ฉบับที่ 132 หนังศีรษะแห้งและคัน เกาจนผมร่วง?

  หนังศีรษะประกอบไปด้วยเซลล์ผิวหนังปกติซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ทุกๆ 28 วัน เซลล์เก่าที่ตายแล้วจะถูกผลัดออกไป แต่ถ้าผิวหนังแห้งและใช้ชีวิตประจำวันในห้องปรับอากาศที่เย็นและมีความชื้นต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนังศีรษะได้รับเคมีรุนแรงเป็นประจำ เช่น น้ำยาดัดผม น้ำยาโกรกสีผม แชมพูแรงๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ บนเส้นผมและหนังศีรษะ หนังศีรษะจะถูกกระทบมากทำให้แห้งและทำให้มีการเร่งผลัดเซลล์ผิวในอัตราเร็วกว่าปกติ เซลล์ที่ตายแล้วที่ถูกผลัดออกจะสะสมเป็นกลุ่มก้อนหนาๆ สังเกตได้เวลาหวีผมหรือเกา จะหลุดออกเป็นเกร็ดขาวๆ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ‘รังแค’ นั่นเอง อาการคันศีรษะมักจะตามมาเนื่องจากการสะสมของรังแคเหล่านี้ ซึ่งพบเห็นง่ายตามปกเสื้อ การสะสมของรังแคยังมีผลไปอุดรูขุมขนของเส้นผม ทำให้น้ำมันจากต่อมไขมันที่รากผมไม่สามารถระบายออกมาได้ ยิ่งทำให้หนังศีรษะขาดน้ำมันหล่อลื่นและแห้งคันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผู้ที่มีปัญหารังแคเรื้อรัง อาจทำให้หนังศีรษะอักเสบและมีเชื้อราเจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งในสภาวะปกติหนังศีรษะคนเราจะมีเชื้อราอาศัยอยู่ในปริมาณน้อยและไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่ในสภาวะที่หนังศีรษะมีรังแคมาก เชื้อราจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดอาการอักเสบของหนังศีรษะ (Pityriasis capitis) ถ้าอาการรุนแรงขึ้น หนังศีรษะจะมีอาการแดงและมีรังแคเป็นเกร็ดใหญ่ขึ้นและเหลืองเป็นไข ซึ่งเป็นอาการของต่อมไขมันของหนังศีรษะอักเสบ พบมากและบ่อยในวัยรุ่นและอาจมีอาการอักเสบลามถึงเปลือกตาได้ วิธีแก้ไขปัญหาหนังศีรษะคันและแห้ง 1) หลีกเลี่ยงการเกาหนังศีรษะที่รุนแรงระหว่างสระผมด้วยเล็บคมยาว อาจทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงยิ่งขึ้น2) เลือกใช้แชมพูสระผมที่อ่อนโยนและมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของหนังศีรษะ3) ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหนังศีรษะโดยตรง เช่น ครีมนวดผมชนิดเข้มข้น หรือ น้ำมันนวดหนังศีรษะ นวดทิ้งไว้บนหนังศีรษะอย่างน้อย 15-20 นาทีก่อนล้างออก เนื้อครีมและน้ำมันจะช่วยขจัดรังแคส่วนเกินให้หลุดลอกออกไปได้ และ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ4) ใช้แชมพูขจัดรังแค อาทิตย์ละ 1 ครั้งเพื่อช่วยขจัดรังแคที่สะสมออกและบางเบาลง5) ควรลดการใช้น้ำอุ่นสระผม เพราะน้ำอุ่นจะทำให้น้ำมันธรรมชาติถูกชะล้างออกมากเกินไป ทำให้หนังศีรษะขาดน้ำมันที่จะปกป้องไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรลดอุณหภูมิในการเป่าและจัดแต่งทรงผมอีกด้วย หากการดูแลเบื้องต้นตามข้อแนะนำทั้ง 5 ข้อไม่ได้ผล ขั้นต่อไปควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาอักเสบของหนังศีรษะต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 คุณมีผิวแบบไหน?

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  ในอดีต ผิวหนังคนเราไม่ได้มีการแยกแยะแต่ถูกจัดเป็นแบบเดียวกันหมด แต่ความรู้มากมายของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันได้มีการจัดแบ่งผิวหนังออกเป็นรูปแบบต่างๆ ตามกำเนิดของแต่ละคน และการบำรุงรักษาหรือดูแลผิวพรรณของแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกัน งานวิจัยมากมายพบว่าความสวยและสมบูรณ์ของผิวหนังอยู่ที่คุณภาพผิวหนังชั้นล่างที่ลึกลงไปและที่สำคัญยังขึ้นอยู่กับคุณภาพตามกำเนิดของผิวหนังดั้งเดิมของแต่ละคนอีกด้วย คุณภาพผิวหนังที่ว่านี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงอายุเจ้าของและบ่อยครั้งคุณภาพผิวหนังที่ดีจะช่วยชี้วัดให้เจ้าของแลดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงได้มากถึง 10 ปีหรือกว่าก็ได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมาพบว่าสิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญทีเดียว  วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู  - คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป  - คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม - คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม - คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน  - คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก   วิธีดูแลผิวแต่ละแบบ เนื่องจากมีขั้นตอนและวิธีการที่ละเอียดในการดูแลผิวแต่ละชนิด จึงขอทยอยนำเสนอ ซึ่งจะเริ่มที่ผิวธรรมดาก่อนนะคะ   ผิวธรรมดา (NORMAL SKIN)ผิวแลดูสะอาดเกลี้ยงเกลา แสดงถึงความแข็งแรงของสุขภาพภายในร่างกาย บ่งบอกถึงการหมุนเวียนของระบบเลือดที่ดี ผู้หญิงบางคนอาจมีสิวได้ก่อนการมีรอบเดือน เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่มากขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้หลั่งน้ำมันออกมามากขึ้นที่ผิวหนัง แต่สิวสาวที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผิวชนิดธรรมดา ควรหมั่นดูแลบำรุงให้ผิวแข็งแรงอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุผิวให้ยาวนานที่สุด วิธีดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ นุ่ม ลื่นเปล่งปลั่งและแข็งแรงสำหรับคนมีผิวธรรมดา 1. ทำความสะอาดผิวเป็นประจำ วันละ 2 ครั้งโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ฟองน้อยๆ หรือชนิดไม่มีฟองยิ่งดี อาจเป็นชนิดล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือเช็ดออกก็ได้เช่นกัน  2. ทาบำรุงด้วยโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวหน้าก่อนนอนทุกครั้งเพื่อปรับสมดุลของความชุ่มชื้นในผิวหนังกับสภาวะอากาศรอบตัว ไม่ควรเข้านอนโดยปราศจากครีมบำรุงผิวหน้า  3. การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวทุกแบบ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนที่สุด จะเป็นตัวช่วยให้รูขุมขนเล็ก และการใช้โลชั่นใสเช็ดหน้าชนิด แอสตรินเจนท์ (astringent) จะช่วยขจัดส่วนเกินของสารทำความสะอาดที่อาจหลงเหลืออยู่บนผิวหน้าได้ แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากแอลกอฮอล แต่หากเช็ดหน้าแล้วเย็นวูบ แสดงว่ามีแอลกอฮอลเป็นส่วนประกอบ  4. การใช้เครื่องเป่าผม ควรหลีกเลี่ยงให้ลมร้อนพ้นจากผิวหน้า จะได้ไม่ทำให้ผิวแห้ง  5. การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้า ควรเลือกใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงที่มีน้ำมันหรือไขมันพอสมควรก่อนการแต่งหน้า เพื่อปกป้องผิวหน้าไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปในอากาศ หากกลัวความมัน ให้ทาบางๆจะได้ประโยชน์กว่าการเลือกใช้ครีมบำรุงที่ไม่มัน เพราะในระยะยาว ผิวจะแห้งง่าย แก่เร็ว  6. ผลิตภัณฑ์กันแดดสำคัญมากในโลกปัจจุบันที่มีภาวะโลกร้อน ควรทาครีมกันแดดรองพื้นก่อนออกแดด เช่น ไปทะเลหรือสถานที่มีรังสีโดยตรง เพื่อป้องกันผิวแห้งและเหี่ยวย่น  7. การใช้ครีมพอกหน้าชนิดที่ปราศจากองค์ประกอบที่ทำให้ผิวแห้ง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือดใต้ผิวหนัง และช่วยรักษาผิวหน้าให้นุ่ม ลื่นมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ควรทำอย่างน้อย 2 อาทิตย์ต่อครั้ง จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง  การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ที่มีผิวแบบธรรมดานี้จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึง เนียนนุ่ม และป้องกันผิวแก่ก่อนวัยได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวใต้ตาเนื่องจากผิวหนังใต้ตาจะปราศจากต่อมไขมัน ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาแห้งง่ายที่สุด เหี่ยวย่นเห็นชัดเร็วที่สุด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 140 ครีมบำรุงผิว

