ฉบับที่ 108 บัตรเดบิตกับเรื่องที่ต้องรู้

“บัตรเดบิต” (Debit Card) คือบัตรที่ทางธนาคารออกให้กับเราเมื่อเราเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร เพื่อให้เราสามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมทางการเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิคส์ผ่านตู้ ATM ไม่ว่าจะเป็นถอนเงิน โอนเงิน และชำระค่าบริการต่างๆ พูดง่ายๆ ก็คือ “บัตรเดบิต” มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ “บัตร ATM” แต่บัตรเดบิตจะเพิ่มความพิเศษตรงที่สามารถนำไปจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆ ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งก็คือการ “รูดปึ๊ด!” ตามสไตล์เงินพลาสติกแบบเดียวกับบัตรเครดิต แต่ว่าการใช้บัตรเดบิตไปรูดซื้อสินค้านั้น เงินจะถูกหักออกจากบัญชีของเราทันที ซึ่งต่างจากบัตรเครดิตที่เหมือนเป็นการนำเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เราไปทำบัตรเครดิตไว้มาใช้ก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับคนที่ไม่อยากถือเงินสด ซึ่งบัตร ATM ไม่สามารถทำได้  บัตรเดบิต VS บัตร ATMหลายๆ คนอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า บัตรกดเงินสดที่ธนาคารออกให้เราหลังจากเปิดบัญชีใหม่เป็นบัตร ATM หรือบัตรเดบิต ด้วยความที่หลายคนยังเข้าใจผิดว่า บัตรกดเงินสดที่ธนาคารออกให้คือบัตร ATM เท่านั้น ซึ่งในช่วงหลายปีมานี้ บัตรเดบิตถือเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ทางธนาคารพยายามผลักดันทำตลาดอย่างหนักให้กับลูกค้าที่ใช้บริการ ซึ่งทุกครั้งที่เราไปเปิดบัญชีใหม่ พนักงานของธนาคารจะแนะนำให้เราเลือกทำบัตรเดบิตมากกว่าบัตร ATM ด้วยความที่คุณสมบัติของบัตรเดบิตมีมากกว่า ใช้ได้ครอบคลุมทั้งถอนเงินจากตู้ ATM และใช้จับจ่ายได้แทนเงินสด แถมบัตรเดบิตยังมีเรื่องโปรโมชั่นส่งเสริมการขายจากร้านค้าหรือบริการที่ร่วมรายการเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต เราอาจได้รับส่วนหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งความพิเศษตรงนี้ก็ถือเป็นเงื่อนไขที่จูงใจให้กลายคนหันมาใช้บริการบัตรเดบิตแทนบัตร ATM กันมากขึ้นเมื่อคุณสมบัตรพิเศษมีมากกว่า เรื่องของค่าบริการที่เราต้องเสียให้กับธนาคารก็ต้องสูงตามไปด้วย บัตรเดบิตจะมีค่าธรรมเนียมทั้งในส่วนของค่าธรรมเนียมในการทำบัตรใหม่และค่าธรรมเนียมรายปีสูงกว่าบัตร ATM นี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ จึงพยายามจูงใจลูกค้าให้หันมาใช้บัตรเดบิตแทนบัตร ATM สำหรับผู้บริโภคอย่างเราก็ต้องลองพิจารณาดูกันเอาเองว่า เจ้าบัตรเดบิตแม้จะมีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าบัตร ATM แต่ไอ้ความพิเศษของมันนั้นเราได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมที่เราต้องเสียเพิ่มขึ้นจากบัตร ATM ธรรมดาหรือไม่บัตรเดบิต VS บัตรเครดิต“บัตรเครดิต” (Credit Card) ช่วยให้เราใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากๆ ไปในครั้งเดียว บัตรเครดิตจะทำหน้าที่จ่ายเงินให้เราก่อน หลังจากนั้นเราจึงค่อยจ่ายเงินคืนไปตามเวลาและเครดิตที่เราตกลงไว้กับธนาคารหรือร้านค้าที่เราซื้อสินค้า พูดให้เห็นภาพ บัตรเครดิตก็คือการที่เรานำ “เงินในอนาคต” ออกมาใช้ก่อน ซึ่งหากเราไม่คุมการใช้จ่ายให้ดีหรือใช้จ่ายเกินตัวเกินวงเงินที่เราสามารถหาได้ในแต่ละเดือน ผลที่จะตามมาก็คือการเป็นหนี้บัตรเครดิต เพราะเราไม่สามารถหาเงินมาใช้คืนให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เราไปทำสัญญาไว้ได้ ส่วนบัตรเดบิต เป็นการใช้จ่ายที่ดึงเอาเงินมาจากบัญชีของเราโดยตรง คือใช้ไปเท่าไรเงินก็จะถูกหักออกไปเท่านั้นเดี๋ยวนั้น ไม่สามารถใช้จ่ายเกินยอดเงินในบัญชีได้ ซึ่งแม้บัตรเดบิตจะไม่สร้างหนี้ให้เรากับธนาคารเหมือนบัตรเครดิต แต่ก็ต้องรู้จักควบคุมการใช้จ่ายและหมั่นเช็คยอดเงินในบัญชีเสมอ เพราะเราอาจเผลอรูดบัตรเดบิตซื้อนู้นซื้อนี้ จนเงินหมดบัญชีโดยไม่รู้ตัวบัตรเดบิต = บัตรอันดับหนึ่งการใช้บัตรเดบิตมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งการมุ่งทำการตลาดที่ผลักดันให้บัตรเดบิตเข้ามาแทนที่บัตร ATM ซึ่งตอนนี้ก็มีบางธนาคารที่ยกเลิกการใช้บัตร ATM ไปแล้ว สิ่งที่ธนาคารใช้เป็นกลยุทธ์ดึงดูดให้เราหันมาใช้บัตรเดบิตแทนบัตร ATM ที่เห็นชัดเจนก็คือ การปรับค่าธรรมเนียนทั้งแรกเข้าและรายปีของบัตร ATM ให้ขึ้นมาเท่ากับบัตรเดบิต ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้ใช้ส่วนใหญ่ได้รับทราบถึงคุณสมบัติที่เหนือกว่าของบัตรเดบิต ก็ต้องย่อมเลือกบัตรเดบิตมากกว่าบัตร ATM นอกจากนี้บัตรเดบิตยังถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่อยากพกเงินสดจำนวนมากๆ และอยากใช้จ่ายซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านบัตร ซึ่งแต่ก่อนคุณสมบัติแบบนี้มีเฉพาะในบัตรเครดิต แต่ด้วยเงื่อนไขในเรื่องของรายได้และฐานเงินเดือน ทำให้มีคนจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนที่มีรายได้ไม่สูงพอที่จะสมัครบัตรเครดิตได้ ทำให้บัตรเดบิตจึงกลายมาเป็นคำตอบสำหรับคนกลุ่มนี้***จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อปี 2551 มีจำนวนบัตรเดบิตที่ใช้ในประเทศไทย 26.3 ล้านใบ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ถึง 12.8% ขณะที่จำนวนบัตร ATM อยู่ที่ 22.4 ล้านใบ ลดลงจากปี 2550 0.9% ส่วนบัตรเครดิตมี่จำนวน 13 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 8.1%บัตรเดบิต VS อุปสรรคแม้ว่าเวลานี้บัตรเดบิตจะถือบัตรอันดับหนึ่งที่มีคนใช้มากที่สุด แต่บัตรเดบิตกลับไม่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างครบถ้วน เพราะจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยบัตรเดบิตยังคงถูกใช้เพื่อเบิกถอนเงินผ่านทางตู้ ATM เช่นเดียวกับบัตร ATM เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การใช้เพื่อรูดซื้อสินค้าแทนเงินสดยังมีสัดส่วนที่ต่ำมาก ซึ่งมีที่มาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากธนาคารเองที่มุ่งหวังเพิ่มปริมาณจำนวนผู้ใช้บัตรเป็นหลัก แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลหรืออธิบายสิทธิการใช้ประโยชน์ของบัตรเดบิตที่มากกว่าการถอนเงินจากตู้ ATM นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากร้านค้าที่รับชำระด้วยบัตรเดบิตยังมีน้อย บางแห่งมีเรื่องเงื่อนไขเงินขั้นต่ำในการใช้บัตร และสาเหตุหลักจากตัวผู้ใช้เองที่ส่วนใหญ่ยังคงไม่ถนัดกับการใช้จ่ายผ่านบัตร ยังคงสะดวกกับการใช้เงินสดมากกว่า***ในปี 2551 มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตรวมทั้งสิ้น 760 ล้านรายการ คิดเป็นการใช้จ่ายเพื่อชำระสินค้าและบริการเพียง ร้อยละ 1.5 เท่านั้น ขณะที่การเบิกถอนเงินจากตู้ ATM มีมากถึง ร้อยละ 83ตารางเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเดบิต ธนาคารชื่อประเภทบัตรเดบิตค่าธรรมเนียมแรกเข้า(บาท)ค่าธรรมเนียมรายปี(บาท)สิทธิพิเศษเพิ่มเติมธ.กรุงเทพบัตรเดบิตบีเฟิสต์100 200-บัตรบีเฟิสต์-บีทีเอส100200ใช้เป็นบัตรโดยสารบีทีเอสประเภทเติมเงิน บัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท100200มีไมโครชิพ EMV สามารถเก็บได้ทั้งข้อมูลและซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจได้ว่า บัตรของท่านจะยากต่อการปลอมแปลงATM100200กรณีบัตร ATM บัตรชำรุดหรือสูญหายแล้วต้องการบัตรใหม่ ธนาคารจะออกบัตรเดบิตบีเฟิสต์ทดแทนให้ธ.กรุงไทย บัตรเดบิตมาตรฐาน (Classic)ไม่มีรูปถ่าย 100มีรูปถ่าย 150200-บัตรเดบิต-ทิพยประกันภัย150300มีวงเงินความคุ้มครอง การเสียชีวิต หรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุจำนวน 200,000.- บาท / บัตร และได้รับการบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน จาก ทิพยประกันภัยATM50 150-ธ.กสิกรไทยK- Debit Card100200-K-My Debit Card  150200ใส่รูปภาพของตัวเองลงบนบัตรได้K-Max Debit Card  (  )100400ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 200,000 บาท ทันที 24 ชั่วโมงทั่วโลกพร้อมรับสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลสูงสุดครั้งละ 3,000 บาท เมื่อเข้ารักษาตัวจากอุบัติเหตุ ATM100200-ธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Debit Card100200-SCB Debit Plus Card100599 บัตรเงิน1,499 บัตรทองเบิกค่ารักษาจากอุบัติเหตุได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง คุ้มครอง 24 ชั่วโมงทั่วโลก ไม่ต้องสำรองจ่ายเมื่อรักษากับสถานพยาบาลคู่สัญญากว่า 200 แห่งATM 100200-ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บัตรกรุงศรี วีซ่า เดบิต100200-ATM100150-ธนาคารทหารไทย บัตรเดบิต Basic100200-บัตรเดบิต No Limit Next200200ฟรี ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน และสอบถามยอดที่เครื่อง ATM ทุกธนาคารบัตรเดบิต No Limit500ฟรีฟรี ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน และสอบถามยอดที่เครื่อง ATM ทุกธนาคารATM100200-ธนาคารนครหลวงไทย SCIB D-card100150-ATM50100-ธนาคารออมสิน บัตรออมสินวีซ่า เดบิต50100-ATM50100- *ข้อมูลค่าธรรมเนียมทั้งหมดเป็นการสำรวจภายในวันที่ 1 ม.ค. 53 เท่านั้น-จะเห็นว่าเกือบทุกธนาคารปรับค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีของบัตร ATM ให้เท่ากับบัตรเดบิตพื้นฐาน ยกเว้น ธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารนครหลวงไทย ที่ค่าธรรมเนียมบัตร ATM ยังถูกกว่าบัตรเดบิต-ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมการเงินผ่านตู้ ATM ของบัตรเดบิต ทั้งการถอนเงิน โอนเงิน ชำระค่าบริการต่างๆ คิดค่าธรรมเนียมเท่ากับการทำผ่านบัตร ATM (แต่จะแตกต่างกันไปตามแต่ละธนาคาร)-บัตรเดบิต No Limit Next และ บัตรเดบิต No Limit ของธนาคารทหารไทย ไม่เสียค่าธรรมเนียมในการธุรกรรมการเงินผ่านตู้ ATM-เรื่องความปลอดภัยในการใช้บัตรเดบิตถือเป็นจุดขายที่หลายๆ ธนาคารนำมาใช้ดึงดูดคนที่จะใช้บริการ ที่ชัดเจนที่สุด บัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท ของธนาคารกรุงเทพ ที่การฝังมีไมโครชิพ EMV เพื่อเก็บข้อมูลของเจ้าของบัตร ป้องกันการแอบอ้างหรือปลอมแปลง ส่วนการลงรูปของเจ้าของบัตรลงบนหน้าบัตรในบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทยและบัตร K-My Debit Card ของธนาคารกสิกรไทย ก็ถือเป็นการป้องกันการแอบอ้างใช้บัตร เพราะข้อเสียใหญ่ของบัตรเดบิตก็คือ หากเจ้าของบัตรทำบัตรหาย โอกาสที่จะถูกคนอื่นเอาบัตรไปรูดใช้ซื้อของสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะแม้จะมีการเซ็นลายเซ็นกำกับที่ใบเสร็จเพื่อเปรียบเทียบกับลายเซ็นที่หลังบัตร แต่ก็สามารถปลอมแปลงได้ง่ายมาก การป้องกันที่ดีที่สุดคือเมื่อบัตรหายต้องรีบติดต่อกับธนาคาร เพื่อระงับการใช้บัตรทันที-เรื่องการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ ก็ถือเป็นจุดขายที่บัตรเดบิตของหลายธนาคารนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น บัตรเดบิต-ทิพยประกันภัย ของธนาคารกรุงไทย, บัตร K-Max Debit Card ของธนาคารกสิกรไทย และ SCB Debit Plus Card ของธนาคารไทยพาณิชย์ 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 108 วิธีดูแลเท้าไม่ให้แตก เหม็น แต่เนียนนุ่ม

