ฉบับที่ 184 ปิดผมขาวอย่างปลอดภัย

ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อยากแก่ ทำให้สัญลักษณ์ความสูงวัยอย่างผมหงอกเป็นเรื่องที่ต้องหาทางปกปิด ซึ่งวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมก็หนีไม่พ้นการใช้น้ำยาปิดผมขาว เพราะน้ำยาดังกล่าวสามารถช่วยให้ผมกลับมาดำได้รวดเร็วทันใจ แต่ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าน้ำยาปิดผมขาวมีหลากหลายประเภท ซึ่งเราควรเลือกซื้อเลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัยไปดูกันเลยมารู้จักผมขาวกันก่อนผมขาวหรือผมหงอก เกิดจากการที่ส่วนของเส้นผมชั้นกลาง (Cortex) หยุดสร้างเม็ดสี ทำให้เส้นผมกลายเป็นสีขาว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้นหรือตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามหากพบว่าอายุยังน้อยแต่มีผมขาวจะถือว่าเป็นความผิดปกติ เรียกว่าอาการผมหงอกก่อนวัย ซึ่งสามารถมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ การขาดสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็น อาการของโรคต่างๆ หรือการใช้ยาบางชนิดก็สามารถส่งผลให้ผมขาวได้เช่นกันมารู้จักน้ำยาปิดผมขาวกันบ้างแม้ปัจจุบันน้ำยาปิดผมขาวมีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทยาย้อมผมชนิดถาวร โดยน้ำยาจะประกอบไปด้วย ครีมสีและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide) ซึ่งสารเคมีทั้งสองชนิดสามารถซึมลึกเข้าไปถึงเส้นผมชั้นกลางได้ เพื่อทำให้เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีดำและให้น้ำยาสามารถติดทนอยู่บนเส้นผมได้นานขึ้น อย่างไรก็ตามสารเคมีดังกล่าวเป็นตัวการสำคัญ ที่สามารถทำให้เราเกิดอาการแพ้ ผื่นคัน หรือผิวหนังอักเสบได้ เพราะตัวยาสำคัญของครีมสี คือสารพาราฟีนีลีนไดอะมีน (PPD) และพาราโทลูไดอะมีน (PTD) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และผิวหนังอักเสบ เช่น เกิดผื่นแดง อาการบวมรอบนัยน์ตา ผื่นคัน และหากแพ้มากอาจทำให้หายใจลำบากได้ ส่วนสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จะทำหน้าที่กัดสีผม เพื่อให้เส้นผมมีสีอ่อนลง สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ทำให้ผมแข็งกระด้าง ทำลายเม็ดสีผมตามธรรมชาติ กลายเป็นยิ่งย้อมก็ยิ่งหงอกเร็วกว่าเดิมได้ นอกจากนี้หากเราใช้แอมโมเนีย ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างเพื่อให้สีติดผมดีขึ้น ก็สามารถทำให้ผมเสียหลุดร่วงได้เช่นกัน แนะวิธีเลือกน้ำยาปิดผมขาวเพื่อป้องการอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น การเลือกน้ำยาปิดผมขาวให้ปลอดภัยต่อหนังศีรษะจึงเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งวิธีเลือกน้ำยาปิดผมขาวให้ปลอดภัยเราสามารถทำได้ดังนี้- เลือกผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีฉลากภาษาไทยและได้รับมาตรฐาน อย .- ทดสอบการแพ้น้ำยาก่อนใช้ทุกครั้ง โดยการป้ายน้ำยาปิดผมขาวจำนวนเล็กน้อยลงบนท้องแขน เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชม.ซึ่งหากพบว่าไม่เกิดอาการแพ้ใดๆ ก็สามารถใช้ต่อได้ และเช็ดออกด้วยน้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออย- เนื่องจากสารเคมีอย่างพาราฟีนีลีนไดอะมีน และพาราโทลูไดอะมีน สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย เราจึงควรหลีกเลี่ยง โดยสามารถเปลี่ยนไปใช้น้ำยาปิดผมขาวที่ไม่ใส่สารเคมีดังกล่าว เช่น ใช้สมุนไพรอย่าง เทียนกิ่ง (เฮนน่า) ดอกคาโมมายด์ย้อมผมแทน ซึ่งสีจากสมุนไพรจะเคลือบติดบนเส้นผมชั้นนอกเท่านั้นทั้งนี้เราสามารถผสมสมุนไพรดังกล่าวด้วยตนเอง หรือซื้อแบบสำเร็จรูปก็ได้ แต่ควรสังเกตฉลากให้ดีก่อนว่ามีสารเคมีหรือไม่  เพราะบางยี่ห้ออาจหลอกลวงผู้บริโภคด้วยการใส่สารเคมีเพื่อช่วยให้สีผมดำ เนื่องจากสมุนไพรดังกล่าว ไม่สามารถทำให้ผมสีดำสนิทได้ เพียงแค่ทำให้เข้มขึ้นเท่านั้น - ควรเว้นระยะห่างการย้อมผมให้นานกว่า 2 เดือน เพื่อให้หนังศีรษะฟื้นฟูจากการทำเคมี หรือแม้แต่การใช้สมุนไพร เราก็ไม่ควรทำบ่อยเพราะสามารถทำให้เส้นผมแห้งหรือหยาบกระด้างได้ และทุกครั้งที่ย้อมผมก็ไม่ควรหมักผมทิ้งไว้เกินคำแนะนำที่ระบุไว้ข้างกล่อง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือผมร่วงได้- นอกจากนี้เราควรหลีกเลี่ยงการย้อมผม เมื่อหนังศีรษะมีรอยถลอก เป็นแผล หรือโรคผิวหนังเพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไม่ใช้ยาย้อมผม ย้อมขนตาหรือขนคิ้ว เพราะอาจทำให้ตาบอดได้ข้อมูลอ้างอิง: http://www.mfu.ac.th/school/anti-aging/admin/uploadCMS/research/FcWed10439.pdf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 ผิวแห้งหน้าร้อน

สภาพอาการบ้านเราในช่วงนี้ นอกจากจะร้อนจัดแล้ว บางเวลาก็ฝนตกหนัก ทำให้สาวๆ ต้องดูแลสุขภาพผิวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพราะผิวหนังของเราสามารถสูญเสียความชุ่มชื้นในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เราเหี่ยวก่อนวัย หรือผิวหนังอักเสบจากอาการผิวแตกได้ แล้วอย่างนี้เราจะมีวิธีดูแลผิวอย่างไรดีปัจจัยที่สามารถส่งผลให้ผิวแห้งมีอะไรบ้างตามธรรมชาติผิวหนังของคนเราจะมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว แต่จะมีปัจจัยต่างๆ ที่มาทำลายความชุ่มชื้นเหล่านั้น ซึ่งมีดังนี้- อายุ อาการผิวแห้งนี้พบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เพราะวัยเด็กผิวหนังยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีความบอบบางกว่าผู้ใหญ่ ส่วนในผู้สูงอายุผิวหนังจะเริ่มเสื่อมถอย ทำให้ผิวยิ่งบางและแห้งมากขึ้น ซึ่งพบว่าในผู้สูงอายุบางราย ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นสะเก็ดแห้ง หรืออาจมีร่องแตก คล้ายเกล็ดปลาและสามารถเป็นได้ทั้งตัว - กรรมพันธุ์ สามารถทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งได้ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน - เมื่อฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ระยะตั้งครรภ์ หรือภาวะหมดประจำเดือน- สภาพอากาศ แม้ว่าในฤดูหนาวจะพบอาการผิวแห้งมากกว่าในฤดูอื่นๆ แต่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แสงแดดสามารถทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้มากขึ้นเช่นกัน- การใช้ยารักษาโรคหรือยาสมุนไพรบางชนิด เช่น สารจากขมิ้น ว่านหางจระเข้ หรือการกินยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคความดันสูง สามารถก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิว และทำให้ผิวแห้งมากขึ้น - การทำความสะอาดผิวบ่อยๆ ทำให้มีโอกาสชำระล้างไขมันที่จำเป็นต่อผิว เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ป้องกันน้ำระเหยออกจากผิว ซึ่งจะทำให้ผิวอ่อนแอ และสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น - สารทำความสะอาดผิวที่ไม่อ่อนโยน เช่น สบู่ สบู่ยา (สบู่ที่มีวิธีส่วนผสมของตัวยา) หรือแอลกอฮอล์จะทำลายชั้นไขมันที่จำเป็น ทำให้ผิวยิ่งอ่อนแอ- การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ สารนิโคตินในบุหรี่และแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพ เหี่ยวแห้ง หย่อนยาน เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น และในบางคนอาจทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผิวแห้งแล้วจะเกิดอะไรขึ้นผิวแห้ง(dry skin) คือสภาพผิวที่มีปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นจากการสูญเสียน้ำออกจากผิว โดยสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งกับผิวหน้าและผิวกาย เมื่อผิวแห้งจะทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึง และบางคนจะเห็นเป็นรอยแตกคล้ายผิวงู ในบริเวณขา หน้าท้อง หรือทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดไฝหรือขี้แมลงวันบนผิวหนังเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้หากเราผิวแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งหากเราเผลอไปเกาจนเป็นนิสัย สามารถส่งผลให้ผิวหนังอักเสบ เช่น มีอาการบวมแดง ผิวหนังยกตัวนูนขึ้น เป็นผื่นหรือเป็นตุ่มแนะวิธีการดูแลผิวแห้งหากสาวๆ ต้องการดูแลให้ผิวหนังกลับมาชุ่มชื้นเหมือนเดิม อย่างแรกเลยคือต้องอาศัยความอดทน ในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ และสามารถทำตามวิธีดังนี้- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะหากเราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้ผิวขาดวิตามิน และผิวแห้งมากขึ้นได้- เลือกประเภทของการบำรุงผิวให้เหมาะกับตนเอง ในหน้าร้อนเราก็สามารถบำรุงผิวได้ โดยเลือกให้ครีมบำรุงไม่เหนอะหนะ ซึ่งสามารถแบ่งความเข้มข้น เรียงจากมากไปน้อยได้ดังนี้ โลชั่น ครีม น้ำมัน (เช่น เบบี้ออย) และขี้ผึ้ง ซึ่งเราอาจะเก็บน้ำมันและขี้ผึ้ง ไว้ใช้ในหน้าหนาว หรือกรณีที่ผิวแห้งมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ควรเลือกครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสีย เพราะอาจทำให้เราแพ้ได้- ควรหยุดใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่ทำให้ผิวแห้งยิ่งกว่าเดิม เช่น สบู่ยา- ทาครีมหลังการอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เพราะจะลดปัญหาการเหนอะหนะ และทำให้บำรุงผิวได้ดียิ่งขึ้น- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ หรืออยู่ในที่สภาพอาการร้อนหรือหนาวจัดสม่ำเสมออย่างไรก็ตามหากเราพบว่าผิวยังแห้งแตกมากเหมือนเดิม ก็ไม่ควรเกาหรือปล่อยให้หายเอง แต่ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจจะต้องใช้ยาทาผิวหนังลดการอักเสบ เพื่อรักษาอาการดังกล่าวโดยเฉพาะ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 อุปกรณ์แต่งหน้า เก็บรักษาอย่างไรดี

สาวๆ ที่ชื่นชอบการแต่งหน้าส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์แต่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นแปรง ฟองน้ำ หรือที่ดัดขนตา เพราะอุปกรณ์เหล่านี้อาจถือได้ว่าเป็นอาวุธสำคัญ ที่สามารถช่วยให้เราแต่งหน้าได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความงามที่เราพอใจให้กับใบหน้าเราได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามอุปกรณ์แต่งหน้าก็เหมือนเครื่องมืออื่นๆ ที่เราต้องดูแลรักษาและทำความสะอาด ซึ่งหากเราละเลยอาจทำให้ผลลัพธ์ของการใช้งานไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้ เช่น เป็นสิว หรือมีอาการแพ้ผื่นขึ้นที่ผิวหน้า โดยมีสาเหตุมาจากเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในอุปกรณ์เหล่านั้น แล้วอย่างนี้เราควรทำอย่างไรเพื่อให้อุปกรณ์แต่งหน้ามีความปลอดภัยต่อใบหน้าของเรามาเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์แต่งหน้าที่เรามีกันก่อน อุปกรณ์แต่งหน้าสามารถแบ่งได้กว้างๆ ดังนี้1. แปรงแต่งหน้าแปรงแต่งหน้าสามารถช่วยให้เราควบคุมปริมาณเครื่องสำอาง หรือแต่งแต้มให้ตรงตำแหน่งที่เราต้องการ รวมทั้งยังช่วยผสมหรือเบลนด์ (Blend) เครื่องสำอางที่มีเนื้อครีมให้เรียบเนียนไปกับใบหน้าของเรา ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของแปรงแต่งหน้าได้ตามการใช้งานได้เช่น แปรงลงรองพื้น จะมีลักษณะแบนและโค้งมน ใช้เพื่อเกลี่ยรองพื้นให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น หรือแปรงทาคิ้ว ที่มักมีลักษณะขนแข็งและสั้น ตัดเป็นมุมเอียง เพื่อให้เราวาดทรงคิ้วได้สะดวก 2. ฟองน้ำแต่งหน้าฟองน้ำแต่งหน้ามีทั้งแบบธรรมดา(Puff) ที่อยู่ในตลับแป้งหรือในคุชั่น(Cushion) และฟองน้ำรูปไข่ ซึ่งสามารถใช้เพื่อซับแป้งให้ติดหน้า หรือเบลนด์เครื่องสำอางเนื้อครีมให้เข้ากับผิวหน้าเรา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าถนัดการใช้แปรงหรือฟองน้ำมากกว่ากัน 3. ที่ดัดขนตา ที่ดัดขนตาสามารถช่วยให้เราขนตายาวขึ้นได้ แต่หากเราใช้แล้วพบว่าขนตาไม่ยาวงอนยาวขึ้นอย่างที่ต้องการ อาจมีสาเหตุจากการเลือกที่ดัดขนตาที่ไม่เหมาะสมกับรูปตาของเรา หรือหากที่ดัดขนตาพังง่ายผิดปกติ อาจมีสาเหตุจากวัสดุที่ใช้ไม่มีความแข็งแรงทนทาน ซึ่งเราควรเลือกที่ดัดขนตาที่ทำจากโลหะมากกว่าพลาสติกหรือยาง และควรเลือกแบบที่มีแผ่นยางรองบนที่หนีบการวิธีเก็บรักษาอุปกรณ์แต่งหน้าให้เหมาะสมวิธีการเก็บรักษาอุปกรณ์เครื่องสำอางสามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้1. ล้างให้สะอาดไม่ว่าจะเป็นแปรงหรือฟองน้ำแต่งหน้า เราควรทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือในกรณีที่เห็นว่าขนแปรงไม่ค่อยนุ่มหรือเริ่มติดกันเป็นก้อนก็สามารถทำความสะอาดได้ทันที โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าหรือสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก ซึ่งเราควรถูแปรงหรือฟองน้ำกับสบู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าคราบเครื่องสำอางจะหลุดออกจนหมด จากนั้นจึงล้างให้สะอาดอีกครั้งด้วยน้ำเปล่า ทั้งนี้เราควรคว่ำขนแปรงลง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปทำลายกาวที่ยึดเกาะแปรงกับด้ามให้หลุดออกจากกัน ส่วนที่ดัดขนตาควรทำความสะอาดก่อนใช้อยู่เสมอ เพราะอาจมีฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกจากคราบมาสคาร่าติดอยู่ ซึ่งมีวิธีง่ายๆ คือ นำสำลีชุบน้ำยาเช็ดรอบดวงตาหรืออายรีมูฟเวอร์ (Eye remover) มาเช็ดบริเวณส่วนที่เลอะหรือบนแผ่นยางรองหนีบ จากนั้นเช็ดออกให้สะอาดด้วยกระดาษทิชชู่ 2. ตากให้แห้งหลังล้างทำความสะอาดเรียบร้อย เราควรเช็ดและตากอุปกรณ์แต่งหน้าให้แห้งสนิทก่อนเก็บรักษา หรือนำไปใช้ในครั้งต่อไป เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราหรือการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย 3. เก็บรักษาในที่เหมาะสมอุปกรณ์แต่งหน้าต่างๆ ควรอยู่ในที่อากาศถ่ายเท หรือในกล่องที่สามารถระบายอากาศได้ เพราะหากเราเก็บไว้ในที่อับชื้น เช่น ในห้องน้ำหรือในถุงซิบล็อกอาจทำให้ขึ้นราได้ หรือในสถานที่มีขี้ฝุ่นเยอะก็อาจทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียเกิดการสะสมรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้หากพบว่าอุปกรณ์เหล่านั้นเสื่อมสภาพก็ควรเปลี่ยนใหม่ เช่น ขนแปรงแต่งหน้าหลุดหักงอ หรือยางรองที่ดัดขนตาฉีกขาด  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางอย่างไรดี

