช่นมีการแชร์ภาพโปสเตอร์แคมเปญของ Singapore Kindness Movement(ขบวนการสิงคโปร์เอื้อเฟื้อ) เป็นภาพผู้ชายกำลังงีบบนเก้าอี้สำรองบนรถโดยสารสาธารณะ โดยมีผู้หญิงที่กำลังท้องกำลังยืนประจันหน้าอยู่ พร้อมกับคำโปรยว่า "จะแชะภาพ หรือแตะไหล่ปลุก - อยู่ที่ตัวคุณว่าจะเอื้อเฟื้ออย่างไร" หมายความว่า แทนที่จะรีบถ่ายรูปประจานชายคนนี้ เราควรปลุกเขาจะดีกว่าไหม?  เพราะอาจมีเหตุผลอื่นนอกจากจะแย่งที่นั่งคนท้องก็เป็นได้              ความเป็นจริงแล้วสังคมออนไลน์ เปรียบเสมือนคำว่า ‘ดาบสองคม’ ที่มีความหมายว่า การกระทำที่อาจเกิดผลดีและผลร้ายได้พอๆ กัน เช่นเดียวกับ หากผู้ใช้งานในสื่อสังคมออนไลน์ได้เล่นสื่อต่างๆ แบบไม่ระมัดระวังคำพูด พาดพิง หรืออาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย อาจจะต้องรับผิดทางอาญาตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550  มาตรา 14 บัญญัติว่า      “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ        (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน       (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน       (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา       (4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้       (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)”              ซึ่งผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ควรจะรู้และทราบด้วยว่าหากตนเองได้เผยแพร่ภาพหรือกระทำการด้วยวิธีการอื่นใดในสื่อสังคมออนไลน์ประเภทต่างๆ แล้วทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายอาจจะต้องรับผิดตามกฎหมายฉบับนี้ก็ได้ แต่ทั้งนี้การจะเป็นความผิดได้ก็จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบตามกฎหมายอีกหลายประการด้วยเช่นกัน ทั้งนี้สาระสำคัญอยู่ที่ว่าผู้โพสต์ หรือแชร์ภาพนั้นมีเจตนาที่จะทำให้บุคคลอื่นเสียหายหรือไม่อย่างไรหรือเป็นเพียงแค่การใช้สิทธิของผู้บริโภคเท่านั้นในการแสดงออก  ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นแก้ปัญหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยแท้มากกว่า  เพราะไม่สามารถอาศัยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับผู้กระทำความผิดได้  เนื่องจากมีองค์ประกอบแตกต่างกัน  แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับพบว่ายังมีบุคคลอีกหลายคนใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการนำมาใช้จัดการเนื้อหาที่เผยแพร่ในสื่ออินเทอร์เน็ตที่เป็นประโยชน์สาธารณะมากกว่า   ทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน              ดังนั้น หากผู้ใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์ประสงค์ที่จะใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสังคมออนไลน์คงต้องใช้สติก่อนที่จะโพสต์หรือแชร์ต่อไปยังพื้นที่สาธารณะทางออนไลน์ว่า ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือไม่  เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเสียหายหรือไม่  เป็นการกระทำโดยผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องแล้วหรือยัง  เป็นต้น  “นิ้วเป็นอวัยวะที่เล็กแต่ก็ทำให้คนติดคุกมาก็หลายคนแล้ว อย่าประมาทนะครับ”  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 รู้จัก “เครดิตลิมิต” ชีวิต 4G จ่ายไม่เกินร้อย