กล่าวกันว่าเราสามารถประเมินสุขลักษณะโดยรวมของผู้ที่เราเพิ่งพบปะครั้งแรกได้ง่ายๆ โดยการสังเกตดูความสะอาดของรองเท้าที่สวมใส่อยู่และดูสุขลักษณะที่เท้า หรืออาจกล่าวได้ว่ารองเท้าและสภาพของผิวเท้าเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงความสะอาดและบุคลิกภาพของเราเอง เทคนิคการดูแลสุขภาพเท้าให้สวยงาม ไม่เป็นโรค1. ล้างเท้าทั้งสองข้างทุกวันโดยแช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำสบู่ประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณซอกนิ้วเท้า ต้องให้แห้งสนิทจริงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นที่อับชื้นและเหม็นตามมา 2. ทุกครั้งที่เท้าเปียก ต้องเช็ดให้แห้งทุกครั้งก่อนสวมรองเท้าหรือถุงเท้า 3. ควรเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และนำรองเท้าไปทำความสะอาด ตากแห้ง ไม่ควรนำรองเท้าไปแขวนใส่ตู้รองเท้าที่ปิดสนิท แนะนำให้ใช้รองเท้าใส่สลับกันสองคู่ เพื่อจะได้นำคู่ที่ใส่แล้วไปผึ่งลมแดดให้แห้ง หรืออาจใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นสำหรับรองเท้าช่วยด้วยก็ยิ่งดี 4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวาน ต้องเข้มงวดกับตัวเองในการดูแลเท้าทั้งสองข้างให้สะอาดเป็นพิเศษ หมั่นสังเกตความผิดปกติของการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้น เช่น สีเล็บเท้าที่ซีดหรือเหลืองผิดปกติ ผิวลอก หรือมีรอยแตกของผิวเท้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่เท้า 5. เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเลือกซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ควรจะเป็นช่วงบ่ายเนื่องจากเท้ามักจะบวมกว่าตอนเช้า ดังนั้นรองเท้าคู่ที่สวมใส่สบายในตอนบ่าย จะสวมสบายในตอนเช้าและตอนเย็นด้วย 6. หากออกนอกบ้านและสวมใส่รองเท้าแตะ ควรทาครีมกันแดดที่เท้าด้วยเช่นเดียวกับผิวหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่โผล่ออกนอกร่มผ้า 7. ควรหมั่นขัดผิวเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้นเท้าด้วยแปรงขนนุ่มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขัดเอาผิวเซลล์เก่าที่ตายแล้วออกไป ผิวเท้าจะได้นุ่มเนียนและเป็นการเร่งการผลิตเซลล์ใหม่ 8. ก่อนเข้านอน ควรล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งสนิท และชโลมด้วยครีมบำรุงผิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังบริเวณส้นเท้า 9. ทุกครั้งที่ชโลมเท้าด้วยครีมบำรุง พยายามหลีกเลี่ยงซอกนิ้วเท้า เนื่องจากการสะสมของครีมหรือความชื้นในบริเวณซอกนิ้วเท้า จะก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นจากการหมักหมมของเชื้อจุลินทรีย์ได้ 10. เพื่อรักษาให้เท้าแห้งไม่มีกลิ่นเหม็น ควรใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกแป้ง หรือ สเปร์ยที่เท้า 11. การตัดเล็บเท้า ควรจะตัดเป็นเส้นตรงเฉพาะส่วนที่ยื่นโผล่จากนิ้วเท้านั้น ไม่ควรตัดสั้นเกินไปจนติดเนื้อ และไม่ควรตัดเล็บเป็นเส้นโค้ง เพราะส่วนโค้งจะทำให้เกิดเล็บหรือหนังงอกที่ซอกนิ้ว กลายเป็นเล็บขบที่สร้างความเจ็บปวดได้ หลังการตัดเล็บเท้า ควรตะไบเล็บไม่ให้เล็บคม การนวดเท้าและบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวภายหลังจากการล้างทำความสะอาดเท้าและเช็ดแห้งสนิทแล้ว ควรนวดฝ่าเท้าด้วยครีมบำรุงผิวเท้าจะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มและเป็นการทำให้เท้าได้ผ่อนคลาย นวดคลึงทั้งส้นเท้าและฝ่าเท้าด้วยนิ้วโป้ง การรักษาเท้าให้สะอาดและเนียนนุ่มชุ่มชื้นด้วยครีมนวดเป็นประจำ นับเป็นปัจจัยป้องกันปัญหาโรคเท้าอื่นๆ ที่จะตามมาได้ เช่น ตาปลา และส้นเท้าแตก ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงเท้าโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสารชุ่มชื้นผิวเท้าที่รวดเร็ว เช่น ยูเรียครีม แต่ต้องไม่ทิ้งครีมตกค้างบริเวณซอกนิ้วเท้า การจัดการกับส้นเท้าที่แตกและเป็นตาปลาไม่ควรใช้ใบมีดโกนหนวดมากำจัดหนังหนาๆ ที่ส้นเท้าหรือตาปลาเป็นอันขาด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่เท้า ส้นเท้าที่มีหนังหนาและแตกนอกจากจะทำให้เท้าไม่สวยแล้วยังทำให้เจ็บปวดได้อีกด้วย บางรายแตกจนเห็นเลือดออกซิบๆ สาเหตุเริ่มต้นมาจากการที่มีผิวแห้งมากๆเป็นเวลานานๆ หรือในบางรายอาจเกิดจากการมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคผิวหนัง เบาหวาน ไฮโปไทรอยด์ ในบางครั้งส้นเท้าแตกอาจเกิดในคนอ้วนที่มีน้ำหนักกดทับที่เท้ามากๆ และต้องยืนนานๆ ในแต่ละวัน หรือเดินบนพื้นแข็งๆ ด้วยเท้าเปล่า การดูแลรักษาเบื้องต้นสำหรับส้นเท้าแตก อาจเริ่มด้วย1. การใช้ครีมบำรุงผิวที่เข้มข้น ประกอบด้วยสารหล่อลื่นและสารชุ่มชื้นผิวสูง เช่น ยูเรียครีม เป็นต้น ทาถูหนาๆ วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนนอนควรทาครีมชนิดนี้หนาๆ ที่ส้นเท้าและทั่วผิวเท้า จากนั้นใช้ถุงพลาสติกที่ใหม่และสะอาดมาห่อหุ้มเท้าจนถึงรุ่งเช้า วิธีนี้เป็นการทำเซาว์น่าให้เท้าด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นผิวเท้าที่รวดเร็ว โดยเนื้อครีมจะสามารถแทรกซึมเข้าผิวหนังได้ดี ทำเช่นนี้ 1-3 วันจะพบว่าผิวเท้าเนียนนุ่มขึ้นอย่างชัดเจน 2. เมื่อส้นเท้านุ่มขึ้นและไม่เจ็บแล้ว อาจใช้หินขัดเท้า ค่อยๆ ขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หลุดลอกออกทีละน้อย ไม่ควรขัดออกทีละมากๆ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ 3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยตัวยาซาลิไซลิค แอร์ซิด (salicylic acid) 5-14% ซึ่งมีความเป็นกรดสูง ตัวยาชนิดนี้ทำหน้าที่ขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกจากผิว มีทั้งชนิดที่เป็นครีม หรือโลชั่นใส เวลาใช้ควรใช้สำลีชุบโลชั่นและป้ายที่ส้นเท้า วันละ1-2 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ จะพบว่าผิวหนังหนาแห้งๆ จะทยอยหลุดลอกออกเวลาอาบน้ำ ผิวใหม่ที่ส้นเท้าจะเนียนนุ่ม หลังจากนั้นต้องหมั่นบำรุงผิวเท้าตามที่กล่าวไปข้างต้นเพื่อป้องกันไม่ให้ส้นเท้าแตกได้อีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 น้ำสลัดทางเลือกเพื่อคนรักผักสุขภาพ

ก่อนขึ้นปีใหม่ ฉันและเพื่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนผู้ผลิตผักอินทรีย์ ที่บ้านป่าคู้ล่าง  หมู่บ้านเล็กๆ ของชาวโปว หรือที่คนอื่นมักเรียกเขาว่ากะเหรี่ยง ซึ่งอยู่เขตพื้นที่ติดต่อระหว่างเมืองกาญจน์กับสุพรรณบุรี  ทัวร์ครั้งนี้จัดโดยพี่เจน ระวิวรรณ และพี่พยงค์  ศรีทอง  ซึ่งทำงานด้านการเก็บรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และพันธุกรรมพืชท้องถิ่น ในโครงการ การพัฒนาระบบนิเวศน์และอนุรักษ์พืชพันธุ์ กับกลุ่มชาวบ้านในแถบนั้นมาตั้งแต่ปี 35เกือบ 10 ปีแล้วที่พี่เจนและพี่พยงค์ส่งเสริมอาชีพชาวบ้านในแถบนี้โดยหันมาปรับเปลี่ยนระบบการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ใช้สารเคมีหลังจากมีปัญหาเรื่องการจำกัดพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิมมาสู่การปลูกผักอินทรีย์ หลังจากมีผลผลิตส่งขายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งตามห้างสรรพสินค้าอยู่พักใหญ่  พี่เจนกับชาวบ้านก็หันมาสรุปบทเรียนแล้วปรับเปลี่ยนรูปแบบการตลาดใหม่  โดยอาศัยหลักความคิดของ CSA :  community supported agriculture ที่ชาวแคนนาดา-อเมริกา พัฒนามาจากระบบสหกรณ์ของชาวญี่ปุ่นอีกที โครงการพี่เจนกับพี่พยงค์ ซึ่งปัจจุบันได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ทำโครงการผักประสานใจ มา 8 ปี โดยการเปิดรับสมาชิกที่ต้องการรับซื้อผักล่วงหน้าและจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับเกษตรกร  เป็นการร่วมลงทุนของคนกินเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตซึ่งเป็นเกษตรกร โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเข้ามาร่วมประกันความเสี่ยงในการผลิตที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร  รวมทั้งยินยอมที่จะกินผักชนิดต่างๆ ที่เกษตรกรพยายามปลูกขึ้นตามรอบฤดูกาลปลูกในระบบการทำเกษตรแบบอินทรีย์ วันที่เราไปเยี่ยมบ้านป่าคู้  นอกจากมีการต้อนรับด้วยอาหารธรรมชาติปรุงรสแบบชาวโปว การหลามข้าวรอบกองไฟเคล้าเสียงเพลงตงโดยเครื่องดนตรีของชนเผ่าที่เรียกว่านาเดย  การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างสมาชิกผู้รับผักกับชาวบ้านที่ปลูกผัก  และลงแปลงผักและตัดผักกลับบ้านแล้ว  เช้าวันที่เราเดินสำรวจแปลงและตัดผักนั้น พี่เจนกับกลุ่มแม่บ้านได้เตรียมอาหารเช้าแบบสดใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพ และเกษตรอินทรีย์สุดๆ ข้าวต้มเห็ด 3 อย่าง กับถั่ว 5 สี  ร้อนๆ  วางเรียงเคียงคู่กับผักเมืองหนาวอินทรีย์ ที่มีให้กินอย่างหลากหลายและชวนกินเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนี้ถูกนำมาจัดวางเรียงอย่างสวยงาม  ซึ่งหากถ้าเรามาในช่วงหน้าฝนหรือหน้าแล้งเมนูสลัดบาร์แบบนี้คงต้องเปลี่ยนไปเป็นผักอื่นๆ ไปตามความเหมาะสมของดินฟ้าอากาศที่จะเอื้อให้ผักต่างๆ เติบโต ที่น่าสนใจไม่แพ้กันกับสลัดบาร์คือน้ำสลัด  ซึ่งมี 2 สูตร  ขอนำมาฝากผู้อ่านฉลาดซื้อค่ะ สูตรแรกเป็นน้ำสลัดที่ทำจากไข่แดงของพี่โหน่ง สูตรสองเป็นน้ำสลัดฟักทองของพี่เจน ถามสูตรพี่เจนซึ่งเป็นคนที่ชอบทำกับข้าวและทำกับข้าวได้อร่อยเกือบทุกประเภท  พี่เจนว่าใช้ฟักทองนึ่งแล้วเอามาบดให้ละเอียดแล้วผสมนม น้ำมะนาว เกลือ พริกไทย โรยด้วยงาคั่ว  โดยรสชาติและเนื้อใช้วิธีชิมให้มีรสเข้มเล็กน้อยตามที่เราชอบ เผื่อว่าเมื่อผสมกับผักสดๆ แล้วจะได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมพอดิบพอดี เห็นน้ำสลัดฟักทองของพี่เจน  ครั้งหนึ่งฉันเคยทดลองทำน้ำสลัดฟักทองเช่นกัน  ส่วนผสมคล้ายๆ  แต่เปลี่ยนจากนมเป็นน้ำมันรำ น้ำมันงา  โดยเอาฟักทองนึ่งแล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยแล้วเอาไปปั่น  ได้เนื้อสลัดข้นๆ จึงเอามาผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มหมักผลไม้เท่าที่มีอยู่ในตู้เย็นให้ออกรสเปรี้ยว แล้วเติมน้ำมันรำและน้ำมันงาลงไป แต่ด้วยความที่น้ำสลัดฟักทองที่ฉันทำมันค่อนข้างข้น  บางทีฉันก็ใช้มันกินเป็นครีมหรือแยมแทน โดยใช้วิธีการเอางาตัด ถั่วกระจก หรือขนมปังมาทาหรือจิ้ม  อีกสูตรหนึ่งที่เพิ่งทดลองทำหลังจากไปเจอน้ำสลัดฟักทองอร่อยๆ ของพี่เจน คือน้ำสลัดถั่วเขียว วิธีทำใช้ถั่วเขียวอินทรีย์ ประมาณ ¼ ถ้วยแช่น้ำ ตอนเช้า  ตกค่ำก็เอามาปั่นกับหางกะทิให้ละเอียด  แล้วน้ำถั่วเขียวปั่นไปตุ๋นกับหางกะทิ  1 ถ้วย และหัวกะทิ  1 ถ้วย  ฉันเพิ่มสีให้เขียวสวยขึ้นโดยใส่น้ำย่านางคั้นลงไปด้วยอีก 1 ถ้วย  เมื่อถั่วสุกดีแล้วใส่เกลือและน้ำตาลทราย และพริกไทยป่นลงไป  จากนั้นยกลงจากเตาปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น  ถั่วที่กวนไว้จะพองตัวขึ้นมาและน้ำจะแห้งงวดลงเล็กน้อย ก่อนจะกินกับผักสลัดจึงค่อยเอามาปรุงรสเพิ่มโดยใส่น้ำมะนาวลงไป จะได้รสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เคล็ดไม่ลับ ตอนตุ๋นนี่ ใช้วิธีใส่น้ำลงในกระทะใหญ่ แล้วเอาหม้อใบเล็กที่เราจะเคี่ยวถั่วกับกะทิตั้งในกระทะ แล้วค่อยๆ คน เพื่อป้องกันถั่วเขียวจับตัวเป็นก้อน  ซึ่งวิธีนี้จะป้องกันการไหม้ก้นหม้อได้เป็นอย่างดี สลัดน้ำถั่วเขียวสูตรนี้ ตอนทำฉันนึกไปถึงน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ น้ำสลัดแขก และไพล่ไปถึงข้าวตังหน้าตั้ง  และยังคิดทำน้ำสลัดจากพืชผักพื้นบ้านไทยๆ โดยไม่ใช้ ไข่นมเนยแทนอีกหลายสูตร  ส่วนคนกินอย่างคุณสารี บก.ฉลาดซื้อบอกว่า “อร่อยดี”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 ความสุขที่คุณนับได้

คุณคิดว่า “ความสุข” อยู่ที่ไหน และจับต้องได้หรือไม่ ? ความคิดความเชื่อที่เป็นรากฐานมาอย่างยาวนานในสังคมไทย อย่างความเชื่อในโลกศาสนา เคยอธิบายว่า จริงๆ แล้ว “ความสุข” นั้นอยู่ที่ใจ อันแปลความได้ว่า เราไม่ต้องไปดิ้นรนขวนขวายหาความสุขจากภายนอกตัวเองหรอก ความสุขอยู่ที่ตัวของเรานั่นแหละ ที่จะบอกว่าเรากำลังสุขหรือทุกข์อยู่ หรือเราจะจัดการชีวิตให้เป็นสุขได้เยี่ยงไร และหากว่าความสุขเกิดมาแต่ภายในใจแล้วไซร้ การจับต้องความสุขก็ต้องเป็นแบบ “ใจใครใจมัน” โดยจะมาใช้สถิติหาค่าถัวเฉลี่ยหรือเทียบร้อยละสัดส่วนของความสุขเป็นตัวเลขแจงนับนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจิตใจของคนเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ “ต่างคนต้องยลตามช่อง” ของตนเองเท่านั้น แล้วจะมีความเป็นไปได้บ้างหรือไม่ ที่มนุษย์เราอยากจะจับตัว “ความสุข” มาตวงชั่งวัดเป็นร้อยละตัวเลข ? สำหรับผมแล้ว โฆษณาดูจะเป็นด่านหน้าที่สำคัญที่ให้คำตอบกับเราว่า สังคมอดีตอาจจะให้นิยามของความสุขเอาไว้แบบหนึ่ง แต่ในโลกของโฆษณาปัจจุบัน ผู้คนร่วมสมัยเริ่มปรับวิธีคิดเสียใหม่แล้วว่า แม้แต่เรื่องนามธรรมอย่างความสุขและจิตใจ เดี๋ยวนี้เราก็สามารถจับมาเทียบบัญญัติไตรยางค์หาค่าเฉลี่ยร้อยละได้แล้วเช่นกัน ก็อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ในโฆษณามันฝรั่งสไลด์แผ่นยี่ห้อหนึ่ง ที่ผูกเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เดินทางไปท่องเที่ยวในรีสอร์ตบ้านไร่มันฝรั่ง หลังจากที่วัยรุ่นกลุ่มนี้ติดนิสัยเป็นผู้บริโภคมันสไลด์แผ่นมาเสียนาน โฆษณาก็เลยจับให้พวกเขาได้มาสัมผัสเบื้องหลังของการผลิตและการปลูกมันฝรั่ง ที่มีลุงกับป้าเป็นเจ้าของบ้านไร่กันเสียเลย โฆษณาเปิดฉากด้วยภาพ caption เป็นข้อความขึ้นในจอว่า “เชื่อไหมความสุขเติมเต็มกันได้” และมีเสียงกีตาร์คลอเบาๆ ประกอบเป็นแบ็คกราวนด์ ภาพตัดมาที่มือของชายหนุ่มคนหนึ่งหยิบยื่นถุงมันสไลด์แผ่นอยู่ริมระเบียงของบ้านพัก สักพักหนึ่งวัยรุ่นหญิงหน้าตาน่ารักอีกคนหนึ่งก็เดินมายืนอยู่ริมระเบียงเพื่อพูดคุยกับเขา ด้านข้างของสาวเจ้ามีตัวเลขกราฟฟิกบ่งบอกดัชนีความสุขในใจของเธอ เขียนว่า “ความสุข 80%” น้องผู้หญิงผาดตามองออกไปจากนอกชาน เห็นลุงกับป้ากำลังช่วยกันเก็บมันฝรั่งอยู่ในไร่ และใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข ณ กระท่อมน้อยกลางไร่มัน น้องผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ฉันอยากเป็นแบบคุณป้าคนนั้นจังเลย เขาคงมีความสุขนะ...แล้วแกล่ะ” จากนั้น น้องวัยรุ่นชายก็หันมาพูดตอบเธอด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มว่า “เราน่ะ อยากเป็นคุณลุงคนนั้นไง” พร้อมกับมีกราฟฟิกตัวเลขขึ้นข้างๆ ใบหน้าของเขาว่า “ความสุข 80%” ฝ่ายน้องผู้หญิงก็นิ่งเงียบไปในบัดดล ในขณะที่ฝ่ายชายหนุ่มก็ทำหน้าปูเลี่ยนๆ เพราะไม่แน่ใจว่าสาวเจ้าจะรับรักเขาหรือไม่ พร้อมๆ กับตัวเลขดัชนีชี้วัดความสุขก็หมุนวิ่งลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียง “20%” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็เตรียมจะลุกผละเดินหนีจากไป หญิงสาวก็เอื้อมมือไปจับข้อมือของชายหนุ่มที่ถือถุงมันฝรั่งสไลด์แผ่น เธอเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวลุง...จะไปไหนล่ะ...เอามาให้กินไม่ใช่เหรอ” เพียงเท่านั้น ภาพกราฟฟิกตัวเลขดัชนีความสุขของทั้งสองคนก็หมุนปรู๊ดขึ้นมาเป็น “100%” ในทันที โดยมีเสียงกีตาร์จากเพื่อนๆ ขับกล่อมร้องคลอขึ้นมาว่า “เธอเข้ามา ทำชีวิตฉันให้เต็ม...รักเธอ...รักจริง...” ก่อนจะปิดท้ายด้วยภาพระยะไกลของไร่มันฝรั่งท่ามกลางสายหมอก ที่มีถุงมันสไลด์แผ่นลอยเด่นอยู่ตรงกลางจอโทรทัศน์ และมีเสียงบรรยายพูดว่า “มันฝรั่งสไลด์แผ่น เติมความสุขเต็ม 100%” ในขณะที่โลกทัศน์เดิมๆ แบบของไทย (ซึ่งมีรากฐานมาจากวิธีอธิบายตามหลักศาสนา) มักเชื่อกันว่า “ความสุขนั้นแท้จริงอยู่ที่ใจ” แต่สำหรับผมเองนั้น ก็เห็นด้วยกับโฆษณาในระดับหนึ่งว่า ความสุขที่เกิดมาจากใจล้วนๆ อาจจะเป็นไปได้ยากเสียแล้วสำหรับคนสมัยใหม่ที่สัมผัสชีวิตทางโลกย์อยู่อย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาผู้คนที่วนเวียนว่ายชีวิตอยู่ในสังคมเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น นอกจากจะสร้างสุขมาแต่ “ภายใน” หรือมาจากจิตใจของเราเองแล้ว อีกเส้นทางหนึ่งที่คนสมัยนี้ได้ตัดทางลัดเข้าไปหาก็คือ ความสุขที่มาจาก “ภายนอก” ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขแต่การออกไปสัมผัสบรรยากาศชีวิตชนบทและรีสอร์ตไร่มันที่เราค่อนข้างจะห่างเหิน สุขจากการนั่งเกากีตาร์ท่ามกลางสายลมสายหมอก สุขอันเนื่องมาจากการได้เห็นชีวิตคนอื่น(อย่างลุงกับป้า) แล้วนึกฝันอยากจะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง ไปจนถึงความสุขอันมาแต่การเสพและบริโภควัตถุต่างๆ อย่างเช่น การได้ขบเคี้ยวมันฝรั่งสไลด์แผ่น โดยมีคนรักมายืนเคียงข้าง ความสุขอันมาจาก “ภายนอก” แบบนี้ เป็นสุขที่เริ่มเข้ามาแทนที่ ในสังคมซึ่งสุขที่มาจากแก่นแท้ของจิตใจช่างค้นพบได้ลำบากและยากที่หยั่งเข้าไปถึง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น เมื่อความสุขจาก “ภายใน” เริ่มถูกทดแทนด้วยความสุขจาก “ภายนอก” มากขึ้น ก็ดูเหมือนว่า คนยุคนี้ก็มีแนวโน้มจะหามาตรการชั่งตวงวัดและเทียบบัญญัติไตรยางค์ความสุข แจกแจงออกมาเป็นตัวเลขที่นับและจับต้องได้ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความสุขภายในอันเกิดมาจากใจ สุขแบบนี้มองไม่เห็นเป็นรูปธรรม และคนรุ่นเรา ๆ ก็อาจจะเริ่มรู้สึกว่า ในเมื่อเป็นสุขที่จับต้องไม่ได้ แล้วเราจะประเมินค่าได้อย่างไรว่า ความสุขเช่นนั้นเกิดขึ้นและดำรงอยู่จริง ถ้าเช่นนั้น ทางออกก็ต้องทำแบบน้อง ๆ วัยรุ่นในรีสอร์ตไร่มันฝรั่งนั่นแหละ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในพฤติกรรม ความคิด หรือแสดงพฤตินิสัยอันใดออกมา ต้องมีตัวเลขดัชนีชี้วัดมวลรวมแห่งความสุขอยู่ตลอดว่า ตอนนี้ความสุขของเราไต่เพดานขึ้นมากี่เปอร์เซ็นต์แล้ว หรือมิเช่นนั้น ก็ต้องคิดคำนวณว่า ตอนนี้ความสุขของเราลดระดับลงมาเหลืออัตราส่วนเท่าไรแล้ว เมื่อเทียบกับผลรวมความสุข/ความทุกข์ทั้งหมด จะว่าไปแล้ว ความคิดที่ว่า ความสุขนั้นไม่ใช่อะไรที่เป็นนามธรรม แต่แจงวัดเป็นตัวเลขได้เช่นนี้ ก็มีที่มาที่ไปของมันเหมือนกัน ถ้าจะให้ผมเดา ก็คงต้องย้อนกลับตั้งแต่หลังจากยุคแห่งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกเมื่อราวศตวรรษที่ 15 โน่นเลยเพราะในขณะที่โลกก่อนหน้าศตวรรษดังกล่าวจะเชื่อว่า มนุษย์แต่ละคนล้วนสร้างความหมายต่างๆ ขึ้นได้ในตนเอง ความหมายของสิ่งต่างๆ ก็สุดแท้แต่ว่าใครจะเป็นคนกำหนด เหมือนกับที่ความสุขก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเป็นคนกำหนดนิยามเอาไว้ต่างกันอย่างไร แต่ทว่าโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์กลับคิดไปอีกทางหนึ่งว่า มนุษย์เราไม่ได้มีความหมายใดๆ เฉกเช่นเดียวกับวัตถุต่างๆ อย่างก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนกรวด และเม็ดทราย เพราะฉะนั้น หากเรานับหินเป็นก้อนๆ ได้ฉันใด เราก็สามารถนับมนุษย์และความคิด/พฤติกรรมของแต่ละคนได้ไม่แตกต่างกันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคุณลุงคุณป้าสามารถนับมันฝรั่งเป็นหัวๆ หรือชั่งตวงวัดมันในไร่ได้ด้วยหน่วยเป็นกิโลกรัมได้ฉันใด เราเองก็สามารถจะออกแบบหลักสถิติมาชั่งตวงวัดความสุขให้ออกมาได้เป็นร้อยละเปอร์เซ็นต์ฉันนั้น แล้วผลที่ตามมาก็คือ หากน้องๆ วัยรุ่นจับความสุขมาวัดสัดส่วนร้อยละเป็นเปอร์เซ็นต์ นั่นก็เท่ากับว่า วัยรุ่นกลุ่มนี้ก็เริ่มจะสร้างมาตรฐานให้กับ “ความสุข” ของคนทุกผู้ทุกนามให้มาอยู่บนแกนเส้นกราฟเดียวกัน ความสุขของน้องๆ ที่อาจจะมีมากอยู่แล้ว จึงอาจจะยังดู “น้อยเกินไป” เมื่อเทียบกับสุขแบบคุณลุงคุณป้าที่เพียรเก็บหัวมันมาชั่งกิโลขาย มันฝรั่งที่งอกมาแต่ละหัวในท้องไร่ อาจจะมีขนาดและรูปทรงที่ผิดแผกแตกต่างกันไป เพราะเป็นหัวมันที่งอกออกมาตามธรรมชาติ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เมื่อโรงงานเริ่มหั่นหัวมันออกเป็นชิ้นเป็นแผ่นเพื่อบรรจุถุงขายนั้น มันฝรั่งที่สไลด์เป็นแผ่น ๆ ก็จะมีขนาด รูปร่าง และมิลลิเมตรของความหนาที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะถึงที่สุดแล้ว การกำหนดมาตรฐานความบางหนาของมันสไลด์แผ่นแบบนี้ ก็คงไม่ต่างจากการวัดเปอร์เซ็นต์ความสุขของผู้บริโภคยุคนี้เท่าใดนัก !!!

