ฉบับที่ 100 “ย่านแห่งนี้” ที่ชื่อว่า “ปั๊มน้ำมัน”

มีอะไรในโคด สะ นาสมสุข หินวิมาน ...ที่แห่งนี้ ที่ทำให้สองเราเจอกัน ได้ผูกพันพึ่งพา ที่แห่งนี้ ที่เติมเต็มความประทับใจ ทุกเวลา ที่แห่งนี้สำหรับพรุ่งนี้ จะดูดียิ่งกว่า ที่แห่งนี้ก็จะคงอยู่ในใจ ตลอดไป... ถ้าใครสักคนเปิดดูโทรทัศน์ในช่วงเวลานี้ ก็คงจะได้ยินเสียงเพลงโฆษณาที่ให้อารมณ์ความรู้สึกอบอุ่น ขับกล่อมขับขานเข้ามากระทบโสตประสาทของเรา แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ดูโฆษณาโทรทัศน์ช่วงนี้ ก็อาจจะสงสัยขึ้นได้ว่า “ที่แห่งนี้” ที่เราสองคนมาเจอกัน มาผูกพันกัน มาเติมเต็มความประทับใจระหว่างกัน และมาสร้างความอบอุ่นในใจตลอดกาล “ที่แห่งนี้” จะเป็นที่แห่งไหนกันเล่า คำตอบที่โฆษณาให้กับเราก็ชวนประหลาดใจยิ่งนัก เพราะสถานที่อันอบอุ่นใจแห่งนี้ก็คือ ปั๊มน้ำมัน นั่นเอง แล้วปั๊มน้ำมันมาเกี่ยวข้องกับความรู้สึกอบอุ่นติดตรึงใจนี้ได้อย่างไร คำตอบก็อยู่เรื่องราวที่โฆษณาชิ้นนี้ได้ผูกขึ้นมา และเป็นเรื่องราวของพัฒนาการชีวิตตัวละครชายคนหนึ่งที่ผูกพันกับปั๊มน้ำมันตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ โฆษณาเริ่มต้นด้วยเสียงเพลงที่ขึ้นคำร้องว่า “เรื่องแห่งความผูกพันของเรา จากรอยยิ้มเล็กๆ ที่เราให้กัน คอยดูแลหัวใจ และนับตั้งแต่นั้น ผ่านไปทุกวัน ผ่านเดือนและปี...” และตัดต่อมาด้วยภาพรถเก๋งสีขาวรุ่นโบราณคันหนึ่ง แล่นลัดเลาะผ่านถนนคดโค้งมากลางภูเขาและป่าดิบเขียว รถเก๋งแวะมาจอดที่ปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน ขณะที่คุณพ่อคุณแม่กำลังถามทางกับเจ้าของปั๊มอยู่นั้น เด็กน้อย (หรือพระเอกของเรื่อง) ก็เอารถเก๋งเด็กเล่นสีขาวคันจิ๋วมาเล่นแล่นไปแล่นมา พนักงานหนุ่มผู้มีสำนึกแห่งการให้บริการ ส่งรอยยิ้มให้กับเด็กชาย แล้วก็ขยับตัวจากหัวปั๊มฉีด เอาผ้ามาเช็ดรถเก๋งเด็กเล่นคันน้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นความประทับใจที่เด็กน้อยมีต่อปั๊มน้ำมัน “แห่งนี้” ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต กาลเวลาผ่านไป เด็กน้อยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เสียงเพลงก็ยังคงคลอต่อมาว่า “...เรายังเจอกัน เจอกันที่เดิม ได้เติมทุกอย่างจากใจที่ดี ได้มีพลังแข็งแรง เข้มแข็งได้กว่านี้ เพิ่มพูนด้วยวันเวลา...” ปั๊มน้ำมันก็เริ่มเปลี่ยนผ่านจากยุคเบนซินธรรมดามาสู่ยุคเบนซินไร้สารตะกั่ว ขณะเดียวกัน ผู้ชมก็จะได้เห็นภาพของมนุษย์ตะกั่วที่โด่งดังในอดีต และหวนรำลึกถึงของพรีเมี่ยมอย่างหุ่นยนต์ก็อตซิลล่าที่เดินท่อง ๆ กระดุ๊ก ๆ อยู่ และที่สำคัญ ความเป็นไปของปั๊มน้ำมันได้พัฒนาควบคู่มากับชีวิตตัวละครเอก ที่ตกหลุมรักครั้งแรกกับสาวน้อยเจ้าของรอยยิ้มพริ้มเพราที่เดินออกมาจากปั๊มน้ำมัน “แห่งนี้” นี่เอง เมื่อมาถึงปัจจุบัน ในขณะที่เพลงยังคงดำเนินต่อไป จากน้ำมันซูเปอร์ 97 กลายมาเป็นเบนซินไร้สารตะกั่ว จนมาถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 พร้อมๆ กับชีวิตของเด็กหนุ่มก็เติบโตมาเป็นชีวิตครอบครัว ตัวละครเอกกลายเป็นพ่อที่มีภรรยาและลูกน้อย ขับรถยนต์รุ่นใหม่แวะมาที่ปั๊มน้ำมัน เป็นชีวิตครอบครัวที่มาจับจ่ายซื้อของกันที่ปั๊ม มากินอาหารกลางวัน กดเงินเอทีเอ็ม เดินเลือกซื้อหนังสือ แวะเข้าห้องน้ำ แวะจิบกาแฟ เจอะเจอกับผองเพื่อนที่มานั่งใช้โน้ตบุ๊คทำงาน กิจกรรมทุกอย่างในชีวิตปัจจุบันเกิดขึ้นและกำลังเป็นไปภายในปั๊ม “แห่งนี้” จนมาถึงฉากจบ จากกลางวันเป็นกลางคืน ก็ยังมีรถเก๋งคันผ่านคัน แวะเวียนเข้ามาใช้บริการภายในปั๊มน้ำมัน พร้อมๆ กับเสียงเพลงที่จบลงอย่างมีความสุขว่า “…ที่แห่งนี้ เราได้เติมความผูกพัน ตลอดไป” สำหรับคนในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเมื่อครั้งอดีตนั้น หากเราจะบอกพวกเขาว่า “ที่แห่งนี้” ที่ประทับใจที่สุด อบอุ่นที่สุด และสร้างความผูกพันในชีวิตได้ดีที่สุด ก็คือที่ที่เรียกว่า “ปั๊มน้ำมัน” นั้น คนในยุคอดีตก็คงหัวร่องอหายเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพราะสถาปัตยกรรมที่ชื่อว่าปั๊มน้ำมันนั้นช่างอยู่ห่างไกลจากชีวิตของบรรพชนในอดีตเสียเหลือเกิน แต่ก็อย่างที่โฆษณาสร้างภาพเอาไว้นั่นแหละครับ เมื่อรถยนต์กลายมาเป็น “ปัจจัยที่ห้า” แห่งการดำรงชีวิต ควบคู่กับบ้านที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคแล้ว พื้นที่อย่างถนนที่มีปั๊มน้ำมันให้แวะจอดเป็นระยะๆ รายทาง ก็ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็น “ความจำเป็นพื้นฐานใหม่” ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ไป หากเราลองมองย้อนกลับไปในอดีต ย้อนกันไปถึงยุคสังคมเกษตรกรรมโน่นเลย เราก็จะพบว่า ก่อนหน้าที่ถนนจะตัดผ่านเข้าสู่ชุมชนเกษตรนั้น ชาวบ้านชาวนายุคก่อนเขาจะใช้ทางเกวียนและคันนาเล็กๆ เพื่อสัญจรไปมาหาสู่กัน เพราะฉะนั้น พื้นที่สาธารณะที่รวมทุกอย่างในชีวิตของผู้คนเอาไว้ ก็มักจะเกี่ยวพันกับวิถีการผลิตแบบปลูกข้าวทำนา และการเคลื่อนย้ายไปมาหากันภายในชุมชนชาวนาเอง และเนื่องจากในวิถีแบบนี้ ข้าวเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญของมนุษย์ ดังนั้น ลานพิธีกรรมข้าวจึงถูกใช้เป็นพื้นที่สาธารณะในการก่อกำเนิดความผูกพันและความอบอุ่นของชุมชนชาวนาสมัยก่อนไปโดยปริยาย พ่อแม่ลูกจะผูกพันกันในวิถีเกษตรกรรม ชาวนาและเพื่อนบ้านจะช่วยแรงเอาแรงกันในการลงแขกเกี่ยวข้าวดำนา หนุ่มสาวพบรักกันก็ในพื้นที่ลานนวดข้าว คติความเชื่อต่าง ๆ เองก็เกิดขึ้นผ่านลานประเพณีข้าวนั่นเอง และเมื่อสายสัมพันธ์ระหว่างกันกระชับแนบแน่นขึ้น ชุมชนชาวนาโบราณก็จะค่อย ๆ เติบขยายกลายเป็น “ย่าน” หรือเป็น “บาง” ไปในที่สุด แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนต้น เมื่อวัฒนธรรมข้าวเริ่มลดบทบาทลง และเมื่อปัจจัยที่ห้าอย่างรถยนต์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตยุคใหม่ ผู้คนก็จะค่อยๆ ผันตัวเองออกจากลานนวดข้าวและพิธีกรรมการทำนาดั้งเดิม และพวกเขาก็ได้สร้างปั๊มน้ำมันขึ้นมาเป็นพื้นที่พิธีกรรมในชีวิตของคนสมัยใหม่ แทนที่ความเป็น “ย่าน” เป็น “บาง” แบบที่เคยสัมผัสเป็นมาในอดีต “ย่านแห่งนี้” ก็เลยกลายเป็นย่านที่ชื่อว่า “ปั๊มน้ำมัน” ในท้ายที่สุด ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่อยู่และเติบโตมาในสังคมเมืองสมัยใหม่เหมือนกัน เมื่อได้ดูโฆษณาชิ้นนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า รู้สึกชื่นชมและชื่นชอบกับหนึ่งนาทีที่ได้สัมผัสจากโฆษณาชิ้นดังกล่าวไม่มากก็น้อย แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ได้ย้อนกลับมาคิดและเกิดคำถามขึ้นมาว่า เมื่อปั๊มน้ำมันเข้ามาเป็นพื้นที่ทางสังคมแห่งใหม่แทนที่ลานประเพณีข้าวนั้น ปั๊มน้ำมันได้ทำหน้าที่อันใดให้แก่คนยุคนี้บ้าง ซึ่งถ้ามองจากโฆษณาโทรทัศน์ เราก็จะได้รับคำตอบอย่างน้อยสามประการด้วยกัน ดังนี้ ประการแรก โฆษณาฉายภาพให้เห็นว่า ปั๊มน้ำมันดูจะกลายเป็น “ย่าน” เป็น “บาง” หรือเป็น “ชุมชน” แห่งใหม่ ที่ทำหน้าที่ผลิตสายใยความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เพื่อนของมนุษย์ในสังคมท้องถนนก็ไม่ใช่แบบ “เพื่อนบ้าน” เช่นเดิม หากแต่เป็นเพื่อนที่พบพากันได้ตามรายทาง ตั้งแต่เจ้าของปั๊ม พนักงานบริการของปั๊ม พนักงานขายของ พนักงานร้านอาหาร ไปจนถึงเพื่อนร่วมงานที่มาเจอกันที่ปั๊มน้ำมันโดยบังเอิญ ประการถัดมา โฆษณาก็บอกเราต่อไปด้วยว่า เมื่อปั๊มน้ำมันได้กลายมาเป็นย่านที่ผู้คนสัญจรไปมากันบนถนนแล้ว ปั๊มน้ำมันก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ความทรงจำแบบใหม่ขึ้นมา เป็นความทรงจำจากการเคยใช้บริการในปั๊มตั้งแต่ยุคอดีต มีรถเก๋งเด็กเล่น ตุ๊กตาก็อตซิลล่า ไปจนถึงรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ต่าง ๆ เอาไว้ให้ผู้คนได้ถวิลหา และประการสุดท้าย ภายใต้ชุมชนใหม่แบบปั๊มน้ำมัน ชีวิตครอบครัวของคนยุคนี้ก็ได้ก่อร่างสร้างรูปกันขึ้นมาท่ามกลางการให้และรับบริการด้านพลังงาน จนดูเหมือนว่า ไม่มียุคสมัยใดอีกแล้ว ที่ชีวิตครอบครัวจะถูกแยกออกมาจากพื้นที่ของบ้าน และทดแทนด้วยกิจกรรมใหม่ๆ นอกครัวเรือนได้ เท่ากับยุคที่เรากินดื่มและเสพปัจจัยทั้งห้ากันตามท้องถนนแบบนี้อีกแล้ว อย่างไรก็ดี แม้ว่าปั๊มน้ำมันจะกลายเป็นสถาบันใหม่แห่งการดำเนินชีวิต แต่ผมก็มีข้อสังเกตอยู่ว่า สถาบันแห่งนี้ก็เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนกับรถเก๋งที่แล่นเข้ามาสักพัก แล้วก็ขับจากไป แม้ไออุ่นที่ได้จากปั๊มน้ำมันจะดูน่าประทับใจ แต่คำถามก็คือ ปั๊มน้ำมันจะเป็นสถาบันที่หยั่งรากฝังลึกได้แบบเดียวกับที่สถาบันครัวเรือนและบรรดาย่านบางหรือชุมชนต่างๆ เคยเป็นมาได้จริงหรือ ???

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 99 น้ำนมแห่งความทันสมัย

มีอะไรในโคด สะ นาสมสุข หินวิมานคุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ครับว่า ทำไมเด็กๆ จึงต้องดื่มนม และทำไมเด็กบางคนก็ดื่มนมเรื่อยมาจนแม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม คำถามแบบนี้ หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่รู้ว่าผู้เขียนจะนั่งถามไปทำไม เพราะหากเด็กไม่ดื่มนมกันแล้ว จะให้เด็กบริโภคอะไรกัน ที่จะให้คุณค่าสารอาหารที่ครบทั้งสารโปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน และที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนยังต้องดื่มนมต่อมา ก็เป็นเพราะว่าธาตุอาหารที่กล่าวมาข้างต้น ถูกรับรู้ว่าเป็นความจำเป็นต่อร่างกายของเขาและเธอเหล่านั้น คำตอบข้างต้นน่าจะเป็นวิธีคิดที่ได้มาจากปากของบรรดานักโภชนาการส่วนใหญ่ เพราะนักโภชนวิทยาทั้งหลายนั้น มักจะสนใจที่จะเสาะแสวงหาวิถีทางอันใดก็ตาม ที่จะทำให้เยาวชนน้องๆ เจริญด้วยอาหารที่ครบทั้งห้าหมู่ เพราะฉะนั้น การบริโภคน้ำนมก็เป็นอีกหนึ่งวิถีที่จะทำให้เด็กไทยมีสุขภาพอนามัยแข็งแรง   แต่สำหรับนักสังคมศาสตร์แล้ว กับคำถามที่ว่าทำไมเด็กๆ ต้องดื่มนม ก็อาจจะไม่ได้นำไปสู่คำตอบแบบเดียวกับที่นักโภชนาการท่านได้วิสัชนาเอาไว้ คำตอบหนึ่งที่นักสังคมศาสตร์ได้ให้ไว้ก็คือ น้ำนมวัวไม่ได้อิ่มเอมแค่ธาตุสารอาหารเท่านั้น หากแต่การดื่มนมเป็นประจำยังเป็นดัชนีชี้วัดว่า สังคมแห่งการบริโภคน้ำนมได้ก้าวเข้าสู่สังคมแห่งความทันสมัยกันแล้วหรือยัง มีเรื่องราวเรื่องเล่าที่โฆษณานมกล่องยี่ห้อหนึ่งได้ผูกเนื้อหาเอาไว้ เป็นไปตามจิงเกิ้ลหรือเพลงประกอบที่เขียนขึ้นว่า “ดื่มนม ดื่มได้ทุกวัย วัยเด็กดื่มไปจะได้โตกัน วัยรุ่น ดื่มนม ไม่ต้องรอเมื่อไรก็ได้ โตแล้วดื่มนมไม่หยุดวัยนี้ ไม่สะดุด อย่าหยุดดื่มนมวัยนี้ ดื่มเลย ดื่ม(...)ดื่มให้กับชีวิต เริ่ม(...)ได้ตลอดชีวิต” และเพื่อให้สอดรับไปกับเนื้อเพลง โฆษณาก็ได้ผูกเรื่องราวของภาพเอาไว้ โดยเปิดฉากด้วยภาพของเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งกำลังเดินเล่นเตะฟุตบอลอยู่ แล้วก็จับพลัดจับผลูมาเผชิญหน้ากับก๊วนเด็กอ้วนกวนเมือง แต่ก็เข้าใจว่า เด็กน้อยคงจะดื่มนมมา ก็เลยสำแดงพลังไล่ก๊วนเด็กกวนเมืองจนวิ่งหนีกันขวัญกระเจิง จากนั้นก็มาถึงวัยที่เด็กน้อยเข้าโรงเรียน น้ำนมก็ทำให้เขามีกำลังวังชาวิ่งเล่นในสนามได้เร็วยิ่งนัก พอโตขึ้นและมาเป็นนักเรียน รด. น้ำนมก็เสริมพลังให้ปีนรั้วได้อย่างแข็งขัน และพอถึงช่วงวันสอบ เด็กน้อยที่อาจจะถูกคุณครูดุที่เผลอหลับไปบ้าง แต่ก็ยังมีพลังของน้ำนมสร้างเรี่ยวแรงจนทำสอบได้สัมฤทธิ์ผล ภาพตัดจากวัยเด็กสู่วัยทำงาน เมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับโลกแห่งอาชีพและภาระงานที่วางไว้บนโต๊ะกองโต แต่เมื่อชายหนุ่มดื่มนมไปจนหมดกล่อง เขาก็ฮึดมีแรงปั่นงานทั้งกองจนแล้วเสร็จ นำความประหลาดใจมาให้กับเจ้านายที่ตำหนิติเตียนเขามาก่อนหน้านั้น ในที่สุด น้ำนมกล่องก็ได้บันดาลให้เด็กน้อยโตมาเป็นชายหนุ่มวัยทำงาน และกลายมาเป็นผู้บริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ภาพของโฆษณาปิดท้ายด้วยนักบริหารมือทองของเราที่ได้พลังน้ำนมกล่องจนเปี่ยมล้น สามารถตีกอล์ฟลงหลุมแบบโฮลอินวัน และยืนชูมือประกาศชัยชนะอยู่กลางสนามกอล์ฟ เป็นอันปิดบทสรุปเรื่องเล่าเรื่องราวของปาฏิหาริย์ในน้ำนมกล่องได้อย่างน่าประทับใจ ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับมาที่โจทย์คำถามของนักสังคมศาสตร์ที่ว่า ทำไมน้ำนมกล่องจึงเป็นดัชนีชี้วัดการก้าวเข้าสู่สังคมที่ “ทันสมัย” ได้นั้น โฆษณาก็ดูเหมือนจะให้คำอธิบายไว้ว่า สังคมที่ทันสมัยต้องมองทุกอย่างไปข้างหน้า เด็กในวันนี้ก็คือวัยรุ่นในวันหน้า และวัยรุ่นในวันหน้าก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้นในอนาคต และหากเด็กที่ดีจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้นั้น ก็ต้องมาจากการบริโภคโภชนาหารที่ดี ๆ และเพียบพร้อมคุณค่าครบถ้วนนั่นเอง ผมจำได้ว่า ถ้าย้อนกลับไปราวสองหรือสามทศวรรษก่อน จะมีสโลแกนทางโทรทัศน์ข้อความหนึ่ง ที่ฮิตติดปากติดลมบนคนไทยในยุคนั้นเป็นอย่างมากว่า “วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง” ผมเดาเอาว่า น้ำนมที่สังคมคาดหวังให้เด็กๆ บริโภคนั่นแหละ ที่คนยุคดังกล่าวเชื่อว่า น่าจะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างชาติไทยให้ทันสมัยได้ทันเทียมกับนานาอารยประเทศ อันที่จริงนั้น สูตรการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการบริโภคนมเพื่อสร้างความทันสมัยในทำนองนี้ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใหม่เอี่ยมอ่องแต่อย่างใดนัก เพราะแม้แต่ในสังคมอเมริกันที่กล่าวกันว่า เป็นผู้นำแห่งความทันสมัยเหนือกว่าชาติอื่นๆ ทั้งมวล ในยุคสงครามเย็นนั้น อเมริกาก็ยังเคยสร้างตัวการ์ตูนอย่างป๊อปอายที่บริโภคผักขม เพื่อเพิ่มพลังงานเอาไว้ปกป้องผู้ใหญ่ในประเทศโลกที่สามที่ผอมแห้งแรงน้อยอย่างคุณน้องโอลีฟ ออยล์ มาแล้วเลย แต่จุดต่างที่สำคัญก็คือ เด็กๆ ในสังคมอเมริกัน เขามีแนวโน้มที่จะขาดเกลือแร่และวิตามินต่างๆ เป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มชนเผ่าที่ชอบรับประทานมังสาหารมากกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารอื่นๆ เพราะฉะนั้น ป็อปอายจึงต้องเน้นการบริโภคพืชผักอย่างผักขมเพื่อเพิ่มพลัง แต่สำหรับสังคมไทยที่มักจะเดินตามรอยอเมริกันชนที่ทันสมัยนั้น ผักหญ้าปลาปิ้งอาจไม่ใช่ปัญหาการกินของเด็กไทยเท่าใดนัก เพราะประเทศแถบเมืองร้อนมีให้รับประทานกันหลากหลายชนิดอยู่แล้ว คนไทยในยุคสามสิบปีก่อนเลยต้องเน้นเพิ่มเสริมธาตุโปรตีนให้มากขึ้น โดยมี “เนื้อนมไข่” ที่กลายเป็นอาหารหลัก อันแปลว่า “น้ำนมกล่อง” ก็คือวัตถุดิบชนิดหนึ่งของการสร้างชาติให้ทันสมัยไปโดยปริยาย และมาถึงสามสิบปีให้หลัง ความคิดเรื่อง “เนื้อนมไข่” กับการสร้างความทันสมัยของชาติ ก็มิได้จางหายไปแต่อย่างใด ก็แบบที่โฆษณาบอกไว้นั่นแหละครับ จะเป็นวัยเด็กเตะฟุตบอล จะเข้าโรงเรียนไปวิ่งแข่งแบบฟอร์เรสต์ กัมพ์ จะวิ่งข้ามรั้วเป็นนักเรียน รด. หรือจะเรียนจบทำงานและเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง โปรตีนในน้ำนมก็ยังคงเป็น “ความจำเป็น” ที่จะพัฒนาทั้งคนและชาติให้ก้าวหน้าอารยะต่อไปได้ อย่างไรก็ดี ใช่ว่าเส้นกราฟที่มองอนาคตไปข้างหน้า จะไร้ซึ่งอุปสรรคอันใด ถ้าคุณผู้อ่านยังพอจำได้นะครับ กับข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเมื่อประมาณสามสี่เดือนก่อนที่ประโคมกันว่า การบริโภคน้ำนมของเด็กไทยเราได้เผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรณีที่นมโรงเรียนที่มีการส่งเสริมให้เด็กๆ นักเรียนได้ดื่มกันตอนกลางวันเกิดบูดเสียขึ้นมา และมีเด็กจำนวนมากต้องเข้าโรงพยาบาล จนกลายเกิดเป็นวิกฤติการณ์ “นมบูด” กระจายตัวไปทั่วทั้งประเทศ วิกฤตินมบูดแบบนี้ ให้ข้อพิสูจน์กับเราว่า เส้นทางการพัฒนาไปสู่สังคมทันสมัยของไทยนั้น ไม่ได้เป็นกราฟเส้นตรงแบบพุ่งทะยานดิ่งขึ้นฟ้าเสมอไป แต่อาจมีบางจังหวะเหมือนกันที่ความทันสมัยก็ต้องเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤติ นมกล่องนมถุงที่กลายเป็นนมบูด ก็คืออาการของโรคทันสมัยที่เผชิญกับความบูดอยู่เป็นระยะๆ นั่นเอง หากคิดตามปรากฏการณ์เช่นนั้น เราก็จะเห็นได้ว่า โฆษณามีหน้าที่สำคัญเหมือนเป็น “ทนายหน้าหอ” คอยแก้ต่างให้กับจังหวะที่ล้มเหลวหรือ “บูดลง” ของวงจรความทันสมัย อันหมายความว่า ภายใต้วิกฤติของระบบการผลิตแบบกรณีของนมแบบนี้ โฆษณาจะถูกผลิตออกมาเพื่อยืนยันว่า วิกฤตินั้นแก้ไขได้ เด็ก ๆ ทั้งหลายจึงอย่าเพิ่งสิ้นหวังในการดื่มนม แม้นมจะบูดไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นวิกฤติเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว และที่สำคัญ โฆษณาก็บอกด้วยว่า คุณๆ จะหยุดดื่มนมไม่ได้นะครับ ต้องดื่มทั้งวันวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้ เป็นเส้นกราฟที่ยังคงดิ่งตรงไปข้างหน้าเช่นเดิม เรียกได้ว่า โฆษณาได้จัดการ “แปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส” ที่เสนอขายนมกล่องให้กับทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงวัยอื่นๆ พ่วงเข้าไปได้อีกเป็นกระบุงโกย ในยุคที่ความทันสมัยกำลังเริ่ม “ตั้งไข่” ในสังคมไทย โฆษณาโทรทัศน์อาจจะถามคุณๆ ว่า “วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง” แต่มาถึงทุกวันนี้ที่ความทันสมัยได้ฝ่าวิกฤติฝ่าลมฝ่าฝนที่ร้อนและหนาวมาหลายทศวรรษ ดูเหมือนว่า คำถามที่สังคมทันสมัยกำลังถามผ่านโฆษณา คงจะเปลี่ยนไปเป็นว่า “วันวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้ คุณได้ดื่ม คุณกำลังดื่ม และคุณยังยืนยันที่จะดื่มนมแล้วหรือยัง” ??

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 สิ่งที่พี่เบิร์ดอยากเห็นกับสิ่งที่ท้องถิ่นกำลังเป็น

มีอะไรใน โคด-สะ-นาสมสุข หินวิมาน นับจากวิกฤติการณ์การช่วงชิงอำนาจการเมืองของไทยได้ปะทุขึ้นมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วนั้น ผลพวงที่ติดตามมาไม่ใช่แค่ความขัดแย้งของคนไทยที่แตกแยกไปตามสีเสื้อที่สวมใส่ไว้เท่านั้น หากแต่การยุบยวบลงของเศรษฐกิจชาติ ก็เป็นอีกผลลัพธ์หนึ่งที่คนไทยถ้วนทั่วทุกหัวระแหงต่างสัมผัสได้ ดังตัวอย่างรูปธรรมอย่างหนึ่งก็คือ กรณีการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะผูกโยงกับเม็ดเงินรายได้หลักที่มาจากการท่องเที่ยว (ถึงขนาดที่เรามีการตั้งกระทรวงและหน่วยงานขึ้นมาดูแลกิจการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกันโดยตรง) ดังนั้น หากปริมาณนักท่องเที่ยวลดลง ก็เหมือนกับเส้นถดถอยทางเศรษฐกิจก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะฉะนั้น กิจกรรมอย่างหนึ่งของหน่วยงานรัฐที่เห็นได้ชัดในช่วงเศรษฐกิจถดถอยนี้ก็คือ การรณรงค์ท่องเที่ยวไทยกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยผ่านช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสาธารณะอย่างโทรทัศน์ มีแคมเปญประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวไทยชิ้นหนึ่ง ที่ผลิตโดยหน่วยงานของรัฐและออกอากาศต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยใช้เซเล็บบริตี้ชื่อดังอย่าง พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เชิญชวนชาวไทย “เที่ยวเมืองไทย ในบ้านของเราเอง” เพื่อให้เกิดบรรยากาศ “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก” อันเป็นตามเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหมาย และเป็นดั่งสโลแกนหลักในแคมเปญท่องเที่ยวชิ้นนี้ ผมขออนุญาตบอกเล่าท้าวความเรื่องราวของโฆษณาให้คุณผู้อ่านได้เห็นกันสักนิดนะครับ โฆษณาเรื่องนี้เปิดฉากมาด้วยภาพเรือลำหนึ่งที่จอดเงียบๆ โดยมีคลื่นสาดซัดให้กระแทกเข้ากับฝั่ง ตัดมาที่ภาพรีสอร์ตที่ไร้นักท่องเที่ยว และมีเจ้าจ๋อลิงน้อยนั่งหลับคร่อกๆ อยู่บนป้ายยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวดุจญาติมิตร จากนั้นก็มีเสียงพี่เบิร์ดลอยลมตัดพ้อขึ้นมาว่า “เมืองไทยจะเหงาไปไหนเนี่ย...นึกได้แล้ว...” ว่าแล้ว คุณพี่เบิร์ดสุดหล่อก็โบกรถสองแถวเริ่มออกตระเวนไปทั่วเมืองไทย พร้อมตะโกนขึ้นว่า “เที่ยวเมืองไทยชิดในหน่อย เมืองไทยสวยที่สุดแล้ว” ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า แล้วพี่เบิร์ดได้พาผู้ชมท่องเที่ยวจาริกไปในแถบแถวไหนของเมืองไทยบ้าง คำตอบก็มีตั้งแต่การลงใต้เยี่ยมชมผ้าบาติกย้อมสี หรือขึ้นขี่ควายชื่อ “เจ้าเงิน” กับ “เจ้าทอง” ที่พี่เบิร์ดเธอบอกว่า “ขี่แล้วรวยคร้าบ...” หรือเดินตลาดซื้อข้าวโพดฝักละสิบบาท ซึ่งทำให้พี่เบิร์ดดีใจหนักหนาจนตะโกนขึ้นว่า “เหมาหมดสองร้อย” จากตลาดสด พี่เบิร์ดก็มากระโดดโลดเต้นอยู่ริมทะเล ชมหาดสีขาวฟ้าสีครามและพูดขึ้นมาว่า “ทะเล...ฟรี” และจบลงด้วยภาพคุณพี่นักร้องสุดหล่อกับกลุ่มเด็ก ๆ ลูกหลานชาวบ้านที่เดินไต่โขดหินไปมา พร้อมส่งเสียงปิดท้ายว่า “ตอนนี้ เรื่องเที่ยวเรื่องใหญ่ ออกไปเที่ยว ออกไปช่วยชาติ...เที่ยวเมืองไทย ในบ้านของเราเอง” ทุกครั้งที่กราฟเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ขาลง ผมสังเกตว่า รัฐบาลและหน่วยราชการมักจะโหมกระหน่ำเชิญชวนท่องเที่ยวเมืองไทยกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แบบเดียวกับที่โฆษณาปั้นแต่งให้คนไทยได้เที่ยวกันไปในสไตล์ “แบบเบิร์ดเบิร์ด” ผมเองก็ไม่ได้มีทุนความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มากนัก แต่ก็พอเดาได้ว่า การกระตุกอุปสงค์การท่องเที่ยวในประเทศให้เพิ่มขึ้นนั้น คงไม่มากก็น้อยที่จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจชาติข้ามผ่านวิกฤติไปได้บ้าง แต่อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งที่ผมทราบมาก็คือ ในขณะที่การท่องเที่ยวอาจช่วยสมานแผลเศรษฐกิจชาติให้บรรเทาลงได้นั้น การท่องเที่ยวก็อาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เข้าไปกำหนดความเปลี่ยนแปลงให้กับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้เช่นกัน เมื่อราวกว่าทศวรรษก่อน มีคุณลุงนักวิชาการชาวอังกฤษผู้หนึ่งชื่อ จอห์น เออร์รี่ ได้เขียนตำราที่พลิกเหลี่ยมการมองวัฒนธรรมท่องเที่ยวร่วมสมัยในอีกมุมหนึ่ง และได้เสนอทฤษฎีที่น่าสนใจในชื่อของแนวคิดเรื่อง “การจ้องมองของนักท่องเที่ยว” หรือที่ภาษาอังกฤษคุณลุงเออร์รี่เรียกว่า “the tourist gaze” ภายใต้แนวคิดการจ้องมองของนักท่องเที่ยวนี้ คุณลุงเออร์รี่ได้อธิบายว่า นักท่องเที่ยวมิใช่แค่ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในดินแดนต่างๆ แบบไร้เดียงสาแต่อย่างใด หากทว่าทุกครั้งที่การท่องเที่ยวสมัยใหม่แผ่ซ่านไป สัญจรชนคนท่องเที่ยวทั้งหลายก็คือผู้ที่กำลังเผยแผ่วิธีการจ้องมองโลกด้วยโลกทัศน์บางอย่างที่ผิดแผกแตกต่างไปจากสายตาของคนในท้องถิ่น กล่าวง่ายๆ ก็คือ เมื่อนักท่องเที่ยวสมัยใหม่เดินทางเข้าไปยังแดนดินแห่งหนตำบลใด ความปรารถนาในลำดับแรกของพวกเขาก็มักจะอยากเห็นหรือใช้ชีวิต (แบบชั่วครั้งชั่วคราว) กับดินแดนที่แปลก แตกต่างและวิเลิศวิลาศกว่าที่พวกเขาจะสัมผัสได้ในชีวิตประจำวันปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ถนนรนแคมเอย อาคารบ้านเรือนเอย ชาวบ้านร้านตลาด ขุนเขา โตรกธาร หาดทราย สายลม และแสงแดด เหล่านี้จะถูกแปลงให้กลายเป็นความงดงามและความมหัศจรรย์ และเป็นอีกโลกหนึ่งที่ทัวริสต์กลุ่มนี้อยากกู่ก้องร้องว่า “what a wonderful world” นั่นเอง การจ้องมองของนักท่องเที่ยวเช่นนี้ จะว่าไปก็คล้ายๆ กับกรณีของแพ็คเกจทัวร์ทั่วไทยของพี่เบิร์ดธงไชยนั่นแหละครับ ในขณะที่การท่องเที่ยวเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการกู้เศรษฐกิจของชาติอยู่นั้น พี่เบิร์ดของเราก็ได้ผาดสัมผัสไปยังวัตถุ ผู้คน และสิ่งต่าง ๆ ในสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยแววตาวูบวาบตามแรงปรารถนาแบบทัวริสต์ผู้มาจากแดนอื่น ด้วยสายตาและแรงปรารถนาแบบนี้ ผืนผ้าบาติกที่คนในท้องถิ่นเขานุ่งสวมใส่กันในชีวิตประจำวัน ก็ได้กลายเป็นความอัศจรรย์ในมุมมองของนักท่องเที่ยว เจ้าเงินเจ้าทองหรือควายที่ชาวบ้านเขาขี่ทำนา ก็กลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ถ้าขึ้นขี่แล้วต้องอุทานเสียงดังว่า “ขี่แล้วรวยคร้าบ...” และทะเลก็ไม่ใช่แหล่งจับปลาทำมาหากินกันอีกต่อไป แต่ได้ผันเปลี่ยนกลายมาเป็นหาดทรายขาวเอาไว้เพื่อกระโดดโลดเต้นได้แบบ “ฟรี ๆ” นอกจากนี้ ทั้งรอยยิ้มและความร่าเริงของเด็กน้อย ก็มิใช่แค่รอยยิ้มและความเริงร่าเท่านั้น แต่เป็นอากัปกิริยาตามธรรมชาติที่ดำรงอยู่เป็นองค์ประกอบย่อย ๆ ในการสร้างความทรงจำอันมีค่าให้กับนักท่องเที่ยวเก็บกลับไปอย่างประทับใจ และกลายเป็น “ความสุขความทรงจำอันหามีที่สิ้นสุดไม่” อย่างไรก็ตาม คุณน้าเออร์รี่ได้กล่าวเพิ่มเสริมด้วยว่า เนื่องจากการจ้องมองเป็นรูปแบบหนึ่งในกระบวนการใช้ “อำนาจ” ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน โดยมีผู้จ้องเป็นผู้บริหารอำนาจ และผู้ถูกจ้องเป็นผู้ถูกควบคุมให้อยู่ใต้อำนาจ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวผู้จ้องมองกับคนในดินแดนท้องถิ่น จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคระหว่างกันและกัน ด้วยเหตุฉะนี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าทั้งเจ้าเงินเจ้าทอง ผ้าทอย้อมมือ หรือท้องทะเลสีคราม จะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของท้องถิ่นล้วนๆ แต่ทว่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวอย่างพี่เบิร์ดกำลังมองจ้องเพื่อแปลความให้เป็นไปตามที่นักร้องซูเปอร์สตาร์พึงอยากเห็น ตรรกะของคนในท้องถิ่นกับตรรกะของคุณพี่เบิร์ดจึงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกันเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตรรกะของนักท่องเที่ยวสมัยใหม่ในอุตสาหกรรมบริการ ได้ใช้เงินตราของตนเป็นสื่อกลางเพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพของท้องถิ่นด้วยแล้ว ความสวยงามและความมหัศจรรย์ของแหล่งท่องเที่ยว จึงถูกกำหนดค่าขึ้นด้วยอัตราตั้งแต่ “ฟรี” แบบชายหาดสีขาว ไปจนถึงการเหมาข้าวโพดทั้งตลาดด้วยราคาเพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น การกำหนดค่าเป็นงวดเงินดังกล่าว ไม่เพียงแต่เปลี่ยนความหมายในการรับรู้ว่าดินแดนท้องถิ่นให้กลายเป็นดินแดนท่องเที่ยวที่ “ซื้อหา” ได้เท่านั้น หากแต่รูปแบบวัตรปฏิบัติของชาวบ้านร้านตลาด ก็มีอันต้องผันเปลี่ยนเวียนไปตามวัตรปฏิบัติของนักท่องเที่ยวแทน จะว่าไปแล้ว หากการรณรงค์ท่องเที่ยวทั่วไทยจะถูกใช้เป็นกุศโลบายในการกู้วิกฤติเศรษฐกิจชาติได้นั้น ก็คงเป็นที่น่ายินดีปรีดายิ่งนัก แต่หากว่า การท่องเที่ยวที่ถาโถมนั้นกลับเป็นการใช้อำนาจกดทับความเป็นไปของท้องถิ่นแบบที่โฆษณาเผยพรางให้เราได้มองเห็น กับคำถามข้อหลังนี้ คงต้องให้พี่เบิร์ดและมิตรรักนักท่องเที่ยวทั้งหลายช่วยกันขบคิดค้นหาคำตอบกันต่อไป เพราะสิ่งที่คุณ ๆ นักท่องเที่ยวอยากจะจ้องมองเห็น กับสิ่งที่ชุมชนท้องถิ่นเขาเคยเป็นหรือกำลังเป็นนั้น อาจไม่ใช่แค่การประเมินค่าได้ด้วยเมล็ดเงินเพียงอย่างเดียว...

