ฉบับที่ 132 หนังศีรษะแห้งและคัน เกาจนผมร่วง?

  หนังศีรษะประกอบไปด้วยเซลล์ผิวหนังปกติซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ทุกๆ 28 วัน เซลล์เก่าที่ตายแล้วจะถูกผลัดออกไป แต่ถ้าผิวหนังแห้งและใช้ชีวิตประจำวันในห้องปรับอากาศที่เย็นและมีความชื้นต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนังศีรษะได้รับเคมีรุนแรงเป็นประจำ เช่น น้ำยาดัดผม น้ำยาโกรกสีผม แชมพูแรงๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ บนเส้นผมและหนังศีรษะ หนังศีรษะจะถูกกระทบมากทำให้แห้งและทำให้มีการเร่งผลัดเซลล์ผิวในอัตราเร็วกว่าปกติ เซลล์ที่ตายแล้วที่ถูกผลัดออกจะสะสมเป็นกลุ่มก้อนหนาๆ สังเกตได้เวลาหวีผมหรือเกา จะหลุดออกเป็นเกร็ดขาวๆ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ‘รังแค’ นั่นเอง อาการคันศีรษะมักจะตามมาเนื่องจากการสะสมของรังแคเหล่านี้ ซึ่งพบเห็นง่ายตามปกเสื้อ การสะสมของรังแคยังมีผลไปอุดรูขุมขนของเส้นผม ทำให้น้ำมันจากต่อมไขมันที่รากผมไม่สามารถระบายออกมาได้ ยิ่งทำให้หนังศีรษะขาดน้ำมันหล่อลื่นและแห้งคันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผู้ที่มีปัญหารังแคเรื้อรัง อาจทำให้หนังศีรษะอักเสบและมีเชื้อราเจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งในสภาวะปกติหนังศีรษะคนเราจะมีเชื้อราอาศัยอยู่ในปริมาณน้อยและไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่ในสภาวะที่หนังศีรษะมีรังแคมาก เชื้อราจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดอาการอักเสบของหนังศีรษะ (Pityriasis capitis) ถ้าอาการรุนแรงขึ้น หนังศีรษะจะมีอาการแดงและมีรังแคเป็นเกร็ดใหญ่ขึ้นและเหลืองเป็นไข ซึ่งเป็นอาการของต่อมไขมันของหนังศีรษะอักเสบ พบมากและบ่อยในวัยรุ่นและอาจมีอาการอักเสบลามถึงเปลือกตาได้ วิธีแก้ไขปัญหาหนังศีรษะคันและแห้ง 1) หลีกเลี่ยงการเกาหนังศีรษะที่รุนแรงระหว่างสระผมด้วยเล็บคมยาว อาจทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงยิ่งขึ้น2) เลือกใช้แชมพูสระผมที่อ่อนโยนและมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของหนังศีรษะ3) ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหนังศีรษะโดยตรง เช่น ครีมนวดผมชนิดเข้มข้น หรือ น้ำมันนวดหนังศีรษะ นวดทิ้งไว้บนหนังศีรษะอย่างน้อย 15-20 นาทีก่อนล้างออก เนื้อครีมและน้ำมันจะช่วยขจัดรังแคส่วนเกินให้หลุดลอกออกไปได้ และ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ4) ใช้แชมพูขจัดรังแค อาทิตย์ละ 1 ครั้งเพื่อช่วยขจัดรังแคที่สะสมออกและบางเบาลง5) ควรลดการใช้น้ำอุ่นสระผม เพราะน้ำอุ่นจะทำให้น้ำมันธรรมชาติถูกชะล้างออกมากเกินไป ทำให้หนังศีรษะขาดน้ำมันที่จะปกป้องไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรลดอุณหภูมิในการเป่าและจัดแต่งทรงผมอีกด้วย หากการดูแลเบื้องต้นตามข้อแนะนำทั้ง 5 ข้อไม่ได้ผล ขั้นต่อไปควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาอักเสบของหนังศีรษะต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 ผิวแห้ง ผิวคัน สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา

  ผิวหนังแห้งและคัน เป็นปัญหาที่พบทั่วไปโดยเฉพาะคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องปรับอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน จากความชื้นในอากาศที่ต่ำ จะทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นสู่บรรยากาศโดยรอบได้ง่าย ปัญหาผิวแห้งนี้เกิดขึ้นได้กับทุกวัยโดยไม่จำเป็นต้องมีอาการโรคผิวหนังชนิดอื่นแทรก อาการผิวแห้งมีลักษณะอย่างไร? คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับลักษณะผิวหนังแห้ง ตึง มีขุยขาวๆ ร่วมด้วย ริ้วรอยละเอียดบนผิวหนังจะปรากฏชัดมากขึ้น ผิวหนังจะแลดูหยาบกร้าน ในกรณีที่แห้งมาก จะเห็นผิวแตกคล้ายหนังงูหรือเกล็ดปลา ส่วนใหญ่พบมากบริเวณแขนและขา อาจพบได้ตามลำตัวด้วย ปัญหาที่เกิดร่วมกับผิวแห้ง ผิวแห้งก่อให้เกิดอาการคันร่วมด้วย ซึ่งรบกวนการนอนหลับและกิจวัตรอื่นๆ ประจำวัน การเกาแรงๆ ซ้ำๆ ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวหนาตัว ด้านและหยาบ ผิวหนังที่หนาและแห้งจะแตกได้ง่ายทำให้แสบและเจ็บ ตามมาด้วยอาการอักเสบ บางคนเป็นนานๆ อาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อมีตุ่มน้ำเหลืองตามผิวหนัง หากรุนแรงควรพบแพทย์ผิวหนัง สาเหตุของผิวแห้ง ผิวหนังที่มีสุขภาพดีจะประกอบด้วยชั้นหนังกำพร้าหลายๆ ชั้นห่อหุ้มปกปิดชั้นหนังแท้ หนังกำพร้าชั้นนอกสุดประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลายชั้นเรียงตัวกัน ผสมผสานกับน้ำมันธรรมชาติที่หลั่งจากต่อมไขมัน ทั้งน้ำมันธรรมชาติและเซลล์หนังกำพร้าทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นสู่บรรยากาศ และปกป้องสารเคมีและเชื้อโรคอื่นไม่ให้เข้าสู่ผิวหนังชั้นในได้ ทั้งเซลล์หนังกำพร้าและน้ำมันธรรมชาติบนผิวหนังร่วมกันทำหน้าที่กักเก็บปริมาณน้ำไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวหนังคนเราชุ่มชื้น และเนียนนุ่ม ผิวแห้งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปริมาณน้ำที่กักเก็บในชั้นหนังกำพร้ามีน้อยเกินไป อาจสืบเนื่องมาจากการสูญเสียน้ำมันธรรมชาติของผิวหนังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เข้มข้นหรือแรงเกินไป ประสิทธิภาพการชะล้างมากเกินความจำเป็น ทำให้ชะล้างเอาน้ำมันธรรมชาติออกไปหมดหรือเกือบหมด ทำให้ปริมาณน้ำที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหนังกำพร้าระเหยออกจากผิวหนังได้ง่าย มีผลทำให้ผิวหนังแห้งและหดตัวหรือผิวแตกจนเกิดอาการคันตามมานั่นเอง การแก้ปัญหาผิวแห้ง การแก้ปัญหาผิวแห้งโดยการเติมน้ำหรือความชุ่มชื้นให้ผิวหนังอย่างเดียวอาจไม่ช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวหนังได้รับน้ำอุ่นมากๆ จากการอาบน้ำอุ่นทุกวัน จะทำให้ผิวหนังยิ่งแห้งมากขึ้น เพราะน้ำอุ่นจะสามารถชะล้างน้ำมันธรรมชาติผิวออกไปมากขึ้นร่วมกับน้ำสบู่ ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดอ่อนโยน หรือควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารหล่อลื่นและสารมอยส์เจอร์ นอกจากนี้ควรชโลมผิวหนังภายหลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งสนิทด้วยโลชั่นบำรุงผิวกายและผิวหน้าบางๆ ทุกครั้ง เพื่อให้สารหล่อลื่นในโลชั่น ช่วยเคลือบผิวหนังชดเชยการสูญเสียของน้ำมันธรรมชาติของผิวหนังระหว่างการชำระล้างร่างกาย ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ควรชโลมผิวหนังด้วยโลชั่นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งทั้งตอนเช้าและก่อนนอน   ระวังไม่ควรไปหาซื้อครีมทาผิวหนังแก้คันหรือแก้อักเสบ เนื่องจากอาการจากผิวแห้งไม่ได้เกิดจากการอักเสบ แต่คันเนื่องจากผิวหนังขาดความชุ่มชื้น จึงควรใช้โลชั่นที่เข้มข้นทาผิวหนังเป็นประจำ อาการผิวแห้งและคันจะค่อยๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 130 น้ำกัดเท้าและยารักษา

  โรคที่มากับมหาอุทกภัยน้ำท่วม 2554 คือโรคน้ำกัดเท้า ซึ่งเกิดจากการเดินลุยน้ำบ่อยๆ นานๆ หรือเป็นประจำ จึงเรียกโรคนี้ว่า “โรคน้ำกัดเท้า” ในประเทศที่เจริญแล้ว มักพบบ่อยในนักกีฬาที่สวมใส่รองเท้าที่เปียกชื้นจากเหงื่อระหว่างเล่นกีฬา จึงได้ชื่อว่า “โรคเท้านักกีฬา” (Athlete’s foot) โรคน้ำกัดเท้าเกิดจากผิวหนังบริเวณเท้าที่ชื้นแฉะมีเชื้อราสะสม เป็นเชื้อราในกลุ่มเดียวกับโรคขี้กลาก ซึ่งมักเจริญเติบโตได้ดีในที่อับชื้น เปียกน้ำ เปียกเหงื่อ เช่น จากการลุยน้ำท่วมขัง รองเท้าเปียก พื้นห้องอาบน้ำที่ใช้ร่วมกันหลายๆ คน และพื้นบริเวณสระว่ายน้ำ เมื่อเดินหรือย่ำบนพื้นดังกล่าว หรือใส่รองเท้าที่มีเชื้อราอยู่ เชื้อราจึงรุกรานเข้าสู่ผิวหนัง และก่อโรคน้ำกัดเท้าได้ นอกจากนี้ยังอาจติดต่อได้ง่ายจากการใช้รองเท้าร่วมกัน ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันและใช้ถุงเท้าไม่สะอาด นอกจากเท้าแล้วยังเชื้อราชนิดนี้ยังทำให้เกิดโรคได้กับผิวหนังส่วนอื่นๆ เช่น เล็บ และขาหนีบ อาการเด่นชัดที่พบ เช่น ง่ามเท้าแห้งตกสะเก็ด เป็นขุย ผิวหนังแตกเป็นร่องแผลสด บวม เจ็บและคัน อาจมีตุ่มน้ำใสๆ ร่วมด้วย แนวทางการรักษา การใช้ยาต้านเชื้อราทาเฉพาะที่บริเวณแผล ขี้ผึ้งแก้น้ำกัดเท้า ซึ่งเป็นตำรับในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ขี้ผิ้งวิทฟิวด์ (Whitfield ointment) มีตัวยาหลักคือ ยาต้านเชื้อราเบนโซอิคแอซิด 6% และซาลิไซลิคแอซิด 3% จะพบว่าขี้ผึ้งชนิดนี้มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง จึงควรระวังไม่ทาผิวหนังส่วนอื่นที่บอบบาง ตำรับยาต้านเชื้อราอื่นๆ เช่น คลอไตรมาโซลหรือคีโตโคนาโซลครีมที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน แต่ราคาจะแพงกว่ามาก  ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาด ใช้สบู่ขัดถูตามซอกและง่ามนิ้วเท้าซึ่งมักมีเชื้อราสะสมและหมักหมมจนก่อให้เกิดโรค ต้องซับผิวหนังให้แห้งสนิทก่อนทาขี้ผึ้งบางๆลงบริเวณผิวหนังที่มีปัญหา วันละ 1-2 ครั้ง แนะนำให้ทาก่อนนอนและไม่ควรย่ำไปไหนเมื่อทายาเสร็จ ตัวยาจะได้ไม่หายหรือเลอะเลือนไปกับรองเท้าหรือพื้น   ข้อควรระวังการใช้ยา อาการคันที่เท้าจากโรคน้ำกัดเท้า ไม่ควรซื้อยาแก้คันที่มีส่วนผสมของยาสเตียรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลให้แผลอักเสบที่เท้ามีอาการอักเสบมากขึ้น และเกิดหนองได้ ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ เพื่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคน้ำกัดเท้า - ผู้ที่ยังไม่ทันเป็นโรคน้ำกัดเท้า ไม่ควรทายาต้านเชื้อรา แต่ควรป้องกันโดยการล้างเท้าให้สะอาด ซับให้แห้งสนิททันทีภายหลังจากการย่ำน้ำ และใช้แป้งฝุ่นโรยง่ามเท้าให้ทั่วเป็นการป้องกันผิวหนังไม่ให้ชื้นแฉะ และควรพยายามหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำหรือการสวมใส่รองเท้าบู้ทหรือสวมถุงพลาสติกหุ้มเท้าก่อนย่ำน้ำ - รองเท้าที่สวมใส่ทุกวัน ควรดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ คือต้องให้ภายในรองเท้าแห้ง ไม่อับชื้น ควรมีรองเท้าอย่างน้อย 2 คู่ เพื่อสวมสลับกัน ซักด้านในรองเท้าให้สะอาด ปัจจุบันนี้มีสเปรย์สำหรับรองเท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค - ไม่ใช้รองเท้าร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าสาธารณะโดยไม่จำเป็น - ต้องรักษาความสะอาดถุงเท้า เมื่อเปียกต้องเปลี่ยนเสมอ -ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น นอกจากนั้น ผ้าเช็ดเท้า และผ้าเช็ดตัว ควรเป็นคนละผืนกัน   เอกสารอ้างอิง1, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์: http://haamor.com/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ปิโตรเลียม เจลลี