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 นาโนเทคโนโลยี : โอกาสหรือความเสี่ยง (ตอน 2)

เนื่องจากภาคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และผู้บริโภคเชื่อว่าการใช้งานวัสดุนาโนจะนำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามว่าผลิตภัณฑ์นาโนใหม่ๆ เหล่านี้จะนำความเสี่ยงที่ยังไม่รู้มาสู่มนุษย์หรือไม่ อนุภาคนาโนบางชนิดที่ปรากฎอยู่ในรูปแบบที่ไม่เกาะเกี่ยวกัน (unbound form) อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพบางประการได้… ทำไมถึงมีการใช้วัสดุนาโนในเครื่องสำอาง ?อนุภาคนาโน เช่น ไททาเนียมไดอ๊อกไซด์และซิงค์อ๊อกไซด์ ถูกนำใช้งานอย่างกว้างขวางในการป้องกันแสงยูวีในผลิตภัณฑ์กันแดด อนุภาคนาโนเหล่านี้ให้ผลในด้านการปกป้องผิวหนังจากรังสียูวีในระดับสูง  วัสดุที่ผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี (หรือที่เรียกว่า โครงสร้างทางชีวภาพ) ส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมฟันตามธรรมชาติของน้ำลาย ในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ แคปซูลนาโนสามารถป้องกันและขนส่งสารที่ออกฤทธิ์และเพิ่มประสิทธิภาพของพวกมัน ฟูลเลอร์รีน (โมเลกุลที่สร้างจากอนุภาคคาร์บอนที่มีรูปทรงเหมือนลูกฟุตบอล) ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางชนิดแรกๆ เพื่อจุดประสงค์นี้ การวิจัยเพื่อพัฒนาสมบัติทางกายภาพ (เช่น การโปร่งใส) ของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไปเพื่อหาความรู้ และข้อมูลเพิ่มเติมจากปัจจุบัน วัสดุนาโนถูกนำใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารหรือไม่ ?มีรายงานว่าวัสดุนาโนถูกนำมาใช้เป็นส่วนเสริมหรือวัตถุเจือปนในอาหาร ยกตัวอย่างเช่น กรดซิลิซิกและสารประกอบที่มีซิลิกอนอื่นๆ ถูกนำมาใช้เป็นสารตัวกรองหรือสารทำให้ข้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผลึกโซเดียมคลอไรด์และอาหารที่มีแป้งเป็นหลักเกิดการติดกันเป็นก้อน และทำให้ซอสมะเขือเทศไหลได้ง่ายยิ่งขึ้น กรดซิลิซิกยังถูกนำใช้เป็นสารจับอนุภาคเพื่อให้ตกตะกอนในไวน์และผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ สำหรับประเด็นในเรื่องความเสี่ยงต่อสุขภาพยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า ควรจะให้เลิกใช้หรือให้มีอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารต่อไป วัสดุนาโนถูกนำใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อจุดประสงค์เฉพาะด้วย มีรายงานการใช้ซิลิกอนไดอ๊อกไซด์ คอลโลดัลซิลเวอร์ แคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยมในรูปอนุภาคนาโน ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าวัสดุเหล่านี้ปรากฎอยู่ในอาหารในรูปอนุภาคนาโนหรือในรูปรวม ปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมอาหารกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาอาหารเสริมพิเศษที่ประกอบไปด้วยวิตามิน กรดไขมันโอเมก้า 3 ไฟโตสเตอรอล และกลิ่น เพื่อบรรจุในแคปซูลนาโน วัสดุนาโนถูกนำใช้ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคหรือไม่วัสดุนาโนถูกนำมาใช้งานหลากหลายรูปแบบในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ยกตัวอย่างเช่น วัสดุนาโนในบรรจุภัณฑ์อาหาร สิ่งทอ อุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุเคลือบเงาและสี นอกจากนี้ยังใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับการปกปิดพื้นผิวและทำความสะอาดเช่นเดียวกับสารขัดเงาอีกด้วย อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กำลังสนใจการใช้งานอนุภาคนาโนซึ่งเกาะติดกันเหมือนเป็นตัวกรองในพลาสติกและชั้นเคลือบเงา และใช้เป็นตัวเคลือบบนผิวหน้าโพลีเมอร์ (ฟิล์มและภาชนะ) ในบรรจุภัณฑ์อาหาร อนุภาคนาโนป้องกันก๊าซ ไม่ให้เข้าไปในบรรจุภัณฑ์และป้องกันไม่ให้ความชื้นระเหยออกมา การใช้อนุภาคนาโนสามารถปรับปรุงสมบัติด้านกลศาสตร์และความร้อนของบรรจุภัณฑ์อาหารและปกป้องอาหารจากแสงยูวี  ในอนาคตนาโนเทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาวัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารซึ่งสามารถระบุได้ว่าขั้นตอนการแช่เย็นต่อเนื่องหรือไม่ หรือว่าเลยวันหมดอายุมาแล้ว ในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ เส้นใยชนิดพิเศษถูกพัฒนาขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าที่กันความร้อน หรือพื้นผิวเส้นใยสิ่งทอที่ทำความสะอาดตัวเองได้ ในอนาคตสิ่งทอจะมีสมบัติใหม่ๆ และสามารถป้องกันรังสียูวีหรือทำตัวเสมือนตัวกันน้ำโดยการผลิตสารเคลือบโพลีเมอร์ที่มีโครงสร้างนาโนบนพื้นผิวของสิ่งทออีกด้วย  อนุภาคนาโนซิลเวอร์ที่ต่อต้านจุลชีพมีการใช้งานแล้วในถุงเท้า ด้านในรองเท้า และสิ่งทอที่ใช้ผลิตเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม การใช้ผลิตภัณฑ์นาโนมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่ ?ในการที่จะประเมินว่าผลิตภัณฑ์นาโนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือว่าวัสดุนาโนที่ใช้เกาะติดกันเป็นเมตริกซ์หรือเป็นวัสดุนาโน ปรากฎในรูปที่ไม่เกาะกัน อนุภาคนาโนที่เป็นอิสระ หลอดนาโนและเส้นใยนาโนสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ เนื่องจากขนาดที่เล็ก รูปทรงที่เล็ก สามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายและเกิดปฏิกิริยาได้ดีกว่า อนุภาคนาโนที่ไม่เกาะติดกันสามารถเข้าถึงกลไกของมนุษย์ผ่านสามช่องทางและทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นพิษภายใต้สถานการณ์บางอย่าง ได้แก่ ทางการหายใจ ทางผิวหนังและจากการรับประทาน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดเกิดจากการสูดดมอนุภาคนาโน  การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดลบล้างความเป็นไปได้ที่อนุภาคนาโนจะแทรกซึมเข้าทางผิวหนังของมนุษย์ เรายังไม่รู้แน่ชัดว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับการได้รับอนุภาคทางการรับประทานหรือไม่ จนถึงขณะนี้ ผลิตภัณฑ์นาโนส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยอนุภาคนาโนที่พัวพันกับเมตริกซ์ที่แข็งแรงหรือสารละลายของเหลว ยิ่งไปกว่านั้น อนุภาคนาโนมีแนวโน้มที่จะเกาะกลุ่มเป็นสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งมักจะใหญ่กว่า 100 นาโนเมตร ผลกระทบที่เป็นพิษของอนุภาคนาโนยังไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัด แต่ตามกฎแล้ว ผู้ผลิตถูกกำหนดให้รับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาปลอดภัย หมายเหตุ : ล่าสุดมีประเด็นในเรื่องความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้วัสดุนาโน (Nano particle ) โคบอลท์โครเมียม( CoCr- Particle ) ที่เป็นส่วนผสมของยารักษาโรค โดยโคบอลท์โครเมียม( CoCr- Particle ) จะไปทำลาย DNA ในเซลล์ของมนุษย์ โดยที่ เซลล์ยังไม่ตาย จากผลการทดลองนี้ นักวิจัย ได้ตั้งข้อเสนอเพื่อให้มีการประเมินความเสี่ยงในด้านสุขภาพของการใช้ผลิตภัณฑ์นาโน แบบใหม่ที่ต้องคำนึงถึง ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ วัสดุนาโน2 มีการตรวจสอบความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการใช้วัสดุนาโนในสินค้าอุปโภคบริโภคแล้วหรือยัง มีการศึกษาหลายชิ้นเกี่ยวกับการใช้อนุภาคนาโนในเครื่องสำอาง ยกตัวอย่างเช่น มีการวิจัยมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมของอนุภาคนาโนที่เกิดจากไทเทเนียมไดอ๊อกไซด์และซิงค์อ๊อกไซด์บนผิวหนัง การทดลองหลายชิ้นยืนยันว่าอนุภาคนาโนเหล่านี้ไม่แทรกซึมสู่เซลล์ผิวหนังของมนุษย์ที่แข็งแรงแต่ยังอยู่บนด้านบนของผิวหนัง พวกมันลงไปถึงผิวหนังชั้นที่ลึกกว่าได้ผ่านรูขุมขน ที่ซึ่งพวกมันตกค้างอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่แทรกซึมลงไปลึกกว่านั้น เมื่อขนยาวขึ้นจะนำพาพวกมันกลับมาสู่ชั้นบนของผิวหนังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังมีคำถามหลายข้อที่ต้องตอบเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพจากอนุภาคนาโน เรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่คุณสมบัติที่เป็นพิษจะมีความเชื่อมโยงกับขนาดในระดับนาโน และมีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับรายงานเรื่องการที่มนุษย์ได้รับอนุภาคนาโน นักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานเรื่องกลยุทธ์การทดสอบที่เหมาะสมเพื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะตอบคำถามปลายเปิด เคยมีผลิตภัณฑ์ใดที่วัสดุนาโนก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ?เท่าที่ผ่านมาทางสถาบันประเมินความสี่ยงของสหพันธรัฐ ยังไม่ได้รับรายงานกรณีที่เกิดอันตรายต่อสุขภาพโดยตรงอันมีผลมาจากอนุภาคนาโนหรือวัสดุนาโน เราควรหันมาพิจารณาดูอีกด้านของเทคโนโลยีใหม่กันบ้าง เปรียบดังคำพังเพยที่ว่า คุณอนันต์ โทษมหันต์ สำหรับเรื่องการศึกษาผลประทบของนาโนเทคโนโลยีนั้น ที่มีผลต่อสุขภาพนั้น รัฐต้องศึกษา วิจัยในเชิงสุขภาพและความปลอดภัย และให้ความรู้(ความไม่รู้) แก่ประชาชน หากยังไม่สามารถหามาตรการในด้านการป้องกันที่ดีได้ อย่างน้อยรัฐก็ควร บังคับการติดฉลากระบุว่าเป็นสินค้าประเภทนาโนเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือก(หรือไม่เลือก) กับเทคโนโลยีที่เรายังมีความรู้ในด้านนี้น้อยมาก และในด้านผลกระทบต่อสุขภาพก็ยังไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัยกันเลย ข้อมูลอ้างอิง1 Frequently Ask Question on Nanotechnology, Federal Institute for Risk Assessment, 20062 Nanoparticle can cause DNA damage across a cellular barrier, Bhabra, G. et al., Nature Nanotechnology, p. 1-8, 2009

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 แสงสว่างปลายอุโมงค์ของสาวผิวสี ดับลงแล้ว

ความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คนที่ผมเหยียดตรงก็อยากมีผมหยิกหยักศก จึงต้องไปใช้สารเคมีทำให้ผมหงิกหงอ ส่วนคนที่ผมหยิกหยักศกก็อยากมีผมเหยียดตรงจึงไปหาทางยืดเส้นผมตามร้านเสริมสวย โดยไม่รู้ว่าเมื่ออายุเกินห้าสิบปีแล้ว เมื่อฮอร์โมนเพศลดลงผมหยักศกอาจกลายเป็นเส้นตรงเอง แต่จำนวนเส้นอาจมีน้อยไปหน่อย ที่น่าประหลาดก็คือ คนที่ผิวคล้ำเช่น สตรีไทยแท้ๆ ที่มีผิวสีน้ำผึ้งเดือนห้าเก็บไว้ห้าปีมักอยากขาวเป็นหยวก เพราะเข้าใจว่าผู้ชายไทยชอบผู้หญิงขาว(โดยไม่เคยมีโพลไหนทำการสำรวจเลยว่าใช่หรือไม่) ในขณะที่แหม่มชาวตะวันตกที่ซีดก็อยากคล้ำ(ไม่ใช่ดำ) จึงจำต้องรนไปหาทางปิ้งตัวเองด้วยการตากแดดหรือใช้เครื่องฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตกระตุ้นการสร้างเม็ดสีของเซลล์ผิวหนังให้มากขึ้น ในกรณีของสาวไทยผิวคล้ำนั้น การมีสินค้าอาหารประเภทที่อ้างว่ากินแล้วขาวขึ้นย่อมเป็นประกายแสงที่ปลายอุโมงค์ชีวิตว่า คุณเธอน่าจะขาวได้บ้าง เพื่อจะนำไปสู่การได้ขึ้นรถรางชีวิตคู่เที่ยวสุดท้ายเสียที ดังนั้นเสียเท่าไร เสี่ยงเท่าไร ก็เอา เลยเป็นโอกาสให้คนที่ฉลาดแต่ไร้คุณธรรมได้โอกาสนำเอาสารชีวเคมีต่าง ๆ ออกเร่ขาย และกลูตาไทโอนก็เป็นหนึ่งในสารชีวเคมีที่ทำให้หลายคนรวยไปเลย กลูตาไธโอนคือ อะไรกลูตาไธโอนเป็นสารชีวเคมีที่สร้างได้เองในร่างกายมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด คือ กรดซิสตีอีน (Cysteine) กลัยซีน (Glycine) และกรดกลูตามิค (Glutamic acid) ซึ่งชนิดหลังนี้มีจำหน่ายตามท้องตลาดเพราะมันคือ ผงชูรสที่ไม่ใช่ อูมามิ ร่างกายมีกลูตาไธโอนไปทำไมกลูตาไธโอนมีหน้าที่หลักในการช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารพิษที่ไม่ละลายน้ำแต่ละลายในไขมันดี เช่น สารพิษที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สารพิษบางชนิดในอาหารปิ้งย่างรมควัน และสารพิษจากเชื้อราบางชนิด เป็นต้น สารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ด้วยระบบเอนไซม์ชื่อ กลูตาไธโอน-เอส-ทรานซ์เฟอเรส ซึ่งเป็นระบบเอนไซม์ทำลายสารพิษที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานได้เก่งขึ้น ถ้าเจ้าของร่างกายกินอาหารที่ประกอบด้วยผักตระกูลกระหล่ำปลี เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้ง หอม กระเทียม ดังนั้นท่านผู้อ่านที่นิยมรับประทานอาหารไทยเป็นประจำก็จะมีเอนไซม์นี้ในปริมาณสูง เพื่อช่วยทำลายสารพิษต่างๆ รวมทั้งจะมีการกระตุ้นการสร้างกลูตาไธโอนให้สูงด้วย ถ้ากินอาหารครบห้าหมู่ ผู้บริโภคสตรีส่วนมากทราบจากแผ่นพับโฆษณาขายสินค้าฟอกสีผิวแล้วว่า กลูตาไธโอนเป็นสารช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย โดยกลูตาไธโอนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ชื่อ กลูตาไธโอนเปอรอกซิเดส ซึ่งคอยทำลายสารพวกเปอรอกไซด์ที่เกิดได้เป็นประจำในเซลล์ของร่างกายเรา เปอรอกไซด์นี้ถ้าไม่ถูกกำจัดก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นอนุมูลอิสระซึ่งก่ออันตรายให้แก่ร่างกายได้ ทั้งเรื่องการเกิดเซลล์มะเร็งและกระตุ้นความแก่ของผิวหนัง ในเว็บต่างๆ ที่มีการขายกลูตาไธโอนนั้นมักโฆษณาอ้วดอ้างว่า นอกจากทำให้ผิวขาวเป็นหยวกแล้ว สารกลูตาไธโอนยังบำบัดโรคมะเร็ง บำบัดเอดส์ รักษาผู้ซดพาราเซตามอลเกินขนาด บำบัดผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน บำบัดผู้ป่วยออทิสติค ตลอดจนผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตามการลักลอบจำหน่ายกลูตาไธโอนนั้นถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ฐานโฆษณาเกินจริง มีโทษปรับถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ ยังเป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเกิดอะไรขึ้นกับกลูตาไธโอนเมื่อถูกกินเข้าไป ทันทีที่ถูกกลืนลงกระเพาะแล้วย้ายเข้าสู่ลำไส้เล็ก สารกลูตาไธโอนจะถูกย่อยได้เป็นกรดอะมิโนสามชนิดที่เป็นองค์ประกอบของสารนี้ จากนั้นร่างกายจึงนำกรดอะมิโนทั้งสามไปใช้ตามที่ร่างกายต้องการ ไม่มีการประกันว่าร่างกายจะนำไปสร้างเป็นกลูตาไธโอนใหม่หรือไม่ จึงทำนายไม่ได้ว่าการกินอาหารที่มีกลูตาไธโอนสูงเช่น แตงโมจะช่วยให้ขาวได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ประสิทธิภาพการสร้างกลูตาไธโอนในร่างกายนั้น ลดลงเรื่อยๆ ตามวัย ไม่ว่าจะกินอาหารที่มีกรดอะมิโนทั้งสามที่ใช้เป็นสารตั้งต้นสักเท่าใด พออายุเกินยี่สิบแล้วการสร้างก็ลดลง ผิวเราก็จะคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ได้เป็นอนิจจังวัฏสังขารา การรับผลลดการสร้างเม็ดสีผิวเนื่องจากกลูตาไธโอน ต้องทำโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรงในปริมาณที่มาก ซึ่งเมื่อเข้าอินเตอร์เน็ตจะพบตามที่มีการโฆษณาในเว็บคือ ประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง ซึ่งถือว่าเสี่ยงตายพอควร อีกทั้งมีราคาแพงเป็นหมื่นต่อเข็ม ถูกกว่านี้ไม่รับประกันว่าเป็นกลูตาไธโอนจริงหรือไม่ เนื่องจากกลูตาไธโอนมีราคาแพง ในเครื่องสำอางทั่วไปจึงมีการผสมลงไปบ้างเพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น เพื่อให้สามารถโฆษณาว่ามีสารนี้ จากนั้นผู้ใช้ก็มีหน้าที่สวดมนต์อธิษฐานหวังว่ามันจะเข้าสู่ร่างกายได้บ้างสักโมเลกุลหรือสองโมเลกุลทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยสำรวจพบว่า สถานบำบัดอาการทางจิตที่เกิดเนื่องจากผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้ผิวขาว ทั้งที่ อย. ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกลูตาไธโอนเพื่อใช้ในการรักษาโรคใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ก็เป็นการนำสารดังกล่าวมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหนังส่วนใดของร่างกายสักหน่อย สารกลูตาไธโอนที่ผ่านการรับรองจาก อย. นั้น อยู่ในรูปที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเท่านั้น แต่ไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาไม่ว่าเป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกาย และไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทย ที่น่ากังวลคือ สินค้าที่มีจำหน่ายอยู่นั้นมาจากไหน อาจเป็นของปลอมได้ นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่เคยรับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไธโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่เคยมีผลรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย และไม่ทราบว่ามีการสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตหรือไม่  ทำไมถึงเชื่อว่ากินกลูตาไธโอนแล้วขาวขึ้นการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้น ถือเป็นเพียงผลข้างเคียงของการใช้กลูตาไธโอนในการรักษาโรค ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อการรักษาภาวะแทรกซ้อนในการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็ก ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มีเนื้อเยื่อพังผืดที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยาบางชนิดเพื่อป้องกันอาการพิษต่อสมอง เป็นต้น ยังไม่เคยมีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรงจากการใช้กลูตาไธโอนในการบำบัดโรค มีเพียงอาการผิวหนังลอกในผู้ใช้บางรายเท่านั้น อีกทั้งไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไธโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร จึงควรฟันธงแบบไม่เกรงใจผู้ที่มีผิวคล้ำแล้วอยากกินกลูตาไธโอนให้ขาวว่า ทางที่ดีแล้วไปหาคนทรงเจ้าเข้าผีให้เชิญ ไมเคิล แจคสัน มาบอกดีกว่าว่าทำไมผิวถึงขาวได้ แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลว่าใช้สารในปริมาณเท่าใดและนานเท่าใดจึงเป็นอันตราย (เนื่องจากคนที่เป็นอันตรายนั้นอาจอายเทวดาฟ้าดินจนไม่กล้าเปิดเผยว่าเคยใช้ จึงก้มหน้าก้มตาเก็บเป็นความลับตายไปกับตนเอง) ผู้บริโภคก็ไม่ควรฉีดเข้าเส้นเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เนื่องจากสารนี้ไปหยุดการสร้างเม็ดสีผิวซึ่งช่วยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตที่เป็นธรรมชาติของคนผิวเอเชีย นอกจากนี้เม็ดสีในตาดำของผู้ใช้ก็อาจลดลงจึงเพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อจอประสาทตา คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันรู้และเท่าทันการโฆษณาอวดอ้าง อีกทั้งอยากให้ยอมรับสภาพผิวสีน้ำผึ้ง แม้ว่าบางคนจะเป็นน้ำผึ้งเก่าเก็บมานานจนออกดำก็ตาม ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี ผิวสีเข้มนั้นมีประโยชน์ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง หนุ่มสาวผิวเข้มนั้นสวยหล่อในความรู้สึกของคนตะวันตก จึงมีการบรรยายถึงความหล่อของหนุ่มที่  dark tall and handsome ขอเพียงให้ผิวนั้น สะอาดเนียน ไร้กลิ่นเหงื่อไคล ถ้าจะมีกลิ่นบ้างก็ขอเป็นกลิ่นสะอาดตามธรรมชาติ ไม่ใช่หน้าขาวกระดำกระด่างเพราะสารเคมีในยา หรือเครื่องสำอางกัดลอกผิวหน้า สำหรับหน่วนงานที่ดูแลจรรยาบรรณของบุคลากรด้านสาธารณสุขนั้น ตามข่าวในเน็ตและหนังสือพิมพ์แจ้งว่า ได้ขอเวลาในการตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า สารดังกล่าวมีการนำมาใช้ในไทยหรือไม่ และต่างประเทศใช้ในลักษณะใด หรือมีการตีพิมพ์ผลการใช้ในวารสารทางสาธารณสุขอย่างไร นอกจากนี้หน่วยงานดังกล่าวยังต้องสอบถามไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งคงไม่สามารถให้คำตอบในทันทีว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อความเป็นธรรมต่อบุคลากรสาธารณสุขที่อยากให้บริการใช้กลูตาไธโอนแก่ลูกค้าหรือผู้มีความผิดปรกติทางจิตเกี่ยวกับสีผิว เพราะปัจจุบันหน่วยงานนี้ยอมรับว่า มียาหลายชนิดที่บุคลากรด้านสาธารณสุขนำผลข้างเคียงมาใช้กับผู้ป่วย เช่น ยาแก้แพ้ ก็มีการสั่งนำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคันตามร่างกาย เพื่อให้นอนหลับไปและไม่คัน ท่านผู้อ่านมีความคิดอย่างไรกับความรอบคอบของหน่วยงานดังกล่าว สามารถเขียนอีเมล์ไปคุยกันได้นะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 108 เสียงผู้บริโภค

ถูกตัดบัญชีเงินเดือนทั้งหมดโดยยังไม่มีหมายศาล ต้องเรียกว่า 100% เต็มครับที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงเทพทั้งนั้นและได้ร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่าถูกธนาคารดอกบัวหลวงยึดเงินในบัญชีไปโดยไม่มีการบอกกล่าวหรือมีหมายบังคับคดีจากศาลแต่อย่างใด ที่สำคัญคือบัญชีที่ถูกยึดเป็นบัญชีเงินเดือน วันที่ 24 ธันวาคม 2552 เป็นวันสุดช็อคของคุณสุวรรณ(นามสมมติ) เพราะอยู่ดีๆ เงินในบัญชีร่วมสี่หมื่นกว่าหายกลายเป็นศูนย์โดยไม่มีการบอกกล่าว “วันนั้นดิฉันไปกดเงินจากบัญชีธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นบัญชีสำหรับโอนเงินเดือนเข้าแต่พบเงินในบัญชีมียอดเงินเป็นศูนย์บาท ตกใจมากค่ะทีแรกคิดว่าเงินหายจึงโทรสอบถามไปที่คอลเซนเตอร์ ได้รับแจ้งให้ติดต่อไปอีกหมายเลขหนึ่ง ก็กดโทรไปถามจึงได้รับแจ้งว่า ธนาคารเป็นผู้หักเงินในบัญชีไปทั้งหมดจริงเพื่อนำไปชำระหนี้บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพที่ดิฉันติดค้างชำระอยู่  เจ้าหน้าที่แจ้งว่าธนาคารมีสิทธิจะทำได้เนื่องจากดิฉันทำสัญญาไว้” คุณสุวรรณงงเหมือนเพลงไก่นาตาฟาง ว่าตนเองไปทำสัญญาบ้าๆ แบบนี้ตอนไหนที่ไปอนุญาตให้ธนาคารหักเงินซะหมดเกลี้ยงจนไม่มีจะกิน… คุณวรพลเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพอีกรายที่ประสบชะตากรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552 ญาติของคุณวรพลได้โอนเงินมาใช้หนี้ของพี่ชายจำนวน 12,500 บาท เข้ามาบัญชีของคุณวรพล พอวันที่  29 ธันวาคม 2552 คุณวรพลจะไปกดเงินมาให้พี่ชาย แต่ว่าไม่มีเงินอยู่แม้แต่บาทเดียว ไปสอบถามทางธนาคารบอกคุณเป็นหนี้บัตรเครดิต ทางบัตรเครดิตได้หักเงินไปแล้วสุดท้ายคือคุณสมคิด ถูกธนาคารกรุงเทพอายัดเงินในบัญชีเงินเดือนไปทั้งหมด เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต จำนวนสองหมื่นกว่าบาท โดยคุณสมคิดเข้าใจว่า การที่ธนาคารจะทำเช่นนี้ได้จะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของบัญชีเสียก่อน การยึดเงินในบัญชีเพื่อนำไปชำระหนี้โดยไม่มีการบอกกล่าวกับลูกหนี้ของธนาคารแห่งนี้ ทำให้ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก อย่างกรณีของคุณสุวรรณเธอบอกว่า เงินที่ถูกยึดไปนั้นเป็นเงินเดือนและโบนัสที่ได้มาและจะนำมาเคลียประนอมหนี้เจ้าหนี้ที่มี  และเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะในแต่ละเดือนของครอบครัว และเมื่อไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่บาทเดียว ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินญาติพี่น้องเพื่อมาประทังชีวิต แนวทางแก้ไขปัญหาการที่ลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้จะถูกยึดทรัพย์ อายัดเงินทั้งที่เป็นเงินเดือนหรือเงินในบัญชีที่ฝากไว้กับธนาคารได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหนี้จะทำได้โดยพลการ เพราะตามกระบวนการทางกฎหมายแล้วเจ้าหนี้จะต้องไปฟ้องร้องต่อศาลจนมีคำพิพากษาออกมา หากลูกหนี้ก็ยังไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระหนี้ได้นั่นแหละ ทางเจ้าหนี้ถึงจะไปร้องขอต่อศาลอีกครั้งเพื่อออกหมายบังคับคดี อายัดเงินเดือน ยึดทรัพย์ หรือยึดบัญชีฝากเงินในธนาคาร ที่ว่ามานี้เป็นกรณีที่ไม่มีข้อสัญญาผูกกันไว้แต่ต้น แต่ถ้ามีสัญญาผูกพันกันไว้ว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้จะยอมให้เจ้าหนี้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้และลูกหนี้ลงนามยินยอมให้เจ้าหนี้ทำเช่นนั้นได้ก็เสร็จเจ้าหนี้แน่นอน ในการทำสัญญาเป็นสมาชิกบัตรเครดิตกับธนาคารกรุงเทพหรือกับสถาบันการเงินอื่นๆ ต้องยอมรับว่ามีผู้บริโภคน้อยรายที่จะสนใจอ่านข้อสัญญากันทุกบรรทัดก่อนลงลายมือชื่อเข้าทำสัญญา แต่ถ้าใครมีบัญชีเงินเดือนอยู่กับธนาคารกรุงเทพและถูกแนะนำให้ทำบัตรเครดิตด้วย ขอแนะนำว่าต้องอ่านครับหากจะทำบัตรเครดิตกับธนาคารแห่งนี้ เพราะในสัญญามีการระบุข้อความสำคัญว่า “ข้าพเจ้า(ผู้ถือบัตรเครดิต) ตกลงว่า หากข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของธนาคาร อันเป็นเหตุให้ธนาคารยกเลิกบัตร ข้าพเจ้ายินยอมให้ธนาคารมีสิทธินำเงินในบัญชีเงินฝากทุกประเภทของข้าพเจ้า มาชำระหนี้บัตรเครดิตที่มีอยู่กับธนาคารได้” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ธนาคารยึดเงินในบัญชีไปชำระหนี้บัตรเครดิตที่ค้างได้จนกว่าจะหมดเนื่องจากผู้บริโภคได้ให้ความยินยอมไว้แล้วนั่นเอง และสามารถหักได้แม้จะอายุความของหนี้บัตรเครดิตจะขาดไปแล้วก็ตาม ข้อสัญญาในลักษณะดังกล่าวนี้ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการพิจารณาเห็นว่าเป็นข้อสัญญาที่มีลักษณะหรือมีผลให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ เนื่องจากการไม่ชำระหนี้บัตรเครดิตอาจมีสาเหตุหลายประการ เช่น บัตรสูญหาย  บัตรถูกลักขโมย  ซึ่งยังไม่ได้พิสูจน์ความรับผิดประกอบกับเป็นการใช้ข้อสัญญาที่เลี่ยงกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ไปใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดเสียก่อน  การกำหนดข้อสัญญาเช่นนี้ จึงน่าจะเป็นกรณีที่กำหนดข้อสัญญาที่ให้ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบ หรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด  ซึ่งอาจถือได้ว่าทำให้ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร  ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 และยังขัดต่อประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2542 อีก ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อหาแนวทางกำหนดนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป แต่ผู้บริโภคอย่างคุณสุวรรณ คุณวรพล คุณสมคิดที่โดนยึดเงินไปแล้วคงจะรอมาตรการของ สคบ. ไม่ไหว ข้อแนะนำที่มีให้คือให้ไปขอเจรจากับธนาคารเพื่อขอลดหย่อนการหักเงินในบัญชีลงส่วนหนึ่งซึ่งธนาคารจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป และที่สำคัญต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตของธนาคารที่ตนมีสมุดบัญชีเงินเดือนหรือสมุดบัญชีเงินฝากอยู่อย่างเด็ดขาด รถหาย แต่ถูกขู่ว่ายักยอกทรัพย์ในปัจจุบันต้องถือว่ารถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ซื้อง่ายและหายก็คล่อง อย่างที่มีข่าวว่า มีการค้นพบสุสานโครงรถจักรยานยนต์ในคลองแห่งหนึ่งที่แก๊งค์ลักรถนำมาทิ้งไว้ ทำให้มีคำถามเข้ามามากว่า เมื่อรถหายแล้วผู้บริโภคที่เช่าซื้อรถคันนั้นมาจะต้องผ่อนกุญแจรถต่อไปหรือไม่ คำถามนี้มีคำตอบครับ คุณนฤมลได้ร้องเรียนมาว่า ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 1 คัน ในราคา 41,000 บาท กับบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) โดยตกลงชำระเป็นงวด 36 งวด ๆ ละ 1,750 บาท คุณนฤมลได้ชำระมาถึงงวดที่ 19 ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์สุดที่รักถูกขโมยหายไป ได้แจ้งความกับตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้ว แต่ปรากฏว่าบริษัทอิออนได้มีเอกสารมาแจ้งให้คุณนฤมลชำระเงินต่อให้หมดอีก 17 งวดที่เหลือ คุณนฤมลพยายามต่อรองขอส่วนลดกับอิออนโดยขอชำระส่วนที่เป็นเงินต้นที่ค้างอยู่ แต่ทางอิออนบอกว่า ไม่ได้ ต้องจ่ายให้หมด ไม่เช่นนั้นจะฟ้องร้องข้อหายักยอกทรัพย์ อ้าว...! ไหงเป็นอย่างนี้ล่ะ คุณนฤมลร้อง อุตส่าห์ยอมที่จะผ่อนกุญแจรถให้แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรไปเสียนี่ จึงอยากจะให้ทางมูลนิธิ ช่วยแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาว่าตามกฎหมายแล้ว ในฐานะผู้บริโภคจะสามารถจ่ายในส่วนของเงินต้นที่ค้างอยู่ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ดีนัก รายรับไม่แน่นอน จึงอยากจะเก็บสะสมเงินก้อนเพื่อนำไปจ่ายหนี้สินให้กับทางอิออนให้หมดไป มารดาจะได้ไม่ต้องทุกข์ใจเมื่อทางเจ้าหน้าที่โทรและส่งจดหมายมาข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ แนวทางแก้ไขปัญหาอันว่าสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นของไฟแนนซ์หรือลิซซิ่งไหนก็แล้วแต่ จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมสัญญาตามประกาศเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2543 