ผู้ที่ชื่นชอบการแต่งหน้าเป็นประจำ สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากคือสิว ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเราล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด จนทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน สำหรับบางคนแม้จะล้างสะอาดหน้าแล้วก็ยังเป็นสิวหรือมีผื่นเล็กๆ ขึ้นอยู่เสมอ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเราเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเรา ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาวให้หน้าเหี่ยวก่อนวัยได้ แล้วอย่างนี้เราควรมีวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางอย่างไร ให้สะอาดและเหมาะสมกับผิวหน้าตัวเองเริ่มจากเช็คสภาพผิวหน้าของตัวเองก่อน ก่อนที่เราจะเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง เราควรรู้ว่าสภาพผิวหน้าของเราเป็นแบบไหน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้1. ผิวธรรมดา (Normal Skin) คือ ผิวที่มีความสมดุล ไม่แห้งหรือมันเกินไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผิวที่มีสุขภาพดี2. ผิวแห้ง (Dry Skin) คือ ผิวที่มีความมันน้อยกว่าปกติ เนื่องจากขาดกรดไขมันที่จำเป็นในการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้รู้สึกหยาบกร้านและดูหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายที่สุด3. ผิวมัน (Oily Skin) คือ ผิวที่มีการผลิตความมันในปริมานมากเกินไป จะมีลักษณะมัน เงาและสามารถมองเห็นรูขุมขนได้ชัดเจน4. ผิวผสม (Combination Skin) คือ ผิวที่แห้งและมันบริเวณทีโซน (T-zone) ตรงหน้าผากและจมูก เริ่มทำความรู้จักผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางปัจจุบันผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอาง หรือ Cleansing ตามท้องตลาดมีหลายประเภท เพราะผู้ผลิตมักออกแบบมาให้เหมาะสำหรับผู้มีสภาพผิวที่แตกต่างกัน  ซึ่งเราสามารถจำแนกออกมาเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้1. Cleansing water คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางแบบน้ำ ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (oil-free) ทำให้ไม่มีความเหนอะหนะ เหมาะสำหรับคนผิวมัน และผู้ที่แต่งหน้าอ่อนๆ2. Cleansing milk คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางเนื้อเหลวกึ่งข้น ซึ่งมีน้ำและน้ำมันเป็นส่วนประกอบ โดยบางยี่ห้ออาจมีน้ำนมผสมอยู่ด้วย เหมาะสำหรับคนผิวธรรมดา – แห้ง 3. Cleansing Cream และ Balm คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชนิดครีม ส่วนใหญ่จะมี Mineral Oil, Beeswax เป็นส่วนประกอบ เหมาะสำหรับคนผิวธรรมดา – แห้งมาก แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้ล้างหน้าเป็นประจำ เพราะอาจทำให้อุดตันรูขุมขนได้ 4. Cleansing Oil คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางที่มีลักษณะเป็นน้ำมัน และมี Mineral oil เป็นส่วนประกอบทำให้ล้าง make up ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อล้างแล้วจะทำให้หน้ามีความชุ่มชื่น ไม่แห้งตึง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายเพราะสามารถอุดตันรูขุมขนได้ดี5. Eye remover หรือ Dual Phase Cleansing คือ ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางเฉพาะรอบดวงตาและริมฝีปาก โดยมีส่วนประกอบหลักคือน้ำและน้ำมัน หากมองภายนอกจะเห็นว่าแยกเป็น 2 ชั้น เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวทั้งนี้สำหรับบางคนที่นำ Baby oil มาล้างเครื่องสำอาง พบว่าส่วนผสมหลักคือ mineral oil ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน เพราะสามารถทำให้หน้ามันมากขึ้น และอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวได้แนะวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางนอกจากเราจะเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ สารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งสามารถทำให้เราแพ้หรือเกิดอาการระคายเคืองได้ ดังนั้นวิธีเบื้องต้นในการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางคือ- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะสามารถทำลายสมดุลของใบหน้า และทำให้ผิวแห้งตึงหรืออักเสบได้ - หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีน้ำหอม เพราะสามารถทำให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองผิวได้มากที่สุด- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีสารกันบูด เพราะสามารถทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 ศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปากอย่างไร ให้สวยและปลอดภัย

การมีริมฝีปากที่สวยงามได้รูป ถือเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน เพราะสามารถช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้าและช่วยสร้างความมั่นใจได้ ทำให้เกิดกระแสการศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปากให้เป็นทรงกระจับ หรือการฉีดปากให้อวบอิ่ม อย่างไรก็ตามหากเราไม่อยากเจ็บตัวฟรีๆ ข้อควรรู้เบื้องต้นก่อนการศัลยกรรมริมฝีปากมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลย รู้จักประเภทการศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปากกันก่อนรูปแบบการตกแต่งริมฝีปากที่คนส่วนใหญ่นิยมมี 3 ประเภทดังนี้ 1. การศัลยกรรมปากกระจับหรือทรงปีกนก เป็นการตัดหรือเย็บริมฝีปากด้านบนเข้าไป เพื่อให้ได้รูปทรงที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากหนาไม่ได้รูป โดยอาจมีการทำศัลยกรรมปากบางทั้งริมฝีปากบนและล่างควบคู่ไปด้วย ซึ่งการศัลยกรรมดังกล่าวจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต การหาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำจึงสำคัญมาก ทั้งนี้เราควรทำเมื่ออายุ 18 ปีขึ้นไปแต่ไม่ควรเกิน 45 ปี เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นปากจะตกตามธรรมชาติ การศัลยกรรมริมฝีปากในลักษณะดังกล่าวอาจออกมาไม่สวยดั่งใจได้ 2. การฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่ม หรือการฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารเติมเต็มที่เรียกว่า ไฮยาลูโลนิค แอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารที่ได้รับรองมาตรฐาน อย. ทำให้มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบาง ขอบปากไม่ชัดเจนหรือผู้ที่มีร่องใต้มุมปากและมุมปากตกนิดๆ โดยหากทำแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน - 1 ปี (ขึ้นอยู่กับการดูแลเป็นหลัก) 3. การศัลยกรรมยกริมฝีปาก เพื่อปรับริมฝีปากให้ได้สัดส่วนที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ริมฝีปากเสียรูป โดยขณะพูดหรือยิ้มอาจมองไม่เห็นส่วนของฟันบน ทั้งนี้อัตราค่าบริการการศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปากแต่ละประเภท ในสถานพยาบาลต่างๆ นั้นไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่ราคาจะเริ่มที่ 10,000 บาทขึ้นไป   ควรเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจในยุคแรกของการทำศัลยกรรมริมฝีปากมีจุดประสงค์เพื่อรักษา หรือแก้ไขข้อบกพร่องของผู้ที่มีความพิการ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ หรือผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุจนทำให้มีแผลเป็นบริเวณริมฝีปาก เช่น ผู้ที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวกหรือเสียโฉม แต่ปัจจุบันมักทำเพื่อความสวยงามโดยเฉพาะ โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ทำศัลยกรรมปากกระจับหรือปากบาง มักต้องการให้ริมฝีปากได้รูปเหมือนกำลังยิ้มอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ที่ฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่มมักเน้นให้ปากดูเซ็กซี่ ซึ่งบางส่วนยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากคนดังฝั่งตะวันตก เช่น ไคลี่ เจนเนอร์ (Kylie Jenner) หรือเพื่อให้หน้าดูเด็กลง เพราะเมื่อคนเราอายุมากขึ้น ริมฝีปากจะเริ่มบางและริ้วรอยบริเวณริมฝีปากก็มากขึ้น การเพิ่มขนาดของริมฝีปาก ด้วยการฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่ม ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดรอยย่นและร่องที่ริมฝีปากได้ อย่างไรก็ตามการทำศัลยกรรมในลักษณะดังกล่าวก็สามารถส่งผลข้างเคียงได้ เช่น - การทำปากกระจับเกินไป อาจทำให้ปิดริมฝีปากไม่สนิท เพราะตัดเนื้อบริเวณริมฝีปากบนออกไป ทำให้แม้เกร็งกล้ามเนื้อให้ปากบนล่างปากประกบกันแล้วก็อาจเห็นช่องว่างระหว่างปากอยู่ดี หรือเวลายิ้มก็จะเห็นเหงือกมากขึ้น - การทำปากบาง โดยหากทำกับศัลยแพทย์ที่ไม่ชำนาญหรือไม่พอใจภายหลัง แม้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดปากให้อวบอิ่มขึ้น (ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือน) แต่ไม่สามารถทำศัลยกรรมปากกระจับได้ เพราะไม่เหลือเนื้อปากให้ทำต่อแล้ว นอกจากนี้เมื่ออายุมากขึ้นริมฝีปากก็จะยิ่งบางไปอีกเรื่อยๆ จนอาจมองไม่เห็นริมฝีปากเลย - การทำปากอวบอิ่ม แม้จะฉีดด้วยสารที่มีความปลอดภัย แต่บางคนก็อาจแพ้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสารที่ไม่ได้รับมาตรฐานก็สามารถทำให้เกิดผลร้ายแรงได้มากขึ้น เช่น ฉีดผิดตำแหน่งจนสารดังกล่าวเข้าไปในกระแสเลือด จนเกิดการอุดตันของหลอดเลือดทำให้เนื้อตาย หรืออาจติดเชื้อจนเน่า เทคนิคการเลือกทำให้ “สวยและปลอดภัย”1. เลือกศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ ทั้งนี้ควรตรวจสอบรายชื่อศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับวุฒิบัตร และการอนุมัติจากแพทยสภาก่อนรับการรักษาที่เว็บไซต์ http://www.tmc.or.th/ 2. เลือกสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานและดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย 3. เลือกฉีดสารเติมเต็มที่ได้รับมาตรฐาน อย. 4. สำรวจความพร้อมของตัวเอง เช่น ไม่เป็นคนเลือดออกง่าย ไม่มีประวัติการแพ้รุนแรง หรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งหากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามศัลยแพทย์ให้แน่ใจก่อน 5. เลือกเทคนิคการทำปากอวบอิ่มหรือปากบางด้วยตนเองง่ายๆ ด้วยเครื่องสำอาง เช่น การเขียนขอบปากให้หนาขึ้นด้วยลิปสติกเขียนขอบปาก (Lip liner) หรืออาจจะใช้ลิปสติกสีแดงเข้มระบายด้านในริมฝีปากบน โดยทำเป็นทรงกระจับด้วยตัวเอง ข้อมูลอ้างอิง สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย : http://www.dst.or.th/html/index.php /  สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย : http://www.surgery.or.th/topics/thin-lip.pdf  และ http://www.plasticsurgery.or.th/pub_method.php  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 179 รักแร้ดำ