  ฉบับนี้ อ.พิมลพรรณ ฝากขออภัยแฟนๆ นะคะ เนื่องจากอาจารย์ไม่สะดวกจริงๆ ทางกองบรรณาธิการ จึงขอนำเสนอเรื่องสวยๆ งามๆ แทน เรื่องที่ขอเสนอคราวนี้เป็นเรื่องของปิโตรเลียม เจลลี(Petroleum Jelly) ค่ะ งงๆ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเรียกว่า วาสลีน(Vaseline)  ล่ะก็ คงร้องอ๋อกันใช่ไหม ปิโตรเลียมเจลลี นั้นเป็นชื่อสามัญ ซึ่งไม่ฮิตติดตลาดเท่าชื่อเจ้าของดั้งเดิมต้นตำรับ คือ วาสลีน ทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องนี้ มันก็เป็นเหตุจากช่วงชุลมุนวุ่นวายเก็บของหนีน้ำท่วมและแพ็กถุงยังชีพส่วนตัว ซึ่งขอแนะนำว่าควรเลือกพกปิโตรเลียม เจลลี 1 กระปุกไว้ในถุงด้วย เพราะอะไรเหรอคะ ก็เพราะว่ามันเป็น เครื่องสำอางอเนกประสงค์มากๆ ค่ะ   ประโยชน์ของปิโตรเลียม เจลลี ปิโตรเลียม เจลลี ถูกค้นพบจากกระบวนการขุดเจาะน้ำมัน เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ที่ล้ำค่าไม่แพ้น้ำมันเลยค่ะ และด้วยคุณสมบัติที่ว่ามาจากน้ำมันข้อนี้ ทำให้เราสามารถใช้ปิโตรเลียม เจลลี ทดแทนโลชั่นเพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งกร้านได้เป็นอย่างดี นอกจากช่วยถนอมผิวแล้ว ยังใช้ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันได้ดีอีกด้วย เรียกว่า ทดแทนครีมล้างเครื่องสำอางได้เลย และสำหรับคนที่มีริมฝีปากแห้ง ปิโตรเลียม เจลลี ช่วยทำหน้าที่แทนลิปมันได้เลย บางคนว่าโบกที่ริมฝีปากหนาๆ ก่อนนอนช่วยให้ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นไปทั้งวัน เมื่อใช้กับปากได้ กับมือหรือเท้าที่หยาบกร้านเนื่องจากการทำงาน ทาปิโตรเลียม เจลลีก็ช่วยทำให้ผิวกลับมานุ่มนวลขึ้นได้เช่นกัน   สารพัดประโยชน์ยามผจญน้ำท่วม 1.แก้อาการแสบร้อนจากแดดเผา กรณีต้องตากแดดแรงๆ ลุยน้ำท่วม แล้วมีอาการแสบร้อนผิว  ทาหนาๆ หน่อย บริเวณผิวที่โดนแดดโดนลมทำร้าย จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดแสบปวดร้อน ได้ 2. แก้ผิวแตกจากลมหนาว บางพื้นที่นอกจากภัยน้ำแล้ว ยังเจอภัยหนาวด้วย ทาผิวที่แห้งแตกจากลมหนาวด้วยปิโตรเลียม เจลลี จะช่วยบรรเทาอาการคันยิบๆ ได้ แล้วผิวก็ไม่แห้งเป็นขุยด้วย 3. ป้องกันน้ำกัดเท้า ถ้าต้องออกไปลุยน้ำท่วมแบบเลี่ยงไม่ได้ ให้ทาบริเวณซอกนิ้วเท้าให้หนาๆ ไว้ จะช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวไม่ถูกน้ำแทรกซึมทำร้ายเอาได้ง่ายๆ เป็นการป้องกันน้ำกัดเท้าได้อีกวิธีหนึ่ง 4. ห้ามเลือด อันนี้สำหรับกรณีฉุกเฉิน เราสามารถใช้ปิโตรเลียม เจลลี ห้ามเลือดกรณีบาดแผลไม่ลึกมากได้ เป็นเทคนิคที่เรียนรู้มาจากเวทีมวยอีกที แต่เมื่อเลือดหยุดแล้วต้องรีบล้างแผลทำความสะอาดนะคะ เห็นไหมล่ะ ว่าพกไว้เพียง 1 กระปุก เจ้าปิโตรเลียม เจลลี ที่มีหน้าตาเป็นน้ำมันใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นนี้ สามารถช่วยเราได้เยอะเชียว และราคาต้องบอกว่า ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คุณสมบัติใกล้กัน ปัจจุบันมีให้เลือกหลายยี่ห้อนะคะ ไม่จำเป็นต้องซื้อในชื่อ วาสลีน เท่านั้น อ้อ...ข้อเสียอย่างเดียวของปิโตรเลียม เจลลี ก็คือ ความเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งบางคนไม่ชอบเอาเลย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคุณสมบัติมากกว่าโทษสมบัตินะคะ โดยเฉพาะกรณีที่ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ปิโตรเลียม เจลลีเขาจะเคลือบและแทรกซึมเข้าระหว่างเซลล์ผิวได้ดี ทำให้สามารถป้องกันการสูญเสียน้ำผ่านออกจากผิวหนังได้ถึง 99% แต่เพราะความเหนียว ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็ควรใช้เฉพาะในบริเวณที่แตกแห้งพิเศษ เช่น บริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ผื่นผิวหนังที่หนาๆ  ผิวแตกแห้ง จะได้ไม่รู้สึกเหนอะหนะเกินไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 128 แก้ปัญหาเท้าเหม็น ส้นเท้าแตก อย่างถูกวิธี

  เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกเพศทุกวัยในคนที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้น ทำให้อับชื้นเพราะอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้สะดวก น้ำเหงื่อที่คายออกมาจากผิวหนังจะส่งกลิ่นเหม็นได้อย่างรวดเร็วเมื่อระเหยออกไม่ได้ กลิ่นเหม็นนี้แน่นอนเกิดจากการหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ฝ่าเท้าและรองเท้าหรือถุงเท้าที่อับชื้นทั้งวัน สาเหตุหนึ่งที่พบคือการเลือกใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่หนาแน่นเกินไป ไม่สามารถระบายความชื้นได้ เช่น รองเท้าที่ทำด้วยพลาสติกหรือใยสังเคราะห์ไนล่อนที่ไม่มีรูระบายอากาศ หรือวัสดุที่ไม่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้ ทำให้ฝ่าเท้าชื้นตลอดเวลา รวมทั้งการสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าคับและแน่นเกินไป   การจัดการกับถุงเท้า 1 ถุงเท้า ควรเลือกซื้อถุงเท้าที่ดูดซับความชื้นได้ดี และระบายอากาศได้ดี 2 เลือกถุงเท้าที่ไม่คับจนเกินไป 3 เปลี่ยนถุงเท้าที่สะอาดทุกวัน เวลาซักต้องตากให้แห้งสนิท และถ้าซักด้วยน้ำร้อนได้ยิ่งดีเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค 4 ควรพิจารณาใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ โรยผิวเท้าและฝ่าเท้าก่อนสวมใส่ถุงเท้าเป็นครั้งคราวเมื่อพบกลิ่นเหม็น แป้งฝุ่นจะช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ในขณะเดียวกันยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่บริเวณฝ่าเท้าและถุงเท้าได้ อย่างไรก็ตามการใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะไม่ได้ผลหากไม่ยอมรักษาความสะอาดของเท้าและถุงเท้า   การจัดการกับรองเท้า 1 ตรวจสอบผ้าซับที่บุอยู่ภายในรองเท้า รองเท้าหนังมักจะมีผ้าใยสังเคราะห์เป็นไนล่อนบุภายในรองเท้า ซึ่งจะทำให้เท้าอับชื้นได้ง่าย ควรเลือกรองเท้าที่บุภายในด้วยหนังล้วน ซึ่งจะช่วยคายความชื้นได้ดีกว่า 2 เลือกรองเท้าชนิดที่สามารถซักล้าง/ทำความสะอาดได้ และควรทำความสะอาดทุกวัน วางรองเท้าไว้ในที่อากาศถ่ายเท ไม่ความเก็บในตู้รองเท้าที่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นการบ่มเพาะเชื้อโรคได้รวดเร็ว 3 ทุก 2-3 สัปดาห์ ควรทำความสะอาดภายในรองเท้าด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์หมาดๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรค 4 ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน ควรเปลี่ยนทุก 2 วัน เพื่อให้รองเท้าได้พักและระบายความอับชื้น   การจัดการกับเท้า 1 ตรวจสอบส้นเท้าว่าแห้งและแตกเป็นขุยหรือไม่ หนังหนาๆ ที่แห้งแตกเป็นขุยจะเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้ง่ายที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชื้นแฉะ หากพบว่าส้นเท้าแห้งเป็นขุย อาจใช้ตะไบหรือหินสำหรับขัดส้นเท้าเพื่อขจัดหนังหนาๆ ให้บางลง หรืออาจใช้ครีมผสมตัวยาซาลิไซลิค แอซิด จากร้านขายยา ทาทุกวันเพื่อลอกหนังที่หนาและแตกออก 2 ล้างเท้าและแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นครั้งละ 10-15 นาที หลังจากซับให้แห้งสนิท หากมีน้ำมันไพลหรือครีมผสมน้ำมันไพล ให้ทาบางๆ ให้ทั่วฝ่าเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามซอกนิ้วเท้า น้ำมันไพลมีสรรพคุณฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ดี นอกจากนั้นยังเป็นน้ำมันหล่อลื่นธรรมชาติ ช่วยให้ฝ่าเท้าไม่แห้งแตกอีกด้วย 3 หากพบอาการผิดปกติ เช่น คัน/แดง อาจใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทสเปรย์เท้า ซึ่งมีส่วนผสมของยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งมีขายตามร้านขายยา สเปรย์ให้ทั่วตามซอกนิ้วเท้าหรือบริเวณที่มีปัญหา ควรใช้ยาต่อเนื่องจนกว่าอาการจะหายสนิท หากไม่ดีขึ้นหรือพบการติดเชื้อรุนแรง ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง 4 สำหรับผู้ที่เท้ามีเหงื่อออกมาก ชื้นและแฉะ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทระงับเหงื่อ ซึ่งมีส่วนผสมของเกลืออลูมิเนียมคลอไรด์ ทาบริเวณฝ่าเท้าและซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาดและซับให้แห้งสนิทก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ ควรใช้ตอนกลางคืนก่อนนอนและล้างออกตอนเช้า ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 วัน และทุกสองสัปดาห์ แต่หากพบว่าฝ่าเท้ามีอาการอักเสบ คาดว่าน่าจะมีการติดเชื้อ ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อชนิดนี้ แต่ควรไปปรึกษาแพทย์แทน 5 ครีมบำรุงผิวเท้า คนที่ผิวเท้าแห้งและแตก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วจากข้อแนะนำข้างต้น ควรจะบำรุงผิวเท้าด้วยครีมบำรุงผิวเท้าอย่างสม่ำเสมอ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่ข้นและเหนียว ไม่ต้องกลัวครีมเหนียวเหนอะหนะ เพราะครีมที่ยิ่งข้นและยิ่งเหนียวเหนอะหนะ จะให้ความชุ่มชื้นได้มากและปกป้องผิวได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าเท้าที่ทั้งแห้งและแตกเป็นขุย หากบำรุงเป็นประจำ ฝ่าเท้าจะไม่กลับมาแห้งแตกอีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 127 มาสคาร่าและขนตางอนยาว

  มาสคาร่า เป็นเครื่องสำอางที่ช่วยเน้นให้ดวงตาคมและเข้มขึ้น ช่วยเพิ่มความหนาและความยาวให้ขนตาดูดกดำ บางครั้งก็สามารถใช้ตกแต่งขนคิ้วได้เช่นกัน มีเอกสารอ้างอิงการใช้มาสคาร่าจากสมัยอียิปต์โบราณ กรีกและชาวโรมัน ส่วนใหญ่ใช้กันมากในหมู่ดาราหนังที่มีการแสดงบนเวที ปัจจุบันเป็นความนิยมในสังคม ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงสาวใหญ่  สูตรตำรับของมาสคาร่า มีการพัฒนามาหลายยุคหลายสมัย ในอดีต(ค.ศ.1933) มีคนถึงขั้นตาบอดและถึงตายในที่สุดจากการใช้มาสคาร่าที่มีองค์ประกอบของสารเคมีที่รุนแรง ทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกาต้องเข้าควบคุมผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางอย่างเข้มงวดตั้งแต่ปี ค.ศ.1938 เป็นต้นมา  ปัจจุบันมาสคาร่ามีพัฒนาการไปมากเพื่อให้สะดวกต่อผู้บริโภคในการใช้งาน องค์ประกอบหลักทางเคมีพื้นฐานที่คล้ายๆ กันในหลายๆ ยี่ห้อคือ เม็ดสี น้ำมัน ไขหรือขี้ผึ้ง และสารกันเสีย รวมทั้งสารบำรุงเส้นขนให้แข็งแรง เช่น วิตามิน โปรตีน  เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสูตรตำรับชนิดที่กันน้ำและชนิดไม่กันน้ำ คุณสมบัติของมาสคาร่าที่ช่วยให้เส้นขนตายืดยาวขึ้นและหนาขึ้น โดยใช้องค์ประกอบทางเคมีของสารกลุ่มไนล่อนหรือไมโครไฟเบอร์พวกเส้นไหมเรยอน และสารจำพวกแป้งเปียกเพื่อให้มาสคาร่าเหนียวข้น เส้นขนตาจะได้หนาขึ้นอย่างที่เห็น  ข้อควรระวัง การใช้มาสคาร่าและการต่อขนตาให้ยาวและหนาขึ้น  1. ระวังโฆษณามาสคาร่าที่ชวนเชื่อว่าขนตาจะยาวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเห็นผลในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้มีการนำสารเคมีที่เป็นตัวยาในการรักษาโรคความดันตาสูงผิดปกติมาใส่ในมาสคาร่า ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดอยู่ในประเภท ‘ยา’ ไม่ใช่เครื่องสำอาง การนำมาใช้เป็นมาสคาร่าในคนที่ไม่เป็นโรค จะก่อให้เกิดอันตรายต่อเยื่อบุลูกตา สีม่านตาเปลี่ยน ตาบวมและอักเสบ และมีผลข้างเคียงต่อผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ตัวยาสำคัญชนิดนี้มีประสิทธิผลทำให้เส้นขนดกดำและหนาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นหากมีโฆษณาชวนเชื่อเช่นนี้ขอให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสินค้าดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ออกมาประกาศเตือนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2011 ที่ผ่านไปถึงข้อห้ามการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าว และให้ผู้บริโภคระวังสินค้าประเภทนี้   2. เปลี่ยนแปรงปัดขนตาบ่อยๆควรเปลี่ยนแปรงปัดขนตา หลังการใช้งานนาน 4-6 เดือน หรือหากพบกลิ่นเปลี่ยนแปลง ควรทิ้งทันทีรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหลือทันที เพราะองค์ประกอบทางเคมีของมาสคาร่าจะขึ้นเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย หากใช้ต่อจะทำให้ตาอักเสบ คันและบวมเพราะติดเชื้อได้   3. ใช้กาวติดขนตาอย่างระมัดระวังการต่อเส้นขนตา นอกจากมาสคาร่าแล้ว ยังมีการใช้ขนตาปลอมทำเป็นแผงโดยใช้เส้นใยไนลอนหรือโพลีเอสเตอร์และใช้เทปกาวเพื่อแปะติดกับหนังตาบน อาการข้างเคียงที่พบทั่วไปคือ ทำให้ขนตาธรรมชาติหลุดร่วงง่าย ในบางรายที่ใช้ขนตาปลอมติดเป็นประจำ ขนตาธรรมชาติหลุดร่วงไปหมดอย่างถาวรก็มี นอกจากนี้เทปกาวอาจทำให้หนังตาระคายเคืองและอักเสบได้หากใช้ไม่ถูกต้อง และบางรายอาจมีอาการระคายเคืองจากการแพ้เทปกาว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ครีมกำจัดขน ใช้เป็นประจำมีอันตรายหรือไม่?