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 97 เขยิ้บ...เขยิ้บ...เขยิบ...เขยิบ...เข้ามาจิบ

มีอะไรใน โคด-สะ-นาสมสุข หินวิมาน “เขยิ้บ...เขยิ้บ...เขยิบ...เขยิบ เข้ามาสิ กระแซะ...กระแซะ...กระแซะ...กระแซะ เข้ามาสิ”แม้ว่านักร้องสาวราชินีลูกทุ่งอย่าง พุ่มพวง ดวงจันทร์ จะชีวิตล่วงลับไปแล้วเกินกว่าทศวรรษ แต่บทเพลงที่เธอเคยขับร้องขับขานเอาไว้ ก็ยังคงเป็น “ดวงจันทร์ในดวงใจ” ของคนไทยหลายๆ คน และมีเสน่ห์ชวนฟังจวบจนถึงปัจจุบัน ในทัศนะของผมแล้ว ความคลาสสิกของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ไม่ใช่แค่ความสามารถทางน้ำเสียง ลีลา และอารมณ์ของราชินีเพลงเท่านั้นที่สามารถสะกดวิญญาณผู้ฟังได้ หากแต่ความงดงามของท่วงทำนองและเนื้อร้องของเพลงจำนวนมาก ที่ผู้ประพันธ์สามารถบรรจงเรียงร้อยถ้อยคำ ก็ยังสื่อถึงอารมณ์ความเป็นลูกทุ่งชนบทได้อย่างลึกซึ้งและมีความหมายยิ่งนัก ก็อย่างในเพลง “กระแซะเข้ามาสิ” ที่ผมยกมาให้ดูข้างต้น ผมจำได้ว่าในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง เพลงนี้ถือว่าดังมากๆ เพราะไม่เพียงแต่ลีลาของคุณพุ่มพวงเท่านั้นที่ทั้งร้องเต้นเล่นแสดงได้อย่างสุดยอด แต่ตัวเนื้อเพลงที่พูดถึงจริตแบบหญิงชนบทที่กล้าผูกสัมพันธ์กับชายหนุ่มผ่านเสียงเพลง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นหญิงที่กล้าเชิญชวนให้ผู้ชายที่เขยิบและกระแซะเข้ามาแนบชิด แม้จริตจกร้านแบบนี้ อาจจะดูไม่เหมาะไม่ต้องสำหรับบรรดาคนชั้นกลางที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ แต่สำหรับคนชนบทแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะว่าแก่นแท้ของเพลงก็คือการผูกข้อต่อสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ที่ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คนวัยไหน สูงต่ำดำขาวอย่างไร หากแต่ถ้าเป็นคนในสังคมเกษตรกรรมแล้ว “สายสัมพันธ์” ระหว่างกันและกัน ถือเป็นกลไกที่หล่อเลี้ยงและหล่อหลอมคุณค่าของสังคมชนบทเอาไว้นั่นเอง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว แม้แต่ในสังคมเมืองอันทันสมัยเองก็เถอะ ใช่ว่าการพยายามต่อสายใยความสัมพันธ์ก็มิได้จางหายไปเสียเลย ผมเองกำลังสงสัยว่า การผูกสายสัมพันธ์ทำนองนี้ก็ยังมีอยู่ในสังคม เพียงแต่ว่าอาจไม่ได้แนบแน่นหรือกระแซะกันจนเข้ามาชิดกันขนาดนั้น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็อาจเป็นเพียงสายสัมพันธ์แบบที่มีจริตบางชนิดบางอย่าง อันแตกต่างไปจากที่สัมผัสได้จากผู้คนในวิถีเกษตรดั้งเดิม ผมเห็นงานโฆษณาโทรทัศน์ชิ้นหนึ่งที่พยายามบอกคนดูเหมือนกันว่า แม้แต่ในเมืองอุตสาหกรรมสมัยใหม่ สายสัมพันธ์ทางสังคมอาจมีความเปราะบางลงไปบ้าง แต่มนุษย์เราก็ยังดิ้นรนที่จะสานสายใยบางๆ บางอย่างเข้าหากันเอาไว้ โฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟชิ้นนี้ เปิดฉากมาด้วยภาพของชายหนุ่มเสื้อลายหน้าตาฝรั่ง เดินก้าวเข้ามาสู่ลิฟต์ที่มีหญิงสาวเสื้อแดงยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในลิฟต์ และเมื่อเขาเริ่มโปรยยิ้มให้เธอ เพลงจิงเกิ้ลโฆษณาก็เริ่มต้นขึ้นว่า “นิดหนึ่ง เพียงแค่เรากระเถิบมานิดหนึ่ง หอมและมีโอกาสที่เธอกับฉันได้ลองเข้ามาชิดกัน อยู่ใกล้กัน นิดหนึ่ง เพียงแค่เธอขยับมานิดหนึ่ง หอมฉันหอมกลิ่นความรัก...รักจากเธอ.....” จากนั้น หญิงชายคู่นี้ต่างก็เดินเข้ามาในออฟฟิศ นั่งที่โต๊ะทำงาน และสัมผัสกับแป้นคอมพิวเตอร์ เริ่มเข้าสู่วังวนแห่งโลกการทำงานแบบโต๊ะใครโต๊ะมัน หญิงสาวทำงานไปได้สักพักก็เริ่มหาวง่วงนอน ฝ่ายชายหนุ่มก็แสร้งสัพยอกหยอกเอิน แกล้งหาวขึ้นบ้าง โดยมีเครื่องบินที่บินอยู่บนฟ้าเป็นแบ็คกราวนด์อยู่นอกหน้าต่าง แถมทำมือล้อเลียนท่ายกหูโทรศัพท์มาคุยกัน และต่อด้วยการชูนิ้วมือเป็นสัญลักษณ์ไอเลิฟยูสื่อถึงเจ้าหล่อน แต่จะหยอกล้ออย่างไร หญิงสาวก็ดูจะยังไม่ยอมกระเถิบหรือขยับเข้ามาหาเลยสักกระผีกหนึ่ง ท้ายสุดชายหนุ่มก็เลยใช้ยุทธศาสตร์ชงกาแฟผงโชยกลิ่นยั่วยวนมาแต่ไกล ด้านหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่ากาแฟเองก็มีสารคาเฟอีนที่เชื่อกันว่าน่าจะคลายง่วงให้ผู้ดื่มได้ แต่อีกด้านหนึ่ง หนุ่มหน้าใสก็คงต้องการใช้กลิ่นกาแฟเพื่อโชยอุ่นไอรัก และพัดพามาถึงสาวเจ้าที่กำลังหาวง่วงอยู่ในช่วงเวลางาน แล้วก็ได้ผล เมื่อสาวหน้ามนก็กลายเป็นปลาที่ต้องเหยื่อติดเบ็ด ตามลมดมกลิ่นกาแฟ กระแซะเขยิบเข้ามาประชิดตัวชายหนุ่ม และมิเพียงเท่านั้น กลิ่นกาแฟก็ยังซัดพาเอาคนอื่นๆ ที่อยู่ในออฟฟิศนั้น ต่างพากันกระเถิบเข้ามากินลมชมชื่นจิบรสกาแฟคนละถ้วยสองถ้วย และปิดท้ายด้วยเสียงเพลงที่จบลงด้วยวลีที่ว่า “...แค่นี้ดหนึ่ง” จะว่าไปแล้ว บทเพลง “นิดหนึ่ง...” ที่อยู่ในโฆษณาชิ้นนี้ ก็ฟังดูคล้ายๆ กับเนื้อหาเพลง “กระแซะเข้ามาสิ” แบบที่คุณพุ่มพวงเธอเคยขับร้องเอาไว้ เพียงแต่ภาพที่โฆษณาสร้างมากำกับเนื้อหาเอาไว้ อาจจะมีความหมายบางอย่างที่ดูแตกต่างออกไป ตามหลักทฤษฎีทางสังคมวิทยา จะมีความคิดความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อยู่ประการหนึ่งว่า คนเรามีความปรารถนาไม่มากก็น้อยที่จะผูกสายสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยกันทั้งสิ้น นักทฤษฎีสังคมวิทยาเกือบจะทุกสำนักมักให้ข้อสรุปร่วมกันว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” คำอธิบายแบบนี้มีนัยยะที่สำคัญว่า มนุษย์เราไม่มีใครที่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ แต่ก่อรูปอยู่ในสถาบันที่เล็กที่สุด ตั้งแต่สถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันสังคมอื่นๆ ที่ใหญ่กว่านั้น หรือมนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน เราจึงต้องอยู่กันเป็นแบบ “สัตว์สังคม” ด้วยเหตุฉะนี้ ทั้งในเนื้อเพลง “กระแซะเข้ามาสิ” และในจิงเกิ้ลของโฆษณา จึงมีจุดร่วมกันที่พูดถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เป็น “สัตว์สังคม” ที่ต้องการผูกสายสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกันและกันนั่นเอง ไม่ว่าจะผ่านมาในรูปของการ “กระแซะเข้ามาสิ” แบบคนลูกทุ่งชนบท หรือการ “กระเถิบเข้ามานิดหนึ่ง” แบบพนักงานออฟฟิศในสังคมเมือง แต่อย่างไรก็ดี ในอีกทางหนึ่ง หากเราอ่านระหว่างบรรทัดของภาพสายสัมพันธ์แบบชนบทกับเมืองแล้ว มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ หากเป็นคนในสังคมชนบทนั้น สายสัมพันธ์ที่หญิงหนึ่งชายหนึ่งจะกระแซะเข้ามาหากัน มักต้องเกิดเนื่องมาแต่ความสัมพันธ์ที่รู้จักมักจี่กันมาก่อนหน้านั้นแล้ว สังคมชนบทที่ก่อรูปมาจากชุมชนหมู่บ้าน เป็นชุมชนที่อยู่กันเป็นคุ้ง เป็นบาง เป็นหมู่ หรือเป็นสายเครือญาติพี่น้อง สังคมแบบนี้ ผู้คนในคุ้งในบางในหมู่บ้าน ก็อาจถือได้ว่ามีสายสัมพันธ์บางเส้นที่ถูกสร้างขึ้นไว้ก่อน เพราะฉะนั้น การจะกระแซะเข้ามาแนบชิดกันนั้น จึงมีเป้าหมายเพื่อกระชับให้เส้นความสัมพันธ์ดั้งเดิมนั้นเข้มแข็งแนบแน่นขึ้นเป็นหลัก ผิดแผกไปจากสังคมเมืองสมัยใหม่ ผู้คนทำงานในออฟฟิศที่แม้จะทันสมัย แต่ทว่าคนเหล่านั้น ต่างก็มีที่มาที่ไประหว่างกัน หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ ขาด “ราก” ที่ร่วมกันระหว่างคนกับคน ก็เหมือนกับในโฆษณานั่นแหละครับ กับวิถีชีวิตในออฟฟิศ ผู้คนที่ขึ้นลงลิฟต์ตัวเดียวกัน ก็อาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ห้องทำงานก็เป็นแบบโต๊ะใครโต๊ะมัน หรืออุปกรณ์แบบคอมพิวเตอร์ก็ตัดคนให้มีความสัมพันธ์กับหน้าจอและแป้นพิมพ์ข้างหน้าตนเท่านั้น เทคโนโลยีเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากสัญลักษณ์อันแสดงความเป็นปัจเจกบุคคลตัวใครตัวมันแทบทั้งสิ้น แต่ด้วยเหตุที่มนุษย์เราต่างต้องอยู่กันเป็น “สัตว์สังคม” ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หนุ่มหน้าหวานจะทั้งส่งสายตาเอย ทำท่ายั่วยิ้มหยอกเอินเอย หรือทำทุกวิถีทางที่จะส่งสัญญาณไปยังสาวหน้ามนว่า ถึงห้องทำงานและอาคารตึกจะดูทันสมัย แต่ก็ร้างเลือนความรู้สึกอบอุ่นดีๆ ให้แก่กัน ถ้าเช่นนั้น ก็มาผูกสานสัมพันธ์ระหว่างกันและกันสัก “นิดหนึ่ง” เถอะ สำหรับคนในสังคมที่ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” แล้ว แนวโน้มความสัมพันธ์ของคนทำงาน มักจะแปลกแยกและถูกตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างกัน คนทำงานในตึกอาคารเดียวกัน บางครั้งก็แทบจะไม่รู้จักกันเลย หรือแม้แต่นั่งโต๊ะทำงานติดกัน แต่ชีวิตกลับผูกพันกับหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่าจะผูกพันกับ “เพื่อน” ที่อยู่ข้าง ๆ เพราะเพื่อนเหล่านั้นก็มีสถานะเป็นแค่เพียงเพื่อนที่ “ร่วมงาน” เท่านั้น เพราะฉะนั้น บทสรุปลงท้ายของโฆษณาชิ้นนี้จึงไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะหากมนุษย์เราไม่เคยมีสายสัมพันธ์กันมาก่อน จะให้คนทำงานมามัวแต่สัพยอกหยอกล้อเพื่อสร้างสายใยระหว่างกันก็คงเป็นไปได้ยาก โฆษณาจึงให้คำตอบว่า ความพยายามของคนยุคนี้ที่จะสลัดหลุดพ้นไปจากความแปลกแยก ก็ต้องอาศัยอาศัย “วัตถุ” บางอย่าง เช่น กาแฟชงกับกลิ่นโชยมา เพื่อกลายมาเป็นข้อต่อข้อใหม่ที่ผูกโยงคนกับคนขึ้นมา วันนี้ ถ้าคุณชงกาแฟจิบดื่มสักแก้ว ก็อย่าลืมถามหาสายสัมพันธ์ที่ขาดหาย กับสายใยเส้นใหม่ที่คุณกำลังสานสร้างกับเพื่อนรอบตัวขึ้นมาด้วยนะครับ...

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 “แม่ต้อย”: จาก “ข้อยกเว้น” สู่ “กฏทั่วไป”

มีอะไรใน โคด-สะ-นา สมสุข หินวิมาน เมื่อช่วงสามถึงสี่เดือนที่ผ่านมา มีคำถามข้อหนึ่งที่เพื่อนหลายคนรอบตัวผมสงสัยยิ่งนัก นั่นก็คือคำถามที่ว่า “แม่ต้อย” มีตัวตนเป็นๆ จริงหรือ? หรือว่าจะมีก็แต่เพียงในโลกของโฆษณาเท่านั้น? เพื่อทบทวนความทรงจำกันสักนิดว่า แล้วแม่ต้อยคนนี้คือใคร ผมจะขออนุญาตสืบสาวท้าวย้อนตำนานชีวิตของแม่ต้อยกันสักนิดนะครับ แม่ต้อยก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณาบริษัทประกันชีวิตยี่ห้อหนึ่ง ตามความในโฆษณานั้น จะมีเสียงผู้บรรยายชายพากย์เอาไว้ว่า ผู้หญิงที่ชื่อต้อย อาศัยอยู่ในสลัม ยากจน สามีทิ้ง แต่กระนั้นเธอก็ยังมีน้ำใจเก็บเด็กสามคนมาเลี้ยง อันได้แก่ คิตตี้เด็กหญิงบ้านแตก แบ็คเด็กชายที่เป็นโปลิโอ และเฮียโตที่เป็นขี้ขโมย แม้เด็กๆ จะมีพื้นเพพื้นฐานต่างกัน แต่เด็กทุกคนก็มีแม่คนเดียวกัน นั่นก็คือ “แม่ต้อย” เสียงพากย์ของผู้ประกาศชายตัดสลับกับภาพของแม่ต้อยที่ผัดผักไฟแดงเลี้ยงน้องๆ สามคนในสลัม ภาพของแม่ต้อยที่ให้กำลังใจน้องแบ็คที่แม้จะเป็นโปลิโอ แต่ก็ยังลุกขึ้นสู้มาเตะฟุตบอล ภาพของแม่ต้อยที่ดีดกีตาร์กล่อมเด็กๆ จนนอนหลับ กับภาพของแม่ต้อยสวมหมวกสีชมพูหวาน จูงมือพาเด็กๆ ไปเที่ยวทะเล และวิ่งรี่เข้าไปโต้คลื่นเพราะเห็นทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิต ภาพของผู้หญิงชนชั้นล่างแบบแม่ต้อยที่ดูแลเด็กๆ เหล่านี้ ถูกเปิดเสียงดนตรีคลอแบบ easy-listening เพื่อสื่อความหมายว่า เป็นชีวิตที่มีความสุขยิ่งในท่ามกลางความยากจน แบบที่เขาว่า “จนเงินอาจไม่ได้แปลว่าจนใจเสมอไป” แต่แล้วในท่ามกลางความสุขแบบจนๆ ก็เหมือนกับโชคชะตาฟ้าดินจะกลั่นแกล้งแม่ต้อย เมื่อโฆษณาผูกเรื่องให้เธอป่วยเป็นโรคมะเร็ง และจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอีกสองปี แต่ผู้บรรยายก็บอกคนดูว่า สำหรับแม่ต้อยแล้ว นั่นคืออีกสองปีที่เธอกลับถือว่าโชคดีจัง เป็นสองปีที่ยังทำอะไรได้อีกมากมาย แล้วโฆษณาก็ตัดสลับมาที่ภาพของแม่ต้อยที่ป่วยเป็นมะเร็งและนั่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล แต่ก็ยังสู่อุตส่าห์ลุกขึ้นมาเล่นกีตาร์สนุกสนานกับเด็กๆ เสียงกีตาร์ของเธอช่วยทำให้ทั้งนางพยาบาล เด็กๆ ไปจนถึงคนไข้โรคมะเร็งคนอื่น ๆ มีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตต่อไป โดยมีเสียงผู้บรรยายชายพูดปิดท้ายว่า “…เธอ(แม่ต้อย)สอนเด็ก ๆ ว่าชีวิตที่มีค่า ไม่ใช่ชีวิตที่ร่ำรวย มีเกียรติ หรืออายุยืน แต่ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่ตัวเราเป็นคนมีคุณค่า และทำให้ชีวิตคนอื่นมีค่า” จากนั้นเสียงเพลงแห่งความสุขก็บรรเลงคลอจนโฆษณาชิ้นนี้จบลง หากจะถามว่า แก่นหรือธีมหลักของโฆษณาบริษัทประกันชีวิตชิ้นนี้คืออะไร คำตอบก็คงเดาได้ไม่ยากว่า เป็นการดึงคุณค่าของมนุษย์กลับคืนมา จากมนุษย์ผู้ที่มักจะเห็นแต่ตัวของตนเอง มาสู่มนุษย์ที่รู้จักทำอะไรให้กับผู้อื่น และทำให้ชีวิตของคนอื่นมีคุณค่าขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์นั่นเอง แต่หากจะถามต่อไปด้วยว่า แล้วชีวิตที่รู้จักทำให้คนอื่นมีคุณค่าเช่นนั้น จะเกี่ยวพันอันใดกับการโฆษณาองค์กรประกันชีวิตกันด้วยเล่า กับความข้อนี้ผมขอเดาเอาว่า ก็เพราะการดำรงอยู่ของธุรกิจประกันชีวิตจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการเน้นขายความรู้สึกที่มนุษย์เราอยากจะทำอะไรให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะทำอะไรเพื่อเด็กๆ ลูกๆ ที่ใกล้ชิดกับชีวิตของเรานั่นเอง ภายใต้สังคมที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงนั้น การจัดการความเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การสร้างหลักประกันความอยู่รอดของทั้งตัวคุณและคนที่อยู่รอบตัวคุณ แต่อย่างไรก็ดี ก็คงคล้ายๆ กับที่ผมเคยเขียนเอาไว้ในนิตยสารฉลาดซื้อเมื่อหลายเล่มก่อนว่า แม้บริษัทประกันจะไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตของผู้ทำประกันได้ (เฉกเช่นเดียวกับแม่ต้อยที่อยู่ดีๆ ก็ต้องกลายเป็นโรคมะเร็งขึ้นมา) แต่บริษัทดังกล่าวก็อาจจะช่วยสร้างหลักประกันความอยู่รอดปลอดภัยของอนุชนลูกหลานผู้ทำประกันได้บ้างเป็นการทดแทน (หรือในกรณีนี้ก็คงเป็นการมอบหลักประกันชีวิตให้กับคิตตี้ แม็ค และเฮียโตนั่นเอง) ทีนี้ หากเราจะลองย้อนกลับไปสู่คำถามแรกที่ว่า แล้วคนอย่างแม่ต้อยที่เสียสละและทำอะไรเพื่อคนอื่นแบบนี้ ยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้จริงหรือ? ผมเองก็ขออนุญาต “ฟันธง” และ “คอนเฟิร์ม” ไปพร้อมๆ กันว่า ก็คงมีคนเช่นนี้อยู่บ้างแหละครับ แต่ที่สำคัญ ถ้าจะถามในเชิงปริมาณต่อไปว่า แล้วที่ว่ามีคนแบบแม่ต้อยอยู่นั้น จะมีกันอยู่ในปริมาณมากน้อยเพียงใด คุณผู้อ่านหลายท่านก็จะมาร่วมตอบกันได้ทันทีว่า ไม่น่าจะมีมากนักในยุคนี้สมัยนี้ ไม่ต้องไปดูอื่นใดให้ไกลนักนะครับ ทุกวันนี้แค่พอเราขึ้นรถโดยสารประจำทางไปไหนต่อไหน เราก็จะเห็นป้ายประกาศเตือนสติในทำนองที่ว่า “โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชรา” ข้อความทำนองนี้เป็นนัยในทางกลับกันว่า ถ้าต้องมาติดประกาศขอความร่วมมือกันแล้ว ก็คงจะแปลความได้ว่า สมัยนี้ความเอื้อเฟื้ออนาทรระหว่างเพื่อนมนุษย์เรา ท่าทางจะหดหายมลายเลือนไปเกือบหมดสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีใครสักคนเก็บเด็กด้อยโอกาสมาเลี้ยงในสลัม หรือใครคนนั้นที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะเกือบ ๆ สุดท้าย แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจมาเกาดีดกีตาร์ประโลมขวัญกำลังใจให้มนุษย์โลก คนๆ นั้นก็คงเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เพียงไม่กี่คน หรือถ้าจะพูดให้จำเพาะเจาะจงก็คือ คงเป็นบางจำนวนคนที่มีสถานะเป็นเพียง “ข้อยกเว้น” ของสังคมเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นก็คือ ถ้าแม่ต้อยเป็นเพียง “ข้อยกเว้น” เช่นนี้แล้ว โฆษณามีกระบวนการเสกสร้างชีวิตของแม่ต้อยออกมาสู่ผู้ชมกันเช่นไร? สำหรับผมนั้น พบว่า แม้แม่ต้อยจะเป็นเพียง “ข้อยกเว้น” แต่โฆษณาก็ทำให้ชีวิตของเธอกลายเป็น “กฎทั่วไป” ของคนในสังคม กล่าวคือแม้เราจะยอมรับความจริงที่ว่า คนอย่างแม่ต้อยช่างเป็นบุคลากรที่หาได้ยากยิ่งในสามโลกของเราก็ตาม แต่ว่าโฆษณาก็พยายามทำให้เรากลับคิดไปว่า ชีวิตแบบแม่ต้อยเป็นชีวิตที่ธรรมดาสามัญชนทั่วไปรู้สึกดีๆ และรู้สึกอยากเป็น และยิ่งเมื่อทาบกับหลักการของนักโฆษณาที่ว่า จะต้องทำให้ผู้ชมได้เห็นชิ้นงานโฆษณาดังกล่าวถี่ๆ บ่อยๆ และต่อเนื่องเรื่อยมา (แม้ในขณะที่ผมกำลังนั่งปั่นต้นฉบับอยู่เช่นนี้) ก็ยิ่งทำให้เราเข้าใจไปด้วยว่า คนแบบแม่ต้อยที่เราเห็นกันถี่ ๆ ซ้ำ ๆ บ่อยๆ ก็กลายเป็นคนแบบที่ปุถุชนธรรมดาทั่วไปเขาน่าจะเป็นกัน (ทั้ง ๆ ที่เราเองก็อาจจะรู้อยู่ลึกๆ ว่า จะเป็นได้แบบนี้ก็ช่างยากยิ่งยากเย็นเสียเหลือเกิน) แล้วเหตุใดโฆษณาจึงต้องทำให้ “ข้อยกเว้น” กลายเป็น “กฎทั่วไป” แบบนี้? คำตอบก็คงเป็นเพราะว่า โลกจินตนาการอย่างโฆษณา มีหน้าที่บางอย่างที่มากไปกว่าแค่การขายสินค้าและบริการ นั่นคือหน้าที่ในการเติมเต็มสิ่งที่แร้นแค้นขาดหายไปแล้วจากโลกความจริง กล่าวกันว่า ปัญหาอันใดก็ตามที่มนุษย์เราไม่สามารถแก้ไขบรรเทาได้ในโลกจริงนั้น โฆษณาจะช่วยสร้างภาพที่ขจัดปัดเป่าปัญหาเหล่านี้ในลักษณะเติมเต็มความรู้สึกดีๆ กลับคืนมา การเติมเต็มดังกล่าวจึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เยียวยาปัญหาความคับข้องใจต่างๆ ในโลกจินตนาการกัน ก่อนที่จะมาเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนั้นอีกครั้งในโลกความเป็นจริง และที่ชวนประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โดยปกติแล้ว คนที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัทประกันชีวิตก็มักจะเป็นคนชั้นกลางที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่า โฆษณากลับเลือกพรีเซ็นเตอร์อย่างแม่ต้อยให้เป็นคนชั้นล่าง ที่วิถีชีวิตของเธอไกลห่างยิ่งจากลีลาชีวิตแบบคนชั้นกลางเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแบบที่ไม่เคยไปเหยียบน้ำทะเลยเลยในชีวิต หรือจะเป็นชีวิตที่ต้องผัดผักไฟแดงเลี้ยงเด็กสลัม แต่ชีวิตแบบคนชั้นล่างเหล่านี้ก็ถูกโฆษณาทำให้กลายเป็น “กฏทั่วไป” ในชีวิตของคนชั้นกลางได้ในที่สุด ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ แม้ผู้ชมทางบ้านอีกเป็นแสนเป็นล้าน จะยังไม่ได้เป็นโรคมะเร็งแบบแม่ต้อยในวันนี้ แต่โฆษณาก็เริ่มต้นบอกเราแล้วว่า หากสักวันหนึ่ง เราเกิดโชคชะตาฟ้าเล่นตลก เป็นโรคร้ายขั้นสุดท้ายเช่นนี้แล้ว ในสองหรือสามปีที่เหลืออยู่ของเรานั้น จะเผชิญหน้ากับสภาวะดังกล่าวอย่างมีคุณค่าและเปี่ยมด้วยความหวังกันเช่นไร ทั้งนี้ก็เพราะว่า ชีวิตแบบ “ข้อยกเว้น” ก็มีสิทธิกลายมาเป็น “กฏทั่วไป” ในชีวิตของคุณหลายๆ คนขึ้นมาได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 186 สันติ โฉมยงค์ “ถ้าเราไม่ทำแล้วจะมีใครไปทำงาน”

สันติ โฉมยงค์ เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ข้าราชการตัวเล็กๆ ที่ทำงานคุ้มครองอย่างเข้มแข็งและเต็มไปด้วยสีสัน ต้องมาสะดุดเมื่อถูกผู้ประกอบการฟ้องหมิ่นประมาท เรื่องราวการทำงานแต่ละช่วงเวลาเป็นตลกร้ายที่พวกเราอาจหัวเราะไม่ออก แต่เมื่อเราถามว่าเขาเริ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาคู่นั้นกลับมีประกายอีกครั้ง สันติดเล่าย้อนกลับไปว่า “เริ่มงานด้านผู้บริโภคตอนมาเป็นเภสัชนี่ละครับ  ผมเห็นปัญหาเรื่องของการบริโภคแล้วก็เห็นปัญหาเรื่องของการใช้ยาของชาวบ้าน  แต่ก่อนก็เป็นภสัชที่โรงพยาบาลชุมชน รพ.บ้านหมอ ตอนนั้น รพ.มีวิกฤติ คือเป็นช่วงที่ รพ.เข้าสู่ระบบ 30 บาทใหม่ๆ (ยุคแรกของโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) งานมันมากมาย พองานมากๆ เข้าแพทย์ก็เริ่มลาออก ทันตแพทย์ เภสัชก็ลาออกกันหมดเลย ผมก็เป็นรุ่นที่ไปแทน ตอนนั้นเป็นข่าวดังมากที่มีบุคลากรทางการแพทย์ลาออกกันหมด ย้ายหนีกันหมด เราก็พยายามทำงานเชิงรุก เพราะเราเจอปัญหามากเนื่องจากวันหนึ่งๆ มีคนไข้ประมาณ 600 คน มีเตียง 30 เตียง คือบางทีมันจ่ายยาคนเดียวไม่ไหว เราก็พยายามออกไปเยี่ยมบ้าน และให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตัวเอง แล้วเราก็รู้ ก็ไปเจอว่ามันมีปัญหา ปัญหาที่ซับซ้อนในการใช้ยาของชาวบ้าน เช่น มีกลุ่มทุนในหมู่บ้านที่ต้มยาขายเอง หรือกลุ่มพระสงฆ์ที่ซื้อยาแผนปัจจุบันไปบดทำยาสมุนไพร ก็เลยคิดว่าการไปทำงานเชิงรับในโรงพยาบาลมันช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนั้นรู้จักพี่ภาณุโชติ(ภก.ภาณุโชติ ทองยัง) แกก็เลยชวนมาทำปัญหาเรื่องยาไม่เหมาะสมในชุมชน  ซึ่งมันก็พอดีกับที่เจอเราก็เลยออกมาทำเรื่องคุ้มครองผู้บริโภค เลยเริ่มที่ รพ.ชุมชนก่อน   แต่ทำงานใน รพ.ชุมชนก็จะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา คือต้องหลังจากที่แพทย์เลิกตรวจแล้ว เวลาหลังบ่ายสองโมงเราถึงจะออกไปทำงานกับชาวบ้านได้ก็ทำอยู่แบบนั้นได้ประมาณสักสามปีก็เลยย้ายไปทำงานที่ฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภคที่อุทัยธานี ตอนนั้นก็ทำเต็มตัวเลยนะ ไปทำหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ เรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร  ผมเจอเคสหนึ่งตกใจมากเลย คือมีเด็กป่วยแล้วทิ้งเจลแปะหน้าผากลงไปในน้ำ พอดีฝนตกน้ำมันก็ไหล ชาวบ้านไปเจอแล้วเข้าใจว่ากินได้ เขาก็ไปจับมาแล้วก็หุงข้าวเตรียมจะกินละ  ตอนนั้นคิดว่าชาวบ้านเขาไม่รู้จริงๆ เรื่องราวเป็นข่าวใหญ่โตมากเลย เราก็ไปดูเห็นว่านี่มันเจลแปะลดไข้ธรรมดา เลยคิดว่าเราต้องทำงานเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น อยู่ที่นั่น(อุทัยธานี) ก็ทำเรื่องแก้ปัญหาหน่อไม้ปี๊บ เรื่องการฉีดยาฆ่าแมลงแตงกวาก่อนการเก็บเกี่ยว เช่นพรุ่งนี้จะเก็บเย็นวันนี้ก็จะฉีด เราก็เข้าไปให้ความรู้ ซึ่งตอนหลังพบว่า เราเข้าไปต่อสู้กับระบบทุนใหญ่ บางพื้นที่เขาทำขนาด 50 ไร่  ใช้เครื่องฉีด ใช้รถพ่น เราก็เลยคิดว่าเรื่องการให้ความรู้เป็นเรื่องสำคัญ พอย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอยุธยา จึงทำเรื่องเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจังหลักๆ มีอะไรบ้างคะมีเครือข่ายโรงเรียน เช่น งาน อย.น้อย ซึ่งเป็นหน้าที่หลักอยู่แล้ว แต่แทนที่เราจะทำกับเด็กอย่างเดียว ผมเข้าไปทำกับชุมชนด้วย แล้วผมก็ไปชวนชาวบ้านมาเป็นเครือข่ายผู้บริโภคด้วย มาให้ช่วยเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่เป็นปัญหาของชุมชน ผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาใหม่ๆ แล้วคนในชุมชนก็ตอบปัญหาไม่ได้ อันแรกจำได้แม่นว่า มีตัวดูดน้ำ อันนี้เด็กๆ และอาจารย์ที่โรงเรียนจะเป็นคนที่แจ้งมา ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ผมไปอยู่โรงเรียนหนึ่งเห็นเข้าตกใจมาก เพราะว่าทุกคนในโรงเรียนเล่นไอ้ตัวนี้อยู่ คุณครูก็จะไม่รู้เพราะว่าเด็กจะซ่อนเอาไว้ใต้โต๊ะในลิ้นชัก ครูไม่รู้ แล้วก็กลัวว่าถ้าบอกออกไปจะเป็นความผิด เราเลยไปหาผู้บริหาร ผู้บริหารก็บอกว่าใครมีเอาออกมานะ ไม่เอาออกมาจะมีความผิดปรากฏว่าทั้งโรงเรียน หรือมีอยู่โรงเรียนหนึ่งคือ เด็กกลัวความผิด เลยเอาไปทิ้งไว้ในชักโครก พอเปิดชักโครกมา โอ้โห มันพองเต็ม กลายเป็นส้วมตันทั้งโรงเรียน เราเลยต้องให้ความรู้ว่ามันอันตรายอย่างไร โดยเฉพาะพวกเด็กเล็กๆ ที่ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังเอามากินยังอม  พอพยายามให้ความรู้กับชาวบ้าน เพราะมีเอาไปเล่นที่บ้านด้วย ตอนหลังก็รู้ว่ามันเป็นสินค้าที่ห้ามจำหน่ายอยู่แล้วเพราะผิดกฎหมาย ตอนนั้น สคบ.ออกประกาศมาแล้ว พอเราแจ้งไป สคบ.ก็มากวาดล้างที่อยุธยา แต่ถ้าถามว่าทุกวันนี้ยังมีไหมก็ยังมีอยู่นะแต่มันก็ลดน้อยลง เหมือนชุมชนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น เวลาผมไปทำงานแบบนี้ผมไม่ได้ไปคนเดียว จะพาชาวบ้านเครือข่ายในชุมชนนั้นไปด้วยให้เขาเห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหา ต่อไปพอเขาเห็นว่าสิ่งใดผิดสังเกตก็จะแจ้งเรา อีกอันที่เราเจอก็คือ เครื่องแช่น้ำน่ะครับ สปาเท้า ที่ต้องเอาเท้าแช่ลงไปแล้วจะมีเครื่องไฟฟ้าอะไรสักอย่างใส่ที่เอวเวลาเปิดกระแสไฟฟ้าจะผ่านตัวน้ำ แล้วน้ำจะเปลี่ยนสี น้ำจะแต่ละสีจะมีการบอกเล่าหรือวินิจฉัยโรคที่ต่างกัน เป็นใบเหมือนเสี่ยงเซียมซี เช่น ถ้าน้ำออกเป็นสีแดงสนิม อันนี้จะเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด ถ้าน้ำออกเป็นสีเขียวเป็นโรคตับเป็นน้ำดี ถ้าเป็นเหลืองๆ โรคน้ำเหลือง ชาวบ้านก็ไปทำสปาเท้ากันเต็มเลย  มีลงพื้นที่แล้วไปเจออยู่วัดหนึ่ง เขาลงทุนซื้อเลยนะครับ วัดก็มีรายได้ คนก็มานั่งแช่กันเป็นชั่วโมง เราก็ไม่ได้นะครับน้ำที่คุณแช่มันไม่สะอาด แล้วมันไม่ใช่ว่าเป็นโรคตับแล้วน้ำมันไหลมาจากเท้า ตอนนั้นถึงขนาดมีปัญหากับวัดเพราะไปทำให้วัดเขาสูญเสียรายได้ แต่ที่หนักสุดของพระนครศรีอยุธยา เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานบริการสุขภาพ(คลินิก) เพราะว่าจังหวัดนี้มีนิคมอุตสาหกรรมมาก ประเด็นแรกๆ ที่เราเข้าไปดู เป็นเรื่องของยาลดความอ้วน ประมาณสักปี 52 หรือ 53 มีเจ้าหน้าที่ภาครัฐท่านหนึ่ง กินยาลดความอ้วนจนเสียสติ กินจนเป็นบ้าเลย ทางสำนักงานต้นสังกัดก็ไม่จ้างต่อ (ทุกวันนี้ก็ยังคล้ายๆ คนสติไม่ดีขายผักอยู่ที่ตลาด) เราเห็นแล้วรู้สึกว่า “ปล่อยให้มีอยู่ได้อย่างไร” เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่าง ผมเริ่มจากการสำรวจก่อนเลยว่ามีแหล่งจำหน่ายกี่แหล่ง แล้วมีช่องทางอะไรบ้าง ไปเจอช่องทางหนึ่ง น่ากลัวมาก คือเจ้าของคลินิกเป็นแพทย์ แพทย์จริงๆ นะครับ เขาใช้วิธีนี้ คือเวลาคนมารักษา เขาจะจ่ายยาให้ ให้คนรักษาเอายาไปขายต่อได้ มันก็เหมือนว่าตัวหมอไม่ผิด เพราะจ่ายยาตามใบสั่ง ถูกไหมฮะ ยาพวกนี้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท คนที่ซื้อไปก็เอาไปขายต่อ เป็นยาชุดเลย เช่นยาชุดละ 250 บาท ก็ไปขายต่อชุดละ 300 ช่วงนั้นระบาดไปทั่วอยุธยาเลย “ยาชุดลดความอ้วน” มีน้องคนหนึ่งที่ใช้ยาตอนชุดนี้ตอนเรียนหนังสือน้ำหนัก 50 กิโลกรัมกว่าๆ เขากินยาพวกนี้ 2 ปีกว่าจะจบ เพราะกลัวว่าตอนรับปริญญาแล้วจะไม่สวย พอจบแล้วตอนนี้เลิกกิน แต่น้ำหนักขึ้นมาถึงประมาณ 120 กิโลกรัม  หรือมีอีกคลินิกหนึ่ง ตอนแรกแสดงตนว่าเป็นแพทย์แล้วมีใบประกอบโรคศิลปะด้วย มีบัตรมีอะไรครบ แต่ผมสังเกตว่าบัตรมันไม่เหมือนบัตรแพทย์ แต่เขาก็มาขออนุญาตที่เรานะ คือผมดูแลงานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหลัก ไม่ได้ดูเรื่องการออกใบอนุญาต แต่ผมมาเห็นว่ามันผิดสังเกต คิดว่าบัตรนี้มันไม่ใช่แน่ แต่เราก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะหมอส่วนใหญ่ต้องบอกว่าเส้นใหญ่ พอดีมีเหตุสาวโรงงานคนหนึ่งกินยาลดน้ำหนักแล้วเสียชีวิต เราเลยได้เข้าไปสืบข่าว ตอนนั้นขอดูหมดเลย ปรากฏว่าเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก คือเขาเคยเป็นนักเรียนแพทย์แล้วเลขที่ติดกันกับเพื่อนซึ่งชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล แต่คนที่มาเปิด(คลินิก)ที่นี่น่ะเรียนไม่จบแพทย์ เลยไปเรียนต่อต่างประเทศพอกลับมาก็มาทำธุรกิจแบบนี้ โดยที่เอาใบประกอบวิชาชีพของเพื่อน เพราะชื่อเดียวกันไง ที่นี้เขาก็ถ่ายเอกสารแล้วเปลี่ยนตรงนามสกุล เราก็เลยบอกนี่มันผิดหมดเลยนะ เราจับสังเกตจากเรื่องยา เนื่องจากใช้ยาไม่มีทะเบียน พอมีคนเสียชีวิตเราก็เลยเข้าไปตรวจสอบเอกสารทั้งหมด เลยถึงบางอ้อว่าบัตรประชาชนก็คนละอย่าง ใบประกอบวิชาชีพตัวจริงก็คนละอย่าง สุดท้ายเราก็แจ้งไปที่ตัวแพทย์จริงๆ ที่อยู่ชลบุรี(ทางเราสอบถามไปที่แพทย์ชื่อนี้ก่อนว่ามีการสั่งซื้อยาเป็นล้านๆ บาทเลย ทางนั้นไม่รู้เรื่อง เราเลยอ๋อแบบนี้ ) จึงให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกัน เรื่องคดีนั้นผมไม่ได้ตามต่อ ส่วนคลินิกก็ถูกปิดไปแล้ว ในส่วนของ สสจ.เราจะเช็คมาตรฐานว่ามีตามเกณฑ์หรือไม่  หากมีการเปิดคลินิก จากนั้นจะมีตรวจประจำปี ปีละครั้งจากนั้นผมก็คิดว่าจะทำอะไรสักอย่างกับยาลดความอ้วนในจังหวัดอยุธยาดี เลยคิดว่าต้องใช้การส่งสายลับไป พวกคลินิกที่มีปัญหาเพิ่งปิดได้หมดเมื่อประมาณสักปีที่แล้ว กว่าจะเข้าไปควบคุมได้มันยาก เพราะยาพวกนี้ต้นทุนต่ำ เขาแค่สั่งของจริงที่มันถูกต้อง 1 กระปุก แต่ที่เหลือก็สั่งจากตลาดมืดมา เวลาเราไปตรวจก็จะนับแค่นี้ 30 เม็ด อ้อ ไม่มีจ่ายเลยนะ แต่ทำไมคนเดินเข้าเดินออกเยอะจังเลย ตั้งแต่วันนั้นมาวันนี้ 10 ปีแล้วผมคิดว่าเราควบคุมได้แล้ว แต่ตอนนี้มาในรูปแบบใหม่ คือไปขายส่งตามอินเทอร์เน็ต เรื่องที่ยังต้องเฝ้าระวัง หลังจากเรื่องยาลดความอ้วน ก็มีเรื่องธุรกิจตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนเสริม ตอนแรกไม่อยากยุ่งเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นธุรกิจของแพทย์ เหมือนจะคุยกันยาก แต่พอเป็นเรื่องฉีดวัคซีนเสริม ผมเริ่มรับไม่ได้ เหมือนกับว่าเขาต้องการระบายวัคซีนที่ใกล้จะหมดอายุ แล้วโรงพยาบาลที่ทำแบบนี้เป็น รพ.เอกชนใหญ่ๆ ที่อยู่ชานเมืองทั้งนั้นเลย วิธีการคือจะสต็อกของไว้ พอ 3 เดือนหมดอายุก็จะไปเดินสายฉีดตามโรงเรียน คิดดูนักเรียนในเกาะเมืองอยุธยาประมาณ 20,000 คน ต้องมารับการฉีดวัคซีนใกล้หมดอายุน่ะ ไข้หวัด สมองอักเสบ ประมาณนี้ เข้าใจว่าเป็นการระบายของเพราะตอนมาเห็นใส่กล่องโฟมมา ซึ่งมันไม่ได้อยู่แล้วน่ะครับ ผมเจอโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีกลุ่มบุคคลนำวัคซีนที่อีก 1 เดือนจะหมดอายุ แล้วใส่กล่องโฟมเปล่าๆ ไม่มีน้ำแข็งอะไรเลยนะ สนนราคาเข็มละ 700 บาท มานำเสนอ เคยเรียกเซลล์มาสอบถาม เขายอมรับว่าเป็นการระบายของ แต่ตัวเขาเองจะทำโดยตรงไม่ได้ก็ต้องไปหาโรงพยาบาลหรือคลินิกมาพักของไว้ก่อน แล้วให้ รพ.เหล่านี้ทำโครงการตรวจสุขภาพกับโรงเรียน ส่วนโรงเรียนทำเรื่องแจ้งกับผู้ปกครองว่า แล้วแต่ความสมัครใจ แต่ถ้าจะฉีดก็เข็มละ 700 บาท แต่ส่วนใหญ่ด้วยความไม่รู้และไว้ใจผู้ปกครองก็จะให้เด็กได้รับการฉีดวัคซีนพวกนี้ เราก็สงสารเด็กที่ต้องมาเจ็บตัวโดยใช่เหตุ ตอนนั้นเราก็ออกประชาสัมพันธ์เลยเพื่อเตือนเรื่องพวกนี้ แต่ก็มีเรื่องที่กระทบกระทั่งกันนะ เพราะบางโรงเรียนเขาได้ส่วนแบ่งหรือเปอร์เซ็นต์ เช่น หัวละร้อย นักเรียนจำนวนสองพันก็กินนิ่มเลย เราต้องใช้วิธีการเข้าไปคุย ทำความเข้าใจ ทำหนังสือแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการไปให้ และเรียกพนักงานขายของบริษัทมาปราม ก็ควบคุมได้ระดับหนึ่ง หลังๆ หนักกว่า พอไม่มีการวัคซีนแล้ว คราวนี้เป็นการตรวจสุขภาพนักเรียนเลย เช่น เด็กมัธยมต้องเสียเงินค่าตรวจสุขภาพปีละ 100 บาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เริ่มมาตอนไหน ผมนำเรื่องนี้ไปเสนอในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเลย เสนอต่อท่านรัฐมนตรีว่า เราควรสร้างเกณฑ์มาตรฐานการตรวจสุขภาพตามช่วงวัยนะ เด็กวัยไหนควรทดสอบอะไร เช่น ทดสอบสมรรถภาพ สำหรับนักศึกษาทดสอบอะไร ต้องตรวจอะไร เช่น โรคร้ายแรง ก่อนเข้างานตรวจอะไร ผู้สูงอายุตรวจอะไร แต่มันเป็นประเด็นที่ “เงียบ” มากเลย เจอปัญหาแบบนนี้เข้ากับตัวเอง เลยถึงบางอ้อว่า “ประชาชนนี่ละเป็นเหยื่อ” เรื่องราวของเภสัชกรสันติ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค ที่บอกเล่าผ่านฉลาดซื้อ ยังคงมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผลจากการทำงานอันเข้มข้นของเขา จนโดยผู้ประกอบการฟ้องหมิ่นประมาท โปรดติดตามในฉบับหน้า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 185 อารี แซ่เลี้ยว 9 ปี ที่ป้ารอคอย

หากวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของ อารี แซ่เลี้ยว ในวันนั้น ใช้เวลามากถึง 9 ปี ในการรอคอยสิ่งที่ยากยิ่งของการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับรัฐ กลับกลายเป็นอีก 1 คดีผู้บริโภคตัวอย่างในวันนี้ ถามว่ามันคุ้มค่าแล้วหรือไม่นับจากบ่ายวันที่ 23 เมษายน 2550 ที่ป้าอารีขึ้นรถเมล์ ขสมก. สาย 4 เพื่อเดินทางจากคลองเตย กลับบ้านพักที่เขตบางกอกใหญ่ เมื่อรถเมล์ขับมาถึงบริเวณแยกสามย่าน คนขับได้เบรกรถกะทันหัน ทำให้อารี หน้ากระแทกราวเหล็กด้านหน้า จนเลือดกบปาก ฟันหักทันที 4 ซี่ หลังเกิดเหตุ คนขับรถเมล์พาป้าอารีส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์ตรวจแล้วต้องถอนฟันที่หักอีก 3 ซี่ ออกด้วย รวมเป็น 7 ซี่ ที่ป้าอารีต้องเสียฟันไปหลังจากวันนั้นเธอก็ไม่เคยได้รับการดูแลหรือเยียวยาใดๆ จาก ขสมก. เลย ป้าอารี ต้องทนกับความทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บแต่เพียงลำพัง จนกระทั่งผ่านไป 2 ปีกว่า  ป้าอารีจึงได้มาขอให้มูลนิธิฯ ช่วยเหลือเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายกับ ขสมก.  แต่เนื่องจากคดีของป้าอารี อายุความคดีละเมิดเกิน 1 ปีแล้ว ทีมทนายความอาสามูลนิธิฯ จึงต้องใช้เวลาหาทางแก้ไขปัญหาคดีขาดอายุความ โดยในระหว่างนั้นก็เชิญ ขสมก. มาเจรจาไกล่เกลี่ยค่าเสียหายให้กับป้าอารี แต่ถึงกระนั้น  ขสมก. ก็ยังไม่ยอมจ่าย อ้างติดระเบียบที่จ่ายไม่ได้และขอให้ไปฟ้องคดีที่ศาลกันก่อน  ขสมก.ถึงจะจ่ายให้ได้ป้าอารี ไม่มีทางเลือก จึงต้องฟ้องคนขับและ ขสมก. เป็นคดีผู้บริโภคต่อศาลแพ่ง แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ตกลงกันไว้ นอกจาก ขสมก. จะไม่ยอมจ่ายแล้ว ยังสู้คดีกับ ป้าอารีที่เป็นผู้ใช้บริการรถเมล์ ขสมก. ถึง  3  ศาล จนสุดท้ายในวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา ขสมก. เหตุค่าเสียหายและอายุความไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ ส่งผลให้คดีนี้สิ้นสุด รวมเป็นเวลากว่า 5 ปี ที่ป้าอารี ฟ้องคดีต่อศาลให้ ขสมก. ชดใช้ค่าเสียหาย หรือรวมเป็นเวลากว่า 9 ปี นับแต่เกิดเหตุจนถึงวันที่คดีสิ้นสุด     ป้าอารี วัย 62 ปี ย้อนเล่าถึงวันเกิดเหตุว่า “วันนั้นป้านัดกันไปเดินดูงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์  จากนั้นเดินทางกลับบ้านด้วยการโดยสารรถเมล์ร้อนสีครีมแดง สาย 4 จากตลาดคลองเตย โดยป้านั่งที่นั่งแบบเดี่ยวถัดไปด้านหลังจากคนขับ 2-3 ที่ เราก็นั่งมาเรื่อยๆ จนถึงสามย่าน เรานั่งเบลอ ง่วง เพราะเพลียจากการเดินในงาน ตอนนั้นประมาณบ่าย 2 ถึงบ่าย 3 ตอนเรานั่งๆ แบบเอียงๆ เอาเข่าหันเฉียงออกมาด้านทางเดิน ตอนนั้นรถก็ขับแบบสบายๆ ไปเรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่าไม่มีอะไร แล้วรถก็เบรคอย่างแรง ขนาดที่ว่าเรากระเด็นจากที่นั่งไปกระแทกบริเวณเหล็กกั้นแถวๆ ที่นั่งคนขับ ฟันหลุดทันทีเลย 4 ซี่” แล้วคนอื่นๆ ในรถล่ะคะคนอื่นๆ อีก 4 คนก็ล้มเหมือนกัน แต่ไม่แรงเท่ากับเรา มี 4 คน รวมเราก็เป็น 5 คน เราบาดเจ็บหนักที่สุด ตอนนั้นก็ถามคนขับว่าเกิดอะไรขึ้น คนขับบอกว่ามีมอเตอร์ไซต์ตัดหน้าเลยต้องเบรคกระทันหัน ตัวป้าเองตอนนั้นเลือดกบปาก คนขับไล่คนในรถให้ลงจากรถ ยกเว้นคนที่บาดเจ็บ แล้วพาไปรักษาที่ รพ.จุฬาฯ เขาพาไปก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่งอยู่เฉยๆ ส่วนเราฟันหลุดไป 4 ซี่ แล้วก็โยกอยู่อีก 3 ซี่ รวมเป็น 7 ซี่ ฟันที่ร่วงไปตกอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้เราก็หาไม่เจอ ถ้าหาเจอก็เอามาแช่น้ำนมตัดต่อได้  แต่ตอนนั้นเราก็คิดไม่ถึง ป้ารออยู่นาน หมอๆ ก็ยังไม่มา มีแต่นางพยาบาลมาซับเลือดให้  จนมารู้ทีหลังว่าที่คนขับกับเรารอ คือรอบริษัทประกันภัยมาทำเรื่อง  สรุปคือเรารอ 3 ชั่วโมง รอจนเกือบ 1 ทุ่ม พอประกันภัยมาถึงก็บอกให้เราไปรักษาเองนะ ออกเงินไปก่อนรักษาให้หายแล้วค่อยมาเบิกเงินทีเดียว พอเค้าเขียนใบเสร็จส่งให้เรา เราไม่รู้เรื่องก็เอาใบเสร็จเก็บกลับบ้าน พอวันรุ่งขึ้นลูกสาวบอกว่าแม่ต้องกลับไปรักษาที่ รพ.แล้วต้องเอาใบรับรองแพทย์มาด้วย ก็เลยไปด้วยกัน ไปเอาใบรับรองแพทย์กับไปแจ้งความที่โรงพัก พอไปถึงที่ รพ.เจอหมอคนเมื่อวาน  เลยถามหมอว่าฟันที่โยกอยู่อีก 3 ซี่ให้ถอนออกเลยได้ไหม มันเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว แต่หมอไม่ยอมถอนให้เนื่องจากต้องรักษาตามคิว ตอนนั้นคิวก็ยาวมาก คือตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไรหมอก็ไม่ยอมถอนให้ พอออกจาก รพ. ลูกสาวเลยพาไปแจ้งความที่โรงพัก พอแจ้งความเสร็จเราทนเจ็บไม่ไหวแล้ว ลูกสาวจึงพาไปที่ รพ.เอกชน หมอที่ รพ.นี้ถอนฟันให้เรา วันนั้นหมดค่ารักษาไปประมาณ 2,000-3,000 บาท ตอนนี้ฟันล่างของป้าจึงหลอหมดเลย แต่จะทำอะไรต่อไม่ได้นะ ใส่ฟันก็ไม่ได้ เพราะหมอบอกว่าเหงือกเรายังบวมอยู่ ตอนนั้นเจ็บมากดื่มได้แต่นม ทานอาหารไม่ได้เลย เราต้องรอเพื่อจะใส่ฟันปลอมอยู่ประมาณ 7-8 เดือน เพราะต้องให้เหงือกยุบก่อน ซึ่งการไปตรวจแต่ละครั้ง เราต้องเสียเงินเองทุกครั้ง ไม่มีใครมาดูแลเราเลย ก่อนใส่ฟันปลอมเราฟันหลออยู่หลายเดือน เราก็อายเค้า ไม่กล้าไปทำงาน ซึ่งเราทำงานเป็นช่างทำผมอยู่ เรากลุ้มใจมาก เราไม่มั่นใจ ไม่กล้าไปทำงาน แต่โชคดีมีพี่สาวที่คอยช่วยเหลือ ให้เงินเราไปรักษา ส่วนเราก็ไม่ค่อยมีเงินเพราะปกติเรามีรายได้จากการทำงานร้านทำผม แต่พอไม่ได้ทำงานเงินก็หายไปทั้งก้อน เราเป็นลูกน้องเขา  หลังเกิดเหตุ 7-8 เดือนแรก เราไม่ได้ทำงานเลย แต่พอผ่านไปสัก 1 – 2 ปีร้านต้องย้ายไปที่อื่นเนื่องจากหมดสัญญาเช่า เขาก็ต้องให้เราออกจากงาน เพราะเราทำงานให้เขาไม่ได้ ส่วนเรื่องการรักษาที่ รพ.เอกชน ตอนเรายังไม่ได้ใส่ฟันปลอม เราหมดไปสองหมื่นกว่าบาท พี่สาวก็มาบอกว่า บ.สัมพันธ์ประกันภัยที่เป็นคู่กรณีเราจะเจ๊งแล้วนะ ให้เรารีบเอาอันนี้ไปยื่นก่อนเลย ได้กี่หมื่นก็หยวนๆ แล้วค่อยมารักษาต่อทีหลัง พอเรายื่น เรายื่นเอกสารเสร็จเจ้าหน้าที่ก็ให้รอไปเรื่อยๆ โดยเราก็ไม่รู้ว่าอีก 2 อาทิตย์บริษัทจะปิด สรุปก็คือเราไม่ได้เงิน จากนั้นเลยไปติดต่อที่ ขสมก.สาย 4 ซึ่งเป็นอู่จอดรถเมล์สาย 4  เราไปทุกอาทิตย์ไปตามเขาว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะได้เงินค่ารักษาที่เราออกไปก่อน  ทาง ขสมก.ก็ไม่ได้แนะนำเราเลยว่าต้องไปติดต่อที่ไหน อย่างไร เราก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าปกติ ขสมก.มีการเยียวยาค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นแต่ต้องทำเรื่องภายใน 6 เดือน ตอนที่เรามาตามเรื่องที่ ขสมก.คือเข้าเดือนที่ 8  ตอนนั้นในใจป้าคิดว่าคงไม่ได้อะไรแล้วละได้ติดตามเรื่องที่สถานีตำรวจบ้างไหมไปแจ้งความ แต่ทางตำรวจเขาก็ต้องรอประกัน แต่ บ.ประกันมันก็เจ๊งไปแล้วไง เรื่องราวก็เลยยืดเยื้อไปถึงหนึ่งปี เราได้ไปเจอพี่สุคนธา ที่วัดปากน้ำ วันนั้นเราไปไหว้พระ เราเห็นแขนแกเหมือนได้รับบาดเจ็บมาก็เลยถามแก แกบอกว่าเกิดอุบัติเหตุมา จากนั้นก็เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ป้าสุคนธาฟัง พร้อมแนะนำให้ป้ามาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เราก็เลยมาร้องเรียนที่มูลนิธิฯ จนทุกวันนี้ป้าก็ยกย่องมูลนิธิฯ ที่มาช่วยเรา ฟ้องให้ ทำอะไรให้ เราไม่ต้องเสียสตางค์สักบาทเดียว เราภูมิใจ ถึงจะได้หรือไม่ได้สตางค์ก็ภูมิใจ  เพราะเขาช่วยเราเต็มที่ เรามาที่นี่ก็เตรียมเอกสารมา ทั้งใบแจ้งความ ใบรับรองแพทย์ และใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลที่เราสำรองจ่ายไปก่อน มูลนิธิฯ ช่วยเหลือเราโดยการฟ้อง พาไปขึ้นศาลประมาณ 3 ครั้ง จนตอนนี้คดีสิ้นสุดแล้ว ตอนขึ้นศาลป้าก็เจอทาง ขสมก.พวกเขาก็ไม่คิดว่าเราจะเป็นหนักขนาดนี้ ใน 5 คนที่ได้รับบาดเจ็บครั้งนั้นมีป้าคนเดียวที่อาการหนักแล้วก็เป็นคดีความฟ้องร้อง ส่วนคนอื่น ๆ อาการไม่หนักก็หยวนๆ แล้วก็ไม่อยากฟ้องร้องยืดเยื้อเสียเวลาระยะเวลาการรอคอยถึง 9 ปี ป้าเจออะไรบ้าง ต่อสู้มา 9 ปี  เกิดเหตุตั้งแต่ปี 50 เรามาที่มูลนิธิฯ เมื่อปี 52 หรือ 53 เราก็จำไม่ค่อยได้ เพราะว่ามันนานมากแล้ว ขสมก.ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเราเลย แม้ว่าคดีจะสิ้นสุด ศาลฎีกาพิพากษาแล้ว ถึงตอนนี้ ขสมก. ก็ยังไม่ยอมจ่ายเงิน  ทั้งที่ตอนเราไปหา ไปตามเรื่อง หน้าเรายังบวมอยู่ เขาก็เห็น ฟันก็ยังไม่ได้ใส่ หลอๆ อยู่แบบนี้ ป้าก็รู้สึกท้อมากเลย และผิดหวังกับ ขสมก.ที่ทำกับเราจนเจ็บช้ำแบบนี้ แล้วทุกวันนี้เกิดอุบัติเหตุในสังคมมากมาย บางคนได้รับเงินค่าเสียหาย ก็ได้นิดเดียว ไม่คุ้มกับที่เราต้องเจ็บตัว บางคนก็เสียชีวิต การได้เงินแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร อย่างกรณีที่มาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็มีมากมายใช่ไหม แบบนี้มันท้อไหมล่ะ ของเรายังมีพี่สาวกับลูกสาวช่วย อย่างตอนนี้เราก็มีลูกสาวช่วย ตอนนี้เขาทำงานแล้วเราก็สบาย นี่ถ้ายังไม่ทำงานเราก็เสร็จ ช่วงสิบปีที่ผ่านมาหลังจากเกิดเรื่องเราจะส่งเขาเรียนหนังสือยังไม่มีเงินเลย ตอนนั้นได้พี่สาวช่วยส่งออกเงินให้ลูกสาวเราเรียน ตอนนี้ลูกสาวเราทำงานส่งเงินให้เรากินข้าวทุกวันก็โอเคแล้ว คำแนะนำสำหรับผู้บริโภคท่านอื่นๆ ที่อาจจะประสบเหตุแบบป้าจะแนะนำให้มาปรึกษาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะว่าเข้ามาที่นี่จะมีความรู้มากขึ้น เราเข้าไปนี่ไม่รู้สักอย่าง ไม่มีอยู่ในหัวสมองเลย เวลาคนที่เจอเหตุการณ์แบบเราถ้าไม่เจ็บหนักมาก ให้รีบไปแจ้งความที่โรงพักแล้วก็รวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน  เรื่องการแจ้งความสำคัญมาก ต้องแจ้งให้เร็วที่สุด มีอยู่รายหนึ่งที่ป้าเห็นคือ เขาไม่แจ้งความการเรียกร้องค่าเสียหายก็เลยฟาวล์ไปเพราะว่าไม่มีหลักฐาน ถ้าไม่มีใบแจ้งความจะไปที่อื่นหรือทำเรื่องต่อไม่ได้นะ “เราเคยเกิดอุบัติเหตุครั้งที่ 2 เราถูกรถเก๋งชนที่ขา ตอนครั้งก่อนเราไม่ค่อยรู้เรื่อง พอครั้งนี้เราเริ่มรู้แล้ว คนนี้ชนแล้วไม่หนี เขาพาเราไป รพ. ยอมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง ลูกสาวคนโตเราบอกว่าคนนี้เขาดี รับผิดชอบเราทุกอย่างเราไม่ต้องแจ้งความเขา แต่ทางที่ดีเราต้องแจ้งความเพื่อให้เรามีหลักฐานว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา การแจ้งความจะทำให้เรามีหลักฐานให้ บ.ประกันภัยจ่ายเงินเรา คนคนนี้เขาใช้ประกันรถของเขามารักษาเรา” เหตุการณ์ครั้งนี้เราต้องรักษาตัวนานถึง 6 เดือน แล้วพักฟื้นที่บ้านอีกเกือบ 2 ปีถึงจะเดินได้ ตรงนี้แหละ ที่เราสามารถเรียกร้องค่าสินไหมได้ เราคิดถึงตรงนี้ก็เลยไปแจ้งความ ถ้าไม่ได้แจ้งความก็จะไม่ได้ตรงนี้ คือจะบอกว่าแม้คนที่ทำเราจะดีแค่ไหน แต่เราก็ต้องไปแจ้งความ ถึงเล่าให้ฟังว่าครั้งแรกเราไม่รู้เรื่อง พอเกิดเหตุครั้งที่สองเราก็รู้ว่าเราต้องทำอย่างไร เลยได้ค่าสินไหมฯ มาหลายหมื่นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราก็ทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำอย่างไร เราจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร ป้าว่าคนทั่วไปไม่ค่อยรู้หรอกว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้นกับตัวเองจะทำอย่างไร คนจะรู้ก็เมื่อเกิดเหตุกับตัวเอง เลยอยากให้ทุกคนหาความรู้ว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุแล้วเราจะต้องช่วยตัวเองอย่างไร  เรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กันน้อยไป อย่างเราคุยกับเพื่อนๆ เราหลายๆ คนก็บอกว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ตอนเราประสบอุบัติเหตุเพื่อนเราก็แนะนำอะไรไม่ได้เลย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 สาวแม่บ้านเรียกร้องสิทธิ

จากสาวแม่บ้าน สุนี อนุพงศ์วรางกูร ที่เลี้ยงลูกเป็นหลัก ต้องลุกขึ้นมาหาหลักฐาน ตลอดจนข้อมูลในการพิทักษ์สิทธิ์ เรียกร้องค่าเสียหาย จากคนที่อยู่แบบไม่เบียดเบียนใครๆ ต้องมาเป็นนักสู้มือเปล่า ประโยคสวยงามภาษากวี ที่ในความเป็นจริงกว่าจะผ่านความเจ็บปวดมาได้แต่ละด่านบอกได้เลยว่ายาก “สุนี อนุพงศ์วรางกูร” จะมาเล่าอีกมุมของความยากลำบากในการเรียกร้องสิทธิ“เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 เวลาประมาณ 5.30 น. รถโดยสารของอินทราทัวร์ที่คนขับหลับในรถจึงพลิกคว่ำ ทั้งคันรถล้มระเนระนาด คนในรถได้รับบาดเจ็บ แล้วแฟนก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมชาวต่างชาติเป็นผู้หญิงชาวอินเดียอีก 1 คน เป็น 2 คนที่เสียชีวิต จากเหตุการณ์วันนั้นถึงวันนี้ทางบริษัทอินทราทัวร์ก็ยังไม่ได้เยียวยาอะไรเลย จนทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเข้ามาช่วยเหลือและแนะนำว่าเราควรไปที่หน่วยงานไหนบ้างที่จะช่วยเราได้ เราก็ไปทั้ง คปภ. ที่รัชดาและ คปภ. ที่เชียงใหม่แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ เพิ่งได้รับการยืนยันจาก คปภ. เชียงใหม่ว่าตอนนี้เขาได้ส่งหนังสือไปถึง บ.อินทราทัวร์แล้วเพื่อให้ทางบริษัทรับผิดชอบว่าตกลงจะจ่ายหรือไม่จ่าย ส่วนเรื่องคดีตอนนี้ก็ยื่นฟ้องแล้ว ยื่นฟ้องคนขับรถเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ตอนนั้นทำอย่างไรบ้างคือทางมูลนิธิฯ เข้ามาหาผู้บาดเจ็บก่อนหลายๆ คนและได้แนะนำเราจึงติดต่อไปว่าเราต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องอะไรบ้าง จึงปรึกษามาโดยตลอด ก็มีโอกาสได้เข้าร่วมงานเสวนากับมูลนิธิฯ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในงานผ่าทางตันรถโดยสาร กรณีอินทราทัวร์ เรื่องรถลาดเอียงด้วยขั้นตอนตอนที่ทำเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายมีการเก็บเอกสาร หลักฐานอย่างไรบ้าง เพื่อท่านอื่นๆ ที่อ่านจะได้มีข้อมูลตอนนี้เอกสารที่ได้มาคือเอกสารที่ได้จากการบันทึกให้ปากคำของ สภ. อ่างทอง เราจะเก็บไว้ทุกครั้ง ใบมรณะบัตร บัตรประชาชนทุกอย่างของสามีและของครอบครัวเราเพราะเรามีลูก 3 คนและเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสเลยทำให้ยังใช้สิทธิอะไรไม่ได้และยังมีพ่อแม่ของสามี ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องขอให้พ่อแม่เขาเซ็นมอบอำนาจให้เราเป็นคนดำเนินการเพราะแกก็แก่แล้ว ลูกก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงยังทำอะไรไม่ได้เราก็ต้องให้ลูกเขียนมอบอำนาจให้เราทำเรื่องแทน เลยต้องเตรียมเอกสารพวกนี้เก็บไว้ และยังมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการดำเนินคดี พวกเอกสารการประกอบอาชีพของสามี สามีมีอาชีพเลี้ยงปลาต้องทำเอกสารไปขอที่หน่วยงานต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้อง เอกสารเกี่ยวกับลูกค้าก็ต้องมีมายืนยันว่าเรามีอาชีพนี้และ มีรายได้จากอาชีพนี้จริง คนที่มีปัญหาคล้ายๆ กันต้องรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรายได้ทั้งหมดก็มีทำรายรับ-รายจ่ายของปีที่แล้วไว้ และค่าใช้จ่ายตั้งแต่สามีเสียชีวิตจนถึงปัจจุบันเพราะเราไม่มีรายได้ต้องใช้เงินที่เก็บไว้เลยทำเอกสารเตรียมไว้ รายจ่ายที่เกี่ยวกับลูกด้วยเพื่อจะเอามาเป็นข้อมูลในการเรียกร้องค่าเสียหายการเรียกร้องสิทธิมีอุปสรรคอย่างไรบ้างโดยส่วนตัวที่ไปดำเนินการยังไม่มี เพียงแต่บางครั้งเราไปยื่นเอกสารแล้วมันไม่ตรงประเด็นที่เขาต้องการแล้วเขาก็ไม่ได้ให้คำแนะนำเรา อย่างที่มีปัญหาครั้งแรกเลยคือ คปภ. ที่รัชดา เราไปยื่นเรื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม แต่เพิ่งทราบว่าเขาไม่ได้ตามเรื่องให้เราเพราะเราไม่ได้ยื่นกองทุนทดแทน รถก็ไม่มี พ.ร.บ. เขาก็ไม่รับผิดชอบอยู่แล้วเลยไม่ได้ช่วยเหลือตรงส่วนนั้น จึงไปเรียนถามท่าน ผอ.คปภ. ก็ให้คำแนะนำว่าต้องยื่นกองทุนทดแทน คือเราต้องยื่นไปอีกฉบับหนึ่งแต่คนที่รับเรื่องคนแรกนั้น เขาป่วยแล้วหยุดไปหลายเดือนก็เลยทิ้งเรื่องของเราเลย ทางมูลนิธิฯ ก็ให้โทรไปถามว่าเอกสารติดอะไรจึงได้คุยกับทาง ผอ. แล้วก็แนะนำว่าอยู่เชียงใหม่ให้ไปยื่นกองทุนทดแทนที่เชียงใหม่เลย คือปัญหามันเหมือนกับเจ้าหน้าที่เขาก็มีแยกเป็นแขนงๆ ของเขา คนนี้ดูและเรื่องอุบัติเหตุ คนนี้ช่วยเหลือเรื่องผู้พิการ หน้าที่แยกกันเลยพอเราไปไม่ตรงจุดก็ไม่ได้อะไร ถ้าไม่ตามก็ไม่รู้อีกว่าปัญหามันติดอยู่ตรงไหน มันเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของการร้องเรียนกับภาครัฐ ถ้าเราไม่รู้ช่องทางว่าจะต้องไปหน่วยงานไหน ตรงฝ่ายไหนก็ทำให้เสียเวลาเพราะจริงๆ ตอนนั้นไปเยอะมากเลยหน่วยงานที่กรุงเทพฯ เสียค่าใช้จ่ายก็เยอะ เวลาเดินทางก็ต้องนั่งรถแท็กซี่เสียเงินครั้งละ 500 – 600 บาทเพราะบางที่ก็ไกลมาก ตอนแรกจะไปมูลนิธิปวีณาแต่มีคนบอกว่าการเดินเรื่องก็นานเหมือนกันเราก็เลยกลับ พอไป คปภ. ก็ยังไม่ได้เรื่องเพราะจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินช่วยเหลือเลยสักบาทเดียวมีท้อบ้างไหมไม่หรอกเพราะบางคนแย่กว่าเรา น้องคนหนึ่งเป็นเคสในอุบัติเหตุครั้งนี้เขาอยู่บนดอยอมก๋อย เขาไม่มีเงินรักษาตัวเองต้องไปรักษากับหมอผีแล้วจะไปเบิกอะไรกับใครได้ เขาก็โทรมาเล่าให้ฟังซึ่งเขาลำบากกว่าเราเพราะเขาก็เป็นเยอะเหมือนกัน ส่วนกรณีของเรา คือสามีเสียชีวิตไปอย่างน้อยก็ไม่ต้องมาทรมานแบบน้องคนนี้ ของเราก็มีเพื่อนคอยช่วยกระตุ้นให้ตามเรื่องเพื่อให้เป็นกรณีแบบอย่างเผื่อมีใครต้องพบปัญหาแบบเรา ไม่อยากให้ลอยนวลไปเฉยๆ คือเราต้องสู้ ตอนนี้คนอื่นๆ ที่ได้รับอุบัติเหตุในครั้งนั้นเป็นอย่างไรกันบ้างก็มีคุยกันในไลน์บ้างซึ่งทุกคนก็ยังรอความหวังว่าทางขนส่งจะช่วยเหลืออะไรไหม แต่ละคนเขาก็มีภาระหน้าที่การงาน บางคนต้องถูกไล่ออกจากงานเพราะจากอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เขาทำงานไม่ได้ เราเองก็ต้องเดินเรื่องต้องฝากลูกให้ญาติๆ ช่วยดูแล ซึ่งค่าใช้จ่ายนั้นมีเพิ่มทุกวันๆ ก็อยากให้มันผ่านพ้นไปด้วยดี ให้เรื่องจบโดยเร็วแล้วทาง บขส. ช่วยเหลืออะไรบ้างไหมก็ให้เราทำเอกสารใหม่ค่ะ ไอ้ที่ยื่นๆ ไปเขาบอกว่าใช้ไม่ได้ต้องไปยื่นใหม่อีกทีอย่างนี้คิดว่าการคุ้มครองผู้บริโภคของไทยควรจะให้ข้อมูลในการจัดเตรียมเอกสารให้ผู้บริโภคเข้าใจก่อนไปยื่นมากกว่านี้ไหมจริงๆ ในแต่ละหน่วยงานมีความยุ่งยากนะ น่าจะมีแบบฟอร์มให้เรากรอก ให้เราเตรียม ถ้าเรารู้ก็จะได้เตรียมถูก แต่นี่เราไม่รู้ก็เอาเท่าที่เรามี บัตรประชาชน ทะเบียนบ้านพวกนี้มันต้องใช้อยู่แล้วแต่ที่นอกเหนือจากนี้เราไม่รู้เขาต้องแนะนำว่าเราต้องใช้อะไรบ้าง เพราะคงมีหลายคนที่ท้อแท้ไปตอนขั้นตอนยื่นเอกสาร จริงๆ เราเองก็ถอดใจไปแล้วด้วยเพราะมันยุ่งยากมากๆ แล้วคนก็ตายไปแล้วอยากให้จบๆ ไปตั้งนานแล้วแต่ว่าถ้าคิดแบบนี้ก็จะลอยนวลกันอยู่อย่างนี้ ต้องทำให้เป็นกรณีตัวอย่างไปเลยไหนๆ ก็ทำมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เสียเวลามาเยอะแล้วโดนดึงเวลามาทุกหน่วยงานเลย  นอกจากนี้เอกสารที่ต้องเตรียมก็เยอะมาก ทั้งที่ต้องถ่ายเอกสารและภาพถ่ายที่ทางเราต้องถ่ายเป็นภาพสี ซึ่งในการจัดเตรียมเอกสารครั้งนี้ก็คิดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายสูงมาก ไหนจะมีค่าโทรศัพท์ที่จะต้องประสานงานให้คำแนะนำผู้ประสบอุบัติเหตุรายอื่นๆ ซึ่งบางคนก็ถามว่า “เรียกร้องได้ด้วยเหรอพี่” เราโทรหาเกือบทุกคนที่อยู่บนรถในวันนั้น เราก็ช่วยเขาเท่าที่เราช่วยได้นอกจากเรื่องนี้ เคยใช้สิทธิกับเรื่องอื่นไหมเคยเจอปัญหาเรื่องการซื้อของ เมื่อพบปัญหาต้องบอกคนขายเลย บางคนคิดว่าคนอื่นซื้อไปก็ได้แบบนี้เหมือนกันก็ปล่อยไป แต่ของมันเสีย ไม่ได้คุณภาพ ต้องบอก ต้องตักเตือนคนผลิต ก็แจ้งทางมูลนิธิฯ เข้าไปช่วยตักเตือนว่าของคุณไม่ได้มาตรฐานปกติเป็นคนที่จะยอมไหมเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้เพราะบางคนจะไม่กล้าพูดถ้าเป็นญาติพี่น้องจะบอกเลย แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะพยายามบอกต่อๆ ไปว่ามันไม่ดีแค่นั้น เพราะก่อนหน้านี้ไม่ค่อยทราบว่ามีการร้องเรียนกันได้ด้วย เพิ่งจะมาทราบตอนหลัง ตอนนี้ทราบแล้วก็จะบอกเลย เราต้องใช้สิทธิของเราให้เป็นประโยชน์ ที่ผ่านมาก็ปล่อย อย่างเวลาซื้อผลไม้เราก็ไว้ใจคนขายคิดว่าเขาจะหยิบของดีๆ ให้แต่พอเขาหยิบของไม่ดีมาให้ เราก็จะไม่ซื้อร้านนั้นอีกแล้วก็จะบอกต่อว่าร้านนี้อย่าไปซื้อนะของเขาไม่ดี เพราะคนขายของเขาต้องมีความซื่อสัตย์กับลูกค้านะ ของที่ไม่ดีต้องเอาออก ไม่ใช่คิดจะเอาแต่กำไรอย่างนี้ไม่ซื่อสัตย์ เราก็จะหมดความไว้ใจคิดว่าบริษัทรถหรือบริษัทขนส่งต่อไปควรจะปรับปรุงเรื่องการให้บริการอย่างไรบ้างคือไม่มีใครอยากสูญเสียหรือบาดเจ็บแต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเขาต้องทำให้มันดี พ.ร.บ. ของคุณ ประกันของคุณต้องพร้อมถ้าไม่พร้อมไม่ต้องออกมาวิ่ง อย่างรถ 2 ชั้นที่กำลังรณรงค์กันอยู่เขาต้องแก้ไขได้แล้ว รถที่ไม่ได้ตรวจสภาพต้องไม่มีมาวิ่งแล้ว ไม่รู้ขนส่งทำอะไรอยู่ ไม่เข้ามาดูแลปล่อยให้รถพวกนี้มาวิ่งได้อย่างไร อยากให้ช่วยดูแลในส่วนนี้หน่อยให้ลูกค้าได้ปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางอย่างสวัสดิภาพ เพราะทุกชีวิตมีค่า ไหนจะคนที่ต้องอยู่ข้างหลังพวกเขาอีกใครจะดูแล มันต้องแก้ที่ต้นเหตุ ตรวจสภาพรถของตัวเองให้ดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 การติชมโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียของผู้บริโภค ไม่ถือเป็นความผิด

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่บริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์เซลส์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถตู้ยี่ห้อโฟตอน จากประเทศจีน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้บริโภคจำนวน 20 ราย ซึ่งเป็นผู้ซื้อรถตู้โฟตอน จำนวน 19 ราย  และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอีก 1 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและแจ้งความเท็จ  หลังผู้บริโภคซื้อรถตู้ดังกล่าวมาใช้แล้วเกิดปัญหา ได้รับความเสียหาย และบริษัทฯ ไม่รับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของรถ จึงนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยกับสาธารณชน  และแจ้งร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) นั้น ที่สุดศาลได้ตัดสินยกฟ้องผู้บริโภคทุกราย เนื่องจากเห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เป็นการติชมโดยสุจริต เพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตน จึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง        กรณีนี้ถือเป็นคดีตัวอย่างอีกหนึ่งคดี ที่จะทำให้ผู้บริโภคท่านอื่นที่กำลังเผชิญปัญหาจาการถูกละเมิดสิทธิ   มีกำลังใจที่จะเดินหน้าในการพิทักษ์สิทธิของตนเองได้ เพราะถ้าเราสามารถยืนยันและให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริงได้อย่างละเอียดชัดเจน ปัญหาก็จะได้รับการแก้ไขได้ในที่สุด  ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงจะพาไปพบกับตัวแทนของผู้บริโภคกลุ่มคดีรถตู้โฟตอน ว่าพวกเขาต้องฝ่าฟันกับเรื่องใดมาบ้างนายบังเอิญ  เม่นน้อย  “สมัยก่อนผู้บริโภคไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวว่าจะถูกฟ้อง  แต่ตอนนี้อยากให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า การออกมาใช้สิทธิคือสิ่งที่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภคมีกระบวนการดูแลไม่เคยทอดทิ้งให้เราต่อสู้เพียงลำพัง”ปลายปี 2551 ผมเห็นโฆษณาประชาสัมพันธ์ของ บริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์เซลล์ จำกัด ว่ามีบริษัท เงินทุนกรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย  เป็นผู้ให้เช่าซื้อ มีบริษัท กมลประกันภัย จำกัด เป็นผู้รับประกันภัยทั้งภาคบังคับ(พ.ร.บ.)และประกันภัยภาคสมัครใจ (ชั้น 1) ที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ตู้ยี่ห้ออื่นก็ราคาไม่สูง จึงตัดสินใจเข้าทำสัญญาเช่าซื้อโดยคาดหวังว่าจะยึดอาชีพพนักงานขับรถตู้โดยสารสาธารณะ เพื่อเป็นรายได้หลักเลี้ยงครอบครัวช่วงแรกได้ให้พ่อตาเป็นคนขับ แต่ก็พบปัญหาหลังจากซื้อมาได้ไม่ถึง 15 วัน คือ ไม่สามารถเหยียบครัช หรือเข้าเกียร์ได้ตามปกติ มีปัญหาของเครื่องยนต์ ต้องเปลี่ยนยกเครื่องใหม่ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน พ่อตาไม่สามารถขับต่อไปได้ ผมจึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาขับเอง แต่ก็เป็นการขับไปซ่อมไป “แทนที่จะมีรายได้เลี้ยงครอบครัวตามที่ตั้งใจไว้ก็กลายเป็นว่า ครอบครัวของเราต้องเป็นหนี้จากการกู้ยืมเงินมาซ่อมรถ ผมและภรรยาจึงตกลงกันว่าเราจะนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องพิทักษ์สิทธิของตัวเองโดยการร้องทุกข์ไปที่หน่วยงานที่ไว้ใจ เชื่อใจได้ เลยตกลงมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และพยายามรวบรวมกลุ่มเพื่อนผู้เสียหายได้ประมาณ 30 คน จนในที่สุดก็เป็นกลุ่มก้อนที่เข้มแข็งมาร่วมกับเรียกร้องความถูกต้องให้ตัวเอง ”นางประทิน  ซื่อเลื่อม“ป้าซื้อรถตู้คันนี้ด้วยเงินสด ที่เก็บหอมรอบริบมาเกือบทั้งชีวิต เพราะหวังว่าจะยึดเป็นอาชีพในบั้นปลาย แต่ที่ไหนได้ซื้อมายังไม่ทันได้สามเดือนรถพัง แถมไม่มีอะไหล่เปลี่ยนให้อีก กัดฟันซ่อมแทบจะวันเว้นวัน สุดท้ายไม่ไหวต้องตัดสินใจขายต่อให้คนอื่น ได้เงินคืนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ”ป้าซื้อรถยนต์ประเภทรถตู้ ยี่ห้อ โฟตอน รุ่น VIP 14 ที่นั่ง ราคาประมาณ 1,365,000 บาท  เริ่มใช้งานรถตู้ประมาณ 1 เดือน จึงเริ่มเกิดปัญหาของคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน และความชำรุดบกพร่องของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมเพรสเซอร์แอร์เสีย  ท่อแอร์รั่ว ไดชาร์ทเสีย คันเร่งค้าง เข้าเกียร์ไม่ได้  ประตูรถเสีย  เลี้ยวแล้วพวงมาลัยมีเสียงดัง    รวมทั้งระบบโครงสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรงสังเกตจากช่วงหน้าฝน มักมีน้ำหยดผ่านหลังคาเข้ามาในรถสร้างความเดือดร้อน รำคาญให้กับผู้โดยสารเป็นประจำ มีความพยายามแก้ไขตามขั้นตอน ทั้งติดต่อไปที่บริษัทเพื่อส่งเข้าศูนย์ซ่อมแต่ก็ไม่มีบริการ มีเพียงแห่งเดียว ช่างชำนาญงานก็ไม่มี อะไหล่ก็ไม่มี ต้องแบกรับภาระค่าซ่อมรายวัน จนในที่สุดต้องตัดสินใจขายในราคาที่ถูกมาก และเข้ามาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะต้องการเรียกค่าเสียหายกับทางบริษัท ที่เหมือนว่าจงใจนำรถที่ไม่ได้คุณภาพมาขาย แต่ท้ายที่สุดก็ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 19“ที่ต้องสู้ต่อเพราะป้าคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด พูดความจริงทุกอย่าง ไม่เคยแจ้งความเท็จกับหน่วยงานไหน ที่สำคัญถ้าป้าไม่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเอง ใครเขาจะมาช่วยป้าได้ ”นางสาวนภัสนันท์  ปิ่นหอมระหว่างการต่อสู้ทางคดีจำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกัน เพื่อทำสัญญากับ กรมคุ้มครองสิทธิกระทรวงยุติธรรม เธอจึงตัดสินใจยอมเป็นผู้ค้ำประกันให้กับจำเลยทั้ง 20 ราย ทั้งที่สามีของเธอคือ คุณบังเอิญ ก็เป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้“ รู้สึกเศร้าใจไม่คิดว่าผู้ประกอบการจะเอาเปรียบผู้บริโภคขนาดนี้  พวกเขาเดือดร้อนกันจริงๆ  ไม่เคยคิดกลั่นแกล้งใคร เงินที่ลงทุนซื้อรถไปก็อยากมีอาชีพ เลี้ยงดูตัวเองได้ สาเหตุที่ตัดสินใจเป็นนายประกันให้จำเลยทั้งยี่สิบคนก็เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และเชื่อมั่นว่าต่อสู้ร่วมกันมาขนาดนี้ อะไรที่ช่วยกันได้ก็อยากจะช่วย เพื่อนย่อมไม่ทอดทิ้งกันแน่นอน ” ---------------------------------------------------------------------------------------------ตลอดระยะเวลาการต่อสู้ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2555 ถึง ปี 2559 นั้น ยอมรับว่าอาจจะมีความเครียดบ้างในส่วนของการดูแลความรู้สึกของผู้บริโภคที่ถูกฟ้องคดี เพราะเราต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ร้องว่า ไม่ใช่เรื่องการตัดสินใจผิดพลาดที่มาใช้สิทธิร้องเรียนแล้วต้องถูกฟ้องร้องทางคดี แต่นี่คือความกล้าหาญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นการแสดงพลังของคนเล็กคนน้อยให้ผู้ประกอบการเห็นว่าเราไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา และพร้อมที่จะเผชิญหน้าในการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองนางสาวสวนีย์  ฉ่ำเฉลียวหลังจากรับเรื่องร้องเรียน ในฐานะเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคก็ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนได้ความว่า ผู้ร้องเดือดร้อนจริงจากการเช่าซื้อรถยนต์ตู้จากบริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์เซลล์ จำกัด มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้พากลุ่มผู้ร้องฯ ไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ขอให้พิจารณาช่วยเหลือผู้บริโภค กรณีได้รับความเสียหายจากการซื้อรถตู้ยี่ห้อ โฟตอน แล้วพบปัญหาชำรุดบกพร่อง และพาไปร่วมออกรายการโทรทัศน์ ช่องเนชั่นทีวีผ่านทาง “รายการระวังภัย 24 ชั่วโมง” ในหัวข้อ ซื้อรถไม่ได้ใช้ แต่ต้องใช้หนี้   นำรถไม่มีคุณภาพเข้ามาจำหน่ายและไม่รับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของรถ สวนีย์  ฉ่ำเฉลียว(จำเลยที่ 20) รับหน้าที่เป็นพิธีกรร่วมในรายการ และได้ทำหน้าที่ให้ข้อมูลสถานการณ์ปัญหาที่ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้อง รวมทั้งซักถามในประเด็นปัญหาต่าง ๆ กับทางผู้ร้องร่วมกับพิธีกรในรายการอีกท่าน การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวถือว่า อยู่ในความรับผิดชอบในฐานะเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ พิธีกรร่วมในรายการ ไม่ได้มีเจตนาสร้างความเสียหายให้กับโจทก์ หรือมีความโกรธแค้นโจทก์เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด เป็นข้อมูลความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น“ตลอดระยะเวลาการต่อสู้ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2555 ถึง ปี 2559 นั้น ยอมรับว่าอาจจะมีความเครียดบ้างในส่วนของการดูแลความรู้สึกของผู้บริโภคที่ถูกฟ้องคดี เพราะเราต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ร้องว่า ไม่ใช่เรื่องการตัดสินใจผิดพลาดที่มาใช้สิทธิร้องเรียนแล้วต้องถูกฟ้องร้องทางคดี แต่นี่คือความกล้าหาญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นการแสดงพลังของคนเล็กคนน้อยให้ผู้ประกอบการเห็นว่าเราไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา และพร้อมที่จะเผชิญหน้าในการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง เพราะเราเชื่อว่า หน่วยงานของเรา คือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเขาแล้ว และภารกิจของมูลนิธิก็คือ รับเรื่องร้องเรียน แก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค อยู่แล้ว การที่ดิฉันในฐานะเจ้าหน้าที่ถูกฟ้องจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ หรือแปลกประหลาด แต่ถือว่าเป็นการย้ำจุดยืนของหน่วยงานว่า เป็นอิสระจริง และทำงานจริงไม่ใช่แค่เสือกระดาษ” ---------------------------------------------------------------------------------------------ในช่วงปลายปี 2551 บริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์เซลล์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนนำเข้ารถตู้ ยี่ห้อ “ โฟตอน ” จากประเทศจีน เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย  โดยโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสมาคมรถตู้โดยสารต่างจังหวัดแห่งประเทศไทย  เพื่อเชิญชวนให้สมาชิกเข้ามาทำสัญญาเช่าซื้อ  โดยมีเอกสารแผ่นพับ  แสดงรูปแบบรายละเอียด พร้อมราคาตัวรถตู้ คันละ 1,365,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนหกหมื่นห้าพันบาทถ้วน)  ซึ่งมีบริษัท เงินทุนกรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นผู้ให้เช่าซื้อ และบริษัท กมลประกันภัย จำกัด เป็นผู้รับประกันภัยเมื่อผู้เช่าซื้อไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อรถตู้คันดังกล่าวได้ เช่น รถหาย รถชำรุดบกพร่อง เป็นต้น  สมาชิกที่เข้าทำสัญญาในคราวเดียวกันนี้มีทั้งสิ้นกว่า 70  ราย หลังจากสมาชิกเข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถตู้โดยสารยี่ห้อดังกล่าวแล้วกลับพบว่า เกิดความชำรุดบกพร่องนับแต่ใช้งาน คือขณะขับรับส่งผู้โดยสารเครื่องยนต์ดับกะทันหัน เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง ระบบความร้อน ระบบแอร์ รวมถึงระบบเครื่องยนต์ มีปัญหาไม่ทำงานบ่อยครั้ง รวมทั้งระบบโครงสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรงสังเกตจากช่วงหน้าฝน มักมีน้ำหยดผ่านหลังคาเข้ามาในรถสร้างความเดือดร้อน รำคาญให้กับผู้โดยสารเป็นประจำ  รวมทั้งปัญหาด้านการบริการซึ่งก่อนเช่าซื้อทางบริษัทฯได้โฆษณาว่า  จะมีศูนย์บริการหรืออู่ให้การบริการซ่อมอยู่ทั่วประเทศ  แต่ในความเป็นจริงกลับมี 1 แห่ง และไม่มีอะไหล่ของบริษัทโฟตอนโดยตรงเป็นอู่ซ่อมรถทั่วไป  ดังนั้นผู้เสียหายแต่ละรายจึงต้องแบกรับภาระค่าซ่อมรถ ค่างวดเช่าซื้อรถ โดยมิได้ใช้ประโยชน์จากตัวรถเต็มที่ บางรายต้องจอดทิ้งไว้ที่อู่เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อม ภายหลังจากพบปัญหาผู้ร้องได้ติดต่อ สอบถามไปยังผู้ให้เช่าซื้อคือ บริษัทเงินทุนกรุงเทพธนาทร จำกัด(มหาชน) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อขอคืนรถยนต์ตู้โดยสารคันดังกล่าวแต่ได้รับการปฏิเสธโดยต่อมาทางผู้ให้เช่าซื้อได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายข้อหาผิดสัญญาเช่าซื้อกับผู้ร้องกว่า 10 ราย มีเพียงบางส่วนได้ทำการคืนรถให้กับทางผู้ให้เช่าซื้อก่อนที่จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้ร้องจำนวน 20 ราย จึงติดต่อมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เพื่อขอคำปรึกษา ร้องเรียน ให้ช่วยแก้ไขปัญหาให้ โดยความเสียหาย แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ค่าเช่าซื้อรถและค่าซ่อมแซม มูลค่ากว่าสามสิบล้านบาท แต่ภายหลังปรากฏว่าทาง บริษัท แพล็ททินัมฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ฐานความผิด ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, แจ้งความเท็จ จำนวนทุนทรัพย์ 5,000,000.-บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) กับจำเลยจำนวน 20 ราย เป็นผู้ร้องเรียน 19 ราย และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 1 ราย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 ชนาธิป ไพรพงษ์ ผู้บริโภคต้องมี ”ภูมิคุ้มกัน”

