ฉบับที่ 108 น้ำสลัดทางเลือกเพื่อคนรักผักสุขภาพ

ก่อนขึ้นปีใหม่ ฉันและเพื่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนผู้ผลิตผักอินทรีย์ ที่บ้านป่าคู้ล่าง  หมู่บ้านเล็กๆ ของชาวโปว หรือที่คนอื่นมักเรียกเขาว่ากะเหรี่ยง ซึ่งอยู่เขตพื้นที่ติดต่อระหว่างเมืองกาญจน์กับสุพรรณบุรี  ทัวร์ครั้งนี้จัดโดยพี่เจน ระวิวรรณ และพี่พยงค์  ศรีทอง  ซึ่งทำงานด้านการเก็บรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และพันธุกรรมพืชท้องถิ่น ในโครงการ การพัฒนาระบบนิเวศน์และอนุรักษ์พืชพันธุ์ กับกลุ่มชาวบ้านในแถบนั้นมาตั้งแต่ปี 35เกือบ 10 ปีแล้วที่พี่เจนและพี่พยงค์ส่งเสริมอาชีพชาวบ้านในแถบนี้โดยหันมาปรับเปลี่ยนระบบการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ใช้สารเคมีหลังจากมีปัญหาเรื่องการจำกัดพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิมมาสู่การปลูกผักอินทรีย์ หลังจากมีผลผลิตส่งขายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งตามห้างสรรพสินค้าอยู่พักใหญ่  พี่เจนกับชาวบ้านก็หันมาสรุปบทเรียนแล้วปรับเปลี่ยนรูปแบบการตลาดใหม่  โดยอาศัยหลักความคิดของ CSA :  community supported agriculture ที่ชาวแคนนาดา-อเมริกา พัฒนามาจากระบบสหกรณ์ของชาวญี่ปุ่นอีกที โครงการพี่เจนกับพี่พยงค์ ซึ่งปัจจุบันได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ทำโครงการผักประสานใจ มา 8 ปี โดยการเปิดรับสมาชิกที่ต้องการรับซื้อผักล่วงหน้าและจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับเกษตรกร  เป็นการร่วมลงทุนของคนกินเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตซึ่งเป็นเกษตรกร โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเข้ามาร่วมประกันความเสี่ยงในการผลิตที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร  รวมทั้งยินยอมที่จะกินผักชนิดต่างๆ ที่เกษตรกรพยายามปลูกขึ้นตามรอบฤดูกาลปลูกในระบบการทำเกษตรแบบอินทรีย์ วันที่เราไปเยี่ยมบ้านป่าคู้  นอกจากมีการต้อนรับด้วยอาหารธรรมชาติปรุงรสแบบชาวโปว การหลามข้าวรอบกองไฟเคล้าเสียงเพลงตงโดยเครื่องดนตรีของชนเผ่าที่เรียกว่านาเดย  การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างสมาชิกผู้รับผักกับชาวบ้านที่ปลูกผัก  และลงแปลงผักและตัดผักกลับบ้านแล้ว  เช้าวันที่เราเดินสำรวจแปลงและตัดผักนั้น พี่เจนกับกลุ่มแม่บ้านได้เตรียมอาหารเช้าแบบสดใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพ และเกษตรอินทรีย์สุดๆ ข้าวต้มเห็ด 3 อย่าง กับถั่ว 5 สี  ร้อนๆ  วางเรียงเคียงคู่กับผักเมืองหนาวอินทรีย์ ที่มีให้กินอย่างหลากหลายและชวนกินเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนี้ถูกนำมาจัดวางเรียงอย่างสวยงาม  ซึ่งหากถ้าเรามาในช่วงหน้าฝนหรือหน้าแล้งเมนูสลัดบาร์แบบนี้คงต้องเปลี่ยนไปเป็นผักอื่นๆ ไปตามความเหมาะสมของดินฟ้าอากาศที่จะเอื้อให้ผักต่างๆ เติบโต ที่น่าสนใจไม่แพ้กันกับสลัดบาร์คือน้ำสลัด  ซึ่งมี 2 สูตร  ขอนำมาฝากผู้อ่านฉลาดซื้อค่ะ สูตรแรกเป็นน้ำสลัดที่ทำจากไข่แดงของพี่โหน่ง สูตรสองเป็นน้ำสลัดฟักทองของพี่เจน ถามสูตรพี่เจนซึ่งเป็นคนที่ชอบทำกับข้าวและทำกับข้าวได้อร่อยเกือบทุกประเภท  พี่เจนว่าใช้ฟักทองนึ่งแล้วเอามาบดให้ละเอียดแล้วผสมนม น้ำมะนาว เกลือ พริกไทย โรยด้วยงาคั่ว  โดยรสชาติและเนื้อใช้วิธีชิมให้มีรสเข้มเล็กน้อยตามที่เราชอบ เผื่อว่าเมื่อผสมกับผักสดๆ แล้วจะได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมพอดิบพอดี เห็นน้ำสลัดฟักทองของพี่เจน  ครั้งหนึ่งฉันเคยทดลองทำน้ำสลัดฟักทองเช่นกัน  ส่วนผสมคล้ายๆ  แต่เปลี่ยนจากนมเป็นน้ำมันรำ น้ำมันงา  โดยเอาฟักทองนึ่งแล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยแล้วเอาไปปั่น  ได้เนื้อสลัดข้นๆ จึงเอามาผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มหมักผลไม้เท่าที่มีอยู่ในตู้เย็นให้ออกรสเปรี้ยว แล้วเติมน้ำมันรำและน้ำมันงาลงไป แต่ด้วยความที่น้ำสลัดฟักทองที่ฉันทำมันค่อนข้างข้น  บางทีฉันก็ใช้มันกินเป็นครีมหรือแยมแทน โดยใช้วิธีการเอางาตัด ถั่วกระจก หรือขนมปังมาทาหรือจิ้ม  อีกสูตรหนึ่งที่เพิ่งทดลองทำหลังจากไปเจอน้ำสลัดฟักทองอร่อยๆ ของพี่เจน คือน้ำสลัดถั่วเขียว วิธีทำใช้ถั่วเขียวอินทรีย์ ประมาณ ¼ ถ้วยแช่น้ำ ตอนเช้า  ตกค่ำก็เอามาปั่นกับหางกะทิให้ละเอียด  แล้วน้ำถั่วเขียวปั่นไปตุ๋นกับหางกะทิ  1 ถ้วย และหัวกะทิ  1 ถ้วย  ฉันเพิ่มสีให้เขียวสวยขึ้นโดยใส่น้ำย่านางคั้นลงไปด้วยอีก 1 ถ้วย  เมื่อถั่วสุกดีแล้วใส่เกลือและน้ำตาลทราย และพริกไทยป่นลงไป  จากนั้นยกลงจากเตาปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น  ถั่วที่กวนไว้จะพองตัวขึ้นมาและน้ำจะแห้งงวดลงเล็กน้อย ก่อนจะกินกับผักสลัดจึงค่อยเอามาปรุงรสเพิ่มโดยใส่น้ำมะนาวลงไป จะได้รสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เคล็ดไม่ลับ ตอนตุ๋นนี่ ใช้วิธีใส่น้ำลงในกระทะใหญ่ แล้วเอาหม้อใบเล็กที่เราจะเคี่ยวถั่วกับกะทิตั้งในกระทะ แล้วค่อยๆ คน เพื่อป้องกันถั่วเขียวจับตัวเป็นก้อน  ซึ่งวิธีนี้จะป้องกันการไหม้ก้นหม้อได้เป็นอย่างดี สลัดน้ำถั่วเขียวสูตรนี้ ตอนทำฉันนึกไปถึงน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ น้ำสลัดแขก และไพล่ไปถึงข้าวตังหน้าตั้ง  และยังคิดทำน้ำสลัดจากพืชผักพื้นบ้านไทยๆ โดยไม่ใช้ ไข่นมเนยแทนอีกหลายสูตร  ส่วนคนกินอย่างคุณสารี บก.ฉลาดซื้อบอกว่า “อร่อยดี”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 157 รู้เท่าทันสถานการณ์สุขภาพปีพ.ศ. 2556 ตอนที่ 2

การขาดแคลนยาที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐทำให้ประชาชนต้องหาซื้อยาจากภาคเอกชน ซึ่งยาชื่อสามัญจะมีราคาสูงกว่าราคากลางระหว่างประเทศถึงร้อยละ 610  คุณภาพการบริการของภาครัฐที่ไม่ดีและราคาค่าบริการของภาคเอกชนที่สูงทำให้หลายครอบครัวเกิดภาวะล้มละลาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคเรื้อรัง ในฉบับก่อนได้กล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals- MDGs) คือ เป้าหมายแปดประการ ที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ 191 แห่ง ตกลงยอมรับกันที่จะพยายามบรรลุให้ได้ภายใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) โดยมีการลงนามในเดือนกันยายน ค.ศ. 2000 เพื่อต่อสู้กับ ความยากจน ความหิวโหย โรค การไม่รู้หนังสือ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และการเลือกปฏิบัติต่อสตรีเพศ  เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษได้พัฒนามาจากคำประกาศดังกล่าว และทั้งหมดมีเป้าหมายและตัวชี้วัดเฉพาะ ในเรื่องโรคติดต่อนั้น พบว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในโลกมีความเสี่ยงในการติดต่อเชื้อ มาลาเรีย และในจำนวนผู้ป่วยมาลาเรียในโลกจำนวน 219 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 660,000 รายในปี ค.ศ. 2010  ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเกิดขึ้นใน 17 ประเทศ และร้อยละ 80 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเกิดใน 14 ประเทศเท่านั้น การครอบคลุมของปฏิบัติการต่างๆ เช่น การกระจายตัวของเครือข่ายการกำจัดยุงด้วยสารเคมีกำจัดแมลงและการพ่นสารเคมีกำจัดยุงตามบ้านเรือนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและจำเป็นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาของยุงและการเสียชีวิตจากมาลาเรีย   ปริมาณผู้ป่วยใหม่ทั้งหมดที่เป็น วัณโรค ในแต่ละปีลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 และระหว่างปี ค.ศ. 2010-2011 ลดลงร้อยละ 2.2  ในจำนวนผู้ป่วยใหม่ 8.7 ล้านรายในปี ค.ศ. 2011 นั้นเกิดจากผู้มีเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 13  การตายจากวัณโรคลดลงร้อยละ 41 ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1990 และจะลดลงร้อยละ 50 เมื่อถึงปีค.ศ. 2015 ปี ค.ศ. 2010 ประมาณการว่า มีผู้ป่วยที่ ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ 2.7 ล้านคน ซึ่งลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ 3.1 ล้านคนในปี ค.ศ. 2001  ปลายปี ค.ศ. 2010 จะมีผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีประมาณ 34 ล้านคน ซึ่งมากกว่าปีก่อนๆ เพราะผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาด้วยยาฆ่าไวรัสมากขึ้น ทำให้มีการเสียชีวิตน้อยลง โลกได้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษในเรื่องการเข้าถึง น้ำดื่มที่ปลอดภัย ในปีค.ศ. 2010 ร้อยละ 89 ของประชากรมีแหล่งน้ำดื่มที่ปรับปรุงดีขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ 76 ในปีค.ศ. 1990 ในเรื่องสุขอนามัยโดยเฉพาะ สุขาภิบาล นั้น อัตราการมีสุขาภิบาลที่ดียังพัฒนาค่อนข้างช้าเกินกว่าที่จะบรรลุเป้าหมาย  ในปี ค.ศ. 2010 มีประชากร 2,500 ล้านยังไม่มีสุขอนามัยที่ดีพอ และร้อยละ 72 ของประชากรเหล่านี้อาศัยอยู่ในชนบท  ปริมาณของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองและไม่มีสุขาภิบาลที่ดีกำลังเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของประชากรในเขตเมือง แม้ว่าเกือบทุกประเทศจะมีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่การจัดหายาเพื่อให้บริการในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐยังค่อนข้างแย่  จากการสำรวจประเทศที่ยากจนและเศรษฐกิจปานกลางมากกว่า 70 ประเทศพบว่า มีการจัดหายาในบัญชียาหลักเพียงร้อยละ 42 ในสถานบริการภาครัฐ และร้อยละ 64 ในสถานพยาบาลภาคเอกชน  ยาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคเรื้อรังค่อนข้างจะมีคุณภาพต่ำเมื่อเทียบกับยาที่ใช้รักษาโรคฉุกเฉิน  การขาดแคลนยาที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐทำให้ประชาชนต้องหาซื้อยาจากภาคเอกชน ซึ่งยาชื่อสามัญจะมีราคาสูงกว่าราคากลางระหว่างประเทศถึงร้อยละ 610 คุณภาพการบริการของภาครัฐที่ไม่ดีและราคาค่าบริการของภาคเอกชนที่สูงทำให้หลายครอบครัวเกิดภาวะล้มละลาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคเรื้อรัง เหลือเวลาเพียงสองปีเท่านั้นก็จะสิ้นสุดปี ค.ศ. 2015 ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษที่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยที่ได้ประกาศไว้ในปี ค.ศ. 2000   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 156 รู้เท่าทันสถานการณ์สุขภาพปีพ.ศ. 2556 ตอนที่ 1

ปีพ.ศ. 2556 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว  เมื่อขึ้นปีใหม่ก็สมควรที่ทุกคนควรจะทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ทั้งจากการกระทำของเราเองหรือของสังคมที่เราได้มีส่วนร่วมรวมทั้งที่เราได้รับผลกระทบ  เพื่อนำบทเรียนมาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ  ดังนั้นฉบับนี้ขออนุญาตทบทวนสถานการณ์สุขภาพในระดับโลกที่เชื่อมโยงกับภาวะสุขภาพของไทยด้วย ในระดับโลกนั้น การประชุมสุดยอดของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ได้มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิก เพื่อยอมรับข้อผูกมัดตาม คำประกาศสหัสวรรษของสหประชาชาติ (United Nations Millennium Declaration)  ซึ่งได้มีการกำหนด เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals- MDGs) คือ เป้าหมายแปดประการ ที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ 189 แห่ง ตกลงยอมรับกันที่จะพยายามบรรลุให้ได้ภายใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)  เป้าหมายแปดประการได้แก่ การขจัดความยากจนและความหิวโหย การพัฒนาการศึกษาขั้นประถม การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ การลดอัตราการตายของเด็ก การพัฒนาสุขภาพของแม่ การป้องกันโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในโลก   องค์การอนามัยโลกได้รายงานสถานการณ์สุขภาพเกี่ยวกับ การลดอัตราการตายของแม่และเด็ก  การพัฒนาด้านโภชนาการ การลดอัตราการตายจากโรคเอดส์ วัณโรค มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ ในปีค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ดังต่อไปนี้ ในภาพรวมระดับโลก สามารถลดระดับของอัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบจากปีค.ศ. 1990-2011 (พ.ศ. 2533-2554) ได้ร้อยละ 41 หรือจาก 87 รายเป็น 51 รายต่อทารกแรกเกิดที่มีชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการลดลงดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ให้ลดลง 2 ใน 3 ของการตายของเด็กในปีค.ศ. 1990 ในภาพระดับประเทศ พบว่า มีประเทศที่มีความแตกต่างกันถึง 27 ประเทศที่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษก่อนปีค.ศ. 2015  ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 5 ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตของเด็กสูงมากเมื่อปีค.ศ. 1991  และสาเหตุพื้นฐานของการเสียชีวิตคือ ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งประมาณว่าเป็นสาเหตุการตายของเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบร้อยละ 35 จำนวนการเสียชีวิตของเด็กทารกลดลงจาก 4.4 ล้านรายในปีค.ศ. 1990 เป็น 3.0 ล้านรายในปีค.ศ. 2011 หรืออัตราการตายของเด็กทารกลดลงจาก 32 รายในเด็กทารกแรกเกิดที่มีชีวิต 1,000 ราย เป็น 22 รายในเด็กแรกเกิดที่มีชีวิต 1,000 ราย ในเวลาดังกล่าว อัตราการเสียชีวิตของแม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวน 543,000 ในปีค.ศ. 1990 เป็น 287,000 ใน ค.ศ. 2010 หรือร้อยละ 3.1 ต่อปี  โดยทวีปอัฟริกาเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเสียชีวิตของแม่สูงที่สุด  การแก้ปัญหาดังกล่าวได้แก่ การเข้าถึงบริการการดูแลแม่และเด็กที่มีคุณภาพ การวางแผนการมีลูกอย่างเหมาะสม ผู้หญิงวัยรุ่นประมาณ 16 ล้านคนให้กำเนิดลูกในแต่ละปี คิดเป็นร้อยละ 11 ของการให้กำเนิดทารกในโลกทั้งหมด และร้อยละ 95 ของการกำเนิดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา  (สำหรับประเทศไทยก็มีข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงในมนุษย์ว่า แม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและคลอดลูกของประเทศไทยมีอัตราสูงที่สุดเป็นที่หนึ่งของอาเซียน  และเป็นที่สองของโลก กระทรวงสาธารณสุขโดยรัฐมนตรีก็แถลงว่า ประเทศไทยมีแม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดลูกปีละ 133,176 ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จังหวัดที่มีแม่วัยรุ่นจำนวนมากที่สุดได้แก่ จังหวัดตาก ระยองและชลบุรี) หน้ากระดาษหมดอีกแล้ว คงต้องขอต่อฉบับหน้า  ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะรายงานสถานการณ์ของโรคติดต่อต่างๆ ได้แก่ มาเลเรีย เอชไอวี และวัณโรค  สวัสดีครับ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 150 เล็บบอกสุขภาพ

คนยุคปัจจุบันกินอาหารหลากหลายและได้รับโภชนาการที่ดีกว่าคนยุคก่อน ทำให้เล็บยาวเร็วมาก ในงานวิจัยหนึ่งระบุว่า “คนสมัยหลังมีเล็บมือและเล็บเท้ายาวเร็วขึ้นเกือบ 25% เมื่อเทียบกับของคนเมื่อ 70 ปีก่อน เหตุเพราะกินอาหารที่มีโปรตีนสูง” เล็บจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบอกถึงสภาวะของร่างกายได้ เล็บที่มีสุขภาพดี จะมีความแข็งแรงและมีลักษณะผิวเรียบ ไม่มีร่องหรือขอบที่ผิว นอกจากนี้สีของเล็บก็จะเป็นสีเดียวกันสม่ำเสมอตลอดทั้งเล็บ ไม่มีดอกหรือจุดขึ้น ถ้าเล็บเกิดผิดปกติไปรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ก็ควรใส่ใจเป็นพิเศษ และเท่าที่ฉลาดซื้อได้ลองค้นหามา พบว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจและอาจเป็นแนวทางไว้สำหรับตรวจเช็กสุขภาพเราได้   ความผิดปกติของเล็บที่อาจบ่งบอกถึงสาเหตุของโรคบางอย่าง เล็บเปราะอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เลือดลมเดินไม่สะดวก เล็บที่มีสีออกเหลืองอาจบอกถึงปัญหาที่ระบบน้ำเหลืองหรือที่ไต เล็บเหลือง ยังพบในคนสูบบุหรี่จัด เล็บเขียวพบในผู้ที่เป็นโรคหัวใจเนื่องจากมีออกซิเจนไม่เพียงพอในเม็ดเลือด เล็บสีเขียวคล้ำ คุณอาจกำลังป่วยด้วยโรคหืดอย่างรุนแรง โรคถุงลมโป่งพอง เล็บเป็นลอน(ตามขวาง) อาจบ่งบอกว่าฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ซึ่งอาจเพราะคุณกำลังมีโรคร้ายแรงจึงทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เล็บเป็นร่อง มักเป็นโรคขาดอาหาร หรือเป็นผู้ที่ตรากตรำทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ เล็บมีเส้นตามแนวขวางเป็นสีขาว พบในผู้ที่เป็นโรคพิษสารหนู เล็บจะเป็นลอนตามขวางเท่ากันทุกเล็บ(เนื่องจากขณะป่วย เล็บจะหยุดโตทำให้เห็นเป็นร่อง เว้าลงไป) เล็บขาว อาจบอกถึงความผิดปกติของตับ ไต ภาวะโลหิตจางหรือตับอักเสบเรื้อรัง ถ้ามีเล็บขาวขุ่นครึ่งเล็บทางด้านโคน ส่วนครึ่งปลายมีสีชมพูตามปกติ อาจเป็นอาการของโรคไตเรื้อรัง ถ้ามีสีขาวขุ่นเกือบทั้งเล็บโดยที่มีสีชมพูน้อยกว่าร้อยละ 20 มักเกิดในผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ดังนั้นควรหมั่นสังเกตเล็บของเรา หากพบเห็นความผิดปกติของเล็บ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่ ร่างกายกำลังเตือนภัยเรา ก็ควรหาทางป้องกันหรือเร่งหาสาเหตุเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพต่อไป   -------------------------------------------------------------------------------------------- การดูแลสุขภาพเล็บ แม้ว่าตามธรรมชาติ เล็บจะเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงมาก เพื่อไว้คอยเป็นเกราะกำบังนิ้วมือ และนิ้วเท้า จากอันตรายต่างๆ แต่ก็ควรต้องได้รับการดูแลทะนุถนอมอย่างถูกต้องเช่นเดียวกับผิวหนังบริเวณอื่น 1.ไม่ทาเล็บและล้างเล็บบ่อยเกินไป อาจจะทำให้เล็บเสียได้แล้ว ผิวหนังที่อยู่ข้างเคียงอาจเกิดการอักเสบได้ ควรมีเวลาให้เล็บได้ว่างเว้นจากการทาสี เพราะนอกจากเล็บจะได้พักหรือฟื้นสภาพที่เสียไปแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ได้สังเกตความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเล็บด้วย 2.พยายามหลีกเลี่ยงการรบกวนผิวหนังที่หุ้มโคนเล็บ เนื่องจากหนังหุ้มโคนเล็บ เป็นตัวป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปสู่จมูกเล็บ และเนื้อเยื่อรอบๆ เล็บ 3.การตัดเล็บที่ถูกต้อง หากเป็นเล็บมือควรตัดให้มีความโค้งมนไปตามนิ้วมือ ส่วนเล็บเท้าต้องพยายามตัดให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด เพื่อลดการสะสมความสกปรกตามซอกเล็บ ลดโอกาสการเกิดเล็บขบ และแน่นอนไม่ตัดสั้นชิดเนื้อเกินไป 4.พยายามเลี่ยงไม่ให้มือและเท้าต้องถูกน้ำบ่อยๆ หรือแช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากจะทำให้ผิวหนังมีสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ และเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อรา ซึ่งปัญหาเชื้อราที่เล็บเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 เครื่องดื่มสุขภาพ ดื่มแล้วสวย สาวและฉลาด ?

