ฉบับที่ 187 เพื่อนบ้านเป็นโรงงานส่งเสียงดัง หรือเลี้ยงสุกรมีกลิ่นเหม็น

เพื่อนบ้านเป็นโรงงานส่งเสียงดัง หรือเลี้ยงสุกรมีกลิ่นเหม็นเราจะคุ้มครองสิทธิตนเองอย่างไรเมื่อพูดถึงการคุ้มครองสิทธิด้านที่อยู่อาศัยของตนเอง เพื่อให้ได้อยู่ในที่อยู่อาศัยหรือสิ่งแวดล้อมที่ดี ถือเป็นสิทธิผู้บริโภคสากลที่สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ของเรา  และกฎหมายไทยเราก็มีการเขียนเรื่องนี้ไว้ว่า ใครก็ตามจะใช้สิทธิ หากทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดือดร้อนเกินไปกว่าปกติ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น มีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อจัดการความเดือดร้อน ทั้งนี้ไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทนเพื่อให้เห็นภาพชัด ก็ขอยกตัวอย่างคดีหนึ่ง โจทก์เป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง และบังเอิญเพื่อนบ้านเปิดฟาร์มเลี้ยงสุกร อยู่ไปอยู่มาดูแลไม่ดี เพราะต่อมาได้เลี้ยงสุกรมากขึ้นจึงได้ใช้ผ้าพลาสติกคลุมคอกสุกรแล้วใช้พัดลมดูดเอากลิ่นเหม็นสิ่งปฏิลออกจากคอกสุกรส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นรบกวนสุขภาพและอนามัยของโจทก์ เขาทนไม่ไหว ก็ไปฟ้องคดี ให้เพื่อนบ้านกำจัดสิ่งเน่าเหม็น และย้ายที่เลี้ยงไปที่อื่น  ศาลก็ตัดสิน โดยใช้หลักกฎหมายดังกล่าว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2555 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่  8309/2548คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2555ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1337 บัญญัติไว้ในกรณีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดใช้สิทธิของตนจนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่น เสียง แสงสว่าง หรือมลภาวะใดๆเกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะทนได้ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นมีสิทธิกระทำการเพื่อป้องกันความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป อันเป็นการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนจากกลิ่น เสียง แสงสว่าง หรือมลภาวะนั้นให้มีสุขลักษณะที่ดิน โดยคำฟ้องของ ผ.มีคำขอให้ ฉ.กำจัดสิ่งปฏิกูลที่รบกวนสุขภาพอนามัยของ ผ.ด้วย แสดงให้เห็นว่าการขจัดความเดือนร้อนที่ ผ.ได้รับอาจทำได้โดยวิธีอื่น หาใช้ต้องขับไล่ ฉ.ตามฎีกาของ ผ. ดังนั้น ที่ ผ.ฎีกาขอให้ขับไล่ ฉ.ให้ขนย้ายสุกรไปเลี้ยงให้ห่างไกลจากบ้านของ ผ.จึงเป็นวิธีการที่เกินกว่าความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผ.ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า อบต.ออกข้อบัญญัติอย่างไร รวมทั้งไม่นำสืบว่า ฉ.ฝ่าฝืนข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างไร คำขอของ ผ.ที่ให้ ฉ.กำจัดสิ่งเน่าเหม็นอันเกิดจากมูลสุกรเป็นคำขอที่ไม่ชัดเจนพอที่จะบังคับให้ ฉ.ปฏิบัติได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เจตนารมณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1337 เป็นคนละปัญหากับการดำเนินการของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะเข้าแก้ไข คำขอของ ผ.ไม่มีความหมายกว้างเกินไปและไม่ชัดเจนพอที่ ฉ.จะปฏิบัติได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ผ. ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ ฉ.กำจัดสิ่งปฎิกูลเน่าเหม็นอันเกิดสจากมูลสุกรที่ ฉ.