คงจะไม่ผิดกติกาถ้าเราจะเตรียมตัวป้องกันผิวแห้งตึงรับหน้าหนาวปีนี้กันแต่เนิ่นๆ ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอพาคุณลุยน้ำ ฝ่าพายุ ไปเลือกซื้อครีมบำรุงผิวมาทาตัวให้ชิลกันดีกว่า ผิวหนังของเราสูญเสียน้ำมันธรรมชาติซึ่งทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นด้วยหลายสาเหตุ ตั้งแต่การอาบน้ำ การอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งและเย็น รวมถึงการมีอายุมากขึ้นด้วย ครีมบำรุงผิวจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญ นอกเหนือจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำการทดสอบครีมบำรุงผิวทั้งหมด 56 ผลิตภัณฑ์ (เป็นตัวอย่างที่เก็บจากตลาดยุโรป) ว่าครีมไหนสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวหนังได้มากกว่ากัน และครีมไหน ตอบสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ดีที่สุด ฉลาดซื้อ เลือกมา 20 ผลิตภัณฑ์จากยี่ห้อที่มีจำหน่ายในบ้านเรา สนนราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่ 16 บาท ถึง 653 บาท ต่อปริมาณ 100 มิลลิลิตร ผลที่ได้ช่วยย้ำอีกครั้งว่า สำหรับเครื่องสำอางนั้น ราคาไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพเสมอไป   ---------------------------------------------------------------------------- การทดสอบครั้งนี้มีอาสาสมัครอายุระหว่าง 18 -60 ปี ที่มีสภาพผิวแห้ง เข้าร่วมทั้งหมด 500 คน (แต่ละผลิตภัณฑ์มีผู้ทดสอบจำนวน 20 คน) การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน การสำรวจความพึงพอใจของอาสาสมัคร หลังจากทาผลิตภัณฑ์ที่ขา วันละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน การทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ ด้วยการใช้เครื่องคอร์นิโอมิเตอร์ วัดปริมาณน้ำในผิวหนังของอาสาสมัคร  หลังการทาผลิตภัณฑ์บนท้องแขน 1 ชั่วโมง / 24 ชั่วโมง /และ 15 วันหลังการใช้ เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการและอาสาสมัคร จะไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นยี่ห้อใด ----------------------------------------------------------------------------   LaRoche-Posay Lipikar milk              277 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      5 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                5 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Vichy NutriExtra fluid                         125 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            5 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Eucerin pH 5 Body lotion 77 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Garnier Body Intensive 7 days                      77 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Nivéa Smooth Milk Tripple Action 56 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   L'Oréal Nutri Soft 24H 106 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Biotherm Oil Therapy Body Balm      630 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Roc Enydrial mosturizing body lotion 306 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Neutrogena Deep Moisture 75 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3 Dove Body Milk essential 54 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     3 Nivéa Pure & Natural body milk 68 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Yves Rocher Nutrition                                    188 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Nivéa Nourishing body milk 79 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Dove Body Lotion Hydro nourishment 35 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Clarins  Moisture-rich body lotion 653 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Nivéa Express Moisturizing Lotion 63 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Carrefour  discount Moisturizing body milk 16 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 3 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Nivéa Cream 76 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 3 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Johnson's Body Care  moisturizing 24 hours 44 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      3 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     5   The Body Shop White musk 206 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      3 ผิวนุ่ม                                         3 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 152 E-readers

ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำผลทดสอบเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-readers มาฝากสมาชิกนักอ่านกันบ้าง หลายคนอาจไม่เคยให้ความสนใจกับมันเพราะชอบการจับต้องหนังสือเป็นเล่มมากกว่า บางคนมองว่า อยากอ่านอะไรก็ดาวน์โหลดมาอ่านในคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ก็ได้ไม่เห็นต้องลงทุนเพิ่ม ในขณะที่หลายคนกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อเครื่องอ่านฯ (ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็สามารถท่องเว็บได้ แถมยังมีเทคโนโลยีหน้าจอที่ทำให้อ่านได้นานโดยไม่ปวดตา) หรือจะซื้อแทบเลต (ซึ่งก็สามารถใช้ท่องเน็ทพร้อมกับอ่านหนังสือได้ด้วย) มาใช้ดี องค์กรทดสอบระหว่างประเทศได้ทำการทดสอบ E-readers เหล่านี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เราเลือกมา 10 รุ่น (ทั้งเครื่องอ่านฯ และแทบเลต) ที่มีขายในเมืองไทย ข้อสังเกตที่ได้จากผลทดสอบคือยังไม่มีเครื่องอ่านฯรุ่นใด ที่ตอบสนองการเข้าเว็บได้ในระดับที่น่าพอใจ และในทางกลับกันก็ยังไม่มีแทบเลตที่ใช้อ่านหนังสือได้สะดวกหรือใช้งานได้นานต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเหมือน E-readers ถ้าคุณเป็นคนที่จริงจังกับการอ่านในทุกขณะจิตและไม่ยึดติดกับประสบการณ์การอ่านแบบเดิม เจ้าเครื่องอ่านเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่คุณตามหาอยู่ก็ได้ ติดตามคะแนนในด้านต่างๆของแต่ละรุ่นได้ในหน้าถัดไป Sony PRS-T2 ราคา 5,990 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          5 นอนอ่าน                        5 ยืน (โหนรถ) อ่าน            4.5 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    5 จดบันทึก                       5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       5 ท่องเว็บ                         2 ตัวเครื่องทนทาน 4 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 5   Kobo Mini ราคา 4,190 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          5 นอนอ่าน                        5 ยืน (โหนรถ) อ่าน            4.5 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    3 จดบันทึก                       3 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       4 ท่องเว็บ                         2 ตัวเครื่องทนทาน 4 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 5   Kobo Glo ราคา 5,690 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          5 นอนอ่าน                        5 ยืน (โหนรถ) อ่าน            4.5 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    3 จดบันทึก                       3 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       4 ท่องเว็บ                         2 ตัวเครื่องทนทาน 4 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 4.5   Amazon Kindle ราคา 5,490 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          5 นอนอ่าน                        5 ยืน (โหนรถ) อ่าน            4 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    4.5 จดบันทึก                       2 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       3 ท่องเว็บ                         1.5 ตัวเครื่องทนทาน 4 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 5   Amazon Kindle Paperwhite 3G ราคา 9,990 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          5 นอนอ่าน                        4.5 ยืน (โหนรถ) อ่าน            4 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    4.5 จดบันทึก                       5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       5 ท่องเว็บ                         2 ตัวเครื่องทนทาน 4 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 5   Trekstor eBook Reader Pyrus ราคา 3,800 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          5 นอนอ่าน                        5 ยืน (โหนรถ) อ่าน            4 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    4 จดบันทึก                       0.5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       3 ท่องเว็บ                         - ตัวเครื่องทนทาน 4 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 3.5   Apple iPad mini ราคา 10,300 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          3.5 นอนอ่าน                        3 ยืน (โหนรถ) อ่าน            3 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    4 จดบันทึก                       5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       5 ท่องเว็บ                         5 ตัวเครื่องทนทาน 5 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 2   Kobo Arc ราคา 9,790 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          3.5 นอนอ่าน                        3 ยืน (โหนรถ) อ่าน            3 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    4.5 จดบันทึก                       5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       3.5 ท่องเว็บ                         5 ตัวเครื่องทนทาน 5 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 2.5 Kindle Fire HD ราคา 10,900 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          3.5 นอนอ่าน                        3 ยืน (โหนรถ) อ่าน            3 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    5 จดบันทึก                       5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       3 ท่องเว็บ                         5 ตัวเครื่องทนทาน 5 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 2   Samsung Galaxy Tab2 7.0 ราคา 6,500 บาท อ่านสะดวก นั่งอ่าน                          3.5 นอนอ่าน                        3 ยืน (โหนรถ) อ่าน            3 ใช้งานง่าย คั่นหน้า/กลับมาอ่านต่อ    0.5 จดบันทึก                       4.5 จัดเก็บ/แยกหมวดหมู่       2 ท่องเว็บ                         5 ตัวเครื่องทนทาน 5 แบตเตอรี่ใช้ได้นาน 2   ------------------------------------------------------------------------------ E-reader ตัวแรกของโลกคือ Data Discman ของ Sony ที่ออกสู่ตลาดในปี ค.ศ. 1998 แต่กระแสเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิกส์เพิ่งจะมาได้รับความนิยมอย่างจริงจังในปี 2009 E-reader ถูกออกแบบมาเพื่อการอ่านโดยเฉพาะจึงมีขนาดและน้ำหนักน้อยกว่าแทบเลต เทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องอ่านฯ เหล่านี้มีหนอนหนังสือเป็นแฟนคลับเพิ่มขึ้นคือจอแสดงผลแบบ E Ink ที่ทำให้เรามองเห็นเม็ดทรงกลมเล็กๆ ที่บรรจุอยู่ในไมโครแคปซูลจำนวนล้านๆแคปซูล เป็นภาพหรือตัวหนังสือขึ้นมา หน้าจอแบบนี้ไม่มีการกระพริบ จึงทำให้เราสามารถอ่านเป็นเวลานานๆได้ กระแสข่าวเรื่อง E-reader  มีทั้งที่เป็นขาขึ้นและขาลง Kobo ให้ข่าวว่ายอดขายเครื่องอ่านฯของเขาเพิ่มขึ้นร้อยละ 145 ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ในขณะที่บางบริษัทอย่าง Barnes and Noble ประกาศหยุดการผลิตเครื่องอ่านฯ Nook ของตัวเองลง ข่าวว่าอาจเป็นเพราะมีแทบเลตหลายรุ่นออกมาแย่งตลาด ทางด้าน Amazon เจ้าของเครื่องอ่าน Kindle รุ่นต่างๆ บอกว่าเขาไม่เดือดร้อนอะไรกับยอดขายเครื่องอ่านฯ เพราะผลิตภัณฑ์หลักของเขาคือ “หนังสือเล่ม” และ “หนังสืออิเล็กทรอนิกส์” ที่แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกอ่านผ่านแบบไหน ผ่านสื่ออะไรเท่านั้นเอง โดยรวมแล้วยอดขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกมีแนวโน้มจะลดลง หลายคนมองว่าอนาคตของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และ E-reader จะสดใสไฉไลกว่านี้ถ้าราคาหนังสือในรูปแบบดังกล่าวถูกลง ------------------------------------------------------------------------------

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 115 โต๊ะเขียนหนังสือเด็กเล็ก อันตรายที่ถูกมองข้าม