ปัจจุบันนับเป็นยุคที่ผู้คนในสังคมตื่นตัวกับการดูแลสุขภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ นักเรียนต้องกวดวิชาทุกวัน ผู้ใหญ่ต้องเร่งรีบทำงานไขว่คว้าหาเงิน ทำให้กลัวว่าจะดูแลตัวเองไม่เพียงพอ จึงเป็นช่องว่างให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความสวยความงามเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มสุขภาพทั้งหลายเลยโผล่ออกมาอวดโฉมมากมาย  ชาเขียวแช่เย็นเมื่อเข้าร้านอาหาร ชาเขียวแช่เย็นจะเป็นเครื่องดื่มที่ถูกนำเสนอแทนน้ำเปล่า ทำให้เจ้าของสินค้าหรือผู้ผลิตรวยแล้วรวยอีก จนสามารถให้รางวัลเปิดฝาขวดและได้เงินล้านใน 2 ปีที่ผ่านไป ผู้บริโภคหลายครอบครัวถึงขนาดซื้อกันเป็นแพคใหญ่ๆ นำกลับไปบริโภคเป็นประจำทั้งเช้า-เย็นเพราะเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดื่มแล้วชะลอความแก่ได้ ดื่มแล้วผิวสวย แต่คงรู้แล้วว่าดื่มแล้วไม่เห็นสวยขึ้นแต่กลับน้ำหนักขึ้นอีกต่างหาก? ส่วนเจ้าของสินค้นกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว!  เครื่องดื่มชาเขียวแช่เย็นเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายมากกว่า เพราะถูกแต่งแต้มด้วยรสหวานและกลิ่นหอม ดื่มมากๆ จะเป็นการสะสมน้ำตาลในเลือดและยังมีคาเฟอีนไม่แตกต่างจากน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังทั่วไป ความจริงชาเขียวมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 4 ชนิดที่มีคุณค่าต่อร่างกายทุกส่วนรวมทั้งผิวพรรณ เนื่องจากสารทั้งสี่ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ผ่านขบวนการกลั่นกรองทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้วว่าดีจริง มีการค้นพบว่าสารสกัดชาเขียวสามารถต้านมะเร็ง ต้านเชื้อโรคในลำไส้ใหญ่ได้ ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษทั้งหลาย แต่เนื่องจากสารสำคัญในชาเขียวมีน้อยมากและไวต่อความร้อน ดังนั้นการจะดื่มให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรที่จะดื่มชาเข้มข้นเช่นเดียวกับกาแฟเอสเปรสโซ่ ไม่ควรเติมน้ำตาลหรือนมสดหรือนมผง เพราะจะไปทำลายสารสำคัญ เครื่องดื่มคอลลาเจนเปปไทด์ กำลังฮอตมากพบทั้งในทีวีและทางอินเตอร์เน็ต มีโฆษณาว่าให้ดื่มทุกวันแล้วจะทั้งสวย หล่อ และฉลาด ความจริงคือ คอลลาเจนนับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย มีคุณสมบัติที่สำคัญคือไม่ละลายน้ำ แต่อุ้มน้ำได้มาก มีความแข็งแรงโดยทำงานร่วมกับอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อวัยวะส่วนต่างๆ รวมทั้งผิวหนัง เมื่ออายุคนเรามากขึ้น คุณสมบัติของคอลลาเจนจะเสื่อมลงทำให้ประสิทธิภาพการอุ้มน้ำไม่ดี จะเห็นได้ชัดจากการที่ผิวหนังแห้ง เหี่ยว หย่อนคล้อย กระดูกเสื่อม เส้นเอ็นตามร่างกายและข้อต่อทั้งหลายตึงและอักเสบ นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสกัดเอาคอลลาเจนจากสัตว์ใหญ่ เช่น หนังหมู หนังปลา กระดูกลูกวัวและกระดูกปลา หากนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์จะไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากโมเลกุลของคอลลาเจนมีขนาดใหญ่มาก ไม่ละลายน้ำและไม่สามารถซึมผ่านกระเพาะอาหารหรือผิวหนังคนได้ จึงได้นำคอลลาเจนจากสัตว์มาสลายด้วยขบวนการทางเคมีเพื่อให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลงมากๆ คือ คอลลาเจนเปปไทด์ ซึ่งละลายน้ำได้ดีและสามารถซึมเข้าผ่านกระเพาะอาหารและผิวหนังได้เร็ว นักวิทยาศาสตร์หลายคณะเชื่อว่าการที่ร่างกายคนเราได้รับอาหารเสริมคือคอลลาเจนเปปไทด์ทุกวันในปริมาณมากเพียงพอ จะช่วยทดแทนคอลลาเจนธรรมชาติที่เสื่อมได้ และยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ได้อีกด้วย แต่ก็ยังไม่รายงานพิสูจน์ถึงข้อบ่งชี้ดังกล่าว เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์จัดเป็นสารอาหารจำพวกโปรตีนเทียบเท่ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องดื่มชนิดนี้จึงน่าจะเหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนป่วยหลังพักฟื้นที่ต้องการโปรตีนสูงมากกว่า ซอยเปปไทด์ ตัวนี้ได้จากการนำน้ำนมถั่วเหลืองไปย่อยด้วยเอนไซม์ย่อยโปรตีนบางชนิด เพื่อให้ได้โปรตีนถั่วเหลืองที่มีโมเลกุลเล็กลง จะได้ถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากกระเพาะอาหาร โปรตีนจากถั่วเหลืองนับเป็นแหล่งอาหารเสริมที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับว่าถั่วเหลืองให้คุณค่าทางโปรตีนที่สมบูรณ์เทียบได้กับโปรตีนจากสัตว์ นอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวจำนวนมาก มีรายงานการวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ สามารถช่วยยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลภายในร่างกายได้ และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลจากลำไส้ได้ดี มีผลทำให้ค่าแอลดีแอล (LDL)และไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดลดลง จึงมีคุณค่าต่อผู้ที่มีความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและผู้ที่ต้องการห่างไกลจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำนมถั่วเหลืองยังประกอบไปด้วยสารไฟโตร์เอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงจากพืช สามารถทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดน้อยลงในหญิงวัยทองได้บ้าง การดื่มเป็นประจำ จะช่วยให้หญิงวัยทองมีผิวพรรณชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งตึง แต่ไม่ได้มีผลต่อความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใด มีข้อควรระวังสำหรับการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองหรือซอยเปปไทด์สำหรับเด็ก เนื่องจากในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วยสารสำคัญบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการจับแร่ธาตุและโลหะหนัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ฯ ดังนั้นการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำในเด็กอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนในวัยสูงอายุ แร่ธาตุหรือโลหะหนักที่มีมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ การบริโภคน้ำนมถั่วเหลืองเป็นประจำ จะช่วยลดปริมาณส่วนเกินลงได้เพื่อป้องกันไม่ให้แร่ธาตุหรือโลหะหนักส่วนเกินไปเกาะตามผนังหลอดเลือด หรือเกาะตามข้อต่อของกระดูกส่วนต่างๆ ได้ Smart Drink คือกลุ่มเครื่องดื่มที่ผู้ขายต้องการประชาสัมพันธ์ว่า ดื่มแล้วจะเพิ่มความฉลาดและเก่งสำหรับวัยนักเรียนนักศึกษา เครื่องดื่มยี่ห้อดังในทีวี ซึ่งโฆษณาว่าเป็นเปปไทด์ต้นกำเนิดจากนมถั่วเหลือง (Original Soy Peptides) ความจริงก็คือน้ำนมถั่วเหลืองธรรมดา และให้คุณค่าของโปรตีนถั่วเหลืองที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ใช่ดื่มแล้วทำให้นักเรียนนักศึกษามีไอคิวสูงขึ้น ท่องหนังสือได้มากขึ้น หรือเรียนเก่งขึ้นแต่อย่างไร นับเป็นการตลาดที่มุ่งหวังเจาะตลาดวัยนักเรียนนักศึกษาที่สังคมยุคใหม่เน้นให้ต้องทั้งสวย หล่อ และ ฉลาด อาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับวัยนี้และทุกวัย ควรมุ่งเน้นไปที่ปลาทะเลซึ่งมีสารโอเมก้า-3 บำรุงเซลสมองโดยตรง เช่น ปลาทู ราคาถูกและอร่อย หาซื้อง่าย เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลายที่มีต้นกำเนิดจากประเทศไทย ก็จัดอยู่ในหมวด Smart Drink นี้เช่นกัน ซึ่งมีองค์ประกอบเพียงเกลือแร่ น้ำตาลซูโครส และคาเฟอีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ขายดีมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ Beauty Drink and Health Drink เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วช่วยให้สวยเร็วขึ้น บำรุงร่างกายได้รวดเร็ว ทดแทนความเครียดและความวุ่นวายในหน้าที่การงานได้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่คอลลาเจนเปปไทด์ เจลลาตินเปปไทด์ และหรือมีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี ลองกลับไปอ่านทบทวนประโยชน์ของคอลลาเจนที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะพบว่ายังไม่ข้อพิสูจน์บ่งชี้ใดๆ ว่าเป็นเรื่องจริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 ดื่มชาอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

สวยอย่างฉลาดรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล : คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com เครื่องดื่มประเภทน้ำชามีมาช้านานกว่า 4,700 ปี นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังพบว่าสามารถแก้สารพัดโรคได้อีกด้วย เช่น ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสารพิษและโรคอื่นๆอีกมากมายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตามการที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากมีองค์ประกอบของสารสำคัญในใบชาที่เรียกว่า แทนนินหรือทีโพลีฟีนอล (Tea polyphenols) สารสำคัญกลุ่มนี้พบมากในพืชเกือบทุกชนิด แต่ละชนิดอาจจะมีโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างกันไป สารแทนนินในใบชาสดหรือชาเขียวที่มีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญได้แก่ สารกลุ่มที่ชื่อว่า คาเทคชินส์ (catechins) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้มากมายหากดื่มเป็นประจำ แต่สารสำคัญจากใบชามักจะสลายตัวได้ง่ายและรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและความร้อน ดังนั้นเราลองมาพิจารณาดูว่าวิธีการชงชาหรือเครื่องดื่มชาแบบไหนที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด หรือแบบไหนจะได้ประโยชน์น้อยที่สุด หรือไม่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย หรือในทางตรงกันข้ามมีผลเสียต่อร่างกายก็เป็นไปได้   คำแนะนำเรื่องการดื่มชา1, สำหรับผู้ที่นิยมดื่มน้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ ‘คาเทคชินส์’ จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋ว ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรสโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง 2, ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน 3, การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบชาเย็นใส่นม จะไม่ได้ประโยชน์จากชาเลย4. ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่ธาตุต่างๆ จากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน 5 โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือแทนนิน ซึ่งจะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ 6,ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงคือ มีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง สูงกว่าปริมาณในน้ำประปา การที่ร่างกายได้รับเข้าไปทุกวันจากการดื่มน้ำชาเป็นประจำ จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล 7, ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารที่ชื่อว่า ‘ออกซาเรท oxalate’ แม้ว่าสารชนิดนี้จะมีอยู่น้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเรทในร่างกายได้ สารชนิดนี้มีรายงานว่ามีผลทำลายไต 8, ใบชามีสารคาเฟอีนในปริมาณสูง อาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก ชากับสปาจากที่กล่าวไปข้างต้น พอสรุปได้ว่า เครื่องดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกาย ขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปจะเป็นโทษได้ ส่วนผู้ที่นิยมนำสารสกัดจากชาเขียวไปทำสปา โดยการหมักบนใบหน้าและผิวหนัง ควรผสมกับน้ำเย็น ไม่ควรผสมน้ำนมเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายคุณค่าของสารสกัดชาเขียวตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหารอื่นๆ หากต้องนำไปทำให้ร้อน เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวจะหมดไป คงเหลือแต่รสชาติเท่านั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านขบวนการความร้อน เพื่อคงคุณค่าของชาเขียวต่อสุขภาพร่างกาย บทความฉบับนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหลายคนงง เพราะเคยทราบแต่สารพัดประโยชน์ของชาเขียว แต่อ่านแล้วคงไม่ทำให้กลัวการการดื่มชา องค์ความรู้จากนักวิจัยจะช่วยให้เราระวังไม่บริโภคมากเกินไป เพราะเช่นเดียวกับทุกอย่างถ้ามากไปมักจะมีให้ผลเสียต่อร่างกายได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 เทรนด์ใหม่มาแรง..แย่งอาหารจิ้งหรีด