ถ้าใครเคยฟังรายการภูมิคุ้มกัน รายการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ทางสถานีวิทยุไทยพีบีเอส คงจะคุ้นกับเสียงหวานๆ ของคุณน้ำ ชนาธิป ไพรพงษ์ กันดี วันนี้ฉลาดซื้อจะทำให้รู้จักเธอมากขึ้นจากงานที่เธอทำ เล่าถึงงานที่ทำและประสบการณ์เรื่องการถูกละเมิดสิทธิ   เรียนจบมนุษยศาสตร์  สื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ว่าตอนเรียนก็ทำงานไปด้วย คือทำที่สถานีวิทยุและจัดรายการวิทยุ เริ่มจัดตั้งแต่รายการเพลง รายการเกี่ยวกับบ้าน รายการเศรษฐกิจ พอเข้ามาทำงานที่ไทยพีบีเอส  ต้องมารับผิดชอบเป็นโปรดิวเซอร์ให้หลายรายการ รวมทั้งในส่วนของรายการที่ออกอากาศทางวิทยุไทยพีบีเอส อย่าง รายการภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ปี 2553 ในการผลิตรายการ เราก็ต้องติดตามข่าว  ทำข่าวเองด้วย  หาข้อมูล ติดต่อแขกสัมภาษณ์ ตัดต่อรายการ จัดรายการเอง ทำให้เราได้รู้ข้อมูลอะไรที่มากขึ้น คือทั้งที่แต่ก่อน เราก็เป็นผู้บริโภคคนหนึ่งนะ แต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจว่าถ้าเราซื้อของมาแล้วมันหมดอายุจะทำอย่างไร  ของไม่มีคุณภาพ เราก็แค่ไปซื้อมาใหม่ มารู้ทีหลังว่า  เราสามารถเรียกร้องให้ผู้ผลิตรับผิดชอบได้ คือเราไม่ได้รู้สิทธิของผู้บริโภคอะไรขนาดนั้น แล้วยิ่งพอมาจัดรายการภูมิคุ้มกัน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ทั้งผู้เสียหายกรณีต่างๆ และผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วเราทุกคนควรใส่ใจการบริโภค รู้สิทธิของเรา ไม่ควรปล่อยผ่าน แต่ไม่ใช่ว่าไปเครียดอะไรกับการเลือกบริโภคนะคะ มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยเกิดปัญหากับตัวเอง คือเราไปต่างประเทศ แล้วเปิดใช้บริการโรมมิ่ง แล้วซื้อแพจเกจอินเตอร์เน็ทใน 7 วัน ราคา 1,400 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ กำหนดเวลา 00.00 น.วันที่ 18 ม.ค  ถึงเวลา 23.59 น. วันที่ 24 ม.ค แล้วระบบจะตัดอัตโนมัติ ตอนเปิดใช้บริการคือโทรจากสนามบินก่อนขึ้นเครื่อง แต่เราก็ได้รับการยืนยันโดยทางค่ายมือถือส่ง sms มาว่าเราใช้บริการโรมมิ่งแพจเกจนี้ๆ นะ คือตอนนั้น การไปซื้อซิมมือถือใช้ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศยังไม่ค่อยมี หรือเราไม่รู้ตรงนี้ก็ไม่รู้  แต่ได้ยินโฆษณาเกี่ยวกับการให้บริการเปิดโรมมิ่งดาต้าของค่ายมือถือต่างๆ ในไทยมา ก็เลยเลือกใช้แต่มันเกิดปัญหาคือ พอไปใช้ที่ต่างประเทศคือ ตอนนั้นเราไปญี่ปุ่น แล้วเครือข่ายที่ญี่ปุ่นสัญญาณไม่ครอบคลุม คือบางพื้นที่ที่เราไปเที่ยวก็ไม่มีสัญญาณ อันนี้ยังไม่ค่อยเท่าไรปัญหาที่ทำให้เรารู้ว่าผู้บริโภคควรเรียกร้องสิทธิคือเมื่อกลับมาเมืองไทย  แล้วบิลเรียกเก็บค่าโทรศัพท์มาถึงเราปรากฏว่า มีค่าโรมมิ่งที่เกินจากเวลาที่ตกลงกันในแพจเกจคือกำหนดถึงแค่ 23.59 น. ของวันที่ 24 ม.ค ใช่ไหมคะ แต่ในบิลบอกว่ามีค่าโรมมิ่ง ของ 00.00.26 น.ของวันที่ 25 ม.ค เกินมาเป็นเงินถ้าจำไม่ผิดประมาณ 680 บาท เราก็เลยงงว่า ก็ในเงื่อนไขทางค่ายมือถือบอกจะตัดสัญญาณอัตโนมัติตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น แล้วคุณปล่อยสัญญาณโรมมิ่งหลุดมา แล้วมาเก็บค่าบริการจากเรามันไม่ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้เป็นคนรู้ว่าจะตัดสัญญาณตอนไหน “คือถ้าคุณตัดตามเวลามันก็ไม่เกิดปัญหา เราก็คิดว่าเราจะไม่ยอมจ่าย เพราะความผิดไม่ได้อยู่ที่เราก็เลยโทรไปคอลเซ็นเตอร์ค่ายมือถือชี้แจงให้เจ้าหน้าที่ฟังว่าเงื่อนไขเป็นยังไง ค่ายมือถือก็บอกขอตรวจสอบรายละเอียดก่อนแล้วจะแจ้งเรากลับ เราก็โอเค น้ำก็เลยขอให้เขาส่งรายการและเวลาการใช้โรมมิ่งทั้งหมดมาให้ พอเห็นเวลาว่าโรมมิ่งที่เกิน คือไม่อยู่ในเงื่อนไขเวลาที่ตกลงกันก็เลยท้วงเขาไป พอค่ายบอกว่ากำลังตรวจสอบ เราก็บอกว่า งั้นเรายังจะไม่จ่ายเงินตามใบแจ้งหนี้นะรอผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์ก็ไม่เห็นติดต่อเรากลับสักที เราเลยติดต่อไปที่คอลเซ็นเตอร์ใหม่เจ้าหน้าที่ก็บอกกำลังตรวจสอบอยู่ ผ่านไปอีกเกือบ 2 สัปดาห์ เราก็รอว่าเขาจะติดต่อมาไหม  คือไม่ จนเราต้องติดต่อคอลเซ็นเตอร์ไปเอง สุดท้ายคือ เขาแจ้งว่าจะทำการยกเลิกรายการเก็บเงินค่าโรมมิ่งที่เกินเวลามา ก็คือเราไม่ต้องจ่าย 680 บาท คือเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าเรายอมจ่ายเราก็เสียเงิน 680 บาท  ก็ไม่น้อยนะ กินข้าวได้หลายจานอยู่ แต่ต้องยอมเสียเวลาจัดการไปประมาณเดือนหนึ่ง”     ยังมีอีกเรื่อง คือเรื่องคอนโดที่อาศัยอยู่ปัจจุบัน มีลูกบ้านหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าคอนโด มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม คือจากที่ลิฟท์เคยมีเครื่องสแกนบัตรเข้าออก ขึ้นลิฟท์แบบล็อคชั้น เพี่อความปลอดภัยไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในตึกนั้นขึ้นไปได้เพื่อความเป็นส่วนตัว แล้วก็ยังมีประตูเข้าออกตึกที่บัตรเข้าออกจะใช้ได้เฉพาะตึกนั้นๆ แต่ระยะหลังนี่ไม่ใช่ คือบัตรสามารถใช้ได้ทุกตึก แล้วนิติบุคคลยังไม่แสดงงบคอนโดประจำปีอีกด้วย หรือแสดงงบก็เป็นกระดาษแผ่นเดียว ไม่ชี้แจงรายละเอียด ทั้งที่ลูกบ้านจ่ายค่าส่วนกลางปีละหมื่นกว่าบาท จนนำไปสู่การที่ลูกบ้านรวมกลุ่ม เพื่อขอเปิดประชุมเอง มีวาระคือถอดถอนกรรมการชุดเดิม แต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ เลือกบริษัทนิติบุคคลใหม่ แต่ว่าไม่สำเร็จ เพราะกรรมการชุดเดิมไปแย้งที่สำนักงานที่ดินเขตว่าการประชุมไม่ชอบ เพราะลูกบ้านไม่ส่งหนังสือเชิญประชุมล่วงหน้า 15 วัน ตามข้อบังคับคอนโด “มันก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งของผู้พักคอนโดนะคะ ว่าต้องรู้กฏหมายด้วย แล้วต้องมีที่ปรึกษาเป็นทนาย  ถ้าจะติดต่อทำธุรกรรมเรื่องที่ดิน  ให้ติดต่อโดยตรงที่สำนักงานที่ดินเขตเลย เรื่องนี้ทำให้ต้องตระหนักมากๆ ถึงสิทธิผู้บริโภคว่า  อย่าปล่อยให้การบริหารงานของนิติบุคคลมาเอาเปรียบเรา  เสียเงินค่าส่วนกลางไปแล้ว  ควรได้รับบริการในที่พักอาศัยที่ดี จนถึงตอนนี้เรื่องคอนโดก็ยังไม่จบ เพราะกรรมการชุดเดิมหมดวาระไปแล้ว แต่ยังรักษาการอยู่  แล้วก็กำหนดประชุมสามัญประจำปีเพื่อเลือกกรรมการใหม่ แต่ก็เลื่อนการประชุมอีก ตอนแรกบอก 24 เม.ย เลื่อนเป็น 30 เม.ย ทำป้ายประกาศก็ลงวันที่ผิด และยังไม่ส่งหนังสือเชิญประชุมลูกบ้าน เหมือนจะยื้อเพื่อรักษาการต่อ  แล้วค่อยหาคนของตัวเองมาลงสมัครเป็นกรรมการเพื่อจะได้มีอำนาจในการคัดสรรบริษัทนิติบุคคลเอง เหมือนมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งถ้าเราไม่ติดตาม ก็เหมือนเราซื้อคอนโดห้องหนึ่ง  อยู่อาศัยไปโดยไม่รู้ว่า ค่าส่วนกลางที่เราเสียทุกปี เขาเอาไปใช้อะไรบ้าง เอาไปดูแลสระว่ายน้ำ เหมือนที่โฆษณาไว้ไหม รักษาตึก ประตู ตรวจลิฟท์ประจำปีหรือเปล่าทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยของลูกบ้านก็คือเรานั่นเอง” มีความคิดอย่างไรกับเรื่องสิทธิผู้บริโภคจากประสบการณ์ตรงที่เกิดกับตัวเองเราต้องตระหนักสิทธิผู้บริโภคให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่าอะไรๆ ก็จ้องจับผิดผู้ประกอบการนะคะ เพียงแต่ว่า ไม่ว่าเราจะเลือกซื้อเลือกใช้อะไร เราก็ต้องใส่ใจหารายละเอียดก่อน แม้แต่เรื่องฉลากสินค้า เช่น ล่าสุดไปหาซื้อกะปิ ก็ดูสีว่าสีจัดไหม ถ้าสีจัดไปเราก็ไม่ซื้อเพราะเกรงว่าจะใส่สี แต่ว่าพอดูฉลาก ฉลากก็ตัวหนังสือเล็กมาก ตาก็ไม่ค่อยดี บางทีเราก็รู้ว่า เลือกเท่าที่เลือกได้แล้วกัน คิดว่าการคุ้มครองผู้บริโภคบ้านเรายังขาดอะไรบ้างขาดหลายอย่างเลยค่ะ ผู้บริโภคยังไม่ค่อยตื่นตัว ภาครัฐยังให้ความสำคัญกับผู้บริโภคน้อยมาก เห็นได้จากการแก้ปัญหาที่ล่าช้าและเรื่องกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่ไทยยังไม่มีประสิทธิภาพ มีช่องโหว่อยู่มาก คือเหมือนคนไทยยอมมากเกินไป เมื่อเกิดปัญหาก็คิดว่าช่างมันเถอะ ทั้งที่คนได้รับผลกระทบคือตัวเรา อย่างการรักษาพยาบาลตามสิทธิต่างๆ เช่นสิทธิประกันสังคม บางคนยังไม่รู้ว่าประกันสังคมครอบคลุมการรักษาโรคใดบ้าง ทำฟันได้ปีละกี่ร้อยบาท เพราะไม่เคยไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลเลยซึ่งก็ดีนะ มันหมายถึงคุณมีสุขภาพดีแต่พอไปรักษาทีก็ งง ไปเหมือนกันว่าประกันสังคมเขาให้สิทธิอย่างไร หรือแม้แต่เมื่อลาออกจากงาน ประกันสังคมจะให้อะไรบ้าง ดิฉันเคยเป็นผู้ประกันตนเหมือนกันตอนทำงานกับบริษัทเอกชน ทีนี้ พอลาออก  ไม่ได้ไปใช้สิทธิตัวเองที่ว่าให้ไปแจ้งที่ประกันสังคมภายใน 6 เดือนว่าคุณลาออกจากงาน อยู่ระหว่างการหางานใหม่  ซึ่งประกันสังคมจะให้เงินเป็นรายเดือนระหว่างที่ยังหางานทำไม่ได้ คืออันนี้ดิฉันก็ลืมไม่ไปแจ้งสิทธิ  ก็เลยเสียสิทธิไปเลย ทั้งที่ตัวเองจ่ายเงินประกันสังคมตั้ง 8 ปี หลายๆ คนน่าจะไม่รู้สิทธิตรงนี้ “เรื่องการบริโภคเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เราต้องบริโภคอาหาร ใช้บริการต่างๆ คือไม่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อย ไปจนถึงเรื่องใหญ่ มันเกี่ยวพันกับเราทั้งสิ้น บางทีการหาข้อมูลความรู้ หรือการติดตามข่าวสารไว้  ก็จะเป็นสิ่งที่เมื่อเราเกิดปัญหาจะสามารถแก้ได้ค่ะ เช่น ตอนนี้ในเวปไซต์หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มักจะมีข้อมูลเหล่านี้อยู่  ให้เราเพิ่มความสนใจอีกนิด ส่วนผู้ประกอบการก็ขอให้นึกถึงใจเขาใจเรา  เพราะว่าถึงคุณจะผลิตสินค้าหรือให้บริการอย่างหนึ่ง  แต่คุณก็ต้องไปซื้อสินค้าหรือรับบริการอย่างอื่นอยู่ดี ถ้าคุณผลิตสินค้าดี  ให้บริการดี ก็จะช่วยลดปัญหาได้ จะเห็นว่าผู้ประกอบการถ้ามีคุณภาพจะประกอบการได้นาน ทำกำไรได้โดยไม่ต้องเอาเปรียบผู้บริโภคค่ะ” **รายการภูมิคุ้มกัน ฟังและดาวน์โหลดรายการได้ที่  www.thaipbsonline.net  และ แอพพลิเคชั่น Thaipbsแฟนเพจ www.facebook.com/ThaipbsRadioFan/  และสถานีวิทยุชุมชนที่เชื่อมโยงสัญญาณ  ได้แก่  สถานีวิทยุชุมชน คนหนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี FM 107.5 Mhz, สถานีวิทยุชุมชนปฐมสาคร FM 106.25 Mhz, สถานีวิทยุชุมชนคนเมืองลี้ จ.ลำพูน  103.75 MHz, สถานีวิทยุชุมชนวัดโพธิ์บัลลังก์ จ.ราชบุรี  FM 103.75 MHz.  สถานีวิทยุเทศบาลทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน  FM 106.25  MHz,  สถานีวิทยุชุมชนคนเขาวง  จ.กาฬสินธุ์  FM 89.5  MHz

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี “เอายาปฏิชีวนะออกจากอาหารของเรา ; Antibiotics off the menu”

เพื่อให้รับกับสถานการณ์ปัญหาเรื่อง เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ  ฉลาดซื้อจึงไปสัมภาษณ์ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานฯ ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา(กพย.) อีกครั้ง โดยในวันผู้บริโภคสากล ปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 15 มีนาคม สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) ที่มีองค์กรสมาชิกถึง 240 องค์กรใน 120 ประเทศ ได้กำหนดประเด็นในการรณรงค์ร่วมกันในเรื่อง “การเอายาปฏิชีวนะออกจากอาหารของเรา; Antibiotics off the menu” “คืออยากให้ได้ในมิติที่ผู้บริโภคจริงๆ ว่าประสบปัญหาอะไร แล้วไม่รู้อะไร ตอนนี้เราแยกเป็นสิทธิผู้บริโภคสากล ซึ่งมีทั้งหมด 8 ข้อ เรื่อง Information เป็นเรื่องสำคัญมากในการตัดสินใจ เรื่องที่ 2 ที่เชื่อมร้อยกันก็คือเรื่อง Consumer education การให้การศึกษา และอันที่ 3 ที่เกี่ยวข้องแล้วมาหลุดไปนั้น คืออยากจะโยงถึง เรื่องสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย หน่วยงานรัฐก็จะต้องรับรองให้มีผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยเพียงพอ แต่พอเราได้เข้ามาดูตรงนี้แล้ว พบว่าปัญหายิ่งใหญ่อันหนึ่งของผู้บริโภคไทยก็คือ ข้อมูลพวกนี้มันไม่ถึงมือประชาชนและระบบไปเฝ้าระวังเรื่องนี้ไม่เพียงพอ พอเราบ่นไปก็จะได้รับคำตอบกลับมาว่า “มีกำลังไม่เพียงพอ เงินไม่มีเลยทำได้แค่นี้”  ผู้บริโภคเราจึงไม่มีข้อมูลที่จะทำให้สามารถตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้ ประกอบกับความรู้ผู้บริโภคก็น้อยด้วย ดังนั้นทำให้ดูเหมือนผู้บริโภคไทยเองอ่อนแอและได้รับแต่สิ่งที่มีปัญหา ขอกล่าวถึงคำศัพท์หลายคำศัพท์อยู่ที่เราอาจจะคุ้นเคยกัน 1. ยาปฏิชีวนะ ที่เราคุ้นกันอยู่ แต่มีผู้รู้หลายคนที่บอกว่ายาปฏิชีวนะ 100 % ถ้าเราจำได้ ยาต้านไวรัสก็คือไปทำอะไรกับไวรัส ยาต้านเชื้อราก็คือไปทำอะไรกับเชื้อรา ดังนั้นก็ควรจะเป็น ยาต้านแบคทีเรียว่าไปทำอะไรกับแบคทีเรีย อาจจะตรงกว่าคำว่ายาปฏิชีวนะ ที่เซอร์ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ค้นพบเมื่อไม่นานนี้ ไม่ถึง 100 ปี (เฟลมมิงค้นพบจากเชื้อราเพนนิซิลเลียม (Penicilliam) เขาเลยตั้งชื่อว่า  Antibiotics) แล้วต่อมายาหลายตัวที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียมันไม่ได้สร้างจากเชื้อมีชีวิตแล้ว มันสร้างจากเคมีก็ได้ บางทีเราก็ใช้ศัพท์ ยาต้านแบคทีเรียหรือเท่ากับ  Antibiotic เพื่อให้คนคุ้นเคย 2 คำนี้เอาไว้     ทำไมเราจึงสนใจเรื่อง  Antibiotics เพราะว่าอันที่ 1. โดยรวมเราเรียกมันว่ายาฆ่าเชื้อหรือยาต้านจุลชีพ ยาต้านจุลชีพทั้งหมดนั้นเป็น  Antibiotics(ต้านแบคทีเรีย) อยู่ประมาณ 50 % ดังนั้นจึงมีผลกระทบเยอะและเรามีแบคทีเรียเยอะ ซึ่งอาจจะเกิดปัญหา คือเกิดการดื้อยา คือเชื้อไวรัสก็ดื้อ การดื้อนั้นเชื้อทั้งหลายมันดื้ออยู่แล้วแต่การกินที่ไม่ถูกต้องจะทำให้ดื้อเร็วขึ้น มากขึ้น คนที่จะใช้ยาต้านไวรัสได้ต้องตรวจให้ชัวร์ว่าเป็นไวรัสก็จะได้ยาต้านไวรัส คนที่เป็นเชื้อราก็ต้องตรวจให้ชัวร์ว่าเป็นเชื้อราจึงได้ยาต้านเชื้อรา แต่ปัญหาคือว่า พอไม่ใช่การติดเชื้อแบคทีเรียแล้วไปจ่ายยาต้านแบคทีเรียให้กิน เรื่องแบบนี้มันเยอะไง เชื้อมันเลยดื้อยา การดื้อยามีขนาดใหญ่และเป็นปัญหา เนื่องจากการกินผิดเยอะ ก็ทำให้เมื่อติดเชื้อจำนวนมากก็ดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อัตราการอยู่เตียงนานขึ้น ตายมากขึ้น กลุ่มคนที่เฝ้าระวังเรื่องนี้จึงกลัวว่าต่อไปจะไม่มียาใช้เพราะว่าทุกวันนี้มันเริ่มวิจัยยาใหม่ๆ น้อยลง ดังนั้นต่อไปเวลาป่วยเราก็จะกลับไปเป็นโรคระบาดที่เป็นโรคติดเชื้อเหมือนสมัยก่อน ไม่มียาที่สามารถปราบเชื้อได้ นี่คือสิ่งที่กลัวกัน ซึ่งถ้าได้ดูข่าวจะเห็นว่าคนดังๆ ติดเชื้อในกระแสเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตเพราะเมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้วเชื้อมันดื้อ ให้ยาไปแล้วไม่หาย เกิดการเรื้อรัง ปัญหาคือถ้าคนไข้อาการทรุดอยู่แล้วก็จะเสียชีวิตเร็วขึ้น เราจึงกลัวว่าต่อไปจะไม่มียาใช้ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลกระทบต่อสุขภาพในวงกว้าง     สาเหตุที่ดื้อยาหลักๆ เกิดจากการกินเกินจำเป็น การที่เราได้รับ Antibiotics เข้าร่างกายมันก็มีอยู่ 3 รูปแบบ 1. หมอสั่งให้กิน หมอสั่งก็อาจจะวินิจฉัยผิดหรือหมอมั่วก็เยอะสั่งโดยไม่มีความจำเป็น ส่วนใหญ่ก็ 3 โรคที่เรารณรงค์ไม่ให้ใช้ (3 โรคที่สามารถหายได้เองด้วยภูมิต้านทานของร่างกายโดยไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะคือ 1.หวัดเจ็บคอ 2.ท้องเสีย 3.แผลเลือดออก และยาปฏิชีวนะที่เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั้น ประกอบด้วย เพนนิซิลินอะม็อกซิลลิน เตตร้าซัยคลิน ซึ่งไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบแต่อย่างใด) หรืออีกอย่างคือหมอสั่งถูกแล้ว แต่คนไข้กินผิด หมอให้กินต่อเนื่อง 5 วันแต่กิน 2 วันก็เลิกกิน อย่างนี้เป็นต้น   2. ไปซื้อกินเอง ซึ่งบางครั้งไม่ได้เป็นอะไรมาก ปวดฟันก็ไปซื้อมา 2 เม็ดเพราะไปเรียกกันว่ายาแก้อักเสบก็เลยซื้อมากิน อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดมากๆ และปัญหาข้อ 1 กับข้อ 2 นั้นบางทีเกิดเพราะหมอก็ไม่เขียนชื่อยามาให้อีก ทำให้ขาดความรู้ตรงนี้ไป และ 3. กินโดยไม่รู้ตัว ข้อสุดท้ายนี่แย่มากเพราะมันอยู่ในอาหารที่เรากินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว หรืออยู่ในยาชุดที่ยังมีคนนิยมซื้อกิน     ถ้าถามว่า เราจะมีข้อเรียกร้องอะไรบ้างเรื่องสิทธิผู้บริโภคในประเด็นนี้ ข้อที่ 1. คือเราจะกินยาอะไรต้องได้รู้จักชื่อยาที่เราใช้ เพราะ Antibiotics มันแพ้กันเยอะ แพ้ตั้งแต่กลุ่มเพนนิซิลิน เกิดการช็อก หมดสติ เสียชีวิต หายใจหอบ และพวกกลุ่มซัลฟา(Sulfonamides) ที่จะมีอาการไหม้ทั้งตัว ถ้าเราไม่รู้ชื่อยา บางคนบอกว่าตัวเองแพ้ซัลฟากล่องสีเขียวๆ แต่พอไปซื้ออีกครั้งก็กล่องสีเขียวเหมือนกันแต่ไม่ใช่ซัลฟา จึงทำให้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วที่แพ้นั้นแพ้อะไรกันแน่เพราะมันไม่ชัดเจน เพราฉะนั้นนอกจากเราจะเรียกร้องเรื่องสิทธิคือต้องรู้จักชื่อยาแล้วเราต้องได้รับการคุ้มครองด้วยว่ารัฐต้องจัดหายา ขึ้นทะเบียนยาที่เหมาะสม เพราะยากล่องสีเขียวในท้องตลาดมีกล่องสีเขียวตั้ง 4 กล่องตัวยาก็คนละตัวกันเลย การแพ้ก็คนละแบบ รัฐต้องให้ความคุ้มครองเรื่องการที่ต้องมียาให้ถูกต้อง กลุ่ม Antibiotics รัฐต้องคุ้มครองในเรื่องของโฆษณา เราได้ยินโฆษณาของเสียงตามสายทีซี-มัยซินมาตลอด ซึ่งยากินนั้นเขาไม่ให้โฆษณา Antibiotics ที่เข้าร่างกายไม่อนุญาตให้โฆษณายกเว้นยาสามัญประจำบ้านหรือยาบรรจุเสร็จ ทีซี-มัยซิน ออยนท์เมนท์ (T.C. Mycin Ointment) อยู่ในกลุ่มยาบรรจุเสร็จ สามารถโฆษณาได้แต่เวลาโฆษณาในทีวีบนกล่องจะมีรูปแคปซูลด้วย คนก็สับสน และโฆษณาก็เป็นอีกเรื่องที่เราเรียกร้องให้งดโฆษณา Antibiotics ทั้งหมด ข้อที่ 2. รัฐจะต้องทำการถอนทะเบียนที่ไม่เหมาะสมออกให้หมด ข้อที่ 3. รัฐจะต้องควบคุมการกระจายยาที่มี Antibiotics ให้ถูกต้อง และข้อที่ 4. รัฐจะต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนด้วย   อีกจุดหนึ่งที่ต้องได้รับการคุ้มครองแต่มันไม่ได้อยู่ในสิทธิผู้บริโภคไทย คือ สิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ปัญหาที่อาจารย์เดือดร้อนมากและกำลังค้นคว้า คือการที่สิ่งแวดล้อมมีเชื้อโรคที่ดื้อยาและสายพันธุกรรมที่ดื้อยาอยู่ในสิ่งแวดล้อม Antibiotics ตกค้างในสิ่งแวดล้อมนี่เป็นเรื่องใหญ่มากที่ต้องลุกขึ้นมาจัดการเป็นเรื่องเป็นราว ในร่างกายเรามีจุลชีพที่ดีอยู่เยอะ จุลชีพใช้ย่อยอาหาร ช่วยในการสร้างวิตามินเค ช่วยหลายๆ อย่างในร่างกายเพราะฉะนั้นจุลชีพที่ดีเราต้องสงวนเอาไว้ การกิน Antibiotics บ่อยๆ ทำให้จุลชีพเสียไปได้และทำงานผิดปกติทำให้เกิดเป็นโรคได้เยอะแยะ แล้วเมื่อจุลชีพข้างนอก Bio diversity ถ้ามันเจอ Antibiotics หรือสารพิษมันก็เสีย เพราะฉะนั้นรัฐต้องมีการควบคุมไม่ให้ Antibiotics ไปตกค้างในสิ่งแวดล้อมนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ตอนนี้ก็เริ่มมีการวิจัยทั่วโลกแล้วเรื่องนี้และการมีสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อดื้อยาหรือสายพันธุกรรมเยอะๆ นั้นมันก็จะส่งผลกระทบต่อจุลชีพในท้องที่ด้วย เช่น เราควรจะมีจุลชีพที่ดีในทุ่งนามันก็จะเสียไปหรือเกิดการเพี้ยนมากขึ้น เราพบว่ามีการใช้ Antibiotics ในการเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งใช้ในพืชด้วย ในในการเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะสัตว์บกหรือสัตว์น้ำมีหมด มีน้องที่รู้จักอยู่อยุธยาบอกว่า มีการโรยลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเลยในการเลี้ยงปลากระชัง หลายคนถามว่ามันละลายไปหมดจะได้ผลหรือ ลองคิดดูเมื่อหย่อนไปตรงที่เลี้ยงอย่างน้อยตรงนั้นมันก็ได้แล้วที่เหลือก็ลอยไป หรือการเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูมันก็ตกไปอยู่ที่ดินแล้วดินตรงนั้น เราก็เอาขี้หมูขี้ไก่ไปทำปุ๋ยใส่ผักต่อ ผักออแกนิกเกิดมามีเชื้อดื้อยาเต็มเลย อธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่งคือ สิ่งที่เราพบเห็นของการตกค้างนั้น 1. ตกค้าง Antibiotics ในอาหารเช่นเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง ปลา 2. เมื่อมันตกค้างแล้วอาจจะมีเชื้อดื้อยาตกค้างด้วยและมีสายพันธุกรรมของเชื้อดื้อยาตกค้างอันนี้คือน่ากลัวที่สุด เพราะว่าสายพันธุกรรมก็คือ DNA ซึ่งบางชนิดมันทนต่อความร้อน เราเชื่อกันว่าเชื้อโรคโดนต้มก็ตายแต่ Antibiotics ต้มไม่ตาย บางทีตายหรือไม่ตาย ไม่รู้ เมื่อเรากินเข้าไปก็ทำให้ดื้อได้ การที่มีขนาด Antibiotics น้อยๆ ในร่างกายนั้นมีผลอยู่ 2 – 3 อย่างคือเด็กที่กิน Antibiotics ตั้งแต่เล็กๆ จะเกิดภูมิแพ้และโรคอ้วน เด็กอ้วนพอไม่สบายหมอก็ให้ Antibiotics เรื่อยๆ แล้วการที่อ้วนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า โกรทโปรโมเตอร์ (Growth Promoter) ให้น้อยๆ สัตว์จะอ้วน โตเร็ว มันจะทำให้การดื้อยาเป็นไปได้เร็วขึ้นและถ้าสายพันธุกรรมดื้อยาไปปะปนกับอาหาร คนกินก็จะรับสายพันธุกรรมและสายพันธุกรรมบ้าเนี่ยนะ มันเข้าไปอยู่ในจุลินทรีย์ได้ทุกอย่างทั้งคนและสัตว์ อาจารย์เคยตั้งคำถามในการประชุมวิชาการครั้งหนึ่งว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารที่เรากินนั้นไม่มีสายพันธุกรรม มีข้อกำหนดหรือยังว่าต้องให้ตรวจ คำตอบก็คือไม่มี ข้อกำหนดที่มีอยู่อย่างเดียวตอนนี้คือ 1. ปริมาณ Antibiotics ไม่เกินลิมิต  2. เชื้อไม่เกินลิมิต แต่มันไม่ได้พูดว่าดื้อยาหรือเปล่า และการที่พูดว่าไม่มี Antibiotics ในผลิตภัณฑ์ ในอาหารเกินลิมิตหมายความว่ามันมีการใช้ แต่อยู่ในระยะพัก แต่เมื่อมีการใช้นั่นหมายความว่ามันมีโอกาสเกิดการดื้อยาเกิดขึ้นได้ เพราะอาจจะมีสายพันธุกรรมดื้อหรือที่มันตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลี้ยงมันก็ต้องดื้อและคนที่เลี้ยงก็มีสายพันธุกรรมดื้อยา คือค่อนข้างพบเยอะแล้วว่าคนที่เลี้ยงโดยใช้ Antibiotics นั้นตัวคนเลี้ยงจะมีเชื้อดื้อยาเยอะ จะติดเชื้อไม่สบายอยู่เรื่อยๆ พอไปตรวจก็พบว่ามันมีจริงและถ้ามันอยู่ในอาหารที่เรากินแล้วต้มไม่ตายทุกคนก็มีความเสี่ยงต่อการรับทั้งนั้น การต้มนั้นแบคทีเรียตายแต่สายพันธุกรรมนั้นมีงานวิจัยว่าไม่ตาย ความร้อนไม่ช่วยเลยนั่นคือสิ่งที่เป็นห่วง ดังนั้นนี่คือข้อเรียกร้องว่า เราต้องได้รับข้อมูลสถานการณ์จริงและเราต้องได้รับการปกป้องให้ได้รับผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย และเมื่อผู้บริโภคไปเรียกร้องสิทธิ ผู้บริโภคเองก็ต้องมีหน้าที่เมื่อคุณได้รับสั่งกินยาคุณต้องมีสิทธิถาม มีตัวอย่างหนึ่งเขาเป็นสื่อมวลชนอยู่ที่เชียงใหม่ พวกเราเป็นคนให้ความรู้เขาแล้วให้เขาทำละครชุมชน พอเขาทำแล้วเขาอินกับเรื่องนี้ ตอนที่ลูกเขาไม่สบายมีน้ำมูกใสๆ จึงพาไปหาหมอ หมอจะจ่ายยา Antibiotics เขาก็ถามเลยว่า ตกลงลูกเขาติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียครับ หมอก็อึ้งแล้วบอกว่า ต้องตรวจดู เขาจึงบอกว่ารอได้ให้ตรวจเลย พอผลตรวจออกมาหมอพูดอ้อมแอ้มบอกว่า ไม่ใช่แบคทีเรียมันเป็นไวรัสเพราฉะนั้นไม่ต้องสั่งยาต้านหรือ Antibiotics ดังนั้นต้องกล้าที่จะถามว่าเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส ถามว่ายานี้เป็นอันตรายไหม กินแล้วจะเกิดอาการอะไรขึ้นไหม นี่คือสิทธิที่เราต้องรู้ และขณะเดียวกันเรามีหน้าที่ที่ต้อง 1.อย่าไปเรียกร้องหมอขอยาแก้อักเสบนี่ไม่ควรทำ 2.ถ้าต้องกินก็กินให้ครบ 3. ต้องดูแลภายในบ้าน เพราะบางคนหมาไม่สบายก็เอายาตัวเองให้หมากินอย่างนี้เป็นต้น คือมันถ่ายทอดทั้งเขาและเราอยู่ตลอดเวลารวมทั้งการดื้อยาด้วย และถ้าต้องเลี้ยงสัตว์เป็นเกษตรกรด้วยคุณต้องมีความห่วงใยโลก ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ห่วงใยผู้ที่จะกินอาหารจากเรา มีเกษตรกรที่เลิกใช้  Antibiotics มาพูดคุยกับเราในงานวันสิทธิผู้บริโภคสากล 15 มีนาคม 2559 นี้ด้วยหลายกลุ่มเลย ---------ข้อสรุปของการประชุมเนื่องในวันสิทธิผู้บริโภคสากล “World Consumer Rights Day 2016” วันที่ 15 มีนาคม 2559 มีดังนี้     ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาฯ มีสาเหตุสำคัญมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่เกินจำเป็น จากข้อมูลของสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล พบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของยาปฏิชีวนะที่ผลิตขึ้นในโลกนี้ นำไปใช้ในการเกษตร โดยนำไปเป็นสารเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ (Growth Promoter) ใช้ป้องกันการติดเชื้อมากกว่าจะใช้เป็นยารักษาโรค คาดการณ์กันว่า ภายในปี ค.ศ.2030 จะมีการเพิ่มขึ้นของการใช้ยาปฏิชีวนะ จาก 63,200 ตัน ในปี ค.ศ.2010 เป็น 105,600 ตันในปี ค.ศ.2030       การรณรงค์เรียกร้องที่ดำเนินการทั่วโลกในปีนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ บริษัทอาหารฟาสต์ฟู้ดทั่วโลกให้สัญญาต่อผู้บริโภคว่าจะหยุดการขายเนื้อสัตว์ที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม  โดยถือเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคทุกคนที่จะมีส่วนช่วยในการเรียกร้องให้เกิดความปลอดภัยในอาหารที่เราบริโภค ดังนั้นในการจัดประชุมเนื่องในวันสิทธิผู้บริโภคสากล เครือข่ายภาคประชาชนภายใต้สภาผู้บริโภคแห่งชาติ มีความตระหนักและให้ความสำคัญในปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาและการลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น จึงมีข้อเรียกร้องต่อทุกภาคส่วน ดังนี้ 1.เรียกร้องให้ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ และเอกชน ร่วมกันขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ในประเด็น “วิกฤติการณ์เชื้อแบคทีเรียดื้อยาและการจัดการปัญหาแบบบูรณาการ” โดยมีกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพหลัก ในการดำเนินการจัดการปัญหาวิกฤติแบคทีเรียดื้อยาอย่างบูรณาการ ผ่านโครงสร้างและกลไกต่างๆ ที่ต้องจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบจัดการปัญหาในระดับประเทศ ระดับพื้นที่ ตลอดจนระดับสถานพยาบาลและในชุมชน โดยครอบคลุมทั้งการนำยาปฏิชีวนะไปใช้ในมนุษย์ และในการเกษตร 2.เรียกร้องให้รัฐ กำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการที่มีการนำยาปฏิชีวนะไปใช้ในการเกษตร ต้องเปิดเผยข้อมูลการใช้ยาปฏิชีวนะทั้งหมด และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ต้องมีมาตรการในการควบคุมไม่ให้มีการตกค้างในอาหารและสิ่งแวดล้อม 3.เรียกร้องให้ผู้ประกอบการด้านเกษตรและปศุสัตว์ ดำเนินการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น ทั้งในเกษตรกรรายย่อย และการเกษตรพันธะสัญญา รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลการใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลในการตัดสินใจบริโภคได้อย่างปลอดภัย  และลดผลกระทบไม่ให้เกิดปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาตามมา 4.เรียกร้องให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเนื้อสัตว์มาจำหน่ายแก่ผู้บริโภค4.1ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของเนื้อสัตว์ที่นำมาประกอบอาหารเพื่อจำหน่ายแก่ผู้บริโภค       4.2 ขอให้บริษัทมีแผนปฏิบัติการลดและยุติการใช้เนื้อสัตว์ที่มีกระบวนการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ4.3 ขอให้มีตัวแทนจากนักวิชาการภายนอกตรวจสอบแผนปฏิบัติการลดและยุติการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์และรายงานต่อสาธารณะทุก 3 เดือน 5.เรียกร้องให้บุคลากรสุขภาพทุกคน มีส่วนในการรณรงค์เพื่อให้เกิดการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล ทั้งในสถานพยาบาลรัฐและเอกชน 6.เรียกร้องให้ผู้บริโภคทุกคน พึงตั้งคำถามทั้งต่อตนเองและต่อบุคลากรสุขภาพว่า มีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงหรือไม่ ก่อนการตัดสินใจบริโภค 7.เรียกร้องให้สื่อดำเนินการให้ข้อมูลต่อผู้บริโภคให้ตระหนักในปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และ ความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น    

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 180 จะเป็นอย่างไรเมื่อ(ร่าง) รัฐธรรมนูญใหม่ ไม่มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค

หลายท่านที่ติดตามข่าวคงได้เห็นแล้วว่าภาคประชาชนมีแอคชั่นทวงสิทธิผู้บริโภคที่หายไปในรัฐธรรมนูญ กับกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคกว่า 150 คน ได้ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประชุมของสคบ.และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่มีมติไม่สนับสนุนกฎหมายอ้างเหตุซ้ำซ้อน และขอให้สนับสนุนกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค กับ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ โดยมี นายกมล สุขสมบูรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีสำนักนายกฯ เป็นผู้รับหนังสือแทน ทุกคนมีสิทธิฉบับนี้ จึงขอพาไปติดตามสองความคิดเห็นของ ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และนางสาว สารี อ๋องสมหวัง ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อ(ร่าง) รัฐธรรมนูญใหม่ ไม่มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคดร.ไพบูลย์ ช่วงทองส่วนตัวผมมองว่า การทำงานของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุดปัจจุบันยึดโยงและสอบถามความเห็นประชาชนน้อย ทำให้หลายภาคส่วน ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า เป็นการร่างรัฐธรรมนูญแบบย้อนยุคไปเมื่อสมัย 40 ปี ที่แล้ว ที่ให้รัฐทำทุกอย่าง ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ล้าสมัย และเป็นสาเหตุสำคัญในการนำพาประเทศมาถึงทางตันทางการเมือง ไม่มีทางออก จนต้องนำมาสู่การรัฐประหารปี 2558 โดย คณะ คสช. ส่วนตัวผมมองว่า การเข้ามาของ คสช. ผมมองว่าไม่ถูกต้อง แต่ในขณะนั้น สังคมเราไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า การใช้อำนาจในการเข้ามาควบคุมสถานการณ์ทางการเมือง ที่ ประชาชน 2 ฝ่าย มีแนวโน้มที่จะปะทะกันและนำไปสู่ ความรุนแรง และอาจเป็นบาดแผลที่ยากเกินกว่าจะเยียวยา ในประวัติศาสตร์ของประเทศได้ แต่เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองสงบขึ้น ส่วนตัวผมมองว่า ประชาชนได้ฝากความหวังว่าการทำงาน ของ คสช. จะกลับมาแก้ปัญหา การกระจายอำนาจ  รักษาหลักการ เคารพสิทธิมนุษยชน เพิ่มสิทธิพลเมือง ขยายสิทธิผู้บริโภค โดยยอมนิ่งสงบทั้งๆ ที่ การฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งต้องเข้าใจนะครับว่า รัฐธรรมนูญที่ถูกฉีกไปนั้น จะดีจะเลวอย่างไร ก็ผ่านเสียงประชามติของประชาชนทั้งประเทศมาแล้ว และส่วนตัวผม รัฐธรรมนูญ ปี 40 ที่ถูกฉีกไปเมื่อปี 49 ก็รับรองสิทธิของผู้บริโภคไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 57  “มาตรา 57 สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องบัญญัติให้มีองค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยตัวแทนผู้บริโภคทำหน้าที่ให้ความเห็นในการตรากฎหมาย กฎและข้อบังคับและให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค” นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญปี 50 ที่ถูกฉีกอีกครั้ง ก็ยังคงรับรองสิทธิ โดยบัญญัติไว้ว่า “มาตรา 61 สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง และมีสิทธิร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย รวมทั้งมีสิทธิรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค ให้มีองค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานของรัฐในการตราและการบังคับใช้กฎหมายและกฎ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภครวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การอิสระดังกล่าวด้วย” ในขั้นตอนการร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ... นั้น องค์กรผู้บริโภคได้ร่วมผลักดันให้เกิดกฎหมายนี้ มาตั้งแต่ขั้นตอนการ ล่ารายชื่อประชาชน จำนวนกว่า 12,000 รายชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายโดยภาคประชาชน ได้ดำเนินมาจนถึงขั้น ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา และ กำลังรอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปนั้น ก็เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น โดย คสช. ประกาศยึดอำนาจ ขึ้นทำให้ พรบ. ที่มีประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวที่ยาวนานของภาคประชาสังคม ต้องมีอันต้องตกไป ล่าสุดจากรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค โดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบและรับหลักการร่าง พรบ. องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมเสนอร่างพรบ. ดังกล่าวต่อ คณะรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสร้างดุลภาพแห่งอำนาจการจัดการด้านการคุ้มครองผู้บริโภค โดยคำนึงถึง 3 ด้าน คือ ภาครัฐ ภาคผู้ประกอบการ และภาคประชาชน น่าเสียดาย ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ หมดวาระไปก่อน และเมื่อ มีการจัดตั้ง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศขึ้น ความสำคัญของงานด้านการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค ก็ถูกลดทอนความสำคัญลง ตามเหตุปัจจัยตามสถานการณ์ทางการเมืองต้องขออนุญาต เล่าประวัติศาสตร์และความเป็นมาของ การคุ้มครองผู้บริโภคในอดีตให้เห็นภาพก่อน เพราะ การเคลื่อนไหว ตลอด 17 ปี ที่ผ่านมา งานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองอยู่มาก จนถึงขณะนี้ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับอ.มีชัยและคณะ ไม่ปรากฏ บทบัญญัติ ให้สมกับ แนวความคิดปฏิรูปงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ ต้องสร้างดุลภาพทางอำนาจ ทั้งสามฝ่ายให้เกิดขึ้น จากสิทธิประชาชนในฐานะผู้บริโภค แปลงร่างเป็น การคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยกให้เป็นหน้าที่ของภาครัฐ ผมมองว่า เป็นการลดทอนบทบาท ของการมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครอง งานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เหมือนกับ ด้านคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองสิทธิชุมชน ที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์อยู่ สิทธิอันชอบธรรมอย่างหนึ่งของคนทำงานทางด้านการเคลื่อนไหวงานทางด้านการคุ้มครองผู้บริโภค คือ การเสนอข้อมูล และให้ความรู้ กับประชาชน ตลอดจนทำข้อเสนอและความเห็นผ่านไปยัง อ.มีชัยและคณะ ต่อ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพื่อเสนอให้มีการปรับแก้ เพราะ ความเห็นของประชาชนย่อมมีน้ำหนักกว่า ความเห็นของ ผู้บริหารหน่วยงานรัฐ ที่ เมื่อถึงวัยเกษียณแล้ว ก็จะหมดบทบาทหน้าที่ต่องานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคทันที ในขณะที่ รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น กฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่มีฐานความคิดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย จะยังคงมีผลต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน หากบทบัญญัติใด ไม่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ประชาชนก็มีสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมในการที่จะปฏิเสธ ไม่รับ ร่างธรรมนูญฉบับนั้น สารี อ๋องสมหวังส่วนตัวดิฉันคิดว่า รัฐธรรมนูญที่มีการยกร่างใหม่ไม่ว่าในยุคสมัยใด ยังไม่เคยปรากฎว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนลดลง แต่ก็ต้องบอกว่าฉบับนี้ สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ที่สำคัญ สิทธิของประชาชน สิทธิชุมชน สิทธิผู้บริโภค และสิทธิของกลุ่ม ถูกลดทอนและหายไปจำนวนมาก  มีปัญหาทั้งเรื่องโครงสร้างของร่างรัฐธรรมนูญ ที่ย้ายหมวดสิทธิของประชาชนจำนวนมากไปอยู่ในหมวดหน้าที่ของรัฐ ทำให้กฎหมายสูงสุดของประเทศกลายเป็นเครื่องมือของรัฐในการใช้อำนาจลิดรอนสิทธิของประชาชน เนื้อหาสาระที่เป็นปัญหา และรวมทั้งไม่เป็นปัจจุบันและไม่แก้ปัญหาในอดีตหากมองเฉพาะส่วนสิทธิของผู้บริโภคที่อยู่ในหมวดหน้าที่ของรัฐ ก็เขียนไว้แบบแคบๆ ในมาตรา 57 ว่า รัฐต้องจัดให้มีมาตรการหรือกลไกการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้บริโภครวมกลุ่มกันเพื่อปกป้องสิทธิของตน ซึ่งการเขียนไว้เพียงเท่านี้ จะทำให้หน่วยงานรัฐ สามารถตีความได้ว่า ตนเองมีมาตรการ หรือกลไกคุ้มครองสิทธิที่ครบถ้วนแล้ว การส่งเสริม และการสนับสนุนให้รวมกลุ่มปัจจุบันก็มีการดำเนินการแล้วเป็นระยะ ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงมาตรการหรือกลไกอะไรในการคุ้มครองผู้บริโภค “การเขียนแบบนี้ เป็นการยึดสิทธิของผู้บริโภคไปอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ  แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ที่ระบุให้มีองค์กรของผู้บริโภคระดับประเทศ หรือองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็น หรือเสนอหน่วยงานของรัฐในการออกกฎหมาย กฎ หรือมาตรการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค นั่นคือการออกกฎหมาย กติกาที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคไม่ถูกผูกขาดในมือของหน่วยงานรัฐเท่านั้น ช่วยสนับสนุนหน่วยงานรัฐในการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบหน่วยงานรัฐในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค สนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรู้และทักษะที่จำเป็นด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และฟ้องคดีเพื่อสาธารณะประโยชน์ โดยให้รัฐสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การอิสระดังกล่าวด้วย” การเขียนไว้สั้นๆ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถือว่าถอยหลังไปก่อนปี 2522  ทำให้ผู้บริโภคขาดองค์กรของผู้บริโภคระดับประเทศ ในการทำหน้าที่แทนผู้บริโภค หรือในต่างประเทศจะเรียกว่า สิทธิที่จะมีตัวแทนผู้บริโภคในการกำหนดกติกา( Right to representation) ในการต่อรองกับภาคธุรกิจเพื่อให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และยิ่งสำคัญมากกับประเทศไทยที่หน่วยงานรัฐในบ้านนี้เมืองนี้ ข้าราชการชั้นผู้น้อยไม่กล้าเถียงชั้นผู้ใหญ่ หรือไม่กล้าเถียงนักการเมืองเพื่อให้มีการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น หรือหากมองไปในรัฐธรรมนูญ 2540 ในอดีตที่กำหนดให้มีองค์การอิสระ แต่เมื่อไม่ได้เขียนว่า เป็นอิสระอย่างไร ก็เป็นที่ถกเถียงมาก ว่าองค์การอิสระนี้สามารถเขียนไว้ภายใต้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้หรือไม่ หรือจะต้องทำเป็นกฎหมายเฉพาะ จนทำให้ไม่สามารถออกกฎหมายได้ และเป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ให้มีองค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ สิ่งนี้สะท้อนว่าทุกตัวอักษรในรัฐธรรมนูญไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ มีที่ไปที่มา และประวัติศาสตร์มากมายส่วนประเด็นความซ้ำซ้อนที่เลขาธิการสคบ. มองว่า “องค์กรผู้บริโภคนี้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะกระบวนการในการจัดทำและบังคับใช้กฎหมาย มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ของทางราชการกำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐจะต้องมีกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอยู่แล้ว และการคุ้มครองผู้บริโภคถือเป็นหน้าที่หลักของภาครัฐ เป็นการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย นอกจากนี้การบังคับใช้กฎหมาย การดำเนินคดี การเปรียบเทียบความผิดที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นการใช้อำนาจทางปกครองซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงตามกฎหมายของหน่วยงานรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร จึงไม่ควรเป็นหน้าที่ของภาคประชาชนเป็นผู้ดำเนินการ แต่ภาคประชาชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม สนับสนุนภารกิจของภาครัฐ และเติมเต็มในมิติอื่นๆ ที่ภาครัฐยังไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้นการที่ร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคกำหนดให้คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองมีอำนาจและหน้าที่หลายประการ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของหน่วยงานของรัฐและมีกฎหมายกำกับอยู่แล้ว จึงเป็นการซ้อซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ประชุมของหน่วยงานรัฐและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 66 คน โดยไม่มีผู้บริโภค จึงไม่เห็นด้วยที่จะให้มีกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคนี้ต้องบอกว่า เป็นความน่าเบื่อของสคบ. ที่ทุกครั้งของการตัดสินใจต้องมีภาคธุรกิจ และทำหน้าที่แทนผู้บริโภคไม่ได้ และสะท้อนว่า รัฐไม่เคารพหลักการหรือมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย หรือฟังความเห็นจากทุกฝ่ายจริงตามที่อ้าง ไม่งั้นจำนวน 66 คนนี้ ต้องมีตัวแทนขององค์กรผู้บริโภคที่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้มาโดยตลอดขอให้อ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ดี จะเห็นว่า ได้ว่า องค์กรนี้ไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับภาคธุรกิจได้ ทำหน้าที่ให้ความเห็นและเสนอแนะกับหน่วยงานรัฐ แต่มีหน้าที่โดยตรงในการให้ข้อมูลผู้บริโภคให้มีความรู้ เท่าทันสามารถต่อรองกับผู้ประกอบการได้ หรือแม้แต่อำนาจในการฟ้องก็เป็นเพียงสิทธิพื้นฐานเทียบเท่าประชาชนในการยื่นฟ้อง เพราะศาลยุติธรรมเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐในการพิจารณาคดี สุดท้ายอยากฝากไปภาคธุรกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ต้องบอกว่าหมดยุคธุรกิจใต้โต๊ะ หรือไม่นับถือผู้บริโภค ยุคปัจุบันและอนาคตต้องยึดความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นสำคัญ หากสังคมทำให้เกิดอำนาจต่อรองของผู้บริโภคมากเท่าไหร่ ย่อมสะท้อนคุณภาพของสินค้าและบริการของประเทศนั้น ๆ ดังที่เราเห็นในประเทศพัฒนาแล้ว หรือแม้แต่เพื่อนบ้านเราอย่างประเทศสิงคโปร์สิทธิของผู้บริโภคในรัฐธรรมนูญในอดีต จนถึงร่างฉบับปัจจุบัน                  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 179 Documentary Club เรานำหนังสารคดีทั่วโลกมาฉายเพื่อทุกคนที่รักหนังสารคดี

ถ้าถามคอหนังทางเลือก หนึ่งคนที่คอหนังนึกถึง ต้องเป็น “ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร Bioscope และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Documentary Club” หลังจาก ภาพยนตร์สารคดี เรื่อง  "Finding Vivian Maier : คลี่ปริศนาภาพถ่ายวิเวียน ไมเออร์" ออกฉายเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อเกือบปลายปี 2557  Documentary Club ได้รับการตอบรับจากคนดูจำนวนมาก ซึ่งคุณธิดาเล่าให้ฉลาดซื้อฟังว่า หลังจากที่เริ่มโปรเจ็คท์เดือนสิงหาคม 2557 และฉายหนังตอนเดือนพฤศจิกายน  มาถึงตอนนี้ก็ปีกว่า ในแง่ของผลตอบรับมันก็ไปไกลกว่าคิดไว้ เพราะตอนแรกคิดว่าคนดูแค่ 10 คน 500 คน คือพยายามบริหารให้ก้อนคนดูมันอยู่แค่นั้นแต่ว่าตอนนี้คนดูเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้ามองในเชิงความมั่นคงนี่เล็กมากๆ แต่ถ้าเป็นสเกลของหนังที่เข้าโรงเดียวรวมทั้งหมดแค่สิบกว่ารอบถือว่าตอบโจทย์ ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นนั้นมันค่อนข้างจะต่างกัน เห็นได้ชัดคือพอเราเอาหนังใหม่มาเมื่อประชาสัมพันธ์ออกไป ก็จะมีฐานคนดูจำนวนมากประมาณหนึ่งที่พร้อมจะเข้ามาดู โดยที่เราไม่ต้องบิ้วท์คนดูใหม่จากศูนย์แล้วก็เหมือนเป็นฐานที่ช่วยให้หนังมันมีตลาดประมาณหนึ่ง แต่หน้าที่ของเราก็คือทำอย่างไรให้เรื่องมันขยายตลาดกว้างออกไปมากกว่านั้นและค่อยๆ สร้างกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ  ฉะนั้นหลังจากทำมาปีกว่าสิ่งที่พูดได้เลยว่า เป็นความสำเร็จ คือมันมีกลุ่มคนดูที่ยอมรับการเข้าฉายของหนังสารคดี อย่างน้อยที่สุดคือคนเหล่านี้ไม่ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมเขาจะต้องมาเสียเงินเท่ากับที่เขาดูสตาร์วอร์ส ทำไมเขาต้องมาดูสารคดี เขาสามารถรู้สึกได้ว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่เขาชอบเขาก็พร้อมจะดู ไม่ได้รู้สึกว่าสารคดีต้องดูฟรี เราคิดว่าเราพาคนดูไปด้วยกัน พาข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไปได้ การเริ่มต้นของการตั้ง Documentary Club เนื่องจากก่อนที่จะมาทำ Documentary Club นั้นเคยทำงานอยู่ที่หนังสือ Bioscope ซึ่งเป็นหนังสือที่พูดถึงหนังทางเลือก แล้วเราก็ติดตามความเคลื่อนไหวของหนังต่างประเทศแล้วก็รู้สึกว่าทำไมแม้แต่ในตลาดอเมริกา ซึ่งมีโมเดลคล้ายๆ กับตลาดเมืองไทยมาก แล้วคนไทยก็รับเอาวิธีคิดการผลิตภาพยนตร์แบบอเมริกา คือการทำร่วมกับสตูดิโอ แล้วก็นึกถึงเมนสตรีม แต่อเมริกาเองก็ยังมีทางเลือกในเชิงความหลากหลายของหนัง เครือข่ายโรงหนังก็ยังมีหลายแบบเพื่อที่จะตอบสนองพฤติกรรมคนดูหลายๆ แบบและโดยธุรกิจของฮอลลีวูดเองก็พยายามหล่อเลี้ยงหนังทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กเพราะทุกอย่างขับเคลื่อนเป็นฟันเฟือง ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวน้อยก็ต้องมีที่ยืนเพราะว่าต้องหมุนไปด้วยกันในเชิงธุรกิจ แต่บ้านเราไม่มีแบบนี้ นับวันความหลากหลายของหนังมันยิ่งน้อยลง หนังเล็กเข้ามาก็ขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ คนทำหนังอิสระไทยนั้นโอกาสคืนทุนน้อยมากเพราะมันไม่มีเอาท์เล็ทที่หล่อเลี้ยงให้เขาอยู่กับคนดูเพื่อสร้างวัฒนธรรมการดู เพราะฉะนั้นไม่มีใครช่วยเรื่องพวกนี้ และอีกแง่หนึ่งโดยส่วนตัวชอบดูหนังสารคดีก็รู้สึกว่า หนังประเภทนี้ไม่เคยมีพื้นที่ในบ้านเราเลยจะถูกจัดเป็นอินดี้ของอินดี้อีกที ดังนั้นจึงรู้สึกว่ามันน่าลอง อยากจะลองสร้างตลาดอันนี้ขึ้นมาก็นึกถึงทางเลือกอีกทางหนึ่งของคนกรุงขึ้นมา  ขั้นตอนการหาหนัง การซื้อเข้ามาเป็นอย่างไรบ้างDocumentary Club นั้นเกิดจากการระดมทุนขึ้นมาเพราะหนึ่งคือเราไม่มีทุนและสองเรามีความรู้สึกลึกๆ ว่าเรื่องแบบนี้เราคนเดียวผลักดันมันคงไม่สำเร็จ ถ้าจะผลักดันมันต้องอาศัยแรงสนับสนุนของคนที่คิดคล้ายๆ กันแต่เราก็เหมือนเราชูธงว่าเราออกหน้า ดังนั้นพอเราโยนไอเดียลงไปนั้นก็พบว่ามันก็มีคนจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการทดลองทำอะไรแบบนี้ เขาก็ช่วยเหลือในการระดมทุนทำให้มีทุนในการทำแต่ว่าสิ่งที่ต้องทำต่อมาคือการหาพื้นที่ให้กับมัน จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีความเชื่อในการเอาหนังเข้าโรงเพียงอย่างเดียว แต่ว่าถ้ามันมีช่องทางอื่นที่จะช่วยให้ธุรกิจอยู่ได้และคนดูได้ดูโดยไม่ต้องเข้าหาโรงนั้นเป็นทางเลือกที่ดี  แต่ว่าในระบบตลาดมันก็ยังต้องใช้โรงเพื่อผลทางรายได้หรือว่าผลทางประชาสัมพันธ์อะไรก็ตาม และสองคือรู้สึกว่าหนังสารคดีมันไม่มีพื้นที่ในทางธุรกิจเลยเราจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ว่า มันมีตลาดด้วยการเข้าสู่ตลาดเพื่อให้มีที่ยืนในเชิงการตลาดที่เขาทำกันอยู่จริงๆ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเมื่อเริ่มต้นโปรเจ็คท์ก็คือการคุยกับโรงว่าให้เปิดพื้นที่ซึ่งตอนที่ไปฉายครั้งแรกก็คุยทั้ง 2 เครือแต่ว่าเครือหนึ่งไม่เอาเพราะว่าไม่มีความเชื่อในหนังอะไรแบบนี้เลย ในขณะที่เครือ SF นั้นเขายังอยากที่จะทดลองสร้างตลาดเฉพาะเพราะเขาคงมองว่ามันก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ของเขาแตกต่างจากคู่แข่ง ก็โชคดีที่พอไปคุยแล้วเขาให้ลองดูแต่แน่นอนสิ่งที่เราต้องทำคือการพิสูจน์ให้เห็นว่าทำแล้วมันอยู่ได้จริงๆ มันมีคนดู มีรายได้กลับมา เขาพอใจ เราพอใจ คนดูแฮปปี้ นั่นคือสิ่งที่ต้องพิสูจน์มาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาปีกว่าที่ผ่านมาการเลือกหนังเลือกอย่างไร ต้องทำรีเสิร์ทก่อนไหมคงไม่ขนาดนั้นแต่ว่าเบื้องต้นคือเลือกจากความชอบเพราะว่าจริงๆ เราก็ไม่ได้เป็นแบบข้างใดข้างหนึ่งมาก เราไม่ได้ตลาดสุดขั้วและเราก็ไม่ได้ฮาร์ดคอร์มากเลยรู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้มันมาทำงานกับเราก็เชื่อว่ามันมีคนดูที่รู้สึกแบบเดียวกับเป้าหมายช่วงต้นนั้นก็เน้นเลือกหนังที่มันมีความสนุกอยู่ ไม่ถึงขนาดดูแล้วต้องเครียดมากหรือว่าหลับเพราะมันน่าเบื่อสุดๆ ก็เลือกหนังที่คนดูแล้วน่าจะมีความบันเทิงอยู่ในความเป็นหนังสารคดีของมันอะไรแบบนี้ ส่วนที่สองคือเลือกประเด็นที่มันค่อนข้างหลากหลาย เบื้องต้นก็เลือกประเด็นทีคิดว่าคนต้องสนใจเรื่องแบบนี้อยู่ จริงๆ สิ่งนี้ตอนเริ่มต้นเราก็ไม่รู้ เริ่มต้นเรื่องแรกที่ฉายคือเรื่อง Finding Vivian Maier ซึ่งเป็นหนังเกี่ยวการถ่ายภาพสตรีท ตอนนั้นก็นึกแค่ว่าหนังมันดัง ใจเราดูแล้วรู้สึกสนุกก็คิดแค่นั้น แต่พอตอนเริ่มเอาเข้ามาโปรโมท เริ่มฉายก็พบว่ามันมีประเด็นอื่นที่มากกว่านั้น เช่นคนที่มีความคลั่งไคล้เรื่องการถ่ายภาพ คนที่มีความคลั่งไคล้ของวิถีชีวิตของตัวละครแบบนี้ เรารู้สึกเลยว่าที่จริงหนังสารคดีแต่ละเรื่องนั้นมีประเด็นที่มันสัมผัสกับคนในหลายๆ แบบหรือสัมผัสกับไลฟ์สไตล์หลายๆ แบบเพราะฉะนั้นสิ่งที่สังเกตได้จากตอนที่เอา Finding Vivian Maier มาฉายก็เลยสังเกตเรื่องแบบนี้มากขึ้น หนังเรื่องนี้มีไลฟ์สไตล์ตรงกับคนกลุ่มไหน หาหนังที่มันตอบสนองคนหลายๆ กลุ่มประมาณนี้โรงฉายสนับสนุนอย่างไรบ้าง เขาจัดโรงฉายให้เราอย่างไรมีทั้ง 2 แบบคือจากที่คุยแล้วมันเป็นหนังแบบ Exclusive SF ในแง่ของสาขานั้นเขาจะล็อกไว้เลยว่า Positioning ของหนัง Exclusive นั้นเขาต้องการให้ปักหลักอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะเขาอาจต้องการสร้างแบรนด์ให้สาขานั้นเป็นแบบนั้นและเขาก็อาจจะมองว่าโดยตำแหน่งอยู่ใจกลางเมือง บางทีก็มาจากเราด้วยที่คิดว่าบางทีหนังเรื่องหนึ่งอาจจะไม่กว้างมาก กลุ่มอาจจะแคบหน่อยก็อาจจะไม่ต้องเปิดโรงกว้างให้เรานะเพราะว่าทั้งเราและเขาความต้องการอย่างหนึ่งของโรงหนัง คือถึงแม้ว่าหนังเราจะเป็นหนังเล็ก ยอดรายได้ต่ำเมื่อเทียบกับหนังปกติแต่ว่าสิ่งที่เป็นความสุขของโรง คือการเห็นว่าทุกรอบมันไม่ได้เสียเปล่า ดังนั้นเมื่อเราเห็นว่าหนังเรื่องนี้กว้างได้ เรื่องนี้ไม่ต้องกว้าง บางครั้งก็คือมาจากเราที่อยากเอาโรงขนาดเล็กๆ พอเพราะภาพที่อยากเห็นคือมีคนเยอะทุกรอบ โรงก็จะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เพราะการฉายทีหนึ่งมีคนดู 5 คน 10 คนมันสิ้นเปลืองผลของการฉายที่ผ่านมานี่คือเป็นที่น่าพอใจไหมค่อนข้างดี ในเชิงธุรกิจก็บริหารจัดการให้เป้าง่ายๆ คือทุกเรื่องอย่าขาดทุน ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ตอนฉายโรงเลยเพื่อที่แง่หนึ่งคือเราก็ไม่ใช่นักธุรกิจที่ทำอันนี้เต็มตัว แต่เราก็ทำหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยดังนั้นถ้าทำให้มันไม่แบกรับความเครียดต้องเป็นหนี้สะสมอะไรแบบนั้น ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดโดยเฉพาะครึ่งปีหลังนั้นค่อนข้างจะเข้าที่ อย่างที่บอกว่าคนดูก็สนับสนุนเพราะฉะนั้นแต่ละเรื่องก็ค่อนข้างจะโอเค ก็มีเรื่องที่ได้มากบ้างน้อยบ้างแต่ในเรื่องที่น้อยก็ยังรอดตัว เรามองในเชิงที่ว่าในเรื่องที่มันน้อยนั้นเพราะคอนเทนต์มันยากขึ้น มันเฉพาะกลุ่มแต่เราก็มองในเชิงที่ว่ามันก็คือการสร้างกลุ่มคนที่หลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราหวังแค่นั้น ที่ปกติคนที่ไม่ดูหนังสารคดีเลยหรือบางคนเลิกดูหนังโรงไปแล้วเราก็หวังว่าจะสร้างคนกลุ่มนี้มาเป็นคนดูเรื่อยๆ ตอนนี้มีเทรนด์ที่น่าสนใจ คือเริ่มมีกลุ่มคนดูที่รวมตัวกันเอง ตอนนี้มีขึ้นมา 3 เพจคือเพจคนขอนแก่น เพจชาวเชียงใหม่และเพจชาวหาดใหญ่ ซึ่งก็มาจากพวกเรายุกันให้เปิดตัวขึ้นมา ซึ่งคนพวกนี้สำคัญซึ่งเขาก็จะรวมตัวกันเรียกร้องโรงหนัง และบางเพจก็จัดฉายเองตามหอประชุมมหาวิทยาลัยบ้าง ถือว่าเทรนด์แบบนี้ต้องกระพือขึ้นมาไม่อย่างนั้นในวงการก็จะถูกรายใหญ่แช่แข็งอยู่แบบนี้(อุปสรรคคือรอบน้อย วันน้อย โรงน้อย)ใช่ น้อยทุกอย่างเลย (หัวเราะ) ตอนนี้จะเพิ่มไปที่เซ็นทรัลพระราม 9 หรือไม่ก็เซ็นทรัลลาดพร้าว อนาคตของ Documentary Club ต่อไปจะเป็นอย่างไรตอนนี้สิ่งที่อยากทำคือพยายามหาช่องทางให้มันได้ออกไปกว้างขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ภายใต้ระบบเดิมหรือการพยายามให้มันได้ไปฉายในโรงต่างจังหวัดด้วยวิธีใดก็ตามแต่ กับการพยายามทำงานกับกลุ่มคนดู เราก็พยายามกระตุ้นคนดู รวมทั้งมองหาช่องทางอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะ TV VOD (Video on demand) จึงคิดว่าเราต้องมองหาช่องทางที่จะทำให้หนังเราไปถึงคนดูแบบนี้ได้แล้วเพราะว่าจริงๆ ตอนนี้ฉายอยู่ในโรงเดียวคือทำไมมันถึงแคบขนาดนี้  ในส่วนของการเลือกหนังมาฉายตอนนี้กำลังพยายามหาเพิ่มเข้ามา ในปีนี้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์จะเริ่มมีสารคดีจากอินโดนีเซียและกลางปีจะมีญี่ปุ่น เพิ่งคุยกับหอศิลป์ว่าอยากจัดสารคดีอาเซียนด้วยกัน ต้องเริ่มขยายมาทางนี้บ้าง ปัจจุบันมีช่องทางให้ผู้บริโภคดูฟรีเยอะ พฤติกรรมของคนไทยแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อวงการหนังหรือการเอาหนังเข้ามาฉายอย่างไรบ้าง หรือผู้บริโภคจะมีทางเลือกอย่างไรคือพี่ไม่มีปัญหาในการดูบิทอะไรเลยหรือแม้แต่ดู Netflix(บริการดูหนังออนไลน์) เองคือในแง่คนทำหนังเราเองก็กระทบนะอย่างเรื่อง Iris (Iris เปรี้ยวที่ใจ วัยไม่เกี่ยว) นั้นยังฉายในโรงอยู่แต่เปิด Netflix มาก็มี ซึ่งเราก็ได้ผลกระทบแต่ถ้ามองในภาพรวมจริงเราค่อนข้างรู้สึกยินดีกับสิ่งเหล่านี้เพราะธรรมชาติของคนเสพทุกอย่างต้องการทางเลือก ต้องการความสะดวก ต้องการสิ่งที่มันคำนึงถึงพฤติกรรมของเราและตอนนี้เราอยู่บ้านดูได้เราไม่ต้องการถูกโรงบังคับว่าต้องดูแต่หนังที่เขาเอามาฉาย คือรู้สึกว่าพวกนี้มันคือการสร้างวัฒนธรรมการดูเพราะว่าในที่สุดเราต้องการให้ทุกคนดูสิ่งที่หลากหลาย และอยากให้ทุกคนเลือกเสพและมีโอกาสที่จะเข้าถึง แต่ถามว่าพฤติกรรมการดูของคนจะเปลี่ยนไหม หมายถึงว่าคนจะเลิกดูหนังโรงเหรอ จะดูแต่หนังอยู่บ้านเหรอ จะโหลดบิทอย่างเดียวเหรอ พี่คิดว่าไม่ใช่ คนเราไม่มีพฤติกรรมที่มันสุดขั้วเพราะว่าในที่สุดแล้วเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดูหนังโรงมันก็เป็นความสนุกอยู่ดีหรือการที่มีสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ได้เจอเพื่อน กินข้าว ดูหนัง มันมีสิ่งอื่นที่ห่อหุ้มพฤติกรรมเหล่านั้นมันจะยังอยู่ต่อไป แล้วค่ายหนังก็มีหน้าที่ปรับตัวเองต้องทำหนังให้มันน่าสนใจขึ้น ให้คนรู้สึกว่าเขาต้องออกจากบ้านเพื่อมาดูก็เป็นหน้าที่ ที่คุณต้องปรับตัว  แต่คิดว่าสิ่งที่ปรับตัวช้าที่สุดในบรรดาเหล่านี้ก็คือโรงหนัง คิดว่าโรงหนังไม่ได้ไหวตัวกับความต้องการที่เปลี่ยนไปของคน เพราะทุกวันนี้คนมาดูหนังโรงนั้นไม่ได้ต้องการแค่มาดูในโรง มี 3 มิติ มีควันแค่นี้จบ แต่ที่คนมาดูเพราะว่าเขาโหยหาการอยู่ในสังคม ไม่อย่างนั้นคนก็นั่งดูหนังอยู่บ้านหมดสิ ที่ยังออกมาดูหนังโรงเพราะมันมีสิ่งอื่นตอบสนองอยู่ ซึ่งโรงปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนไป โรงยังคิดว่าคำตอบคือการที่คุณขายป็อบคอร์น ขายโค้ก แต่เรารู้สึกว่าจิตวิญญาณของคนดูหนังมันแห้งลงเรื่อยๆ คิดว่าสิ่งที่จะกระทบมากที่สุดในระยะยาวคือโรงหนัง เพราะคนจะหมดอารมณ์ที่จะไปดูแล้วคุณก็จะบีบให้คนต้องไปดูอย่างอื่นซึ่งจริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากดูสถานการณ์ของการดูหนังปัจจุบันที่ส่งผลกระทบกับผู้บริโภคสำหรับคนดูทั่วๆ ไปที่คิดว่าเป็นปัญหาและได้ยินบ่อยก็คือเรื่องราคาเพราะค่าตั๋วโดยเฉลี่ยนั้นถ้าเป็นโรงใจกลางเมืองมันคือ 160 – 180 บาทขึ้นไป ซึ่งโรงก็พยายามเพิ่มฟังก์ชั่นตามค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเป็นโรงหนัง 4 มิติ เป็นแพ็กเกจโซฟาคู่ ซึ่งอาจจะมีคนพูดว่า ไม่อยากเลือกแบบนี้ก็ดูโรงธรรมดาแต่ฟังก์ชั่นของแบบธรรมดาราคามันก็ขึ้นเรื่อยๆ ตามโลเคชั่น และยังไม่รวมพวกสิ่งต่อพ่วงทั้งหลาย ค่าเครื่องดื่ม ป็อบคอร์น มีคนบอกว่าเวลาไปดูหนังทีหมดเงินเป็นพัน เนื่องจากโรงหนังมันอยู่ในห้าง จึงไม่มีทางเลือกที่จะบริโภคอย่างอื่น ซึ่งราคามันก็แพง โดยทั่วไปโรงหนังมักจะมีข้ออ้างว่าลงทุนสูง เป็นความบันเทิงราคาถูกที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับคอนเสิร์ตหรืออะไรก็ตาม แต่ในความจริงแม้จะเป็นความบันเทิงราคาถูกก็ตามมันก็ยังแพงสำหรับผู้บริโภคอยู่ดี โดยเฉพาะในปัจจุบันมีทางเลือกมากขึ้น เช่นล่าสุดการเข้ามาของ Netflix ซึ่งสามารถจ่ายเงินเดือนละ 100 – 200 กว่าบาทเดือนหนึ่งดูหนังได้ไม่เลือก แม้การดูหนังที่ในโรงภาพยนตร์ เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นความบันเทิงที่สำคัญในชีวิตอยู่ แต่เราก็มีความรู้สึกว่าเราเลือกมากขึ้น อันนี้คือในแง่ของค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันในแง่ของคนดูในเชิงวัฒนธรรมจะเป็นปัญหาที่เจอเยอะที่สุดเลยคือ โรงหนังนั้นเป็นทางเลือกที่ไม่ดีพอสำหรับคนดูหนังในเชิงวัฒนธรรม หมายความว่าตอนนี้เวลาที่มีหนังใหญ่เปิดตัวทีหนึ่งนั้นหนังใหญ่กินพื้นที่โรง 80 - 90 %  ของจำนวนโรง พื้นที่ส่วนใหญ่หมดไปกับการให้หนังกระแสหลัก หนังทางเลือกในเชิงวัฒนธรรมนั้นก็ไม่มีพื้นที่รองรับ ปัญหาที่เจอกันตอนนี้คือว่า หนังเล็กนั้นโรงไม่เหลียวแล โรงให้รอบแบบพอเป็นพิธี แล้วพอมันไม่มีคนดูตอบสนองด้วยตัวเลขที่มากพอในความคิดของเขาก็โดนตัดรอบ มันจึงเป็นวงจรทางธุรกิจที่แก้ไขไม่ได้ โรงก็ผูกขาดขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เหลือ 2 ค่ายใหญ่ที่แข่งกันแล้วเบียดบี้จนรายเล็กรายน้อยตายหมด คือไม่ว่าจะในเชิงเศรษฐกิจหรือเชิงวัฒนธรรมนั้นการดูหนังเป็นทางเลือกที่หดแคบลงทุกทีสำหรับคนดู

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 178 กฎหมายเครื่องสำอางกับก้าวที่ยังไม่ทันกลยุทธ์การขาย

ตอนแรกผมมองปัญหาเครื่องสำอางเป็นปัญหาเล็กๆ แต่พอได้ศึกษาดูแล้วมันกลายเป็นปัญหาที่ผมมองว่าเป็นระดับชาติและมูลค่าเศรษฐกิจตรงนี้ปีหนึ่งเป็นพันล้าน เพราะคิดต่อคนต่อเดือนประมาณ 2,000 บาทเป็นอย่างน้อย พ.ร.บ.เครื่องสำอางฉบับใหม่ได้รับการปรับปรุงและประกาศในราชกิจจานุเบกษา 8 กันยายน2558ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยเหตุผลหนึ่งคือการที่ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กรณีการประกอบธุรกิจเครื่องสำอางในสื่อโซเชียลและการคุ้มครองผู้บริโภคยังมีเรื่องสำคัญที่น่าพิจารณา และเพื่อให้มองรอบด้าน เราจึงไปขอความรู้จาก อัครเดช มณีภาค* ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความสนใจและลงมือศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องของกฎหมายเครื่องสำอางเป็นพิเศษ ทำไมถึงมาสนใจเรื่องเครื่องสำอางกฎหมายเครื่องสำอางของบ้านเรานับว่า ทันสมัย ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 4 – 5 ปีที่แล้วมีแนวความคิดว่าเรากำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และมีข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายเครื่องสำอางให้เป็นไปตามบทบัญญัติอาเซียน ซึ่งล่าสุดเรามี พ.ร.บ. เครื่องสำอางฉบับใหม่ประกาศใช้แล้ว นับว่าทันสมัยยิ่งขึ้น แต่กว่าจะผ่านก็ใช้เวลานานพอสมควร ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผมสนใจเรื่องนี้เพราะในสังคมปัจจุบันการซื้อขายเครื่องสำอางมันมีวิวัฒนาการก้าวกระโดด จากที่แต่เดิมการเลือกใช้เครื่องสำอางเราจะเลือกซื้อของที่ตลาด ตามห้างสรรพสินค้าปลีกย่อยต่างๆ นี่คือวิถีในการเลือกซื้อทั่วไป แต่ 5 – 6 ปีที่ผ่านมานั้น มีสื่อในโลกโซเชียลเพิ่มมากขึ้น การซื้อขายกรณีเครื่องสำอางนั้นจึงมีหลากหลาย ใครก็สามารถเข้าถึงได้รวดเร็วไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊คหรือไลน์ นี่คือสังคมปัจจุบันที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วและนำไปสู่อาชีพใหม่เกิดขึ้นมานั่นคือ อาชีพของนักศึกษาในการเข้าสู่วงการธุรกิจเครื่องสำอาง *อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัยและกิจการพิเศษ รองผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม   ในฐานะอาจารย์ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ นั่นคือ นักศึกษาไม่เพียงแค่เป็นคนซื้อ แต่พวกเขาได้เข้าสู่โลกของการเป็นคนขาย จากเดิมเป็นคนซื้อและทดลองใช้ พอใช้ได้ผลดี(กับตัวเอง) ก็ผันตัวเองมาเป็นคนขายและจัดจำหน่ายในรั้วมหาวิทยาลัย ในห้องเรียนห้องหนึ่งสมมุติมีนักศึกษาจำนวน 100 คน มีคนขายประมาณ 20 คนและอีก 50 คนเป็นคนซื้อ เรื่องนี้มีข้อที่พึงระวัง เพราะลักษณะนี้มันเป็นการขายตรงรูปแบบหนึ่งต้องถูกกำกับดูแลของ พ.ร.บขายตรงและตลาดแบบตรง ข้อที่ควรระวังมากกว่านั้นจากการสัมภาษณ์และสอบถามนักศึกษาคือ เขาไม่ได้สนใจว่าจะมี อย. หรือไม่คือไม่ได้สนใจความปลอดภัยเลย สนใจแต่ความขาว เด้ง ฟรุ้งฟริ้ง คนที่ขายก็ต้องลองกับตัวเอง(ได้ผล)เพื่อให้คนซื้อเชื่อ   ประเด็นนักศึกษาซื้อขายกันเองกฎหมายที่กล่าวมานั้นจะดูแลตรงส่วนนี้ได้อย่างไรบ้างถ้าเกิดความเสียหายก็ต้องไปเรียกร้องกับผู้จำหน่ายและบริษัท ทีนี้ผู้จำหน่ายก็คือเพื่อนเราใช่ไหมที่ขายสินค้ามา คือต้องย้อนกลับไปทฤษฎีเดิม ซึ่งเกิดจากการเลือกใช้ต้องไปเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้จำหน่าย ปัญหาที่ตามมาคือว่า โรงงานที่ผลิตไม่ใช่โรงงานใหญ่ เป็นโรงงานขนาดเล็กและตัวสินค้าไม่มี อย. เท่ากับว่าผู้ซื้อนั้นเสี่ยงภัย ประเด็นนี้มีเยอะเลย ซึ่งไม่ได้เกิดกับของที่สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เป็นการซื้อขายตรง พอมีเรื่องเกิดขึ้นเกิดผลกระทบคนขายเขาก็บอกหน้าเขาใช้ไม่เคยมีปัญหาอะไร คือว่าเครื่องสำอางถูกกับใบหน้าของคนหนึ่งแต่ไม่ถูกกับอีกคนหนึ่งอันนี้ก็เป็นอีกประเด็น คนขายก็เลยกลายเป็นว่าไปโทษปัจจัยอื่น หาว่าคนที่ซื้อไปนอนดึกเลยใช้ไม่เห็นผล ประเด็นนี้เคยมีกรณีคนที่ถูกฟ้องต่อสู้กันจนถึงศาลฎีกา เป็นประเด็นว่าคนที่ซื้อไปใช้ไปตากแดดไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องสำอางโดยตรง   กรณีเครื่องสำอางที่นักศึกษาไม้ค่อยมาร้องเรียนคิดว่าเป็นเพราะอะไรปัญหาคือคนใช้(ยอม)เสี่ยงภัย แล้วบ้านเราเป็นประเภทไม่กล้าที่จะขายความโง่ของตัวเอง ไม่บอกใครเก็บเรื่องไว้คนเดียว นี่คือพูดกันตรงๆ ทุกวันนี้ตัวผมเองไม่ว่าจะไปซื้อสินค้าอะไรมาใช้รวมถึงพวกโทรศัพท์ พลาดไปก็ไม่กล้าบอกใคร   เครื่องสำอางที่เด็กๆ ขายกันนั้นฉลากน่าจะไม่สมบูรณ์ด้วยหรือเปล่า เช่น คำเตือนว่าใช้แล้วห้ามทำแบบนั้น ห้ามทำแบบนี้ มี แต่ฉลากก็ทำขึ้นมาเองและบางกรณีก็ไม่มีฉลากส่วนใหญ่ไม่มี ซึ่งโรงงานผลิตทุกวันนี้เกิดขึ้นมากและบางทีตั้งในกลางกรุงด้วยซ้ำล่าสุด(อย)สคบและตำรวจกองปราบ จับโรงงานใหญ่ที่วังหิน เป็นโรงงานเถื่อน และเดี๋ยวนี้มีรอบๆๆมหาวิทยาลัยน่าจะมีเกือบทุกมหาลัยเลยแต่น่ายังไม่มีใครศึกษาเราเคยได้ยินแต่ร้านเหล้ารอบๆๆมหาลัย ประเด็นนี้น่าคิด ตอนแรกผมมองปัญหาเครื่องสำอางเป็นปัญหาเล็กๆ แต่พอได้ศึกษาดูแล้วมันกลายเป็นปัญหาที่ผมมองว่าเป็นระดับชาติและมูลค่าเศรษฐกิจตรงนี้ปีหนึ่งเป็นพันล้าน เพราะคิดต่อคนต่อเดือนประมาณ 2,000 บาทเป็นอย่างน้อย ผมเคยสัมภาษณ์มาแล้ว แล้วโรงงานเล็กๆ ลงทุน 10 ล้านแต่เขาขายได้กำไร 50 ล้านบาทต่อเดือน โคตรคุ้มเลย แล้วไม่ต้องไปขายเองด้วยผลิตอย่างเดียวแล้วจะมีนายหน้าเข้ามารับแล้วก็ใช้นักศึกษาเป็นคนปล่อยสินค้า   แล้วคนขายไม่ต้องขออนุญาตหรือเป็นเรื่องคนขอผลิต เพราะขอผลิตไปแล้วนั้นผลิตแล้วผลิตเลย หมายความว่าสมมุติผมเป็นเจ้าของยี่ห้อเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่งก็ไปจ้างผลิต ผมก็เป็นเจ้าของแบรนด์แล้วก็ไปจดแจ้ง โรงงานก็ต้องไปจดแจ้งด้วย ซึ่งมันง่ายมากในการที่ใครสักคนอยากจะมีแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง ทุกคนก็ยังสามารถที่จะเป็นเจ้าของแบรนด์ได้ มีเงินสัก 50,000 บาทก็ทำได้ ค่าธรรมเนียมจดแจ้งก็ไม่แพงแล้วก็รอ อย. ประกาศ ซึ่งบ้านเราเป็นลักษณะแบบนี้ คือควบคุมบวกส่งเสริม มันไม่ได้เป็นเหมือนสินค้าควบคุมแบบเครื่องมือแพทย์หรือยา   ในมุมมองของอาจารย์คือเรื่องเครื่องสำอางก่อนที่จะได้เกิดการซื้อขายมันต้องเข้มขึ้นกว่าเดิมใช่ มุมมองผมคือให้ไปควบคุมกระบวนการผลิตส่วนผสม สารเคมี ไม่ใช่ควบคุมที่การโฆษณา คือควบคุมโฆษณานั้นมันจะควบคุมเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่เพราะเขาจ้างโฆษณาแต่โฆษณารายย่อยอย่างสื่อโซเชียลเช่น เฟสบุ๊ค/Lineทุกวันนี้เปิดขึ้นมาขายของทั้งนั้นเลย แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ไม่ค่อยทำผิดกฎหมายในเรื่องกระบวนการผลิตอยู่แล้ว แต่บริษัทเล็กๆ นั้นจะมีปัญหาด้านการผลิต ส่วนผสมที่เป็นเคมี สารต้องห้าม คือผลิตลงทุน 5 – 10 ล้านบาทแค่นั้นเอง ได้กำไรเกือบ50ล้าน ควบคุมการโฆษณาเหมือน กสทช.และอย/สคบ. นั้น ผมมองว่ามันเป็นปลายเหตุ เพราะมันช้ากว่าจะประกาศยกเลิก กว่าจะดำเนินการอะไรต่างๆ นั้นคนขายรวยไปแล้ว และตอนนี้เขาไม่ได้ไปโฆษณาที่ไหนแล้วเขาขายตรงถึงมือเลย เอาไปทดลองใช้ชึ้งเกิดในหมู่วัยรุ่นวัยมัธยมแล้ว และเรื่องนี้ก็ยังไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง ผมเคยขึ้นไปสอบ คณะกรรมการถามว่าจะเอาไปเป็นอาชญากรรมหรือ? ก็น่าคิดนะ เพรารัฐบาลสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ แต่เราก็มองถึงความปลอดภัย   อย่างนี้คนจะไม่ว่าว่าเป็นการตัดช่องทางทำมาหากินของบริษัทเล็กๆ เหรอไม่ใช่ คือมองว่าความปลอดภัยของผู้บริโภคต้องมาก่อนอันดับหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นว่ามันเป็นธุรกิจช่องทางหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มองถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค นานๆ ทีจะได้เห็นทลายแหล่งผลิตเครื่องสำอางปลอมซึ่งเป็นเรื่องที่ดี   แล้วมีอีกช่องทางหนึ่งคือไม่ได้ผลิตแต่บอกว่านำเข้าจากเกาหลีมันคืออันนี้เลย มันไม่ได้เกาหลีมันคือที่นี่ ผลิตที่เมืองไทย เป็นฉลากปลอมและทุกวันนี้สินค้าที่บางคนบอกว่าเป็นสินค้าปลอดภาษีแต่นั่นคือของปลอม คือบ้านเรามีแบบผลิตเอง ทำเอง แบรนด์ตัวเอง แบบที่สองคือแบรนด์ต่างประเทศผลิตในเมืองไทยนี้แหล่ะแต่ปลอมมา แล้วทำเนียนด้วย เหมือนเลย รู้สึกว่าสินค้าที่ได้รับการปลอมมากที่สุดคือยี่ห้อชิเซโด้ มีการปลอมเยอะมาก ลูกศิษย์ผมก็เอามาขายผมยังซื้อไว้เลยซื้อให้แฟน แฟนบอกของปลอม คนที่เคยใช้เขาเปิดดูแล้วรู้เลย คือมันไม่ใช่สินค้าปลอดภาษีแต่นี่คือของปลอม แต่กลยุทธ์ทางการขายคือบอกว่ามันถูกเพราะ Duty Free แล้วคนที่ไม่เคยใช้ก็คิดว่ามันเป็นของแท้ ในมุมมองของนักกฎหมายคิดว่าผู้บริโภคไทยได้ใช้สิทธิ ได้ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีพอหรือยัง การใช้สิทธิของตนเอง ในทุกเรื่องเลยนะผมว่าน้อย ยกตัวอย่างคดีข่มขืนกระทำชำเรานั้นมีการไปแจ้งความร้องทุกข์น้อยมาก ใน 1 ปีมีคดีแบบนี้เป็นพันแต่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นไม่ถึงหลักร้อย อย่าคดีคุ้มครองผู้บริโภคผู้ได้รับผลการกระทบสิทธิใช้สิทธิของตัวเองน้อยมาก การทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เจาะไปที่เรื่องเครื่องสำอางก็ได้ ณ ปัจจุบันนี้คือ สิทธิของเราถูกปกป้องน้อยมากและตัวคนที่เลือกซื้อเครื่องสำอางเองก็ตามมีความอับอาย ผู้ซื้อยอมเสี่ยงภัยเข้าไปซื้อเอง คือรู้ว่ามีความเสี่ยงแต่ก็ยอมเพื่อความสวย ความงาม มันก็เลยเกิดความอับอาย   ยกตัวอย่างให้ฟังได้ไหมคดีอันเกิดจากเครื่องสำอางเอาเคสที่เป็นคดีเลยละกันนะ ผมขอเรียกว่าเคสคุณปัญญาได้รับผลกระทบจากการใช้เครื่องสำอางลักษณะใบหน้าผุผัง ลอก ดำ ซึ้งผมได้ไปสัมภาษณ์และได้พูดคุยและให้ความช่วยเหลือในระดับหนึ่งและก็ได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นจาก(อย)ในค่าใช้จ่ายเดินทางไปหาหมอ เกือบ 10 ปีศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหาย ยังไม่ได้เงินเยียวยา ทุกวันนี้คดียังอยู่ในศาลฎีกาเกือบ10 ปียังไม่ได้รับเงินเยียวยา   อาจารย์คิดว่าอยากให้มีอะไรเพิ่มเติมในกฎหมาย พอประกาศใช้กฎหมายเครื่องสำอางฉบับใหม่เราไปอิงในบทบัญญัติอาเซียนซึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นเขาก็ยังไม่มีทีท่าที่จะทำให้มันเป็นไปตามบทบัญญัติอาเซียน ยกเว้นไทยและสิงคโปร์ และ ในอนาคตมีเรื่องพิจารณา 2 เรื่องคือการเยียวยาข้ามแดนและการเลือกซื้อเครื่องสำอางข้ามแดน เช่น เราซื้อเครื่องสำอางจากพม่ามาใช้แล้วเกิดความเสียหายก็เอาผิดกับใครไม่ได้ แต่ถ้าคนพม่ามาซื้อเรา เรามีความคิดว่าจะเยียวยาข้ามแดนให้เขาซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการเยียวยาผู้บริโภคข้ามแดนกรณีนี้ก็มีการจัดสัมมนาและพูดคุยกันอยู่ในประเด็นนี้   อาจารย์มีอะไรที่จะฝากในช่วงท้าย ปัญหาเรื่องเครื่องสำอางจะถูกพูดถึงน้อยกว่าเรื่องอื่นๆอาจเป็นเพราะผลกระทบต่อผู้บริโภคนั้นไม่ได้เกิดในทันทีทันใดแต่พอใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐานไปนานๆๆนั้นจะกระทบต่อร่างกายเหมือนตายผ่อนส่ง ซึ่งคิดว่าควรเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นมากขึ้นเอาไปเป็นนโยบายเลย การคุ้มครองผู้บริโภคด้านเครื่องสำอางควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ส่วนผสม และกระบวนการกำกับดูแลติดตามตรวจสอบหลังจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพ ควรมีกองทุนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้เครื่องสำอาง และเน้นให้ความรู้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายผู้ประกอบการเครื่องสำอางรายเล็กๆๆให้มีประสิทธิภาพ การควบคุมและกำกับดูแลเครื่องสำอางในปัจจุบันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นได้บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กสทช. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ถือว่าเป็นหลักประกันสิทธิผู้บริโภค อันนี้ส่วนราชการยังมีองค์กรหรือหน่วยงานที่มาช่วยขับเคลื่อนสิทธิของผู้บริโภค เช่น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค องค์กรอิสระเพื่อผู้บริโภค มาบูรณาการการทำงานร่วมงาน เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและส่งเสริมเครื่องสำอางไทยให้มีคุณภาพและปลอดภัย  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 177 เม้งไกเวอร์ ยอดคนพลังงานแสงอาทิตย์