ข่าวดีของผู้ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนก็คือ คุณสามารถควบคุมค่าใช้บริการได้โดยการกำหนดวงเงินค่าใช้บริการ เครดิตลิมิต (Credit Limit) โดยแจ้งกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ว่าต้องการจำกัดวงเงินค่าบริการไว้ไม่ให้เกินกี่บาท ดังนั้นค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่า sms หรือบางคนอาจจะมีค่าบริการจากการซื้อแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เรียกเก็บมาในบิล รวมแล้วจะต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ โทรศัพท์มือถือ Smart Phone เดี๋ยวนี้ ทำอะไรได้มากมาย นอกจากเป็นโทรศัพท์ เอาไว้ติดต่อ โทรออก-รับสายแล้ว ยังใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ท่องเว็บไซต์ เล่นเกมส์ ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ พูดคุยติดต่อสื่อสารกับผู้คนผ่าน Social Network หรือจะช็อปปิ้งซื้อของออนไลน์ก็สามารถทำได้ไม่ยาก จะดูหนัง ฟังเพลง ก็มีให้เลือกจนตาลาย หลายคนใช้แล้วก็ติดใจ เพราะมันทำให้ชีวิตมีสีสัน สะดวกสบาย และสนุกสนาน แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า “โลกนี้ไม่มีอะไร ฟรี” ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย บางคนได้รับบิลค่าโทรศัพท์แล้วแทบจะเป็นลม เพราะถูกเรียกเก็บค่าบริการอินเทอร์เน็ตหลายพัน หลายหมื่น หรือบางรายโดนกันไปเป็นแสนบาท ก็เคยมีมาแล้ว   ปัญหาทำนองนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจ้าโทรศัพท์ Smart Phone รุ่นใหม่ๆ นี่แหละ ด้วยความที่มันฉลาดแสนรู้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อคอยอัพเดท App ต่างๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ คนที่มีเพื่อนในโซเชียลเยอะๆ เดี๋ยวคนโน้นอัพรูปขึ้นเฟซบุ๊ค เดี๋ยวคนนี้แชร์คลิปมาในไลน์ เผลอแปล๊บเดียวใช้อินเทอร์เน็ตหมดแล้ว ซึ่งการใช้งานส่วนที่เกินจากแพ็คเกจที่สมัครไว้นี่ ถ้าไม่ได้ซื้อแบบเหมาจ่าย Unlimited บริษัทมือถือจะคิดค่าบริการตามปริมาณข้อมูลที่ใช้งาน ราคาประมาณ 1 -2 บาท/MB ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละค่าย และเป็นแนวโน้มของแพ็คเกจ 4G ที่เราจะไม่ค่อยเห็นโปรโมชั่นเหมาจ่าย Unlimited เพราะโครงข่ายไม่เพียงพอที่จะรองรับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่มีพฤติกรรมต่อเน็ตทิ้งไว้ตลอดเวลา โปรโมชั่นของ 4G จึงมักจะกำหนดปริมาณข้อมูลที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้ เช่น จ่าย 488 บาท เล่นเน็ตได้ 10 GB ส่วนเกินจากนี้คิดตามจริงเป็น MB ตามปริมาณ ซึ่งจะแตกต่างจากลักษณะโปรโมชั่นของ 3 G ที่ผ่านมา ที่เมื่อใช้เกินจะปรับลดความเร็วลงแต่ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม ใครที่ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงิน ปัญหาก็อาจจะไม่หนักมาก เพราะพอหมดเงินที่เติมไว้ โทรศัพท์มันก็ตัดบริการไปเอง แต่คนที่ใช้แบบรายเดือนจะเสี่ยงหน่อย เพราะค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นตามการใช้งานของคุณ ซึ่งบอกไว้เลยว่า มือถือ 4G นี่ ยิ่งเน็ตแรงเท่าไร โอกาสที่ค่าบริการจะพุ่งก็มีมากเท่านั้น เพราะยิ่งโหลดไว ผู้บริโภคก็ยิ่งเพลิน ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย อย่างดู youtube นี่ เมื่อคำนวณออกมาจะใช้เน็ตประมาณ 1.5 MB/นาที ถ้าค่าบริการ MB ละ 1 บาท ดู 1 ชั่วโมง ก็ต้องจ่าย 90 บาท แล้วเดี๋ยวนี้คนเราจ้องหน้าจอมือถือวันละกี่ชั่วโมงก็ลองนึกดูแล้วกันครับ ข่าวดีของผู้ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนก็คือ คุณสามารถควบคุมค่าใช้บริการได้โดยการกำหนดวงเงินค่าใช้บริการ เครดิตลิมิต (Credit Limit) โดยแจ้งกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ว่าต้องการจำกัดวงเงินค่าบริการไว้ไม่ให้เกินกี่บาท ดังนั้นค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่า smsหรือบางคนอาจจะมีค่าบริการจากการซื้อแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เรียกเก็บมาในบิล รวมแล้วจะต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ เมื่อค่าใช้จ่ายใกล้เต็มวงเงินบริษัทจะโทรศัพท์ หรือ sms มาแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า และเมื่อมีค่าใช้จ่ายเกินบริษัทก็จะระงับบริการชั่วคราวเอาไว้ก่อน เพื่อมิให้เกิดค่าใช้จ่ายเกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ แต่หากวันดีคืนดีเกิดมีค่าใช้จ่ายเกินมา คุณก็สามารถร้องเรียนกับสำนักงาน กสทช. ได้ ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมได้เคยมีมติให้บริษัทมือถือคิดค่าบริการกับผู้ร้องเรียนได้เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินกว่าวงเงินที่จำกัดไว้ จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่สมัย 2G แล้ว เพียงแต่ที่ต้องหยิบมาเล่าให้ฟังอีกครั้งก็เพราะในยุค 4G นี้ โอกาสเกิดปัญหา Bill Shock จากค่าบริการอินเทอร์เน็ตมันจะมีมากกว่า และความเสียหายจะร้ายแรงกว่า ดังนั้นลองหยิบใบแจ้งค่าใช้บริการของคุณมาตรวจสอบดูสิว่า ได้ระบุจำกัดวงเงินค่าใช้บริการไว้ตรงกับที่คุณแจ้งหรือไม่ เพราะเคยมีกรณีที่ผู้บริโภคจำได้ว่ากำหนดวงเงินค่าบริการไว้แค่ไม่กี่ร้อยบาท แต่ถูกเรียกเก็บค่าบริการเป็นพันบาท สอบถามไปจึงได้ความว่า บริษัทเห็นว่าเป็นลูกค้าชั้นดี จึงปรับเพิ่มวงเงินค่าบริการให้โดยพละการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ปัจจุบัน บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแต่ละราย กำหนดเงื่อนไขของเครดิตลิมิตไว้แตกต่างกัน บางค่ายไม่รวมค่าบริการตามแพ็คเกจที่สมัครไว้ เช่น ค่าบริการตามแพ็คเกจ 488 บาท เครดิตลิมิตไว้ 1,000 บาทแบบนี้บริษัทก็จะมีสิทธิคิดค่าบริการได้ในวงเงินไม่เกิน 488 + 1,000 บาท ไม่ใช่ 1,000 บาทถ้วนตามที่เราเข้าใจทั่วไป แต่ส่วนที่เหมือนกันเกือบทุกค่ายก็คือ เครดิตลิมิต นี้จะไม่รวมค่าบริการข้ามแดนอัตโนมัติระหว่างประเทศ (International Roaming) ดังนั้น ลองศึกษาเงื่อนไขจากผู้ใช้บริการของคุณ แล้วกำหนดวงเงินค่าใช้บริการให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์ของคุณ รับรองว่าคุณจะไม่กระเป๋าฉีกเพราะค่าโทร ค่าเน็ตแน่นอน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 181 ไขความลับ 5 ข้อของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

ประเทศไทยยามนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความหดหู่ เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคหดหาย ร้านรวงต่าง ๆ ก็พลอยห่อเหี่ยวตามไปด้วย เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองขาดสภาพคล่อง หลายคนเริ่มต้องมองหาแหล่งเงินกู้ เอาไว้สำรองในภาวะฉุกเฉิน คนที่มีแก้วแหวนเงินทองของมีค่า ที่พอจะขายหรือจำนำเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็ดิ้นรนกันไป แต่ทรัพย์สินอย่างรถยนต์นั้น เป็นของชิ้นใหญ่ที่ไม่ได้ซื้อง่ายขายคล่องเหมือนทองคำ มิหนำซ้ำสำหรับบางคน รถยนต์ คือ เครื่องมือประกอบอาชีพ ขายไปแล้วก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ถ้ามีหนทางเปลี่ยนรถเป็นเงินสด เพื่อมาแก้ปัญหาความขัดสนเฉพาะหน้าไปก่อนได้ก็คงดี “ต้องการเงินสด รถคุณกู้ได้ อนุมัติไว ไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน แถมยังมีรถขับเหมือนเดิม”    โอ้โห !!! อะไรมันจะวิเศษอย่างนี้ หลายคนคงนึกในใจเวลาที่ได้ยินโฆษณาประเภท รถแลกเงิน เงินติดล้อ คาร์ฟอร์แคช ฯลฯ แหม มันดีเลิศประเสริฐศรี จนอยากจะขับรถไปกู้เงินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ช้าก่อน วันนี้ ผมมีความลับ 5 ข้อ ของสินเชื่อประเภทนี้ มาบอกให้คุณรู้ ก่อนตัดสินใจไปกู้เงิน ความลับข้อที่ 1 ธุรกิจสินเชื่อ หรือ เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “ธุรกิจปล่อยเงินกู้” ประเภทรถแลกเงินนั้น มีชื่อจริงอย่างเป็นทางการว่า “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” เพราะเจ้าหนี้จะเก็บแค่สมุดจดทะเบียนรถไว้เป็นหลักประกัน โดยไม่ได้ยึดรถไว้ ลูกหนี้จึงยังคงมีรถขับตามปกติ ความลับข้อที่ 2 คนที่จะขอสินเชื่อกลุ่มนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของรถในเล่มทะเบียน จะเป็นรถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์ก็กู้ได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่ยังผ่อนไม่หมด รถติดไฟแนนซ์เจ้าหนี้จะไม่ให้กู้     ความลับข้อที่ 3 การจำนำทะเบียนแบบโอนเล่ม แบบนี้คนที่มาขอสินเชื่อจะต้องทำสัญญาขายรถยนต์ของตนเองให้กับเจ้าหนี้ในราคาที่ตกลงกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดของรถรุ่นนั้น ๆ ที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป เมื่อเซ็นสัญญาซื้อขายและโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถในเอกสารเล่มทะเบียนเรียบร้อย  เจ้าหนี้ก็จะเอารถที่เราเพิ่งขายไปนั่นแหละ มาให้ลูกหนี้ทำสัญญาเช่าซื้ออีกครั้งหนึ่ง กำหนดให้ผ่อนกี่งวด บวกดอกเบี้ยร้อยละเท่าไรก็ว่ากันไป ถ้าชำระครบ เจ้าหนี้ก็จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์กลับมาเป็นของลูกหนี้     ดังนั้น ในระหว่างการผ่อนหนี้จำนำทะเบียนแบบโอนเล่ม คุณต้องรู้ว่า คุณไม่ใช่เจ้าของรถคันนั้นอีกต่อไปแล้ว (แม้ที่ผ่านมาคุณจะผ่อนรถคันนั้นหมดไปแล้วก็ตาม) ตอนนี้คุณเป็นแค่ผู้เช่าซื้อ ดังนั้น ถ้าขาดส่งค่าเช่าซื้อ 2 งวดเมื่อไร เจ้าหนี้ก็มีสิทธิมายึดรถไปได้ และที่สำคัญ ห้ามเอารถคันนี้ไปขายต่อเด็ดขาด เพราะอาจจะถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ได้     ความลับข้อที่ 4 การจำนำทะเบียนแบบโอนลอย  แบบนี้จะไม่มีการทำสัญญาเช่าซื้อ แต่เจ้าหนี้จะให้ลูกหนี้ทำสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขายรถยนต์แบบโอนลอยแทน คือเซ็นเอกสารสัญญาซื้อขาย เอกสารการโอนต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนพร้อมโอนทะเบียนแล้ว เพียงแต่เจ้าหนี้ยังไม่แจ้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของในสมุดจดทะเบียน ซึ่งตามกฎหมายสัญญาซื้อขายนี้ เมื่อจ่ายเงินกันแล้วก็ถือว่าสมบูรณ์ กรรมสิทธ์ในรถเป็นของผู้ซื้อ (เจ้าหนี้) แล้ว แม้ว่าชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียนยังเป็นชื่อของลูกหนี้ก็ตาม เพราะสมุดจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ ความลับข้อที่ 5 สรุปว่าแม้ชื่อธุรกิจประเภทนี้จะเรียกว่า สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ แต่นิติกรรมสัญญาที่คุณทำกับเจ้าหนี้จริง ๆ แล้ว ถ้าเรียกกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ คุณทำสัญญาขายรถของคุณให้เจ้าหนี้ แล้วเจ้าหนี้ก็เอารถนั้นแหละมาเป็นหลักประกัน ถ้าเกิดเบี้ยวหนี้ขึ้นมาเขาก็ยึดรถคันนั้นได้เลย นี่คือเหตุผลเบื้องหลังว่า ทำไมเจ้าหนี้ สินเชื่อประเภทนี้จึง อนุมัติไว ไม่ต้องการคนค้ำประกัน เพราะ เจ้าหนี้มีความเสี่ยงน้อย แม้จะยึดแค่เล่มทะเบียนไว้ แต่จริง ๆ แล้วเขาได้กรรมสิทธิ์ในรถของลูกหนี้ไปแล้วทั้งคันต่างหาก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 180 เป็นคนดี เสียภาษีน้อยกว่า รู้ยัง

นับตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2559 เป็นช่วงเวลาของการยื่นแบบเพื่อเสียภาษีประจำปี 2558 แฟนๆ ฉลาดซื้อยื่นแบบกันรึยังครับ สำหรับคนที่มีแนวโน้มว่าจะได้เงินภาษีคืน รีบยื่นแบบหน่อยก็ดีนะครับ เพราะหากไปยื่นช่วงโค้งสุดท้ายก็จะต้องรอนานนิดหนึ่ง ส่วนคนที่ดูแล้วว่าอาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มหรือไม่ได้เงินภาษีคืน ก็เลยยังนิ่งนอนใจอยู่ ก็อย่าชะล่าใจ เพราะยังไงเกิดเป็นคนไทยมีรายได้ก็ต้องเสียภาษีกันทุกคน ปี 2558 ผ่านไปแล้วยังไงก็แก้ไขไม่ได้ มาเริ่มต้นวางแผนภาษีปี 2559 กันตั้งแต่วันนี้ดีกว่าครับ รับรองว่าปีหน้าคุณจะมีเงินเหลือติดกระเป๋ามากกว่าปีนี้แน่นอน     การวางแผนภาษีนี้ไม่ใช่การหนีภาษีนะครับ เพราะหนีภาษีหรือโกงภาษีนั้นมันผิดกฎหมาย แต่การวางแผนภาษี คือการใช้สิทธิต่าง ๆ มาลดหย่อน เพื่อให้จ่ายภาษีน้อยลง ได้รับเงินภาษีคืนมากขึ้น ซึ่งการวางแผนภาษีนี้ก็มีหลากหลายวิธี แต่คุณรู้ไหมครับว่า “การเป็นคนดี” ก็ช่วยให้คุณเสียภาษีน้อยลง      1. เป็นคนดีมีความกตัญญูเลี้ยงดูพ่อแม่ ลดหย่อนภาษีได้ ถ้าคุณเป็นลูกที่ดีดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมิได้ทำงานมีเงินได้หรือมีเงินได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปี ทั้งพ่อแม่ของคุณหรือพ่อแม่ของแฟนคุณ(กรณียื่นภาษีร่วมกัน) ก็สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ท่านละ 30,000 บาท สำหรับคนที่มีพี่น้องหลายคนก็ต้องพูดคุยตกลงกันนะครับว่าจะให้ใครเป็นคนใช้สิทธิลดหย่อนนี้ เพราะหากพ่อหรือแม่ออกหนังสือรับรองสิทธิลดหย่อนให้ลูกคนใดแล้ว ลูกคนอื่นก็จะมาใช้สิทธิซ้ำอีกไม่ได้     2. เป็นคนดีมีเมตตาดูแลคนพิการหรือทุพพลภาพ หักลดหย่อนได้ถึงคนละ 60,000 บาท ถ้าคุณดูแลคนพิการในครอบครัว (ซึ่งกฎหมายจำกัดสิทธิเฉพาะ คู่สมรส พ่อแม่ ลูกหรือลูกบุญธรรม) ไม่ว่าจะกี่คนก็ตามกฎหมายให้สิทธิลดหย่อนคนละ 60,000 บาท และถ้าคุณรับอุปการะคนพิการอื่น ๆ อีก อันนี้กฎหมายให้สิทธิลดหย่อนได้อีก 1 คน แต่ทั้งนี้ในบัตรประจำคนพิการจะต้องระบุชื่อคุณเป็นผู้ดูแล     3. เป็นคนดีรู้จักเก็บออม ได้สิทธิลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่สามารถนำเงินที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง ปีละไม่เกิน 10,000 บาทแล้ว ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่สมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์เดียวกับที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ     4. เป็นคนดีมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บริจาคเงินก็ได้สิทธิลดหย่อนภาษี ถ้าบริจาคให้สถานศึกษาสามารถนำมาหักภาษีได้ถึงสองเท่าของเงินที่บริจาค ส่วนการบริจาคให้องค์กรสาธารณกุศลอื่น ๆ นั้น