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ  ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่บอกว่า ถ้าอยากเสียงดี ต้องไปกินน้ำค้างที่ยอดหญ้าเหมือนจิ้งหรีด ตอนนั้นยังขำๆ กับคำพูดนี้  จนปัจจุบัน ได้มาทำงานคุ้มครองผู้บริโภค  มิคาดว่าเรื่องเล่าขานตำนานน้ำค้าง มันจะกลายมาเป็นจริง เพราะเดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์จำหน่าย โดยแจ้งว่าเป็น น้ำค้างเพื่อสุขภาพ นี่เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์ที่ผมกำลังพูดถึง มีการประกาศขาย โดยให้สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต ระบุว่าเป็น  “น้ำค้างบริสุทธิ์แท้” ที่รวบรวมน้ำค้างจากธรรมชาติ โดยใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้จับน้ำค้างโดยเฉพาะ  ทำให้ได้น้ำค้างที่มีความบริสุทธิ์และมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับน้ำค้างที่เกาะบนใบหญ้า 100%  จึงอุดมไปด้วยออกซิเจนจากธรรมชาติ และมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ  เสมือนน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุดในธรรมชาติ ไหนๆ ก็พร่ำพรรณนากระบวนการผลิตมาขนาดนี้แล้ว เรื่องสรรพคุณคงไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนแล้ว เพราะเล่นบรรยายจะเคลิบเคลิ้มไปเลย.. ขายเด่นๆ ที่อ้าง คือการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับอวัยวะต่างๆ และเกิดผลได้อย่างมหัศจรรย์ เช่น  เพิ่มให้กับสมอง(ทำให้สมองปลอดโปร่ง คลายเครียด ความจำดี และมีสมาธิมากขึ้น บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน และลดภาวะสมองขาดออกซิเจน) เพิ่มให้กับตับ (ทำให้ตับสามารถกำจัดสารพิษต่างๆ ในร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันอันตรายต่อเซลล์ตับจากสารพิษต่างๆ จากอาหารเครื่องดื่มและยาที่ปนเปื้อนสารพิษ ชำระล้างของเสียที่สั่งสมมานานออกไปจากร่างกาย) เพิ่มให้กับผิวหนังและเนื้อเยื่อ(ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นสดใส เพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็ว) เพิ่มปริมาณออกซิเจนธรรมชาติให้กับเลือด(ทำให้เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดมีจำนวนมากขึ้น ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายจากภาวะขาดเลือด รักษาระดับความดันเลือดให้ปกติ) เพิ่มให้กับข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ(ทำให้ข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยเจือจางระดับของกรดยูริก บรรเทาอาการปวดเมื่อย และอาการข้อเสื่อม) เพิ่มให้กับปอด (ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด และภูมิแพ้) ส่วนเรื่องราคาจะขายถูกเหมือนน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปก็จะกระไรอยู่ น้ำค้างบริสุทธิ์นี้ ขวด 300 มิลลิลิตร ราคาขายประมาณ 120 – 144 บาท หวังว่าผู้บริโภคที่ฉลาดคงจะตัดสินใจได้นะครับว่า ผลิตภัณฑ์นี้มันมีสรรพคุณมหัศจรรย์พันลึกได้อย่างที่ว่าหรือเปล่า ยังไงก็ฝากเตือนๆ เพื่อนฝูงด้วยนะครับ “ การดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าน้ำสะอาด แต่ดันโอ้อวดเกินจริง ถึงไม่ตาย ก็อาจเสียเงินเกินเหตุได้นะครับ”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 อ้างวัว อ้างควาย เพื่อขายของ

เมื่อกระแสรักสุขภาพกลับมาบูมอีกครั้ง  น้ำคลอโรฟิลล์ที่เลิกฮิตไปนาน  จึงกลับมาผงาดอีกครั้ง  คราวนี้เจาะตลาดคนรักสุขภาพ  เชียร์ให้พกเป็นขวดไว้ดื่มหลังออกกำลังกาย  มีทั้งชนิดผงละลายน้ำ  ชนิดเป็นของเหลวเข้มข้น  อ้างว่าเป็นคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์100% ให้ผู้ซื้อนำไปผสมกับน้ำ โดยใช้เพียง 1 มิลลิลิตรผสมกับน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มก่อนเข้านอน และตอนตื่นนอนด้วยตัวเองขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร ดันอยากจะโฆษณาจนตัวสั่นว่ารักษาโรคได้ แต่ก็เกรงว่าจะโดนจับ ก็เลยอ้อมๆ แอ้มๆ กระมิดกระเมี้ยนเลี่ยงว่า “คลอโรฟิลล์ไม่ใช่ยานะ ตัวเราเป็นสารอาหารที่ได้จากใบไม้” แล้วอ้างต่อไปว่า “คลอโรฟิลล์เป็นสารอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด  ลองดูซิ ช้าง ม้า วัว ควาย สัตว์เหล่านี้กินหญ้ากับน้ำเท่านั้น ทำไมมันตัวใหญ่ แข็งแรงกล้ามเนื้อเป็นมัด เพราะหญ้าที่มันกิน คือคลอโรฟิลล์นั่นเอง” ที่เด็ดกว่านั้น ดันบอกอีกว่า “เคยเห็นหมาเห็นแมวกินหญ้าบ้างไหม เวลาหมาแมวมันป่วยมันถึงจะกินหญ้า เพื่อให้มันอาเจียนออกมา นั่นแหละ มันกินหญ้าเพื่อขับสารพิษออกมา และที่สำคัญ ในหญ้าก็มีคลอโรฟิลล์นั่นไง” ผมเห็นโฆษณาแบบนี้ก็ได้แต่อนาถใจ จะหลบเลี่ยงกฎหมาย แต่ดันใช้วิธี อ้างช้างม้าวัวควาย หมาๆ แมวๆไปเรื่อย ผมคิดว่าคงไม่มีใครหลงเชื่อ  ที่ไหนได้ มันดันเล่นแฝงอวดอ้างสรรพคุณต่ออีก คราวนี้มาเป็นชุด เช่น “คนเลือดจางเลือดน้อยไม่ต้องกลัว ดื่มคลอโรฟิลล์แล้วมันจะเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดได้ทันที ถ้าเวียนหัวเมื่อเริ่มดื่มใหม่ๆไม่ต้องตกใจ มันคืออาการที่คลอโรฟิลล์กำลังไปสร้างกระดูก ส่วนคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน โรคไต เลือดข้น เนื่องจากมีสารเคมีจากยาของโรงพยาบาลที่ได้รับมานาน ให้ดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ขจัดไขมัน ขจัดน้ำตาล ขับพิษสารเคมีออกจากร่างกาย” ยังไม่หมด ยังอ้างไปถึงผลการรักษา อัมพฤกษ์ อัมพาต เกาต์ ไทรอยด์ ไซนัส สะเก็ดเงิน ต้อเนื้อ ต้อลม ฯลฯ จนหลายคนหลงเชื่อ บางคนเอาไปให้ทารกดื่มแทนนมแม่อีกด้วยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเคยออกมาเตือนประชาชนว่า อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อคำโฆษณาเชิญชวนที่เกินจริงเหล่านี้เพราะยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าได้ผลจริง  เคยมีการวิจัยพบว่าการบริโภคคลอโรฟิลล์อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ มีผื่นคัน ลิ้นเปลี่ยนสีเป็นเหลืองหรือดำ และยังทำให้สีของปัสสาวะและอุจจาระเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ หากรับประทานมากเกินวันละ 450 มิลลิกรัม ก็อาจจะทำให้ไตทำงานหนักและส่งผลระยะยาวในอนาคตได้ หนำซ้ำกุมารแพทย์ยังออกมาเตือนสำทับอีกว่า “โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ที่อวัยวะภายในยังทำงานไม่เต็มที่ ห้ามกินเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้”ผู้ประกอบการรายใดที่โฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง โอ้อวดสรรพคุณ จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ใครพบเห็น รีบสะกิดเจ้าหน้าที่ดำเนินการเลยครับ อย่าปล่อยให้โฆษณาหลอกลวง ล้วงเงินจากกระเป๋าแถมเอาเราสุขภาพไปเสี่ยงอีกเลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 สบู่มีไว้ถู หนูหนูอย่าถูกหลอก

หน่วยงานของผมเพิ่งจัดกิจกรรม อย.น้อย ปีนี้เราเน้นประเด็น “เชื่อมโยงเครือข่าย เตือนภัยสุขภาพ” เมื่องานเลิก อาจารย์ท่านหนึ่งเดินมาหาผม เปิดภาพจากสมาร์ทโฟนพร้อมให้ข้อมูลว่า “เดี๋ยวนี้เด็กๆ เขานิยมใช้สบู่ชนิดนี้ ซื้อทางเน็ตมาใช้กันมาก เห็นเด็กๆ บอกว่าใช้แล้วขาวจริงๆ” ผมตามไปค้นข้อมูลต่อในอินเตอร์เน็ต พบโฆษณาสบู่ชนิดนี้ (ซึ่งตั้งชื่อให้คล้ายผงซักฟอก โอโม่พลัส) ราคาก้อนละ 50 บาท ในภาพระบุข้อความว่า “ฟอกผิวขาวเนียนใส ขาวทะลุมิติ เป็นสบู่ 5 สี จาก ทับทิม (ผิวขาวใส ลดรอย)  องุ่น (คอลลาเจน ผิวเต่งตึง กระชับ) เลมอน กีวี่ (ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดสิว) สับปะรด วิตามินซี (ผลัดเซลล์ผิว ขาวกระจ่างใส) และกลูต้าน้ำนม (ผิวขาวเนียนนุ่ม) ฟอกให้ทั่วตัว ทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออก ใช้เป็นประจำ เช้า-เย็น” ผมพยายามเอาหลักวิชาการมาตรวจสอบว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ถูสบู่แล้วผิวจะขาววอกอย่างที่โฆษณา แต่ยังไม่ทันไร ก็ดันไปพบโฆษณาสบู่อีกชนิดหนึ่ง“สบู่เซลลูไลท์ ลดไขมันส่วนเกิน ลดหน้าท้องเร่งด่วน ลดพุง ลดหุ่น ลดพุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรธรรมชาติ ช่วยสลายไขมัน บริเวณใต้ผิวหนัง  ปัญหาผิวเปลือกส้ม และยังช่วยกระชับสัดส่วน มีวิตามินอีเพิ่มความกระชับของผิว ลดเซลลูไลท์ได้ดีเมื่อใช้เป็นประจำและต่อเนื่อง เห็นผลแน่อน” โฆษณายังอ้างว่า สบู่ของตนเองผลิตจากสาหร่ายในทะเลน้ำลึก ผสมน้ำแร่ และพริกไทย ประสิทธิภาพล้ำหน้าด้วยเนื้อสบู่นาโน  ซึ่งจะเข้าแทรกซึมเพื่อขจัดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวให้มีขนาดเล็กลง ทำให้ชั้นผิวภายในเรียบเสมอกัน สาหร่ายจากทะเลลึกมีส่วนช่วยในการจับไขมัน และพริกไทยจะออกฤทธิ์ช่วยเผาผลาญได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เกิดอาการแสบร้อนใดๆ สามารถแทรกซึมลงสู่ชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วขณะฟอก ตรงเข้าทำงานในการช่วย เผาผลาญและสลายไขมัน เซลล์ลูไลท์ ที่สะสมมานานให้สลายตัวได้อย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้ไขมันมีการแตกตัวและกระจายตัวได้ดี โดยเฉพาะ หน้าท้อง จะเห็นผลได้ดีที่สุด ใช้ขณะอาบน้ำ ควรถูนวด วนๆ บริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ 2 นาที แล้วจึงล้างออก (เอาล่ะซิ ทั้งสาหร่าย ทั้งพริกไทย และยังนาโนอีกเอากันเข้าไป แล้วยังบรรยายกลไกการทำงานแบบอ่านแล้วยังตะลึง) อันที่จริง เครื่องสำอางตามกฎหมาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อความสะอาด ความสวยงาม ไม่สามารถอ้างว่า วินิจฉัย บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ต้องมาแจ้งเพื่อขออนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ต้องแสดงเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากด้วย โดยเลขที่ใบรับแจ้ง จะประกอบด้วยตัวเลข 10 หลัก แต่ไอ้เจ้าสบู่ทั้งสองชนิดนี้ ตัวมันเองเป็นเครื่องสำอางแน่นอน แต่ดันแอบมาอวดอ้างสรรพคุณในลักษณะเป็นยา ผมพยายามเพ่งบนฉลากในรูปก็ไม่เห็นเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากแต่อย่างใด ซึ่งถ้าไม่ตรงตามที่กฎหมายกำหนด สบู่ทั้งสองชนิดนี้น่าจะผิดกฎหมายแน่นอน ผลิตภัณฑ์สุขภาพสมัยนี้ มันมีขายมากมายยังกับดอกเห็ด หากเราเชื่อมเครือข่ายผู้บริโภคได้ ก็จะเกิดเครือข่ายที่จะเป็นหูเป็นตา ช่วยเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ดังเช่น เครือข่าย คุณครูและ อย.น้อย ที่มาแจ้งข้อมูลเรื่องสบู่ให้ผมทราบไงครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 141 ชุดอุปกรณ์นั่งๆ นอนๆ ทับเงินทับทอง