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สมัย กระแสนิยมความขาวก็ยังคงมีอยู่เสมอ ซึ่งไม่เว้นแม้ในจุดอับอย่าง “รักแร้” ที่หากดำคล้ำก็สามารถสร้างความกังวล และส่งผลต่อความมั่นใจให้กับสาวๆ ส่วนใหญ่ได้ เราจึงมักเห็นสารพัดวิธีช่วยให้รักแร้ขาว แต่จะมั่นใจว่าปลอดภัยและได้ผลมากน้อยแค่ไหน ลองไปดูกันเลยมารู้จักสาเหตุรักแร้ดำกันก่อน ผิวหนังบริเวณรักแร้ของเรา ไม่ได้ดำคล้ำไปกว่าสีผิวบริเวณอื่นๆ ของร่างกายตั้งแต่เกิด แต่เพราะมีหลายปัจจัยมากระตุ้นมากกว่า ซึ่งเราสามารถแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 7 ข้อ คือ1. การเสียดสี ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รักแร้ดำและหนาขึ้น 2. การใช้ผลิตภัณฑ์ใต้วงแขน เช่น โรลออน สเปรย์ดับกลิ่นกาย ที่มีน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ ก็สามารถทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นดำคล้ำมากขึ้น 3. การกำจัดขน โดยหากเราใช้แหนบหรือครีมกำจัดขน (Wax) อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง หรืออักเสบ ซึ่งส่งผลให้รักแร้คล้ำขึ้นได้ 4. การรักษาความสะอาดที่ไม่เพียงพอ สามารถทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย 5. การมีน้ำหนักตัวมากเกินไป สามารถทำให้เกิดการเสียดสีบริเวณใต้วงแขนมากว่าปกติ 6. การเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน เพราะสัญญาณเตือนเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คือ ลำคอและรักแร้ มีรอยดำเป็นปื้น ที่ไม่สามารถถูออกได้ หรือเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยรักแร้จะมีปื้นหนาคล้ายกำมะหยี่สีดำ (Acanthosis nigricans, An) 7. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ส่งผลให้รักแร้คล้ำขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามสามารถหายเองได้หลังจากคลอดบุตรแล้ว สารพัดวิธีช่วยให้รักแร้ขาว ปลอดภัยแค่ไหน1. การใช้ครีมทารักแร้ขาว อาจมีส่วนผสมของสารต้องห้าม เช่น สารปรอท ไฮโดรควิโนน ซึ่งสามารถทำให้ผิวของเราเกิดการระคายเคืองและดำคล้ำกว่าเดิมได้ จึงควรมีการทดสอบการแพ้เบื้องต้นก่อนใช้ 2. การใช้กรด AHA หรือ Glycolic acid ทารักแร้ เพื่อให้ผลัดเซลล์ผิวเก่า วิธีการนี้สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังใต้วงแขนมากที่สุด และอาจส่งผลให้รักแร้ดำคล้ำกว่าเดิม จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยเลือกความเข้มข้นไม่เกิน 15% และไม่ควรทาทิ้งไว้เกิน 10 นาที 3. การทำไอออนโต (Iontophoresis) หรือการใช้กระแสไฟฟ้านำยาหรือสารเคมีลงสู่ผิวหนัง ซึ่งเชื่อว่าสามารถทำให้รอยคล้ำจากลงได้ ด้าน นพ. ปริทัศน์ ศุกรีเขตร แพทย์ผิวหนังโรงพยาบาลสมิติเวช ให้ความเห็นไว้ในเว็บไซต์หมอชาวบ้านว่า วิธีการดังกล่าวอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าผิวหนังขาวขึ้น แต่ผลที่ได้จะอยู่ชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากมีการทำต่อเนื่องเป็นเวลานานก็อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นรอยดำหรือด่างขาว นอกจากนี้ยังไม่มีผลการศึกษาที่สามารถยืนยันผลลัพธ์ และผลแทรกซ้อนที่น่าเชื่อถือได้ 4. การทำเลเซอร์ กำจัดส่วนที่คล้ำออกไป ซึ่งผลลัพธ์จะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ การตอบสนองและวิธีการดูแลของแต่ละคน รวมทั้งความชำนาญของแพทย์ ซึ่งเราควรตรวจสอบว่าเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือได้รับวุฒิบัตร ฯลฯ จริงหรือไม่ โดยเข้าไปตรวจสอบรายชื่อแพทย์ที่เว็บไซต์สมาคมแพทย์ผิวหนังของประเทศไทย หรือเว็บไซต์แพทยสภาก็ได้ ทั้งนี้การทำเลเซอร์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ คือ เกิดจุดกระดำกระด่าง หรืออาจเกิดบาดแผลที่หายช้า ซึ่งสามารถทำให้รักแร้ดำคล้ำกว่าเดิม 5. การใช้ยาสีฟันลอกผิว วิธีการดังกล่าวได้มีการรีวิวทางอินเทอร์เน็ต แต่ยังไม่มีการให้ความเห็นจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าสามารถทำให้รักแร้ขาวได้จริง อย่างไรก็ตามหากดูจากสารประกอบในยาสีฟันทั่วไปจะพบว่ามีสารขัดถู (แคลเซียมคาร์บอเนต เกลือแกง ผงฟู) สารทำความสะอาดหรือสารซักฟอก (Sodium Lauryl Sulfate) และสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Triclosan) ซึ่งอาจทำให้รักแร้ขาวได้ แต่หากมีสารอื่นๆ ประกอบด้วยเช่น ฟูลออไรด์ ก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้หรือผิวไหม้ได้เช่นกัน 6. ใช้สารส้ม แทนการใช้ผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนอื่นๆ ที่อาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และน้ำหอม พบว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย เพราะไม่ทำให้รักแร้ดำคล้ำมากกว่าเดิม และช่วยระงับกลิ่นกายได้ 7. Scrub ผิวใต้วงแขน เพื่อกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ซึ่งสามารถทำได้ แต่ไม่ควรขัดแรงและบ่อยเกินไป เพราะ รักแร้เป็นบริเวณที่มีความบอบบาง อาจทำให้เกิดแผลหรือถลอก ซึ่งนำมาสู่รอยคล้ำภายหลังได้ ข้อมูลอ้างอิง http://www.doctor.or.th/ask/detail/3565

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 ขนตาสั้น - บาง ทำอย่างไรดี

“ขนตา” นอกจากจะมีความสำคัญในการป้องกันฝุ่นละออง หรือเหงื่อไม่ให้ทำอันตรายต่อดวงตาแล้ว ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ หลายคน เพราะคนที่ขนยาวงอนยามกะพริบตา ดุจผีเสื้อยามกระพือปีกบินนั้น ย่อมเป็นที่สะดุดตา ชวนหลงใหล อย่างไรก็ตามความยาวของขนตาขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์เป็นหลัก คนที่ขนตาสั้นหรือบางจึงต้องสรรหาวิธีในการเพิ่มขนาดของขนตา เช่น ติดขนตาปลอม ปัดมาสคาร่า หรือต่อขนตากึ่งถาวร แต่วิธีต่างๆ เหล่านั้นจะปลอดภัยมากแค่ไหน เราคงต้องลองมาชั่งน้ำหนักความเสี่ยงกันดูค่ะ มารู้จักขนตาตามธรรมชาติกันสักนิดปกติเราจะมีขนตาบนมากกว่าขนตาล่างประมาณ 2 เท่า หรือ 120 ต่อ 80 เส้น ซึ่งขนตาก็เหมือนกับเส้นผมที่มีการหลุดร่วงทุกวัน และจะยิ่งชะลอการเจริญเติบโตเมื่อเราอายุมากขึ้น นอกจากนี้ก็มักจะมีสีแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ อย่างไรก็ตามแม้กรรมพันธุ์จะทำให้ความยาวของขนตาเราไม่เท่ากัน แต่คนที่มีขนตาบาง สั้น หรือแหว่งจริงๆ ก็ยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้มีผลเสียอะไรต่อการดำเนินชีวิต สารพัดวิธีเพื่อขนตายาวปัจจุบันหากเราต้องการเพิ่มความหนายาวของขนตาก็สามารถทำได้ ด้วยวิธีที่กึ่งถาวรและไม่ถาวรดังนี้ 1. การปัดมาสคาร่าและการติดขนตาปลอมวิธีการนี้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะเป็นการใช้เครื่องสำอางที่สามารถล้างออกได้ ทำให้ผลข้างเคียงน้อย แต่หากเราเผลอใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ หรือล้างเครื่องสำอางเหล่านั้นไม่สะอาด ก็สามารถทำให้รูขุมขนบริเวณดวงตาอุดตัน เปลือกตาอักเสบและขนตาจริงหลุดร่วงได้ หรืออาจเกิดอาการอื่นๆ ที่เรารู้จักกันดีอย่างตากุ้งยิงได้เช่นกัน   นอกจากนี้การใช้กาวติดขนตาปลอมก็สามารถทำให้แพ้ได้ เพราะในสารประกอบของกาวติดขนตา มีหลายชนิดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกาวติดวัสดุอื่นๆ เช่น ไม้ พลาสติก ซึ่งนายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ให้ความเห็นไว้ว่า กาวที่ใช้ต่อขนตาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการอักเสบระคายเคืองที่ผิวเป็นตุ่มพุพองเล็กๆ และเป็นหนองได้ ดังนั้นจึงควรใช้กาวติดขนตาแต่พอดีและเว้นระยะการใช้บ้าง เพราะทุกครั้งที่เราถอดขนตาปลอมออก จะทำให้ขนตาจริงของเราหลุดร่วงมาด้วย และควรป้องกันการแพ้เบื้องต้นด้วยการใช้สินค้าที่ได้รับมาตรฐาน อย. 2. การต่อขนตาปลอม การต่อขนตาเป็นเพิ่มความยาวและหนาที่ไม่ถาวร โดยเป็นการนำวัสดุต่างๆ เช่น เส้นใยสังเคราะห์ เส้นไหม ขนสัตว์ (ขนมิ้งค์ ขนม้า) หรือเส้นผม ต่อเข้ากับขนตาจริงในรูขนตาของเรา มีข้อดีคือทำให้เราขนตายาวตั้งแต่ตื่นนอนและดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแต่ละคน อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ก็สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า เช่น ตาบวมแดงอักเสบ เพราะติดเชื้อจากกาวหรือวัสดุที่นำมาต่อ หรือเปลือกตาอักเสบ เพราะมีการสะสมของเชื้อโรคบริเวณแผงขนตา ซึ่งหากเราขยี้ตาจนทำให้วัสดุหลุดเข้าไปในดวงตา ก็อาจทำให้เป็นแผลและติดเชื้อที่กระจกตาดำได้ หรือตามความเห็นของนายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า ไอระเหยของกาวอาจทำให้แสบตาจนถึงขั้นตาอักเสบและทำให้ต่อมขนตาฝ่อ ส่งผลให้ขนตาหยุดงอกใหม่ หรือหยุดการเจริญเติบโตทันที นอกจากนี้ พญ.กุลกานต์ อมรพัฒนา แพทย์ด้านศัลยกรรมปลูกถ่ายรากผม ก็ได้ให้ความเห็นต่อการต่อขนตาด้วยเส้นผมของตนเองว่า วิธีการนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก เนื่องจากสภาพเส้นผมจะมีความยาวไม่จำกัด จึงต้องหมั่นตัดเล็มปลายขนตาเสมอ ทั้งยังมีต่อมเหงื่อที่เยอะกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบกลายเป็นสิว หรือมีรังแค เช่นเดียวกับบนหนังศีรษะได้ 3. การใช้เซรั่มบำรุงขนตา วิธีการนี้สาวๆ ฝั่งอเมริกาเป็นคนนำกระแสมาสู่บ้านเรา เพราะเคยมีการรีวิวไว้อย่างมากมายว่า ใช้แล้วทำให้ขนตาดูหนา ยาวและดกดำขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตามกระแสดังกล่าวก็ได้เริ่มซาลงไป เมื่อบางคนใช้แล้วเกิดอาการข้างเคียง เช่น คัน ตาแดง เปลือกตาคล้ำ หรือม่านตาเปลี่ยนสี เพราะได้มีการตรวจสอบแล้วว่า เซรั่มนั้นมีส่วนผสมของสาร Bimatoprost ที่ใช้เป็นยาสำหรับรักษาโรคต้อหิน ซึ่งสามารถส่งผลแทรกซ้อนให้ขนตาของผู้ใช้ยาวและหนาขึ้นได้ ผู้ผลิตยาหลายรายจึงดึงสารที่ใช้ในยารักษาต้อหินดังกล่าว มาเป็นส่วนผสมของเซรั่มขนตายาวนั่นเอง ทำให้ภายหลังองค์การอาหารและยาของอเมริกา หรือ FDA ก็ได้ออกมาตรวจสอบ รวมทั้งควบคุมเซรั่มบำรุงขนตายาว และอนุมัติให้ขายได้เฉพาะบางยี่ห้อเท่านั้น โดยแนะนำให้ผู้บริโภคใช้เมื่ออยู่ในดุลพินิจของแพทย์อีกด้วย เพิ่มขนตาให้ปลอดภัยอย่างไรดีแม้หลายวิธีจะมีความเสี่ยงมากน้อยต่างกัน แต่อาการแพ้ต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะตัวบุคคล (คนอื่นใช้แล้วไม่แพ้ แต่เราใช้แล้วอาจจะแพ้) และวิธีการใช้ด้วยเช่นกัน ซึ่งควรมีความระมัดระวังเรื่องความสะอาดเป็นหลัก นอกจากนี้ก็ควรบำรุงขนตาให้แข็งแรงด้วยวิธีธรรมชาติ อย่างการรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิคสูงอย่าง ตับ ผักใบเขียว หรือยีสต์ในนมเปรี้ยว หรือธาตุสังกะสีในอาหารทะเล ถั่ว นมและไข่ เป็นต้น   ข้อมูลอ้างอิง : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0207.pdf คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล /สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุขhttp://pr.moph.go.th/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=36401  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 177 ริมฝีปากดำคล้ำ เพราะลิปสติก