  ความสวยงามบนเรือนร่างของหญิงและชาย เป็นจุดสนใจของเจ้าของโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงมักให้ความสนใจกับความเกลี้ยงเกลาของเรือนร่าง จึงไม่ต้องการให้มีเส้นขนโผล่ตามผิวหนังไม่ว่าจะเป็น แขน ขา ใต้วงแขน หรือแม้แต่ในร่มผ้า ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกำจัดเส้นขนตามร่างกายที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งวิธีทั่วไปที่ใช้กันในปัจจุบัน มี 3 วิธีคือ  1. ใช้ครีมกำจัดเส้นขน (Dipilatories)2. ใช้วิธีถอนเส้นขนออกทั้งราก (Epilation) โดยใช้อุปกรณ์ช่วย หรือใช้แวกซ์ถอนขน 3.ใช้อุปกรณ์การแพทย์ เช่น แสงเลเซอร์  สองวิธีแรกมีใช้กันมาตั้งแต่อดีตเพราะง่ายและประหยัด ส่วนวิธีที่ 3 เป็นการใช้อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ลงมือทำให้ ค่าใช้จ่ายก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประเภทครีมกำจัดเส้นขนจึงเป็นที่นิยมมากที่สุด รูปแบบที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดมีทั้ง เจล ครีม โลชั่น แอโรโซลชนิดสเปรย์ โรลออน และรูปแบบแป้งฝุ่นโรยผิว นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีใช้มานานตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน เพียงแต่สูตรครีมชนิดนี้ในอดีตอาจมีกลิ่นฉุนรุนแรงของทั้งกรดและด่าง แต่ในปัจจุบันได้พัฒนาให้มีกลิ่นฉุนลดลง  องค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์ครีมกำจัดเส้นขน มีส่วนประกอบของสารเคมีที่มีความเป็นด่างสูง คือ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งมีอยู่ในเนื้อครีมปริมาณมาก และตัวยาแคลเซียม ไทโอไกลโคเลท (Calcium thioglycolate) หรือ (sodium thioglycolate) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับโปรตีนของเส้นขน ทำให้เส้นขนนุ่มลงและถูกตัดขาดจากรากขนหรือส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ง่าย   ข้อดี • เป็นวิธีที่ประหยัด ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงทาครีมบนผิวหนังทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วเช็ดออก และเป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดเลย • ทำเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ หรือไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ด้วย • ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด มีหลายความเข้มข้นให้เลือกซื้อสำหรับเส้นขนที่หนาและแข็ง อาจต้องใช้ชนิดความเข้มข้นสูง  สำหรับผู้ที่มีเส้นขนไม่หนาและอ่อนควรเริ่มต้นเลือกทดลองใช้ความเข้มข้นที่น้อยที่สุดก่อน • หาซื้อได้ง่ายทั่วไป  ข้อเสีย • ได้ผลในระยะสั้นๆ เท่านั้น เส้นขนจะกลับเจริญเติบโตขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วภายใน 2-5 วัน • ผู้ที่มีเส้นขนสีดำ อาจจะมองเห็นเป็นรอยดำๆ บนผิวหนัง ซึ่งเป็นสีดำของเส้นขนที่ตกค้างอยู่ใต้ผิวหนังที่ยังคงอยู่ • ผลิตภัณฑ์มักมีกลิ่นฉุนและเลอะเทอะเวลาใช้ แม้ว่าหลายยี่ห้อได้พัฒนาสูตร แต่ยังมีกลิ่นเคมีหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย • ระคายเคืองผิวหนังได้ง่าย เนื่องจากมีความเป็นด่างสูง   ข้อแนะนำและข้อควรระวังเนื่องจากชั้นของผิวหนัง มีองค์ประกอบของโปรตีนคีราตินเช่นเดียวกับโปรตีนของเส้นขน ดังนั้นเคมีในเนื้อครีมจะทำลายโปรตีนชั้นผิวหนังที่สัมผัสตัวยาเช่นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเนื้อครีมกำจัดเส้นขนถูกพอกทิ้งไว้นานเกินไป ผิวหนังจะระคายเคืองและอักเสบได้  ก่อนการใช้งาน ควรทดสอบอาการแพ้หรือไม่แพ้ด้วยตนเองบนผิวหนังบริเวณเล็กๆ โดยทาเนื้อครีมในบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ทิ้งไว้สัก 10-15 นาที หรือตามที่ระบุไว้บนฉลาก จากนั้นเช็ดเนื้อครีมออกด้วยกระดาษหรือผ้าชื้น และสังเกตอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการไหม้ แต่อาจมีเพียงอาการแดงเล็กน้อย แสดงว่าสามารถใช้ครีมสำหรับกำจัดเส้นขนได้โดยไม่เกิดอันตราย แต่หากมีอาการไหม้ และปวดแสบปวดร้อน ไม่ควรใช้ต่อ อย่างไรก็ดี สถาบันประเมินความเสี่ยงจากการใช้สินค้าของผู้บริโภค ประเทศเยอรมนี (BfR) ได้ออกมาเตือนการใช้ครีมกำจัดขนชนิดนี้ว่า ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองไม่มากก็น้อยต่อผิวหนังบริเวณที่ใช้ได้ และหากมีการใช้เป็นประจำ และใช้ซ้ำบ่อยๆ ในบริเวณเดียวกัน อาจระคายเคืองมากได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ซ้ำบ่อยๆ ในบริเวณเดียวกัน เช่น มีการพอกบนผิวหนังทุก 2-5 วันซ้ำๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงรุนแรงขึ้น อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความเป็นด่างสูงหรืออาจเกิดจากสารเคมีไทโอไกลโคเลท ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป  นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มีข้อบ่งใช้เฉพาะกำจัดเส้นขนตามแขนและขาเท่านั้น ไม่ควรใช้กับใบหน้าเพื่อกำจัดหนวด เครา หรือขนคิ้วเด็ดขาด รวมถึงบริเวณที่ลับใต้ร่มผ้าหรือผิวหนังบริเวณใกล้อวัยวะเพศ  หรือเส้นขนในรูจมูก ซึ่งเป็นบริเวณผิวหนังที่อ่อนไหวและชั้นหนังกำพร้าบาง จะเป็นอันตรายได้ง่าย ผู้บริโภคควรอ่านฉลากกำกับ และใช้ตามข้อแนะนำในฉลากเท่านั้น   เอกสารอ้างอิง 1. http://depilatories.info/ 2. http://www.cosmeticsdesign-europe.com/Regulation-Safety/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 เติมความรู้เรื่อง สารลบริ้วรอย

  กลายเป็นเรื่องค่อนข้างปกติแล้วสำหรับการเห็นดารานักร้องและบุคคลสำคัญที่ปรากฏในจอทีวีล้วนแต่มีใบหน้าเต่งตึง ไม่พบริ้วรอยแม้เพียงน้อยนิด คนอายุร่วม 60 กลับดูเหมือนเพียง 30 ปลาย ดารา นักร้องวัยรุ่นที่ไม่มีดั้ง คางสั้น กลับกลายเป็นมีดั้ง จมูกโด่ง คางแหลม คิ้วโก่ง ส่วนดาราสูงวัยกลับดูเด็กลงอย่างมากมาย ด้วยใบหน้าเรียบตึงปราศจากริ้วรอยตีนกาหรือร่องแก้มลึก  ภาพความสวยความสาวราวปั้นแต่งนี้ ย่อมยั่วยวนให้ผู้หญิงทั้งหลาย อยากเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงามทั้งหลายเพื่อเสริมแต่งใบหน้าให้ได้รูปตามที่ปรารถนา บทความนี้จึงอยากแนะนำข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามจากแพทย์  สารเติมเต็มคืออะไรสารเติมเต็ม ถูกจัดหมวดหมู่ให้เป็น ‘อุปกรณ์การแพทย์’ ชนิดหนึ่ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองและอนุญาตให้ใช้เพื่อฉีดเข้าใต้ผิวหน้า ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างจมูกและรอบริมฝีปาก เติมเต็มวงลึกใต้ตา ใช้ฉีดเข้าหางตาเพื่อยกหางตาและหางคิ้วไม่ให้ตก นอกจากนี้ยังนิยมใช้ฉีดเข้าปลายจมูกให้มีติ่งเป็นหยดน้ำ หรือฉีดเข้าปลายคางให้แหลม หรือฉีดเพื่อเสริมดั้งจมูกให้โด่งขึ้น บางคนฉีดเพื่อให้ริมฝีปากนูน เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เหล่านี้ ช่วยทำให้หญิงชายในยุคปัจจุบันสวยได้ทันใจ โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อดึงหน้าหรือยกกระชับเหมือนสมัยก่อน   วัสดุวิทยาศาสตร์ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ ชนิดให้ผลถาวร และชนิดให้ผลชั่วคราว   ชนิดถาวร ได้แก่  โพลีเมทธิลเมทาไคลเลต (Polymethylmethacrylate, PMMA) มีลักษณะเป็นเม็ดบีดส์หรือลูกบอลขนาดละเอียดและเรียบ สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเราได้ดีและไม่ถูกดูดซับหรือดูดซึมโดยร่างกาย นิยมใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้มรอบปากและข้างจมูก ข้อเสียคือเมื่อฉีดแล้ว หากไม่พอใจต้องให้แพทย์ผ่าเอาออก ชนิดชั่วคราว จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะสลายไป ตัวอย่างของสารเติมเต็มที่ใช้ทั่วไป มี 4 ชนิดที่นิยม คือ 1. คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะสกัดจากวัวหรือเซลล์ของคน ให้ผลระยะสั้นเพียง 3-4 เดือน 2. ไฮยารูโลนิค แอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘เรสไตเลน’ (Restylane) จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ในเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เช่น กระดูกอ่อน และผิวหนัง วัสดุชนิดนี้สามารถรวมกับน้ำหรือความชื้นได้ดีและบวมน้ำกลายเป็นเจลนุ่มๆ เมื่อนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกข้างจมูก ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นเลือนหายไปทันตา ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบขึ้น ร่องลึกจะถูกลบเลือนจนหมดหรือเกือบหมดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วัสดุชนิดนี้มักจะถูกสกัดและเตรียมขึ้นจากไบโอเทคโนโลยีหรือใช้เชื้อแบคทีเรียเป็นสารตั้งต้นในการเตรียม ในปัจจุบันมีการดัดแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารกลุ่มนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถมีอายุได้นานขึ้นใต้ผิวหนังประมาณ 6-12 เดือน 3. แคลเซียม ไฮดรอกซี่อปาไทด์ (Calcium hydroxylapatite) จัดเป็นวัสดุแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่พบทั่วไปในฟันและกระดูก การใช้เป็นสารเติมเต็ม สารชนิดนี้จะถูกเตรียมโดยแขวนกระจายในน้ำยาคล้ายเจล และนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ระยะเวลาที่ให้ผลประมาณ 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง  4. โพลี แอล แลคติด แอซิด (Poly-L-lactic acid, PLLA) จัดเป็นวัสดุโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายเองได้ในร่างกาย นับเป็นวัสดุวิทยาศาสตร์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้เข้ากับร่างกายคนเราได้ดี ใช้มากในการช่วยละลายไหมเย็บแผลและสกรูกระดูกในศัลยกรรมกระดูก สารเติมเต็มชนิดนี้นิยมใช้กันมากในยุโรปและอเมริกา กลไกการทำงานของวัสดุชนิดนี้คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ เพื่อเติมเต็มล่องลึกและริ้วรอยเหี่ยวย่น มีอายุประมาณ 2 ปี  ความเสี่ยงของการฉีดสารเติมเต็มอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และมักจะเลือนหายไปเองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ในบางกรณีอาจมีอาการข้างเคียงประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือเป็นปีได้ สารเติมเต็มทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ในระยะยาว หรืออาการข้างเคียงถาวร หรือทั้งสองชนิดได้ อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น บวม แดง เป็นผื่น คัน เจ็บ ฟกช้ำ ส่วนอาการข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ผิวหนังมีลักษณะเป็นเนื้อนูน ซึ่งต้องให้แพทย์ผ่าตัดออก ความเสี่ยงในการติดเชื้อ มีแผลเปิด มีอาการแพ้ หรือเกิดเนื้อตายบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏพบอาการข้างเคียงที่มีรายงาน เช่น การเคลื่อนที่ของสารเติมเต็มจากตำแหน่งเดิม การรั่วไหลของสารเติมเต็มออกสู่ผิวหนังชั้นบน ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดจากการอักเสบจากการติดเชื้อหรือเกิดจากปฏิกิริยาของสารเติมเต็มต่อผิวหนังบริเวณที่ฉีด หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือมีสายตาพร่าฟาง ก่อนเข้ารับบริการควรตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะข้อจำกัดและร่างกายแต่ละคนมีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนต่อสารเคมีหรือวัสดุวิทยาศาสตร์ไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่แพ้ ฉีดหลายๆ ครั้งก็ไม่เป็นไร แต่บางคนฉีดเพียงเล็กน้อยก็อาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้   สวยอย่างฉลาด - รับบริการจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังโดยตรง- ควรจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แพทย์เลือกฉีดให้คืออะไร ชื่ออะไร และมีอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างไร- ควรจะข้อดูฉลากที่ขวดยาว่า เป็นชนิดที่ผ่านการรับรองจากอย.หรือไม่- ควรจะปรึกษาแพทย์ที่ให้บริการถึงผลคาดหวังที่จะได้รับ ว่าเราคาดหวังอย่างไร และแพทย์ผู้ให้บริการคาดหวังอย่างไร ตรงกันหรือไม่ เช่น ร่องแก้มที่ลึกมาก ควรฉีดสารมากน้อยเท่าไหร่ หรือให้ผลนานกี่เดือน รวมถึงราคาที่ตกลงกันในปริมาณของสารเติมเต็มที่ฉีด- ควรรู้ว่า สารเติมเต็มที่อย.รับรองให้ใช้นี้ เป็นผลที่ได้จากการศึกษาทดลองจากการศึกษาทางคลินิกบนผิวหน้า ส่วนการฉีดซ้ำหลายๆ ครั้งหรือบ่อยๆ ทุกๆ ระยะเวลาเมื่อสารเสื่อมสภาพนั้น ยังไม่ได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการใช้สารเติมเต็มจะไม่ได้อยู่ครอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขของการประกันสุขภาพ- ความปลอดภัยที่จะใช้ในคนท้องหรือหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร และผู้รับบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ยังไม่มีข้อมูล   เอกสารอ้างอิง1. http://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/CosmeticDevices/WrinkleFillers/default.htm2. http://www.wisegeek.com/what-is-a-wrinkle-filller.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 วิธีเลือกเครื่องสำอางสำหรับผู้สูงวัย