จากฉลาดซื้อฉบับ 109 “ตามไปดูเขากำจัดสารตะกั่วในโรงเรียนเด็กเล็ก กทม.” ทำให้ทราบว่าจุดเสี่ยงอีกตำแหน่งหนึ่งในโรงเรียนเด็กเล็กที่พบว่ามีค่าสารตะกั่วสูงเกินมาตรฐานซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเด็กนอกเหนือจากสีที่ทาผนังอาคารก็คือ โต๊ะนักเรียน ที่จะมีตัวพยัญชนะไทย อังกฤษ และตัวเลขสำหรับการจดจำของเด็กๆ   เจ้าโต๊ะที่ว่านี้ไม่เพียงแต่จะนิยมกันในหมู่โรงเรียนเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาลเท่านั้น พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนหนึ่งก็นิยมซื้อหามาให้ลูกหลานไว้ใช้ภายในบ้านเพื่อฝึกหัดเขียนอ่านให้คล่อง สนนราคาก็มีตั้งแต่ราคา 200 ถึง 1,000 บาท วางจำหน่ายในร้านเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปตามย่านการค้าใหญ่ๆ และในห้างสรรพสินค้า เพื่อเป็นการเฝ้าระวังปัญหาการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสินค้าที่ใกล้ชิดเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการสะสมพิษตะกั่วที่มีผลร้ายต่อสุขภาพทั้งในทางร่างกายและสติปัญญา โดยเฉพาะสินค้าที่หลายคนอาจมองข้ามอย่างเช่น โต๊ะเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ฉลาดซื้อจึงลงพื้นที่ไปซื้อโต๊ะเขียนหนังสือจากย่านการค้าต่างๆ 9 แห่ง ได้แก่ พงษ์เพชร หัวหมาก โชคชัย 4 รามคำแหง ห้วยขวาง บางกะปิ สะพานใหม่ อ่อนนุช และบางบอน เพื่อส่งพิสูจน์หาปริมาณสารตะกั่ว ณ ห้องปฏิบัติการบริษัท อินเตอร์เทค เทสติ้ง เซอร์วิสเซส(ประเทศไทย) จำกัด   ฉลาดซื้อทดสอบ ผลตรวจสอบสีโต๊ะเก้าอี้เด็กที่ใช้เขียนหนังสือซึ่งมีภาพหรือตัวอักษร บนโต๊ะ พบว่า 1. สีของภาพหรือตัวอักษร บนโต๊ะและเก้าอี้ เมื่อตรวจสอบโดยการขูดรวมสีและหาค่าสารตะกั่วต่อน้ำหนักทั้งหมด มีค่าสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานกำหนดร้อยละ 83 (พบสารตะกั่วในโต๊ะเขียนหนังสือ 6 จาก 9 ตัว ตกมาตรฐาน 5 ตัว) 2. สีเคลือบโลหะ ซึ่งเป็นสีเคลือบโครงโต๊ะหรือเก้าอี้ และสีที่ใช้เป็นสีพื้นโต๊ะ มีผลสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานกำหนดร้อยละ 33 (ค่ามาตรฐานกำหนด ต้องน้อยกว่า 90 มก/กก ในการทดสอบหาสารตะกั่วเมื่อนำสีไปทำปฏิกิริยากับสารละลาย) 3. แผ่นพลาสติกที่ใช้ทำที่รองนั่งของเก้าอี้ ไม่พบสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานกำหนด   ความสำคัญของการจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กให้ปลอดภัยจากสารตะกั่วในช่วงปีค.ศ. 2002-2005 CDC และ American Academy of Pediatrics, Committee on Environmental Health พบว่าสารตะกั่วเป็นมลพิษจากสิ่งแวดล้อมที่ก่ออันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงต่อเด็ก หากได้รับปริมาณมากในวัยเด็กจะมีผลโดยตรงต่อระดับสติปัญญา สมองและระบบประสาทอย่างถาวรได้ โดยเฉพาะเด็กในวัย 5 ขวบปีแรกซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดที่มี การพัฒนาของสมอง อาการเป็นพิษจะเกิดเมื่อมีการสะสมของตะกั่วในร่างกายสูงพอ สารตะกั่ว จะมีผลเสียต่อสมองและการติดต่อเชื่อมกันของเซลล์ประสาท โดยสารตะกั่วจะไปจับกับเซลล์แทนที่แคลเซียม ผลอื่นคือทำให้เนื้อสมองบวม ยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาท(Gamma Aminobutyric Acid, GABA) ความดันกะโหลกศีรษะสูง ในเด็กมีการศึกษาของ Canfield และคณะ พบว่าสารตะกั่วในเลือดที่เพิ่มขึ้นทุก 10 มคก/ดล จะทำให้ IQ ลดลง 1-3 จุด ส่วนผลต่อ เม็ดเลือดแดงจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายเป็นโรคโลหิตจาง ผลต่อการทำงานของไตในระยะเฉียบพลันจะมีการทำลายของทิวบูลไตส่วนต้นและมีอาการของ Fanconi syndrome ส่วนผล ในระยะเรื้อรังต่อไตคือไตอักเสบ จนถึงไตวายได้ ผลต่อการตั้งครรภ์และทารก สารตะกั่วสามารถก่อปัญหาให้แก่ทารกในครรภ์หากมีสารตะกั่วเป็นปริมาณมากอาจจะทำให้เกิดการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด เด็กที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ การทำงานของสมองจะพัฒนาช้า ปัญญาอ่อน ชัก   ต่อมาในปี ค.ศ.2003 Canfield และคณะได้ทำการวัดระดับสารตะกั่วในเลือดของเด็กอายุ 6 เดือน 12 เดือน ถึง 5 ปี และมีการตรวจวัด IQ ที่อายุ 3 และ 5 ปี พบว่า IQ จะลดลง 4.6 จุดในเด็กที่มีค่าสารตะกั่วในเลือดน้อยกว่า10 มคก/ดล ต่างจากเด็กที่มีค่าสารตะกั่วในเลือดมากกว่า 10 มคก/ดล ที่จะมีค่า IQ ลดลงถึง 7.4 จุด ซึ่งสรุปได้ว่าระดับสารตะกั่วในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นจะแปรผกผันกับระดับ IQ อย่างมีนัยสำคัญ13 และในปี ค.ศ. 2006 Cochrane review ได้สรุปว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาภาวะสารตะกั่วเป็นพิษนั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงภาวะสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการรักษานั้นไม่ได้ก่อนให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวดังนั้นหากเราสามารถหาภาวะเสี่ยงของสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อมและนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงแก้ไขสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัยต่อสารตะกั่วได้ จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคพิษตะกั่วอย่างถาวรต่อสมองของเด็กได้ อย่างไรก็ตามพบว่าไม่มีระดับสารตะกั่วในเลือดค่าใดที่ถือว่าปลอดภัยอย่างแท้จริง และผลของสารตะกั่วที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดอย่างถาวรโดยเฉพาะสมองและระบบประสาท ถึงแม้ว่าจะรักษาโดยการลดหรือกำจัดสารตะกั่วออกจากร่างกายก็ไม่สามารถแก้ไขผลที่เกิดกับสมองและระบบประสาทได้   ฉลาดซื้อแนะ 1. ควรนำข้อมูลนี้ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก ผู้บริหารโรงเรียนเด็กเล็ก ผู้บริหารองค์กรท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพอนามัยเด็ก ความปลอดภัยในเด็ก สิ่งแวดล้อม การคุ้มครองผู้บริโภค และการคุ้มครองเด็ก รู้ถึงสถานการณ์อันตรายที่ปนเปื้อนอยู่ในสินค้า 2. พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเลือกซื้อโต๊ะเขียนหนังสือด้วยความระมัดระวัง 3. สำหรับท่านที่ซื้อมาแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าโต๊ะมีการปนเปื้อนสารตะกั่วหรือไม่ วิธีแก้ไขปัญหาอย่างง่าย อาจหาพลาสติกใสแผ่นใหญ่หุ้มโต๊ะเพื่อกันไม่ให้เด็กขูดขีดจนสีร่อนออกมา 4. สำหรับโต๊ะที่สีหลุดร่อนไปแล้ว ไม่ควรให้เด็กใช้ต่อ เพราะมีโอกาสที่เด็กจะหยิบเข้าปากได้   ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 1. กระทรวงอุตสาหกรรม ควรแจ้งผลต่อ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และ ประชุมผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย หรือผู้นำเข้าเพื่อหามาตรการควบคุมต่อไป 2. ควรจัดให้โต๊ะ เก้าอี้ เด็ก รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์เด็กอื่นๆ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องได้รับการควบคุมความปลอดภัยเช่นเดียวกับของเล่น   ตารางแสดงผลวิเคราะห์ตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวประเภทเส้นใหญ่ ผลวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ทดสอบเท่านั้น วัน/เดือน/ปี ที่ทดสอบ เมษายน 2553 (วิธีทดสอบ CPSC 16 CFR 1303)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 112-113 เมื่อเด็กไทยไม่สามารถเข้าถึงตำราลิขสิทธิ์