จะต้องเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ตามประกาศของกระทรวงการคลังจึงจะได้สิทธิลดหย่อนตามจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว     ถึงตรงนี้ก็อยากจะเชิญชวนผู้อ่านร่วมกันบริจาคเงินให้ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ซึ่งนอกจากคุณจะได้ส่วนลดทางภาษีแล้ว เงินของคุณยังช่วยพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ขึ้น ผ่านการทำงานของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งมีกิจกรรมคุ้มครองผู้บริโภคทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งในแต่ละปีศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิฯ สามารถช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิให้ได้รับการเยียวยาไม่น้อยกว่า 10,000 คน และยังยกระดับการทำงานคุ้มครองสิทธิไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวม อาทิ การเรียกร้องให้โรงพยาบาลเอกชนยุติการเรียกเก็บเงินจากการใช้บริการกรณีฉุกเฉิน หรือการผลักดันให้มีการคิดค่าโทรศัพท์มือถือตามการใช้งานจริงเป็นวินาทีโดยไม่ปัดเศษ ซึ่งจะสามารถช่วยผู้บริโภคประหยัดเงินได้มากกว่า 38,200 ล้านบาทต่อปี รวมทั้ง “ฉลาดซื้อ” ที่อยู่ในมือของท่านผู้อ่านขณะนี้ ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมการเผยแพร่ข้อมูล ความรู้สู่ผู้บริโภค

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 179 4 วิธี ลดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ให้อุ่นใจแบบคุ้มค่า

ผู้ที่ขับขี่รถยนต์ คงจะคุ้นหูกับคำว่า พรบ.รถยนต์ ,ประกันภัยชั้น 1 ,ชั้น 3 และคุ้นตากับสติ๊กเกอร์ประกันภัยที่ติดอยู่หน้ากระจกรถ และทุกปีมีหน้าที่จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยรถยนต์     ถ้าเป็นประกันภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ ซึ่งกฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำประกันภัย เบี้ยประกันก็อยู่ที่ปีละ 650 – 1,000 บาทต้น ๆ ไม่แพงมากนักเพราะกฎหมายควบคุมอัตราเบี้ยประกันไว้     ส่วนประกันภาคสมัครใจ เช่น ประกันภัยชั้น 1 , ชั้น 3 ซึ่งเป็นส่วนเสริมที่ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้นั้น เบี้ยประกันอยู่ที่ปีละประมาณ 5 พันบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับรถที่คุณใช้ ทุนประกันและความคุ้มครองที่คุณเลือก     ในกรณีที่เป็นรถประเภทเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมบางคนจ่ายเบี้ยประกันได้ถูกกว่า ทั้งที่ทุนประกันและความคุ้มครองก็ได้รับเท่ากัน นั่นเป็นเพราะแต่ละคนได้รับส่วนลดเบี้ยประกันไม่เท่ากัน การจะได้ส่วนลดมากหรือน้อยนั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของแต่ละละบริษัท ว่าต้องการกระตุ้นยอดขายมากขนาดไหน แต่อีกส่วนก็ขึ้นอยู่กับความรู้ของผู้บริโภคว่าจะเท่าทันตัวแทน นายหน้าประกันภัย ขนาดไหน ผมจึงอยากจะแนะนำ 4 เรื่องที่คุณควรรู้เพื่อการลดเบี้ยประกันภัย ให้ได้รับความคุ้มครองแบบอุ่นใจและคุ้มค่าเงินเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย      1. ระบุชื่อคนขับให้ชัดเจน ลดได้ 5 -20 % เพราะรถที่ใช้โดยคนคนเดียว ย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่ารถที่ขับกันหลายมือ ดังนั้น รถที่ใช้ในครอบครัว ถ้าระบุชื่อผู้ขับขี่ลงไปในกรมธรรม์จะลดเบี้ยประกันได้ และยิ่งถ้าคนขับมีอายุ มีวุฒิภาวะมากขึ้น ส่วนลดก็จะมากตาม     อายุ 18 -24 ปี ส่วนลดเบี้ย 5%    อายุ 25 – 35 ปี