ต่อให้ไม่ได้เป็นสาวที่รักการแต่งหน้าเท่าไหร่ แต่หนึ่งในเครื่องสำอางที่สาวๆ ทุกคนต้องมีติดกระเป๋าไว้คงหนีไม่พ้น “ลิปสติก” เพราะไม่ว่าจะเป็นลิปสติกแบบมีสีสัน หรือลิปมัน ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ริมฝีปากของเราชุ่มชื้นและมีสีสันที่สวยงาม แต่หากเราทาแล้วริมฝีปากดันแห้ง แตก ลอกเป็นขุย คันยิบๆ หรือมีตุ่มใสขึ้นบริเวณริมฝีปาก จนทำให้ริมฝีปากสีชมพูสดใสกลายเป็นดำคล้ำ เพราะแพ้ลิปสติกแทน เราจะทำอย่างไรดี   มารู้จักตัวการสำคัญที่ทำให้เราแพ้กันก่อน อย่างที่เรารู้กันดีกว่าการแพ้เครื่องสำอางเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ยี่ห้อและราคาไม่ได้การันตีว่าจะดีสำหรับเราเสมอไป เพราะคนอื่นใช้แล้วไม่แพ้ แต่เราใช้แล้วอาจจะแพ้ก็ได้ ซึ่งสาเหตุหลักอันดับแรกที่ทำให้เราแพ้ลิปสติก มาจากส่วนผสมของลิปสติกนั่นเอง โดยส่วนใหญ่ในลิปสติกจะประกอบไปด้วย สี น้ำหอม สารแต่งกลิ่น/รส และสารกันเสีย ซึ่งเราอาจจะแพ้สีที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือแพ้สารกันเสียจำพวก paraben นอกจากนี้เราอาจจะแพ้เพราะใช้ลิปสติกแท่งเดิมมาเป็นเวลานาน โดยไม่รู้ว่ามันหมดอายุไปแล้ว ดังนั้นหากเราซื้อมาและเปิดใช้งานมากกว่า 2 ปี หรือพบว่ามีกลิ่น สี หรือลักษณะที่เปลี่ยนไปก็ควรตัดใจทิ้งและเปลี่ยนแท่งใหม่ได้เลย เพราะลิปสติกต้องสัมผัสกับริมฝีปากเราเป็นเวลานานและหลายครั้งต่อวัน หากเราไม่ดูแลรักษาดีๆ ก็อาจใช้เวลานานกว่าจะกลับมามีริมฝีปากสุขภาพดีเหมือนเดิม หากแพ้ลิปสติกแล้วควรแก้ปัญหาอย่างไรดี การแพ้ลิปสติกสามารถเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ แบบฉับพลันและเรื้อรัง โดยหากเป็นแบบฉับพลัน จะเกิดอาการคันที่ปากทันที หรืออาจลุกลามมากขึ้นกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ ได้ แต่หากแพ้เรื้อรังก็จะทำให้ปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ซึ่งนำไปสู่ริมฝีปากที่ดำคล้ำนั่นเอง ดังนั้นการแก้ไขเบื้องต้นหลังจากหยุดใช้ลิปสติกแท่งนั้นคือ การใช้ขี้ผึ้ง / ลิปมันที่ไร้การการแต่งกลิ่นหรือสีอย่างวาสลีน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก และไม่ลืมดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ปากไม่แห้ง รวมทั้งเลือกใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีรสไม่ซ่าหรือเผ็ดน้อย เพราะฟลูออไรด์หรือแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง สามารถส่งผลให้ริมฝีปากคล้ำกว่าเดิมได้เช่นกัน นอกจากนี้อาจรักษาด้วยการไปพบแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง   เทคนิคเล็กน้อยก่อนเลือกลิปสติกแท่งใหม่ การเลือกใช้ลิปสติกมักเปลี่ยนไปตามโอกาสต่างๆ เช่น หากเราต้องออกงานสำคัญแล้วอยากให้ลิปสติกติดทนนาน ก็ควรเลือกใช้ลิปสติกประเภทเนื้อ Cream หรือเนื้อ Matte เพราะมีความเข้มข้นของเนื้อสีมากที่สุด มีส่วนผสมที่ช่วยให้เนื้อลิปสติกแห้งไม่ลบเลือนง่าย หรือหากเราไม่ต้องการแต่งหน้าจัด ก็อาจเลือกใช้ลิปสติกประเภทเนื้อ Sheer ไม่ก็ Lip gloss หรือ Tint เพราะสีจะอ่อนๆ ให้ริมฝีปากเนียนสวยเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามไม่ว่าเราจะเลือกลิปสติกประเภทไหน ก็ควรพิจารณาจากคุณภาพเป็นอันดับแรกคือ ไม่ควรมีรสชาติ ไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ไม่หลอมเหลวระหว่างเก็บ ไม่พองตัวหรือมีหยดน้ำเกาะที่ตัวผลิตภัณฑ์ และควรเป็นลิปสติกที่มีฉลากภาษาไทยกำกับ โดยให้มีรายละเอียดตามประกาศของ อย. ดังนี้ 1. ชื่อสินค้า 2. ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง 3. สารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง เรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย 4. วิธีใช้เครื่องสำอาง 5. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต 6. ชื่อและที่ตั้งของผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางนำเข้า 7. ปริมาณสุทธิ 8. เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต 9. เดือน ปีที่ผลิต และ 10. เดือน ปีที่หมดอายุ ทั้งนี้หากฉลากมีพื้นที่น้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะชื่อสินค้าและเลขที่แสดงครั้งที่ผลิตก็ได้ เพราะหากเราซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากภาษาไทยกำกับ ก็อาจมีส่วนผสมของสารห้ามใช้ในลิปสติก เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งส่งผลอันตรายต่อผู้ใช้ นอกจากนี้ก็อาจทดสอบการแพ้ในเบื้องต้น ด้วยวิธีพื้นฐานอย่างการทาลงในบริเวณที่บอบบางอย่าง ใต้ท้องแขนหรือข้อพับแขน เพื่อดูว่ามีผดผื่นหรืออาการแพ้อื่นๆ เกิดขึ้นหรือไม่  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 อยากผิวขาวใสทำอย่างไรดีนะ

กระแสผิวขาวยังคงแรงดีไม่มีตก สาวๆ ส่วนใหญ่ต่างพากันหาสารพัดวิธีเนรมิตผิวสวย แหล่งข้อมูลหลักก็หนีไม่พ้นรีวิวจากในอินเทอร์เน็ต บ้างทำตามแล้วก็สมหวังแต่บางคนอาจเสียสวย ต้องรีบหาวิธีทำให้ผิวกลับมาเป็นอย่างเดิม อย่างวิธีฮิตล่าสุดการ “ลอกผิว” เพื่อให้ผิวขาวใส จะได้ผลลัพธ์สมใจหรือเสียใจอย่างไรเรามีข้อมูลมาฝากค่ะ ทำความรู้จักกับผิวหนังกันก่อนแม้ผิวหนังของเรามีความแตกต่างกัน แต่มีหน้าที่หลักในการทำงานเหมือนกันคือ ช่วยปกป้องอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากการกระแทก แสงแดด หรือเชื้อโรคต่างๆ ช่วยรับรู้การสัมผัสและควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ แล้วเราจะลอกผิวหนังออกไปเพื่ออะไรผิวหนังชั้นนอกสุดของเราจะมีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่า และสร้างเซลล์ใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอเรียกว่า ขี้ไคล ซึ่งการขัดผิวหรือลอกผิวก็จะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วเหล่านี้ออกไป ทำให้ดูเหมือนว่าสีผิวของเราขาวขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเนื่องจากผิวของเรามีสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว หากมีการขัดถูหรือลอกผิวบ่อยครั้ง ก็ทำให้ผิวของเราเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้ผิวหนังแห้งแตก ลอกเป็นขุยได้ หรือสารเคมีเหล่านั้นก็อาจเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น มีผลระยะยาวให้ผิวหยาบกร้าน มีรอยด่างดำและเหี่ยวย่นได้ ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ว่า ในทางการแพทย์มีวิธีการลอกผิวด้วยสารเคมีที่มีความปลอดภัยมานานแล้ว โดยใช้ลอกเพื่อรักษาผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า เช่น หลุมสิว ฝ้า ภาวะสีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะการนำกรดต่างๆ มาใช้เพื่อลอกผิวเอง เพื่อทำให้ผิวชั้นนอกลอกออกมาเป็นแผ่น เป็นกรดที่ไม่มีความปลอดภัยสามารถทำให้ผิวไหม้ได้ เช่น การใช้น้ำกรดผสมสารปรอทลอกผิว ซึ่งผู้ใช้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะมีการใส่ยาชาลงไปด้วย หรือการใส่สีต่างๆ เพื่ออวดอ้างสรรพคุณว่าเหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย โดยหากใช้น้ำยาพวกนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ผิวหนังชั้นนอกก็จะตายไปด้วย ทำให้เมื่อเจอกับแสงแดดผิวก็จะกลับมาดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม และมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนปกติ หรือกรณีที่รุนแรงกว่านี้ผิวหนังก็อาจส่งผลให้ผิวเกิดแผลไหม้และติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตามคำโฆษณาส่วนใหญ่ มักบอกว่าการลอกผิวปลอดภัย เพราะใช้กรด  AHA หรือกรดผลไม้มาลอกผิวนั้น พบว่าแม้กรดดังกล่าวจะมีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดผิวชั้นนอกออกไป ช่วยผิวกระจ่างใส ริ้วรอยและจุดด่างดำจางลงได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรส่วนผสมอื่นๆ ในครีมลอกผิวเหล่านั้นจะได้มาตรฐาน หรืออยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่เข้มข้นสูงเกินไป เพราะการใช้กรด  AHA ลอกผิวเป็นเวลานานสามารถทำให้ผิวบางลง ทำให้ได้รับอันตรายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้สำหรับการลอกผิวจุดเล็กๆ เช่น การนำหอมแดงมาแต้มสิว เพื่อทำให้รอยจุดด่างดำจากสิวหายไป  ก็พบว่ายังไม่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อของกระเทียม หอมแดง หรือหอมหัวใหญ่ แม้ช่วยลดจุดด่างดำ เนื่องจากกรดจะลอกเนื้อเยื่อที่ตายออก แต่ก็สามารถส่งผลให้ผิวหนังระคายเคืองได้ จึงต้องระมัดระวังปริมาณการใช้ และตรวจสอบสภาพผิวของตนเองก่อน หากใช้ไปนานๆ อาจทำให้ผิวหน้าบาง เมื่อถูกแดดจะทำให้หน้าแดงและอักเสบ หรือเกิดฝ้าได้ง่ายควรดูแลผิวอย่างไร ให้ขาวปลอดภัยสบายใจไปนานๆการดูแลให้ผิวสวยใสควรปฏิบัติควบคู่กันไปทั้งภายในและภายนอก โดยเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรือการรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวและสุขภาพ ควรดูแลตัวเองจากปัจจัยภายนอกด้วย เช่น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสียด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือไม่ยอมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน นอกจากนี้ควรมีการขัดผิวอาทิตย์ละครั้งเพื่อกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ด้วยวิธีที่ปลอดภัยอย่างสมุนไพรประจำบ้านเรา เช่น มะขามเปียก เนื่องจากมีกรด AHA ที่จะช่วยลอกผิวหนังชั้นบนที่ตายออก ทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยๆ เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด หรือใช้ขมิ้นชันขัดตัว เพราะมีคุณสมบัติยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน จึงสามารถทำให้สีผิวกระจ่างใสขึ้นได้ แม้วิธีต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่เห็นผลทันใจเหมือนวิธีลัดอย่างการลอกผิวด้วยสารเคมี แต่ก็ปลอดภัยและสวยในชาตินี้ไปได้นานๆ เพราะคงไม่มีใครอยากได้ผลแทรกซ้อนจากการลอกผิวด้วยสารเคมี อย่างผิวสวยเปลี่ยนสี เกิดรอยดำรอยไหม้ หรือติดเชื้อแบคทีเรียหรอก จริงไหมคะ*อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล / สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 ใช้เครื่องสำอางยี่ห้อเดิมไม่เปลี่ยนเลย จะดีจริงหรือ

ฉลาดซื้อเคยเสนอเรื่องผู้ชายกับเครื่องสำอาง เพราะเชื่อว่าไม่ว่าใครจะชายหรือหญิงอย่างน้อยๆ ก่อนออกจากบ้านก็ต้องผ่านเครื่องสำอางกันไม่ต่ำกว่าคนละ 1 ชนิด อย่างไรก็ตามแม้เครื่องสำอางจะช่วยในการทำความสะอาด ส่งเสริมความงามหรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะภายนอกได้ แต่ก็สามารถทำให้เราแพ้เครื่องสำอางจนต้องหาทางรักษากันให้วุ่นวาย ซึ่งอาการแพ้ต่างๆ ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเราซื้อเครื่องสำอางชนิดใหม่มาใช้เท่านั้น เพราะเครื่องสำอางชนิดเดิมที่เราคุ้นเคยก็อาจทำให้เราแพ้ได้เช่นกันเราแพ้เครื่องสำอางได้อย่างไรสำหรับเครื่องสำอางที่เราไม่เคยใช้ คนอื่นอาจจะรีวิวสินค้าว่าเขาไม่แพ้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่แพ้เหมือนเขา เพราะแต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ยิ่งบางคนที่มีประวัติผิวแพ้ง่ายอยู่แล้ว อาการแพ้เครื่องสำอางก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเข้าไปอีก โดยเฉพาะการแพ้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารให้ความหอม (fragrances) และสารกันเสีย (parabens) หรือในบางประเภทก็ผสมสีที่อาจไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นเราจึงควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนนำมาใช้จริงด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ทาทิ้งไว้ในบริเวณบอบบางอย่างใต้ท้องแขนประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง เพื่อทดสอบว่าเรามีอาการระคายเคืองหรือไม่ และไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อบ่อยๆ ดังที่ พญ.เยาวเรศ นาคแจ้ง แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญพิเศษสถาบันโรคผิวหนัง ได้คำแนะนำไว้ในบทความผื่นเพราะเครื่องสำอางว่า เมื่อใช้ยี่ห้อใดแล้วผิวหน้าสบายดี ก็ไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ เพราะการเปลี่ยนยี่ห้อ ก็คือการเปลี่ยนชนิดของสารกันบูดและสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นหอม ซึ่งทั้งสองชนิดนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามสำหรับเครื่องสำอางยี่ห้อเดิมที่เราใช้ไปนานๆ แล้วค่อยพบอาการแพ้ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะเครื่องสำอางนั้นอาจหมดอายุแล้ว หรือมีการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น ทั้งนี้หากเรามั่นใจว่าเครื่องสำอางไม่ได้เสื่อมสภาพ หรือใช้งานถูกต้องแต่ก็ยังแพ้อยู่ สาเหตุอาจจะมาจากส่วนผสมที่เปลี่ยนไปก็ได้ ดังที่ นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ แพทย์ผิวหนังโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เครื่องสำอางยี่ห้อเดียวกัน ชนิดเดียวกันเมื่อเปลี่ยนขวดใหม่อาจเกิดปัญหาได้ เพราะผู้ผลิตอาจเปลี่ยนสูตร หรือคุณภาพของส่วนผสมอาจไม่เหมือนเดิมสังเกตอย่างไรว่าเราแพ้เครื่องสำอางเข้าแล้วนอกจากจะแพ้เครื่องสำอางต่างชนิดกันแล้ว อาการเริ่มแพ้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะแพ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ หรือบางคนอาจจะเริ่มแพ้หลังจากใช้ไปแล้วช่วงระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามลักษณะอาการแพ้เครื่องสำอางที่เห็นได้ชัดเจนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ1. การระคายเคืองจากการสัมผัส (Irritant Contact Dermatitis)เป็นอาการที่พบได้ง่ายโดยเกิดจากการเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับร่างกาย มักมีอาการยุบยิบบนผิวหนังที่สัมผัส หรือแสบร้อน คัน หรือเป็นผื่นแดง หากมีอาการมากขึ้นก็อาจกลายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบได้ ควรระวังการใช้ในบริเวณผิวหนังมีความบางมากๆ เช่น หนังตา ขอบตา หรือบางกรณีอาจเกิดเป็นลมพิษ ที่มีอาการบวมแดงร่วมกับอาการคันและเป็นผื่น 2. การแพ้จากการสัมผัส (Allergic Contact Dermatitis)เป็นอาการแพ้ของผู้ที่แพ้สารเคมีเฉพาะที่อยู่ในเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพราะขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคน โดยส่วนมากจะเริ่มต้นด้วยอาการคัน และอาจเป็นผื่นคัน บวม ผิวแตก หรือถึงกับผิวเปื่อยตามมาเลยก็ได้แนวทางป้องกันอาการแพ้เครื่องสำอางเพราะคนเราแพ้เครื่องสำอางได้จากหลายสาเหตุ จึงควรหมั่นป้องกันปัจจัยต่างๆ ที่อาจทำให้เราแพ้เครื่องสำอางได้เช่น อายุของเครื่องสำอาง การใช้เครื่องสำอางที่ไม่ถูกวิธี หรือปัจจัยจากสภาพผิวที่แตกต่างกัน ทำให้บางคนอาจจะไปเลือกใช้เวชสำอาง (เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมยาเข้าไปด้วย) หรือการเลือกใช้เครื่องสำอางในกลุ่ม Hypo allergic หรือเครื่องสำอางที่มีโอกาสแพ้น้อย แต่เครื่องสำอางกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถยืนยันว่าจะไม่แพ้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่ลดโอกาสในการแพ้ลงเท่านั้น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 เขาบอกว่าถ้า…หัวจะล้าน