  ผิวหนังของผู้สูงวัย มักจะแห้ง มีริ้วรอย ความชุ่มชื้นน้อย ผิงหนังมักจะบาง เพราะเซลล์ผิวหนังมีการเจริญเติบโตลดน้อยลง และมักจะซีดลง อันเนื่องมาจากการสร้างเม็ดสีของผิวหนังทำงานลดลง และบ่อยครั้งที่พบว่าสีผิวมักจะไม่สม่ำเสมอ   คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องสำอาง1) เริ่มต้นจากพื้นฐานสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิวหนังผู้สูงวัยคือ ต้องมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้นผิวในปริมาณสูง และควรจะใช้ควบคู่กับครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง สารมอยส์เจอร์สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยทันที จำเป็นต้องบำรุงผิวหน้าเป็นลำดับแรก ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามักจะแห้งมากกว่าส่วนอื่น ริ้วรอยรอบดวงตาจะเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความชราของผิวหนังเจ้าของ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาจะมีองค์ประกอบที่ปกป้องผิวหนังรอบตาได้ดีกว่าผิวหน้าทั่วไป มักจะมีองค์ประกอบที่มีมอยส์เจอร์สูงกว่าและมีสารอีมูเลียน (Emollients) ที่มันกว่าเพื่อเคลือบปกป้องไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นนั่นเอง ทุกครั้งที่อาบน้ำล้างหน้า แนะนำให้บำรุงด้วยครีมมอยส์เจอร์รอบผิวหน้าและดวงตาทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนนอน แนะนำให้ทาครีมบำรุงทุกครั้ง   ภายหลังจากบำรุงผิวหน้าและรอบดวงตาด้วยมอยส์เจอร์แล้ว ควรปกป้องผิวหน้าด้วยครีมกันแดดให้ทั่วผิวหน้าก่อนที่จะแต่งแต้มด้วยครีมรองพื้น ครีมกันแดดจะประกอบไปด้วยสารกรองรังสียูวีเอและยูวีบี       รังสียูวีเอจะสามารถทะลุผิวหนังชั้นล่างได้ ทำให้ผิวหนังคนเราเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ส่วนรังสียูวีบีมีผลทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมและดำคล้ำ ในวัยสูงอายุจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านในระหว่างวัน เพื่อปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วก่อนวัย   2) การเลือกครีมรองพื้น ครีมรองพื้นมีองค์ประกอบของแป้งที่เป็นเม็ดสีละเอียด ทำหน้าที่เคลือบผิวหน้าเพื่อช่วยให้ผิวหน้าแลดูเนียนละเอียด ช่วยปกปิดริ้วรอยและแผลเป็นหรือหลุมลึกของสิวได้ดี การเลือกชนิดของครีมรองพื้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีมหรือโลชั่นชนิดน้ำมัน ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นน้ำ เพราะเมืองไทยอากาศร้อนชื้น เวลาเหงื่อออก จะทำให้รองพื้นชนิดน้ำแตก ดูคล้ายผิวหน้าแตกลาย ไม่น่าดู และหมดสวย ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวหน้าของเรามากที่สุด ที่สำคัญคือควรทารองพื้นเพียงบางเบาและเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรทาหนา เพราะจะยิ่งไปเน้นริ้วรอยให้เห็นชัดเจนมากขึ้น   3) การแต่งแต้มแก้มให้เป็นสีชมพู ผิวหน้าวัยสูงอายุมักจะแลดูซีดเซียว แห้ง และไม่สดใส ดังนั้นการเติมสีสันให้ผิวแก้มเป็นสีชมพู จะช่วยได้มาก เพิ่มชีวิตชีวา แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นครีมเพราะมีองค์ประกอบของอีมูเลียน (Emollients) หรือน้ำมันบำรุงผิวอีกด้วย ช่วยให้ผิวแก้มชุ่มชื้นและติดทนนานมากขึ้น อย่าลืมว่าควรเลือกสีให้บางเบาเพื่อให้แลดูเป็นธรรมชาติ   4) การเลือกสีอายเชโด้ควรเลือกสีอายเชโด้ให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าของ แต่ที่สำคัญคือบางเบา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แต่งเป็นงิ้ว เพราะจะค้านกับวัยและแลดูแก่กว่าวัยทันที ก่อนทาสีอายเชโด้ แนะนำให้ใช้ครีมรองพื้นเฉพาะของเปลือกตาป้ายบางๆ นอกจากจะบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยให้สีอายเชโด้ติดทนนานได้ตลอดวันอีกด้วย   5) การเลือกลิปสติก ผิวหนังริมฝีปากของผู้สูงอายุ มักจะแห้งและบางครั้งมีหนังลอก การทาลิปสติกมักไม่ค่อยติดหรือหลุดลอกได้ง่าย วิธีแก้ปัญหา ควรหมั่นบำรุงผิวริมฝีปากด้วยครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เวลาหลับ สารมอยส์เจอร์ในครีมบำรุงจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งและไม่มีหนังลอก ลิปสติกที่ทาไว้จะติดโดยไม่หลุดลอกง่าย สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เมื่อทาลิปสติก แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมมีองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยมากมาย ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ในคนที่มีผิวบอบบางและแพ้สารเคมีง่าย การใช้ลิปสติกไม่ควรใช้นานเกิน 1-2 ปี เพราะองค์ประกอบในลิปสติกส่วนใหญ่เป็นไขมัน เมื่อเก็บไว้นานจะเหม็นหืน หากมีกลิ่นหืน ควรทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียดาย เพราะถ้าใช้ต่อ จะทำให้แพ้และริมฝีปากลอกได้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้หญิงควรจำไว้คือ ลิปสติคส์ควรใช้เฉพาะคน ไม่ควรแบ่งเพื่อนใช้หรือใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จากคนหนึ่งสู่อีกคนได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 123 เคลนเซอร์กับโทนเนอร์

  หลายคนอาจจะสับสนเรื่องเคลนเซอร์กับโทนเนอร์ ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ยิ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคลนเซอร์กับโทนเนอร์ออกมาวางจำหน่ายมากมายยิ่งทำให้เกิดความสับสนไม่รู้จะเลือกใช้อะไรดี หรือจะไม่ใช้ได้ไหม เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า “ตกยุค” ฉบับนี้จึงมีคำอธิบายเพื่อคลายข้อสงสัยค่ะ   ผิวสะอาดคือเรื่องสำคัญที่สุด การจะมีผิวพรรณสดใส ปราศจากความหมองคล้ำ ความมันหรือสิว ขั้นตอนในการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญ การจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะก็ต้องดูลักษณะผิวหน้าของตัวเองว่าอยู่ในประเภทใด ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย ซึ่งฉลาดซื้อได้นำเสนอไปในฉบับก่อนหน้านี้   ในขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้าโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนสำคัญ 2 ขั้นตอนคือ   1.การทำความสะอาดผิวหน้า 2.การปรับสภาพผิวหน้าหลังทำความสะอาด   การทำความสะอาดผิวหน้า Cleanser หมายถึงการทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ทำความสะอาดผิวหน้า หลายคนจึงเรียกให้ง่ายว่า เคลนเซอร์  ซึ่งโดยทั่วไปที่วางขายในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบที่ต้องอาศัยน้ำ อาจมาในรูปของโฟมหรือเจล เพื่อการล้างหน้า กลุ่มนี้จะมีส่วนผสมของตัวชะล้างหรือ detergent เป็นส่วนประกอบหลัก  อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือเคลนเซอร์ที่ช่วยในการเช็ดคราบเครื่องสำอาง กลุ่มนี้จะไม่อาศัยน้ำในการทำความสะอาดแต่จะมีน้ำมันหรือส่วนผสมอื่นที่สามารถละลายเครื่องสำอางให้ออกไปได้ง่าย เพราะปกติส่วนผสมในเครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้าจะเป็นน้ำมันหรือสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ ดังนั้นจึงต้องใช้สารเคมีเฉพาะสำหรับการเช็ดคราบเครื่องสำอางออกไปก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอีกครั้ง  ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า Cleanser บนฉลากเครื่องสำอาง ให้พิจารณาดูว่าสำหรับขจัดคราบเครื่องสำอางเป็นหลัก หรือว่าเป็นพวกที่อาศัยน้ำเพื่อชำระล้างคราบฝุ่นละอองทั่วไป  ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับสบู่   การปรับสภาพผิวหลังทำความสะอาด เมื่อเช็ดเครื่องสำอางด้วยเคลนเซอร์และล้างหน้าตามปกติแล้ว คำแนะนำสำหรับการทำความสะอาดผิวหน้าในขั้นตอนถัดมาก็คือ การใช้โทนเนอร์ ซึ่งมาในรูปของโลชั่นหรือน้ำที่จะหยดลงบนสำลีเพื่อเช็ดผิวหน้าเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกที่ยังอาจตกค้างอยู่หลังการล้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็มีส่วนในการช่วยปรับสภาพผิวหน้าก่อนบำรุงผิวต่อไป   สมัยก่อนโทนเนอร์จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงมาก เพราะผลิตขึ้นเพื่อช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกและความมันให้หมดไป ดังนั้นโทนเนอร์สมัยก่อนจึงมีส่วนทำให้ผิวแห้งตึง แต่ปัจจุบันโทนเนอร์ถูกพัฒนามากขึ้น จุดเด่นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทำความสะอาดแต่ช่วยปรับสภาพผิวให้สมดุลชุ่มชื้น โทนเนอร์ในปัจจุบันจึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ 1.เฟชรเชนเนอร์ เป็นโทนเนอร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์  จะอ่อนโยนและดีสำหรับผิวแห้งมักมีส่วนผสมที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นสำคัญ 2. แคลิฟายอิ้งโลชั่นโทนเนอร์โทนเนอร์ที่มีความเข้มข้น(แอลกอฮอล์)ปานกลาง จะช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรก รวมทั้งช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ผิว เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวผสม  3. แอสตรินเจนท์เป็นโทนเนอร์ชนิดเข้มข้น  จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง จึงเหมาะสำหรับคนผิวมัน  เนื่องจากสามารถเช็ดคราบมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ดี  และยังช่วยลดความมันบนผิวหน้าอีกด้วย   ถ้าถามว่าผิวหน้าจำเป็นต้องใช้โทนเนอร์หรือไม่ สำหรับบางคนอาจจำเป็นโดยเฉพาะสาวๆ ที่แต่งหน้า การใช้โทนเนอร์จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดยิ่งขึ้นและช่วยปรับสภาพผิว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งหน้าและไม่ใช่คนผิวมันมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้   และสำหรับสาวๆ ที่อยากได้โทนเนอร์แบบธรรมชาติปราศจากสารเคมี เรามีสูตรโทนเนอร์ธรรมชาติมาฝากด้วยค่ะ  สร้างความชุ่มชื้นให้ผิวแบบธรรมชาติ โลชั่นน้ำผลไม้   ใช้น้ำแตงกวา มะเขือเทศ มะนาว และแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า น้ำผลไม้ผสมสูตรนี้จะช่วย สมานผิวและกระชับรูขุมขนเหมือนกับการใช้แอสตรินเจนท์และโทนเนอร์ มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง  น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความชุ่มชื้นจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียน วิธีการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ตัวนี้ไม่ยาก ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ ครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงเช็ดออกด้วยสำลีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น คุณจะรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น วิธีนี้ช่วยกำจัดสิวหัวดำและจุลินทรีย์ที่หมักหมมอยู่ตามขุมขนได้หมดจด ช่วยให้เลือดลมเดินดีขึ้นด้วย โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม   ล้างเปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผลให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทนโลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละอองที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้าด้วย โลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถใส่ขวดเข้าตู้เย็นเก็บไว้ได้นานอีกด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 122 การดูแลผิวมันและผิวผสม