ส่วนลดเบี้ย 10%    อายุ 36 – 50 ปี ส่วนลดเบี้ย 15%    อายุ 50 ปี ขึ้นไป ส่วนลดเบี้ย 20%     แต่ต้องเตือนกันไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้ที่ขับขี่รถยนต์ไม่ใช่ผู้ที่มีชื่อระบุไว้ในกรมธรรม์ แบบนี้จะประกันจะไม่จ่ายค่าเสียหายส่วนแรกในวงเงินไม่เกิน 8,000 บาท     2. ขับดี มีส่วนลด 20 -50 % การขับขี่รถอย่างระมัดระวัง ไม่เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุแต่คุณมิได้เป็นฝ่ายผิด คุณมีสิทธิได้ส่วนลดเบี้ยประกันจากการมีประวัติที่ดี และส่วนลดจะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในปีถัด ๆ ไป     ขับดีปีแรก ได้รับส่วนลด 20% เมื่อต่ออายุประกันปีต่อไป     ขับดี 2 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 30%     ขับดี 3 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 40%    ขัดดี 4 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 50%    เพื่อรักษาเครดิตส่วนลดนี้ บางครั้งการเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงอาจจะยังไม่จำเป็นต้องเคลมประกัน หากคำนวณแล้วว่าการซ่อมเองคุ้มกว่าส่วนลดเบี้ยประกันที่ได้รับ     3. รวมรถ ลดได้อีก 10% ถ้าคุณมีรถยนต์หลายคัน การทำประกันรถยนต์แบบกลุ่มตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป สามารถขอส่วนลดได้อีก 10%     4. รับความเสี่ยงไว้เองบางส่วน จ่ายเบี้ยน้อยกว่า หรือที่ภาษาประกันเรียกว่า การกำหนดค่าเสียหายส่วนแรก หมายความว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุที่คุณเป็นฝ่ายผิด คุณจะร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ในวงเงินที่กำหนดไว้ เช่น ถ้าคุณกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกไว้ 5,000 บาท เมื่อเกิดอุบัติเหตุต้องซ่อมรถที่เสียหายเป็นเงิน 20,000 บาท คุณจะต้องจ่ายเงินค่าซ่อมเองก่อน 5,000 บาท ประกันถึงจะจ่ายส่วนที่เหลือ     การกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกในลักษณะนี้ ก็สามารถเอามาเป็นส่วนลดเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายได้เช่นกัน            อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงของบริษัทประกันภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ไม่มีประโยชน์ที่จะทำประกันภัยรถยนต์ราคาถูก ๆ กับบริษัทที่ไม่มั่นคงแต่พอถึงเวลาแล้วเคลมไม่ได้ อู่ซ่อมไม่มีมาตรฐาน พนักงานบริการแย่ เพราะมันจะได้ไม่คุ้มเสียนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 177 บัตรเครดิต บัตรเดบิต ความเหมือนที่แตกต่าง

ในบรรดาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราคุ้นเคยกัน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้จะต้องมีบัตรเครดิต(Credit) หรือบัตรเดบิต(Debit) พกติดกระเป๋าสตางค์อยู่อย่างน้อยคนละหนึ่งใบ     ดูเผิน ๆ บัตรทั้ง 2 แบบนี้ก็หน้าตาคล้ายกัน ใช้รูดซื้อของหรือกดเงินสดได้เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วบัตรเครดิต และบัตรเดบิต เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีพื้นฐานต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าหนี้ – ลูกหนี้    เวลาที่คุณใช้บัตรเครดิตรูดซื้อเสื้อผ้าหรือเติมน้ำมันนั้น หมายความว่าคุณได้ทำสัญญาขอกู้ยืมเงินจากธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตให้ช่วยสำรองจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ ให้ร้านค้าที่ใช้บริการไปก่อน แล้วเมื่อถึงกำหนดเวลาคุณจะเอาเงินไปจ่ายคืนในทางกฎหมายคุณจึงมีฐานะเป็น “ลูกหนี้” ดังนั้น แม้ว่าจะไม่มีเงินฝากกับธนาคารเจ้าของบัตร แต่คุณก็สามารถใช้บัตรเครดิตซื้อของได้ในวงเงินที่เจ้าหนี้ประเมินแล้วว่าคุณจะสามารถนำเงินมาจ่ายคืนได้     ส่วนการใช้บัตรเดบิตนั้นจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ คุณต้องมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารเจ้าของบัตร เมื่อใช้บัตรเดบิตชำระค่าสินค้านั่นก็คือ คุณกำลังสั่งให้ธนาคารโอนเงินจากบัญชีของคุณไปให้กับร้านค้าที่คุณใช้บริการ ซึ่งถ้าเงินในบัญชีมีน้อยกว่าราคาของที่จะซื้อ คุณก็ไม่สามารถใช้บัตรเดบิตทำรายการนั้นได้ การใช้บัตรเดบิตจึงไม่เป็นการก่อหนี้ เครดิต – ความน่าเชื่อถือ    การสมัครบัตรเดบิตนั้น เพียงคุณมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารคุณก็สามารถใช้บริการได้แล้ว ส่วนการสมัครบัตรเครดิตนั้นจะยุ่งยากกว่า เพราะคุณต้องแสดงหลักฐานว่า คุณมีรายได้เท่าไร หน้าที่การงานมั่นคงหรือไม่ เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหนี้บัตรเครดิตว่า คุณจะสามารถนำเงินมาชำระคืนได้ดังนั้น ใครที่มีบัตรเครดิตใช้ ก็แสดงว่าคุณมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่เจ้าหนี้เขาจะให้กู้เงิน ซึ่งถ้าบริหารหนี้เป็น ก็จะได้รับประโยชน์เช่น โทรทัศน์ราคา 20,000 บาท ใช้บัตรเครดิตผ่อน 0% แบ่งจ่ายได้ 10 เดือน แต่สำหรับบัตรเดบิตคุณไม่สามารถใช้ผ่อนสินค้าแบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ ได้ ต้องถูกหักบัญชีเต็มจำนวนทันที หรือถ้าคุณมีเงินในบัญชีไม่ถึง 20,000 บาท คุณก็ใช้บัตรเดบิตรูดซื้อโทรทัศน์เครื่องนี้ไม่ได้ ความเสี่ยงภัย เมื่อบัตรถูกโจรกรรม    บัตรเดบิตนั้น ผูกติดกับบัญชีเงินฝากของคุณ นั่นหมายความว่า ใครก็ตามที่เอาบัตรเดบิตของคุณไปรูดซื้อสินค้า เงินในบัญชีก็จะถูกตัดไปทันที ซึ่งถ้าอยากได้เงินคืน คุณก็ต้องขวนขวายไปติดต่อธนาคารหาหลักฐานต่าง ๆ มายืนยัน ซึ่งถ้าการเรียกร้องเงินคืนยุ่งยากเท่าไร คุณก็ยิ่งเสียเปรียบเท่านั้น จนบางครั้งอาจจะท้อใจ ไปกับระยะเวลาที่เนิ่นนานและค่าใช้จ่ายในการร้องเรียนที่สูงเกินกว่ามูลค่าเงินที่หายไป     ในขณะที่การใช้บัตรเครดิตนั้น เป็นธุรกรรมที่ธนาคารได้ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนตามที่มีรายการแจ้งมา ดังนั้น เมื่อบัตรถูกขโมยไปใช้ คุณก็มีหน้าที่แค่แจ้งธนาคารว่า ไม่ได้เป็นคนใช้บัตรเครดิตทำรายการนั้น ถ้าธนาคารไม่เชื่อก็ต้องหาทางพิสูจน์เองว่าใครเป็นคนใช้บัตรเครดิต หรือหาทางฟ้องร้องเพื่อเรียกเก็บเงิน ซึ่งเป็นภาระของธนาคาร แม้จะทำให้คุณต้องวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ก็ยังดี เพราะว่าคุณยังไม่ต้องเสียเงินจากกระเป๋า     ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม    บัตรเดบิตนั้นเป็นการใช้เงินจากบัญชีของคุณเอง ดังนั้น จึงไม่มีการคิดดอกเบี้ยจากการรูดซื้อสินค้า ส่วนบัตรเครดิตนั้นเป็นการกู้ยืมเงินทดรองจ่าย จึงต้องเสียดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินตามจำนวนที่คุณใช้ แต่บัตรเดบิตส่วนใหญ่ ก็จะคิดค่าธรรมเนียมอื่นๆ จากผู้ถือบัตร เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินข้ามเขตหรือเบิกถอนเกินจำนวนครั้งที่กำหนด จะหยิบบัตรไหนมาใช้ในครั้งต่อไป ก็เลือกให้ดี คิดให้รอบคอบนะครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point