  วันนี้ ฉลาดซื้อ ชวนคุณเข้ารั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ามีการใช้ “ตำราเรียนฉบับขาวดำ” (ซีรอกส์) ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศกันอย่างแพร่หลาย เพื่อไปสอบถามความเห็นของนักศึกษาว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับเรื่องของตำราต้นฉบับ และเหตุใดพวกเขาจึงนิยมใช้ฉบับขาวดำกันมากกว่า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคโดยฉลาดซื้อ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและนนทบุรี จำนวน 480 คน* เรื่องปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์_____* หมายเหตุ การสำรวจครั้งนี้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับสหพันธ์ผู้บริโภคสากล (Consumers International) และประเทศสมาชิกอีกกว่าสิบประเทศ ได้ทำสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในประเทศของตนเอง การสำรวจนี้เป็นส่วนหนึ่งการเก็บข้อมูลเพื่อการรณรงค์ในระดับนานาชาติเพื่อเพิ่มระดับการเข้าถึงความรู้ (A2K: Access to Knowledge)   เหตุผลที่นักศึกษาจะตัดสินใจซื้องานที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง  -- ใกล้เคียงกันมากระหว่าง คุณภาพ ราคา และการหาซื้อได้สะดวก   89%  ของผู้ตอบจะซื้อตำราเรียน (รวมถึงภาพยนตร์ เพลง และโปรแกรมคอมพิวเตอร์) ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องถ้างานนั้นมีคุณภาพที่ดีกว่างานที่ทำซ้ำโดยผิดกฎหมาย 87% ของผู้ตอบแบบสำรวจตอบว่าตนเองจะซื้องานที่มีลิขสิทธิ์  ถูกต้อง (แทนที่จะซื้อฉบับที่ทำซ้ำโดยผิดกฎหมาย) ถ้าราคาของฉบับลิขสิทธิ์เป็นราคาที่ตนเองสามารถจ่ายได้ 85% เห็นด้วยว่าจะซื้องานที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องถ้าตนเองสามารถหาซื้อได้สะดวก   ทำไม “ตำราเรียนฉบับขาวดำ” ถึงมีอยู่ทั่วไปในรั้วมหาวิทยาลัย จากการสัมภาษณ์นักศึกษาปีสี่ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เธอกล่าวว่า “ของจริงมันแพง .. สมมุติว่า หนังสือเล่มละพัน เรียนแปดวิชาก็ปาไปแล้วแปดพัน ตายพอดีถ้าซื้อของลิขสิทธิ์”   จากคำพูดนี้ เราคงพอจะอนุมานได้ว่าสินค้าลิขสิทธิ์ราคาฉบับลิขสิทธิ์นั้นเป็นอย่างไร ตัวอย่าง หนังสือ Biology (Seventh Edition) ของ Neil A. Campbell และ Jane B. Reece ซึ่งเป็น International Edition ราคา 1,000 บาท มีประมาณ 1,200 หน้า หากถ่ายเอกสาร หน้าละ 50 สตางค์ ราคาก็จะลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว หรือถ้าถ่ายทั้งเล่มอาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ ซึ่งอาจรวมถึงคุณภาพที่ด้อยลงด้วย แต่หลายคนก็ยอมรับเรื่องนี้ได้ อาจเป็นเพราะเด็กไทยอาจจะต้องอดข้าวหลายสิบมื้อเวลาที่ต้องการจะซื้อหนังสือสักเล่ม อีกคำสัมภาษณ์จากนักศึกษาชั้นปีที่สี่ คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า เคยถ่ายเอกสารตำราเรียนภาษาต่างประเทศทั้งเล่ม เพราะราคาแพงและไม่ทราบว่าจะหาซื้อตำราเล่มดังกล่าวได้จากที่ไหน “ราคามีส่วนสำคัญมากเวลาจะซื้อหนังสือ แล้วอีกอย่าง ไม่รู้ด้วยว่าหนังสือพวกนี้หาซื้อได้จากไหน” แต่ยังมีนักศึกษาอีกหลายคนลงที่ทุนซื้อตำราเรียนต่างประเทศฉบับลิขสิทธิ์ เพราะต้องการคุณภาพ และคิดว่ามัน “คุ้มค่า”  นักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คนหนึ่งตอบว่า “ซื้อสิ เอาไว้ดูรูป มันจำเป็นและได้ใช้ไปตลอด”   แล้วทำไมไม่ใช้วิธียืม????นักศึกษากลุ่มที่เราไปทำการสำรวจจำนวนไม่น้อยเคยประสบปัญหาในการยืมตำราเรียนต่างประเทศ สาเหตุหลักคือห้องสมุดยังมีให้เพียงพอ   76.6% บอกว่าหนังสือที่มีในห้องสมุดไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ใช้ 72% ตอบว่าห้องสมุดไม่มีตำราเล่มที่ตนต้องการ   นักศึกษาคณะสหเวชคนเดิมพูดเกี่ยวกับการยืมว่าส่วนใหญ่จะยืมจากห้องสมุด  ตอนอยู่ปี 2 ที่เรียนวิชารวมกับคณะอื่นๆ เคยมีปัญหาเรื่องยืมตำราเรียนไม่ทันเพราะห้องสมุดมีหนังสือไม่พอ จนสอบตก “ตอนที่เรียนใหม่ ๆ ใช้วิธียืมเอาแล้วยอมเสียค่าปรับ เสียเงินร้อยสองร้อยบาทดีกว่าสอบตก” แต่ทั้งนี้พอเรียนปีสูงขึ้น ก็ไม่มีปัญหาเรื่องหนังสือในห้องสมุดไม่เพียงพอ  จากการสอบถามนักศึกษาที่เรียนสายวิทยาศาสตร์ พบว่า นักศึกษาเหล่านี้ใช้วิธีการถ่ายเอกสารและยืมจากห้องสมุด ซึ่งก็ยืมได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนเหตุที่ไม่ซื้อฉบับลิขสิทธิ์นั้นก็คงเดากันได้ว่าเป็นเพราะ “ราคา” นั่นเอง  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 161 กระแสต่างแดน

ร้านหนังสือต้องได้ไปต่อ สถานการณ์ร้านหนังสือในเกาหลีใต้ที่สถิติการอ่านของประชากรเมื่อปีกลายอยู่ที่ 9.2 เล่มต่อปี ก็อาจย่ำแย่ไม่แพ้บ้านเรา สรุปความได้ว่าร้านเล็กอยู่ยาก ร้านใหญ่อยู่ไม่ง่าย มีแต่ร้านออนไลน์เท่านั้นที่ยังทำกำไรต่อเนื่อง ตามกฎหมายของเกาหลีซึ่งให้ความคุ้มครองผู้ผลิตหนังสือเป็นอย่างดีเสมอมา ร้านจะลดราคาหนังสือใหม่ได้ไม่เกินร้อยละ 10 แต่สำหรับหนังสือที่พิมพ์ออกมาเกิน 18 เดือนไปแล้ว ร้านสามารถลดราคาได้ตามความพอใจ ร้านออนไลน์ย่อมเสนอส่วนลดให้กับผู้ซื้อได้มากกว่า ผู้คนจึงมักมาเปิดดูเล่มจริงที่ร้านแต่กลับบ้านมือเปล่าไปสั่งซื้อจากร้านค้าออนไลน์อีกที และบางครั้งก็เป็นร้านจากต่างประเทศด้วย สถานการณ์ตอนนี้น่าเป็นห่วง เพราะจากปี 2003 ถึง 2013 นั้นมีร้านหนังสือปิดตัวไปถึง 1 ใน 3 และในเมืองเล็กๆ บางแห่งไม่มีร้านหนังสือเลย และมีอีกไม่น้อยที่ทั้งเมืองมีร้านหนังสือเพียงหนึ่งร้าน ทั้งนี้เพราะต้องแข่งขัน(อย่างเสียเปรียบ) กับร้านหนังสือออนไลน์และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ นี่ยังไม่นับว่าคนเกาหลีอ่านหนังสือน้อยลงและการใช้จ่ายเพื่อการอ่านก็น้อยลงด้วย เพื่อเป็นการคุ้มครองธุรกิจร้านหนังสือในประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ร้านขายหนังสือแต่เป็นศูนย์กลางชุมชนที่ผู้คนในท้องถิ่นได้ใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ ให้สามารถดำรงอยู่ต่อไป กฎหมายที่จะบังคับใช้ในปลายปีนี้จึงห้ามการลดราคาหนังสือเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ และห้ามไม่ให้ร้านออนไลน์ยกเว้นการคิดค่าบริการส่งหนังสือ   ด้านร้านหนังสือก็ปรับตัวกันขนานใหญ่ นอกจากขายหนังสือแล้วก็ยังต้องขายกาแฟ เปิดแกลอรี่โชว์/ขายงานศิลปะ รวมไปถึงมีสนามเด็กเล่นไว้บริการด้วย   ขึ้นหรือลงดี? มาลุ้นกันว่าชาวเมืองปักกิ่งจะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารถเมล์ รถไฟสาธารณะมากขึ้นกี่หยวน คงจำกันได้ว่าปักกิ่งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกในปี 2008 ตอนนั้นรัฐบาลจีนประกาศลดราคาบัตรโดยสารรถสาธารณะประเภทต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเปลี่ยนจากการใช้รถส่วนมาโดยสารรถสาธารณะ การจราจรบนท้องถนนจะได้คล่องตัวขึ้นในช่วงดังกล่าว แต่จนถึงวันนี้ราคายังคงไม่ได้ปรับขึ้น ผู้ประกอบการรถสาธารณะจึงออกมาเรียกร้องให้รัฐปรับเพิ่มค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุน ... แต่เดี๋ยวก่อน เงื่อนไขเขาไม่ธรรมดา ข้อเสนอคือขอให้ค่าตั๋วโดยสารรถเมล์เป็นเพียง 1 ใน 3 ของค่าบัตรโดยสารรถไฟที่ปรับขึ้นเท่านั้น เช่น ถ้าค่าตั๋วรถไฟปรับขึ้นไปเป็น 6 หยวน (ประมาณ 30 บาท) ค่าตั๋วรถเมล์ก็ควรขึ้นเป็น 2 หยวนเท่านั้น เป็นต้น เหตุที่ต้องเสนออย่างนี้เพราะที่ผ่านมาคนเมืองปักกิ่งไม่ค่อยนิยมการเดินทางด้วยรถเมล์ พวกเขาเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟใต้ดินเพราะมันทั้งถูกและเร็วกว่า แม้จะไปไหนมาไหนใกล้ๆ ก็ยังใช้บริการรถไฟใต้ดิน หวังว่าเขาจะเลือกลดราคาตั๋วรถเมล์ ไม่ใช่คงราคาตั๋วรถเมล์แล้วไปเพิ่มราคาตั๋วรถใต้ดินนะ   ห่วงสุขภาพ ช่วงนี้บรรดานักการเมืองรัสเซียฟิตจัด พากันเสนอกฎหมาย “เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน” ออกมาอย่างต่อเนื่อง เรียกทั้งเสียงโวยวายและเสียงสนับสนุนได้ไม่น้อย เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ประกาศห้ามการขายชั้นในสตรีที่มีอัตราการระบายความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 6 หมายความว่าตั้งแต่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาจะต้องไม่มีชั้นในที่ทำจากใยสังเคราะห์(เพราะระบายความชื้นได้ไม่เกินร้อยละ 3.6) วางขายตามห้างร้านในเขตรัสเซีย คาซักสถาน และเบลารุส เด็ดขาด เท่านั้นยังไม่พอ เขาเตรียมเสนอให้ห้ามขายร้องเท้าส้นแบนและรองเท้าส้นสูง เพราะมันทำให้เกิดความผิดปกติของเท้า ปัจจุบันกว่าร้อยละ 40% ของคนรัสเซียมีอาการดังกล่าว ส่วนรองเท้าผ้าใบสำหรับคุณผู้ชายก็มีลุ้นจะโดนแบนเช่นกัน รวมถึงในกองทัพด้วยเพราะเขาอ้างว่ารองเท้าผ้าใบทำให้ความพร้อมทางการทหารลดลง ล่าสุดข่าวว่ามีการเสนอให้ห้ามขายบุหรี่ให้กับสตรีที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีด้วย เพราะเกรงว่าเด็กรัสเซียรุ่นใหม่ที่จะเกิดมาจะสุขภาพไม่ดีเท่าที่ควร ก่อนหน้านี้ก็ออกกฎหมายห้ามไม่ให้บริษัทบุหรี่บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ “ไร้จริยธรรม” เม็ดบีดส์เจ้าปัญหา อิลินอยส์เป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศห้ามการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่มีเม็ดพลาสติกแบบที่เราเรียกกันว่า “ไมโครบีดส์” เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพราะมันเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม และขณะนี้กำลังมีการเสนอให้แบนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทั้งประเทศภายในปี 2018 ไมโครบีดส์ ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 1 มิลลิเมตร สามารถหลุดรอดผ่านอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียไปลงในแหล่งน้ำได้สบายๆ แค่นิวยอร์ครัฐเดียวก็มีการปล่อยเม็ดพลาสติกเหล่านี้ลงแหล่งน้ำถึง 19 ตันต่อปี ในเขตทะเลสาบน้ำจืดทั้ง 5 (The Great Lakes) เขาก็พบว่ามีเม็ดพลาสติกเล็กๆ พวกนี้อยู่ 466,000 เม็ดต่อตารางกิโลเมตร และมากกว่าร้อยละ 80 ของมันเป็นไมโครบีดส์ที่ใช้ในเครื่องสำอางนั่นเอง รายงานล่าสุดจากองค์กรสหประชาชาติระบุว่า ขณะนี้แหล่งน้ำในโลกของเราเต็มไปด้วยเศษพลาสติกเล็กๆ เหล่านี้ คิดเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศสัตว์น้ำไม่ต่ำกว่า 13,000 ล้านเหรียญ ทางด้านผู้ผลิตอย่างลอรีอัล และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก็ตื่นตัวและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้วยการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นอย่างเกลือทะเล เป็นต้น   เครียดจนต้องขาด งานวิจัยพบว่าสถิติการขาดงานอันสืบเนื่องจากสาเหตุเรื่องความเครียดของชาวดัทช์ในปีนี้สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ Arboned สำนักวิจัยด้านสุขภาพและความปลอดภัยของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเก็บข้อมูลจากคนทำงาน 1.1 ล้านคน ระบุว่าจากปี 2009 เป็นต้นมานั้น มีคนขาดงานเพราะความเครียดเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า และที่สำคัญแค่ครึ่งแรกของปีนี้ก็มีการขาดงานไปแล้ว 4.6 ล้านวัน ร้อยละ 10 ของวันลางานเหล่านี้มีเหตุผลแนบท้ายว่าเพราะ “เครียด” เมื่อคำนวณดูแล้วพบว่านายจ้างจะมีค่าใช้จ่ายถึง 800 ล้านยูโรสำหรับการขาดงานเพราะสาเหตุนี้ โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการลางานมากที่สุดได้แก่ ธุรกิจด้านการศึกษา การแพทย์ ไอที และการเงินการธนาคาร ส่วนสาเหตุที่ทำให้เครียดเป็นอันดับต้นคือความวิตกเรื่องภาระการเงินและการหาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตครอบครัว   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 หนังสั้น เรื่องเล่า และเรา ผู้บริโภค

    มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ร่วมกับแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สร้างอีกหนึ่งพลังในการจุดประกายให้เกิดการตื่นตัวเรื่องปัญหาผู้บริโภคในบ้านเรา ด้วยโครงการ “หนังสั้นเล่าเรื่องผู้บริโภค” ที่ถ่ายทอดปัญหาหลากหลายที่ผู้บริโภคไทยต้องพบเจอ ทุกข์ของผู้บริโภคที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องราวจากชีวิตจริงที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ แม้แต่หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลแก้ไขเองก็อาจจะมองข้าม ถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคมผู้บริโภคไทยให้เข้มแข็ง     เล่าเรื่อง (จริง) ผู้บริโภค ปัญหาของผู้บริโภคในบ้านเรานั้น มีมากมายหลายเรื่อง มีตั้งแต่เรื่องเจอของหมดอายุในร้านสะดวกซื้อราคาไม่กี่สิบบาท ไปจนถึงถูกโกงสัญญามูลค่าหลายสิบล้านจากการซื้อบ้านจัดสรร พูดง่ายๆ ว่าเรื่องปัญหาผู้บริโภคนั่นเป็นปัญหาครอบจักรวาล หลายปัญหาไม่เพียงแค่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรือเสียความรู้สึก แต่หลายครั้งความสูญเสียก็ยิ่งใหญ่เกินจะหาสิ่งใดมาทดแทน   ภาพยนตร์สั้นที่เข้าร่วมในโครงการ “หนังสั้นเล่าเรื่องผู้บริโภค” ประกอบด้วยหนังสั้น 5 เรื่อง และสารคดีอีก 1 หนึ่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานที่ถูกเขียนบท กำกับ และถ่ายทำขึ้นใหม่ เพื่อนำเสนอในโครงการนี้โดยเฉพาะ โดยได้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านภาพยนตร์ ได้แก่  สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย  สมาพันธ์ศิลปินเพื่อสังคม  กลุ่มปลาเป็นว่ายทวนน้ำ บริษัท กู๊ด จ๊อบ โปรดักชั่น  จำกัด   ผลงานภาพยนตร์สั้นที่ร่วมโครงการประกอบด้วย “กรรมของจุ๊บแจง” ผลงานกำกับของ อาจารย์ไพจิตร  ศุภวารี ที่นำเสนอประเด็นปัญหายอดฮิตของผู้บริโภคไทย อย่างปัญหาหนี้บัตรเครดิต, “Heart Station” กำกับโดย คุณพิมพกา  โตวิระ เล่าเรื่องความเหมาะสมของการสร้างปั๊มแก๊ส LPG ในชุมชนเมือง เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาล, “Priceless” กำกับโดย คุณมานุสส วรสิงห์ เล่าเรื่องปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการใช้บริการรถโดยสาร, “กลับบ้าน” กำกับโดย คุณชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา นำเสนอเรื่องราวสะท้อนปัญหาบริการรถตู้โดยสารสาธารณะ, “Disconnected” กำกับโดย คุณบุญส่ง นาคภู่ ที่พูดเรื่องปัญหาจากบริการโทรศัพท์มือถือที่ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค และผลงานสารคดีเล่าเรื่องผู้บริโภค ผลงานกำกับของ คุณพัฒนะ จิรวงศ์   