ซึ่งประกาศฉบับนี้ได้คุ้มครองผู้บริโภคไม่ต้องผ่อนค่ากุญแจต่อไปจนครบสัญญาในกรณีที่รถหรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ถูกทำลาย ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบโดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ เพราะถือว่าสัญญาเช่าซื้อได้ระงับลงแล้วเมื่อทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้สูญหายไป ดังนั้น หากผู้บริโภคมั่นใจว่าการสูญหายของรถนั้นไม่ได้เกิดมาจากความประมาทหรือความจงใจของตนก็ให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยทันที และให้ส่งสำเนาหลักฐานการแจ้งความไปให้อิออนครับ ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ เก็บตัวจริงไว้เป็นหลักฐาน หากจะมีการกล่าวหาว่าผู้บริโภคเป็นผู้ยักยอกทรัพย์ที่เช่าซื้อนั้นเองฝ่ายผู้กล่าวหาก็ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนเช่นกันครับ รำคาญเชฟโรเลตป้ายแดงกินน้ำมันเครื่องคุณไพฑูรย์ได้เดินทางเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำปรึกษาปัญหารถยนต์กินน้ำมันเครื่องแต่ศูนย์บริการไม่เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้ จะใช้วิธีซ่อมอย่างเดียว คุณไพฑูรย์เล่าว่า ได้ซื้อรถยนต์เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่น 2,500 ซีซี  เพื่อใช้รับจ้างบรรทุกของทั่วไป ตั้งแต่ปี 2548 มีระยะประกันเครื่องยนต์ 100,000 กิโลเมตรหรือ 3 ปี  วิ่งวันละไม่ต่ำกว่า 400 กิโลเมตร ปัญหาที่ทำให้คุณไพฑูรย์หัวเสียกับรถคันนี้มากคือ น้ำมันเครื่องจะหาย ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 5,000 กิโลเมตรแทนที่จะเป็น 10,000 กิโลเมตรเหมือนรถป้ายแดงคันอื่น คุณไพฑูรย์ได้นำรถเข้าศูนย์บริการแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ฝ่ายช่างของศูนย์บริการแจ้งว่าเป็นอาการปกติของรถรุ่นนี้ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยมากทุกๆ 5,000 กิโลเมตร สุดท้ายทนต่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ไหวจึงเปลี่ยนมาใช้ศูนย์บริการอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งช่างเครื่องของศูนย์บริการแห่งนี้ได้ให้ข้อมูลว่ารถยนต์รุ่นนี้มีอายุการถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตร ช่างเครื่องจึงได้แนะนำให้เข้าไปตรวจสอบกับศูนย์บริการใหญ่ คุณไพฑูรย์จึงได้ทำตามคำแนะนำโดยได้มีการทดสอบตามขั้นตอน เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ดักไอน้ำมันเครื่อง แล้วให้ขับไปใช้งานเพื่อดูผลทีละหมื่นกิโลเมตรแต่อาการน้ำมันเครื่องหายก็ไม่หายเสียที ทดสอบตามขั้นตอนจนถึงเลขไมล์วิ่งมาที่ 95,947 กิโลเมตร จึงได้มีการนัดให้มาแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ ก็พอดีกับที่คุณไพฑูรย์ต้องใช้รถกว่าจะเข้าศูนย์บริการได้ เลขไมล์ก็เกิน 100,000 กิโลเมตรแล้ว คุณไพฑูรย์เห็นว่า ทางศูนย์บริการนั้นทราบดีว่าเครื่องยนต์มีปัญหาก่อน 100,000 กิโลเมตร แทนที่จะนัดเพื่อให้มาเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่แทนเครื่องยนต์เดิมกลับใช้วิธีแก้ไขเครื่องยนต์แทน จึงมาขอคำปรึกษากับมูลนิธิฯว่า จะเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่เพราะเป็นรถซื้อมาป้ายแดงแล้วเกิดปัญหาเช่นนี้ แนวทางแก้ไขปัญหา กรณีของความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้น สามารถฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคได้ แต่อย่างไรก็ดีการที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้แก่ผู้บริโภคแทนการแก้ไขซ่อมแซมสินค้าที่ชำรุดบกพร่องนั้น ก็ต่อเมื่อศาลเชื่อว่าความชำรุดบกพร่องนั้นมีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้าและไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ หรือถึงแม้จะแก้ไขแล้วแต่หากนำไปใช้บริโภคแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของผู้บริโภคได้  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือแม้จะนำเรื่องขึ้นสู่ศาล หากศาลเห็นว่าความชำรุดบกพร่องนั้นไม่เกิดผลอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้บริโภค ศาลก็จะสั่งให้มีการซ่อมสินค้าก่อน คงจะไม่สั่งให้เปลี่ยนสินค้าโดยทันที ซึ่งในกรณีรถของคุณไพฑูรย์นั้นทราบว่าศูนย์บริการได้ดำเนินการซ่อมแก้ไขเครื่องยนต์ให้จนสามารถใช้งานได้ตามปกติ และปัญหาน้ำมันเครื่องหายได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วโดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพราะทางศูนย์บริการถือว่ายังอยู่ในระยะรับประกันอยู่  การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็น แต่ที่เสียความรู้สึกคือปัญหาถูกปล่อยให้เยิ่นเย้อยาวนานตรงนี้ต้องถือเป็นบทเรียนของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ที่ศูนย์บริการมักใช้วิธีประวิงเวลาจนอายุประกันใกล้หมดหรือหมดไปและหาเหตุที่จะไม่รับผิดชอบต่อลูกค้า ทางแก้ไขคือ การทักท้วงไม่ควรทักท้วงด้วยวาจาอย่างเดียว ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่แรกเมื่อทราบถึงปัญหา และหากทักท้วงล่าช้าก็จะลำบาก อย่างไรก็ดี หากคุณไพฑูรย์มีหลักฐานพบว่าปัญหาน้ำมันเครื่องหายยังปรากฏขึ้นอยู่หลังการซ่อมแซมแล้วก็ยังสามารถนำเรื่องฟ้องต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภคเพื่อขอให้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ได้เช่นกัน ----------------------------------------------------------------------------------------- หัวล้านได้หวีเรื่องโดยบุญยืน ศิริธรรม เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดเพชรบูรณ์  เพื่อให้กำลังใจคนทำงาน และดูความก้าวหน้างานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค    รวมถึงได้มีโอกาสตั้งวงคุยกับคณะทำงานของเพชรบูรณ์  เรื่องหนึ่งที่คุยแล้วรู้สึกตกใจ เฮ้ย..มีเรื่องยังงี้ด้วยหรือ   แถมเป็นเรื่องที่ใครได้ฟังก็ขำไม่ออก ก็เรื่องมันมีอยู่ว่า ศูนย์ฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้พิการในจังหวัดเพชรบูรณ์   กรณีเขาได้รับแจกบัตรโทรศัพท์  ที่มีมูลค่าในบัตร 100  บาท  โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้แจกให้ เราก็ว่าก็ดีแล้วเขาแจกให้ทำไมเขายังมาร้องเรียนอีก ศูนย์บอกว่า บัตรที่แจกไม่ใช่บัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถืออย่างที่เราๆ คุ้นเคย  แต่มันเป็นบัตรที่ต้องใช้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะของTOT  เท่านั้น   และที่ขำไม่ออกสุดๆ คือ  มันมีแต่บัตร แต่ตู้โทรศัพท์ของ TOT ยังไม่มีในพื้นที่เลยสักตู้เดียว (ขำไหมล่ะทีนี้) ผู้พิการเขามาบอกว่าแจกมาทำไมบัตรเนี่ย…ยังไงเขาก็ไม่ได้ใช้ ถึงแม้จะมีตู้ก็ตามเพราะถึงมีตู้มันก็เป็นตู้ที่คนพิการใช้ไม่ได้อยู่ดี  เขามีเหตุผลฟังแล้วน่าสนใจคือ ถ้าเป็นผู้พิการที่ต้องนั่งรถเข็น ตู้มันชอบอยู่บนฟุตบาท ทั้งแคบและสูงกว่ารถเข็นคนพิการจะเข้าถึง  เขาก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี   ส่วนผู้พิการทางสายตาตู้โทรศัพท์ก็เป็นตู้แบบไม่มีเสียงนำคนตาบอดก็ใช้ไม่ได้    สำหรับผู้พิการทางหู เขาพูดไม่ได้ต้องสื่อสารเป็นข้อความหรือภาพ  แต่ตู้สาธารณะมันก็ไม่มีภาพก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี  สรุปบัตรที่แจกผู้พิการใช้ไม่ได้เลยซักกลุ่ม    เขาทำนองหัวล้านได้หวี เออ....นั่นสิ  แล้วเขาแจกมาทำไมมันไม่มีประโยชน์เลย ผู้เขียนก็เลยสอบถามข้อมูลกับผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้รู้ว่า  ไอ้ที่เราๆ เสียค่าโทรศัพท์ทั้งพื้นฐานและเคลื่อนที่นั้น มีอยู่ส่วนหนึ่งที่บริษัทต้องส่งเงินเข้ากองทุน UFO (กองทุนพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ)ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)  ซึ่งมีวงเงินนับหมื่นล้านบาทกันเลยทีเดียวเชียว โดยมีสำนักงานการบริการอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นสำนักงานหนึ่งในกทช.เป็นผู้รับผิดชอบ สำนักนี้ก็มอบให้ TOT เป็นเจ้าภาพในการจัดการบริการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ  แทนที่ TOT จะคิดวิธีจัดให้มีบริการอย่างทั่วถึงแต่กลับแปลงกายเป็นช่างตัดรองเท้า และก็ตัดเบอร์เดียวทั้งประเทศ แล้วมาบังคับให้ทุกตีนใส่รองเท้าที่เขาตัดให้   โดยใช้วิธีสะดวกคือแจกบัตรโทรศัพท์ให้ผู้พิการทั่วประเทศผ่าน พมจ.จังหวัด  เรื่องมันก็กลายเป็นว่า TOT ให้บัตรแล้วจบ พมจ.มีหน้าที่แจกแล้วจบ   คนที่เจ็บแล้วเจ็บอีกก็เลยกลายเป็นผู้พิการ   เฮ้อ....ประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาคิดกันได้แค่นี้  แต่ใช้เงินเป็นหมื่นล้าน เราเจ้าของเงินจะนั่งกันตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้ แล้วปล่อยให้พวกเขาผลาญเงินให้หมดไปวันๆ โดยใช้กลุ่มผู้พิการเป็นเหยื่อกระนั้นหรือ  กทช.ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้แบบเต็มๆ ทราบบ้างไหม ว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นถ้ายังไม่ทราบก็ควรทราบเสียที  ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ไม่ควรอยู่เฉย ต้องลุกขึ้นมาร่วมกันตรวจสอบและกระตุ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(ที่บ้า บอด ใบ้ ทางปัญญา)  เพื่อช่วยทำให้เงินของเราเกิดประโยชน์กับผู้ด้อยโอกาสจริงๆ  ไม่ใช่ปล่อยไว้อย่างนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 มาเป็นแม่บ้านไร้สารกันเถอะค่ะ

“ฉลาดซื้อ” ฉบับนี้นำเรื่องดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้เราขอเอาใจคุณแม่บ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่บ้านที่รักการทำความสะอาดบ้าน (และที่ทำเพราะหน้าที่) “ฉลาดซื้อ” อยากชวนคุณแม่บ้านทุกท่านมาลองคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการทำให้บ้านอันแสนอบอุ่นของทุกคนเป็นบ้านปลอดสาร(พิษ) สะอาดอย่างปลอดภัย แถมยังห่วงใยโลก สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่หัวใจสีเขียว ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษ สารเคมีใกล้ตัวไม่กลัวไม่ได้นะแค่พูดถึง “สารเคมี” ทุกคนก็คงรู้สึกไม่ดีกันแล้วใช่ไหมคะ คุณแม่บ้านหลายคนอาจจะคิดว่าสารเคมีแม้จะเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวแต่ก็เป็นเรื่องไกลตัวคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะอันตรายจากสารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ มากขนาดที่เราทุกคนใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสารเคมีในบ้านของเราเองตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน ซึ่งสารเคมีที่เราต้องสัมผัสพบเจอในชีวิตประจำวันของเราก็ไม่ได้มาจากที่ไหนไกลมาจากข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างรอบตัวเรา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราใช้ภายในบ้านนี่แหละ ทั้งผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ และอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่วางขายทั่วไปอยู่ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมหลักทั้งนั้น สำรวจบ้านหาจุดเสี่ยงสารเคมี!!!ตอนนี้คุณแม่บ้านลองเดินสำรวจในบ้านของตัวเองดูนะคะ ลองดูซิว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราซื้อเข้าบ้านมีอะไรที่เป็นตัวนำสารเคมีเข้ามาบ้าง เริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านของคุณแม่บ้านก่อนเลยค่ะ หลายๆ บ้านคงจะใช้บริเวณด้านนอกของบ้านเป็นโซนซักล้าง ซึ่งที่นี่เราจะได้พบสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราซื้อมาจากร้านค้า ทั้งผงซักฟอก น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาซักแห้ง น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือถ้าคุณแม่บ้านมีรถ ก็จะเจอสารเคมีได้อีกในน้ำยาทำความสะอาดรถยนต์ น้ำยาขัดเงา น้ำมันเครื่อง เข้ามาในบ้าน ที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ในนี้จะมีสารเคมีที่เราคิดไม่ถึงซ่อนอยู่เยอะเลย ทั้งในพรมสังเคราะห์ ที่มักผลิตมาจากโพลียูริเทนโฟมซึ่งมีสารบางตัวที่อาจถูกปล่อยออกมาก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจ นอกจากนี้อาจมีสารเคมีตกค้างจากน้ำยาทำความสะอาดพรมด้วย วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ที่ทำจากพลาสติกก็อาจปนเปื้อนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ นี่ยังไม่พูดถึงบรรดาน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ รวมทั้งแร่ใยหินจากกระเบื้องที่อยู่เหนือศีรษะเรา มาต่อกันที่ห้องครัว ที่ที่เราใช้ปรุงอาหารรับประทาน ถ้ามีสารเคมีอยู่ด้วยแบบนี้น่ากลัวนะคะ แต่ว่ายังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ เพราะในห้องนี้เราอาจเจอสารเคมีได้ทั้งใน เตาอบไมโครเวฟ เครื่องครัวเคลือบเทฟลอน รวมถึงในน้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดคราบสกปรก น้ำยาขจัดสิ่งอุดตันในท่อ และยาฆ่าหนูและแมลงต่างๆ ปิดท้ายที่ห้องน้ำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าทั้ง สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า ล้วนแล้วมีส่วนผสมของสารเคมีทั้งนั้น แม้จะไม่อันตรายมาก แต่อาจมีบ้างบางคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์บางตัวบางยี่ห้อ สารเคมีที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังในห้องน้ำน่าจะเป็น น้ำยาขัดพื้นห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดโถส้วม และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เพราะพวกนี้มักมีสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง คุณแม่บ้านที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้คงเคยสังเกตว่าเวลาหยดผลิตภัณฑ์พวกนี้ลงพื้นก็จะเกิดฟองขึ้นทันที ซึ่งเป็นฤทธิ์ของการกัดกร่อนของสารเคมี ขนาดพื้นปูนพื้นกระเบื้องยังขนาดนี้ ถ้าโดนตรงๆ กับผิวหนังของเราก็คงดูไม่จืดแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ภายในบ้านที่อาจเสี่ยงสารเคมี ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้พลาสติก ตู้ไม้อัด ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บ สเปรย์ใส่ผม ยาย้อมผม สีทาบ้าน ยาฉีดยุง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพีวีซี อย่าง ท่อน้ำ กระเบื้องยางปูพื้น ของเล่นเด็ก ฯลฯ แม้จะดูเยอะจนน่าตกใจ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงและลดการใช้สารเคมีในบ้านของเราได้ค่ะ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็อย่าซื้อหาเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน คือใช้เท่าที่จำเป็น ใช้แต่พอดี อันไหนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ และรู้สึกว่าอาจต้องเสี่ยงกับสารเคมีก็ต้องศึกษาข้อมูลวิธีการใช้ คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ ให้ดี หรืออะไรที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทดแทนได้ อย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านต่างๆ ก็หามาใช้หรือถ้าทำใช้ได้เองก็ยิ่งดีค่ะ ซึ่งนอกจากจะดีกับสุขภาพของคุณแม่บ้านและคนในครอบครัว ยังดีต่อโลกของเราด้วยเพราะไม่มีสารเคมีตกค้างไปทำร้ายสิ่งแวดล้อม แถมยังถูกกว่าประหยัดกว่า และการลองทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติด้วยตัวเอง อาจช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นงานที่สนุกมากขึ้นก็ได้ค่ะ คำแนะนำเพื่อทำให้บ้านปลอดสารพิษจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด1.