ชุดอุปกรณ์มหัศจรรย์เสียเงินเสียทองแห่งชาติชุดนี้ พบจากบ้านผู้ป่วยรายหนึ่งในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ป่วยรายนี้หมดเงินไปแสนกว่าบาท กว่าจะได้อุปกรณ์ชุดนี้มารนั่งๆ นอนๆ ทับมัน ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกตนได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของศูนย์สุขภาพสุขภาพวีเก็น  ซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง หลังจากสมัครสมาชิกแล้ว ตนก็ได้สิทธิเข้าไปใช้บริการกับอุปกรณ์เหล่านี้ หลังจากรับบริการไป 2-3 ครั้ง ทางศูนย์ฯ ก็จะแนะนำให้ตนซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว ไว้ใช้ที่บ้านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมามารอคิวรับบริการ อุปกรณ์ที่ผู้ป่วยรายนี้ซื้อมามี 2 – 3 ชิ้น ราคาแสนกว่าบาท อุปกรณ์ชิ้นแรก เรียกว่าเก้าอี้แร่ ราคาประมาณ 20,000 กว่าบาท ลักษณะจะคล้ายๆ เก้าอี้นั่ง  มีรูปตรงกลาง ขนาดประมาณฝ่ามือ ทำงานโดยใช้ไฟฟ้าพอเสียบปลั๊กเก้าอี้ก็จะเริ่มสั่น พร้อมทั้งมีไอร้อนพวยพุ่งออกมาสัมผัสกับก้นน้อยๆ ของผู้นั่ง สามารถปรับระดับอุณหภูมิที่ความร้อนจะสัมผัสก้นได้ถึง 5 ระดับ ตามความทนทานของก้น (ฮา)   ผู้ขายบอกว่าอย่าตกใจ  มันคือไอของแร่ธาตุที่กำลังพวยพุ่งออกมาเพื่อรักษาอาการป่วย (เหมือนรังสีเฮ้ากวงทะลวงก้นชอบกล) นอกจากนี้สามารถปรับระดับความแรงของการสั่นได้ 3  ระดับและตั้งเวลาได้ 3 ช่วงตั้งแต่ 10  -  20  หรือ 30 นาที   ผู้ป่วยรายนี้บอกว่าเมื่อตนนั่งครั้งแรกรู้สึกเวียนศีรษะมาก เพราะเก้าอี้จะสั่นตลอดเวลาและเมื่อนั่งไปสักพักก็จะเริ่มรู้สึกร้อนก้น  ผู้ขายอธิบายว่า การที่เครื่องสั่น มันจะสะเทือนไปถึงเลือดในเส้นเลือดของผู้นั่งไปด้วย เสมือนเป็นการฟอกเลือด  นอกจากนี้ยังสามารถรักษาได้ทั้ง เบาหวาน  ความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวารหนัก  (อ้างว่าไอร้อนของแร่จะทำให้หัวของริดสีดวงแห้งและฝ่อไป) รักษาต่อมลูกหมากโต ป้องกันการเป็นมะเร็งปากมดลูก  แก้ปวด แนะนำให้นั่งนานมากที่สุดไม่เกิน 30 นาทีต่อครั้ง อุปกรณ์ชิ้นที่สองคือเตียงนวด ราคาประมาณ 103,000 บาท (ขอย้ำอีกครั้งว่าว่าแสนกว่าบาท)  เป็นเตียงต่อกับไฟฟ้า โฆษณาว่ารักษาอาการปวดหลัง ปวดเอว หมอนรองกระดูกทับเส้น และอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายคือ แผ่นประคบแร่ธาตุ โฆษณาว่าคลายเส้น แก้ปวด ราคา 30,000 บาท ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะอนุญาตให้โฆษณาอย่างนี้ ใครเจอก็แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไปตรวจสอบให้หายสั่นซะทีนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 134 กะเพรา มีดีมากกว่า เมนูสิ้นคิด !

กองบอ.กอ. ฉลาดซื้อเปรยว่า ไม่เอากล้วยต่อจากฉบับที่แล้วได้ไหม ? คนหัวอ่อนเชื่อง่ายใครว่าอะไรชอบทำตาม จึงขออนุญาตผู้อ่านที่เคยรับปากว่าจะต่อเรื่องกล้วย ให้เว้นวรรคไปฉบับหน้า ก.กล้วยไม่เอา ขอเป็น ก.กะเพรา พืชสวนครัวแทนนะขอรับ กะเพรา มีชื่อเรียกทั่วไปในภาษาอังกฤษว่า Holy basil หรือ Sacred Basil แปลแบบไทยๆ ก็ “พืชศักดิ์สิทธิ์” เลยทีเดียว ใครตั้งชื่อไม่รู้แต่ที่ประเทศอินเดียเขาถือว่า กะเพราคือพืชที่ใช้ในการบูชาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ใครเคยไปจะแปลกใจอย่างยิ่งที่ตลาดสดและทางเข้าวัดฮินดูจะมีกะเพราะมัดเป็นช่อให้คนนำไปบูชา พี่แขกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าแปลงกายมาเป็นกะเพรา จึงเป็นพืชที่ใช้ปัดเป่าความชั่วและเคราะห์ร้ายต่างๆ บ้างบ้านถึงกับปลูกกะเพราไว้ในบริเวณบ้านหรือปลูกในกระถางนำมาบูชา และนำมาใช้เป็นยาบำบัดโรคและอาการต่างๆ มากมาย แต่ควรจำไว้ให้ดีถ้าไปเยือนแดนภาระตะ ห้ามไปผัดกะเพรากินเด็ดขาด พี่แขกเขาบูชาและไม่มีวัฒนธรรมหม่ำผัดกะเพรา(นะนาย) เคยมีคนไทยไปอยู่แล้วคิดถึงรสชาติอาหารไทยมาก เห็นปลูกกะเพราะเต็มบ้านเลยเด็ดมาผัดกะเพราะไข่ดาว งานเข้า..... พี่แขกเคืองว่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของไอทำไมยูฟาดซะเรียบ !   กะเพราดีอย่างไร ? กล่าวตามหลักทฤษฎีรสยา กะเพรามีรส เผ็ด ฉุน และขม (ลองเคี้ยวใบกะเพราสดๆพิสูจน์ดูได้) รสยาแบบนี้หมอแผนไทยท่านใช้แก้โรคและอาการได้หลายอย่าง คือ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไข้ได้โดยเฉพาะไข้หนาวๆ เพราะกินกะเพราแล้วช่วยทำให้ร่างกายร้อนขึ้น แก้อาการหอบหืด หลอดลมอักเสบ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับเตรียมความพร้อมรับภัย ตรงที่ปลูกผักสวนครัวไว้ในกระถาง หากหนีน้ำก็เอากะเพราขึ้นไปชั้นสองด้วย ยามที่ปวดท้อง มีลมในท้อง ระบบธาตุ(กระเพาะลำไส้)ไม่ปกติ ให้กินกะเพราช่วยบรรเทาอาการได้ดี วิธีง่ายที่สุดกินสด เด็ดใบ 8-10 ใบ ล้างน้ำเคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนกินไปเลย ดื่มน้ำตาม ถ้าทนรสเผ็ดไม่ไหวตำคั้นเอาน้ำกิน ใบสด 1 กำมือ ตำคั้นเอาแต่น้ำ ได้น้ำยาประมาณ ๒ ช้อนแกง ดื่มรวดเดียวซี๊ดปากกับรสชาติ ถ้าเลือกแบบมีระดับไม่เผ็ดมาก ให้ชงน้ำกิน เป็นการเก็บตัวยาไว้ใช้ในยามจำเป็น เอาใบไปตากแห้ง แล้วบดเป็นผง เก็บใส่โหลดปิดสนิท ยามที่ต้องใช้ ผงยา 1-2 ช้อนชา ชงน้ำร้อนแก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ 15 นาที จิบกินทั้งน้ำยาและผงยาให้หมด หรือชอบสดใช้ใบสด 10-15 ใบ ใส่แก้วชงน้ำร้อน ปิดฝาทิ้งไว้ 15 นาที แล้วนำมาจิบกินได้ฤทธิ์ยาเช่นกัน ถ้าบังเอิญเด็กเล็กปวดท้อง ท้องอืดเฟ้อ ลองเอาใบสดหลายๆ ใบมาขยี้ในฝ่ามือทั้งสองข้าง จะได้น้ำยาสีดำๆ เอายานี้ไปทาที่ท้องเด็กยกเว้นสะดือ และทาที่ฝ่ามือฝ่าเท้าน้อยๆ บางครั้งเอาน้ำยากะเพราะผสมน้ำผึ้งให้เด็กกินก็ได้ แต่ขอบอกว่าวิธีทาท้องนี้ ใช้กับพี่ๆ ผู้ใหญ่ไม่เวิร์คนะ เพราะบรรดาพุงไขมันและผิวหนังของพี่ๆ หนาเกินกว่าตัวยาจะแทรกซึมไปได้ และการศึกษาวิจัยใหม่ๆ พบว่ากะเพรามีน้ำมันหอมระเหย ที่ทำให้เราได้กลิ่นฉุนๆ นั้น มีคุณสมบัติทางยาหลายประการ เช่น พบว่าแก้หืด แก้อักเสบ มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยลดโคเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด และมีสารที่กินแล้วต้านความเครียดหรือช่วยให้คลายเครียดได้ ใครกำลังเครียด เมนูมื้อต่อไปขออย่าได้ดูแคลนพืชศักดิ์สิทธิ์นี้ ขอให้ลองสั่งผัดกะเพราใส่เนื้อสัตว์น้อยๆ และขอเพิ่มกะเพราะเยอะๆ ราดข้าวกิน อร่อย ได้ยาดี ไม่ใช่เมนูสิ้นคิดแน่นอน.   แมงลัก Hairy basil โหราพา Sweet basil