ดร.สมพร ช่วยอารีย์ รองผู้อำนวยการสำนักวิทยบริการ และอาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยากรคอมพิวเตอร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี   อาจารย์เม้งท่านสอนทางด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์ แต่ก็มีความสนใจจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ลำดับต้นๆ ของประเทศ นอกจากความรู้จากปากท่านแล้ว ทุกๆ วันอาจารย์เม้งยังพกพาแผงโซล่าร์เซลล์ขนาดกะทัดรัดไปด้วยเกือบทุกหนแห่ง ไฟฟ้าจากแผงเล็กนี้สามารถชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งนอกจากมันจะใช้ประโยขน์กับเขาเองแล้วแล้วยังเป็นสื่อการสอนสำหรับผู้สนใจด้วยสนใจประเด็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่เมื่อไรจริงๆ สนใจมานานแล้วในส่วนของพลังงานแต่ได้มาเริ่มทดลองก็ประมาณ 2 ปีที่แล้ว ลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตว่าแผงโซล่าเซลล์จะหาซื้อได้ที่ไหนบ้างในสุราษฎร์ธานี ตอนแรกก็ต้องหาในกรุงเทพฯ แต่ไปๆ มาๆ ก็มีคนที่ทำธุรกิจด้านนี้ที่สุราษฎร์ฯ ผมจึงเข้าไปพูดคุยกับเขาถึงแนวคิดหลักการ ราคา และพวกการติดตั้ง สุดท้ายก็ซื้ออุปกรณ์มาและลองติดตั้งเองเลย ตอนนั้นซื้อมา 1 แผง 140 วัตต์ ราคาตอนนั้นประมาณ 6,500 บาท ซื้อแบตเตอรี่ 150 แอมป์ 12 โวลต์มา 1 ก้อน ราคาประมาณ 6,300 บาท ซื้ออุปกรณ์ควบคุมการประจุไฟจากแผงลงแบตฯ อีกประมาณ 2,100 บาท ส่วนพวกอุปกรณ์สายไฟก็หาซื้อเองได้ ปั๊มน้ำ12 โวลต์ที่จะสูบขึ้นไปจากถังเข้าท่อประปาภายในบ้านนั้นก็ราคาประมาณ 2,500 บาท อันนี้ก็ประมาณเบื้องต้น หลอดไฟหลอดละ 200 บาท ซื้อมาประมาณ 6 หลอด ก็ทดลองใช้ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น ทำแผงให้พ่อกับแม่สามารถที่จะหมุนแผงไปตามแสงอาทิตย์ได้เป็นแบบอัตโนมือ ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกถูกใจอยากทำเองด้วยเพราะผมอยู่ที่ปัตตานีไม่ใช่นครศรีธรรมราช ก็ทดลองที่ปัตตานีด้วยและทำที่นครฯ เพิ่มขึ้น จากที่ได้ทดลองใช้ไปประมาณ 1 – 2 เดือนก็รู้สึกว่ามันเริ่มจะเข้าท่า จึงซื้อแผง 120 วัตต์มาแต่ราคาถูกกว่าเดิมนะ ซื้อมา 4,800 บาท ถูกกว่าที่สุราษฎร์ฯ เกือบ 2,000 บาท แต่แผงเป็นคนละชนิดกันอันแรกเป็นโมโนคริสตัลไลน์ (Mono Crystalline) อันที่ 2 เป็นโพลีคริสตัลไลน์ (Poly Crystaline) ซึ่งจริงๆ แล้วราคาในปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก และในด้านคุณภาพโมโนฯ จะรับแสงได้ดีกว่า แต่ในประเทศไทยใช้โพลีฯ ก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องไปซื้อแพงมาก พอผมใช้มาได้ 1 ปีเนื่องจากทางภาคใต้มีการรุกของโรงไฟฟ้าถ่านหินด้วย เราก็พยายามหาทางออกว่ามันมีทางอื่นไหมนอกจากถ่านหินซึ่งมันสอดรับกันพอดี จึงโยนโจทย์ไปที่แสงแดดเพราะมันมีทุกวัน ลองดูว่าแต่ละวันสามารถลดอะไรได้บ้างไหม ก็ทดลองทำปี 2557 ก็มีเวที ค.1 (กระบวนการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) นั้น ได้ออกแบบให้มีการรับฟังความคิดเห็นไว้ 3 ขั้นตอน คือ การรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 หรือ ค.1 เพื่อเป็นเวทีใหญ่ในการรับฟังข้อห่วงใยจากชุมชน ค.2 เพื่อเป็นเวทีย่อยในการรับฟังความเห็นเฉพาะกลุ่ม แล้วนำไปประมวลเพื่อศึกษาผลกระทบและการป้องกันจนการทำรายงาน EHIA เสร็จสิ้น จึงจัดเวที ค.3 เพื่อแจ้งแนวทางทั้งหมดแก่ชุมชนและรับฟังเสียงสะท้อนจากชุมชนเป็นครั้งสุดท้าย) พอดี ผมจึงจัดการนำเสนอและสับคัทเอ้าท์ในวันนั้นเพื่อจะใช้ไฟของตัวเอง ผ่านมา 1 ปีก็พร้อมที่จะจัดการได้ ค่าไฟจากที่เคยอยู่ที่ 500 – 600 บาทก็ลงมาเรื่อยๆ เป็น 400 , 250 ,100 ลงมาเรื่อยถึง 80 จนทุกวันนี้คงที่อยู่ที่ 40.90 บาท บางเดือนก็ 44.38 บาท คือใช้ 0 หน่วย แต่มิเตอร์ของการไฟฟ้านั้นเป็นมิเตอร์ 10 แอมป์ บ้านเรือนที่ใช้ 5 แอมป์ขึ้นไปต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ที่ชาวบ้านใช้ปกติก็ 5 แอมป์ถ้าใช้ไม่เกิน 50 หน่วยก็ฟรี เพียงแต่ของผมนั้นเป็น 10 แอมป์จึงต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ส่วนบ้านของพ่อกับแม่นั้นจะเป็นแบบ 5 แอมป์เขาก็ใช้ศูนย์บาทคือภายใน 50 หน่วย ผมให้เขาบริหารจัดการกันเอง สุดท้ายก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนว่าแสงแดดก็สามารถแปลงเป็นพลังงานหลักได้ ที่เรียกว่าเป็นพลังงานหนุน พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนอะไรพวกนี้ คือทดแทนมันก็สามารถทดแทนได้บางส่วนเพราะฉะนั้นก็อยู่ที่เราออกแบบว่าจะให้มันทดแทนได้อย่างไร เพราะแสงแดดขนาดบ้านเรานี้สบายมาก ยิ่งตอนเช้าๆ แผงมันยังเย็นอยู่ อุณหภูมิอยู่ที่ 25 – 30 องศาฯ ไฟนี่มาเต็มเลยถ้าแผงได้ตั้งฉากกับตัวที่รังสีที่กระทบมาจะทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงวันก็อาจจะหมุนแผงไปตามแดดก็ได้ การหมุนตามแดดจะดีมากเลยก็คือจะได้ความเข้มแสงที่ชัดเจน   แต่ว่าจะมีข้อด้อยอยู่อย่างหนึ่งก็คือแสงพวกนี้เมื่อได้รับอุณหภูมิที่สูงขึ้นนั้นมันจะลดศักยภาพของมันเอง ยกตัวอย่างเช่นผมใช้ให้ใครไปทำงานขุดดินกลางแดดร้อนๆ มันก็เหนื่อย ถ้าผมเอาน้ำไปพรมให้เขา เขาก็รู้สึกว่ามันมีพลังขึ้นมา แผงโซล่าเซลล์ก็เหมือนกัน เราอาจจะใช้วิธีการพ่นหมอกฝอยๆ ทำบรรยากาศอุณหภูมิบริเวณนั้นให้มันต่ำอย่าให้เกิน 35 องศาฯ มันจะได้ประสิทธิภาพของไฟออกมาเต็มที่ อาจจะไม่ต้องพ่นตลอดเวลาก็ได้ แค่ทุกๆ 15 นาทีเพื่อให้บรรยากาศตรงนั้นไม่ร้อนมากนี่เป็นกระบวนการในการจัดการ ลมใต้แผงมันร้อนเราสามารถที่ผลักดันไปได้ นี่เป็นตัวอย่างๆ หนึ่ง หลังจากสับคัทเอ้าท์มาแล้วทุกวันนี้ก็จ่ายค่าไฟประมาณ 40 กว่าบาท ระหว่างนี้ก็เลยหาแนวทางที่จะขยายองค์ความรู้เหล่านี้ออกไปหาคน ทำให้คนได้เรียนรู้มากขึ้น มีการจัดอบรมที่บ้านเพราะนอกจากทำหลังคาแล้วผมมาทำที่รถยนต์ด้วย หลังคารถยนต์ก็เป็นแผงโซล่าเซลล์เหมือนกัน ด้านหน้าใส่ไดนาโมเข้าไป 3 – 4 ตัวแล้วก็ติดกังหันลม เวลาเราขับรถไปรถมันก็แปลงไฟเหล่านี้เข้ามาใช้ได้บางส่วน เช่น พัดลมแอร์ เวลาเราเปิดแอร์แต่ละเบอร์มันก็กินกระแสไฟแตกต่างกัน เบอร์ 4 นั้นกินอยู่ที่ 30 แอมป์ ก็เยอะมากถ้าเราเปิดตอนนี้แรงไดนาโมจะทำงานหนักทำให้เปลืองน้ำมันถ้าลดลงมาโดยตัดตรงนี้ออกมันก็ช่วยลดได้ส่วนหนึ่ง ช่วยลดกำลังของเครื่องยนต์ นี่เป็นตัวอย่าง แต่ว่าไม่ได้ใช้ทั้งคันเพราะเรายังต้องใช้น้ำมันเป็นหลักอยู่ แค่อันไหนที่เราลดได้ก็ลด ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะหุงข้าวไป สตาร์ทรถไปก็ปิดเครื่องยนต์เอารถมาตากแดดแล้วมันมีแบตฯ สำรองตั้งไว้หลังรถเพื่อจะเอามาหุงข้าวได้ระหว่างทางถ้าเราอยากจะปิกนิก ก็เป็นแนวทางการที่จะขับเคลื่อนคนให้ลองคิดลองทำ หลังจากนั้นก็ขยับขยายไปยังครัวเรือน ตอนนี้ก็มีไม่ต่ำกว่า 20 ครัวเรือนที่เขาเริ่มทำกันในละแวกที่ผมลงไปสัมผัสเองและยังมีอีกหลายคนในเครือข่ายบนเฟสบุคที่เขาเอาไปทำ ซึ่งผมคิดว่าแนวทางแบบนี้มันไปต่อได้ เป็นการพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น ถ้าเราพึ่งตนเองได้เวลาไฟดับแต่บ้านเราไม่ดับ อย่างเวลามีระเบิดที่ปัตตานีทีหนึ่งใน ม.อ. จะมีไม่เกิน 3 หลังที่ยังสว่างอยู่ซึ่งตรงนี้นำไปสู่การวางแผนได้ คนที่เริ่มต้นใหม่ๆ เขาต้องลงทุนอะไรบ้างจะเห็นว่าเมื่อก่อนถ้าลงทุน 1 กิโลวัตต์น่าจะอยู่ราวๆ 80,000 – 1 แสนบาทแต่ว่าตอนนี้ลดลงมาเหลือไม่ถึง 50,000 บาทแล้วแต่ผมสามารถทำได้ประมาณ 37,000 บาทขึ้นอยู่กับระบบอะไร ซึ่งมันมีอยู่ 2 ระบบ อย่างแรกระบบ Stand alone คือใช้แบตเตอรี่ จะเอาไว้ตรงไหนก็ได้แค่มีแผง มีตัวควบคุมการชาร์จ มีแบตฯ และมีตัวแปลงเป็นไฟบ้านหรือว่าจะใช้ไฟตรงเลยก็ได้ มันเสร็จสรรพในตัวแต่ราคาอาจจะแพงหน่อยเพราะต้องซื้ออินเวอร์เตอร์และแบตฯ แต่ถ้าเอาค่าของ 2 อย่างนี้ไปซื้อ กริดไทอินเวอร์เตอร์ (Grid Tie Inverter) ก็จะมีตัวแผงมาเข้าสู่ Grid Tie แปลงเป็นไฟบ้านแล้วใช้ได้เลย ส่งไฟเข้าไปหนุนในบ้าน นั่นหมายความว่าถ้าใช้มากแต่ผลิตได้น้อยมันก็จะเอาไฟของการไฟฟ้ามาใช้ แต่ถ้าเราผลิตได้มากกว่าที่ใช้ไฟของเราก็จะไหลออกไปที่การไฟฟ้า อันนี้เป็นการเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน คือเมื่อไฟเราไหลออกไปที่การไฟฟ้านั้นมันจะทำให้ไฟที่มันตกอยู่เต็มได้ด้วยพลังที่เราเข้าไปเสริมแต่ต้องออกแบบว่าหม้อแปลงที่ชาวบ้านใช้กันอยู่ทั้งหมดรองรับได้ไหมถ้ามันเกินจะรับได้ก็จำเป็นต้องขยายขนาดหม้อแปลงให้มันรับได้ ซึ่งผมคิดว่ากระบวนการแบบนี้มันผ่าน ชาวบ้านอาจจะคิดว่ากิโลวัตต์ละประมาณ 50,000 บาทมันดูเยอะแต่ต้องดูว่าถ้ามันช่วยลดค่าไฟได้เดือนละ 500 – 700 บาทต่อ 1 กิโลวัตต์ ถ้าเราทำตรงนี้ได้ก็จะรู้สึกมีความสุขที่เราสามารถขยับขยายให้มันไปถึงอีกขั้นหนึ่งได้ ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำแบบสับคัทเอ้าท์เหมือนทุกวันนี้แค่อยากทำให้สุดโต่ง ให้เห็นว่ามันสามารถทำได้ พึ่งตนเองได้ อีกอย่างถ้าเราอยากให้ข้อมูลทางด้านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เราเป็นห่วงในด้านของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบนั้นเราจะได้พูดได้เต็มปากเพราะบางทีจะถูกย้อนแย้งว่าคุณก็ยังใช้ไฟอยู่แล้วทำไมถึงจะมาค้าน ซึ่งจริงๆ ผมก็ยังใช้ไฟของการไฟฟ้าอยู่เวลามาสัมมนาต้องนอนที่โรงแรมก็ต้องใช้เพราะมันเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเวลาที่อยู่บ้านเราเองเราจัดการได้เท่ากับว่าพลังงานในบ้านเรามันพอใช้อยู่แล้วเพียงแต่เขาไม่ยอมที่จะใช้พลังงานอื่นเพิ่มใช่ไหมสิ่งสำคัญคือ มูลค่าเวลาที่ไฟดับ แต่เราไม่ดับนั้นจะตีเป็นราคาอย่างไร เวลาไฟดับโรงพยาบาลทั้งหลายต้องมีเจเนอเรเตอร์ (Generater) ของตัวเองแต่ถ้าสามารถเสริมบางอย่างได้ด้วยตัวเองอย่างโซล่าเซลล์นั้นผมว่ามันเวิร์คมาก ประเทศไทยมันจะมีพีคอยู่ 3 ช่วงช่วงแรกคือเช้า ช่วง 2 คือบ่าย ช่วงบ่ายนั้นอาจจะหนักกว่าเช้าหน่อย และช่วงค่ำประมาณ 2 – 4 ทุ่ม ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่แสงแดดไม่มีใช้เพราะฉะนั้นช่วงเช้าและบ่ายแสงแดดเข้าไปร่วมได้ ถ้าบริหารจัดการเป็น ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะมีเมฆปกคลุมทั้งประเทศถ้าปกคลุมภาคใต้ ภาคเหนือกับอีสานก็ผ่าน ช่วงที่ภาคเหนือปกคลุมทางภาคใต้ก็ผ่านประมาณนี้ ซึ่งมันคือการกระจายความเสี่ยง ผลิตที่ไหนใช้ที่นั่น สายส่งก็ไม่ต้องกังวล นี่คือในทางอุดมคติและปฏิบัติการได้ในครัวเรือน     กลับมาที่เรื่องราคาเมื่อก่อนจำได้ไหมมือถือที่เป็นแท่งๆ ราคาเครื่องละเป็นแสนเลย เหมือนกับโซล่าเซลล์เมื่อ 38 ปีที่แล้วเป็นยุคเริ่มต้นของโซล่าเซลล์ตอนนั้น 120 วัตต์ราคาประมาณ 3 แสนบาท ในปัจจุบันแผง 120 วัตต์ราคา 3,000 กว่าบาทลดลงมาเกือบ 100 เท่า ซึ่งผมคิดว่าเวลาประชาชนเขาเห็นราคาเขาก็รู้สึกว่ามันแพง ตอนนี้ 1 วัตต์ตกอยู่ราวๆ 20 – 25 บาทซึ่งคิดว่าในอนาคตราคายังลงได้อีกถึงวัตต์ละ 10 บาท ถ้าลงได้ผมเชื่อว่าจะพลิกโฉมพลังงานในประเทศไทย เพราะฉะนั้นการรุกล้ำของโรงไฟฟ้าถ่านหินจึงต้องเร่งในช่วงนี้ ไม่อย่างนั้นคนจะหันมาใช้แบบนี้มากขึ้นเพราะมีหลายส่วนที่อยากจะทำแต่องค์ความรู้ไม่ถึง เขามีเงินทุนแต่สิ่งสำคัญคือจะให้ใครทำให้ เราจึงต้องจัดการให้เขา สิ่งที่ผมทำก็คือทำไปด้วยกัน ตั้งแต่ซื้ออุปกรณ์ด้วยกัน ร่วมมือกันติดตั้ง ต่อสายไฟหลังจากเสร็จแล้วจึงเริ่มสอนว่าระบบนี้เอาไปใช้อย่างไร แล้วจึงจำลองสถานการณ์ เช่นไฟของการไฟฟ้าก็มี ไฟของเราเองก็มี ถ้าอยากจะใช้ไฟของเราจะต้องทำอย่างไร หรือไฟเราไม่พอสำหรับใช้ 24 ชม. ถ้าจะเอาไฟของการไฟฟ้ามาและสับคัทเอ้าท์ของเราสลับกันแบบนี้จะต้องทำอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ยาก ชาวบ้านสามารถทำได้เพราะผมทดสอบกับพ่อแม่ของผมเอง ท่านจบ ป.4 ยังทำได้โดยให้ดูตัวเลขที่เป็นตัวบอกว่าแรงดันเท่าไร ให้เขาเข้าใจว่าถ้าจะหุงข้าวแรงดันต้องประมาณ 23.5 – 24 จึงจะหุงข้าวได้ ถ้า 27 ขึ้นไปสามารถซักผ้าได้ 4 – 5 ครั้ง แต่ว่าซักทุกวันก็ไม่รู้จะเอาผ้าที่ไหนมาซักเหมือนกัน (หัวเราะ) นี่เป็นแนวคิดและเงื่อนไขเหล่านี้ผมจะไม่สอน จะให้ค้นหาของเขาเองโดยการจดข้อมูลไว้ว่าในแต่ละวันผลิตได้กี่หน่วยรวมกันแล้วใน 1 เดือนได้เท่าไร ให้จดข้อมูลไว้แล้วเอามาดูว่าทำไมบางวันได้เยอะ บางวันได้น้อย เมื่อเขาเข้าใจก็สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นต่อได้ เวลาไฟดับก็จะมีคนเข้ามาถามผมว่า ทำไมไฟบ้านเราไม่ดับก็ผมไม่ได้ใช้ไฟการไฟฟ้าไง มูลค่าแบบนี้มันมหาศาลที่จะจัดการได้เพราะนี่คือความมั่นคง แสงแดด ลม น้ำ คลื่นลมทะเล น้ำขึ้นน้ำลงทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะดึงมาใช้ได้และถ้าชาวบ้านรู้สึกว่าต้องลงทุน 1 – 2 หมื่นมันเยอะก็มีวิธีคือใช้วิธีการแบบแชร์ คือแชร์พลังงานหมายถึงให้รวมกัน ถ้าค่าใช้จ่าย 20,000 บาทต่อหลังก็รวมกันให้ได้สัก 10 คนจ่ายคนละ 2,000 บาทต่อเดือนเอามารวมกันก็จะได้ 20,000 บาททุกๆ เดือน ใครจะติดตั้งก่อนก็จับฉลากเอาหรือแล้วแต่การจัดการ ซึ่งตอนนี้ที่พัทลุงและสงขลาก็เริ่มทำตามแนวคิดนี้กันแล้วแต่ในทางปฏิบัติก็ต้องมีคนที่จะนำไปสู่การพิจารณาการทำให้เกิดการสร้างกลไกที่เข้มแข็ง คือวิธีการที่จะสร้างองค์ความรู้ในชุมชนที่เขาจะสามารถจัดการเองได้ และเราได้นำเอาผลลัพธ์ที่แต่ละบ้านใช้มาคุยกันซึ่งพอแลกเปลี่ยนกันแล้วชาวบ้านรู้สึกมีความสุขขึ้น เขาอยากจะจัดการต่อ อยากสับคัทเอ้าท์เหมือนผมจะต้องทำอย่างไรหรือว่ามีระบบอัตโนมัติที่เราไม่ต้องไปนั่งสับเองด้วยมือ ซึ่งเทคโนโลยีก็เริ่มมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนหลอดไฟหลอดละ 200 บาทคุณภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไรตอนนี้ราคา 50 – 100 กว่าบาทแต่คุณภาพดีมากและมีอายุการใช้งานที่ดีกว่าแต่เร่องราคานั้นจำเป็นต้องรู้เท่าทันในการซื้อ เรื่องการติดตั้งก็เหมือนกันบางกลุ่มบริษัทที่ให้บริการติดตั้งยังคิดราคาแพงอยู่มากราคากิโลวัตต์ละ 80,000 – 1 แสนบาทตรงนี้ถือว่าเอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไป ผมว่าถ้าเรากระจายความรู้เรื่องนี้ให้เท่าทันคนก็จะรู้และทำเองได้ ตอนนี้ที่บ้านผมก็มีตู้เย็นและอินเตอร์เน็ตที่ใช้ไฟอยู่ตลอดเวลา จริงๆ แล้วตู้เย็นไม่จำเป็นต้องเปิดตลอด 24 ชม. ก็ได้หลังเที่ยงคืนสามารถสั่งหลับได้ถ้าไม่ได้แช่อะไรไว้ อย่างพวกโรงแรมนั้นในตู้เย็นมีแต่น้ำแช่ไว้ถ้าสั่งหลับหลังเที่ยงคืนจะประหยัดไฟไปได้อีกจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว นี่เป็นตัวอย่างที่สามารถบริหารจัดการได้ ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นแบตเตอรี่เอเชียอย่างลาวแต่เราสามารถจะเปลี่ยนเป็น Clean Country Clean Energy Thailand มันจะเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การคิดใหม่ เพราะถ้าถามถึงพลังงานถ่านหินที่ใช้กันอยู่ก็ใช้ไปแต่ไม่ต้องสร้างเพิ่ม ต้องจัดการเพื่อไม่ให้มันมีความเสี่ยงเพราะถ่านหินเราต้องซื้อจากอินโดนีเซียหรือออสเตรเลียแล้วมันจะมั่นคงไหมถ้าอนาคตเขาอยากเลิกขายให้เราจะทำอย่างไร ในขณะที่แสงแดดนั้นมีทั่วทุกหลังคาเรือน ไม่ต้องเสียเวลาขนและไม่มีค่าขนส่งด้วย แล้วโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งกระบี่และเทพาที่จะใช้เงิน 2 แสนล้านสร้างประมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ผมเอามาเฉลี่ยไปที่ครัวเรือนทั้งหลายให้ติดแผงโซล่าเซลล์แล้ววิ่งปลา (วิ่งปลาคือเอาปลาไปตากบนหลังคา) ก็สามารถผลิตได้ 4,000 เมกะวัตต์ มากกว่าใช้ถ่านหินและยังไม่ต้องซื้อวัตถุดิบนำเข้าด้วย อายุโรงงานก็ 25 ปีเช่นเดียวกับแผงที่รับประกัน 25 ปีกระแสไฟไม่ตก คุณภาพยังคงที่หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้เสียทันทีแต่ประสิทธิภาพมันค่อยๆ ลดลง แต่ระดับชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ขนาดนั้นแค่เราเอามาเสริมในบ้านเราได้ก็พอ คือผมคิดไว้เยอะอย่างเช่นการลดค่าไฟวันละ 1.5 หน่วยจำนวน 10 ล้านหม้อมิเตอร์สามารถหยุดสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้เลยแต่เราต้องช่วยกันลดทุกวัน แต่ชาวบ้านที่เขาใช้ไฟเดือนละ 2 หน่วยจะให้เขาลด 1.5 หน่วยมันก็กระไรอยู่แต่ว่าห้างที่ใช้ไฟวันละหลายหมื่นหน่วยนั้น ลดสัก 1,000 หน่วยเพื่อไปช่วยคนที่เขาใช้แค่ 2 หน่วยต่อเดือนนี่คือการบริหารจัดการ ซึ่งผมว่าสำคัญมาก ตอนนี้ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากในประเทศไทยเพราะฉะนั้นโซล่าเซลล์เองเป็นทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ยังมีลมที่ไม่แน่ว่าจะพัดกลางวันหรือกลางคืน มีทั้งลมบก ลมทะเล คือเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ระดับหนึ่งเพราะกังหันลมนั้นชาวบ้านทำเองได้ การเลือกอุปกรณ์ในส่วนของการเลือกซื้ออุปกรณ์นั้นแผงโซล่าเซลล์ถ้าเป็นไปได้ให้เข้าสู่เครือข่ายก่อน เครือข่ายที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ไม่ต้องรีบที่จะติดตั้งแต่ให้รู้เท่าทันว่าแผงพวกนี้มันทำงานอย่างไร ความต้องการของครัวเรือนของเราว่าใช้ไฟเดือนละเท่าไร เช่นใช้ไฟเดือนละ 1,000 บาทก็อาจจะติดตั้งประมาณ 1.5 กิโลวัตต์ราคาจะตกอยู่ประมาณ 70,000 – 80,000 บาท อุปกรณ์ก็จะให้เลือกว่าจะซื้อแบบไหนถ้าเป็นแผงก็ต้องเป็นแผงที่รับประกัน รับประกันนี่คือมีตัวซีเรียลนัมเบอร์เลย ซึ่งตอนนี้ก็หายากอยู่ในประเทศไทย ถ้าเราซื้อแผ่นเดียวราคาก็จะสูงกว่าซื้อ 10 แผ่นหรือ 100 แผ่นแต่ถ้าร่วมมือกันระบบกลุ่มแล้วค่อยซื้อมาแบ่งกันมันก็จะถูกลง โดยซื้อจากบริษัทที่อาจจะนำเข้าจากจีนหรือในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองของ IEC (International Electrotechnical Commission) หรือ มอก. ซึ่งก็ได้การรับรองจากมาตรฐานสากลเชื่อถือได้ ตอนนี้เรากำลังคิดถึงเรื่องโซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์นำไปสู่การทำเพื่อประโยชน์สังคม คิดว่าตรงนี้เป็นแนวทางที่พอเป็นได้และเรื่องอินเวอร์เตอร์ต้องออกแบบว่าเราจะใช้ระบบที่มีแบตฯ หรือไม่มี ถ้าระบบที่มีแบตฯ ก็จำเป็นต้องซื้อแบบตระกูลดีฟไซเคิล (Deep cycle) คืออายุการใช้งานจะยาวนานกว่าอย่างน้อย 2 เท่าก็ประมาณ 4 – 5 ปี ผมก็ทดลองมา 2 ปีแล้วต้องรอดูว่ามันจะถึง 5 ปีจริงไหม ต่อมาคือพวกอินเวอร์เตอร์ คอนโทรลชาร์จที่เมื่อก่อนซื้อตัวละประมาณ 2,200 บาท ตอนนี้ลดเหลือประมาณ 1,500 ,800 หรือ 300 บาทก็มี ถ้าเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนที่ใช้แบบนี้แล้วสอบถามข้อมูลจะดีมากอย่าเพิ่งรีบเวลาไปซื้อของ ศึกษาข้อมูลก่อนเอาความสงสัยสอบถามข้อมูลกัน สุดท้ายเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหนก็สอบถามข้อมูลกันได้ เดี๋ยวนี้มีไลน์ มีเฟสบุคสามารถส่งรูปภาพได้ง่ายมาก มันเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการที่จะผลิตพลังงานใช้เอง ผลิตเองได้โดยไม่ต้องเดินสายไฟใหม่ใช้ปลั๊กของตนเอง ถ้าเป็นระบบออนกริด (Grid tie system) เราต้องเลือกซื้ออุปกรณ์ที่เป็น Grid Tie Inverter ที่ได้คุณภาพผ่านการรับรองของ IPA ผ่านการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ผ่านการไฟฟ้านครหลวง และผ่านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพราะบางทีก็ล้ำๆ กันอยู่ บางครั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตรับรองแต่การไฟฟ้านครหลวงไม่รับรองคือมันก็ยังเป็นเรื่องที่ยังมึนๆ กันอยู่เพราะฉะนั้นจะมีกลไกบางอย่างที่บอกว่าตัวไหนใช้ได้ทุกอันและมันปรับตัวของมันเองได้ และต่อมาเมื่อติดตั้งแล้วคือเก็บข้อมูลวิจัยไปด้วยในตัว นี่คือรูปแบบในการนำพาไปสู่การวางแผนได้ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำกันแบบนี้พลังงานของเราจะไม่เกิน 30,000 เมกะวัตต์ / ชั่วโมง ตามที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต ตอนนี้อยู่ที่ 27,000 เมกะวัตต์ อนาคตจะทะลุ 30,000 ได้เพราะ AEC เข้ามา หน้าร้อนมหาวิทยาลัยก็เปิดกันทุกแห่งค่าไฟก็ทะลุช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ถ้าเราปรับตรงนี้ได้ประเทศก็จะรอด บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ แค่ 1 หลังคาเรือนแต่ลองคูณจำนวน 20 ล้านครัวเรือนดูจะรู้ว่าไม่ธรรมดาและยังไม่นับพวกโรงงานอีกซึ่งมันมหาศาลมากเพราะฉะนั้นโรงไหนที่ไม่จำเป็นก็ระงับไว้ไม่ต้องไปสร้าง พีคโหลด 15 % ของ 30,000 เมกะวัตต์ก็ตกประมาณ 4,500 เมกะวัตต์ถ้าสร้างโรงไฟฟ้าโรงละ 800 เมกะวัตต์จะอยู่ที่ประมาณ 6 โรง ทั้ง 6 โรงนั้นเอาถ่านหินมาเผาทิ้งเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เป็นความมั่นคงแค่นี้ผมว่าเรากำลังเผาโลกมากกว่า มลภาวะที่ปล่อยออกไปมันมากมายคือต้องคิดร่วมกันแล้ว ผมไม่อยากที่จะไปต่อสู้แล้วเพราะเหนื่อยที่จะทะเลาะกับหน่วยงานของรัฐที่ต้องมาโต้กันอยู่อย่างนี้ คิดว่า กฟผ. เองก็ไม่อยากให้ประชาชนไม่ชอบหน่วยงานของเขา เพราะฉะนั้นแนวทางหนึ่งที่ทำได้คือหันมาหาทางเลือกร่วมกัน เลิกเถียงกันได้แล้วว่าถ่านหินมันสะอาดหรือไม่สะอาด ประเทศไทยมีแนวโน้มความเสี่ยงเรื่องพลังงาน ต้องวางแผนว่าจะช่วยกันอย่างไร นี่คือสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การจัดการที่ยั่งยืนได้ ยั่งยืนนั้นก็ค่อนข้างไกลแต่จากประสบการณ์ที่ได้ลองทำมาหลายๆ แบบจะรู้เลยว่านิสัยของประเทศไทยจะเป็นแบบไหน ปากน้ำที่ไหลทั้งขึ้นทั้งลงออกทะเลนั้นเยอะแยะ คลื่นทะเล 3,000 กิโลเมตรนั้นไม่ใช่น้อยมันคลื่นทั้งนั้น ประเทศอังกฤษเขาทดลองทำอนาคอนด้า คือคลื่นโยกไปโยกมาก็ได้ไฟออกมาส่งขึ้นฝั่ง การโยกไปมาตามคุณสมบัติของคลื่นที่ส่งผ่านพลังงานของน้ำก็เป็นพลังงานไฟฟ้าได้อยู่ที่เราจะทำหรือไม่ทำ เราไปล็อคความคิดใหม่ๆ เหล่านี้ด้วยผลประโยชน์ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นโอกาสดีของรัฐบาลทหารในช่วงนี้มากที่จะผลักดันเรื่องนี้ อย่าไปทะเลาะกับชาวบ้านเรื่องสร้างโรงไฟฟ้าอีก 9 โรง ทะเลาะเรื่องเหมืองทอง 300 แห่ง หรือเรื่องโค่นต้นยางพาราในอุทยาน มันต้องคิดใหม่ว่าทำไมเราต้องไปโค่นมัน ต้นยางมันก็ผลิตอ็อกซิเจนออกมาให้ทุกวันจะไปโค่นมันทำไม แต่คุณต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดอย่าให้เกิดความขัดแย้งเพราะสุดท้ายก็ต้องมีคนเสียใจ รัฐบาลต้องเริ่มได้แล้วถ้าจะคืนความสุขไม่ใช่ให้ความทุกข์เพิ่ม     ในส่วนของหลังคาเรือนนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างโซล่าฟาร์มเลย ไม่ต้องหาที่ 10 – 20 ไร่เพื่อจะสร้างโซล่าฟาร์มเพราะว่าอาจจะไม่จำเป็นใช้หลังคาชาวบ้าน หลังคาโรงงานในกรุงเทพฯ ก็พอ ลองทำกันดูแล้วเราจะพบว่าทำไมเราปล่อยให้แดดมันเสียไปก่อนหน้านี้ น่าเสียดายแดดจริงๆ      

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 176 ความปลอดภัยต้องอาศัยองค์ความรู้