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นระบบ คือให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันหรือทำหน้าที่เหมือนกันเก็บไว้ด้วย เช่นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าก็ไว้รวมกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำก็แยกกลุ่มออกมาให้ชัดเจน 2.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนอกเหนือจากหน้าที่ของมัน คือไม่เอาผงซักฟอกไปล้างจาน หรือเอาน้ำยาขัดพื้นห้องน้ำมาขัดพื้นห้องรับแขกหรือห้องครัว 3.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่จะซื้อเข้ามาในบ้าน ต้องเลือกที่มีฉลากแสดงข้อมูลต่างๆ ชัดเจน วิธีการใช้ คำเตือนของอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และวิธีการรักษาอาการแพ้เบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ 4.เมื่อคุณแม่บ้านอ่านข้อความวิธีการใช้และคำเตือนต่างๆ บนฉลากข้างผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งสวมเสื้อผ้ามิดชิด ไม่สัมผัสโดยตรง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 5.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ห่างจากมือเด็กมากที่สุด 6.ซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแค่เท่าที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ควรซื้อมาเก็บตุนไว้มากๆ เพราะแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงสารเคมีให้กับตัวเอง 7.ลองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติหรือมีอันตรายน้อยกว่ามาทดแทน อย่างเช่น ผงฟู หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ได้ไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่วางขายอยู่ตามร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต-------------------------------------------------- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใกล้ตัว ใช้แล้วไม่ต้องกลัวสารพิษ ผงฟู : ผู้พิชิตผงฟู หรือที่บางคนเรียก เบคกิ้งโซดา หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต นอกจากจะใช้ทำให้ขนมฟูดูน่ากินแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ความสะอาดบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก เพราะความที่มีอนุภาคเล็กและมีรูปทรงผลึกอ่อนนุ่ม จึงดีต่อการใช้ขัดถูทำความสะอาด มีสรรพคุณปรับค่าความเป็นกรดด่างและฆ่าเชื้อโรค แถมยังช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เรียกว่าเราสามารถนำผงฟูไปเป็นสูตรทำความสะอาดได้ตั้งแต่ เสื้อผ้า จานชาม พื้นบ้าน อุปกรณ์เครื่องครัว ขจัดกลิ่นตู้เสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงใช้แทนยาสีฟันก็ยังได้ น้ำส้มสายชู : คุณค่าคู่ครัวไม่เพียงแค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่น้ำส้มสายชูยังเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการทำความสะอาดคราบต่างๆ ได้ด้วย น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยกัดกร่อนคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามพื้นห้องน้ำ พื้นกระเบื้อง หรือคราบสนิทอยู่เกาะอยู่ตามก๊อกน้ำ ฝักบัว หรือเครื่องครัวต่างๆ ทั้งแบบที่ทำจากอลูมิเนียม อย่าง กาต้มน้ำ ที่เมื่อใช้ไปนานๆ มักเกิดคราบจากตะกอน คราบเขม่า และเครื่องครัวที่เป็นแก้วหรือคริสตัล น้ำส้มสายชูก็สามารถทำความสะอาดให้กับมาใสปิ๊งเหมือนใหม่ได้ด้วย น้ำมะนาว : เราทำได้นอกจากจะเพิ่มความเปรี้ยวให้กับชีวิตแล้ว น้ำมะนาวยังเป็นน้ำยาขัดขาวสูตรธรรมชาติปลอดภัยไร้สารอีกต่างหาก น้ำมะนาวใช้ขัดทำความสะอาดได้ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองและทองแดง ช่วยขจัดคราบสนิมและคราบสกปรกจากอาหารที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า และยังช่วยขจัดคราบกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดอยู่ตามอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวอย่าง เขียงและมีด สบู่ : สู้ความสกปรกสบู่ที่เราใช้อาบน้ำมักจะเหลือค้างเป็นก้อนเล็กๆ เพราะมันเล็กจนจับไม่ถนัดมือเราจึงไม่ได้ใช้มันต่อ และเหมือนจะหมดประโยชน์ไปโดยปริยาย แต่สบู่ก้อนเล็กๆ เหล่านี้จะมีกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง โดยการเก็บรวบรวมนำมาผสมกับน้ำร้อนใช้เป็นน้ำยาล้างจานได้ เพราะสบู่มีคุณสมบัติของสารลดแรงตึงผิวเหมือนกัน แต่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ปลอดภัยกับผิวเรามากกว่า น้ำ : ทำได้หมดวัตถุดิบพื้นฐานสุดๆ ที่เราใช้ทำความสะอาดทุกๆ อย่าง ทั้ง ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ทำความสะอาดนู้นนี้ เราใช้น้ำช่วยในการชำระล้างคราบสกปรกต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพของน้ำเปล่าๆ อาจไม่เข้มข้นพอที่จะขจัดคราบสกปรกบางอย่างชนิดที่เกาะติดแน่นมากๆ แต่บางครั้งแค่น้ำเปล่าธรรมดาบวกกับการออกแรงขัดถูนิดน้อย คราบสกปรกที่เราหวั่นใจก็อาจหลุดออกได้ง่ายๆ แบบที่เราอาจคาดไม่ถึง สูตรน้ำยาทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษน้ำยาล้างห้องน้ำแม่บ้านหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์รุนแรง ถึงขนาดกัดกร่อนคราบสกปรกต่างๆ ได้ง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องเปลืองแรงขัด นั้นก็เพราะในน้ำยาล้างห้องน้ำมีส่วนผสมของกรดหลายชนิด ที่นิยมมากที่สุดก็คือ กรดเกลือ (hydrochloric acid) ซึ่งขนาดคราบสกปรกบนพื้นปูนหรือพื้นกระเบื้องยังขจัดออกได้ แล้วถ้าโดนเข้ากับผิวหนังของเราก็ไม่ต้องเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ถ้าโดนผิวหนัง เข้าตา หรือหายใจสูดเอากลิ่นของมันเข้าไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้ -ใช้แอมโมเนียและน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่งถ้วย ผสมกับผงฟู ¼ ถ้วย นำไปเทลงบนพื้นแล้วใช้แปรงขัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ ใช้เป็นน้ำยาทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง -ใช้น้ำส้มสายชูเทลงในโถส้วม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้แปรงขัด ใช้ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ได้ -ใช้น้ำยาฟอกขาวกับน้ำมะนาว ¼ ถ้วย ผสมกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค สำหรับขัดตามอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ฝักบัว ผงซักฟอกไขข้อข้องใจสำหรับแม่บ้านที่ซักผ้าด้วยมือ ผงซักฟอกเป็นสารเคมีพวกกรดด่าง สารละลายอินทรีย์ และอาจมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสิ่งสกปรก เมื่อผิวหนังเราสัมผัสสารเหล่านี้เป็นเวลานานอาจเกิดผลเสียขึ้นได้ ทั้งผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ผิวแห้งและแตก อีกเรื่องที่อยากฝากเตือนคุณแม่บ้านคือ ไม่ควรนำผงซักฟอกไปล้างทำความสะอาดอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นล้างจานชาม หรือล้างมือ เพราะถ้ามีสารตกค้างเข้าสู่ร่างกาย อาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรือถึงขั้นช็อคเลยก็ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-นำผงสบู่ที่ได้จากการสบู่ก้อนบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของสีและกลิ่นมาขูดให้เป็นผงประมาณ 1 ถ้วย ผสมกับน้ำ 3 ถ้วยที่ใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่บอแรกซ์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เป็นสบู่เหลวซักผ้า -นำผงสบู่ผสมน้ำร้อนอย่างละ 2 ถ้วย ทำให้ผงสบู่ละลายแล้วเติมแอลกอฮอล์ 1 ถ้วย น้ำมันยูคาลิปตัส 2 ช้อนโต๊ะ ใช้เป็นหัวเชื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม เวลาใช้ให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร เมื่อปรับผ้านุ่มแล้วให้ซักด้วยน้ำอุ่นอีกหนึ่งครั้ง -ผงฟูช่วยทำให้ผ้านุ่มและขจัดกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้าได้ โดยการเทผงฟูประมาณ ½ ถ้วยลงในน้ำสุดท้ายของการซักผ้าน้ำยาล้างจานส่วนผสมหลักๆ ของน้ำยาล้างจานคือ สารสังเคราะห์ในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว (surfactant) รวมทั้งยังผสมสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเพื่อทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรก นอกจากนี้ยังมีการผสมสารต่างๆ อีกหลายชนิด สารที่ให้กลิ่นหอม สารฟอกสี ซึ่งสารสังเคราะห์เหล่านี้ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงสบู่ 1 ถ้วย ผสมน้ำตั้งไฟจนเดือดคนจนละลาย ผสมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาล้างจาน -น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว ใช้เช็ดถูทำความสะอาดคราบบนภาชนะต่างๆ เช่น หม้อ กาต้มน้ำ และใช้ขัดคราบและกลิ่นบนเครื่องครัวที่ทำจากไม้ อย่าง เขียง ได้ด้วย น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่จะผสมสารที่ชื่อว่า ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (isopropyl alcohol) ซึ่งเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ซึ่งถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60 – 70% หากเราหายใจเอาเจ้าสารนี้เขาไปในปริมาณมากๆ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอและจมูก เป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ ปวดหัว วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณเท่ากัน ชุบด้วยผ้านุ่มใช้เช็ดทำความสะอาดกระจก แต่หากใช้น้ำส้มสายชูเช็ดกระจกแล้วเกิดคราบ ให้ใช้แอลกฮอล์เช็ดที่กระจกก่อน -ใช้ผ้าเปียกถูกับสบู่ก้อน เช็ดบนกระจก ล้างออกแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ช่วยทำให้กระจกที่เป็นฝ้ามัวกลับมาใสเหมือนใหม่น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ทำมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แว็กซ์ และน้ำมัน ไม่ควรสูดดม สัมผัส หรือนำเข้าสู่ร่างกาย หากได้รับสารดังกล่าวเข้า อาจมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ แนะนำว่าเวลาใช้น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ควรทำในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำมันพืช 1 ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้ผ้าชุบเช็ดทำความสะอาด ซึ่งสูตรนี้ช่วยลบรอยขีดข่วนได้ด้วย -ใช้น้ำมันทานตะวัน ½ ถ้วย ผสมกับสบู่เหลวและน้ำอย่างละ ¼ ถ้วย ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ -น้ำ 1 ถ้วย สบู่เหลว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ผสมเข้าด้วยกัน ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง -น้ำมันจมูกข้าวสาลี ½ ถ้วย ผสมกับน้ำมันละหุ่ง ¼ ถ้วย ใช้เป็นสูตรผสมสำหรับเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์หนัง น้ำยาทำความสะอาดพรมส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาดพรมคือ น้ำยาซักแห้ง และ แนพทาลีน (Naphthalene) ซึ่งเป็นสารเคมีที่อยู่ในลูกเหม็น อันตรายคงสารนี้ก็คือ เมื่อสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นานเข้าก็จะไปทำร้ายปอด รวมทั้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟูหรือเกลือป่น โรยทิ้งไว้บนพรม 1 – 2 ชั่วโมง แล้วดูดฝุ่นออก ช่วยในการดับกลิ่น - บริเวณที่เปื้อนคราบสกปรกให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสบู่หยดลงไป แล้วเช็ดเบาๆ ด้วยแปรงขนอ่อน เสร็จแล้วซับด้วยผ้าให้แห้ง ผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันส่วนใหญ่คือ โซดาไฟ ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ถ้าถูกผิวหนังอาจเกิดการระคายเคือง เป็นแผลไหม้ ถ้าเข้าตาอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด ถ้าเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้ ปาก คอ และช่องท้องเกิดแผลอย่างรุนแรง ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟู 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยผสมในน้ำร้อนแล้วเทลงไปในท่อ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วเทน้ำตาม ช่วยทำให้ท่อระบายได้เร็วขึ้นและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ -ถ้าท่อระบายน้ำตันให้ใส่เกลือลงในท่อ ½ ถ้วย แล้วเทน้ำเดือดตามลงไป ที่มา : บทความเรื่อง “แม่บ้านไร้สารพิษ”. คมสัน หุตะแพทย์, วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 1/2552 “กรีนคอนซูเมอร์”. กรรณิกา พรมเสาร์. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค “10 วิธีทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมชาติ” มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 เมื่อพนักงานต้อนรับด้วยน้ำร้อน