เรื่องราวที่ผู้กำกับแต่ละคนเลือกนำมาบอกเล่าในผลงานภาพยนตร์สั้นแต่ละเรื่องนั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปัญหาที่ผู้บริโภคไทยหลายคนต้องประสบพบเจอในชีวิตจริง เป็นความทุกข์ที่ยังคงไม่มีทางออกที่ชัดเจน ซึ่งผู้กำกับทุกท่านต่างๆ ใช้ “ใจ” ที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคในสังคมไทย สร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานภาพยนตร์สั้นที่บอกเล่าเรื่องจริงของผู้บริโภค   “หนังสั้น” สื่อที่เรียบง่ายแต่แฝงพลังที่ยิ่งใหญ่ ความตั้งใจหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นภารกิจสำคัญของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ก็คือการที่จะสื่อสารข้อมูลดีๆ ที่ผู้บริโภคควรรู้ เพื่อให้ผู้บริโภคเท่าทันไม่ตกเป็นเหยื่อของสินค้าและบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่หลงเชื่อผู้ประกอบการที่ไม่หวังดีกับผู้บริโภค โดยการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ นั้น ก็จะทำควบคู่กันไปกับการผลักดันและสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคทั่วไปในสังคมในเรื่องของกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค   แต่ในขณะที่เรายังต้องเผชิญกับการหลอกลวงจากบรรดาผู้ประกอบการผู้ไม่หวังดีที่ผลิตสินค้าและบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ผู้บริโภคอย่างเรากับมีข้อมูลความรู้ไว้สำหรับใช้ต่อกรหรือรู้เท่าทันการหลอกลวงต่างๆ น้อยมาก   นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคตั้งใจจะให้มีสื่ออย่าง “หนังสั้น” ในการบอกเล่าเรื่องราวปัญหาของผู้บริโภค เพื่อให้เป็นจุดเริ่มของแรงบันดาลใจ ขยายผลต่อไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่ง คุณดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ ที่รับหน้าที่ดูแลโครงการและร่วมคัดสรรภาพยนตร์สั้นและผู้กำกับที่เข้าร่วมในโครงการครั้งนี้ ได้พูดถึงพลังของสื่ออย่างภาพยนตร์สั้นเอาไว้ว่า ภาพยนตร์สั้นนั้นก็คือสื่อศิลปะที่จะช่วยนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้คนที่ได้รับชม บ่อยครั้งข้อมูลที่ดีๆ ที่ผู้คนควรรับรู้กลับถูกมองข้ามไม่ได้รับเผยแพร่หรือพูดถึง เพราะมันขาดความน่าสนใจขาดพลังดึงดูดให้ผู้คนหันมาดูหันมาสนใจ แต่เมื่อมันถูกบอกเล่าอย่างมีชั้นเชิงมีเรื่องราวอย่างในรูปแบบของภาพยนตร์สั้น บางครั้งเรื่องยากๆ ก็อาจเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครก็เข้าใจได้ คุณดนัยและผู้กำกับที่ร่วมผลิตภาพยนตร์สั้นในครั้งนี้ยอมรับว่า การนำเสนอเรื่องราวของปัญหาผู้บริโภคและการผลักดันองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคของกลุ่มเครือข่ายผู้บริโภคออกมาเป็นภาพยนตร์สั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อได้ลองทำความเข้าใจ ศึกษาข้อมูลที่มี ไปจนถึงการพูดคุยกับผู้ที่ประสบปัญหาจริงๆ ก็ทำให้เริ่มเห็นภาพที่จะนำมาสร้างสรรค์ผลงาน ที่สำคัญคือรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนร่วมในการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นประโยชน์แก่สังคม   ให้หนังสั้นจุดประกาย ขยายต่อสู่การเปลี่ยนแปลง แม้ด้วยความที่เป็นโครงการเล็กๆ และหนังที่ฉายเป็นหนังสั้น แต่ คุณดนัย ก็เชื่อว่าสิ่งเล็กๆ ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ หากคนที่ได้ชมภาพยนตร์แล้วได้ฉุกคิด ได้เห็นความสำคัญในประเด็นที่หนังนำเสนอ พร้อมทั้งนำไปบอกต่อ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องสิทธิและการคุ้มครองผู้บริโภคให้กับคนรอบๆ ข้าง หากในสังคมมีคน 100 คน ขอแค่มีสัก 20 คน ลุกขึ้นมาผลักดันเปลี่ยนแปลงสังคม เชื่อว่าแค่นี้สังคมเราก็จะดีขึ้นแน่นอน   เรื่องปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภคและการผลักดันกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ยังคงต้องการความเข้าใจและพลังของผู้คนในสังคมอีกมากที่จะมาช่วยกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง   แนะนำภาพยนตร์สั้นที่ร่วมฉายในโครง “หนังสั้นเล่าเรื่องผู้บริโภค” กรรมของจุ๊บแจง “จุ๊บแจง” สาวออฟฟิศที่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจร้านขายของ เธอจึงต้องมองหาเงินลงทุน ซึ่งวิธีที่เธอเลือกคือการทำบัตรเครดิต ขณะที่ธุรกิจของเธอกำลังไปได้สวยและมองเห็นโอกาสรวยอยู่ไม่ไกล แต่เมื่อเกิดการชุมนุมทางการเมือง ทุกอย่างก็พลันหยุดชะงัก ทุกความฝันแทบพังทลาย เมื่อของขายไม่ได้ จากกำไรก็กลายเป็นขาดทุน เงินที่มีเริ่มไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย บัตรเครดิตที่เคยใช้ให้ทุนแต่ตอนนี้พลิกผันกลายเป็นสร้างหนี้ แถมที่แย่ยิ่งกว่าคือบรรดาเจ้าหนี้ที่คอยตามราวีไม่หยุดหย่อน ทั้งข่มขู่สารพัด ถูกหักเงินจากในบัญชีไปใช้หนี้โดยที่เธอไม่รู้ตัว สิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำต่อจากนี้คือหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น   เรื่องทั้งหมดนี้คือ “กรรม” ของเธอ หรือมาจาก “ความไม่ชอบธรรม” บางอย่างในสังคม   ผลงานการกำกับของ อาจารย์ไพจิตร  ศุภวารี อาจารย์ไพจิตร  ศุภวารี คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านการอำนวยการสร้างและการกำกับภาพยนตร์ รวมถึงการสร้างนักแสดงฝีมือคุณภาพประดับวงการมากมาย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ สมัชชาศิลปินแห่งประเทศไทย และเป็นอาจารย์สอนด้านภาพยนตร์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมไปกับการทำงานบันเทิงเพื่อสังคม   Heart Station จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อชุมชนที่สงบสุขกำลังต้องรับการมาเยือนของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่าง “ปั๊มแก๊ส LPG” นุ้ย เด็กสาวมัธยมปลาย ที่อาศัยอยู่กับแม่และน้า ภายในบ้านที่ถูกเปิดเป็นร้านขายของชำ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของชุมชน เมื่อสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ความเจริญ” กำลังรุกคืบเข้ามา อย่างร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแม้ตัวนุ้ยจะรู้สึกอยากให้ร้านของชำที่บ้านปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยเป็นร้านสะดวกซื้อติดแอร์แบบเขาบ้าง แต่แม่กับน้าก็ยังพอใจและภูมิใจกับร้านชำเล็กๆ ที่มีข้าวของให้เลือกเต็มร้าน ยึดถือความซื่อตรงและใส่ใจลูกค้า   อีกหนึ่งความเจริญที่กำลังรุกคืบเข้าสู่ชุมชน คือการมาถึงของปั๊มแก๊ส LPG ที่เตรียมก่อสร้างติดกับบ้านของนุ้ย ซึ่งการมาอย่างลึกลับไร้ที่มาที่ไปของปั๊ม สร้างความวิตกกังวลให้กับคนในชุมชนถึงเรื่องความปลอดภัย เมื่อเริ่มรู้สึกว่าการสร้างปั๊มแห่งนี้มาพร้อมความไม่ถูกต้องและไม่ปลอดภัย การรวบรวมรายชื่อคนในชุมชนเพื่อคัดค้านการก่อสร้างโดยมีแม่และน้าของนุ้ยเป็นเกณฑ์นำจึงเริ่มขึ้น แต่ความจริงคือแม้จะได้เอกสารรายชื่อคัดค้านกว่า 500 รายชื่อไปยื่นให้กับสำนักงานเขตแต่ว่าการก่อสร้างก็ไม่ได้ถูกระงับ   แม้จะรู้สึกเศร้าใจกับการทำงานของหน่วยงานราชการ แต่แทนที่จะแค่ก่นด่าไปวันๆ ครอบครัวของนุ้ยได้เตรียมแผนการยับยั้งการสร้างปั้มแก๊สในแบบของตัวเองเอาไว้แล้ว เรียกว่างานนี้ “ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็คงต้องเอาด้วยกล”   ผลงานการกำกับของ คุณพิมพกา  โตวิระ เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยบุกเบิกการสร้างภาพยนตร์อิสระในประเทศไทย เคยมีผลงานภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่อง “คืนไร้เงา” เมื่อปี 2546 ซึ่งได้รับเชิญให้ไปฉายและเข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์หลายประเทศทั่วโลก ทำให้ชื่อของ พิมพกา  โตวิระ กลายเป็นผู้กำกับหญิงไทยคนแรกที่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ   นอกจากนี้ยังมีผลงานกำกับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ความจริงพูดได้” (the truth be told) ที่ถ่ายทอดชีวิตของ สุภิญญา กลางณรงค์ เมื่อครั้งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ที่ต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้องหลังต้องตกเป็นจำเลยถูกบริษัทชินคอร์เปอเรชั่นฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาทจากการตีพิมพ์บทความของเธอที่ชื่อว่า“เอ็นจีโอประจาน 5 ปีรัฐบาลไทย ชินคอร์ปรวย” สมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร   Priceless การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลูกชายวัย 40 ปี จากอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสาธารณะ ไม่ได้นำมาแค่ความเสียใจอย่างที่สุดแก่ผู้เป็นแม่เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งปัญหาในเรื่องของการเรียกร้องเงินชดเชยค่าสินไหมทดแทนการเสียชีวิตของลูกชายจากบริษัทประกัน ด้วยความที่ก่อนตายลูกชายทำอาชีพอิสระ ไม่ได้มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่ง รายได้ก็ไม่แน่นอน ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้คุณแม่ในวัยเกษียณต้องปวดหัวในการทำเรื่องขอเงินชดเชย แม้สุดท้ายจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน แต่ก็ใช่ว่าปัญหาต่างๆ จะคลี่คลาย เพราะแม้ว่าเธอจะรู้ว่าลูกชายทำงานอะไรและมีรายได้เท่าไร บริษัทประกันยินยอมจ่ายค่าชดเชย แต่เมื่อมองดูตัวเลขของเงินชดเชยที่ได้รับนั้น เทียบกันไม่ได้เลยกับชีวิตของลูกชายที่ต้องสูญเสียไปเพราะอุบัติเหตุ   ผลงานการกำกับของ คุณมานุสส วรสิงห์ ทำงานเบื้องหลังในส่วนของการตัดต่อภาพยนตร์ให้กับภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง โดยก็ยังทำงานกำกับภาพยนตร์สั้นควบคู่กันไปด้วย ซึ่งผลงานหลายเรื่องได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยังได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการทำภาพยนตร์ให้กับหลากหลายหน่วยงาน เช่น สสส., กรมการศาสนา ฯลฯ   กลับบ้าน ในยุคที่หนุ่ม – สาวจากต่างจังหวัดต้องจากบ้านมาทำงานในกรุงเทพฯ การได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุดจึงถือเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษของเหล่าหนุ่ม – สาวที่ต้องจากบ้านมาตามหาความมั่นคงในสังคมเมือง ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการเดินทางให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะ “รถตู้” ที่กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนนิยม แม้ข่าวคราวเรื่องการเกิดอุบัติเหตุจะมีให้เห็นบ่อยครั้ง แต่รถตู้ก็ยังเป็นที่พึ่งของคนที่ต้องเดินทาง   เช่นเดียวกับสองหนุ่ม – สาวเพื่อนเก่าที่พบกันโดยบังเอิญ ตอนที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ทั้งสองคนต่างแลกประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำจากการใช้บริการรถตู้โดยสาร ทั้งเรื่องความแออัดของที่นั่งโดยสาร และยังเรื่องพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยของพนักงานขับรถ   ไม่มีใครรู้ว่าวันหนึ่งรถตู้โดยสารอาจพาเรา “กลับไม่ถึงบ้าน” ก็ได้   ผลงานการกำกับของ คุณชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา คนทำโฆษณาแถวหน้าของประเทศ นักเขียนเจ้างานเขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น “ถนนวิทยุ”, “คัมภีร์วิทยายุทธ์”, “อเมริกากี่นั้ง” ฯลฯ แม้งานหลักจะเป็นการทำงานเชิงพาณิชย์ แต่ก็หลงใหลการทำงานสื่อเพื่อรับใช้สังคม ที่ผ่านมาก็ช่วยทำสื่อทั้งโฆษณาและหนังสั้นให้กับองค์กรทางสังคม พร้อมทั้งเป็นวิทยากรอบรมให้ความรู้แก่คนทำสื่อรุ่นใหม่ๆ   Disconnected โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้คนในสังคมได้ติดต่อใกล้ชิดกันได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่เพราะความสะเพร่าหรือจงใจที่จะเอาเปรียบผู้บริโภคของบริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ก็อาจทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมือทำลายความสัมพันธ์ได้ในพริบตา   อย่างเช่นเรื่องราวของคุณพ่อวัยเฉียด 70 ปี ที่ต้องหมางใจกับลูกชาย หลังจากโทรศัพท์มือถือที่ลูกชายเป็นคนซื้อให้เกิดใช้งานไม่ได้ ซึ่งสาเหตุมาจากการที่ลูกชายเปลี่ยนจากระบบเติมเงินเป็นแบบจ่ายค่าบริการรายเดือน แล้วเกิดปัญหาโทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่โทรออกไม่ได้ ด้วยความไม่รู้ของผู้เป็นพ่อจึงทำให้หลงเข้าใจผิดคิดว่าลูกชายไม่รักเลยไม่อยากให้โทรหา พอพ่อ - ลูกเจอหน้ากันบรรยากาศก็เลยตึงเครียด ฝ่ายพ่อก็ต่อว่าลูกด้วยอาการน้อยใจ ฝ่ายลูกที่ไม่รู้เหตุผลที่มาที่ไปก็เริ่มไม่สบอารมณ์กับคำด่าว่าของพ่อ สุดท้าย 2 พ่อ – ลูกก็ไม่คุยกันเพราะความเข้าใจผิดเรื่องโทรศัพท์มือถือ   แม้ในที่สุดฝ่ายลูกชายจะรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้พ่อโกรธ แต่กับต้องเจอปัญหาซ้ำซ้อนเรื่องค่าโทรเกินจริง ต้องกลายเป็นคนมีหนี้โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ เรียกว่าอยู่ดีๆ ชีวิตที่สงบสุขก็ต้องมาเจอเรื่องปวดหัวจากบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน     ผลงานการกำกับของ คุณบุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับที่คลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนตร์ทั้งขนาดสั้นและขนาดยาวมาอย่างยาวนาน  มีผลงานกำกับและเขียนบทภาพยนตร์สั้นมากว่า 25 เรื่อง ผลงานหลายเรื่องมีรางวัลการรันตี เช่นเรื่อง “ตากับหลาน”, “ชาวนากลับบ้าน” ฯลฯ ส่วนผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวก็มีเช่น “191 ครึ่ง มือปราบทราบแล้วป่วน” และ ภาพยนตร์เรื่อง “หลอน” ในตอนที่ชื่อว่า “ปอบ”   ปัจจุบันได้ก่อตั้งกลุ่ม “ปลาว่ายทวนน้ำ” เพื่อสร้างภาพยนตร์อิสระอย่างจริงจัง ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมา คือ “คนจนผู้ยิ่งใหญ่” (poor people the great) และ “สถานี 4 ภาค” (four stations) ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งตัวหนังได้รับเชิญให้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ตามประเทศต่างๆ นอกจากนี้คุณบุญส่ง นาคภู่ ยังเป็นอาจารย์พิเศษด้านภาพยนตร์ตามมหาลัยต่างๆ   ติดตามรายละเอียดการร่วมชมภาพยนตร์สั้นและกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ “หนังสั้นเล่าเรื่องผู้บริโภค” ได้ที่ www.consumerthai.org, www.ฉลาดซื้อ.com และที่ facebook นิตยสารฉลาดซื้อ     //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point