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  สิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในสองฉบับก่อนเรานำเสนอ ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายไปแล้ว คราวนี้ปิดท้ายด้วยผิวมันและผิวผสมค่ะ  ผิวมัน (OILY SKIN)คนที่มีผิวมัน มักจะเป็นสิวได้ง่าย สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวได้โดยไม่ค่อยรู้สึกระคายเคือง แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวมันค่อนข้างชัดเจน หลังล้างหน้า จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่น แต่พอตกบ่ายจะพบว่าผิวหน้ามันเยิ้มอีกแล้ว ผิวหน้าจะแลดูหยาบเพราะมีรูขุมขนใหญ่และมีผิวหนากว่าผิวแบบอื่นๆ  การดูแลผิวมันผิวมันมักจะมีสิวเสี้ยนหัวดำแทรกอยู่ตามรูขุมขนได้มาก น้ำมันหรือซีบุ้มธรรมชาติเหล่านี้จะค่อยน้อยลงด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ความเครียด ปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมนในร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีสิวเสี้ยนมาก อาจล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ครั้งต่อวัน และเช็คตามด้วยโลชั่นชนิดแอสตรินเจนท์เพื่อลดความมัน และช่วยปิดรูขุมขนให้เล็กลง นอกจากการล้างหน้าด้วยสารทำความสะอาดแล้ว แนะนำให้พอกหน้าด้วยดินหรือโคลนพอกหน้า ซึ่งคุณสมบัติของโคลนจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและน้ำมันออกจากผิวหน้าส่วนที่ลึกลงไปได้ดีเยี่ยม ควรทำทุก 2 อาทิตย์ จะเป็นตัวช่วยให้ผิวหน้าสะอาดห่างไกลจากสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ คนที่มีผิวมัน มักประสพกับปัญหาผิวแห้งเร็วได้ เนื่องจากความพยายามที่จะล้างหน้าบ่อยๆ หรือบ่อยเกินไปในแต่ละวัน และหลายคนคิดว่าผิวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวอีกต่อไป อันนี้คงไม่จริงและความเข้าใจผิดนี้เองทำให้คนผิวมัน กลายเป็นคนผิวแห้งและแก่ได้ง่าย ดังนั้นภายหลังจากล้างหน้า ควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่มีสารให้ความชุ่มชื้นแต่มีน้ำมันน้อยหรือเบาบาง ทาเคลือบผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ควรนวดคลึงเนื้อครีมเบาๆ ให้ดูดซึม และใช้กระดาษทิชชูเช็ดส่วนเกินของครีมบำรุงออกไปเพื่อไม่ให้ผิวหน้ามันเยิ้ม  ผู้ที่มีผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่รับประทานผลไม้และผักสดมากๆ  สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับคนผิวมันสิ่งที่ควรทำ:1. ให้มั่นใจว่ามือสะอาดหรือล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสผิวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เป็นสิว 2. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ล้างออกด้วยน้ำในการทำความสะอาดผิวหน้า ไม่แนะนำให้ใช้ครีมเช็ดเครื่องสำอาง เพราะมีน้ำมันมากเกินไป3. ควรพอกหน้าด้วยโคลนเป็นประจำเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกินออกไป ช่วยให้หน้าสะอาดและนุ่มนวล 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดความเครียดในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ไม่ควรทำ:1. ไม่ควรบีบสิว ทำให้เกิดริ้วรอยและแผลเป็น2.  ไม่ควรเข้านอนโดยมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวหน้า ผิวผสม (COMBINATION SKIN)คนที่มีผิวผสม จะมีน้ำมันเยิ้มบริเวณที-โซน และผิวแห้งบริเวณแก้ม มักเกิดจากตอนเป็นวัยรุ่นเป็นคนผิวมัน เมื่ออายุถึง 20 ปี ปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังจะค่อยๆ ลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้บางส่วนของผิวหน้ามีน้ำมันเยิ้ม แต่บางบริเวณเป็นผิวแห้ง วัยที่เปลี่ยนแปลงไปจึงควรตรวจเช็คสภาพผิว เพราะผิวผสมจะแปรเปลี่ยนตามวัย ฮอร์โมน และสภาวะสิ่งแวดล้อม  การดูแลผิวผสมใช้วิธีดูแลแบบคนที่มีผิวแห้งและผิวมันผสมกัน ควรดูแลให้บริเวณทีโซนแห้งไม่มันเยิ้ม ไม่ให้รูขุมขนอุดตัน และดูแลให้ผิวบริเวณแก้มชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ  ในแต่ละวัน ควรล้างหน้าด้วยครีมโฟม เพื่อขจัดความมันบริเวณทีโซน และในตอนเย็นควรใช้ครีมหรือโลชั่นเช็ดหน้า ทำความสะอาดเพื่อบำรุงให้ผิวหน้าไม่แห้งกร้าน เป็นการปรับสมดุลของผิวผสม แม้ว่าจะดูแลผิวทั้งสองแบบในขณะเดียวกันลำบาก แต่ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยเสมอ ภายหลังจากล้างหน้า ควรเช็ดหน้าบริเวณทีโซนด้วยโลชั่นแอสตรินเจนท์ที่อาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อเช็ดเอาความมันออกไป แต่ควรใช้โทนเนอร์ที่อ่อนละมุนสำหรับแก้ม ลำคอและส่วนอื่นที่มีผิวแห้ง และควรบำรุงผิวทั่วทั้งหน้าด้วยครีมมอยส์เจอร์ที่อุดมด้วยสารอาหารและวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ   วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก  อ่านวิธีการดูแลผิวธรรมดา (ฉลาดซื้อ ฉบับ 120) การดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย (ฉลาดซื้อ ฉบับ 121)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 วิธีดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย

ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด ฉบับก่อนเราลงรายละเอียดการดูแลผิวธรรมดาไป คราวนี้มาต่อกันด้วยผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายนะคะ ------------------------------------------------------------------------------ ลักษณะของผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายคนที่มีผิวแห้ง เมื่อใช้กระดาษเช็ดหน้า(ทิชชู) เช็ดทำความสะอาดหน้าในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนจะไม่พบว่ามีน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชู และมักจะพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่ายผิวบอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก ------------------------------------------------------------------------------ ผิวแห้ง (DRY SKIN)คนที่มีผิวแห้ง ผิวมักจะบางแลดูคล้ายกระดาษ เนื่องจากมีรูขุมขนเล็กละเอียด ผิวหน้าแลดูไม่สดใส แห้งมีขุยไม่มากก็น้อย ผิวมักจะระคายเคืองง่าย และเกิดริ้วรอยแห่งวัยเร็วกว่าอายุจริง ผิวชนิดนี้เหมาะกับการเลือกใช้ไนท์ครีมที่เข้มข้น ควรจะอุดมด้วยสารชุ่มชื้นผิวและมีสารไขมันหรืออีมูเลี่ยน (Emollients)  การทำความสะอาดผิวหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดครีมโฟมหรือครีมเช็ดหน้า ไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวเป็นอันขาด จะทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น ควรทาครีมโฟมล้างหน้าหรือครีมทำความสะอาดผิวหน้าทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะล้างหรือเช็ดออก และควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวทันทีเพื่อปกป้องไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น   ในฤดูหนาว คนที่มีผิวแห้งจะยิ่งแห้งมากขึ้น ผิวจะลอกเป็นขุยและแตกเนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื้นไปในอากาศมาก ผิวชนิดนี้นอกจากจะแห้งแล้วยังขาดน้ำมันหล่อลื่นจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังอีกด้วยอาจเนื่องจากธรรมชาติของคนผิวแห้งจะมีต่อมไขมันใต้ผิวหนังน้อยหรือสร้างน้ำมันซีบุ้มออกมาน้อย ผิวจะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศและเกิดริ้วรอยง่ายมาก ไม่ควรใช้โทนเนอร์ (Toner) เช็ดหน้าหลังล้างหน้า  การดูแลผิวหน้าในระหว่างวัน และควรเลือกใช้มอยสเจอร์ครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดดด้วย เพื่อป้องกันรังสียูวี การทาครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้ง ควรทาทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ เพื่อให้สารอาหารและเนื้อครีมซึมซับลงสู่ผิวหนังชั้นล่างให้มากที่สุดก่อนที่จะแต่งหน้าขั้นต่อไป  ควรให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษในตอนกลางคืนสำหรับคนผิวแห้ง การเช็ดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้า ให้เริ่มต้นที่รอบดวงตาด้วยครีมเช็ดเมคอัพสำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ และล้างด้วยน้ำเปล่าให้ผิวชุ่มชื้นและสดชื่น และบำรุงตามด้วยไนท์ครีมที่เข้มข้น อาจจะเหนียวเหนอะหนะบ้างก็จะดี แสดงว่าครีมมีความเข้มข้นด้วยน้ำมันอีมูเลี่ยน ซึ่งจะทำหน้าทีปกป้องผิวในตอนกลางคืนได้ดี หากไนท์ครีมทาแล้ว รู้สึกเบาบาง จะไม่เหมาะกับคนผิวแห้งเลย เพราะประสิทธิภาพการปกป้องผิวจะน้อยเกินไป  อีกประการที่ควรรู้ คือคนที่มีผิวแห้ง การอาบน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อนบ่อยๆไม่เป็นผลดีนัก จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หากต้องการแช่น้ำอุ่น แนะนำให้ผสมน้ำมันหอมธรรมชาติลงไปในอ่างอาบน้ำด้วย เพื่อให้น้ำมันหอมไปเคลือบผิวให้นุ่มนวล ป้องกันผิวแห้งได้ดี  สิ่งที่ควรทำ1. ควรเติมครีมบำรุงผิวระหว่างวันด้วยนอกเหนือจากการบำรุงตอนเช้าและก่อนนอน จะช่วยได้มาก 2. ควรทาครีมกันแดด และควรใช้ไนท์ครีมที่เข้มข้นและเหนอะหนะหน่อยก็จะดีกว่าชนิดเบาบาง 3. ควรกินผลไม้มากๆ โยเกิร์ตและผักสด และดื่มน้ำมากๆในแต่ละวัน4. ควรให้ความสนใจกับผิวหนังรอบดวงตาที่แห้งมากกว่าส่วนอื่น สิ่งที่ไม่ควรทำ1. ไม่ควรตากแดดมากเกินไป2. ไม่ควรเช็ดถูผิวหน้าแรงๆ ไม่ควรใช้กระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าที่หยาบระคายเคืองผิวหน้า เพราะผิวที่แห้งมักจะเปราะบางและระคายเคืองง่ายมาก  ผิวแพ้ง่าย (SENSITIVE SKIN)ผิวแพ้ง่ายพบในคนจำนวนมาก ผิวจะเปราะบางกว่าผิวชนิดอื่นที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ระคายเคืองง่าย ภายหลังการล้างหน้า ผิวชนิดนี้มักจะคันหรือระคายเคืองไม่มากก็น้อย บางครั้งจะพบรอยแดงๆ ได้บ่อย คนที่มีผิวแพ้ง่ายจะเลือกซื้อเครื่องสำอางทั่วไปในทองตลาดได้ยาก ควรทดสอบก่อนการตัดสินใจซื้อทุกครั้ง  การดูแลผิวที่แพ้ง่ายไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวล้างหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเหมาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย  และบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่ผ่านการทดสอบว่าเหมาะสำหรับผิวของคนกลุ่มนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมเพื่อจะได้ไม่ระคายเคืองผิวหน้า  สิ่งที่ควรทำ1. ควรทดสอบอาการแพ้โดยใช้ผิวด้านในของท้องแขนทุกครั้งก่อนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ หากมีอาการร้อนและแสบแดงและคันทันทีภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ให้ล้างออกโดยทันที 2. ทุก 6 เดือน ควรโล้ะทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้ไม่หมดที่อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย เช่น ดินสอเขียนคิ้ว เขียนขอบตา และมาสคาร่า เป็นต้น  3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่เห็นการแยกชั้นชัดเจนของน้ำมันและน้ำในสินค้าประเภทครีมหรือโลชั่น  สิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเริ่มต้นใช้ครีมบำรุงผิวบนใบหน้า นอกจากมั่นใจว่าเป็นยี่ห้อที่เคยใช้และไม่มีอาการแพ้มาก่อน ไม่ควรไปตากแดดโดยปราศจากครีมกันแดด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 คุณมีผิวแบบไหน?

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  ในอดีต ผิวหนังคนเราไม่ได้มีการแยกแยะแต่ถูกจัดเป็นแบบเดียวกันหมด แต่ความรู้มากมายของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันได้มีการจัดแบ่งผิวหนังออกเป็นรูปแบบต่างๆ ตามกำเนิดของแต่ละคน และการบำรุงรักษาหรือดูแลผิวพรรณของแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกัน งานวิจัยมากมายพบว่าความสวยและสมบูรณ์ของผิวหนังอยู่ที่คุณภาพผิวหนังชั้นล่างที่ลึกลงไปและที่สำคัญยังขึ้นอยู่กับคุณภาพตามกำเนิดของผิวหนังดั้งเดิมของแต่ละคนอีกด้วย คุณภาพผิวหนังที่ว่านี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงอายุเจ้าของและบ่อยครั้งคุณภาพผิวหนังที่ดีจะช่วยชี้วัดให้เจ้าของแลดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงได้มากถึง 10 ปีหรือกว่าก็ได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมาพบว่าสิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญทีเดียว  วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู  - คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป  - คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม - คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม - คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน  - คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก   วิธีดูแลผิวแต่ละแบบ เนื่องจากมีขั้นตอนและวิธีการที่ละเอียดในการดูแลผิวแต่ละชนิด จึงขอทยอยนำเสนอ ซึ่งจะเริ่มที่ผิวธรรมดาก่อนนะคะ   ผิวธรรมดา (NORMAL SKIN)ผิวแลดูสะอาดเกลี้ยงเกลา แสดงถึงความแข็งแรงของสุขภาพภายในร่างกาย บ่งบอกถึงการหมุนเวียนของระบบเลือดที่ดี ผู้หญิงบางคนอาจมีสิวได้ก่อนการมีรอบเดือน เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่มากขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้หลั่งน้ำมันออกมามากขึ้นที่ผิวหนัง แต่สิวสาวที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผิวชนิดธรรมดา ควรหมั่นดูแลบำรุงให้ผิวแข็งแรงอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุผิวให้ยาวนานที่สุด วิธีดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ นุ่ม ลื่นเปล่งปลั่งและแข็งแรงสำหรับคนมีผิวธรรมดา 1. ทำความสะอาดผิวเป็นประจำ วันละ 2 ครั้งโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ฟองน้อยๆ หรือชนิดไม่มีฟองยิ่งดี อาจเป็นชนิดล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือเช็ดออกก็ได้เช่นกัน  2. ทาบำรุงด้วยโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวหน้าก่อนนอนทุกครั้งเพื่อปรับสมดุลของความชุ่มชื้นในผิวหนังกับสภาวะอากาศรอบตัว ไม่ควรเข้านอนโดยปราศจากครีมบำรุงผิวหน้า  3. การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวทุกแบบ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนที่สุด จะเป็นตัวช่วยให้รูขุมขนเล็ก และการใช้โลชั่นใสเช็ดหน้าชนิด แอสตรินเจนท์ (astringent) จะช่วยขจัดส่วนเกินของสารทำความสะอาดที่อาจหลงเหลืออยู่บนผิวหน้าได้ แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากแอลกอฮอล แต่หากเช็ดหน้าแล้วเย็นวูบ แสดงว่ามีแอลกอฮอลเป็นส่วนประกอบ  4. การใช้เครื่องเป่าผม ควรหลีกเลี่ยงให้ลมร้อนพ้นจากผิวหน้า จะได้ไม่ทำให้ผิวแห้ง  5. การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้า ควรเลือกใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงที่มีน้ำมันหรือไขมันพอสมควรก่อนการแต่งหน้า เพื่อปกป้องผิวหน้าไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปในอากาศ หากกลัวความมัน ให้ทาบางๆจะได้ประโยชน์กว่าการเลือกใช้ครีมบำรุงที่ไม่มัน เพราะในระยะยาว ผิวจะแห้งง่าย แก่เร็ว  6. ผลิตภัณฑ์กันแดดสำคัญมากในโลกปัจจุบันที่มีภาวะโลกร้อน ควรทาครีมกันแดดรองพื้นก่อนออกแดด เช่น ไปทะเลหรือสถานที่มีรังสีโดยตรง เพื่อป้องกันผิวแห้งและเหี่ยวย่น  7. การใช้ครีมพอกหน้าชนิดที่ปราศจากองค์ประกอบที่ทำให้ผิวแห้ง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือดใต้ผิวหนัง และช่วยรักษาผิวหน้าให้นุ่ม ลื่นมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ควรทำอย่างน้อย 2 อาทิตย์ต่อครั้ง จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง  การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ที่มีผิวแบบธรรมดานี้จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึง เนียนนุ่ม และป้องกันผิวแก่ก่อนวัยได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวใต้ตาเนื่องจากผิวหนังใต้ตาจะปราศจากต่อมไขมัน ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาแห้งง่ายที่สุด เหี่ยวย่นเห็นชัดเร็วที่สุด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 119 ทองคำบริสุทธิ์ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึงได้ จริงหรือ?