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 ก.เอ๋ย ก.กระเทียม

  มิตรผู้ติดตามนิตยสารไร้สปอนเซอร์โฆษณาหนึ่งเดียวของสยามประเทศ ย่อมเคยพบกับคอลัมน์ “ทำเองใช้เอง” มาบ้างแล้ว คราวนี้กลับมาใหม่เพราะแพ้ใจให้กับ บก.สาว “ฉลาดซื้อ” ที่ปรารถนาให้ผู้อ่านได้ตระเตรียมตัวและสิ่งรอบตัวให้พร้อมเสมอเมื่อเจอภัย โดยเฉพาะภัยน้ำที่ยังหลอกหลอนจิตใจคนหลายล้านคนในปีกลายที่ผ่านมา เพราะพอมีความรู้เรื่องสมุนไพรและการดูแลสุขภาพแนวพึ่งตนเองอยู่บ้าง บก.สาว(ตัวใหญ่)จึงอยากให้มาเล่าเรื่องทำนองนี้แบบสบายๆ แต่ขอให้ทำได้จริงคล้ายของเดิม “ทำเองใช้เอง” ที่ผ่านมา จึงตั้งใจไล่เรียงกันแบบท่องอักษรไทย ๔๔ ตัว ไม่รู้ว่าทั้งผู้อ่านและ บก.สาวจะเบื่อกันไปหรือเปล่า ดังนั้นเสียงสะท้อนจากผู้อ่านจึงมีความสำคัญมาก ขอขอบคุณข้อแนะนำจากท่านไว้ที่นี้ มาดูกันว่า ทำไมจึงแนะนำให้รู้จัก กระเทียม เหตุผลแรกบ้านเรือนไทยส่วนใหญ่ แม้อยู่คอนโด(น้ำท่วมไม่ถึง) แต่บ้านใดนิยมทำอาหารกินเองจะต้องมีกระเทียมประจำครัว เหตุที่สองกระเทียมที่ยังอยู่เป็นพวง หรือแม่ค้าแกะเป็นกลีบแล้วสามารถเก็บได้นาน ภัยมาเมื่อใดหยิบใช้ได้ทันกาล กระเทียมนับเป็นยอดสมุนไพรในครัวเรือน ประโยชน์อย่างแรกใช้แก้โรคผิวหนัง นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้วิจัยยอมรับตามภูมิปัญญาโบราณแล้วว่า มีฤทธิ์พิชิตเชื้อราได้ โดยเฉพาะเชื้อราที่มากวนใจและกวนกายของเราตามผิวหนัง เช่น กลาก แกลื้อน และเชื้อราตามนิ้วมือนิ้วเท้า เชื้อรามาจู่โจมเมื่อใดให้เอากระเทียมมาโขลกคั้นเอาน้ำทาเท่านั้น ให้ทาอย่างน้อยวันละ ๒-๓ ครั้ง บางคนไม่รอครกตำ แค่แกะเปลือกออกเอากระเทียมสดทาๆ ที่เป็น น้ำมันในกระเทียมคือโอสถกำจัดเชื้อราได้อย่างดี นอกจากราที่ผิวหนังแล้ว เด็กๆ ที่ไปตัดผมกับร้านที่ไม่ค่อยดูแลเรื่องความสะอาด ก็มักเป็น “ขี้กลาก”บนหนังศีรษะ หรือที่อับชื้นในร่มผ้าจนเป็น “สังคัง” ดังที่เคยเป็นข่าวว่าเหล่าทหารมายืนแช่น้ำหรืออยู่ในชุดเปียกชื้นทั้งวันเป็นสัปดาห์ อาจเกิดเชื้อราในขาหนีบหรืออัณฑะ บอกกันดังๆ ว่า ยาดีไม่ใช่อื่นไกล ก.กระเทียม คือทหารสมุนไพรเผด็จศึกราได้ มีข้อความรู้นิดเดียวว่า บางคนไม่ชอบกลิ่นกระเทียม และบางคนทาแล้วรู้สึกแสบๆ (ในช่วงแรกเท่านั้น ทิ้งไว้สักพักจะหาแสบเอง) กระเทียมยังเป็นยาอายุวัฒนะที่คนโบราณใช้มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อบำรุงสุขภาพหรือบำรุงกำลัง ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า กระเทียมมีสรรพคุณในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ จึงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และยังมีผู้ใช้เป็นอาหารลดความดันโลหิตสูงที่คนไทยเป็นกันมากด้วย โดยเฉพาะยามอยู่ในภาวะวิกฤติไม่ว่าจะภัยธรรมชติหรือเครียดจากงาน ความดันมักจะขึ้นสูง มีสูตรกินข้าวกับกระเทียมสดๆ เป็นทั้งยาอายุวัฒนะและช่วยลดความดันฯ  ให้สอยกระเทียมสดให้ละเอียด กินครั้งละประมาณครึ่งช้อนชา แต่จำไว้ต้องกินพร้อมอาหาร  ไม่เช่นนั้นจะทำให้แสบท้อง กินวิธีนี้ยังช่วยแก้ไข้หวัด และถ้ากินประจำช่วยป้องกันไข้หวัดด้วย ไปตลาดอย่าลืมอุดหนุนเกษตรกรไทย ซื้อกระเทียมสดของไทย(ไม่ใช่ของจีน) มาเก็บไว้เป็นอาหารและยาสมุนไพรประจำบ้านแต่บัดนี้.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 125 ไปรษณีย์ไม่ต้องมีขายก็ได้นะ

  ผมได้รับแผ่นพับโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพอีกแล้ว เปิดดูก็ไม่ต่างจากที่เคยได้รับจากผู้บริโภคที่เคยมาแจ้งข่าว เพราะในแผ่นพับมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเลขสารบบอาหาร (เครื่องหมาย อย) ซึ่งแสดงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้คืออาหาร แต่ลองดูข้อความสรรพคุณที่โฆษณาซิครับ ผิดกฎหมายชัดเจน เพราะแสดงสรรพคุณเป็นยา เพราะระบุว่า บำบัด บรรเทา รักษาโรคทั้งนั้น  สนนารายณ์ (นามสมมุติ) บรรเทาอาการปวดหลัง เอว ข้อเข่า เก๊า ชาตามมือ-เท้า เบาหวาน .. ขจัดไขมันที่อุดตันตามเส้นเลือด แถมยังระบุคุณสมบัติพิเศษให้ตะลึงอีกว่า “ท่านจะสังเกตได้ว่าอารมณ์ทางเพศของท่านมีความสมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้น เพิ่มปริมาณน้ำเชื้อมากขึ้นหลังจากรับประทานติดต่อกัน 7-15 วัน...รู้สึกดีขึ้นด้วยตัวท่านเอง” (เฮ้อ! อ่านไปขนลุกไป) “ไม่มีส่วนผสมของกวาวเครือแดงและสารสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย”  เท็จนางพญา (นามสมมุติ) บรรเทาอาการปวดหลัง เอว ข้อเข่า เก๊า ชาตามมือ-เท้า เบาหวาน .. ขจัดไขมันที่อุดตันตามเส้นเลือด แถมยังระบุคุณสมบัติพิเศษให้ตะลึงอีกว่า “รับประทานติดต่อกัน 7-15 วันผ่านไป จะสังเกตว่าหน้าอกที่เคยหย่อนยาน จะรู้สึกว่าหน้าอกกระชับเต่งตึงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ช่องคลอดฟิตกระชับขึ้น ไม่ต้องทำรีแพร์ ...ท่านจะรู้สึกได้ด้วยตัวท่านเอง” (อะไรจะมหัศจรรย์ศัลยกรรมได้ขนาดนั้น) มีข้อความยืนยันคล้ายๆ ผลิตภัณฑ์แรก “ไม่มีส่วนผสมของกวาวเครือขาวและสารสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย”  นารีงามละหน (นามสมมุติ) สกัดไขมันส่วนเกินไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ละลายไขมันส่วนเกินที่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน ให้กระชับและเต่งตึง ลดเส้นเลือดขอด ...ไม่เหี่ยวย่นหลังการลด ไม่ต้องอดอาหาร เห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ แถมมีคำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับสุภาพสตรีว่า สำหรับผู้ผ่านการมีบุตรแล้ว ขอแนะนำให้รับประทานคู่กับเท็จนางพญา จะช่วยให้หุ่นดี หน้าอกสวยกระชับเต่งตึง ....เห็นผลชัดเจนภายใน 30 วัน ส่วนคุณสุภาพบุรุษ ก็อย่าน้อยใจไปครับ เพราะเขามีคำแนะนำให้เช่นกัน “สำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ขอแนะนำให้รับประทานคู่กับ สนนารายณ์ (นามสมมุติ) เพื่อปรับความสมดุลและเพิ่มความกระฉับกระเฉง”   ที่น่าทึ่งคือ นอกจากในเอกสารจะแจ้งชื่อติดต่อแล้ว ยังระบุสถานที่จำหน่าย “ ณ ที่ทำการไปรษณีย์.........” เอาละซิครับ ไปรษณีย์ไทย ไหงเป็นแบบนี้ล่ะครับ ไหนๆ ก็จะทำ CSR ร่วมรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ช่วยตรวจสอบหน่อยนะครับว่าเป็นเหยื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกฎหมายมาแฝงจำหน่ายหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจ เวลาพนักงานไปส่งจดหมายที่สำนักงานสาธารณสุข ให้แวะไปสอบถามข้อมูลได้นะครับ  ส่วนผู้อ่านถ้าพบเห็น เช่นเคยนะครับ แจ้ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ทันที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 122 จะขายก็หลอก ยังมาบอกให้เจาะเลือด

  เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผมได้รับแจ้งข่าวจาก ภก.สันติ โฉมยงค์ รุ่นน้องที่ปฏิบัติงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมบุคคลที่มาเจาะเลือด และหลอกขายอาหารเสริมจนชาวบ้านหมดเงินไปหลายหมื่น ได้สำเร็จ แว่วมาว่าจากการหลอกขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนานเกือบปี รายได้เกือบล้านบาท เทคนิคของบุคคลกลุ่มนี้จะเริ่มจากมาออกหน่วยตรวจสุขภาพ โดยจ้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่มาช่วยวัดความดัน ส่วนคนของบริษัทซึ่งแต่งกายคล้ายแพทย์จะเป็นผู้ทำการเจาะเลือด   หรือบางครั้งก็จะมาในลักษณะ “โครงการรักษ์สุขภาพสู่ชุมชน” ไปตามหน่วยงานภาครัฐ เทศบาล อบต. วัด มัสยิด และเวทีประชุมผู้นำชุมชน  โดยหลอกขายอาหารเสริม ด้วยเทคนิคเดิมๆ คือ วัดความดันและตรวจเช็คผลเลือด เคยมีผู้เสียหายบางรายซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย และหลานสาวซึ่งป่วยเป็นทาลัสซีเมีย โดนหลอกจนหมดเงินไปกว่าหนึ่งหมื่นบาท  ผู้กระทำการหลอกลวงกลุ่มนี้ ยังอ้างถึงข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงแรงงาน และสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนตน และเมื่อเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม อาศัยช่องว่างกฎหมายเอาตัวรอดไปได้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกคำให้การไว้เป็นหลักฐาน แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้ เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ   แต่บริษัทก็ยังไม่หยุดการกระทำ พยายามว่าจ้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือญาติเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้มาร่วมขบวนการด้วย แถมยังมีการปรับกลยุทธ์เพิ่มขึ้นไปอีก โดยการเข้าไปติดต่อกับผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ออกหนังสือเชิญบริษัทมาให้บริการตรวจวัดความดันและเช็คผลเลือดฟรีเสียเอง ทำให้ผู้บริหารหน่วยงานหลายแห่งเกิดความอับอายที่เสียรู้บริษัท จึงไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการจับกุม  อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกรรมก็ตามทันซะที สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ประสานงานกับตำรวจ ส่งสายลับไปล่อรับบริการ พบว่าขบวนการหลอกลวงดังกล่าวมีการทำงานเป็นทีม เริ่มตั้งแต่มีการลงทะเบียนผู้มารับบริการ มีเจ้าหน้าที่คอยวัดความดัน 1 คน(บางครั้งจะจ้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาวัดความดันเพื่อให้น่าเชื่อถือ) มีเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวเพื่อรอเจาะเลือด 1 คน มีพนักงานแต่งกายคล้ายแพทย์ 1 คน ทำหน้าที่เจาะเลือด เพื่อนำไฟส่องกล้องจุลทรรศน์ โดยเชื่อมต่อกับเครื่องฉายให้ผู้บริโภคมองเห็นภาพจากกล้องจุลทรรศน์ แล้วพยายามพูดวินิจฉัยโรค ร่วมกับการใช้ stethoscope ฟังปอด และใช้ไฟฉายส่องดูคอในบางครั้ง   โดยชายดังกล่าวอ้างตัวว่า มาจากโรงพยาบาลจุฬา มีพนักงาน 1 คนคอยบันทึกคำวินิจฉัยโรคของชายคนดังกล่าวลงในเอกสารแนะนำอาหารเสริม หลังจากทราบผลเลือดตัวเองแล้ว ผู้บริโภคจะต้องไปเข้ารับฟังข้อมูลอาหารเสริมจากพนักงานขาย ซึ่งตั้งโต๊ะให้บริการอยู่ 2 โต๊ะ (โรคส่วนใหญ่จะเป็นพวก ไขมันสูง น้ำตาลสูง ยูริคสูง และเลือดข้น เลือดหนืด)   หลังการจับกุม พวกมิจฉาชีพกลุ่มนี้ก็ยังพยายามติดต่อผู้ใหญ่จากกระทรวงแรงงาน และสำนักนายกฯ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัว ซึ่ง ภก.สันติ บอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจแอบกระซิบบอกว่า “มันใหญ่มาก” จริงๆ ยังไงก็ช่วยกันสอดส่องดูแลกันนะครับ เพราะภก.สันติแอบเห็นรายชื่อจังหวัดแว้บๆ จากสมุดจด พบว่ากลุ่มคนไม่ดีเหล่านี้ตระเวนหลอกมาหลายจังหวัด ทั้งอุบลราชธานี  ขอนแก่น นครปฐม ฯลฯ   ฝากทุกท่านช่วยกันประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 เจ้าหน้าที่ก็เจอดี