เพราะ “ผม” ไม่ใช่แค่เส้นขนตายแล้วที่ไร้ประโยชน์ แต่สามารถช่วยปกป้องหนังศีรษะของเรา ไม่ให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากเกินไป ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความงามหรือความมั่นใจให้แต่ละคนได้ อย่างไรก็ตามผมไม่สามารถคงอยู่จำนวนเท่าเดิมได้ตลอดไป ต้องมีการหลุดร่วงในทุกๆ วัน คนส่วนใหญ่จึงหมั่นดูแลสุขภาพผมให้ดีอยู่เสมอ เพื่อคงสถานะผมดกให้อยู่นานที่สุด แต่สำหรับคนที่ผมร่วงมากๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจกังวลว่าจะกลายเป็นคนหัวล้านได้ และเกิดเป็นความเชื่อต่างๆ ว่าถ้า…(ทำนั้น ทำนี่) แล้วจะทำให้หัวล้าน ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอพาผู้อ่านไปเปิดตำนานความเชื่อบางประการว่า สามารถทำให้ผมร่วงจนอาจหัวล้านได้จริง หรือเป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่า ถ้าจัดแต่งทรงผมบ่อยๆ เช่น ดัดผม ย้อมผมจะทำให้ผมร่วงความจริง อะไรที่มากเกินไปมักจะส่งผลเสียอยู่แล้ว การจัดแต่งทรงผมบ่อยๆ ก็เช่นกัน เพราะสารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทำผม ไม่ว่าจะเป็นยาย้อมผม ยาดัด หรือเจลจัดแต่งทรงผม อาจจะไปขัดขวางการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมแห้ง แตกปลาย หรือเกิดอาการแพ้สารเคมีจนหลุดร่วงง่าย แต่ไม่มีผลทำให้หัวล้านหากเราหยุดใช้สารเคมีเหล่านั้น แล้วกลับมาบำรุงเส้นผมของเราให้ดีขึ้นเหมือนเดิมเชื่อว่า ถ้าใส่หมวกบ่อยๆ จะทำให้หัวล้านความจริง การสวมหมวกจะทำให้หัวล้าน ถ้าเราใส่หมวกที่แน่นเกินไปบ่อยๆ เพราะเลือดอาจจะไปเลี้ยงรากผมไม่สะดวก และทำลายรูขุมขนของเส้นผม หรือถ้าสวมหมวกขณะที่เหงื่อเยอะเป็นเวลานานๆ ก็สามารถทำให้หนังศีรษะอับชื้น และเกิดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของผมร่วงได้ อย่างไรก็ตามการสวมหมวกแบบปกติทั่วไปไม่สามารถทำให้หัวล้านได้ เชื่อว่า ถ้าเช็ดผมแรงเกินไปจะทำให้ผมร่วงความจริง การเช็ดผมอย่างรุนแรงขณะที่ผมเปียก มีส่วนทำให้เส้นผมหลุดร่วง โดยเฉพาะเส้นผมเส้นเล็กๆ ที่เพิ่งขึ้นใหม่มาทดแทน เพราะผมของเราจะอ่อนแอที่สุดเมื่อเปียกน้ำ ดังนั้นควรเช็ดศีรษะอย่างเบามือ หรือใช้การซับแทนการเช็ดแบบถูอย่างรุนแรงจะดีต่อเส้นผมมากกว่าเชื่อว่า ถ้าหนังศีรษะหรือผมมันจะทำให้ผมร่วง ดังนั้นจึงควรสระผมบ่อยๆ ความจริง เมื่อหนังศีรษะมัน ไขมันที่ถูกสร้างจากต่อมไขมันบริเวณรากผม จะจับตัวกันและไปเบียดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงรากผม ซึ่งสามารถทำให้รากผมขาดเลือดและไม่แข็งแรงจนหลุดร่วงได้ อย่างไรก็ตามหากคนที่มีลักษณะผมมันอยู่แล้วแก้ปัญหาด้วยการสระผมบ่อยๆ ก็จะช่วยลดการหลุดร่วงได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีลักษณะผมแห้ง การสระผมบ่อยๆ จะกระตุ้นหนังศีรษะให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ผมร่วงได้ ดังนั้นความถี่ในการสระผมควรขึ้นอยู่กับสภาพของหนังศีรษะ และกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนมากกว่าเชื่อว่า ถ้ารวบผมตึง หรือถักเปียบ่อยๆ จะทำให้ผมร่วงความจริง การใช้ยางรัดผมจนแน่นเกินไปไม่ว่าจะรวบหรือถักเปีย อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเฉพาะที่กับหนังศีรษะได้ ซึ่งสามารถทำให้รากผมได้รับความกระทบกระเทือน หรือเนื้อเยื่อรอบๆ ที่ยึดรากผมถูกทำลาย จึงมีส่วนทำให้ผมเปราะหักง่ายและหลุดร่วงได้เหมือนกันเชื่อว่า ถ้าท้องแล้วห้ามกินเผ็ดเพราะจะทำให้ลูกหัวล้านความจริง พันธุกรรมของพ่อแม่จะเป็นตัวกำหนดสภาพเส้นผมของลูก ซึ่งการกินเผ็ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ลูกหัวล้านได้ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารของแม่ โดยอาจจะทำให้ปวดท้องหรืออาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ผู้หญิงหลังคลอดอาจจะผมร่วงมากจนสังเกตได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำความรู้จักอาการผมร่วงที่ผิดปกติตามธรรมชาติคนเราจะผมร่วงไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน หากมากกว่านั้นและมักร่วงเฉพาะบริเวณ เช่น กลางศีรษะหรือร่วงเป็นหย่อมถือว่าผิดปกติ สาเหตุหลักของผมร่วงร้อยละ 90 มาจากพันธุกรรม อายุที่เพิ่มมากขึ้นและฮอร์โมน(โดยเฉพาะฮอร์โมนผู้ชายที่ส่งผลให้ผมร่วงมากกว่าผู้หญิง) ขณะที่ร้อยละ 10 ที่เหลือมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคผิวหนังบางชนิด(เชื้อราบนหนังศีรษะ สะเก็ดเงิน) การใช้ยาเพื่อรักษาโรค (มะเร็ง เบาหวาน ไทรอยด์) หรือความเครียด อย่างไรก็ตามเราสามารถป้องกันผมร่วงด้วยการรับประทานอาหาร ที่มีส่วนต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม เช่น อาหารที่มีวิตามินบี 2 อย่างถั่วเหลือง ปลา ผักใบเขียวหรือข้าวกล้อง ทั้งนี้สำหรับปัจจุบันการรักษาสามารถทำได้โดยการกินยา ทายาหรือผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผม แต่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 173 ความงามของผู้ชาย

สารพันปัญหาที่อาจจะมาจากสภาพแวดล้อม  เช่น แดดร้อนจนส่งผลให้หน้าไหม้ผิวคล้ำเสีย  หรือจากการทำงานหนักจนเกิดความเครียดที่นำไปสู่การมีริ้วรอยก่อนวัย  หรือจากวิถีชีวิตประจำวันเช่น  การดื่มน้ำน้อยจนทำให้ผิวแห้งแตก  ล้วนแก้ไขได้ด้วยการดูแลตัวเองให้มากขึ้น  แน่นอนเราควรดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์  หรือการออกกำลังกาย  อย่างไรก็ตามการดูแลตัวเองจากภายนอกสู่ภายในก็ใช่ว่าจะมีความสำคัญน้อยกว่า บรรดาผู้หญิงทั้งหลายจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้าบำรุงผิวด้วยเครื่องสำอางต่างๆ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นการดูแลตัวเองจากมลภาวะต่างๆ อีกทางหนึ่ง แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ  จะสามารถใช้เครื่องสำอางเพื่อดูแลรักษาภาพลักษณ์ภายนอกบ้างได้หรือไม่ ผู้ชายเริ่มใช้เครื่องสำอางผู้ชายบางส่วนได้ตอบคำถามนี้แล้วด้วยการปลุกกระแส   Men’s grooming  ขึ้นมา  เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า  Metrosexual  ที่ทำให้นึกถึงภาพผู้ชายเจ้าสำอางชอบแต่งตัวเนี้ยบ  แต่สำหรับ  Men’s grooming  นั้นต่างออกไป  โดยหากแปลตามพจนานุกรมแล้วการ  Grooming  คือ  แต่งตัว  ดูแล  ตกแต่ง  ทำให้สะอาด ซึ่งเมื่อนำมารวมกันก็จะหมายถึงผู้ชายที่ดูแลตัวเองและทำให้ตัวเองดูดี  โดยไม่จำเป็นต้องเนี้ยบเท่ากับกลุ่มแรก  ดังนั้นเราก็ไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นหนุ่มๆ  พากันลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง  เพราะยุคสมัยนี้ความงามกับผู้ชายได้กลายเป็นของคู่กันไปแล้ว จากกระแส  Men’s grooming  ทำให้มีผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ชายออกวางจำหน่ายมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นครีมล้างหน้าพร้อมบำรุงครบสูตรในขั้นตอนเดียว  โรลออนระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชายที่มักจะมีเหงื่อใต้วงแขนมากกว่าผู้หญิง  น้ำหอมกลิ่นเฉพาะสำหรับผู้ชายที่มักแสดงถึงความสุขุมและมาดแมน  หรือสำหรับผู้ชายที่รักการออกกำลังกายก็ยังมีผลิตภัณฑ์เพื่อสลายไขมันสร้างกล้ามหน้าท้อง  หรือแม้แต่ครีมบำรุงอกให้เนื้อแน่น  ซึ่งจุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ชายมักเน้นความรวดเร็ว  ไม่ต้องใช้เวลามากนักในการทาครีมแต่ตอบความต้องการได้ครบทุกอย่าง  แท้จริงหญิงชายไม่ต่างกันแม้โครงสร้างผิวผู้ชายกับผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน ในรายละเอียดอันเนื่องมาจากพันธุกรรมทางเพศและฮอร์โมนเพศ  แต่โครงสร้างหลักของผิวหนังมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะไม่แตกต่างกันจนถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางแบ่งแยกชายหญิง  องค์ประกอบในเครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดผิว แชมพูสระผม ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ครีมลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งผสมสารคอลลาเจน วิตามินอี และอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในหลักการเดียวกัน เพื่อบำรุง ซ่อมแซม และปกป้องผิวหนัง ครีมโฟมล้างหน้าไม่ว่าจะสำหรับผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ต้องประกอบด้วยสารทำความสะอาด ดังนั้นหลักการตลาดในการประชา สัมพันธ์เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายจึงมักเน้นหนักที่ภาพลักษณ์สินค้าความเป็น ผู้ชาย เช่น กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ภาชนะบรรจุสีหนักแน่น และตรอกย้ำคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่ ‘การแก้ไขจุดบกพร่อง’ (Corrective cosmetics) มากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป เพื่อเป็นการดึงจุดขายของสินค้าแยกจากเครื่องสำอางผู้หญิง แต่ตามข้อเท็จจริงในสูตรตำรับและในหลักวิชาการแล้วไม่มีความแตกต่างสำหรับเครื่องสำอางโดยสรุปแล้ว “ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่ควรจะมีเพศ ควรจะใช้ได้ทั้งชายและหญิง ให้คุณประโยชน์เท่ากันในชายและหญิง ผู้ชายที่ดูแลผิวพรรณให้สะอาดตั้งแต่ผิวหน้าจรดปลายเท้าได้ รวมถึงเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ย่อมจะดูดีแน่นนอนเมื่อเทียบกับผู้ชายที่ผิวหนังแลดูหยาบกร้าน ขาดการบำรุงหรือขาดการดูแล เป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำไปที่ผู้ชายในยุคปัจจุบันจะหันมาเอาใจใส่ผิวพรรณร่าง กายตนเองมากขึ้นกว่าในอดีต”  (รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)-----------------------------------------------------------------เทคนิคเล็กน้อยในการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย1. ควรซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ 2. มีเลขที่ จดแจ้งผลิตภัณฑ์  10  หลัก ตามกฎหมายเครื่องสำอาง3.มีฉลากภาษาไทยกำกับ ซึ่งอย่างน้อยควรระบุข้อความ เช่น ชื่อเครื่องสำอางหรือชื่อทางการค้า ส่วนผสมในการผลิต วิธีการใช้ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ปริมาณสุทธิ หรือเลขที่แสดงครั้งที่ผลิต 4. ควรซื้อเครื่องสำอางบรรจุอยู่ในภาชนะหรือหีบห่อที่สภาพดี รวมทั้งมีการเก็บรักษาอย่างดี 5. อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 172 นอนเพื่อความงาม

มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้น ที่ระบุว่า การพักผ่อนด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้น มีส่วนช่วยในเรื่องความอ่อนเยาว์ของใบหน้าจริงๆ เราทุกคนก็คงรู้ตัวดีอยู่แล้วว่า ถ้าคืนไหนที่เรานอนไม่พอ หรือนอนแบบหลับๆ ตื่นๆ  เช้ามาแทบไม่อยากมองหน้าใคร  เพราะหน้าตาจะดูทรุดโทรมมาก แต่ถ้าได้นอนหลับสนิทผลที่ได้จะเป็นเรื่องตรงกันข้าม ความสดชื่นจะมาเยือนทั้งใบหน้าและร่างกายวิทยาศาสตร์การนอน    การนอนหลับโดยทั่วไป หมายถึงสภาวะที่ไม่รับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม โดยปกติจะไม่เคลื่อนที่ ยกเว้นสัตว์บางชนิด เช่น ปลาโลมา จะนอนหลับไปพร้อมๆ กับการว่ายน้ำได้ ในการนอนหลับสมองจะไม่ได้หยุดทำงาน แต่ในการนอนจะมีลักษณะการหลับสองแบบ คือ ช่วงที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งสามารถพบได้ในสัตว์ทุกชนิด สลับกับช่วง non REM ซึ่งจะเป็นการนอนหลับแบบที่เรียกว่า หลับสนิท หลับลึก    จากการศึกษาการนอนหลับในสิ่งมีชีวิต พบว่า สัตว์ขนาดเล็กใช้เวลานอนมากกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจะมีกระบวนการเผาผลาญพลังงานที่สูงกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งในกระบวนการเผาผลาญแต่ละครั้งจะมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นจำนวนมาก สารอนุมูลอิสระจะทำลายเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย  เจ้าสัตว์ตัวน้อยจึงต้องใช้เวลานอนให้มากเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้ปกติ คนเราก็เช่นเดียวกัน ธรรมชาติในการนอนอยู่ที่ระยะ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่นอนหลับ  แต่จะเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับสนิท หรือ non REM เท่านั้น  สำหรับการหลับในช่วง  REM จะไม่เกิดขึ้น*     ดังนั้นการนอนให้เพียงพอและมีช่วงการนอนหลับสนิทที่ยาวนาน จะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ผิวหนังด้วย เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการนอน•    การนอนหลับที่ดีจะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง•    ผู้ที่นอนในห้องที่มีแสงสว่างมากมีแนวโน้ม ที่จะมีน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ•    การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด •    การนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำหน้านานๆ ทําให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคาง ที่เรียกว่า sleep line•    หนุนหมอนใบเล็กรองใต้คอ(ในท่านอนหงาย) แทนการหนุนหมอนสูง ช่วยแก้อาการปวดกระดูกคอ•    การนอนหลับระยะสั้นๆ ในระหว่างวันมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้มากขึ้น•    สถิติของการเกิดอุบัติเหตุจำนวนมาก มีสาเหตุมาจากขาดการนอนหลับและความเมื่อยล้า สูงกว่าการเกิดอุบัติเหตุจากการเมาสุรา* วิทยาศาสตร์การนอนหลับ ข้อมูลจาก  http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=40529

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 หินสี: เชื่อก็ต้องรู้ ดูก็ให้เป็น (ตอนที่ 3)

How to ร้อยหินสี ชิลๆ ใส่เอง เรารู้จักหินสี และการเลือกซื้อหินสีกันมาบ้างแล้ว ในตอนนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่อง How to ร้อยหินสี ชิลๆ ใส่เอง แรงบันดาลใจก็มาจากเห็นสร้อยข้อมือหินสีที่วางขายตามท้องตลาด ที่ล้วนแต่ประโคมหินสีชนิดต่างๆ หลากหลายทั้งสีสัน เกรด(คุณภาพของหินสี) และเครื่องประดับเสริมอื่นๆ เหล่านี้แหละที่ทำให้สร้อยข้อมือหินสีมีราคาแตกต่างกัน ฉลาดซื้อเข้าใจค่ะ บางอารมณ์ผู้บริโภคก็แอบคิด “อยากได้แต่แพง” “แบบ design ไม่เห็นสวย”  “น่าจะเพิ่มนี่นิด โน้นหน่อย” บลาๆๆๆ  ทางเลือกที่จะมาแนะนำ คือ ทำเองค่ะ  หลายคนคงเคยเห็นคนร้อยใส่เองบ้าง ทำแจกเพื่อนบ้าง แบ่งขายให้คนรู้จักบ้าง หรือบ้างก็เลยเถิดไปจนวางขายแบบจริงจัง นั่นก็เพราะเขาเหล่านั้นรู้จักทั้งแหล่งวัตถุดิบ และมีความชำนาญในวิธีการทำแล้ว ทุกอย่างเลยง่าย แต่จริงๆ แล้วทุกคนก็สามารถเรียนรู้ได้ค่ะ และสิ่งที่ฉลาดซื้อจะนำเสนอต่อไปนี้ จะเป็นการทำเองในแบบที่ “แตกต่าง” จากท้องตลาด เคยสงสัยบ้างไหมคะว่า ทำไมสร้อยข้อมือหินสีต้องเอาลูกปัดหินสีมาร้อยเรียงๆ ต่อกันไปทั้งเส้นด้วย(จริงๆ แล้ว หินสีทั้งเส้นมันทำให้สร้อยข้อมือมีราคาแพงเกินไป) หรือมีลูกปัดหินสีมากกว่า 50%  ทั้งๆ ที่การใส่หินสีตามความเชื่อ หรือเสริมดวงนั้น ขอให้มีหินสีที่เราเชื่ออยู่บนสร้อยข้อมือไม่กี่เม็ดก็พอ ซึ่งจะทำให้สามารถออกแบบให้สวยงามได้ดีกว่าร้อยต่อกันไปทั้งเส้น อีกอย่างการใส่สร้อยข้อมือหินสีก็เป็นเพียงแฟชั่น ตามกระแสนิยม ไม่ต้องทุ่มทุนสร้างมากก็ได้  การร้อยสร้อยข้อมือหินสีด้วยตัวคุณเองเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ฉลาดซื้อจะแนะนำด้วยว่าจะสามารถใช้อะไรทดแทนลูกปัดหินสีได้บ้าง เพื่อเป็นการ Share Ideas! ที่แตกต่างกับท้องตลาดแก่ผู้ที่สนใจและสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ด้วยค่ะ  มาร้อยกันเลย ถ้าการร้อยสร้อยข้อมือหินสีเปรียบเสมือนเป็นการทำอาหาร ลูกปัดหินสีคงเป็นวัตถุดิบหลักของเรา ซึ่งเราสามารถหาแหล่งซื้อลูกปัดหินสีได้หลายที่ ตามกระแสนิยมช่วงนี้แหล่งใหญ่ก็น่าจะเป็นที่ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเปิดเฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์ พิกัดร้านขายหินสีอยู่ใกล้ๆ กับร้านภูฟ้า(บริเวณทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีกำแพงเพชร) และสำเพ็ง ซึ่งเป็นที่ทุกๆ คนน่าจะไปกันถูก ส่วนที่ที่จะมีขายหินสีแบบยั่งยืนกว่าช่วงฮิตๆ ในตอนนี้ก็น่าจะเป็นที่ตึก Jewelry Trade Center ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสีลม อยู่เลยวัดแขกมาหน่อย ข้างๆ โรงแรมฮอลิเดย์อิน   ส่วนที่อื่นๆ ก็น่าจะมีเช่นกันค่ะ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกในการเดินทางนะคะ  ลูกปัดหินสีมีหลายเกรด มีทั้งแบบหินแท้ หินอัด หินสังเคราะห์ สำหรับความหมายและความเชื่อต่างๆ ของหินสีนั้น สอบถามกันเองได้หน้าร้านเลยค่ะ นอกนั้นก็เป็นเครื่องปรุง เอ๊ย วัสดุอื่นๆ ค่ะ ที่จะนำมาแต่งเสริมเติมแต่งให้สร้อยข้อมือหินสีมีความสมบูรณ์และมีเอกลักษณ์ เนื่องจากเราทำเองค่ะ   อุปกรณ์พื้นฐาน ในการทำสร้อยข้อมือลูกปัดหินสี 1.       ลูกปัดหินสี                                                         2.       เอ็นใส/เอ็นยางยืด 3.       อะไหล่เครื่องประดับ 4.       ตะขอ/ตัวล็อค เช่น ตะขอก้ามปู   แป๊กระดุมกด 5.       ตัวปิดปม 6.       คีม เข็มและอุปกรณ์อื่น ๆ 7.       วัสดุทดแทน ลูกปัดหินสี      Tips ในการร้อยสร้อยข้อมือลูกปัดหินสี 1.      เอ็นใส สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ใช้เอ็นเบอร์ 0.30 mm. หรือเบอร์ 30 มาก่อนค่ะ ไม่ใหญ่เกิน ไม่เล็กเกิน มีแบบม้วนใหญ่ยาว 100 เมตร ม้วนเล็กยาว 10 เมตร ค่ะ สำหรับเอ็นยางยืด ให้ใช้หลายเส้นหน่อย เพื่อความแข็งแรงค่ะ ตัดขนาดตามข้อมือและอย่าลืมเผื่อสำหรับการผูก 2-3 ทับ 2.      ตะขอ มีหลายแบบ 1)ตะขอก้ามปู กับโซ่ปรับระดับ สามารถเลื่อนตะขอก้ามปูไปเกี่ยวห่วงในโซ่ได้หลายตำแหน่ง สร้อยที่ได้จึงปรับความยาวได้ 2)กระดุมกด 3)toggle หรือตะขอตัว OI 4)ตะขอก้ามปูแบบกลม       3.      ห่วงโลหะ มีหลายขนาด หลายสีเช่นกัน มีรูปทรง(ที่เรารู้จัก)สามแบบค่ะ กลม รี และสามเหลี่ยม แนะนำห่วงกลมขนาด 5 mm.- 8mm. น่าจะกำลังเหมาะสม 4.      ตัวปิดปม เวลาที่เราร้อยสร้อย เราต้องผูกปลายเอ็นไม่ให้สร้อย และลูกปัดหลุด ตัวปิดปมเอาไว้ปิดปมเอ็นที่เราผูกตรงปลายของสร้อย จากนั้นบีบตัวปิดปม ปมก็ซ่อนอยู่ข้างในค่ะ และที่ตัวปิดปมยังมีห่วงโค้งเอาไว้คล้องกับตะขอได้   5.      เม็ดบีบ เป็นโลหะมักจะใช้บีบทับปมเอ็น เราชอบใช้ในงานที่ร้อยด้วยลวดสลิง   เอาล่ะมาถึงตรงนี้ ฉลาดซื้อคาดว่าทุกคนคงเกิด Ideas ไปไม่มากก็น้อยนะคะ ลองลงมือทำซิคะ แล้วคุณจะเห็นว่า หินสีไม่ต้องมากมายก็ทำให้สร้อยข้อมือของคุณสวยเก๋ได้ แถมยังไม่เหมือนใครด้วย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 170 หินสี: เชื่อก็ต้องรู้ ดูก็ให้เป็น (ตอนที่ 2)