  ทองคำ นับเป็นอัญมณีล้ำค่าตลอดกาล มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีค่าและหายากมาสัมพันธ์กับสุขภาพกายและความงามเสมอ มีประวัติการนำทองคำบริสุทธิ์มาดัดแปลงใช้กับส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้า โดยเชื่อว่าจะช่วยชะลออายุผิวพรรณตั้งแต่ครั้งยุคของพระนางคลีโอพัตรา และมีใช้ในระดับผู้นำสูงสุดอีกหลายทวีป เช่น จีน อัฟริกา รวมทั้งยุโรป  แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าทองคำจะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังได้อย่างไร แต่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดในหลายรูปแบบ ทั้งครีมทาผิว ครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 24 เค สำหรับพอกหน้า เราจะมาดูว่ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อะไรบ้างที่พอจะเชื่อถือได้ว่าทองคำมีส่วนดีต่อสุขภาพทางกายและความสวยงาม และก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้หรือไม่ การนำทองคำมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มจากหลักฐานทางการวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ จะไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียง สหภาพยุโรป หรือ อียู ได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งผสมในอาหารได้ (Food Additives) ในประเทศเยอรมนีและยุโรปหลายประเทศ มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปผงบดละเอียดมาประยุกต์ใช้ตกแต่งอาหาร รวมทั้งการผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่   เช่น  Goldschläger, Gold Strike, and Goldwasser. ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่แพงจัด ในประเทศทางแถบเอเชีย เช่น บาหลี มีการนำทองคำมาผสมในการทำขนมหวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย  ดังนั้นจึงไม่มีรสชาติ และไม่มีคุณค่าทางอาหาร และจะถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ   ทองคำกับการรักษาโรค เป็นความเชื่อของคนยุคโบราณว่าทองคำมีศักยภาพของการสมานโรค (Healing power) ช่วยให้สุขภาพที่แย่ดีขึ้น ทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ (Goldsalts) พบว่าอนุพันธ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า (Rheumatoid arthritis) ซึ่งได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปีที่ผ่านไป กลไกยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าแร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวมช้ำได้ผล อย่างไรก็ตาม การฉีดแร่ทองคำในรูปแบบของเกลือหรือโกลด์ซอล์ท จะก่อให้เกิดอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ และยังมีผลสะสมในตับและไตอีกด้วย ผู้ที่ได้รับการรักษาจึงควรจะคอยตรวจเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ   ทองคำกับการลดเลือนริ้วรอยจากการค้นพบทางการแพทย์ที่ว่า ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระได้และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูกในโรคเก๊าได้ผลดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเชื่อว่า “ด้วยกลไกเดียวกันนี้โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสสระของผิวหนังและต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้” จึงมีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมในเครื่องสำอางที่มีราคาแพงในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการยืดอายุผิวพรรณและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลออายุผิวพรรณเมื่อใช้ทองคำเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆว่าจะคุ้มราคาหรือไม่   ความเป็นพิษและอาการข้างเคียงแม้ว่าแร่ทองคำบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษหรือไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือหรือโกล์ดซอล์ท จะมีอันตรายต่อไต ต่อตับ และยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดหากได้รับเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าแร่ทองคำมีผลทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงดังกล่าวมักพบในผู้หญิง จนได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ในปี 2001 โดยสมาคมโรคผิวหนังของสหรัฐอเมริกา   เอกสารอ้างอิง1. Gold: From Wikipedia, the free encyclopedia2. Rheumatoid arthritis and metal compounds—perspectives on the role of oxygen radical detoxification Analyst, January 1998, Vol. 123 (3–6).

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 118 เลเซอร์กับรอยเหี่ยวย่น

เลเซอร์กับรอยเหี่ยวย่น การลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วยแสงเลเซอร์ เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์โดยใช้พลังแสงเลเซอร์ในการลอกเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดที่มีปัญหาออกไป เพื่อต้องการเผยให้เห็นชั้นผิวใหม่ที่ขาวและสดใส ในขณะเดียวกันพลังแสงเลเซอร์สามารถให้ความร้อนแทรกลึกลงไปในผิวหนังชั้นล่างเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้มากขึ้นทำให้ผิวหนังเต่งตึงภายหลังจากการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ช่วงคลื่นที่แตกต่างกันของแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับโดยเซลล์เป้าหมายต่างชนิดกันของผิวหนังช่วงคลื่นที่จำเพาะต่อเซลล์เป้าหมาย จึงไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียงหรือมีน้อยมาก แสงเลเซอร์สามารถเผาให้น้ำร้อน เผาเม็ดสีของผิวหนังให้ไหม้และหลุดลอกออกไป ศัลยกรรมที่ใช้เลเซอร์ก็เช่นกัน สามารถใช้ลำแสงผ่าตัดเนื้อเยื่อได้ ดังนั้นแสงเลเซอร์จึงใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนังมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นการทำเบบี้เฟซ ที่นิยมกันมากในปัจจุบันเลเซอร์ ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคทางผิวหนังมีหลายชนิด   ชนิดที่นำมาใช้ในการลอกผิวหน้าลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ไม่ลึกมากนัก เช่น คาร์บอนด์ไดออกไซด์เลเซอร์ (carbondioxide laser) เมื่อ แสงเลเซอร์กระทบเซลล์ผิวหนัง น้ำซึ่งอยู่ภายในเซลล์จะเป็นเป้าหมายที่รับพลังงานแสงไว้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่ได้รับเป็นความร้อน พลังงานที่เหมาะสมจะทำให้น้ำในเซลล์ระเหย และทำให้มีการหลุดลอกของเซลล์ออกไป โดยไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียง หรือมีน้อยมาก     การใช้ เลเซอร์ ในการลอกผิวหน้า มีข้อดี "กว่า" การลอกหน้าโดยใช้วิธีอื่น คือ สามารถควบคุมความลึกของ การลอกผิว ได้ดี เนื่องจากมีการพัฒนาเครื่องเลเซอร์ ให้สามารถปล่อย พลังงานสูงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ (Ultrapulse) และยังมีการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสแกนเนอร์ในการควบคุมการปล่อยลำแสงเลเซอร์ทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกเพียงชั้นตื้นๆ   นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในชั้นหนังแท้ คือเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มปริมาณขึ้น และมีการเรียงตัวที่เป็นระเบียบมากขึ้น มีผลทำให้ผิวหนังเต่งตึงและกระชับการลอกผิวหน้าโดยใช้ แสงเลเซอร์ ใช้รักษาอะไรได้บ้าง   - รักษา ริ้วรอยย่น บนใบหน้า (wrinkle) -รักษาผิวหนังย่นบริเวณใต้ตา ช่วยให้กระชับขึ้น - ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง ผิวใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทน จะแน่นกระชับขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ - ตบแต่ง แผลเป็น จากสิว  และ จากสาเหตุอื่น อาการข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้   1. อาการร่วมทั่วไประยะแรกเริ่ม : ทันทีภายหลังจากการทำเลเซอร์ จะรู้สึกคล้ายแดดเผาอ่อนๆ ที่ผิวหนัง อาจมีอาการคัน แสบร้อนในระยะ 72 ชั่วโมงแรก แพทย์ผู้ทำการรักษามักจะแนะนำให้ปกป้องผิวหนังให้ชุ่มชื้นด้วยครีมบำรุงผิวหรือขี้ผึ้ง อย่างน้อย 10 วัน  2. อาการบวมบริเวณผิวหนังที่ทำการรักษา พบได้เป็นภาวะปกติประมาณ 2-3 เดือน   3. ผิวแดงบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งมักจะค่อยๆ จางหายไปในระยะเวลา 2-3 เดือน สามารถปกปิดได้ด้วยการทาครีมรองพื้นแต่งหน้าได้ 4. สีผิวคล้ำขึ้น (hyperpigmentation) พบได้บ่อยมากในคนที่มีสีผิวคล้ำอยู่แล้ว แต่ในคนที่สีผิวขาวบางรายก็พบว่ามีสีผิวคล้ำได้เช่นกัน โดยทั่วไปสีที่คล้ำขึ้นจะจางลงได้ อาจใช้เวลาหลายเดือน แต่แพทย์สามารถให้ยาทาบางชนิดเพื่อช่วยลดการทำงานของเม็ดสี การเลี่ยงแสงแดด และใช้ ครีมกันแดดในวันที่ต้องออกไปกลางแดด จะช่วยให้ปัญหาของสีผิวคล้ำลดลง  5. การกำเริบของเชื้อเริม บริเวณแผล พบได้ในรายที่มีประวัติเคยมีการติดเชื้อเริมมาก่อน ถ้าบริเวณแผลมีอาการแดง หรือเป็นแผลถลอก ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อเริมได้  6. การอักเสบของแผลจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา ถ้าดูแลแผลถูกต้องจะพบปัญหานี้น้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้น อาจทำให้มีแผลเป็นตามมาในภายหลัง  ถ้าพบว่าบริเวณแผลมีอาการแดง หรือคันผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์  7. การเกิดแผลเป็น มักพบในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อของแผล จากการดูแลแผลไม่ถูกต้อง หรือในรายที่ได้ยารับประทานในกลุ่มกรดวิตามินเอมาก่อน ภายในเวลา 1 ปีก่อนการรักษา หรือในผู้รับการรักษาบางรายที่เกิดแผลเป็น หรือคีลอยด์ได้ง่าย   เอกสารอ้างอิงwww.livestrong.com

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 โบทอกซ์กับการลบเลือนริ้วรอย

  ศาสตร์และศิลป์ถูกนำมาใช้เพื่อชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังบนใบหน้ามานานนับพันปี ใน 10 ปีที่ผ่านไป โบทอกซ์และสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ทั้งหลายได้รับความนิยมในธุรกิจความงามอย่างชนิดก้าวกระโดดเพื่อให้ผิวหน้าแลดูอ่อนวัย ลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้าออกไปได้ทันใจเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง   รู้จักกับโบทอกซ์โบทอกซ์ (Botox) เป็นยาที่ผลิตจากโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียมาทำให้บริสุทธิ์  มีฤทธิ์ยับยั้งการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ริ้วรอยย่นของผิวหนังจึงลดลง ทางการแพทย์มีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคในปี 1989 และใช้สำหรับลบริ้วรอยบนใบหน้าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 โดยบริษัท Allergan Inc สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อผลิตออกมาจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศจีนซึ่งมีราคาถูก   ตัวยาจะอยู่ในรูปผงแห้ง บรรจุอยู่ในขวดสุญญากาศปราศจากเชื้อ เวลาใช้ แพทย์จะต้องละลายด้วยน้ำเกลือ 0.9%ก่อนฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ขนาดของยาจะถูกกำหนดตามความเหมาะสมของจำนวนริ้วรอยโดยแพทย์ที่ทำการรักษา แน่นอนจะต้องเจ็บเมื่อโดนเข็มฉีดยา โดยทั่วไปแพทย์จะทำการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนฉีด สามารถกลับบ้านได้ทันทีภายหลังจากพักเพียง 30 ถึง 60 นาที ผู้ที่ผิวบอบบาง อาจเห็นจ้ำเขียวของเข็มฉีดยาได้บ้างแต่มักหายไปในไม่ช้า ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับฝีมือแพทย์   ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลของการลดเลือนริ้วรอย ประมาณ 2-7 วัน และฤทธิ์ยามักจะอยู่ได้ประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลที่ชอบแสดงออกทางสีหน้า ริ้วรอยบนหน้าผาก รอยตีนการอบดวงตาและหัวคิ้ว มักจะเป็นผิวหนังบริเวณที่แพทย์มักจะฉีดให้มากที่สุด ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ หมดไปเอง และเมื่อต้องการก็ไปให้แพทย์ฉีดซ้ำ ซึ่งพบว่าผู้บริโภคที่เคยฉีดโบทอกซ์มักจะนิยมฉีดซ้ำ เพราะกลัวริ้วรอยแห่งวัย กลายเป็นเสพติดอย่างหนึ่งของสังคมไฮโซของทั้งหญิงและชาย   ราคาประมาณ 5000 ถึง 10000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของยาที่ต้องใช้ฉีด  อาการข้างเคียงและอันตราย ไม่มีอันตรายถึงชีวิต  เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก  กลืนอาหารลำบาก  หน้าไม่สมมาตร  หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด  ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง   สารเติมเต็ม หรือ “ฟิลเลอร์  คืออะไร อายุที่มากขึ้นทุกปี ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลง กล้ามเนื้อขาดความหนาแน่นรวมถึงสภาพชั้นไขมันใต้ผิวหนังเปลี่ยนไป ริ้วรอยจากรอยตื้นๆ กลายเป็นร่องหรือถุง เช่น แก้มหย่อนคล้อยหรือแก้มตก ร่องลึกใต้ขอบตาล่าง รอยบริเวณเหนือริมฝีปากและช่วงล่าง จมูกไม่ได้สัดส่วนตามที่เจ้าของต้องการ ร่องรอยที่กล่าวไปนั้นแพทย์สามารถช่วยโดยการฉีดสารที่เรียกกันทั่วไปว่า สารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนร่องรอยแห่งวัยให้เบาบางลง สารเติมเต็มได้เริ่มต้นพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 โดยใช้คอลลาเจนสกัดจากวัว ต่อมามีการพัฒนาโดยใช้คอลลาเจนสกัดจากคนและจากหมูเพื่อลดปัญหาภูมิแพ้จากวัว ปัจจุบัน 85% ของสารเติมเต็มในท้องตลาดจะพัฒนาโดยใช้สาร ไฮยาลูโรนิคแอซิด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไฮยาลูโรแนน มีทั้งพัฒนาจากเนื้อเยื่อของสัตว์และจากสารสังเคราะห์ มีคุณสมบัติที่คงตัว ไม่ทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ผิวหนัง มีอายุยาว และมีประสิทธิภาพเต็มเติมได้ดี ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่ใช้ฉีดมีมากมาย แตกต่างกันที่เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้น ขนาดอนุภาคและน้ำหนักโมเลกุลของสาร หากฉีดที่ความเข้มข้นสูง อนุภาคใหญ่ จะเติมเต็มร่องลึกได้ดี สามารถต้านการย่อยสลายได้ดี ทำให้อยู่ทนนานขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่า สารเติมเต็มที่มีประสิทธิภาพอยู่ได้นานหรือชนิดถาวร  มักจะก่อให้เกิดปัญหาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย สารเติมเต็มใต้ผิวหนังชนิดถาวรมักจะปรากฏเป็นก้อนนูนให้เห็นชัดคล้ายเนื้อนูนแข็งๆ ไม่น่าดูยิ่งนัก หลายคนอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อผ่าออก   ระยะเวลาการออกฤทธิ์  คอลลาเจนจากวัว หมู หรือจากคน จะมีฤทธิ์ 2-6 เดือน ไฮยาลูโรแนน ที่มีอนุภาคเล็ก มักจะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ส่วนอนุภาคใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้นเป็น 18-24 เดือน ราคาประมาณ 10000 ถึง 30000 บาทขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่เลือกใช้   ข้อควรรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ในการเข้ารับบริการ1. ผู้ให้บริการ ขั้นต่ำต้องเป็นแพทย์ (Medical Doctor) และควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง หรือ อาจเรียกสั้นๆ ว่าแพทย์ผิวหนัง 2. เครื่องมือ วิธีการ หรือสารที่ใช้ร่วมกับหัตถการ ผ่านมาตรฐานทางวิชาการและความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากกระทรวงสาธารณสุข3. ผู้รับบริการ ควรศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวแพทย์ผู้ทำหัตถการและเครื่องมือหรือสารที่จะฉีดดังกล่าวว่ามีผลข้างเคียงมากน้อยเพียงไร รับคำปรึกษาและแนะนำก่อนเข้ารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นขณะรักษาและหลังรักษาได้4. ควรทำการถ่ายรูปใบหน้าก่อนทำการรักษาและภายหลังจากที่ได้ให้แพทย์ฉีดสารแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานในการรักษา เอกสารอ้างอิง Zachary J. Berbos and William J. Lipham. Update on botulinum toxin and dermal fillers. Current Opinion in Opgthalmology 2010, 21: 387-395.  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 116 ผิวหนังรอบดวงตา ควรดูแลอย่างไรดี