เรื่อง เล่าฉบับนี้ขอเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพนะครับ แต่ดันมาเกี่ยวข้องกับวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคแทนครับ เป็นเรื่องของน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์ สุขภาพของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแห่งหนึ่ง จากที่ผมได้รู้จักกับเธอยอมรับว่าเธอมีเลือดเนื้อรวมทั้งจิตวิญญาณของการ คุ้มครองผู้บริโภคเต็มเปี่ยมเพราะจังหวัดของเธอดำเนินคดีกับผู้ผลิตแบบกัด ไม่ปล่อยมาหลายรายแล้ว วัน หนึ่งเธอเดินทางไปเที่ยวที่อเมริกา และได้ซื้อบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ Pin Phone เพื่อใช้ในยามติดต่อกลับประเทศ และเธอก็มีโอกาสได้ใช้มันจริงๆ โดยใช้โทรผ่านโทรศัพท์มือถือของเธอเครือข่ายหนึ่ง แต่ พอกลับมาเมืองไทย ยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำกับความสุขจากการเดินทาง เธอก็ได้รับบิลเรียกเก็บเงินค่าโทรศัพท์จากเครือข่ายนี้ 10,056.47 บาท โอ้...แม่เจ้า แต่ด้วยความที่เธอมีเลือดคุ้มครองผู้บริโภคอยู่เต็มตัว “ทีเรื่องคนอื่นเจ๊ยังดำเนินการเปรียบเทียบปรับมาหลายราย พอมาเจอกับตัวเอง เจ๊ทนไม่ด๊ายยย” (ฮา) เธอโทรไปที่บริษัทมือถือ สอบถามว่า เหตุอันใดจึงคิดค่าโทรซ้ำซ้อน เพราะเธอเข้าใจว่าเงินค่าโทรมันน่าจะหักจากบัตร Pin Phone แล้ว ทางบริษัท มือถือตอบเธอว่า จะลดค่าโทรให้ 1,941.10 บาท เล่นแบบนี้มีหรือที่เธอจะยอม ขอตรวจสอบเบอร์ที่โทรก่อนถึงจะยอมชำระเงิน(เพราะในบิลไม่ระบุเบอร์โทรนี่นา) แต่ทางบริษัทกลับตอบว่าไม่สามารถตรวจสอบเบอร์ได้เนื่องจากเป็นข้อตกลง ระหว่างประเทศที่ใช้บริการ แต่ในระหว่างนี้บริษัทได้เก็บเงินไปแล้ว โดยหักจากบัตรเครดิตของเธอไป 8,115.37 บาท (แหม..ทีเก็บเงินล่ะเร็ว...ฮา) เมื่อ สถานการณ์บังคับ เธอจึงร้องเรียนไปยัง สคบ. ซึ่ง สคบ.ก็ได้ทำหนังสือแจ้งไปถึงบริษัทมือถือให้พิจารณา และเมื่อได้ผลการพิจารณาจากบริษัท ก็ได้แจ้งกลับมาให้เธอทราบ สรุปผลการพิจารณาจากบริษัทแจ้งมาพร้อมข้อความรายละเอียดต่างๆ ที่คนทั่วไปอ่านแล้วคงงงๆ แต่พูดย่อๆ ง่ายๆ ว่า ไม่จ่ายคืน(จะทำไม?) ซึ่งเธอก็ได้ใช้สิทธิโต้แย้งกลับไป สุดท้าย เมื่อไม่ไหวจะเคลียร์ เธอเลยตัดสินใจสวมวิญญาณ จีจ้าราชินีหนังบู๊ ร้องเรียนไปยังศาลจังหวัด โดยยื่นคำขอฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ปาฏิหารย์ มีจริงครับ เพราะที่ผ่านมาบริษัทอ้างโน้นอ้างนี้ตามระเบียบและเหตุผลต่างๆ ที่เราคนธรรมดาอ่านแล้วยังงงๆ แต่ปรากฏว่าพอเป็นเรื่องฟ้องคดีเท่านั้นแหละ บริษัทวิ่งให้ทนายมาขอไกล่เกลี่ย โดยจะชำระเงินคืนให้ 7,000 บาท ซึ่งเป็นยอดที่บริษัทไม่สามารถบอกเบอร์ปลายทางได้ และเมื่อบริษัทโอนเงินกลับมาให้ เธอจึงได้ถอนฟ้อง แบบเรียบร้อยโรงเรียนจีน (ไม่ใช่ซิโรงเรียนผู้บริโภคมากกว่า) เธอ ฝากผมมาบอกท่านผู้อ่านว่า หากผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ อย่ายอม “เรายังมีทางเลือกที่เป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง ลุกขึ้นมาใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้เลย” เพราะมันช่วยได้จริงดังกรณีเธอเป็นตัวอย่าง ขอบคุณน้องท่านนี้ผ่านคอลัมน์ด้วยนะครับ อย่างน้อยก็คงทำให้ทั้งผู้อ่านและบริษัทได้บทเรียนไปด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 ชาโอเว่อร์

ไม่รู้ผู้ขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ไปหาอีเมล์ผมจากไหน วันๆ ผมต้องมาคอยลบเมล์ที่ส่งมาจากใครที่ไม่รู้จักมากมาย เนื้อหาก็ไม่มีอะไร นอกจากขายสินค้าอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ มากมาย ล่าสุดนี้ผมได้รับเมล์จากใครก็ไม่รู้ ทีแรกนึกว่าเป็นเพื่อน เพราะชื่อคล้ายกันมาก พอเปิดเมล์ดู กลายเป็นเมล์แนะนำชาสมุนไพร ชนิดหนึ่ง ลองดูเนื้อหาที่เขาส่งมาทางเมล์ซิครับ โฆษณาซะระเบิดเถิดเทิงกันเลย “ ชาสมุนไพรลดเซลลูไลท์เพื่อสุขภาพ (Instant Beverage Green tea Extract) ประกอบด้วยส่วนผสมของหัวชาชั้นดี และสมุนไพรที่คัดเลือกแล้ว , ช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินให้เปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน ทั้งยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อและผิวหนังไว้ไม่ให้เหี่ยวย่น , ช่วยชดเชยการออกกำลังกาย (ไม่ใช่ทดแทน) ร่างกายเราจะมีปริมาณการเผาผลาญที่สูงขึ้น ลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด” “ดื่มชาชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว จะเผาผลาญไขมันได้เท่ากับการวิ่งออกกำลังกาย 3 กิโล , ช่วยลดส่วนเกินได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นไขมันหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา , *ช่วยลดเซลลูไลท์ที่อยู่บริเวณใต้คางหรือข้างแก้ม ทำให้หน้าเรียวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด , ช่วยการขับสารพิษ และสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างในร่างกาย และช่วยทำความสะอาดระบบภายใน” (เว่อร์กันเข้าไป) “ช่วยในกระบวนการกำจัดไขมัน โคเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง , จากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด , ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย , ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์ , ให้สารคลอโรฟิลล์(Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย” (ยังเว่อร์ไม่หยุด) มาอีกแล้วครับ การอ้างรับรองคุณภาพแบบไร้หลักฐาน “นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีอย.รับรอง 70 ประเทศทั่วโลก” ยังไม่พอนะครับ เขายังนำรูปผู้คนต่างๆ มาโชว์ให้เห็นอีกด้วย โดยแสดงเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้ ผมเลยตามเข้าไปดูในเว็ปที่ให้มา ก็ไม่มีการแสดงภาพสินค้าอะไรนะครับ มีแต่แบบฟอร์มให้กรอกการสั่งซื้อและขอให้แจ้งความประสงค์ในการส่งข้อมูลต่างๆ (แสดงว่าหัวหมอไม่เบา เล่นเอาตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนเลยนะ) และท่าทางจะยิ่งรู้มากพอสมควร จึงอาศัยลูกเล่นของการได้รับอนุญาตอาหารมาโฆษณาเอาดื้อๆ “จดทะเบียน อย.ในหมวดอาหาร ไม่ใช่ยา สามารถรับประทานได้ไม่จำกัดปริมาณ ยิ่งทานในปริมาณมากยิ่งเห็นผลเร็วขึ้น หมายเลข อย. : 10-3-07839-1-0001” แต่ทำไมไม่ยักรู้ว่าเมื่อเป็นอาหาร ต้องขออนุญาตโฆษณาในลักษณะอาหารเท่านั้น ไม่ใช่ดันทะลึ่งมาโฆษณาสรรพคุณแสนวิเศษจนเสมือนยา จนชาสมุนไพรกลายร่างเป็นชาโอเว่อร์ ไปซะแล้ว ใครเจอก็ช่วยกันแจ้ง อย.หรือกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหสัดด้วยนะครับ เผื่อจะได้ไปแนะนำแบบประชิดตัวให้ถูกกฎหมายซะที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 ครูจ๋า อย่าประมาท (2)

ฉบับที่แล้ว ผมได้เกริ่นว่าสถานการณ์ปัญหาการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่น่าไว้ใจ มันได้คืบคลานเข้าไปสู่สถานศึกษาแล้ว ล่าสุดผมได้รับแจ้งเรื่องจากอาจารย์ท่านหนึ่งพร้อมเอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีบริษัทติดต่อมาทางโรงเรียน จะขอเข้ามาแนะนำความรู้ในโรงเรียน ทราบว่าตอนนี้ตระเวณเดินสายแบบคิวทองไปหลายต่อหลายโรงเรียนแล้ว ผมดูในเอกสารที่อาจารย์นำมาให้ปรากฏว่า เป็นจดหมายของบริษัท เรียน อาจารย์ใหญ่หรือผู้อำนวยการว่าจะขอเข้ามาแนะนำโครงการตรวจสุขภาพในโรงเรียน ชื่อโครงการ “รู้ก่อนเปื่อย” (ชื่อสมมุตินะครับ) แล้วก็อ้างว่าปัจจุบันนี้สังคมเต็มไปด้วยสารพิษสารเคมี ส่งผลให้ผู้คนเจ็บป่วย เสียชีวิตจากโรคร้ายแรงจำนวนมาก เช่น มะเร็ง หัวใจ แม้ว่าหน่วยงานจะมีสวัสดิการให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสุขภาพประจำปี ปีละ 1-2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ดีพอ เนื่องจากเครื่องมือที่ตรวจสุขภาพโดยทั่วไปจะเป็นเครื่องมือเบื้องต้น หากต้องการรู้ลึกรู้จริงจะเสียค่าใช้จ่ายสูง (อูยยย...ตอนต่อไปเดาได้เลยครับว่าเขาจะต้องบอกว่า ของดีอยู่ที่บริษัทเขา...ฟันธง!) จริงดังคาดครับ เพราะเขาบอกต่ออีกว่า “แต่วันนี้เป็นข่าวดีของหน่วยงาน เพราะบริษัท (ระบุชื่อ) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำจากต่างประเทศ สหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น ได้จัดทำโครงการ “รู้ก่อนเปื่อย” (นามสมมุติอีกครั้งนะครับ) เน้นการให้ความรู้และบริการตรวจสุขภาพแบบแพทย์ทางเลือก ด้วย เครื่องมือทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น โดยผู้รับบริการไม่ต้องเจาะเลือดและไม่ต้องอดอาหาร สามารถรู้ถึงความผิดปกติของระบบภายในร่างกายได้ถึง 12 จุด เช่น หัวใจ หลอดเลือด ม้าม ตับ ไต ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกและปริมาณไขมันในร่างกาย” ท้ายจดหมายยังระบุว่า “หากท่านมีความประสงค์จะรับบริการ กรุณากรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มและส่งกลับมายังชื่อในท้ายจดหมาย” (นั่นแน่...โยนให้คนอื่นรับผิดชอบนี่นา)  ผมพลิกไปดูแบบฟอร์มตอบรับ มันก็ช่างเย้ายวนเหลือเกิน เพราะนอกจากให้ผู้สนใจต้องแสดงความประสงค์เองแล้ว ยังบอกว่าโอกาสพิเศษครบรอบหลายปีของบริษัทจะลดค่าบริการการตรวจจาก 500 บาท หรือเพียง 100 บาทต่อท่าน แต่ที่แสบสันต์คือในแบบฟอร์มนี้เขาให้เราระบุด้วยว่า “ยินดีให้บริษํท นำเสนอสินค้าให้กับพนักงานเพื่อประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ” เท่าที่ทราบบริษัทนี้ตระเวณไปหลายโรงเรียน ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพ และอาจารย์ก็ยอมเสียเงินกันหลายคนแล้ว แต่ผมอยากให้สังเกตดีๆ เห็นมั้ยครับ แม้กระทั่งในแบบฟอร์ม ทางบริษัทเขาก็อุดช่องโหว่ที่จะเอาผิดเขาไว้ล่วงหน้าด้วย เพราะเล่นให้คุณครูกรอกแสดงความจำนงเอง หากมีปัญหาก็คงจะเข้ารูปทางที่ว่า “บริษัทเปล่าหนา ครูดันมาเอง” งานนี้อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เบ้อเริ่ม ขอเตือนสติครูอาจารย์ทั้งหลายนะครับ การกระทำแบบนี้มันไม่ค่อยชอบมาพากล หากเจอแบบนี้รีบแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดของแต่ละจังหวัดทราบ เพื่อร่วมตรวจสอบโดยด่วนเลยครับ จะได้ไม่พลาดพลั้งเสียใจภายหลัง ครูจ๋า...อย่าประมาทนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 ครูจ๋า อย่าประมาท (1)