ความเชื่อถือ และการใช้อัญมณีของคนไทยในสมัยโบราณ เริ่มมีมาแต่สมัยใดยังไม่มีหลักฐานกำหนดแน่ชัด เราอาจทราบเรื่องอัญมณีของไทยในอดีต ได้จากวรรณคดีไทย บางเรื่อง บางตอน คนไทยเริ่มรู้จักและใช้อัญมณีไม่กี่ชนิด ที่มีการอิทธิพลมากๆ ก็ได้ แก่ นพรัตน์ หรือแก้วเก้าประการ ได้แก่ 1) เพชร Diamond 2) ทับทิม  Ruby 3) มรกต Emerald 4) บุษราคัม Yellow - Sapphire or Topaz*  5) โกเมน Garnet  6) ไพลิน  Blue Sapphire 7) ไข่มุก Pearl or Moonstone 8) เพทาย Zircon 9) ไพฑูรย์ Chrysobery Cat's eye (*ในสมัยโบราณ คำว่า บุษราคัม จะหมายถึง โทแพซ แต่เมื่อเราพบว่า พลอยสีเหลืองของจันทบุรี ซึ่งเป็นแซปไฟร์สีเหลือง (Yellow Sapphire) มีคุณภาพเหนือกว่า เราจึงใช้ Yellow Sapphire แทน) ส่วนหินสี อย่าง อเมทิสต์(หินสีม่วง) เทอร์ควอยซ์(หินสีเขียวไข่กา) เริ่มมาเป็นที่นิยมกันในภายหลัง เรื่องราคา หินสีพวกนี้บางประเภทที่หายากและเป็นของแท้ ก็จะมีราคาค่อนข้างสูง นำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่กำลังฮิตๆ กัน จะเป็นของทำเทียม เลียนแบบ หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แบบเกินจริง รศ.ดร.เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหินและอัญมณี ได้ให้ความรู้ในการแยกหินสีของจริง-ของปลอม เนื่องจากหินสีที่มีอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ มีทั้งหินสีธรรมชาติที่เป็นของจริง หินสีปลอมที่ทำจากแก้ว เรซิ่น และพลาสติก ซึ่ง รศ.ดร.เสรีวัฒน์ ให้ข้อสังเกตว่า มีวิธีเบื้องต้นสำหรับตรวจสอบดังนี้   1. ใช้ลูปส่องพระ ขนาดกำลังขยาย 10 เท่าส่องเข้าไปที่เม็ดหิน หากเป็นหินปลอมที่ทำขึ้นจากแก้วหรือเรซิ่น ภายในจะเต็มไปด้วยฟองอากาศขนาดเล็กเต็มไปหมด ที่เกิดจากกระบวนการหล่อของโรงงานที่สามารถยืนยันได้ทันทีว่าหินนี้เป็นของปลอม 2. เมื่อนำไปตากแดดแล้วนำมาสัมผัส หรือนำมาอังไว้ที่แก้ม หินสีธรรมชาติจะยังคงความเย็นอยู่ ในขณะที่แก้วหรือเรซิ่นจะร้อน เพราะมีคุณสมบัติในการดูดความร้อน 3. ดูเส้นไหล หินปลอมจากพลาสติกหรือแก้วจะมีเส้นไหล ที่มีลักษณะเหมือนเป็นลายน้ำเชื่อมที่เกิดจากการหลอมของพลาสติก ซึ่งจะไม่พบในหินแท้จากธรรมชาติ 4. ดูแนวเชื่อม ถ้าหากมีแนวเชื่อมของเม็ดหินแสดงว่าเป็นหินปลอมที่เกิดจากเครื่องหล่อที่ไม่มีประสิทธิภาพ 5. ดูลวดลาย หากลวดลายหรือตำหนิบนหินมีลักษณะเหมือนๆ กัน หรือตรงกันทุกจุด ก็สันนิษฐานได้ทันทีว่ามาจากโรงงาน เพราะหินในธรรมชาติแทบจะไม่มีก้อนไหนเลยที่มีลักษณะเหมือนกัน 6. ราคาอาจใช้เทียบไม่ได้ เพราะเกิดจากความพึงพอใจระหว่างคนขายคนซื้อ และเครดิตของร้านค้า 7. น้ำหนัก ใช้เทียบไม่ได้ เพราะแก้วบางชนิดมีน้ำหนักใกล้เคียงกับหินสีของแท้ 8. วิธีสุดท้ายที่ง่ายที่สุด สำหรับการแยกหินสีแท้กับพลาสติก คือ การนำไปเผาไฟ แต่อาจไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ค้า ทั้งนี้ เราสามารถหินย้อมสีได้ เพื่อเปลี่ยนสีพลอยถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักอัญมณีใช้สำหรับการปรับปรุงคุณภาพพลอยที่มีการทำสืบต่อกันมานานแล้วตั้งแต่อดีต เพื่อให้พลอยหรืออัญมณีมีสีที่สวยขึ้น ใสขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น หรือทำให้มีสีสันลวดลายแบบที่ต้องการซึ่งนิยมทำกันมากทั้งในพลอยธรรมชาติ และพลอยสังเคราะห์ จนบางครั้งผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถแยกได้ว่าอันไหนเป็นของจริง หรืออันไหนเป็นของปลอม การใช้สารเคลือบสี หรือการย้อมสีซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดกับพลอยสังเคราะห์ที่ทำจากแก้วหรือเรซิ่นให้ดูมีสีสันเหมือนของจริง โดยการใช้สีเคมีย้อมเข้าไปที่ตัวพลอย ให้เม็ดสีเข้าไปเคลือบที่บริเวณช่องว่างและผิวหน้าของเม็ดพลอย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสีก็จะค่อยๆ หมองและหลุดลอกในที่สุด คราวหน้าไหนๆ ก็ถือว่าเป็นเครื่องประดับที่กำลังแรง เราจะชวนสาวๆ มาทำ DIY สร้อยข้อมือจากหินสีราคาไม่แพง แต่งดงามกันนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 หินสี: เชื่อก็ต้องรู้ ดูก็ให้เป็น (ตอนที่ 1)

สาวน้อยสาวใหญ่เมื่อมีแฟชั่นเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ ฯลฯ ก็ไม่วายจะต้องหามาใช้เพื่อเกาะกระแสตามๆ กันไป ความจริงแล้วสาวๆ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องประดับร่างกาย เพื่อเสริมสร้างความสวยงามนั่นเอง ซึ่งถ้านับรองจากโทรศัพท์ถือมือแล้วก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ 6 ของบรรดาสาวๆ เลยทีเดียว สำหรับเทรนด์แรงประจำปี 2557 จนต่อเนื่องมาปีนี้ คือ “หินสี”  ที่มีผู้คนมากมายหลากหลายวงการพากันหามาใส่กัน อาจมีอิทธิพลมาจาก “ความเชื่อ” ในการสวมใส่เพื่อเสริมดวง นำโชค แก้ปีชง ตามที่แต่ละคนได้หาข้อมูลมา ฉลาดซื้อขอเกาะกระแสเรื่องนี้ด้วย แต่จะเสนอมุมมองที่ว่า หินสี: เชื่อก็ต้องรู้ ดูก็ให้เป็น   ความรู้เกี่ยวกับหิน หินสี ที่เราหามาใส่กันนั้นมันมาจากไหน หิน(rock)  คือ มวลสารที่เป็นของแข็ง ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเปลือกโลกอย่างหนึ่ง จะแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะการเกิด ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร ซึ่งหินทั้ง 3 ชนิดนี้ อาจเปลี่ยนแปลง จากหินชนิดหนึ่งไปเป็นหินอีกชนิดหนึ่งได้ หินทุกชนิดต้องประกอบด้วยแร่ อาจมีแร่เพียงชนิดเดียว เรียกว่า หินแร่เดี่ยว (monomineralic rock) เช่น หินปูน ประกอบด้วยแร่แคลไซต์ (calcite) หินควอร์ตไซต์ (quartzite) ประกอบด้วยแร่ควอตซ์ (quartz) แต่หินส่วนมาก มักประกอบด้วยแร่มากกว่าหนึ่งชนิดดังกล่าว เรียกว่า หินแร่ประสม (polymineralic rock) เราจึงเห็นหินมีสีสันต่างๆ ตามแร่ธาตุที่แตกต่างกัน และหินสีที่สวยๆ คุณภาพดีก็คือ “อัญมณี” ที่มีราคานั่นเอง   “จุดกำเนิดหินสีมีทั้งแบบที่เป็น “หิน” และแบบที่เป็น “แร่” ซึ่งหินสีธรรมชาติทั้งหมดล้วนเกิดจากจุดกำเนิดเดียวกัน คือกระบวนการทางธรณีวิทยาใต้ชั้นเปลือกโลก แหล่งเก็บรวมรวมแร่ธาตุที่จะปะทุตัวขึ้นมาในรูปแบบลาวาของภูเขาไฟ หรือรูปแบบอื่นๆ ก่อนจะแข็งตัวกลายเป็นหินอัคนี ที่จะสามารถแตกกลุ่มหินออกได้อีกเป็น 2 แบบคือ “หินชั้น” ที่เกิดจากทับถมกันของหินประเภทต่างๆ เป็นเวลานานจนเกาะตัวเป็นเนื้อเดียวกัน และหินแปรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหินอัคนีหรือหินชั้นแบบเดิม จากอุณหภูมิและความดันสูงๆ จนเกิดเป็นหินชนิดใหม่ที่มีโครงสร้างทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหินสีในปัจจุบันสามารถเป็นได้ทั้งหินอัคนี หินชั้น และหินแปร” (รศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักธรณีวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านหินและแร่) หินสีที่ก่อกำเนิดจากหินอัคนี พบได้จำพวกแก้วธรรมชาติ ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่อง สปิเนล ควอตซ์ แบริล คริสโซแบริล เพอริโด ทัวร์มาลีน อาความารีน โทปาซ เพทาย(เซอร์คอน) หินสีที่ก่อกำเนิดจากหินแปร พบได้จำพวก ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่อง สปิเนล ควอตซ์โกเมนชนิดต่างๆ แบริล คริสโซแบริล เพอริโด ทัวร์มาลีน หยกเจดไดท์ หยกเนฟไฟรต์ ลาปิสลาซูลี ไอโอไลท์ ซอยไซท์ หินสีที่ก่อกำเนิดจากหินชั้น(หรือหินตะกอน) พบได้จำพวก ทับทิม ไพลิน บุษราคัม เขียวส่องควอตซ์ สเปสซาร์ไทต์(โกเมนสีส้ม) แบริล คริสโซแบริล ทัวร์มาลีน โทปาซ สปอดูมีน อะพาไทต์ มรกต หินสีที่ก่อกำเนิดจากน้ำบนผิวโลก ได้แก่ โอปอ เทอร์คอยซ์ มาลาไคท์ โรโดโครไซท์ อะมีทิสต์ อาเกต   ความต่างของอัญมณีกับหินสี อัญมณีส่วนใหญ่เป็นแร่ เราจึงสามารถเรียนรู้ และเข้าใจถึงโครงสร้าง และคุณสมบัติในด้านต่างๆ ของอัญมณีได้อย่างค่อนข้างสะดวก แร่ทุกชนิดจะจัดแบ่งแยกจากกันได้ โดยลักษณะโครงสร้างทางผลึก และส่วนประกอบทางเคมี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก เนื่องจากว่าจะไม่มีแร่ หรือ อัญมณี 2 ชนิดใด ที่มีลักษณะโครงสร้างทางผลึกและองค์ประกอบทางเคมีที่เหมือนกันทุกประการ คือ อาจมีความแตกต่าง ในคุณสมบัติทางกายภาพ ทางแสง และทางเคมี ดังนั้นจึงสามารถใช้ความแตกต่างในคุณสมบัติดังกล่าว มาช่วยในการตรวจจำแนกชนิดและคุณค่าราคาของอัญมณีต่างๆ ได้ แตกต่างจาก “หินสี”  ที่มีความไม่แน่นอนในส่วนประกอบ จึงจัดให้เป็น “ของคุณภาพต่ำ” หรือ “อัญมณีคุณภาพต่ำ”  ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพลอยแต่เป็นพลอยแฟชั่น ที่ไม่มีคุณค่าทางการลงทุนเหมือน เพชร หรือพลอยน้ำดี  เพราะหินสีส่วนมากจะมีเนื้อขุ่นและมีมลทินอยู่ภายใน ทำให้หินสีมีราคาถูกมาก(ย้ำถูกมาก) เมื่อเทียบกับอัญมณีชนิดอื่นๆ   ในตอนถัดไป เราจะมาต่อกันด้วยเรื่อง “ความเชื่อ” และ “การเลือก” หินสีแบบคนฉลาดซื้อกันนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 168 เปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับการล้างหน้า

ใบหน้าคนเรานั้นอาจไม่ได้มีความสวยงามตามคตินิยมกันทุกคน แต่การที่มีใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา หรือหน้าใสๆ ก็เป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไปได้ ดังนั้นการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อให้มีใบหน้าสดใส จึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่หลายคนก็มุ่งมั่นกับการล้างทำความสะอาดหน้ามากเกินไป จนเกิดปัญหาตามมา ฉลาดซื้อขอทบทวนเรื่องหลักการพื้นฐานในการล้างหน้าอีกสักครั้ง รวมทั้งปรับเรื่องความเชื่อที่เพี้ยนๆ ของคนทั่วไปเกี่ยวกับการล้างหน้า   ความเชื่อ  ครีมหรือโฟมล้างหน้า ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะใช้ไปนานๆ จะแพ้ เรื่องจริง   เราสามารถใช้ยี่ห้อเดียวกันต่อเนื่องไปได้ ถ้าใช้แล้วถูกใจ หากไม่แพ้แต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยี่ห้อ ซึ่งจะเสี่ยงมากกว่า ความเชื่อ  หน้ามันจึงต้องล้างหน้าบ่อยๆ ความจริง ยิ่งล้างบ่อย หน้าจะยิ่งมันเพราะเมื่อน้ำมันที่ผิวถูกล้างออกไป ต่อมไขมันจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาชดเชย ยิ่งทำให้หน้ามันมากขึ้น ความเชื่อ ล้างหน้าจนผิวตึง คือสะอาดหมดจด ความจริง ผิวตึงมากๆ หลังล้างหน้า เกิดจากค่าพีเอชที่สูงในสบู่หรือโฟมล้างหน้า อาจมีผลทำให้ผิวระคายเคือง ผิวลอกเป็นขุย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีเอชเหมาะสม ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึงเกินไปหลังล้างหน้า   ความเชื่อ  น้ำเกลือล้างแผล ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า ช่วยรักษาสิว ความจริง น้ำเกลือไม่ได้มีส่วนช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว มันได้ผลเท่ากับการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดธรรมดาๆ ความเชื่อ  ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเล็กลงได้ถาวร ความจริง   การที่รูขุมขนเล็กลงหลังล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเป็นผลเพียงชั่วคราว สักพักรูขุมขนก็จะกลับมาเท่าเดิม   การล้างหน้าให้ถูกวิธี เพื่อใบหน้าสะอาดใส 1.ล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า 1 ครั้ง และอาบน้ำตอนค่ำก่อนนอนอีกครั้ง เราไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง หรือคนที่ผิวมันอยู่แล้ว ผิวจะยิ่งมันมากขึ้น แต่ก็อาจเพิ่มเติมในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวหน้าสกปรก เช่น มีเหงื่อออกมากหลังเล่นกีฬา ทำงานบ้าน ทำสวน เป็นต้น 2.ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่าพีเอชเหมาะสม เช่น สบู่เด็ก คือล้างแล้วหน้าไม่ตึงเกินไป(เกิดจากสบู่ที่มีค่าพีเอชสูง) ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำอุ่น ผู้ที่ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นติดต่อกันนานๆ มีโอกาสมากที่ผิวหน้าจะหยาบกร้านได้  และไม่ควรขัดถูใบหน้าด้วยความรุนแรง 3.หลังล้างหน้า ควรซับผิวหน้าผ้าขนหนูอย่างเบามือ ไม่จำเป็นต้องขัดถูแรงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 งามตามเน็ต