“รถยนต์จะปลอดภัยหรือไม่ คนไม่ค่อยสนใจ คนไทยคิดอย่างเดียวว่าถ้าอยากปลอดภัยก็ต้องซื้อรถแพง ปลอดภัยต้องเสียเงิน และเชื่อด้วยว่ารถที่ผลิตมาแล้วก็ปลอดภัยหมด”“บ้านเราผลิตรถ แต่ทุกคนไม่รู้หรอกว่ารถสามารถสั่งตัดได้ และบ้านเราก็ไม่มีองค์ความรู้ด้านนี้ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนมากมาย แต่เรากลับไม่รู้เลยว่ารถแต่ละคันปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน แล้วเราจะไปถึงเป้าหมายเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนได้อย่างไร” รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม นักวิชาการด้านวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ บัณฑิตวิทยาลัย วิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน (Thai–German Graduate School of Engineering) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือที่มาของหลักสูตรวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยรถยนต์    ผมทำงานสายยานยนต์มาตั้งแต่เรียนจบมาเมื่อ 15 ปีก่อน ตอนนั้นอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ในประเทศไทยกำลังบูม สาขาวิชาหลักๆ สำหรับอุตสาหกรรมนี้ก็มีวิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมการผลิต และวิศวกรรมไฟฟ้า ผมเองจบทางช่างยนต์แต่ไม่ได้มีส่วนในการออกแบบรถยนต์อย่างที่เรียนมา เพราะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ให้ทำตามแบบของเขา บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ก็มีหน้าที่ทำให้ได้ตามข้อกำหนดของบริษัทแม่ ในประเทศไทยเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทำกันมา คือการผลิตชิ้นส่วนอย่างไรให้ลดต้นทุน จนผมมีโอกาสได้ไปดูงานของรัฐบาลเยอรมันที่เขาจะทำหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ ก็ได้เห็นว่าแตกต่างกันมากกับวิศวกรรมยานยนต์ที่เมืองไทย ที่นั่นเขาทำวิจัยร่วมกับอุตสาหกรรมบริษัทรถในการผลิต เพราะว่าเขามียี่ห้อรถของเขา แล้วเขาก็ทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยด้วย พอเราได้ไปดูงานของเขามาแล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็จัดสร้างหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ขึ้น โดยเอาเนื้อหาหลักสูตรทั้งหมดจากเยอรมันมาใช้ ซึ่งเนื้อหาของเขาลงลึกมาก รวมงานวิจัยเข้าไปด้วย เน้นเรื่องการออกแบบ การผลิต ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ แต่หลังจากเปิดหลักสูตรไปสักพักหนึ่งมันไม่ไหว มีคนตั้งคำถามว่าเด็กจบไปแล้วจะไปทำอะไร เพราะเราไม่ได้ออกแบบรถเอง แต่ความจริงแล้วเราได้องค์ความรู้ไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมกับบริษัทรถ จะได้พูดภาษาเดียวกันได้ ร้อยละ 80 ของนักศึกษากลุ่มแรกๆ เป็นอาจารย์ เช่น อาจารย์จาก ม.ราชมงคลฯ และอีกหลายแห่งที่อยากจะพัฒนาบุคลากรในสายยานยนต์ สักพักหนึ่งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็เปิดหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ ทีนี้คำว่าวิศวกรรมยานยนต์ของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ไม่เหมือนกัน มันไม่ชัดว่าเนื้อหาหลักสูตรของแต่ละที่เป็นอย่างไร คนที่มาสมัครเรียนเขาก็ไม่รู้ว่าเรียนจบไปแล้วจะทำอะไร มีคนที่ประเมินหลักสูตรเขาถามว่าจบวิศวกรรมยานยนต์ที่ TGGS (Thai – German Graduate School of Engineering) แล้วจะไปทำอะไร ผมเลยเปลี่ยนหลักสูตรเป็น “หลักสูตรวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัย”ทำไมต้องหลักสูตรนี้?    ที่เราทำด้านนี้เพราะว่าผมทำโครงการรถบัสของขนส่ง(กรมการขนส่งทางบก) เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2555 – 2556 พอทำแล้วมันได้ใช้องค์ความรู้เรา ทำแล้วมันมีผลกระทบต่อสังคม ซึ่งในสายวิศวกรรมนั้นจะไม่ค่อยมีผลต่อสังคมเท่าไร พอได้ทำตรงนี้แล้วคนสนใจและอยากรู้ ก็เลยเปลี่ยนหลักสูตรให้สอดคล้องกัน โดยเอาเนื้อหาเดิมมาขัดเกลาใหม่ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะกับประเทศไทย นั่นคือประเทศไทยไม่มีบริษัทรถเอง มีแต่ผู้ใช้รถ หลักสูตรจึงเน้นทดสอบรถด้านคุณภาพ มาตรฐาน สภาพรถ การประหยัดน้ำมัน ฯลฯ การจะประเมินเรื่องนี้เราต้องใช้ซอฟแวร์หรือกระบวนการอะไร ในหลักสูตรจะมีเรื่องพวกนี้อยู่ มีการทดสอบชิ้นส่วนต่างๆ เช่น เกียร์ต้องทดสอบอย่างไร เครื่องยนต์ทดสอบอย่างไร ประเมินอย่างไร นี่คือหลักสูตรเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ผลิต  หลักสูตรของเราเน้นด้านหลักๆ 4 ด้าน คือ การผลิตรถยนต์ การทดสอบประเมินรถ มาตรฐานกฎเกณฑ์ต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล รวมถึงการจำลองการบาดเจ็บ/ความปลอดภัยยานยนต์ การประเมินหรือการทดสอบที่อาจารย์ภาคภูมิใจ    การทดสอบรถบัสทั้งแบบ 1 ชั้นและ 2 ชั้น ด้วยเครื่องมือทางวิศวกรรม เช่น การจำลองเหตุการณ์ ซึ่งก่อนที่เราจะทดสอบเราก็ประเมินก่อนแล้วว่าไม่มีคันไหนผ่าน เราเลือกรถจากกลุ่มที่มีกระบวนการผลิตที่ดีที่สุดในรูปแบบบริษัท และเมื่อประเมินโดยใช้การคำนวณทางตัวเลขวิเคราะห์ก็ไม่ผ่าน แต่การจำลองทางคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรมมันก็ไม่ชัดเจนเท่ากับเห็นภาพ เพราะมันเป็นแค่ตัวเลข พอเรารู้แล้วว่าไม่ผ่านก็สร้างเครื่องทดสอบให้เห็นเลยว่าทำไมไม่ผ่าน คือในระยะแรกเราทำการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ให้เห็นคุณภาพรถว่าเป็นอย่างไร และสร้างเครื่องทดสอบ วิเคราะห์ออกแบบใหม่ เราออกแบบโดยใช้หลักคณิตศาสตร์ แล้วสร้างเครื่อง สร้างรถ สร้างรูปแบบของโครงสร้างที่เราออกแบบ โครงการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 2 เดือนตั้งแต่สร้างเครื่องทดสอบ ประเมินรถ แล้วออกแบบโครงสร้างที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้วนำมาทดสอบ เราไม่ได้ทำแค่สร้างเครื่องทดสอบ แต่รวมไปถึงการปรับปรุงพัฒนาภายใต้เงื่อนไขของข้อกำหนด ซึ่งในการออกแบบทางกระบวนการวิศวกรรมนั้นค่อนข้างยาก ผมสามารถออกแบบให้โครงสร้างรถบัสมีน้ำหนักเบา แข็งแรง ราคาถูกได้ แต่ถ้าจะออกแบบให้ถูกด้วยมันยากตรงที่บ้านเราไม่ใช่ประเทศที่รวย เราอยู่แค่ในระดับปานกลาง ถ้าจะให้ออกแบบให้แข็งแรงปลอดภัย ราคาถูกด้วย เบาด้วย มันทำไม่ได้ แล้วยังมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นรถบัสที่สามารถผลิตได้ในอู่ทั่วไปด้วย เพราะอย่างที่เรารู้กันอุตสาหกรรมต่อรถบ้านเราเป็นอุตสาหกรรมครอบครัว ความสำคัญของความปลอดภัยยานยนต์ในบ้านเรา    ประเทศไทยไม่มีผู้ผลิตรถ องค์ความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ที่ปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยต่อคนนั้นมีน้อย คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีน้อย คือรถยนต์จะปลอดภัยหรือไม่ คนไม่ค่อยสนใจ คนไทยคิดอย่างเดียวว่าถ้าอยากปลอดภัยก็ต้องซื้อรถแพง ปลอดภัยต้องเสียเงิน และเชื่อด้วยว่ารถที่ผลิตมาแล้วก็ปลอดภัยหมด ซึ่งรถบางคันอาจไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เพราะตอนเขาผลิตเขาคำนึงถึงต้นทุนเป็นหลักแพะรับบาป 2 ตัวเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ     ร้อยละ 70 ของการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากคน อีกร้อยละ 20 – 30 คือรถ ซึ่งเราสามารถคุมปัจจัยได้ง่ายกว่า ในบ้านเราแพะรับบาปอย่างแรกคือ “เมาแล้วขับ” อย่างที่สองคือ “ขับรถเร็วเกินกำหนด” ไม่เคยบอกว่าเป็นเพราะยางแตกหรือการเสื่อมสภาพของรถ ผมมีงานวิจัยที่ทำให้ผมรู้ว่า “การขับเร็วเกินกำหนด” เป็นเรื่องของการนั่งเทียน บ้านเราผลิตรถ แต่ทุกคนไม่รู้หรอกว่ารถสามารถสั่งตัดได้ และบ้านเราก็ไม่มีองค์ความรู้ด้านนี้ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนมากมาย แต่เรากลับไม่รู้เลยว่ารถแต่ละคันปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน แล้วเราจะไปถึงเป้าหมายเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนได้อย่างไร ผมมีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง คือมีอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้น แล้วตำรวจ สน.ไทรน้อยขอให้ผมมาช่วย รถคันที่เกิดเหตุชนท้ายรถพ่วง มีพ่อแม่ลูกนั่งมาในรถ พ่อและแม่เสียชีวิตคาที่ ส่วนเด็กไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล รอยเบรกประมาณ 27 เมตร ... คุณคิดว่ารถต้องมาด้วยความเร็วเท่าไร?  ญาติเรียกร้องให้ประกันชดเชย แต่ทางประกันแย้งว่าผู้เสียชีวิตขับรถเร็วเกินกำหนดโดยดูจากรอยเบรก 27 เมตร จากทฤษฎีสามารถคำนวณความเร็วได้ แต่พอดูยางรถยนต์ที่เขาใช้ คือล้อหน้าด้านซ้ายเป็นยางมิชลินปี 2004 ล้อหน้าข้างขวา คือยางมิชลินปี 2007 ปีนี้ปี 2015 เท่ากับใช้มา 8 ปีแล้ว ส่วนยางหลังด้านขวาคือยางกู้ดเยียร์ปี 2011และล้อหลังซ้ายยางกู้ดเยียร์ปี 2010 ผมก็เอายางไปทดสอบในสถานที่จริงเลย เริ่มที่ความเร็ว 30 กม./ชม. ระยะเบรกอยู่ที่ 5 เมตร ถามผู้ใช้รถว่าการใช้ยางแบบนี้ไหวไหม? ถ้าขับในเมืองรถมันติดก็โอเค แล้วลองที่ความเร็ว 60 กม./ชม.ระยะเบรคอยู่ที่ 19 เมตร ถ้าความเร็ว 90 กม./ชม.ระยะเบรกยาวถึง 40 เมตร ก็คือเบรกไม่อยู่โดยใช้ความเร็วที่ 90 กม./ชม.เอง คือความเร็วก็มีส่วน แต่มันไม่ควรเป็นแพะรับบาป กรณีนี้ผู้บริโภคเลือกใช้ยางผิด นั่นคือผู้บริโภคไม่รู้ เราถึงต้องสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เพื่อปลูกฝังและสร้างความตระหนักเรื่องความปลอดภัย  “วัฒนธรรมความปลอดภัย” อยู่ในยุทธศาสตร์ของประเทศหรือยัง?    เรื่องความเร็วในแผนแม่บทเขาก็กำหนดไว้ แต่ทำไม “ออโตบาห์น” ในประเทศเยอรมันไม่มีการจำกัดความเร็ว? นั่นเพราะถนนเขาดี คนขับดี และรถก็ดี คือผมจะบอกว่าเขาเขียนแผนยุทธศาสตร์ผิดจากข้อมูลสถิติที่ผิด เลยทำให้ยุทธศาสตร์ประเทศวางแผนผิดไปหมด จึงทำให้ประเทศไทยมารณรงค์เรื่องเมาแล้วขับ เราเก็บข้อมูลผิดวิธีและไม่นับจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุภายใน 30 วัน คนเขียนข้อมูลเขารู้เลยว่าตำรวจไม่ค่อยให้ข้อมูลเพราะพยายามจะปิดคดี  และการปิดคดีที่ดีที่สุดก็คือระบุว่าเมาแล้วขับ หรือขับเร็วเกินกำหนด มันเลยกลายเป็นแผนไม่เคลื่อนสิ่งที่เราควรรณรงค์จริง คืออะไร    จริงๆ คือต้องรณรงค์ทั้งแผน ไม่ใช่รณรงค์แค่คน ต้องทั้งแผนถึงจะขับเคลื่อน แต่เรื่องรถไม่เคยรณรงค์เลย บ้านเราเน้นเรื่องคนมากกว่า เรื่องถนนก็มีรณรงค์บ้างอย่างถนนที่โค้งอันตราย ตำรวจก็รณรงค์ตรงจุดเสี่ยง ขาดแค่การรณรงค์เรื่องรถ บางทีรถดีแต่มีการใช้งานผิดประเภทอีกเพราะไม่มี “วัฒนธรรมความปลอดภัย” จึงเกิดการใช้รถผิดประเภท?    ใช่ แต่ “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ต้องเป็นองค์ความรู้เรื่องรถยนต์ ยกตัวอย่างบางปลาม้าโมเดล เขาจัดทำนำร่องเรื่องรถโรงเรียนโดยเรียกคนที่มีส่วนร่วมมา เชิญตำรวจมา จัดให้อยู่ในระบบ เชิญหน่วยงานขนส่งฯ มาแนะนำว่าโครงสร้างต้องเป็นแบบไหน แล้วก็สรุปว่านี่คือรูปแบบของรถโรงเรียน แต่ในทางวิศวกรรมถ้ารถลักษณะ(สองแถว) นี้เกิดอะไรขึ้นมา มันเจ็บหนักมาก คุณรู้ไหมว่าทำไมรถรุ่นใหม่ปุ่มสตาร์ทถึงเป็นปุ่มกด? เพราะว่าเวลาชน เข่าของเราจะไปโดนพวงกุญแจ เพราะเขารู้ว่ามันเสี่ยงโดยดูจากข้อมูลอุบัติเหตุ แต่คนที่รู้จริงๆ มีน้อย คนที่ไม่ได้ทำวิจัยจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือวัฒนธรรมความปลอดภัย คือต้องมีองค์ความรู้ ในโครงการบางปลาม้าโมเดลก็เขียนกำหนดลักษณะมาตรฐานรถให้เหมาะสมไว้นะ แต่เขาเชิญขนส่งฯ ซึ่งขนส่งเองก็มีความรู้ระดับหนึ่ง โครงการก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ คือให้นักเรียนนั่งในคอกรถแล้วจะปลอดภัย ทางขนส่งเขาก็มีระเบียบของเขาว่าหลังคาต้องมั่นคงแข็งแรง แต่ความรู้เรื่องความปลอดภัยของรถยังไม่มี ทุกวันนี้คนก็ชื่นชมบางปลาม้าโมเดลและก็จะทำตามแบบนี้ และตอนนี้ก็จะขยายต่อไปด้วย ผมเคยโทรไปหาผู้อำนวยการโรงเรียนบางปลาม้าบอกว่าจะเอารถโรงเรียนของเขามาทดสอบดู เขาก็ไม่กล้าให้เอามาเพราะเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ ถ้าที่เมืองนอกเวลาเอารถมา ต้องทดสอบไดนามิค ดูการเหวี่ยง ดูความเสี่ยง การชนด้านหน้า ทดสอบเบรก คุณภาพรถเป็นอย่างไรอย่างน้อยเมืองไทยก็มีมาตรฐานชิ้นส่วนรถยนต์?    ในวงจรการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย บริษัทรถจะทำออกมาตามเสียงตอบรับจากผู้ใช้ พอได้ชิ้นส่วนก็เข้ามาอยู่ในเทียวัน (บริษัทจัดหาซัพพลายเออร์สำหรับชิ้นส่วนรถยนต์) ก็มีบริษัทหลายบริษัทจนมีสมาคมชื่อว่า สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) ซึ่งมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข้ามาควบคุมดูแล ส่วนกรมการขนส่งทางบกก็มีบทบาทตอนทำการผลิตแล้วตรวจสอบขั้นสุดท้าย ก็มีแค่นี้วงจรของมัน แต่เพื่อการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศไทย รัฐบาลอยากส่งเสริม ทางบริษัทรถก็ให้ความร่วมมือ แต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไร ขั้นตอนโลจิสติกส์มีอะไรบ้าง ทำอย่างไรให้ผลิตได้เยอะขึ้น ก็ทำการวิจัยให้กระบวนการผลิต แต่ไม่ได้มองเรื่ององค์ความรู้เลย เน้นการผลิตอย่างเดียว คุณเชื่อไหมว่าบริษัทที่ขายชิ้นส่วนให้เทียวัน แม้จะขาดทุนก็ยังยอมขาย เพราะเวลาเปลี่ยนอะไหล่ผู้บริโภคก็ต้องกลับมาใช้ของเขา เขาขอให้ได้เข้าไปเป็นชิ้นส่วนในรถให้ได้เป็นพอ ยกตัวอย่างรถที่ใช้แบตเตอรี่ 3K ถ้าคนที่รู้เขาก็อาจจะเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่น แต่คนที่ไม่รู้ เวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ก็ยังใช้ 3K อยู่ดี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 175 ศราพิพัฒน์ ครุฑรัมย์ มั่นใจคนใช้ฟอร์ดต้องการให้ดูแลเรื่องเกียร์อย่างเป็นธรรม

“ร้องทุกข์ 1 ครั้งดีกว่าบ่น  1,000 ครั้ง”  เป็นวลีที่ยังทันสมัยอยู่เสมอ  แล้วถ้ายิ่งมีการรวมกลุ่มกันร้องทุกข์ พลังของผู้บริโภคก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นอีก คุณศราพิพัฒน์ ครุฑรัมย์   เป็นอีกหนึ่งเคสที่เริ่มการพิทักษ์สิทธิจากปัญหาของตัวเอง จนเกิดการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่มีปัญหาเหมือนกัน จนสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายท่านอื่นๆ ผ่านทางเฟสบุค ชื่อ“มั่นใจคนใช้ฟอร์ดต้องการให้ดูแลเรื่องเกียร์อย่างเป็นธรรม” และกลุ่ม “ผู้เสียหายจากการซื้อรถใหม่”   คุณศราพิพัฒน์ ปัจจุบันทำงานอิสระเกี่ยวกับการตลาด, โปรโมทเว็ปไซต์และช่วยงานด้านก่อสร้างให้น้องของเขา เรื่องราวของเขาที่เราเก็บมาฝากเริ่มขึ้นเมื่อเขาใช้สิทธิโครงการรถคันแรกเมื่อปลายปี 2012ก่อนที่จะซื้อรถรุ่นนี้มีการศึกษาข้อมูลมากน้อยแค่ไหนก็ศึกษาข้อมูลมาพอสมควร ต้องบอกว่ารถรุ่นนี้ (ฟอร์ดรุ่นเฟียสต้า) ผมตามมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาผลิตในไทยด้วยความที่ชอบเทคโนโลยีของเขาและรูปลักษณ์ดีไซน์ด้วย พอมาขายในเมืองไทยก็ติดตามอยู่ว่ามันมีปัญหาอะไรบ้างไหมเพราะในต่างประเทศก็มีปัญหาอยู่เหมือนกันแต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่รับได้และด้วยเรื่องเทคโนโลยีที่ชอบจึงตัดสินใจซื้อ และอีกข้อที่ตัดสินใจซื้อคือมันผลิตในเมืองไทย รถรุ่นอื่นที่ไม่ได้ผลิตในไทยจะรออะไหล่นาน 1 – 2 เดือนแต่เฟียสต้าผลิตในไทยจึงคิดว่าคงไม่ต้องรออะไหล่นานนั่นคือเหตุผลโดยรวมที่ทำให้ตัดสินใจซื้อตอนที่ไปซื้อดูอะไรบ้างเนื่องจากเราศึกษาข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว รถรุ่นนี้ผลิตในเมืองไทยปี 2010 ผมซื้อตอนปี 2012 ก็ประมาณปีกว่าๆ ที่ผลิตออกมาซึ่งปัญหาเรื่องเกียร์จะยังไม่ค่อยเจอ และในโบรชัวร์ก็เขียนโชว์คุณสมบัติว่าเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างราบเรียบนุ่มนวล ซึ่งตอนที่ซื้อก็ไม่ได้คุยอะไรกับเซลล์มากมายเพราะว่าศึกษาข้อมูลมาก่อนอยู่แล้ว และมั่นใจในเรื่องโครงสร้างด้วยตัวถังที่ใช้เหล็กโบรอนพิเศษ เรื่องช่วงล่างที่ถ้าเทียบกับรถในราคาระดับเดียวกันมันก็ถือว่าดีกว่า ตอนนั้นเรื่องเกียร์มันไม่มีปัญหาหนักๆ เลย ในต่างประเทศก็ยังไม่เจอปัญหาเรื่องนี้ ตอนนั้นยิ่งทำให้มั่นใจว่าเลือกถูก พอซื้อมาแล้วเป็นอย่างไรบ้างใช้มาได้ประมาณ 1 ปีกว่าๆ ส่วนมากจะขับไปต่างจังหวัด ถ้าช่วงที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะออกจากบ้านประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้งแค่นั้นเอง ขับออกต่างจังหวัดประมาณ 80 % ของการใช้รถเลย พอผ่านมา 1 ปีอาการเริ่มแรกที่เจอคือเวลาออกตัวที่รอบความเร็วต่ำรู้สึกรถมันจะสั่นเหมือนเวลาขับบนทางที่มีเส้นประบนถนนเลย ครั้งแรกที่เจออาการผมจำได้แม่นว่าตอนนั้นอยู่บนถนนเส้นอโศกซึ่งไม่มีเส้นประเป็นทางเรียบๆ ช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม รถค่อนข้างติด พอออกตัวไปรู้สึกรถมันสั่นแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก กลัวจิตตกเพราะไม่เคยเจออาการแบบนี้มาก่อนแต่พอขับๆ ไปคืนนั้นมีอาการตลอดเลยเวลาหยุดรถแล้วตอนออกตัวก็จะสั่นทุกครั้ง ผมจึงเอารถไปเข้าศูนย์ฯ ทางศูนย์ฯ แจ้งว่าซีลเกียร์รั่ว น้ำมันรั่วไปโดนชุดคลัทช์ต้องเปลี่ยนชุดคลัทช์ ซึ่งรถยังอยู่ในประกันเพราะประกัน 3 ปีหรือ 1 แสนกิโลเมตร ตอนไปเช็คอาการทางศูนย์ฯ ก็รู้แล้วว่ารถเป็นอะไรจึงออกใบเช็คอาการให้พร้อมใบนัดแต่กว่าจะได้เคลมก็ประมาณ 3 เดือนนั่นหมายถึงผมต้องใช้รถในสภาพนี้ไปอีก 3 เดือน แล้วตัวคลัทช์มันก็เสียหายไปเรื่อยๆ พอถึงวันนัดทางศูนย์ฯ ก็เปลี่ยนชุดคลัทช์ให้แต่วันที่เช็ครถนั้นยังมีอาการหม้อน้ำรั่วอีกอย่างซึ่งข้อมูลนี้ผมลองสอบถามกับช่าง ซึ่งช่างบอกว่าปัญหาเรื่องหม้อน้ำรั่วก็เจอเยอะสำหรับรถรุ่นนี้ ผมคิดว่าตัวหม้อน้ำมันเป็นเรื่องของคุณภาพเพราะปกติทั่วไปถ้าใช้รถจนเกือบพังมันก็ปกติที่หม้อน้ำจะรั่ว แต่นี่เจอกันหลายคันที่เป็นลักษณะเดียวกันนี้ หลังจากเปลี่ยนชุดคลัทช์มาก็ใช้รถมาเรื่อยๆ ได้ประมาณ 1 ปีอาการเดิมก็เริ่มกลับมาเป็นอีก เวลาขับขึ้นทางชันจะออกอาการทันที รถจะสั่น เวลาเหยียบคันเร่งก็จะมีอาการ ซึ่งครั้งนี้ผมยังไม่ได้เอากลับไปให้ศูนย์ฯ เช็คกำลังจะไปเร็วๆ นี้เพราะใกล้จะหมดประกันแล้วด้วยแล้วคนอื่นๆ ที่เจอปัญหานั้นได้มีการคุยกันบ้างไหมกับคนอื่นๆ นั้นมีปัญหากันค่อนข้างเยอะ พวกเราเลยมีการรวมกลุ่มกันเพราะคนที่ใช้รถรุ่นนี้เจอปัญหาลักษณะเดียวกันคือเรื่องเกียร์ เรื่องชุดคลัทช์จึงตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า “มั่นใจคนใช้ฟอร์ดต้องการให้ดูแลเรื่องเกียร์อย่างเป็นธรรม”  ซึ่ง 90 % เป็นคนที่ใช้ฟอร์ดเฟียสต้า ส่วนจำนวนสมาชิกยังไม่ได้มีการลงทะเบียนรวบรวมอย่างเป็นทางการแต่เท่าที่ประเมินจากการที่เข้ามาร่วมพูดคุยกัน สถิติถึงเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 อยู่ที่ประมาณเกือบ 500 คัน ปัญหาที่เจอเหมือนของผมต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก 3 – 4 ครั้งก็มี ซึ่งรถก็ไม่มีคันไหนอายุการใช้งานเกิน 5 ปีสักคัน ส่วนใหญ่มีปัญหากันตั้งแต่ช่วง 1 – 2 ปีที่ซื้อรถมาแต่บางคันที่โชคไม่ดีเจอปัญหาตั้งแต่ 5,000 กิโลเมตรก็มีนี่คือรถที่ผลิตในช่วงปีเดียวกันหรือเป็นรถรุ่นอื่นๆ บ้างไหมล็อตที่ผลิตนั้นไม่แน่ใจแต่รถที่มีปัญหามีทุกปีตั้งแต่รถที่ผลิตปี 2010 ที่เขาผลิตมาล็อตแรกๆ รวมไปถึงผลิตปี 2011 – 2013 ส่วนของปี 2014 ผมยังไม่ค่อยมีข้อมูลแต่ก็เริ่มมีรถที่มีปัญหาเหมือนกันกิจกรรมของกลุ่มมีอะไรบ้างจะมีอยู่หลายส่วนเหมือนกันเพราะกลุ่มของเรามองว่าปัญหาที่เจอมันคือปัญหาเรื่องคุณภาพของชิ้นส่วนรถยนต์ไม่ได้มาตรฐาน ถึงแม้ว่าศูนย์ฯ จะรับประกันให้เราก็จริงแต่บางคันปัญหามันเกิดแล้วเกิดอีก จึงมองว่าถ้าคุณภาพของชิ้นส่วนรถมันดีมันไม่ควรจะเกิดปัญหาซ้ำบ่อยขนาดนี้ภายในระยะเวลาแค่ 3 ปี ซึ่งกิจกรรมเบื้องต้นที่ทำก็คือรวมกลุ่มกันไปออกรายการของทางช่องไทยพีบีเอส 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็รวมตัวกันไปที่สำนักงานใหญ่ของฟอร์ดเพื่อเรียกร้องให้เขารับผิดชอบเยียวยาพวกเรา ซึ่งช่วงนั้นก็มีเป็นข่าวอยู่บ้างก็จะเห็นว่าทางฟอร์ดมีวิธีการต่างๆ นานาที่จะไม่ยอมเจรจา ถ้ามีการเจรจาก็มีการตั้งเงื่อนไขขึ้นมาว่าต้องไม่มีการพกโทรศัพท์ ห้ามบันทึกเสียง ห้ามเผยแพร่ข้อมูลในการพูดคุย ซึ่งผมคิดว่ามันไม่โปร่งใสทำให้การเจอกันเพื่อขอเจรจาในครั้งนั้นจึงล้มเหลว หลังจากนั้นพวกเราจึงนัดรวมตัวกันอีกรอบหนึ่ง วันที่ 17 มกราคม 2558 ซึ่งก่อนวันที่จะรวมตัวทางฟอร์ดก็มีการประกาศขยายเวลารับประกันอะไหล่ที่มีปัญหาคือชุดคลัทช์และอีกอย่างคือ TCM (กล่องควบคุมเกียร์) ที่เริ่มมีปัญหากันเยอะซึ่งมันไม่น่าจะเสียง่ายขนาดนี้ รถบางยี่ห้อใช้เป็น 10 ปียังไม่เสีย แต่ของเราพ้น 3 ปีไปนี่คือต้องคอยลุ้นว่ามันจะเสียเมื่อไรเพราะอาการของมันเราจะสังเกตเองไม่ได้เพราะว่าไม่มีอาการบ่งชี้ อย่างชุดคลัทช์เรายังสังเกตจากการที่รถมันสั่น แต่กล่อง TCM นี้มันเป็นชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกซ์ มันจึงไม่มีอาการบอกล่วงหน้ามีแต่สัญลักษณ์ไฟซึ่งก็ไม่แน่นอน เวลาเสียแล้วรถจะวิ่งได้ที่ความเร็ว 20 – 40 กิโลเมตร / ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งมันอันตรายตรงที่เวลาเราขับรถด้วยความเร็วสูงแล้วมันเกิดเสียขึ้นมาความเร็วรถมันจะลดลงทันที ถือว่าอันตรายมากอาจเกิดอุบัติเหตุได้    ย้อนกลับไปตอนที่นัดชุมนุมกันทางฟอร์ดขยายเวลารับประกันชุดคลัทช์กับตัว TCM ให้ซึ่งชุดคลัทช์ขยายให้เป็นรับประกัน 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ส่วน TCM ขยายเป็น 10 ปี อันนี้ไม่แน่ใจว่าฟอร์ดเขากลัวพวกเรารวมตัวกันเยอะๆ หรือเปล่าจึงประกาศการขยายเวลารับประกันออกมาก่อนเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาได้ดูแลพวกเราแล้วนะ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ทุกวันนี้พวกเรายังรวมตัวกันอยู่ ทำไมยังไม่สลายตัวคือตอนนี้เขาขยายเวลารับประกันให้แล้ว แต่เราพบว่ามันมีปัญหาที่มันเกี่ยวเนื่องกันเพิ่มขึ้นมาอีกเพราะฉะนั้นเราจึงต้องรวมตัวกันอยู่เพื่อที่จะดูแลซึ่งกันและกัน ให้คำปรึกษาคนที่เขาเพิ่งเจอปัญหา เหมือนการรวมพลังของกลุ่มผู้บริโภคและอีกเหตุผลคือมีการหารือกันถึงเรื่องการฟ้องร้อง ถ้าแยกเป็นแต่ละกรณีนั้นปัญหาค่อนข้างเยอะ บางรายเป็นเยอะมาก ผมขอพูดในนามตัวแทนกลุ่มเลยว่าปัญหาของผมก็เหมือนปัญหาของกลุ่มแต่ว่าบางคนในกลุ่มปัญหาค่อนข้างหนัก ที่ยังรวมกลุ่มกันเพราะพวกเรามองว่าฟอร์ดควรจะรับผิดชอบพวกเรามากกว่านี้โดยเฉพาะรุ่นเฟียสต้าหรือรุ่นที่ใช้พาวเวอร์ชิพ อย่างทุกวันนี้ปัญหาชุดก้ามปูก็เกี่ยวเนื่องมาจากปัญหา 2 อย่างนี้พอเป็นบ่อยๆ ก็ส่งผลกระทบกับก้ามปูซึ่งชุดหนึ่งราคาค่อนข้างแพง ประมาณ 3 – 4 หมื่น ก็มีเป็นกันอยู่หลายราย สมาชิกในกลุ่มเวลาขับรถไปก็ลุ้นกันว่าตัวเองจะเจอเมื่อไร ใครจะเจอแจ๊กพ็อตปัญหาก้ามปูตามมานอกจาก 2 ปัญหาแรกที่เราเจอกันอยู่แล้ว และแนวทางของกลุ่มหลังจากนี้คือจะช่วยกันดูแลกันและกัน ผมมองว่ามีประโยชน์มากเพราะบางรายนั้นไปเข้าศูนย์ฯ ซึ่งพูดได้ว่าศูนย์ฯ บางแห่งไม่ตรงไปตรงมาอย่างเช่นนับอายุประกันรถไม่ครบ พอคนที่เจอปัญหาเข้ามาที่กลุ่มพวกเราก็ให้คำปรึกษาช่วยเหลือกันไป บางรายเจอปัญหาที่ทางศูนย์ฯ สามารถวิเคราะห์ได้อยู่แล้วว่าปัญหามันคืออะไรแต่ศูนย์ฯ พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะไม่รับผิดชอบ ซึ่งทางกลุ่มก็ให้คำแนะนำเพื่อให้สมาชิกได้ไปเจรจากับศูนย์ฯ อีกครั้งก็ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่อย่างนั้นกรณีที่เคยเจอมาหลายรายคือต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ อีกประเด็นคือหลังจากได้คุยกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีโอกาสได้ร่วมเสวนากันมาหลายครั้งซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้มีการผลักดันองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งผมก็เห็นด้วยในแนวทางนี้จึงได้ชวนเพื่อนๆ ในกลุ่มไปร่วมลงชื่อสนับสนุนเยอะพอสมควรและอีกเรื่องคือเรื่องกฎหมาย Lemon Law จากการรวมตัวกันตรงนี้ที่คิดว่าควรจะมีกลุ่มผู้บริโภคในบ้านเราเพื่อผลักดันอะไรก็ได้ที่มันคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีขึ้น ซึ่งพวกเราก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งตั้งขึ้นมาได้ไม่ถึงเดือนคือ “ผู้เสียหายจากการซื้อรถใหม่”(กลุ่มทางเฟสบุค) ตอนนี้มีสมาชิกประมาณ 300 คน โดยทางมูลนิธิฯ ได้ตั้งชื่อให้ซึ่งผมก็รู้สึกว่ามันตรงดีเพราะกลุ่มแรกจะเน้นไปที่ผู้ใช้รถฟอร์ด ก็คิดกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะดึงคนที่มีปัญหาเดียวกันแต่เป็นรถยี่ห้ออื่นๆ จึงตั้งอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อจะรวมทุกยี่ห้อจะได้ช่วยเหลือดูแลกันเวลาเจอปัญหาและเพื่อเรียกร้องสิทธิ อีกเรื่องที่รวมตัวคือเพื่อจะร่วมช่วยกันผลักดันกฎหมาย Lemon Law และองค์การอิสระฯ คือทุกวันนี้เรารู้กันอยู่แล้วว่าในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคบ้านเราค่อนข้างมีปัญหา อย่างกลุ่มของเราต้องพูดตรงๆ ว่าเราไม่ค่อยเชื่อมั่นในหน่วยงานของรัฐ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยไปร้องเรียนกับหน่วยงานรัฐเลย เริ่มตั้งแต่รวมตัวกันเรียกร้องกับฟอร์ดโดยการส่งจดหมายไปบริษัทแม่ ส่งไปที่ฟอร์ดประเทศไทย แต่ไม่ไปเรียกร้องกับหน่วยงานรัฐเพราะมีเหตุผลคือไม่เชื่อมั่น จึงเป็นที่มาว่าเราเห็นด้วยกับแนวทางของมูลนิธิฯ ในการผลักดันองค์การอิสระฯ และกฎหมาย Lemon Law ที่คุ้มครองเรื่องสินค้าชำรุดโดยตรง     ตอนนี้แนวทางของกลุ่มคนใช้รถฟอร์ดในปลายปีนี้จะมีการรวมตัวกันดูประเด็นแล้วอาจมีการฟ้องร้องกลุ่มกับฟอร์ดประเทศไทย เพราะบางคนปัญหาหนักแล้วเขาก็ไม่ต้องการใช้รถคันนั้นแล้ว จะขายราคาก็ตก มันมีหลายๆ ปัญหา ทางฟอร์ดควรรับผิดชอบมากกว่านี้ ควรรับซื้อคันที่มีปัญหาเดิมเกิดขึ้นหลายๆ ครั้งคืนไป ส่วนเงื่อนไขอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันอีกทีซึ่งตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่เข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว ส่วนกิจกรรมของกลุ่ม “ผู้เสียหายจากการซื้อรถใหม่” ก็คงมีกิจกรรมร่วมกับมูลนิธิฯ เรื่อยๆ เพื่อช่วยกันผลักดันกฎหมายและผลักดันแนวทางกลุ่มเพื่อดูแลคนที่ซื้อรถมาใหม่ๆ เกิดปัญหาควรจะทำอย่างไรไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกัน นี่เป็นแนวทางกว้างๆ ของกลุ่ม ช่วยแนะนำคนที่จะซื้อของไม่ว่าจะเป็นรถหรือสินค้าอื่นๆ ในฐานะที่มีประสบการณ์เจอปัญหามาผมว่าผู้บริโภคไม่ว่าจะเกี่ยวกับสินค้าอะไรนั้น เมื่อเกิดปัญหาควรจะรวมตัวกันให้ได้ อย่างเช่นกลุ่มคนใช้มือถือ อย่างน้อยเวลาเกิดปัญหาจากกการที่สินค้าไม่ได้มาตรฐานจะได้มีพลังในการเรียกร้องเพื่อปกป้องสิทธิของเรา และยังสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เวลาเกิดปัญหา อย่างกลุ่มของผมค่อนข้างมีประโยชน์มากๆ เวลาเพื่อนสมาชิกมีปัญหาแล้วเขาไม่มั่นใจในการวิเคราะห์ของศูนย์ฯ บางทีช่างอาจจะรู้แต่เขาไม่อยากรับผิดชอบจึงวิเคราะห์อาการมาแบบไม่ตรงเพราะบางศูนย์ฯ ก็มีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อจะขายของเพิ่ม รถเป็นนิดเดียวแต่ให้เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่เพิ่มเพื่อจะให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงิน ซึ่งเรื่องนี้พอมีกลุ่มขึ้นมาก็สามารถแนะนำกันได้ว่าปัญหาแบบนี้มันควรจะแก้ไขอย่างไรเพราะคนในกลุ่มมีการใช้งานที่หลากหลาย แก้ไขปัญหากันมาหลากหลายจึงสามารถแนะนำกันได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เราเสียเปรียบผู้ผลิตและได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอ การร้องเรียนด้วยตัวเองบางทีมันก็เหนื่อยหรือไม่มีพลังมากพอ ถ้าเรามีหลายๆ กลุ่มพอมีนโยบายที่เป็นระดับชาติเราก็มารวมตัวกันอีกที อย่างเช่นปัญหาเรื่องบ้านก็เข้าใจว่าพวกเขาคงมีกลุ่มเหมือนกัน ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าพอมีปัญหาก็โทษหน่วยงานรัฐว่าทำงานไม่เต็มที่โดยลืมไปว่าบางทีผู้บริโภคเองก็หละหลวมที่จะปกป้องสิทธิของตนเอง เราควรรวมตัวกันเพื่อให้เป็นพลัง ถ้าหน่วยงานรัฐทำงานไม่เต็มที่ก็มีกลุ่มพวกนี้ที่คอยกระตุ้นให้รัฐทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 174 “สังฆทานหมดอายุ เราทำได้มากกว่าการบ่น”