“เราแค่เพียงต้องการให้เกิดบรรทัดฐานในการดูแลผู้โดยสารเท่านั้นค่ะ หลายคนอาจจะมองเราว่าเราเรียกร้องเพื่อจะเรียกเงิน เพราะเราไปร้องเรียนทั้งที่ สคบ. แล้วเขาก็ให้เราประเมินว่าเรามีอะไรเสียหายบ้าง คิดเป็นเงินเท่าไร ซึ่งความจริงเราไม่ได้ต้องการเรียกร้องเงิน เราเพียงแค่ต้องการความรับผิดชอบ ให้มาดูแลเราหน่อยเท่านั้น” ปาริจฉัตต์ เกิดผลเสริฐ ผู้เดือดร้อนจากกรณีพนักงานบนเครื่องบินของสายการบิน “แอร์เอเชีย” ทำน้ำร้อนหกใส่จนบาดเจ็บ คือแขกรับเชิญของฉลาดซื้อในครั้งนี้ เมื่อใครๆ ก็บินได้ (อุบัติเหตุ)อะไรๆ ก็เกิดได้ แต่เกิดแล้วจะจัดการอย่างไร นั่นล่ะคือสิ่งที่คุณปาริจฉัตต์จะเล่าให้เราฟัง เหตุอุบัติ : อุบัติเหตุที่แก้ไขได้…ถ้าไม่ประมาทเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2552 เธอและเพื่อนอีก 5 คนซึ่งทั้งหมดเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์แห่งหนึ่ง ได้เดินทางไปฮ่องกงโดยได้ใช้บริการไป-กลับ กับสายการบินแอร์เอเซีย ขาไปเหตุการณ์ปกติ แต่ว่าในขากลับ วันที่ 6 พ.ย. 2552 ออกจากฮ่องกงเวลา 20.50 น. และมีกำหนดถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น. นั้น กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน ปาริจฉัตต์ เล่าถึงเหตุการณ์ในขณะที่มีการเสิร์ฟอาหาร เมื่อถึงที่นั่งแถวเธอ พนักงานต้อนรับบนเครื่องแจ้งว่า อาหารไม่มีให้เลือกแล้ว เหลือแต่สปาเก็ตตี้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอจึงขอบะหมี่ถ้วยปกติและพี่ที่นั่งติดกันสั่งเป็นบะหมี่เกาหลีถ้วยใหญ่ “หลังจากได้รับอาหารแล้วเราก็รับประทานตามปกติ โดยวางกระเป๋าบนขาแล้วเอาถาดที่ใช้วางอาหารลงมา แต่ว่าถ้วยบะหมี่ของเพื่อนรุ่นพี่ที่นั่งข้างๆ น้ำที่ใส่ให้ในถ้วยเป็นแค่อุ่นน้อยๆ เอามือสัมผัสที่ถ้วยแล้วแทบจะไม่มีความร้อนเลยทำให้บะหมี่ไม่สุก เส้นแข็ง ไม่สามารถรับประทานได้ ก็เลยเรียกพนักงานให้นำอาหารไปอุ่นให้” ไม่นานพนักงานก็เดินถือบะหมี่ถ้วยใหญ่ควันฉุยมาเสิร์ฟ เมื่อเดินมาถึงทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลัง พนักงานแจ้งว่า “ได้แล้วค่ะ” แต่ทันใดนั้นบะหมี่ที่มีน้ำร้อนอยู่เต็มถ้วยได้หกรดใส่ตัวเธอตั้งแต่ไหล่ขวาไล่ลงมาถึงต้นขาขวา “ตอนนั้นตกใจมากทั้งแสบทั้งร้อนค่ะ สะดุ้งสุดตัวจนลุกขึ้นยืนแต่ยืนไม่ได้เพราะติดเบลท์(belt) ที่คาดไว้ พอปลดเบลล์ได้ ก็ปัดทุกอย่างวิ่งเข้าห้องน้ำด้านหลังเครื่อง พนักงานคนก่อเหตุก็วิ่งตามมาด้วย เราก็เลยขอน้ำเย็น น้ำแข็ง มาปฐมพยาบาลเบื้องต้นในห้องน้ำ แล้วก็ต้องอยู่ในนั้นจนเครื่องบินลง เพราะว่าต้องถอดเสื้อผ้าออกเกือบทั้งหมดเพื่อทำการปฐมพยาบาล ก็กังวลนะคะกลัวจะติดเชื้อเพราะแดงไปหมด ทั้งแสบทั้งร้อน ขออย่าให้ได้เกิดกับใครอีกเลยค่ะ แล้วการใช้น้ำแข็งมาประคบโดยตรงมันไม่ใช่ เพราะน้ำแข็งมันก็สกปรกอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมละค่ะในนาทีนั้น” เธอเล่าต่อไปว่าพนักงานคนก่อเหตุก็พูดขอโทษอยู่ตลอดเวลา “คิดว่าเขาน่าจะมีอุปกรณ์ที่ให้ความช่วยเหลือได้มากกว่าที่เป็น แล้วพนักงานก็ควรจะมีความรู้ในเรื่องการปฐมพยาบาลด้วย รู้ไหมค่ะว่าข้างๆ ที่นั่งมีเด็กเล็กนั่งอยู่ด้วย ดีนะคะที่ไม่ไปโดนน้องเขา ตอนที่เราลงจากเครื่องมาแล้วก็ไม่ได้รับการดูแลอะไรเลย คนที่ก่อเหตุ พอมาเจอเราที่สนามบินก็รีบก้มหน้าเดินหนี แทนที่จะนำเรื่องที่เกิดขึ้นรายงานกับส่วนงานถึงข้อผิดพลาดที่เกิดกับผู้โดยสาร แต่เหมือนเขาจะปกปิดเรื่องไว้ เราอยากให้เขาพาเราส่งโรงพยาบาล แต่ก็เปล่าเราต้องเป็นฝ่ายไปโรงพยาบาลเอง เราไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย แค่อยากให้เขารับผิดชอบแค่ตรงนี้เอง” ต้องสู้…ถ้าอยากให้แก้ไขจากที่ไม่ได้รับการเหลียวแลในเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาเพื่อพิทักษ์สิทธิ เพราะอย่างน้อยก็เพื่อจะเป็นหลักปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุกับคนอื่น อยากให้สายการบินแห่งนี้มีความรับผิดชอบกับผู้โดยสารมากกว่านี้ ”เราถึงโรงพยาบาลประมาณเที่ยงคืน หมอบอกว่าเป็นอาการ Burn ระดับ 1 มีอาการบวมแดง จึงให้พยาบาลทำความสะอาดและพันแผลไว้ ห้ามอาบน้ำ และให้มาหาหมอใหม่ในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นเราอยากอาบน้ำมาก เพราะทั้งตัวเรามีแต่น้ำต้มบะหมี่แต่ก็ต้องทน เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ไปหาตามหมอนัด ยังแสบแผลอยู่ แต่หมอบอกว่าแผลดีขึ้นไม่พองมีแต่รอยแดงๆ หมอจึงขอดูแผลพรุ่งนี้อีกที เราก็ใจชื้นขึ้นเพราะแผลไม่พอง วันถัดมาซึ่งเป็นวันที่ 8 เราก็ไปให้หมอดูอีก ซึ่งแผลเราไม่เป็นอะไร แต่ยังมีอาการแสบแผลอยู่ หมอจะพันแผลให้อีกวันแต่เราขอไม่พันค่ะ เพราะอยากอาบน้ำมาก ก็เลยกลับมาพักที่บ้าน” เธอเล่าต่อว่าในวันเดียวกันนั้นเองจึงโทรไปที่สายการบินแอร์เอเชีย เพื่อร้องเรียน ซึ่งได้รับการปฏิเสธเพราะเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ พนักงานไม่รับเรื่อง ถ้าจะร้องเรียนให้มาร้องเรียนในวันธรรมดาและอยู่ในเวลาทำการ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายเสียหาย แต่กลับไม่มีมาตรการอะไรจากทางสายการบินเลย “พอได้ฟังเราก็โห…คือเราก็อยากรู้ไงว่าทำไมถึงทำกับเราอย่างนี้ พนักงานคนที่รับโทรศัพท์เลยให้ส่งเป็นอีเมล์เข้าไป ลองคิดดูนะคะว่าถ้าเป็นคุณป้าที่ไม่รู้จักอีเมล์จะทำอย่างไร จะทำอะไรได้... ก็อ่ะไม่เป็นไร เราก็ส่งเป็นอีเมล์รายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปและให้เขาติดต่อกลับมาหาเรา ซึ่งเขาไม่ตอบกลับมา เราเลยส่งอีเมล์ฉบับที่สองเข้าไปว่าเราจะฟ้องร้องนะถ้าไม่ติดต่อกลับมา สายการบินจึงติดต่อกลับมา แต่กว่าจะติดต่อกลับมาก็กินเวลาไปประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว ซึ่งตอนนี้เราได้มาร้องทุกข์ที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคแล้ว” วันจันทร์ที่ 9 พ.ย. ก็ไปร้องที่ สคบ. ด้วย พอไปถึงเขา(สคบ.) ก็ถามถึงความเสียหายว่าเรามีอะไรเสียหายไป เป็นเงินเท่าไร เราฟังเราก็อ่ะ คือเราไม่ได้จะมาร้องเพื่อให้ได้เงิน เราเพียงแค่อยากให้สายการบินมีมาตรฐานขึ้น มีความรับผิดชอบ แต่เขาบอกว่าเขาทำตรงนั้นให้ไม่ได้ เราก็เลยเก็บคำร้องเรียนไว้ แล้วก็เปลี่ยนที่ เพราะเราไม่ได้ต้องการเรียกเป็นตัวเงินเข้าใจไหมคะ” แล้วปาริจฉัตต์ก็เดินทางเข้าสู่เส้นทางการใช้สิทธิโดยโทรไปที่รายการทนายคลายทุกข์ ทางรายการให้ไปร้องที่ศาลแขวงในพื้นที่เกิดเหตุ เธอจึงไปร้องที่ศาลแขวงสมุทรปราการ “วันนั้นเราก็เดินทางกันทั้งวัน บ้านอยู่เกษตรนวมินทร์ ก็ไปร้อง สคบ.ที่ถนนแจ้งวัฒนะ แล้วก็วิ่งยาวไปสมุทรปราการ พอไปถึงเขาก็ถามคล้ายๆ สคบ.มาดูแผลเราแล้วก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็ยังเดินได้ไม่ได้เป็นแผล แล้วก็ถามถึงกระบวนการชดเชยค่าเสียหาย เราก็เอ…เราไม่ได้ต้องการเป็นตัวเงิน เราเพียงแค่ต้องการให้ทางสายการบินออกมารับผิดชอบอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เป็นเงิน เราก็เลยกลับ” กว่าจะได้รับการเยียวยา...แสนลำบาก หลังจากนั้นเธอก็มาร้องเรียนกับศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 22 พ.ย. และในวันที่ 27 พ.ย.2552 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายคือคุณปาริจฉัตต์และตัวแทนของบริษัทไทยแอร์เอเซียคือคุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าตัวเธอจะไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและทางอาญากับทางสายการบิน โดยไทยแอร์เอเซียได้เสนอเยียวยาความเสียหายค่ะ 1) ชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง จำนวน 2,160.80 บาท 2) ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินคือ กระเป๋าและเสื้อผ้าที่ถูกบะหมี่หกราด จำนวน 5,000 บาท 3)ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ของสายการบินแอร์เอเซีย จำนวน 6 ที่นั่ง (ไม่ระบุวันเดินทางไป-กลับ) 4) ให้บริษัทไทยแอร์เอเซียฯ ออกจดหมายขอโทษผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ จดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการถึงคุณปาริจฉัตร์ มีสาระที่น่าสนใจดังนี้ ทางสายการบินฯ และพนักงานทุกคนขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับท่าน และขอเรียนให้ทราบว่าหลังจากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมและหารือถึงสาเหตุและมาตรการต่างๆ ซึ่งทางหลักปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น พนักงานต้อนรับจะต้องรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ชุดอุปกรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยาน และจะต้องทำการแจ้งกับผู้ควบคุมการบินประจำเที่ยวบินนั้นโดยทันที ผู้ควบคุมการบินจะทำการติดต่อหอบังคับการ และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเพื่อดำเนินการเตรียมอุปกรณ์เพื่อพร้อมรับผู้โดยสารไปยังโรงพยาบาลทันที ณ เครื่องบินลงจอด ซึ่งสายการบินฯ ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับหนึ่ง พนักงานทุกภาคส่วนได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยานมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวมิได้มีการแจ้งไปยังหน่วยงาน ผู้เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติแต่อย่างใด ยังผลให้ท่านผู้โดยสารไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อันเป็นเหตุมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนดของพนักงานต้อนรับท่านดังกล่าว ทั้งนี้สายการบินฯ ได้มีการเรียกประชุมแผนกพนักงานต้อนรับเพื่อให้มีการรับทราบ และเพื่อให้พนักงานทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป.... เรื่องที่ยังคาใจ“ในจดหมายเราก็ยังคาใจอยู่นะคะว่าเขาได้มีการฝึกอบรมกันจริงหรือเปล่า แต่ก็อยากจะฝากให้ทางสายการบินเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านี้ อบรมพนักงานมากกว่านี้ อย่างการส่งของให้ลูกค้าอย่างของร้อนๆ ก็ควรจะใช้ถาดในการส่งให้ ไม่ใช่ถือมาจนเกิดเรื่องขึ้นกับเราอย่างนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเด็กๆ หรือเกิดเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้กับชีวิตก็จะไม่คุ้มกัน แล้วก็อยากจะให้สายการบินมีการอบรมพนักงานให้มากกว่าการปฐมพยาบาลเบื้องต้น อยากให้มีขั้นตอนในการเยียวยากรณีเกิดเหตุ และน่าจะมีอุปกรณ์อื่นๆ ไว้รองรับผู้โดยสารด้วยกรณีที่บาดเจ็บ เราก็ไม่ได้ขออะไรมากมายเลย เพียงแค่เราต้องการความรับผิดชอบและอยากจะให้มีการยกระดับมาตรฐานการบริการ เพราะเราคิดว่าถูกก็ดีได้ ไม่ใช่ปล่อยการบริการให้เป็นไปตามราคาตั๋ว การที่เราขอตั๋วเครื่องบินไปกลับอีกครั้ง เราก็อยากจะสร้างความรู้สึกดี – ดีให้กับเพื่อนที่ไปด้วยกันค่ะ เพราะว่าพอเกิดเรื่องขึ้นกับเราเพื่อนๆ ก็จดจำเราเรื่องของเราเกี่ยวกับการไปฮ่องกง เราเลยอยากชดเชยเพื่อนๆ ตรงนี้มากกว่า เราก็อยากจะให้สายการบินเยียวยาให้เร็วกว่านี้ เรื่องของเราก็มีในอินเตอร์เน็ตนะคะ ก็มีคนมาบอกว่าเราทำเพื่อเงินหรือเปล่า แต่เรารู้ว่าเราทำเพื่ออะไร อย่างน้อยๆ เรื่องของเราก็จะเป็นตัวอย่างให้มีความระวังมากขึ้น” แม้เรื่องของเธอเมื่อเทียบกับใครอื่นๆ แล้วอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องราวของเธอน่าจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้สายการบินต่างๆ เพิ่มมาตรการในการดูแลผู้โดยสารให้มากขึ้น อุบัติเหตุเกิดได้ แต่ทำอย่างไรจะดูแลผู้โดยสารได้ดีที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 ผลทดสอบกล้องดิจิตัล 2009 รุ่นเบสิก

ต้อนรับปีใหม่กันด้วยผลทดสอบกล้องดิจิตัลกันอีกครั้ง คราวนี้เลือกมาเฉพาะรุ่นที่เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการอะไรยุ่งยาก ต้องการเก็บภาพอย่างเดียว ไม่ต้องปรับต้องตั้งอะไรกันมากมาย ถ้าคุณกำลังมองหากล้องดิจิตัลแบบเบสิกที่กดปุ๊บได้ภาพดังใจปั๊บ ลองเลือกดูจากกล้อง 24 รุ่นที่เรานำเสนอได้เลย แต่ถ้าต้องการรุ่นที่ท้าทายความสามารถกว่านี้ ก็ต้องอดใจรอฉบับหน้า รุ่นที่เราเลือกมานำเสนอคราวนี้ เป็นกล้องที่ยังมีจำหน่ายในเมืองไทย (สนนราคาประมาณ 6,000 ถึง 17,000 บาท) ซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆในการทดสอบจากองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ หรือ International Consumer Research & Testing ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา         The Top Ten Sony Cyber-shot DSC-H20 ราคา 10,900 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                4 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               3 Ricoh CX1 ราคา 12,990 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                4 ภาพเคลื่อนไหว    2 จอภาพ               3 Canon Digital Ixus 990 IS ราคา 12,500 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               4 Canon PowerShot D10 ราคา 13,900 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    2 จอภาพ               3 Canon PowerShot A2100 IS ราคา 8,990 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               3 Panasonic Lumix DMC-TZ7 ราคา 11,400 บาท ความสะดวก        3 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    4 จอภาพ               3 Canon PowerShot A1100 IS ราคา 5,990 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               2 Panasonic Lumix DMC-FS6 ราคา 6,990 บาท ความสะดวก        3 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                4 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               3 Canon Digital Ixus 95 IS ราคา 8,990 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               2 Sony Cyber-shot DSC-W290 ราคา 9,500 บาท ความสะดวก        4 ภาพนิ่ง               3.5 แฟลช                3 ภาพเคลื่อนไหว    3 จอภาพ               3 ดาวน์โหลดรายละเอียดการเปรียบเทียบ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point