เพราะเป็นยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้น ใครๆ ก็สื่อสารสาธารณะได้ และช่องทางการรับสื่อก็มากมายความจำเป็นจึงไม่ได้อยู่ที่เราจะหาข้อมูลได้ไหม แต่กลายเป็นว่าเราจะเลือกรับข้อมูลเป็นหรือไม่มากกว่า เรื่องสวยๆ งามๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ติดอันดับต้นๆ ในหัวข้อค้นหาจากเว็บท่าต่างๆ ทั้งกูเกิล ยาฮู ฯลฯ ซึ่งถ้าเลือกใช้ข้อมูลไม่เป็นก็อาจกลายเป็นเหยื่อจากการขายสินค้าอันตรายได้ หรือทดลองปฏิบัติในเรื่องที่อันตรายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครั้งนี้ขอยกตัวอย่าง งามตามเน็ต เรื่องการล้างหน้าที่มีการแชร์ต่อๆ กันมากๆ ซึ่งเข้าข่าย อันตรายโดยไม่รู้ตัว พอกหน้าด้วยแอสไพริน เอาล่ะสิ เรารู้กันดีว่า แอสไพริน เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ได้ผลดี และยังใช้ในการลดความเสี่ยงเรื่องเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้อีกด้วย แต่ใครกันนะ นึกไปได้ว่า แอสไพริน เอามามาร์กหน้าจะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ เรื่องมีอยู่ว่า แอสไพริน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า salicylic acid ที่ไปตรงกับชื่อยาที่อยู่หลังขวดยารักษาสิวพอดี งั้นเอามาพอกหน้าทาหน้าก็ได้ผลเหมือนกันสิ ซึ่งความจริงก็ต้องบอกว่า ได้ผล นะคะ แต่...คุณไม่ใช่นักเคมี ไม่ใช่เภสัชกร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าปริมาณเท่าไหร่ จึงจะได้ผลดีและไม่เกิดผลข้างเคียง           ในกลุ่มยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบของสิว ผู้ที่ปรุงยาต้องมีการกำหนดขนาดการใช้สารเคมีที่จะมีผลออกฤทธิ์โดยให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด และต้องผ่านการขึ้นทะเบียนยา เรียกว่ามีหลายขั้นตอนกว่าจะเป็นยาออกมาได้ การนำยาเม็ดแอสไพรินไปบดเป็นผงๆ แล้วมาทาหน้าเอง ผลที่ได้อาจไม่ใช่การรักษาสิว แต่กลายเป็นว่า หน้าจะพังเอา ดังนั้นนักเคมีสมัครเล่นทั้งหลายไม่ควรเสี่ยงจะดีกว่า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขาทำออกมาโดยผ่านการทดสอบผลข้างเคียงแล้วจะดีกว่า   ล้างหน้าด้วยซันไลต์ ใช่แล้ว ซันไลต์ ที่เป็นชื่อของน้ำยาล้างจานนั่นแหละ ในยูทูปซึ่งใครๆ ก็ใช่เป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้เฉพาะตัวตนนั้น เกิดมีน้องนางคนหนึ่งมารีวิวการใช้น้ำยาซันไลต์ ล้างหน้าเข้าให้ โดยบอกว่าได้ผลดีมาก หน้าไม่มันเลย(น้องคะ หน้านะคะ ไม่ใช่จาน) คืออันนี้ผู้ที่มีวิจารณญาณก็คงพอคิดกันได้ว่า มันเกินไป แต่ถ้าเกิดมีใครอุตริทำตามจะแย่เอา เพราะน้ำยานี้เขาออกแบบมาเพื่อขจัดความมันบนพื้นผิววัสดุที่ทนทานอย่างจาน ช้อน หม้อ ซึ่งเป็นพลาสติก อะลูมิเนียม สแตนเลส แต่กับใบหน้าของเราซึ่งแสนบอบบาง จะทำให้ผิวหน้าเยินแทนที่จะสวยได้ ล้างหน้าด้วยเบกกิ้งโซดา ตามสื่อออนไลน์ แนะนำให้มีการใช้เบกกิ้งโซดาหรือผงฟูมาล้างหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน เอิ่ม...รูขุมขนมันแค่เรื่องจิ๊บๆ บนผิวหน้า และวิธีเดียวที่ช่วยให้มันกระชับคือ การทำเลเซอร์เพื่อเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของผิวหนัง แค่เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถทำอะไรกับรูขุมขนได้เลย อาจทำให้รู้สึกเหมือนผิวนุ่มขึ้นนิดหน่อย (ร้านอาหารดังๆ เขาก็ใช้เบกกิ้งโซดาหมักหมู หมักเนื้อให้นุ่มอร่อย)   แต่เบกกิ้งโซดามีสมบัติเป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งจะกัดผิวหน้าให้บางลง โดยเข้าไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอก จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้หน้าเกิดอาการแพ้ โดยจะเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงอักเสบคัน และเกิดเป็นรอยดำตามมา แทนที่หน้าจะสวยกลับจะได้หน้าเสียไปแทน สรุปว่า ใบหน้าของเราท่านนั้นแสนจะบอบบาง อย่าได้ริเอาวัตถุเคมีที่มีการออกฤทธิ์รุนแรงมาใช้กับผิวเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยมาแล้ว เพราะขนาดผ่านมาตรฐานมาแล้ว บางผลิตภัณฑ์ยังก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน จะใช้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ต้องระมัดระวัง อย่าเสี่ยงหน้าพังโดยไม่จำเป็น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 166 ลบรอยสัก

เขียนเรื่องสักคิ้วไป ก็พบข้อมูลเรื่องการลบรอยสัก ซึ่งน่าสนใจ จึงขอหยิบมานำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่ประสงค์จะลบรอยสักออก หรือสำหรับคนที่ยังไม่มีรอยสัก แต่ถ้าคิดจะสักจะได้พึงคิดให้ดีก่อนว่าจะไปสักดีไหม เพราะถ้าสักไปแล้วไม่พอใจอยากเอาลวดลายออกจะได้รู้ว่า ต้องเจอกับอะไร วิธีลบรอยสัก วิธีลบนั้นมีหลากหลาย แบบโหดๆ บ้านๆ คือเปิดผิวหนังบริเวณรอยสัก เพื่อให้เอาสีที่ฝังในชั้นผิวออก เช่น การลบรอยสักด้วยยางพืช ลบด้วยปูนแดง การลบด้วยกรดหรือด่างหรือด้วยสารเคมีแรงๆ หรือแม้แต่ การสักสีที่ใกล้เคียงกับผิวทับลงไป หรือแบบมืออาชีพคือ การผ่าตัดเอาบริเวณที่สักออกแล้วเอาผิวหนังบริเวณอื่นมาปลูกถ่ายแทน ซึ่งรอยสักอาจหายไปได้  แต่ก็แทนที่มาด้วย รอยแผลเป็นแทน(การจางหายหรือภาวะแทรกซ้อนแต่ละวิธีก็มากน้อยต่างกัน) แต่ที่นิยมมากที่สุดเห็นผลดีสุด ณ ปัจจุบัน(เกิดแผลน้อยสุด)  คือ ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ ซึ่งถึงจะพูดแบบนี้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ อาศัยหลักการปล่อยพลังงานเลเซอร์ผ่านผิวหนัง(ที่มีรอยสัก) ด้านบนลงไปสู่เม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังด้านล่าง แล้วเลเซอร์จะทำให้เม็ดสีของรอยสักนั้นแตกออก จากนั้นเม็ดเลือดขาวของร่างกายก็จะมาเก็บเม็ดสีที่แตกนั้นไป โดยที่ผิวหนังด้านบนนั้นยังปกติและปลอดภัย เครื่องเลเซอร์ที่มีใช้ในเมืองไทย ส่วนใหญ่ที่จะนำมาเพื่อการกำจัดเม็ดสีที่เกิดการการสักนั้นอยู่ในกลุ่มของ Q-Switch หรือการยิงพลังงานในช่วงระยะเวลา 1 ใน 1 พันล้านวินาที (nanosecond) ซึ่งแตกต่างกันไปในส่วนของแหล่งการให้ความยาวคลื่นแสงจำเพาะที่เป็นตัวกำหนด เม็ดสีเป้าหมาย ดังนั้นเครื่องเลเซอร์เครื่องเดียวอาจจะกำจัดเม็ดสีได้ไม่ครบทุกสี เมื่อยิงเลเซอร์ไปยังเม็ดสีเป้าหมายแล้ว เม็ดสีจะเกิดการแตกตัว มีขนาดเล็กลง ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถเก็บกินได้ง่ายขึ้น “โดยทั่วไปการลบรอยสักนั้น แพทย์จะคุยกับคนไข้ก่อนว่า ลบครั้งเดียวไม่หายหมด เนื่องจากรอยสัก แต่ละสีต้องใช้เลเซอร์ต่างเครื่องในการลบ ไม่สามารถลบรอยสัก ได้ทุกสีในเครื่องเดียวกัน ดังนั้นคนไข้ที่สักหลายสี จำเป็นต้องใช้หลายเครื่องมาลบ สีที่ลบง่ายจะเป็นสีดำ สีเขียว แต่ที่ลบยากคือ สีแดง สีเหลือง และสีส้ม ยิ่งในระยะหลังเริ่มหันมานิยมการสักสีเนื้อ หรือสีออกขาวกัน ซึ่งจะลบยากขึ้น โดยเฉลี่ยหากลบเพียงสีเดียวจะอยู่ที่ 5-8 ครั้ง และจะทำทุกๆ 1-2 เดือน เนื่องจากการยิงเลเซอร์แต่ละครั้ง จะเกิดแผลเป็นรอยดำที่ผิวหนัง ซึ่งการหายนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะและตำแหน่งของแผล อาจจะมีความไม่สม่ำเสมอของสีผิวที่ลบได้ เพราะเลเซอร์จะไปโดนสีผิวจริงๆ ทำให้โอกาสที่ผิวจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนการสักนั้น ทำได้ค่อนข้างยาก” (ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา)* ถ้าคุณมีรอยสักแล้วต้องการลบออก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่ชํานาญ อย่าได้ไปรักษาเอง หรือรักษากับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์เป็นอันขาด รอยสักนั้นก็เหมือนประสบการณ์ที่ยากจะทำลาย ดังนั้นคิดให้ดีก่อนทำ เรื่องต้องรู้เมื่อไปลบรอยสัก 1.ขนาดของรอยสักไม่ได้มีผลเท่ากับสีที่ใช้ 2.รอยสักที่นิ้วและข้อเท้า จะแก้ไขได้ยากกว่าก้น ขา หรือหน้าอก 3.บริเวณหลัง หน้าอก หลังลบมักเกิดแผลเป็นง่ายกว่าส่วนอื่น 4.ตำแหน่งใกล้ตา การใช้เลเซอร์ลบอาจเป็นอันตรายต่อจอประสาทตาจนสูญเสียการมองเห็นได้ 5.สักโดยมืออาชีพหรือใช้เครื่องจะลบไม่ยากเท่าการสักของพวกมือสมัครเล่น *ข้อมูล ไม่ง่าย! ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ โดย ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา  วันที่ 17 กรกฎาคม 2556 http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087195

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 165 เพนต์สีคิ้วหรือสไลด์คิ้ว

คราวก่อนว่าด้วยเรื่องการสักคิ้วทั้งแบบถาวรและกึ่งถาวร ซึ่งก่อนตัดสินใจจะไปทำควรต้องศึกษาข้อมูลให้ดี และควรให้ช่างสัก เปลี่ยนเข็มที่ใช้ในการสักเป็นแบบคนต่อคน รวมทั้งทดสอบสีที่ใช้ว่าก่อให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ตัวช่างสักและร้านก็ควรมีสุขอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ สำคัญอาจต้องมองเรื่องฝีมือของช่าง เนื่องจากคนนิยมกันมาก พวกร้านรับทำแต่ฝีมือไม่ถึงจึงมีเยอะตามไปด้วย การสักไม่ว่าจะถาวรหรือกึ่งถาวร แน่นอนว่า “มันเจ็บ” เพราะมีการแทงเข็มเข้าไปในเนื้อตัวของเรา ยิ่งบริเวณคิ้วซึ่งเป็นผิวส่วนที่อ่อนและบาง อาจยิ่งเจ็บมากขึ้น ดังนั้นจึงเกิดเทรนด์ใหม่ในการทำคิ้วให้เข้มสวย ได้รูปทรง ด้วยวิธีการที่เรียกว่า สไลด์คิ้ว หรือ เพนต์สี ซึ่งไม่เจ็บอย่างการสัก สไลด์คิ้ว คือ การเพ้นต์หรือเติมสีให้คิ้วดูสวยเป็นธรรมชาติ คล้ายกับการเขียนคิ้วที่สาวๆ ทำเป็นประจำก่อนออกจากบ้าน โดยการใช้เครื่องมือเพ้นต์ มีลักษณะคล้ายปากการะบายหรือวาดสีสังเคราะห์ลงไปตามแนวคิ้วหรือผิวหนัง บริเวณคิ้วบางๆ เพื่อสร้างความคมชัดให้คิ้วเป็นทรงสวยและมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าการสัก วิธีการนี้ เมื่อทำแล้วจะเหมือนเราเขียนคิ้วอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เวลาที่หน้าสด คิ้วก็ยังเป็นรูปทรงอย่างที่ลงสีเอาไว้ บางคนก็ว่าดี แต่หลายคนก็รู้สึกว่า หลอกตา ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสีที่เลือกในการระบายหรือเพนต์ ซึ่งสามารถแจ้งบอกช่างได้(โดยทั่วไปมักเลือกให้เข้ากับสีผม) สีและทรงคิ้วที่เลือกจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี โดยที่สีจะค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ เพราะระบายไปแค่ชั้นหนังกำพร้า ข้อดีก็คือ เมื่ออยากเปลี่ยนเทรนด์แฟชั่น สามารถทำได้เพราะเป็นการเขียนคิ้วแบบกึ่งถาวร สไลด์คิ้วจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะได้ทั้งคิ้วที่ดูสวยเป็นทรงแบบไม่ต้องมานั่งเขียนทุกเช้าให้เสีย เวลาแล้ว เหมาะกับคนที่ชอบแต่งหน้า และยังไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดรอยแผลหรือเจ็บเหมือนกับการสักคิ้ว ทั้งการสักและการสไลด์ จัดเป็นทางเลือกสำหรับคนมีปัญหาคิ้วบาง คิ้วแหว่ง แต่สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการแต่งหน้า หากสามารถตกแต่งคิ้วได้เองด้วยดินสอเขียนคิ้วธรรมดาๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถเปลี่ยนเทรนด์ได้ในแต่ละวัน เวลาหน้าเปลือยก็ดูธรรมชาติไม่มีคิ้วโดดๆ ให้ดูน่ากลัวหรือไม่น่ามอง ไม่เสียเงินมาก ไม่เจ็บตัวหรือเสี่ยงกับการติดเชื้อโรคอีกด้วย ---------------------------------------------------------------------------- ประโยชน์ของคิ้ว คือป้องกันไม่ให้เหงื่อที่ซึมเกาะหน้าผากเราเวลาร้อนๆ ไหลลงมาเข้าตา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง คิ้วจึงเป็นเหมือนเกราะคอยคุ้มกันนัยน์ตา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point