คุณบูรณ์มี ศิริเศรษฐวรกุล หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่าพี่ปิ๋ม พี่ปิ๋มทำงานด้านการเงินของบริษัทเอกชนที่ทำงานด้านจิตอาสาแห่งหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน เธอมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเกี่ยวเรื่องถังสังฆทานหมดอายุ (ก่อนที่คลิปพระรื้อสังฆทานหมดอายุอันโด่งดังเสียอีก) แต่เมื่อเทศกาลเข้าพรรษาแวะเวียนมาอีกครั้ง และปัญหาเรื่องถังสังฆทานหมดอายุก็ยังมีอยู่  เราจึงขอให้เธอเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกครั้ง เพื่อให้หลายๆ คนที่คิดจะซื้อได้หันมาใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น หรือถ้าจะลงมือจัดเองจะเริ่มต้นอย่างไรอยากให้เล่าเหตุการณ์เป็นมาอย่างไรเรื่องที่เจอถังสังฆทานหมดอายุตอนนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษาและเป็นช่วงใกล้วันเกิดด้วยก็อยากไปทำบุญ เผอิญไปเห็นถังสังฆทานซื้อ 1 แถม 1 จึงซื้อมาและพอมาถึงบ้านก็แกะดูเพราะจะเอาของอื่นๆ ใส่เพิ่มอีก แต่พอหยิบออกมาก็เห็นข้อแตกต่างตรงสติ๊กเกอร์เพราะมันไม่เหมือนกัน ลักษณะสติ๊กเกอร์มันเก่า 1 อัน ใหม่ 1 อัน ปรากฏว่าหมดอายุไปเมื่อเดือน พ.ค. แต่ว่าซื้อตอนเดือน ก.ค. แต่ถังหมดอายุไปก่อนแล้ว 1 ถัง ส่วนอีกถังยังไม่หมด ความตั้งใจแรกคือจะเอาไปเปลี่ยนที่ห้างฯ ที่ซื้อมา แต่บังเอิญรู้จักกับคุณกรรณิการ์ (กรรณิการ์ กิตติเวชกุล กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค) จึงได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้จะต้องทำอย่างไรต่อไปดี ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดอยากจะให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรกัน ของข้างในหมดอายุด้วยหรือเปล่านั้นก็ยังไม่ทันได้สังเกต จึงจัดการนำถังสังฆทานที่มีปัญหาไปให้ทางเจ้าหน้าที่ที่มูลนิธิฯ ดู ปรากฏว่าของข้างในก็หมดอายุเหมือนกัน ของที่จะเอาไปทำบุญเลยต้องซื้อใหม่หมดแต่ไม่ได้ซื้อที่เดิมแล้ว เปลี่ยนห้างไปเลยและไม่ซื้อเป็นถังแบบนี้แล้ว ซื้อแยกเป็นพวกผ้าห่ม เป็นของที่สามารถเก็บได้แทนเพราะเคยแค่ได้ยินมาเรื่องถังสังฆทานหมดอายุแต่ยังไม่เคยเจอกับตัวเอง เพราะเวลาซื้อมักจะไม่ได้แกะดู ถ้าหมดอายุคนที่รู้ก็จะเป็นพระสงฆ์ที่แกะและอีกอย่างก็เชื่อใจร้านค้าเพราะเป็นห้างดังไม่คิดว่าจะมีแบบนี้ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ก็ถามว่าต้องการจะฟ้องร้องไหม ตอนนั้นคิดว่าไม่ดีกว่าเพราะเราตั้งใจจะทำบุญ ถ้าไปฟ้องก็เป็นการเอาทุกข์ไปให้เขา แต่ว่ามูลนิธิฯ ต้องการจะทำจดหมายส่งไปว่ามีคนมาร้องเรียนทางมูลนิธิฯ จึงดำเนินเรื่องต่อให้ และถ้ามีการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเราก็ไปเป็นพยานให้ ก็ตกลงกันตามนี้ ตอนไปเจรจาก็มีเจ้าหน้าที่ของห้างมากัน 2 คน เราก็ไปกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ซึ่งสรุปทางห้างก็ยอมรับว่าทางเขาผิดจริงอาจจะเพราะความผิดพลาดของพนักงานห้างเองที่ไม่ได้ดูให้ละเอียด เพราะห้างมีฝ่าย QC ที่ตรวจสอบสินค้าก่อนเอามาจำหน่าย แต่เวลาสั่งของจากโรงงานมันมีจำนวนเยอะและต้องกระจายไปตามสาขาต่างๆ อาจจะตรวจได้ไม่ทั่วถึง อันนี้เป็นคำพูดของทางห้างที่แจ้งมาแต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งทางห้างก็ถามว่าเราต้องการให้เขาชดเชยในด้านความรู้สึกอย่างไรเพราะมันเป็นของที่ซื้อมาเพื่อทำบุญ เจอแบบนี้เราก็เอาสินค้าชิ้นนี้ไปทำบุญไม่ได้ และเราได้ซื้อสินค้าอื่นไปทำบุญแทนถังสังฆทานนี้แล้ว จึงบอกไปว่าเรียกร้องไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้ ทางมูลนิธิฯ จึงเสนอว่าให้เรียกร้องตามกฎหมายแล้วกัน ก็คือเงิน 20,000 บาท แต่ทางห้างต่อรองลงมาเหลือ 15,000 บาท ก็ตกลงกันที่ 15,000 บาท ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้อยากเรียกร้องอะไรจากเขาเลยแต่ที่ต้องทำเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานตามกฎหมายไม่อย่างนั้นความระมัดระวังของห้างก็จะไม่มีความรอบคอบในการตรวจเช็คสินค้าก่อนออกมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภค เพราะสินค้าตัวนี้เข้าใจว่ากำไรก็คงไม่ได้เยอะมากและถ้าต้องมาเสียหายกับการที่สินค้าหมดอายุและมีคนเรียกร้องบ่อยแทนที่ห้างจะได้กำไรก็กลับไม่ได้ เราเลยต้องใช้สิทธิเพื่อไม่ให้เกิดกับคนอื่นได้อีก พอตกลงกันได้ในวันถัดมาทางห้างก็เรียกให้ไปรับเงิน แต่เท่าที่ได้คุยกับเขาคือเงินที่ได้ไม่ใช่จากทางห้างเป็นคนจ่ายแต่เป็นเงินที่พนักงานต้องหารกันจ่าย ทำนองว่าทางบริษัทไม่รับผิดชอบเพราะเป็นความประมาทเลินเล่อของพนักงานเอง ทางพนักงานก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องราวต่อจึงรับผิดไป ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังเหตุการณ์ที่มีพระถ่ายคลิปมาแฉไม่แน่ใจเหมือนกันแต่รู้สึกจะเกิดก่อนแล้วก็มาเห็นข่าวแล้วยังคิดถึงเรื่องตัวเองว่า ถ้าเราเอาไปถวายพระจะเป็นอย่างไร พระท่านคงเจอปัญหานี้มาเยอะมากจนต้องออกมาบอกประชาชนว่า ถังสังฆทานแบบนี้อย่าซื้อมาเลยเพราะบางอย่างพระก็ใช้ไม่ได้ อย่างเช่นผ้าสบงที่สั้นจนใช้จริงไม่ได้ เดี๋ยวนี้เวลาจะทำบุญเลยจัดเองโดยการไปซื้อกล่องบรรจุมาก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าจะใส่อะไรได้บ้าง ก็ซื้อยา ซื้อผ้าอังสะมาจัดเอง ตอนนี้ซื้อตามร้านขายของสังฆภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานเพราะร้านแบบนี้ส่วนใหญ่คนซื้อไปสำหรับงานบวชถ้าไม่ดีคนที่ซื้อไปก็กลับมาต่อว่าเอาได้ เลยซื้อร้านสังฆภัณฑ์แบบนี้ดีกว่า พวกผ้าสบง อังสะ ผ้าอาบน้ำฝน มีดโกน สมุดปากกา และยาสามัญประจำบ้านที่ขายเป็นกล่องขององค์การเภสัช แล้วค่อยหายาที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้เพิ่มอีก เช่นยาแก้ไอ ฟ้าทะลายโจร ยาหม่อง ยาดม ยาหอม พวกนี้เป็นสิ่งที่เราเองก็ใช้จึงคิดว่าพระก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน นอกจากนั้นก็มีของแห้ง เช่น กาแฟสำเร็จรูป นม น้ำดื่ม ก็เอามาจัดใส่เอง อาจจะแพงกว่าการซื้อเป็นถังสังฆทานมาเลยแต่คิดว่ามันคือการทำบุญ ต่อให้พระไม่ได้ใช้แต่ยังสามารถเอาไปให้ญาติโยมได้ ดีกว่าเอาของหมดอายุไปทำบุญจากเหตุการณ์นี้ได้บอกคนอื่นๆ ให้รู้จักใช้สิทธิแบบนี้บ้างไหมบอกคนใกล้เคียงเรื่องถังสังฆทานนี้เลย ว่าไม่อยากให้ซื้อแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าของข้างในมันหมดอายุหรือเปล่า บางคนก็ไม่ฟังเพราะเอาความสะดวก ก็แล้วแต่เขา เราก็ถือว่าได้พยายามบอกแล้ว เขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องมีความคิดเห็นอย่างไรที่ปัจจุบันนี้มักมีเรื่องผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยที่มีเรื่องการเอาเปรียบผู้บริโภคทั้งเรื่องของหมดอายุหรือสารปนเปื้อนในอาหาร คิดว่าผู้บริโภคไม่รู้เพราะความไว้ใจว่ามีโรงงานใหญ่ มีชื่อเสียงก็คิดว่าเขาคงไม่ทำ ทุกวันนี้คิดอยู่เรื่องหนึ่งคือร้านค้าที่เราไปกินข้าวกันทั่วไปนั้น ทำไมเขาถึงไม่ซาวน้ำข้าวสาร ไม่คิดบ้างหรือว่ามีสารอะไรปนเปื้อนมา อาจจะมีฉี่หนู มีขี้แมลงสาบลงไปหรือเปล่า ทาง อย. หรือ สคบ. น่าจะมีเอกสารให้ประชาชนสมัครเพื่อเป็นหูเป็นตาให้ว่าร้านไหนที่สกปรกสมควรต้องมาตรวจ หรือเรียกปรับได้ถ้าไม่มีการปรับปรุง มันจะได้มีคนช่วยกันดูแลเพราะทุกวันนี้คนเราไม่มีเวลาทำอาหารกินเองต้องอาศัยร้านค้าทั้งนั้น แต่ก็ยังมีร้านค้าที่มักง่าย ผักที่ซื้อมาก็ไม่ล้าง บางทีใช้ผักใกล้จะเน่าเหลืองแล้วเหลืองอีก คือเขาจะไม่ยอมเสียต้นทุน มีครั้งหนึ่งเคยไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเจอแมลงวันลอยในน้ำส้มเครื่องปรุง จึงเรียกพนักงานของร้านมาดู เขาก็ตักแมลงวันทิ้งไปแค่นั้น คือมันง่ายไปไหมแล้วตัวเรารู้ก็ไม่กินต่อแน่นอนอยู่แล้ว แต่คนอื่นที่ไม่รู้ก็คงกินเข้าไป และอีกครั้งเคยซื้อขนมปังเจ้าดังเลยนะ ซื้อมายังเจอเส้นผมในขนมปังเลย ตอนนั้นทางมูลนิธิฯ จะให้ฟ้องแต่ว่า QC ของเขามาเจรจาขอไว้ เอาของมาให้ก็ยอมความกันไปเพราะเราก็ยังไม่ได้กินเข้าไปแค่บิออกมาดู คิดเสียว่าดวงไม่ดีแล้วกัน แต่บางคนเขาแกะถุงแล้วเอาเข้าปากเลยด้วยความเชื่อใจที่คิดว่าเขาต้องดูแลสินค้าของเขามาอย่างดีแล้ว โชคดีที่เรากินช้า เวลาจะกินก็ต้องแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ออกมาถึงได้เห็นขนชี้ขึ้นมา พอดึงออกมาคิดว่ามันเป็นขนเพชรเลยนะเพราะมันหยิกๆ แต่พนักงานของเขาบอกว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นเส้นผมของคนทำซึ่งอาจจะติดมาจากเนยแข็ง อาจจะไม่ใช่ของโรงงานเขาแต่ติดมากับวัตถุดิบ ซึ่งตอนที่เจอก็โทรไปที่เบอร์ลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัทเลย ตั้งใจจะโทรไปต่อว่าเขาว่าเป็นโรงงานใหญ่โตทำไมเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นต่างประเทศโดนฟ้องร้องแล้ว และสินค้าก็ส่งออกนอกถ้าไปเจอที่ต่างประเทศเขาอาจจะคิดเหมารวมยี่ห้ออื่นด้วยว่าเป็นของไม่ดีทั้งหมด ทำให้สินค้าบริษัทอื่นตายไปด้วย ก็ตั้งใจจะโทรไปต่อว่าแค่นี้แต่เขาให้เก็บสินค้าไว้เพื่อจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบดูและเขาก็เก็บสินค้านั้นกลับไป หลังจากนั้นผู้จัดการเขาก็โทรมาขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นและพนักงานก็รู้ความผิดแล้ว จึงบอกกับผู้จัดการไปว่าหลังจากนี้ต้องตรวจสอบสินค้าให้ดีแล้วกันจะได้ไม่เสียชื่อเสียง เรื่องนี้จึงจบลงได้โดยไม่ได้ไปฟ้องร้องอยากให้ฝากถึงคนอ่านเพราะบางคนคิดว่าเป็นแค่ผู้บริโภคธรรมดาอาจจะปล่อยผ่านกับเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าอยากให้สังคมดีขึ้นผู้บริโภคก็ต้องช่วยกันจริงๆ แล้วปัญหาพวกนี้เป็นสิ่งที่คนคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ว่ามันใหญ่และสำคัญกับผู้บริโภค ถ้าปล่อยปละละเลย ทั้งผู้ผลิต ผู้ขายเขาก็จะไม่กลับมามีจิตสำนึกในการผลิตว่าทำของกินของใช้ออกมาให้กับคนที่ต้องเสียเงินซื้อแล้ว ยังจะต้องมาเสียความรู้สึกอีก ถ้าเราช่วยกันปัญหาพวกนี้ต้องลดน้อยลงหรืออาจจะไม่มีอีกเลย อย่างน้อยอย่าปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ออกมาดูแลจัดการก็ได้ แต่มีติดใจอยู่เรื่องหนึ่งเหมือนกัน คือ สินค้าที่สมมติว่าผู้ผลิตไปขอแจ้งทาง อย. แล้วแต่การผลิตครั้งหลังจากนั้นต่อๆ ไปไม่เข้ามาตรฐานที่เขาเคยส่งตรวจเลย แบบนี้ทาง อย. เคยกลับไปตรวจซ้ำไหม เพราะตอนที่จะขอเลขทะเบียนจาก อย. ก็ต้องทำสินค้าให้มีคุณภาพอยู่แล้ว แต่พอได้มาแล้วหลังจากนั้นก็ไม่ทำตาม พอมีแบบนี้คนที่มาร้องเรียนเขาก็เห็นว่าร้องไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทำให้หมดกำลังใจ อย่างน้อยให้หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับผิดชอบปากท้องประชาชนมันจะได้สมบูรณ์แบบ เวลาจะซื้อ จะกินอะไรจะได้ไม่ต้องกลัว  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 173 ฉลาดกิน กับอ.ศรีสมร คงพันธุ์

ถ้าเอ่ยถึงกูรูเรื่องอาหาร โดยเฉพาะอาหารไทยเชื่อว่า ลำดับต้นๆ  ต้องมีชื่อ “ ศรีสมร  คงพันธุ์ ” อยู่แน่ๆ อาจารย์ฝากผลงานเอาไว้มากมาย ทั้งในสื่อการสอนรูปแบบต่างๆ และตำรับตำราอาหาร หนังสือเกร็ดความรู้เคล็ดลับเรื่องอาหารต่างๆ นานา เป็นจำนวนมากมาย และแม้จะย่างเข้าสู่วัยแปดสิบแล้ว  ท่านยังคงถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนในโรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญและที่กรมแรงงานอย่างสม่ำเสมอ  เนื่องในโอกาสที่ท่านได้ให้เกียรติร่วมงาน มหกรรมอาหารและวิถีไทย  ครั้งที่  2  ณ เมืองทองธานี ฉลาดซื้อเราจึงขอให้ท่านช่วยแนะนำความรู้ดีๆ ในเรื่อง ฉลาดกิน มาฝากผู้อ่านทุกท่านค่ะ  คนโบราณเขาเจียวไข่ใส่หัวหอมเพื่ออะไร  บางคนบอกว่าใส่เพื่อให้มันได้เยอะขึ้น แต่ว่าหัวหอมถ้าพูดถึงความอร่อยกินไข่เจียวเฉยๆ  ก็มีรสชาติไข่เจียวอย่างเดียว  ใส่หัวหอมด้วยนั้นทำให้รสไข่เจียวไม่เลี่ยนเป็นประการที่หนึ่ง...และในเมื่อไข่เจียวเป็นโปรตีนชั้นหนึ่งอยู่แล้วทำไมต้องใส่หมูใส่กุ้งลงไป  เอาเนื้อพวกนี้ไปทำอาหารอีกจานหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ    ปัจจุบันอาหารมีหลากหลาย การที่จะเลือกกินเราควรเลือกอย่างไรดีการจะฉลาดกินเราต้องฉลาดซื้อก่อน ในการเลือกซื้อเราต้องเลือกซื้อตามฤดูกาลจะทำให้ได้อาหารที่มีคุณภาพดี ราคาถูก ในการซื้อเราต้องคิดไว้ก่อนว่าซื้อแล้วจะเอามาทำอะไรไม่ใช่ซื้อเพราะเห็นมันถูกแล้วซื้อมากองๆ ไว้  ต้องซื้อตามฤดูกาลถึงแม้ว่าบางอย่างจะมีขายนอกฤดูแต่ราคามันสูง และคุณค่าทางโภชนาการจะต่ำกว่า  และยังมีสารปนเปื้อนที่เข้าไปเร่งการเจริญเติบโตเราจึงไม่ควรกิน  ดังนั้นก่อนที่จะซื้ออาหาร ผักสดมาทำกับข้าวเราต้องรู้ว่าในครอบครัวของเรานั้นมีเด็กเล็ก  มีผู้สูงอายุไหม  และมีคนวัยทำงานที่อยู่ร่วมกันไหมเพราะอาหารที่เราทำทุกคนต้องกินได้ ไม่ใช่ถ้วยนี่ของลูก  ถ้วยนี้ของพ่อของแม่  ต้องไม่ใช่อย่างนั้น  ในการทำอาหารก็ต้องช่วยประหยัดด้วย  อาหาร 1 จานกินได้ทุกคน  เพราะฉะนั้นต้องดูรสชาติของอาหาร  เนื้อสัตว์ที่จะใช้คืออะไร  สมมุติว่าว่าพ่อชอบกินเผ็ดอาจจะต้องมีน้ำปลาพริกอยู่ข้างนอกให้ไปเติมทีหลังได้  อย่างเราทำแกงส้มก็ต้องแกงส้มแบบธรรมดาไม่ต้องให้จัดจ้านมากเพื่อให้เด็กกินได้  ผักที่ใช้ก็พวกผักที่มีรสหวานๆ  เพราะเด็กชอบกินผักหวานๆ  อย่างหัวไชเท้า  ผักกาดขาว  ถั่วฝักยาวมันทำให้เด็กกินได้ด้วยแบบนี้  เราต้องรู้ตัวเราเองด้วยว่าเรากินอะไรแล้วเกิดความไม่สบาย  กินแบบนี้แล้วท้องเสีย  หรือกินแบบนี้แล้วท้องผูก  มันเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่เรากิน   อย่างเช่นเราทำไข่เจียว ซึ่งเป็นอาหารหลักที่ทุกคนกินได้  ต้องนึกถึงคนโบราณเขาเจียวไข่ใส่หัวหอมเพื่ออะไร  บางคนบอกว่าใส่เพื่อให้มันได้เยอะขึ้น แต่ว่าหัวหอมถ้าพูดถึงความอร่อยกินไข่เจียวเฉยๆ  ก็มีรสชาติไข่เจียวอย่างเดียว  ใส่หัวหอมด้วยนั้นทำให้รสไข่เจียวไม่เลี่ยนเป็นประการที่หนึ่ง  และประการที่สองหัวหอมช่วยลดโคเลสเตอรอล  เราก็ต้องนึกถึงในส่วนนี้ด้วย และในเมื่อไข่เจียวเป็นโปรตีนชั้นหนึ่งอยู่แล้วทำไมต้องใส่หมูใส่กุ้งลงไป  เอาเนื้อพวกนี้ไปทำอาหารอีกจานหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ  และสิ่งสำคัญสุดที่เราไม่ค่อยมองกันคือการหุงข้าว  ข้าวสาร  25  กรัมเวลาหุงแล้วจะได้ประมาณ 70 กรัม  คนเราอย่างเก่งเลยกินข้าวได้ 50 กรัมเพราะฉะนั้นเวลาจะหุงข้าวนั้น  1  คนประมาณ  50  กรัมถ้า  2  คนก็ 100 กรัม  ต้องคิดออกมาอย่างนี้ก่อนไม่อย่างนั้นหุงมาแล้วก็เหลือ ลองนึกดูว่าถ้าข้าวเหลือวันละ  1  ถ้วยตวงคือประมาณ  75  กรัมนั้นมันคือข้าวสาร  25  กรัมแล้ว  ข้าวสาร  25  กรัมทุกๆ  วันนั้นใน  1  ปีเป็นเงินเท่าไร  เราต้องคิดอย่างนี้แต่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่คิด  พอหุงเหลือก็ทิ้งไปเฉยๆ  บางคนข้าวที่เหลือเขามีวิธีเก็บเอาไว้  ตากแห้งแล้วเอาไปทอด  เสร็จแล้วเอาไปคลุกน้ำตาลไว้กินได้อีกเป็นอาหารว่างของไทยเรา  ใส่กระเทียมเจียวเข้าไปเป็นข้าวหมี่  และดูอาหารที่เราทำเนื้อสัตว์ต้องหลากหลายตามฤดูกาล กินปลา กินไข่ กินหมู กินกุ้ง หมุนเวียนกันไปตามราคาและฤดูกาล  อย่างตอนนี้ปูแพงก็เปลี่ยนจากกินข้าวผัดปูไปกินข้าวผัดอื่นแทนได้ไหม ที่ให้คุณค่าเท่ากัน  อย่างนี้เงินเราก็จะพอใช้  และอาหารที่สำคัญทุกวัยในบ้านเราต้องกินได้อันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด  อย่างทำน้ำพริกผู้ใหญ่กินผักสดมากก็ท้องอืด  เด็กก็ไม่ค่อยชอบกินเราก็ต้องเปลี่ยนเป็นผักต้มบ้าง  ผักทอดบ้างอย่างนี้เป็นต้นผักที่สามารถกินเป็นยาได้ด้วยจะเอามาทำอาหารอย่างไรได้  อย่างคนเป็นเบาหวานนั้นในตำราว่า ตำลึงนั้นมีอินซูลินสูงก็เอาตำลึงมาทำอาหารที่ในครอบครัวชอบ  อย่างเช่น บะช่อตำลึงหรือตำลึงผัดใส่เต้าเจี๊ยวกับหมูสับหน่อยก็ได้ ก็ทำออกมาเป็นยาได้แล้ว อย่างเช่นเราต้องการแคลเซียม  พวกยอดแค  ดอกแคพวกนี้มีแคลเซียมสูงทั้งนั้นเราก็เอามาต้มจิ้มน้ำพริกหรือเอามาผัดอะไรก็ได้ที่ทุกคนกินได้และทุกคนชอบอย่างนี้เป็นต้น  และเดี๋ยวนี้เขามีอาหารพวกผักพื้นบ้านมาทำอาหารเป็นทั้งยาเป็นทั้งอาหาร  อย่างรัชกาลที่ 5 เวลาพระองค์ท่านประชวรโรคหวัด ในห้องเครื่องจะทำพระกระยาหารถวายเป็นทั้งพระกระยาหารเป็นทั้งโอสถเพราะฉะนั้นคนที่ทำอาหารต้องมีความรู้เรื่องนี้ด้วย  ต้องมีเนื้อ  มีมันเทศ  มีหอม  มีใบโหระพา  ใบกะเพรา  มีพริกแล้วปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก  น้ำมะนาวเพื่อเป็นยา  อย่างหน้าหนาวก็ต้องแกงส้มดอกแคแบบนี้ใช่ไหมอันนั้นคล้ายๆ  กับที่เขาบอกว่าแกงส้มดอกแคแก้ไข้หัวลม  คือพอเปลี่ยนฤดูคนจะเป็นหวัดก็ต้องกินแกงส้มดอกแคเพราะดอกแคมีความขมนิดๆ  และมีเส้นใยสูง คนที่เป็นหวัดมักจะท้องผูก พอท้องผูกแล้วก็จะปวดศีรษะ  พอเกิดการระบายดีก็ทำให้หายหวัดได้ และรสชาติมีความเปรี้ยว  ปลาที่แกงนั้นเขาจะใช้ปลาช่อนหรือปลาเกล็ด เพราะปลาช่อน คือปลาที่กินหญ้าถือเป็นปลาที่สะอาด  จะไม่กินปลาหนังตอนนี้มีของที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต  สมมติว่าคนที่อยู่ในวัยทำงานต้องใช้ชีวิตเร่งด่วนมีวิธีการแนะนำไหมว่าควรจะเลือกกินอาหารแบบไหนดีเขาต้องดูว่าอาหารที่เขาซื้อมาขาดอะไร  ส่วนใหญ่จะขาดผักและผลไม้  สมมติเราซื้ออาหารกล่องนี้มาแล้วไม่มีผักเพราะส่วนใหญ่ใส่ผักนิดๆ  หน่อยๆ  เราก็ต้องกินผลไม้แทนกินขนมหวาน  กินผลไม้ตามฤดูกาลแทนไปหรือว่าอาหารปลายเดือนพวกอาหารเส้นมาม่าพวกนี้มันไม่มีเนื้อสัตว์  ไม่มีผัก  เราก็ใส่ไข่เข้าไปสัก  1  ฟอง ผักก็เอาง่ายๆ  ซื้อผักที่ไม่เสียง่ายเก็บไว้  เช่น ถั่วฝักยาว  ผักกาดหอมก็เอามาหั่นๆ  ใส่ลงไปก็กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวได้  เราก็จะได้สารอาหารครบถ้วน  คือต้องดูว่าสิ่งที่เราซื้อมานั้นมันขาดอะไร  ตอนนี้หน้าฝรั่งก็กินฝรั่งเข้าไปทดแทนผักได้ ให้เพิ่มสิ่งที่มันขาดเราก็จะได้อาหารที่ครบ  5  หมู่อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับของกินที่มักจะมีน้ำตาลมากไป  หรือเค็มเกินไปอันนี้ไม่ดีอยู่แล้วเพราะปกติอาหารไทยของเราจะใช้คำว่ารสกลมกล่อมคือรสทุกรสต้องเสมอกัน  ไม่ใช่โด่ขึ้นมา  คืออาหารต้องมีรสชาติในสัดส่วนที่พอเหมาะคือไม่ทำให้สิ่งนั้นหายไป อย่างเช่นตำน้ำพริกต้องมีทั้งเค็มทั้งเผ็ดทั้งเปรี้ยวและหวานแต่เขาอยู่กันครบหมู่  อาหารถ้ากินเค็มเสมอก็รู้กันอยู่แล้วโรคที่เกิดจากความเค็มมันทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเกิดโรคอีกหลายอย่าง  และหวานนั้นคนมักไม่เข้าใจ ความหวานเรียกได้ว่าเป็นอาหารพลังงานได้แต่ว่าเป็นพลังงานว่างเปล่า  ว่างเปล่าในที่นี้คือให้แต่พลังงานไม่ให้อย่างอื่นเลย  อย่างการกินผลไม้หวานมันก็ยังมีเส้นใย  มีวิตามินให้เราแต่อันนี้กินน้ำตาลมากๆ  เข้าก็เกิดปัญหาโรคเบาหวานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  แต่อาหารหวานคนจะชอบเพราะกินแล้วมันชื่นใจ  พอกินเข้าไปปุ๊บมันไม่ได้มีกระบวนการที่มาเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลกินแล้วจึงรู้สึกสดชื่นทันทีแต่เมื่อกินมากๆ  ดีกรีความหวานก็จะเพิ่มขึ้นๆ  ทำให้เกิดโรค  โรคแรกก็โรคอ้วนมาก่อน  พออ้วนก็เป็นโรคไตแล้วก็เป็นเบาหวาน  เป็นเบาหวานนี้จะทำให้เกิดโรคอื่นๆ  ตามมาเพราะฉะนั้นความหวานนั้นเราต้องสอนเด็กๆ  ให้ลูกกินตามเราไม่ใช่เรากินตามลูก  หมายความว่าลูกต้องกินผลไม้  ให้กินขนมสักอาทิตย์ละครั้งประมาณนี้  แต่เราก็ต้องไม่ปิดกั้นมากไปไม่อย่างนั้นเด็กจะหาทางออก  คือถ้าเด็กเกิดความเคยชินในการกินผลไม้ที่มีรสหวานธรรมชาติพอไปกินขนมหวานพวกเขาจะไม่ชอบเอง  แต่เราต้องทำให้เขาเห็นในครอบครัวไม่ใช่อยากให้ลูกกินผักแต่พ่อแม่ไม่กินอย่างนี้ไม่ได้ๆอยากให้ช่วยแนะนำการใช้ชีวิตเช่นพอเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน  วัยผู้สูงอายุแล้วให้กินอยู่อย่างไรให้มีความสุขผู้สูงอายุนั้นบางคนเข้าใจผิดว่าไม่ให้กินไข่  จริงๆ  แล้วไข่เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุอย่างน้อยวันละฟองสบายๆ  การทำอาหารผู้สูงอายุนั้นเราสามารถทำเองได้  คือเรากินเหมือนเดิมแต่ต้องเลือกอาหาร  ต้องดูว่าผักถ้าสดมากไปทำให้ท้องอืด มันย่อยยากเพราะระบบทางเดินของผู้สูงอายุจะไม่สมบูรณ์แล้วและต้องไม่กินซ้ำซาก  อย่างซื้อปลาตัวใหญ่มาย่างให้กินแล้วกินไม่หมดจะให้เอามากินอีกวันก็ต้องมีศิลปะบ้าง  ซอยหัวหอมใส่นิดหนึ่ง  มีน้ำปลา  น้ำมะนาว  มะม่วงสับใส่เข้าไป หรือเอาไปต้มเพื่อเอามาทำน้ำพริกปลา  เพราะฉะนั้นในการทำอาหารหรือการมีกิจกรรมมันทำให้เราได้เคลื่อนไหวและใช้สมองจะช่วยให้เราไม่หลงลืมง่าย  ไม่ต้องมานั่งเล่นไพ่  (หัวเราะ)  คืออาหารผู้สูงอายุให้ทำอาหารง่ายๆ  ไม่ต้องผัดต้องทอด  ไม่จำเป็นต้องทำหม้อใหญ่เพราะกินซ้ำซากแล้วมันเบื่อ  หน้านี้มีหน่อไม้ก็ต้มหน่อไม้กินสองสามวันมันก็น่าเบื่อเราจึงต้องเปลี่ยนรูปแบบ  เป็นแกง  ต้มเปรอะ  ตำน้ำพริกใส่ปลากรอบลงไป  ซึ่งมันทำให้เราได้คิดว่าจะใส่อะไรดี  ได้บริหารมือและบริหารสมองด้วยอาจจะคิดช้าหน่อยแต่ก็ยังไม่ถึงกับลืมยายที่บ้านก็ทำกับข้าวเองแสดงว่าการที่ทำกับข้าวทุกวันช่วยระบบของสมองด้วยใช่ช่วยระบบความจำและที่สำคัญมันทำให้เกิดความภาคภูมิใจด้วยว่ายังมีประโยชน์อยู่  คนสูงอายุนั้นมีอย่างเดียวคือให้ลูกหลานเห็นความสำคัญไม่ใช่เป็นตัวภาระของลูกหลานอันนี้เป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุทุกคนคิด  ชอบเกรงใจลูกหลานจะไปหาหมอก็เกรงใจต้องให้ท่านทำงานที่ทำไหวและเราก็ช่วยดูความปลอดภัยให้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 172 คุยปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลแพงของโรงพยาบาลเอกชนกับ ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา

ฉลาดซื้อวันนี้จะพาท่านมาพบกับนักสู้มือเปล่า  จากชีวิตแม่บ้านคนหนึ่ง  ที่ลุกมาสู้เพื่อลูก   จนวันนี้สิ่งที่เธอสู้เรียกได้ว่า เพื่อทุกคน “ ปรียนันท์  ล้อเสริมวัฒนา”จุดเริ่มต้นที่พี่มาทำประเด็นเกี่ยวกับ รพ. เอกชน มีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องอะไรคะ พี่ทำหน้าที่ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์มานาน 13 ปี รับเรื่องร้องเรียนจากคนไข้ที่ได้รับความเสียหายทั้งจากรพ.รัฐบาลและรพ.เอกชน  แต่คนไข้รพ.เอกชนมักพ่วงเรื่องค่ารักษาแพงเกินจริงมาด้วย  ยกตัวอย่าง คนไข้ชายเจ็บหน้าอกเข้ารพ.เอกชนที่โฆษณาว่ามีหมอหัวใจ 24 ชม. เข้าไปตั้งแต่สองทุ่มจนถึงเช้าก็ไม่มีหมอหัวใจมาดู  เมื่อคนไข้ตายญาติฟ้องคดีต่อศาล หมอผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจไปเบิกความเป็นพยาน พบว่าในบิลค่ารักษามีการเก็บค่าอะดรีนาลีน 148 หลอด หลอดละ 200 บาท เป็นเงิน 29,600 บาท  แต่ในเวชระเบียนระบุว่าใช้จริงประมาน 30 หลอด (ต้นทุนขณะนั้นหลอดละไม่ถึง 10 บาท) เมื่อญาติไปร้องเรียนแพทยสภา  กลับไปพบเจ้าของรพ.เอกชนแห่งนั้นซึ่งเป็น กรรมการแพทยสภา นั่งเป็นประธานสอบสวนกรณี รพ.ของตนเอง  จึงเกิดคำถามในใจว่า  ถ้าไม่เป็นคดีความจะรู้ไหมว่ามีการโกงค่ายา  และในประเทศไทยมีเพียงกรณีเดียวนี้หรือไม่  นี่ยังไม่นับรวมมีการเก็บค่ามอร์ฟีน และค่าฟอร์มาลีนฉีดศพขณะที่คนไข้ยังไม่ตายอีกด้วยประเทศไทยกลไกที่มีหน้าที่ตรวจสอบไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว  บิลค่ารักษาใบเดียวต้องให้คนไข้และญาติวิ่งไปหลายหน่วยงาน  เช่น ค่าตรวจรักษาที่สงสัยว่าสูงเกินจริงต้องไปร้องแพทยสภา, ค่ายา-ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆ ต้องไปร้องกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, ไป สคบ., อย. หรือสำนักสถานพยาบาลฯ กระทรวงสาธารณสุข  เมื่อไม่มีหน่วยงานกลางที่เป็น one stop service จึงทำให้การตรวจสอบไม่มีประสิทธิภาพ  ประชาชนเข้าถึงความเป็นธรรมได้ยาก เท่ากับเอื้อให้มีการโกง การคิดค่ายาและค่ารักษาเกินจริงได้อย่างเสรีต่อมาปี 2555 รัฐบาลพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกที่ฟรีทุกสิทธิ ไม่ต้องถามสิทธิ ไม่ต้องสำรองจ่าย สปสช. จะเป็น clearing house จ่ายให้ทั้งหมด(ฟรีภายใน 72 ชม.) แต่กลับไม่มีผลในทางปฏิบัติ รพ.เอกชนส่วนใหญ่ไม่ให้ความร่วมมือ  มีการเรียกเก็บค่ามัดจำและให้ญาติเซ็นรับผิดชอบค่าใช้จ่าย  ตลอดจนเซ็นรับสภาพหนี้หลักแสนถึงหลักล้าน  แม้ทาง สปสช.จะจ่ายแทนคนไข้ในอัตราที่คิดว่ารพ.เอกชนมีกำไรแล้ว  แต่รพ.เอกชนก็ปฏิเสธที่จะรับในอัตราที่ สปสช.จ่ายและยืนยันจะเก็บในราคาเต็ม ตัวอย่างที่พี่คิดว่าควรจะเป็นกรณีศึกษาได้เลย ความเดือดร้อนของประชาชนมีอย่างต่อเนื่อง  เช่น -กรณีคนไข้สิทธิฉุกเฉินถูกรพ.เอกชนฟ้องเรียกค่ารักษา พี่ไปศาลด้วยก็ไปพบคนไข้รายอื่น นำโฉนดที่ดินไปมอบให้ทนายของรพ.เอกชนแห่งนั้นเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล เพราะไม่มีศักยภาพที่จะจ่ายได้  ทั้งที่เข้าเงื่อนไขเจ็บป่วยฉุกเฉินทุกประการ  -กรณีที่รพ.เอกชนให้สามีคนไข้สำรองจ่ายไปก่อน  พี่พาไปฟ้องเรียกค่ารักษาคืนที่ศาลปกครอง  ผ่านมา 2-3 ปีคดีความก็ยังไม่จบ  สร้างความทุกข์ให้กับครอบครัวคนไข้อย่างแสนสาหัส  กรณีนี้สามีคนไข้เป็นครูเงินแสนยังไม่เคยมี  แต่ต้องวิ่งหยิบยืมเงินครึ่งล้านมาจ่ายให้รพ.เอกชนแห่งนั้นภายในครึ่งวัน  ไม่เช่นนั้นก็ย้ายภรรยาออกไปรพ.ตามสิทธิไม่ได้  หรือบางรายถ้าไม่จ่ายก็นำศพออกไปบำเพ็ญกุศลไม่ได้-กรณีรพ.เอกชน ให้ลูกชายคนไข้ ที่มีเงินเดือนเพียง 7 พันบาท เซ็นรับสภาพหนี้จำนวนเกือบ 8 แสนบาท  ทั้งที่เข้าเงื่อนไขสิทธิฉุกเฉินทุกประการ พี่เรียกนโยบายนี้ว่า “นโยบายลวงโลก”  แม้รัฐบาลจะยุบสภาไปแล้ว  แต่ก็ทิ้งกองไฟที่ก่อเอาไว้ล่อให้แมงเม่าบินเข้าไปตาย  พี่เรียกร้องให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าว เพราะเชื่อว่ามีคนเจ็บป่วยฉุกเฉินทุกวัน  และทุกๆ วันจะต้องมีคนสิ้นเนื้อประดาตัวจากการหลงเข้าไปรพ.เอกชน  แต่ก็ไร้ผล  จึงคิดว่าเมื่อหยุดนโยบายนี้ไม่ได้  ก็จำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางเข้าไปทำหน้าที่ตรวจสอบ และกำหนดกติกาที่เป็นธรรม   อีกประการคือพี่สังเกตมานานว่า ในโลกโซเชียลออนไลน์ เมื่อใดที่มีคนโพสต์เรื่องค่ารักษาแพง จะเป็นประเด็นร้อนที่สังคมมีอารมณ์ร่วมอย่างมาก  พี่คิดว่าการบ่นไม่ได้ทำให้ความเป็นธรรมเกิด  จึงตัดสินใจทำแคมเปญรณรงค์ผ่าน Change.org ให้ผู้คนร่วมลงชื่อสนับสนุนให้ “ตั้งคณะกรรมการควบคุมราคา รพ.เอกชน”   นั่นคือจุดเริ่มต้น หลังจากเคลื่อนไหวมีกระแสตอบรับอย่างไร ( ตอนนี้ทราบว่าก้าวแรกของเครือข่ายสำเร็จ ภาคประชาชนได้เข้าไปเป็นคณะกรรมการอำนวยการแก้ปัญหาค่ารักษารพ.เอกชนแพงแล้ว) เพียง 2 สัปดาห์ มีประชาชนร่วมลงชื่อมากถึง 3.3 หมื่นชื่อ  สะท้อนให้เห็นว่าปัญหามีอยู่จริง  และกลไกปกติยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงก่อให้เกิดปัญหาสะสม เรื่องนี้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งและเป็นเรื่องใหญ่ ทันทีที่นายกรัฐมนตรีออกมาขานรับทุกข์ของประชาชน  ด้วยการให้สัมภาษณ์สื่อว่าค่ารักษารพ.เอกชนแพงจริงและสั่งให้ทุกหน่วยงานเร่งแก้ปัญหา ส่งผลให้ทุกหน่วยงานต่างกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  ทำให้ประชาชนอุ่นใจและมีความหวังอย่างยิ่ง ว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ภายใต้รัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน   แต่ในระยะแรกภาคประชาชนไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม  ซึ่งเราเห็นว่าปัญหานี้ถูกสะท้อนโดยประชาชน  การแก้ไขปัญหาควรจะให้เราเข้าร่วมวงด้วย  จึงมีการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ล่าสุดพวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมแล้ว  แต่อยู่ระหว่างรอคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการข้อเสนอหลักๆ ของทางเครือข่ายที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้มีอะไรบ้าง 1. เรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉิน ภายใน 72 ชั่วโมงห้ามรพ.เอกชนเรียกเก็บค่ามัดจำหรือให้ญาติเซ็นรับผิดชอบค่ารักษา  เมื่อพ้น 72 ชั่วโมงให้ส่งตัวไปรพ.ตามสิทธิ โดยห้ามให้ญาติสำรองจ่าย หรือเซ็นรับสภาพหนี้ กรณีที่รพ.ตามสิทธิเตียงเต็ม จำเป็นต้องอยู่รพ.เอกชนต่อ ให้หน่วยงานตามสิทธิรับผิดชอบค่าใช้จ่าย  2. ขอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลางระดับชาติ ที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาจากหน่วยงานเดิม ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจรพ.เอกชน  ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ทำหน้าที่ตรวจสอบ กำหนดนโยบาย ตั้งกติกา ที่จะให้ค่ายา ค่ารักษา ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆ เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และต้องมีอำนาจที่จะลงโทษผู้ทำผิดได้3. ให้ยุบบอร์ดแพทยสภาที่มาจากการเลือกตั้งชุดปัจจุบัน ที่แม้จะมีคนดีอยู่บ้างแต่กลุ่มที่มีอำนาจมากคือเจ้าของและผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับรพ.เอกชน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงความเป็นธรรมของประชาชน แล้วตั้งคนกลางจริง ๆ เข้าไปทำหน้าที่แทน รวมทั้งต้องแก้ไข พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ให้มีบุคคลภายนอกเข้าไปเป็นกรรมการเพื่อคานอำนาจในสัดส่วน 50 : 50 และให้อยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ป้องกันการมีอิทธิพลครอบงำหน่วยงานอื่น ๆ ในระดับนโยบาย  และให้ยกระดับมาตรฐานรพ.รัฐบาลให้เทียบเคียงรพ.เอกชน ที่สำคัญต้องปกป้องสวัสดิภาพของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน  ด้วยการผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ให้มีผลบังคับใช้ในเร็ววัน เพื่อลดปัญหาการฟ้องร้องระหว่างหมอกับคนไข้เรื่องนโยบายเมดิคัล ฮับ ของรัฐบาล พี่มีความคิดเห็นอย่างไร , และนโยบายนี้ประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างไร จำได้เมื่อปี 45 รัฐบาลจัดงาน “เมดิคอลฮับ” ที่เมืองทองธานี พี่ไปให้ความเห็นว่าปัดกวาดบ้านเราให้สะอาดก่อนไหมแล้วค่อยเริ่มนโยบายนี้  แต่ไม่มีใครฟัง  วันนี้นโยบายนี้ส่งผลกระทบชัดเจนต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว  นั่นคือบุคลากรทางการแพทย์ภาครัฐถูกดูดไปฟรี ๆ แบบชุบมือเปิบโดยไม่ได้ลงทุนผลิตเอง  เอาไปรักษาชาวต่างชาติ โกยกำไรเข้ากระเป๋าคนกลุ่มเดียวปีละนับแสนล้าน  ทำให้บุคลากรภาครัฐขาดแคลน  คนไข้รอคิวนาน  ส่งผลถึงมาตรฐานการตรวจรักษา  อีกทั้งเมื่อค่ารักษาในรพ.เอกชนแพง  ทำให้ภาครัฐต้องปรับขึ้นค่าใช้จ่ายต่างๆ ตาม ส่งผลกระทบต่องบประมาณของกองทุนต่างๆ ซึ่งในที่สุดผลร้ายก็จะตกแก่ประชาชนคนไทยโดยรวม”รัฐบาล” ควรพิจารณาทบทวนนโยบายระดับชาติ ที่มุ่งขับเคลื่อนให้มีการหารายได้จากต่างประเทศผ่านระบบรักษาพยาบาล เพราะการรักษาพยาบาลเป็นการประกอบวิชาชีพที่อยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และบรรทัดฐานอันดีงามของสังคม  ไม่ใช่สินค้าที่จะหากำไรอย่างไร้ขีดจำกัด  แม้จะเน้นให้มีการหารายได้ผ่านระบบของเอกชน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อระบบสุขภาพโดยรวมของประเทศ ทั้งในเรื่องโครงสร้างราคา ปริมาณการใช้เวชภัณฑ์และครุภัณฑ์ รวมถึงปัญหาเรื่องกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศ  ทั้งในเรื่องปริมาณ คุณภาพ และเจตคติในระยะยาว ประชาชนทั่วไปจะมีส่วนร่วมกับเรื่องสิทธิการบริการสุขภาพอย่างไร พี่เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการ ควรเพิ่มรายวิชาการคุ้มครองผู้บริโภคลงไปในการเรียนการสอน ให้ประชาชนรู้สิทธิของตนเองตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ว่าควรส่วนร่วมในการปกป้องสังคมอย่างไร  มากกว่ารอให้ความเลวร้ายนั้นมาเคาะประตูหน้าบ้านตนเอง แล้วไม่รู้จะจัดการปัญหานั้นอย่างไร แต่เฉพาะหน้าไม่ว่าเรื่องค่ารักษารพ.เอกชนแพงก็ดี  เรื่องพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ก็ดี  อยากให้ประชาชนตระหนักว่านี่คือสิทธิของเรา  เมื่อขณะนี้มีคนช่วยจุดประกายและนำเรื่องเข้าสู่ระดับนโยบายให้แล้ว  ประชาชนทั่วไปต้องหมั่นติดตามข้อมูลข่าวสาร  และหากมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก็ต้องเสียสละแรงกายออกมาช่วยกันทำให้เป็นจริง   เพราะความเป็นธรรมใดๆ ก็ตามไม่ได้มาด้วยการบ่นเพียงอย่างเดียว  ต้องช่วยกันออกแรงด้วยค่ะพี่ต่อสู้เรื่องนี้มายาวนาน เวลาเกิดความท้อแท้ ให้กำลังใจตัวเองอย่างไร อยากให้พี่ช่วยให้กำลังใจแก่คนเล็กคนน้อยที่สู้เพื่อตัวเองและครอบครัว ทำอย่างไรให้จิตใจเข็มแข็งการต่อสู้ในเรื่องยากๆ  เหมือนว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทรไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงฝั่ง  ความท้อแท้นั้นมีบ้างยามเหนื่อยล้า แต่หากเรายืนหยัดบนความถูกต้อง และคิดเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน นานวันเข้าจะมีแนวร่วมมากขึ้นๆ และเราจะไม่สู้อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป  วลีอมตะที่นักต่อสู้เพื่อสังคมควรท่องไว้ในใจเสมอคือ “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”  ต้องทั้งอึด อดทน และยืนหยัดประกอบกันค่ะจึงจะไปสู่เป้าหมายได้ในที่สุดปรียนันท์  ล้อเสริมวัฒนา  ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์  คุณแม่ลูก 2 ซึ่งประสบปัญหาจากการรักษาพยาบาลที่ผิดพลาดขณะทำคลอดลูกคนแรก น้องเซ้นต์ เป็นเหตุให้น้องต้องกลายเป็นคนพิการ ใช้ชีวิตอย่างลำบากจนถึงปัจจุบัน นับจากวันที่เริ่มต้นลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเพียงลำพัง ความมุ่งมั่นของเธอสร้างกำลังใจต่อเนื่องให้กับเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกหลายคน และร่วมกันทำงานในนาม เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ (ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ.2545)  ด้วยจิตอาสาเสียสละเต็มรูปแบบ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เป็นเครือข่ายภาคประชาชนโดยแท้ ไม่ขึ้นกับหน่วยงานใด ลงขันช่วยเหลือกันเอง และมีกฎเหล็กห้ามรับเงินบริจาค ห้ามเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ จากผู้เสียหายด้วยกัน และห้ามเรียกเก็บค่าหัวคิวจากทนายความ แต่มีเงื่อนไขว่า ”เราช่วยคุณ คุณต้องช่วยสังคม” แค่นั้น  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point