ที่แผนกของผมมักจะมีกิจกรรมอบรมเผยแพร่ความรู้กับกลุ่มคุณครูเสมอๆ เราเจอกันบ่อยจนแทบจะเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว อบรมทีไรก็มักจะได้สนุกสนานเฮฮากันทุกที เพราะลักษณะการอบรมของที่นี่จะไม่ใช้วิธีบรรยาย เนื่องจากพวกเราอยากให้คุณครูได้มีส่วนร่วมกับการอบรมมากที่สุด และยังอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานการณ์ปัญหาด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องกับคุณครู รูปแบบที่เราใช้จึงมักเน้นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พวกเราให้ความรู้ ส่วนคุณครูก็ให้ข้อมูลสถานการณ์ปัญหาแก่เรา ปีนี้เราจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยจัดเป็นฐานความรู้ประมาณ 8-9 ฐาน โดยแบ่งคุณครูจำนวน 100 กว่าคนเป็นกลุ่มเท่ากับจำนวนฐาน หมุนเวียนกันเข้าแต่ละฐาน ส่วนพวกผมก็แบ่งทีมกันประจำฐาน กิจกรรมในฐานมีทั้งการจัดสถานการณ์จำลองเหตุการณ์ การสาธิตการตรวจสอบ เกมส์จับผิดโฆษณา รวมทั้งเอาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องมาแสดงให้คุณครูเห็น และชะรอยทุกคนจะเห็นว่าผมมีพรสวรรค์ทางด้านการแหกปากร้องทุกข์กระมัง จึงสรุปให้ผมประจำฐาน “กล้าร้องทุกข์” โดยให้เหตุผลสนับสนุน (แต่ฟังคล้ายๆหลอกด่าชอบกล) ว่า การจะสอนให้คุณครูรู้เท่าทันของแย่ๆ ต้องใช้กลเม็ดเด็ดพรายผสมผสานความกะล่อนพอสมควร (ฮา) ผมจัดเตรียมฐาน โดยนำสินค้าที่ไม่ถูกต้อง (ส่วนใหญ่ก็เคยเขียนลงในคอลัมน์นี้แหละครับ) มาวางให้คุณครูเห็น พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ก่อนจะทิ้งท้ายว่าถ้าคุณครูเจอสินค้าหรือเหตุการณ์อย่างนี้ คุณครูจะแจ้งข่าวให้พวกผมทราบได้อย่างไร ทีนี้ก็สนุกละซิครับ คุณครูแต่ละท่านก็สวมวิญญาณเป็นคุณหมอพรทิพย์ หรือไม่ก็ คุณเชอร์ล๊อค โฮล์ม ช่วยกันระดมสมองกันใหญ่ สุดท้ายก็นำไปสู่การสรุปที่ว่า เมื่อเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ สิ่งที่คุณครูจะต้องพยายามทำเพื่อให้การตามรอยของไม่ถูกต้องได้ผล ก็คือคุณครูต้องพยายามรวบรวมพยานต่างๆให้ได้ ทั้งพยานวัตถุ (ได้แก่ ของที่ไม่ถูกต้องทั้งหลาย) พยานเอกสาร (ได้แก่ เอกสารต่างๆ ที่มีผู้ขายนำมาประกอบการขาย เช่น แผ่นพับโฆษณาต่างๆ) พยานบุคลล (เช่น คนที่ทราบเหตุการณ์ หรือเหยื่อของการใช้สินค้านั้นๆ) ผลพวงของการเข้าฐานความรู้นี้ ทำให้ผมได้ทราบข้อมูลปัญหาต่างๆ จากคุณครูด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงทั้งหมดนี้ คุณครูหลายท่านก็เคยซื้อมารับประทาน บางท่านหมดเงินเป็นหมื่นไปซื้อยาน้ำโสมเกาหลีตะกุยทรัพย์ (นามสมมุติ) มารับประทานในราคาเป็นหมื่นบาท แม้กระทั่งน้ำมหาบำบัดของป้าคนดัง ก็ซื้อมาแล้ว (ทันสมัยไม่เบาซะด้วย) นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายในหมู่เด็กๆ อีกด้วย เช่น มีการวางขายเลนส์ตาโตแบกะดินตามตลาดนัดและมีเด็กๆ แอบไปซื้อมาใส่ มีเด็กๆ บางคนไปหาซื้อกลูตาไธโอนมากินในราคาเม็ดละ 5 บาท (ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม) เอาครีมทาหน้าขาวที่ไม่ถูกต้องไปทารักแร้เพื่อจะได้ขาวถาวรแบบหน้า (คิดได้ยังไงเนี้ยะ) ฟังแล้วก็ได้แต่ทึ่งกับสถานการณ์ที่ได้ยิน ฉบับหน้าผมจะมาเล่าต่อว่านอกจากนี้แล้วมันมีอะไรพิสดารล้ำลึกไปอีก แต่ก่อนจบก็ต้องรีบเตือนคุณครูทั้งหลายก่อนนะครับ ว่าภัยสุขภาพมันกระดืบกระดืบ เข้าไปใกล้สถานศึกษาเรื่อยๆแล้ว “ครูจ๋า..อย่าประมาทนะครับ”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 หลักประกันสุขภาพ

1. การลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพ (สิทธิบัตรทอง) ต้องทำอย่างไรเอกสารลงทะเบียน1)    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตร (ใบเกิด)2)    สำเนาทะเบียนบ้าน หรือ หนังสือรับรองการพักอาศัยสถานที่ลงทะเบียน ในวันเวลาราชการต่างจังหวัด : สถานีอนามัย/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)/โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกรุงเทพฯ : ติดต่อที่สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร             สอบถามเขตที่เปิดให้บริการ โทร.สายด่วน สปสช.1330การลงทะเบียนคนพิการ (ท.74)คนพิการผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพที่ยังไม่ได้ระบุสิทธิย่อย ท.74 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ต้องนำในรับรองความพิการจากแพทย์หรือแสดงบัตรคนพิการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พ.ศ. 2550  ลงทะเบียน ณ สถานที่รับลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิฟื้นฟูสมรรถภาพได้2. การขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ต้องทำอย่างไร         หน่วยบริการ  หมายถึง โรงพยาบาล สถานีอนามัย สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ ศูนย์บริการสาธารณสุข  สถานพยาบาลของเอกชนที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหน่วยบริการปฐมภูมิ/หน่วยบริการประจำ  หมายถึง  หน่วยบริการที่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพเลือกลงทะเบียนเพื่อรับบริการสาธารณสุขเป็นประจำ  โดยทั่วไปจะเป็นหน่วยบริการที่มีสถทนที่ตั้งใกล้เคียงกับที่พักอาศัยของผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพการขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ   นำบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อด้วยตนเองได้ที่สถานีอนามัย/โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน  หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  หรือสำนักงานเขตของกทม.ที่เปิดรับลงทะเบียนในวันเวลาราชการ  โดยมีสิทธิเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปีงบประมาณ (ตุลาคมถึงกันยายนของปีถัดไป)การเข้ารับบริการ ณ หน่วยบริการแห่งใหม่ สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพ (สิทธิบัตรทอง) ได้หลังแจ้งความจำนงเปลี่ยนหน่วยบริการประมาณ 1 เดือน  โดยสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่สายด่วน สปสช. 1330

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 171 หลักประกันสุขภาพ

เมื่อวันที่  2-3  มีนาคม 2558  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ( สปสช.) ได้จัดกิจกรรม เรื่อง  การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านสุขภาพในระดับท้องถิ่น ขึ้น ณ โรงแรมประจักษ์ตรา  อำเภอเมือง  จังหวัดอุดรธานี  โดยร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์  อุดรธานี  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนการทำงานในพื้นที่ภาคอีสาน  โดยกลุ่มเป้าหมายนำร่องที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ได้แก่ ตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดภาคอีสานตอนบน จำนวน  24 แห่ง  จาก 9 จังหวัด  ได้แก่ จ.อุดรธานี สกลนคร หนองบัวลำภู หนองคาย  เลย  นครพนม  มหาสารคาม  กาฬสินธุ์ และ ร้อยเอ็ด  วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านสิทธิผู้บริโภค เสริมพลังในการทำงานของภาคีเครือข่ายให้ตระหนักและเข้าใจในเรื่องสิทธิผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น  เพื่อจะได้ช่วยกันพัฒนากลไกคุ้มครองผู้บริโภคระดับท้องถิ่นขึ้นมา โดยนายแพทย์วีระวัฒน์  พันธุ์ครุฑ   รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กล่าวในการเปิดงานว่า  “ การทำงานคุ้มครองผู้บริโภค  ก็เปรียบเสมือน การเล่นฟุตบอล ประกอบไปด้วย ผู้บริโภค ซึ่งต้องคิดไตร่ตรองการตัดสินใจ    หน่วยราชการ ผู้รับผิดชอบในการดูแลควบคุมผู้ประกอบการ    องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใกล้ชิดกับประชาชนสามารถดูแลช่วยเหลือผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด   โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอนาคตอาจเป็นองค์กรที่ดูแลผู้บริโภคโดยตรง  และยังมีกลไกอื่นๆ ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ทั้งสมาคม  มูลนิธิ “นอกจากกิจกรรมเสวนาภายในโรงแรมแล้ว ยังมีกิจกรรมเสริม คือการดูงานในสองพื้นที่ ที่มีการทำงานที่แตกต่างกัน พื้นที่แรก ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลวังทอง  อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู (พื้นที่ต้นแบบ)  ความโดดเด่นของ อบต.แห่งนี้คือ การมีห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์( Lab ) สำหรับตรวจสารเคมีในผักที่ขายในท้องถิ่นเป็นของตนเอง  โดยความคิดริเริ่มของท่านนายก อบต.คุณคมกริช    สีอาจ ที่มีความคิดว่าจะทำอย่างไร ให้พื้นที่ส่วนนี้ลดการใช้สารเคมี     จึงเริ่มนำโครงการผักปลอดสารพิษเข้าสู่ระดับจังหวัด  เก็บข้อมูลและเริ่มหาแนวทางในการลดการใช้สารเคมีในพื้นที่ ต่อมาก็เริ่มก่อตั้งห้อง LAB วิทยาศาสตร์ ขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบผักหาสารเคมีตกค้าง  โดยมีอาสาสมัครชุมชน เป็นผู้ดำเนินการภายใต้การอบรมของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อุดรธานี  ซึ่งหลังจากดำเนินงานหลายสิบปี พบว่าชาวบ้านให้ความสนใจและถ้าไม่มั่นใจว่าอาหารที่ซื้อมากินปลอดภัยหรือเปล่า  ชาวบ้านก็จะนำมาตรวจกับแล็บท้องถิ่น ถือเป็นการเฝ้าระวังในพื้นที่อีกด้วย การลงพื้นที่กลุ่มที่สอง คือการไปพื้นที่โรงพยาบาลศรีบุญเรือง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู   รพ.ตัวอย่างที่ทำงานคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อาทิ เจ้าหน้าที่มีจิตอาสาจิตสาธารณะในการดูแลชุมชนให้เข้มแข็ง  มีความร่วมมือของภาคีเครือข่ายการคุ้มครองสิทธิ ที่มีกระบวนการทำงานเป็นรูปธรรมชัดเจน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point