ผิวหนังทั่วร่างกายมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ผิวหนังที่ฝ่าเท้าจะหนาและกระด้าง หนังศีรษะจะมีรากผมมากมายอยู่กันอย่างหนาแน่น ผิวหนังรอบจมูกและแก้มจะมีต่อมไขมันมาก ทำให้หน้ามัน ส่วนผิวหนังรอบดวงตามีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือ - ผิวรอบดวงตาไม่มีต่อมไขมัน ทำให้ผิวบริเวณนี้แห้งง่ายมาก- ผิวรอบดวงตาจะบางมากที่สุดบนใบหน้า ทำให้อ่อนไหวง่ายต่อสารเคมีและสิ่งแวดล้อม- ใต้ผิวหนังรอบดวงตาจะมีเส้นเลือดฝอยอยู่มากมาย แต่มีชั้นไขมันน้อยมาก ทำให้ผิวหนังบริเวณนี้แห้งง่ายและบวมง่าย- ผิวหนังรอบดวงตามักจะตึงเครียดเมื่อมีการเคลื่อนไหวของดวงตาหรือใช้สายตามากเกินไป ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นทำให้ผิวหนังรอบดวงตาเป็นตัวชี้บ่งถึงความชราแห่งวัยอย่างชัดเจน   ควรดูแลผิวหนังรอบดวงตาเป็นพิเศษ ทุกคนต้องการดูอ่อนกว่าวัย เมื่อเราต้องทายอายุของคน เรามักจะคาดเดาได้ง่ายจากผิวหนังรอบดวงตา ดังนั้นการดูแลผิวหนังรอบดวงตาจึงต้องพิเศษกว่าส่วนอื่นของร่างกายด้วยหลักดังต่อไปนี้ 1 ไม่ทำอันตรายผิวรอบดวงตาอ่อนไหวง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย เช่น การหรี่ตาและขยี้ตาบ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดริ้วรอยตีนกา บางคนสายตาไม่ปรกติ ยาวไปหรือสั้นไป ทำให้อ่านหนังสือแล้วต้องทำตาย่นในการอ่านโดยไม่รู้ตัว ควรหมั่นตรวจวัดสายตาเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยนี้ 2 ปกป้องจากรังสียูวีผิวหนังบอบบางรอบดวงตาจะอ่อนไหวต่อรังสียูวีมาก จำเป็นต้องปกป้องทั้งผิวหนังและดวงตาจากรังสียูวี อาจจะเลือกแว่นกันแดดที่สามารถครอบคลุมผิวหนังรอบดวงตาด้วยนอกเหนือจากการทาครีมกันแดดรอบดวงตา 3 หลักเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดความระคายเคืองผิวหนังที่บอบบางรอบดวงตาจะง่ายและไวต่อสารเคมีทั้งหลาย ผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจไม่เหมาะสม เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำ เมื่อนำมาล้างหน้าด้วย สารทำความสะอาดในผลิตภัณฑ์จะรุนแรงเกินไปสำหรับรอบดวงตา ก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ การใช้บ่อยๆ ทำให้ผิวรอบดวงตาแห้งกร้าน และก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ครีมบำรุงผิวหน้าที่ประกอบไปด้วยเอเอชเอ (AHA) หรือ บีเอชเอ (BHA) ไม่ควรนำมาทารอบดวงตา เนื่องจากเนื้อครีมชนิดนี้จะมีความเป็นกรดค่อนข้างมากประมาณ 3.5 ซึ่งจะทำให้ระคายเคืองได้ 4 การเลือกใช้เมคอัฟที่เหมาะสมผลิตภัณฑ์สำหรับแต่งหน้าหรือเมคอัฟมักจะประกอบไปด้วยสารที่ระคายเคืองผิวหนังได้มาก จึงควรแต่งหน้าด้วยเมคอัฟที่ไม่หนาเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา เมคอัฟประเภททนน้ำและติดทนนาน ต้องระวังให้ดี เพราะจะประกอบไปด้วยสารเคมีที่ล้างออกยากด้วยน้ำ จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่รุนแรงเช็คออก ยิ่งทำให้ผิวรอบดวงตาระคายเคืองและอักเสบได้ 5 รอยหมองคล้ำรอบดวงตาหลายๆ คนอาจมีปัญหาของตาหมีแพนด้าบนใบหน้า หรือรอยคล้ำใต้ตา บวมเขียว ซึ่งเกิดจากอาการบวมของผิวหนังใต้ตานั่นเอง อาการบวมใต้ตาเกิดจากการที่มีของเหลวสะสมใต้ผิวหนัง อาการบวมทำให้ผิวหนังรอบดวงตาขยายและเกิดเป็นถุงใต้ตาและริ้วรอยเหี่ยวย่นในที่สุด สาเหตุหลักเกิดจากผิวหนังรอบดวงตามีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย ทำให้บวมคล้ำได้ง่าย บางครั้งอาการบวมใต้ตาอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคไต โรคตับ ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง แต่ที่พบเป็นประจำคือตาบวมหลังตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งมักเกิดจากนอนไม่พอ นอนดึกเกินไป หรือใช้สายตามากเกินไป 6 การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาควรเลือกใช้ครีมที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตาที่บอบบางมาก จำเป็นต้องได้รับการปกป้องสูงสุด ไนท์ครีมสำหรับบำรุงผิวตอนกลางคืนมักจะประกอบไปด้วยสารให้ความชุ่มชื้นสูงและสารหล่อลื่นผิวหนังสูง การเลือกใช้ไนท์ครีมชนิดสำหรับบำรุงรอบดวงตาสามารถช่วยปกป้องผิวหนังส่วนนี้ได้ดีทั้งในเวลากลางคืนและกลางวัน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- การใช้เครื่องสำอางรอบดวงตา- เริ่มต้นจากความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์น้อยที่สุด หรือเริ่มต้นทาให้บางที่สุดก่อน ถ้าไม่มีอาการระคายเคืองเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ แสดงว่าน่าจะใช้ต่อไปได้หรือเพิ่มปริมาณที่ต้องการทาได้ - ก่อนที่จะทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่รอบดวงตา ควรจะเริ่มทดสอบที่บริเวณท้องแขนก่อน เมื่อไม่แพ้ จึงขยับมาทดสอบบริเวณผิวหน้า ข้างแก้ม ก่อนที่จะใช้จริงที่รอบดวงตา- หากมีผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรเฉพาะรอบดวงตา ควรเลือกชนิดนั้น - หากมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโดยทันที   ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันปัญหาตาบวมหรือตาคล้ำ- ควรนอนหงาย หากนอนคว่ำหน้า ความดันเลือดที่หน้าจะสูงกว่าส่วนอื่น - ไม่ควรดื่มน้ำหรือของเหลวมากเกินไปก่อนนอน หากของเหลวในร่างกายมากเกินไป จะทำให้ตัวบวมตามส่วนต่างๆ ได้รวมทั้งผิวหนังใต้ตา- ควรจำกัดการกินอาหารที่เค็มจัด เพื่อลดปริมาณโซเดียมเข้าร่างกาย เกลือโซเดียมจะทำให้น้ำถูกดูดไว้ในร่างกาย ทำให้ผิวหนังบวมตามตัวได้ง่าย - สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ ควรจำกัดให้น้อยลงและให้น้อยที่สุดในเวลาเย็นและก่อนนอน - ครีมบำรุงผิวใต้ดวงตาบางประเภทจะประกอบไปด้วยสารคาเฟอีน ซึ่งจะช่วยขจัดน้ำหรือของเหลวออก ทำให้อาการบวมลดลงได้ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 115 กินอย่างไร ช่วยชะลอความเหี่ยวย่น

หลายคนคงคิดว่าอาหารที่กินไม่สำคัญเท่ากับเครื่องสำอางที่ดีๆ แพงๆ และศัลยกรรมทางผิวหนังโดยแพทย์ผู้ชำนาญ ในทางตรงกันข้ามอาหารที่เรากินเข้าไปจะมีผลแตกต่างอย่างชัดเจนต่อสุขภาพของเจ้าของ และถ้าเรากินอาหารถูกต้อง ร่างกายจะมีสุขภาพดี รวมถึงผิวพรรณที่ผุดผ่อง เต่งตึงมีน้ำมีนวล บริษัทที่ค้าขายเกี่ยวกับอาหารเสริมและวิตามินเสริมเหล่านี้เสมือนหนึ่งขายยาเม็ดสำหรับผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวหนังจากภายในสู่ภายนอก   สารอาหารก่อให้เกิดความแตกต่างต่อการบำรุงผิวหรือไม่?ถ้าเราจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงชนิดของอาหารที่กินทุกวัน คงจะไม่สามารถลบล้างริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือชะลอความแก่ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ถ้าเราจะคิดว่ากินอาหารอะไรก็ได้ที่อยากกินและจะไม่มีผลเสียต่อสุขภาพของผิวหนังก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ความจริงอาหารที่เรากินทุกวันมีผลโดยทางตรงต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายรวมทั้งผิวหนัง แม้ว่าครีมบำรุงผิวที่ดีแสนดีและอุดมไปด้วยสารพัดอาหารเสริมในครีม ก็คงสามารถเพียงเสริมให้ผิวหนังได้เพียงบางส่วนเท่านั้นโดยการซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนัง แต่ก็คงไม่เพียงพอ   ประโยชน์ของการบำรุงผิวจากภายในร่างกายสู่นอกทุกๆ เซลล์ของอวัยวะทั่วร่างกายต้องการสารอาหารจำนวนมาก และสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามิน แร่ธาตุและ อะมิโนแอซิดหลายชนิดจำเป็นต้องได้มาจากอาหารที่กินเข้าไป ในขณะที่สารอาหารบางชนิดร่างกายสามารถสร้างเองได้จากภายในและเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสุขภาพที่ดีและบำรุงผิวพรรณได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งไม่สามารถทดแทนได้ด้วยครีมบำรุงผิว ครีมบำรุงผิวที่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่ดีๆ เมื่อทาลงบนผิวหนังก็ไม่แน่นอนว่าจะมีประสิทธิภาพต่อผิวหนังเสมอไป บางยี่ห้อสารเหล่านั้นอาจจะเพียงเกาะอยู่บนผิวหนังเท่านั้น อาจแทรกซึมลงผิวหนังได้ไม่ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารอาหารและยี่ห้อสินค้าที่ได้รับการพัฒนาดีมากน้อยแตกต่างกัน แต่ถ้าเรากินอาหารดีๆ เข้าไป ก็ย่อมจะแน่นอนว่าอาหารจะถูกย่อยในกระเพาะและสำไส้ และผ่านการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและนำส่งไปยังเซลทุกเซลล์รวมทั้งเซลล์ผิวหนังแน่นอน อาหารมีผลต่อกลไกการชะลอวัยและชะลอริ้วรอยแห่งวัยอย่างไม่ต้องสงสัย รวมทั้งมีผลต่อสุขภาพองค์รวมของร่างกาย   ข้อจำกัดของสารอาหารบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก ความเหี่ยวย่นของผิวหนังเกิดจากปัจจัยร่วมของกลไกการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายและสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ เช่น แสงแดด ลม และมลภาวะ การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมจะสามารถช่วยยับยั้งความชราภาพที่เกิดจากกลไกทางสรีระของร่างกายได้ แต่ไม่สามารถยับยั้งความชราภาพที่เกิดจากมลภาวะได้ การใช้ครีมกันแดดสามารถป้องกันผิวหนังจากการทำลายของแสงแดดได้ดี การกิน(สาร)อาหารที่เข้มข้นมากๆ หรือมากกว่าปกติเพื่อหวังให้มีประสิทธิภาพต่อเซลล์ผิวหนังมากๆ และเห็นผลรวดเร็วก็เป็นไปไม่ได้และถ้าได้ก็อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี แต่ครีมบำรุงที่เข้มข้นด้วยสารอาหาร เมื่อทาบนผิวหนังหรือพอกไว้นาน 15-40 นาที สารอาหารจากครีมบำรุงผิวสารมารถกระตุ้นให้ผิวหนังชุ่มชื้นอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและทางการแพทย์ ที่มีการใช้กระแสไฟฟ้ามากระตุ้นและนำส่งสารอาหารจากภายนอกผิวหนังสู่ภายในเซลล์ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ สารอาหารบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง เช่น เปปไทด์ ไม่สามารถให้เข้าร่างกายโดยการรับประทาน เพราะจะถูกทำลายในลำไส้ แต่การผสมในครีมบำรุงผิวจะให้ประโยชน์โดยตรงในการบำรุงผิวหนังได้ดี   สรุป ความสมดุลของการกินอาหารเข้าร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะรักษาให้ร่างกายแข็งแรง แม้ว่าจะไม่สามารถบำรุงผิวหนังให้เห็นได้ทันใจเท่ากับศัลยกรรมผิวหนัง แต่การไม่ใส่ใจการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ก็จะทำให้ผิวหนังเสื่อม แห้ง เหี่ยวย่น อย่างชัดเจนและรวดเร็วกว่าผู้ที่มีโภชนาการที่ดีและสม่ำเสมอ การขาดวิตามินเอ และบี คอมเพลคส์และกรดไขมันบางชนิด สามารถทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบและโรคทางผิวหนังบางชนิดได้ นอกจากนั้นการขาดสารอาหารที่จำเป็นบางชนิดยังอาจก่อให้เกิดปัญหาการสมานแผลของผิวหนังและการสร้างเซลล์ใหม่ให้ผิวหนังที่ช้าผิดปกติได้ ดังนั้นการปรับปรุงวิธีและเลือกคุณภาพอาหารที่ดีและสม่ำเสมอจะมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยบำรุงผิวให้เต่งตึงและเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ   เทคนิคกินให้ผิวสวย 1.กินผัก ผลไม้สดให้มาก2.กินข้าวกล้อง กินนมไขมันต่ำ3.ดื่มน้ำให้พอ 4.ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ดื่มชา กาแฟและน้ำอัดลม5.หลีกเลี่ยงไขมัน และของทอด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 114 ทำอย่างไร ไม่เผลอไปทำร้ายผิว

ทำอย่างไร ไม่เผลอไปทำร้ายผิวรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล เราไม่สามารถสร้างบ้านโดยปราศจากเสาหลักที่แข็งแรง เราไม่สามารถสร้างทหารกล้าโดยไม่ผ่านสนามฝึก และเราก็คงไม่สามารถรักษาผิวพรรณให้แข็งแรงโดยใช้เครื่องสำอางที่ดีที่สุดแต่ปราศจากพื้นฐานการดูแลผิวที่ถูกต้อง  หากเราปฏิเสธหรือไม่สนใจพื้นฐานที่ถูกต้องของการดูแลผิวหนัง ก็รับรองได้เลยว่าโปรแกรมต่างๆ หรือเครื่องสำอางแพงๆ ที่เราพยายามหาซื้อมาเพื่อชะลอริ้วรอยผิวหน้าหรือยกกระชับผิวหน้าจะไม่ประสพความสำเร็จ บทความนี้จะครอบคลุมหลักการและพื้นฐานสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพผิวหนังและป้องกันหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย “จำไว้ว่าการดูแลผิวที่ฉลาดที่สุดคือ การไม่ทำร้ายผิวให้บาดเจ็บแม้แต่ระคายเคืองก็ตาม” เราคงแปลกใจที่รู้ว่าส่วนใหญ่ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้ามักจะเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าการชราภาพโดยธรรมชาติ ดังนั้นราคาที่ถูกที่สุดและขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเริ่มต้นดูแลผิวคือ ลดและหลีกเลี่ยงปัจจัยภายนอกที่จะมาทำร้ายผิวหนังของเรา วิธีนี้นับเป็นพื้นฐานสำคัญของการชะลอริ้วรอยแห่งวัย ชีววิทยาของผิวหนังและร่างกายเป็นสิ่งที่ซับซ้อน บ่อยครั้งเมื่อผิวหนังบาดเจ็บหรือถูกทำร้าย อาจไม่มีอาการเจ็บปวดแม้แต่ระคายเคืองให้สัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่จะเป็นการสะสมทีละน้อยทุกเวลาที่ผ่านไปอย่างที่เราไม่ทันสังเกต สาเหตุหลักที่เป็นปัจจัยทำร้ายผิวหนัง เช่น 1. รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ คนส่วนใหญ่คงทราบดีว่ารังสียูวีจากดวงอาทิตย์เป็นปัจจัยทำร้ายผิวหนังและทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และยังก่อให้เกิดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังอีกด้วย ครีมกันแดดมากมายที่อาจไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปกป้องผิวหนังเราจากการเกิดริ้วรอย และการหลบแดดในที่ร่มก็เป็นเพียงการป้องกันแดดได้บางส่วนเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่ากันแดดหรือ ‘เอสพีเอฟ’ ที่เหมาะสมกับสภาวะจริง และควรศึกษาข้อแนะนำการใช้ครีมกันแดดให้ได้ผล เช่น ควรทาทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีก่อนออกแดด และควรเลือกครีมที่กันน้ำได้ถ้ามีกิจกรรมมากๆ เช่น เล่นกีฬาที่มีเหงื่อออกมาก และควรทาบ่อยๆเป็นระยะทุก 2-4 ชั่วโมง เพราะสารกันแดดบางชนิดอาจสลายตัวเมื่อได้รับความร้อนนานๆ   2. สารทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดทั้งหลาย น้ำยาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดระคายเคืองต่อผิวหนังเมื่อใช้เป็นประจำ ทั้งนี้เนื่องจากสารทำความสะอาดเหล่านี้เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า อนุภาคเหล่านี้จึงสามารถเกาะติดและสะสมบนผิวหนัง ล้างออกยาก ผู้ที่ต้องทำหน้าที่ล้างถ้วยชามหรือซักผ้าเป็นประจำ จะพบว่าผิวหนังที่มือจะเหี่ยวย่นและระคายเคืองถึงขั้นอักเสบรุนแรงได้ ทั้งนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอาบน้ำสระผม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนละมุน ไม่จำเป็นต้องให้ฟองมากๆ 3. คลอรีนและน้ำอุ่น การอาบน้ำอุ่นทำให้เรารู้สึกสบายกาย แต่ผิวหนังเราอาจคัดค้านและไม่เห็นด้วย คลอรีนจากน้ำประปาจัดเป็นสารก่ออนุมูลอิสสระและมีผลทำร้ายผิวหนังให้ระคายเคืองไม่มากก็น้อย สังเกตได้จากคนที่ชอบว่ายน้ำเป็นประจำ เส้นผมจะแห้งแตกปลายและผิวหนังจะแห้งกร้านไปด้วย น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นที่ใช้อาบน้ำก็เช่นกัน ส่งผลทำร้ายผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแห้ง ยิ่งอุณหภูมิน้ำสูงก็จะยิ่งทำร้ายผิวหนังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบการแช่น้ำอุ่นหรือสปาน้ำอุ่นที่อุณหภูมิสูง ควรจำกัดความถี่การแช่น้ำรวมทั้งการลดระยะเวลาการแช่น้ำร้อนในแต่ละครั้งและการลดอุณหภูมิของน้ำลง 4. สารก่อความระคายเคืองให้ผิวหนัง สารเหล่านี้อาจระคายเคืองผิวหนังได้สองทาง ทางตรงคือทำร้ายเซลล์ผิว และทางอ้อมคือทำให้ผิวหนังอักเสบหรือทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้ ผู้ที่มีผิวหนังอ่อนไหวต่อสารต่างๆ ได้ง่าย ควรระวังและหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำยาชนิดต่างๆ และอาจป้องกันโดยการล้างมือบ่อยๆ ภายหลังจากการสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัว 5. การแสดงออกของสีหน้า ทำให้เกิดริ้วรอยของการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น รอยตีนกาจากการหัวเราะหรือรอยย่นบนหน้าผากจากการขมวดคิ้ว เรามักจะทำโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว แก้ไขได้โดยการฝึกระวังตัว และพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นนิสัยรวมทั้งการฝึกตนให้ผ่อนคลายจากภาวะความเครียดต่างๆ รอบตัว เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยจากการแสดงออกของสีหน้า 6. การแต่งหน้ามากเกินไป ผลิตภัณฑ์สำหรับแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า แน่นอนมักประกอบไปด้วยสารเคมีที่อาจระคายเคืองผิวหน้าได้ การรักษาสุขภาพผิวหนังในระยะยาว ควรลดการแต่งแต้มผิวหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ผลิตภัณฑ์ประเภทติดทนนานและกันน้ำ ยิ่งมีผลรุนแรงต่อผิวหน้า และยังต้องใช้น้ำยาที่แรงหรือเข้มข้นล้างออกอีกด้วย 7. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากเกินไป ผลิตภัณฑ์ที่ดีประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อผิวหนัง แต่หากใช้มากเกินไป หรือใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เช่นกัน ควรอ่านฉลากและวิธีใช้ให้ชัดเจน 8. การล้างหน้าและขัดผิวบ่อยเกินไป ผลิตภัณฑ์บางชนิดหากใช้บ่อยเกินไปและใช้ผิดวิธีอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ การล้างหน้าและขัดผิวหน้าบ่อยเกินไปก็เช่นกัน ทำให้ผิวหน้าแห้งกร้านและระคายเคืองได้ ควรหลีกเลี่ยงการเช็ดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ประเภทโทนเนอร์สำหรับเช็ดหน้าหรือเช็ดเครื่องสำอางออก แอลกอฮอล์จะทำให้ผิวหน้าแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 112-113 ลดริ้วรอยอย่างทันใจด้วยสาร ‘ไฮยาลูโรนิคแอซิด’ ?

ลดริ้วรอยอย่างทันใจด้วยสาร ‘ไฮยาลูโรนิคแอซิด’ ?รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล ริ้วรอยแห่งวัยบนหน้าผาก ตีนการอบดวงตา ร่องลึกข้างแก้ม เหล่านี้บ่งบอกถึงวัยที่ล่วงเลย แม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อยากให้เกิดขึ้น หรือพยายามหาหนทางแก้ไขเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ปัจจุบันวิทยาการทางแพทย์ผิวหนังมีบริการมากมาย ส่วนใหญ่เอาใจคนใจร้อนต้องการสวยทันทีทันใจ ที่นิยมกันมากคือ การฉีดโบทอกส์เข้าไปตามผิวหนังที่มีริ้วรอยเพื่อเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า สารชนิดนี้ทำหน้าที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน ทำให้ร่องลึกหรือริ้วรอยลึกๆ จางลงชั่วคราว แต่ต้องฉีดหลายเข็มเข้าบริเวณที่ต้องการและจะมีผลเพียง 4-6 เดือน ก็ต้องกลับไปให้แพทย์ฉีดใหม่   โอกาสแพ้และเกิดอาการข้างเคียงก็มีอยู่ ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งก็สูงมาก สารอื่น เช่น คอลลาเจนหรือซิลิโคน ก็มีการนำมาเป็นสารเติมเต็มผิวหนังเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย แต่มักจะให้ผลเสียในระยะยาว ทำให้เกิดเป็นไตแข็ง หรือเนื้อนูนบริเวณที่ฉีด เนื่องจากการสะสมของสารเหล่านี้ที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง ปัจจุบันจึงไม่นิยมฉีดสารดังกล่าวเข้าใต้ผิวหนัง ไฮยาลูโรแนน หรือ ไฮยาลูโรนิคแอซิดสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัว กลัวเข็มฉีดยาและมีเงินน้อย ก็สามารถสวยรวดเร็วทันใจได้อย่างปลอดภัยด้วยเครื่องสำอางที่มีองค์ประกอบของ ‘ไฮยารูโรนิคแอซิด’ สารชนิดนี้มีอยู่ในร่างกายของเราโดยธรรมชาติ กระจายอยู่ทั่วไปในทุกเนื้อเยื่อ เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกอ่อนตามข้อต่อทั่วร่างกาย ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นไม่ให้กระดูกเสียดสีกัน นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่าสารชนิดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับพัฒนาการของสมอง เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหนัง มีปริมาณมากในเนื้อเยื่อภายนอกเซลล์ใต้ผิวหนัง มีหน้าที่สำคัญมากมายต่อผิวหนัง ทำหน้าที่โอบอุ้มเซลล์ผิวหนังให้ชุ่มชื้น สนับสนุนการแบ่งเซลล์และการกระจายของเซลล์ผิวหนังเพื่อแทนที่เซลล์ผิวที่ถูกขจัดทิ้งโดยการหลุดลอกออกทุกวัน ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในชั้นผิวหนัง ไฮยาลูโรนิคแอซิดยังเกี่ยวข้องกับขบวนการซ่อมแซมผิวหนังและการสมานแผลอีกด้วย โดยพบว่าเมื่อผิวหนังคนเราได้รับบาดเจ็บหรืออักเสบ เนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บจะมีการสะสมของสารชนิดนี้สูงเพื่อเร่งอัตราการขจัดเซลล์ผิวที่มีปัญหาออกและเร่งการสร้างเซลล์ใหม่เข้าแทนที่ เนื่องจากสารไฮยาลูโรนิคแอซิด มีน้ำหนักโมเลกุลสูงมากเป็นล้าน ทำให้มีประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำได้มากและรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและเต่งตึง เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ปริมาณไฮยาลูโรนิคแอซิดลดน้อยลงทำให้ผิวหนังเริ่มแห้งเหี่ยว เนื่องจากคุณสมบัติมากมายตามที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้คิดค้นการเติมเต็มชั้นใต้ผิวหนังด้วยสารไฮยาลูโรนิคแอซิด เพื่อทดแทนปริมาณที่ลดน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น สารที่นำมาใช้ในวงการเครื่องสำอาง สังเคราะห์มาจากขบวนการไบโอเทคโนโลยีจากแบคทีเรีย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ยอมรับให้มีการใช้สารชนิดนี้เป็นสารเติมเต็มใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียเงินมากและไม่ต้องการเจ็บตัวด้วยเข็มฉีดยา สารชนิดนี้ได้ถูกนำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในเครื่องสำอางทาผิวหนังทั่วไป จะพบว่าเพียงทาผิวหนังด้วยครีมที่มีสารไฮยาลูโรแนน ผิวหนังจะชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจเพียงไม่กี่นาที กลไกสำคัญอยู่ที่สารดังกล่าวจะทำหน้าที่แทรกเข้าสู่ช่องว่างของผิวหนัง ทำหน้าที่อุ้มน้ำได้มากมายกลายเป็นไฮโดรเจลในชั้นผิวหนัง ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นกลับคืนมา จึงทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นสารเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง เป็นผลทำให้ร่องลึกและริ้วรอยบนใบหน้าลดเลือนลง ปัจจุบันมีการสังเคราะห์สารไฮยาลูโรนิคแอซิดออกมาให้มีขนาดของโมเลกุลที่เล็กลง คือ โซเดียมไฮยาลูโรเนท (Sodium Hyaluronate) เพื่อให้แทรกซึมเข้าชั้นใต้ผิวหนังได้มากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องสำอางเห็นผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ประโยชน์ในทางเครื่องสำอางแม้ว่าจะเป็นการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นอย่างรวดเร็วและลดเลือนริ้วรอยร่องลึกเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ทาได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญการที่ผิวหนังมีความชุ่มชื้นเต่งตึง จะช่วยป้องกันผิวหนังจากสิ่งแวดล้อมที่เสียหายได้อีกด้วย และไม่ต้องอาศัยมือแพทย์ในการฉีดด้วยเข็มฉีดยา ไม่เจ็บตัวและไม่ต้องเสียเงินมากแม้ว่าเครื่องสำอางประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าครีมบำรุงผิวทั่วไปก็ตาม อาการข้างเคียงเนื่องจากเป็นสารที่มีอยู่ทั่วร่างกาย จึงมีโอกาสพบอาการข้างเคียงน้อยมากยกเว้นในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้ผู้บริโภคทดลองทาผิวหนังบริเวณคอเพียงเล็กน้อย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเพื่อดูว่าเกิดอาการแพ้หรือไม่ ถ้าไม่มีอาการผื่นแดงหรือคัน แสดงว่าไม่แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้ ควรหยุดใช้เพราะอาจแพ้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางได้ เช่น สารกันเสีย และน้ำหอม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point