เลี้ยงไว้คำพิพากษาที่ 8309/2548การประกอบกิจการของจำเลยทั้งสองก่อให้เกิดเสียงดังและส่งกลิ่นเหม็นรบกวนสิทธิที่จะอยู่อาศัยในเคหะสถานของโจทก์ทั้งสองโดยปกติสุข โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหาย หรือเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไป ได้แก่ การดำเนินการให้จำเลยทั้งสองหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดเสียงดังและส่งกลิ่นเหม็นหรือหาวิธีป้องกันมิให้เกิดเสียงดังและส่งกลิ่นเหม็นอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ทั้งสองเมื่อศาลมีคำพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดเสียงดังและพ่นสีส่งกลิ่นเหม็นสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว หากจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล โจทก์ทั้งสองชอบที่จะให้บังคับคดีได้ ซึ่งย่อมทำให้ความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดังและกลิ่นเหม็นนั้นระงับสิ้นไป ไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์อีกต่อไปการตั้งโรงงานของจำเลยทั้งสอง แม้จะเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และสมควรจะย้ายไปตั้งในนิคมอุตสาหกรรมตามที่โจทก์อ้างมา ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำผิดต่อรัฐ พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับและดูแลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองย้ายโรงงานไปอยู่ที่อื่นค่าใช้จ่ายในการป้องกันเสียงดังและระงับกลิ่นเหม็น อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในบ้านโจทก์ทั้งสอง ค่าใช้จ่ายในการกู้เงินมาสร้างบ้านอีกหนึ่งหลัง และค่าใช้จ่ายที่ต้องจ้างคนเฝ้าบ้านนั้น มิใช่ผลธรรมดาที่เกิดจากเหตุกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสอง แต่เป็นความเสียหายที่ไกลเกินเหตุ ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 โซล่าร์เซลล์.......เหมาะกับสังคมคนไทยจริงหรือ

เราอาจจะไม่ต้องเกริ่นนำให้ยืดยาวว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องประหยัดพลังงานและหาพลังงานทดแทนมาเพื่อสอดรับกับเรื่องวิกฤติพลังงาน  เพราะจากข้อมูลทางสถิติบอกว่า  นับแต่ประมาณปี 2543 เป็นต้นมา อัตราความสำเร็จในการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ดิ่งลงอย่างสม่ำเสมอ และคาดว่าเมื่อถึงปี 2050 จะไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่อีกต่อไปแล้ว   มาใช้พลังงานทางเลือกกันเถอะ ปัญหาไฟฟ้าดับในภาคใต้หรือปัญหาน้ำมันแพง เป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับการหันมาเลือกใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยทั้งเราและโลกให้ดำรงอยู่แบบไม่ลำบากในภายภาคหน้านัก พลังงานทางเลือก หรือ พลังงานหมุนเวียน ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เกิดขึ้นจากทรัพยากรรอบตัวที่ไม่มีวันหมด เช่น สายลม แสงแดด สาบน้ำ เศษอาหาร มูลสัตว์ ชานอ้อย แกลบ ฯลฯ จึงถูกนำเสนอขึ้นมาเป็นทางเลือกเพื่อทดแทนพลังงานกระแสหลักทุกวันนี้ ถ้าถามว่า ทำไมเราต้องหันมาพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน คำตอบก็คือ เพราะต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนมีลักษณะยิ่งทำยิ่งถูก   เพราะมีค่าใช้จ่ายหลักคือการลงทุนตอนต้น หลังจากนั้นวัตถุดิบล้วนแต่หาได้รอบตัวในราคาถูก หรือไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นเมื่อติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าแล้ว นอกเหนือจากค่าตรวจสภาพ ซ่อมบำรุง ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสายลมจัดการต่อ   ส่วนพลังงานหมุนเวียนจากธรรมชาติที่มีเหลือเฟือและเหมาะกับบ้านเมืองเรามากที่สุดก็คือ พลังงานแสงอาทิตย์   พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาเป็นการใช้พื้นที่หลังคาบ้าน อาคารธุรกิจ หรือโรงงาน ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งส่วนที่อยู่บนหลังคา ได้แก่ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ทำหน้าที่รับแสงอาทิตย์และเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ไฟฟ้าที่ได้จะเป็นกระแสตรง (Direct Current) ซึ่งจะถูกส่งมายังเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าหรือ Inverter ที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้าน เพื่อเปลี่ยนกระแสไฟตรงให้เป็นกระแสสลับ (Alternate Current) ที่สามารถนำมาใช้งาน ได้เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ตามปกติ ไฟฟ้าที่ผลิตได้และผ่าน Inverter แล้วจะสามารถขายให้แก่การไฟฟ้าได้ทั้งหมด โดยได้รับราคาตามมาตรการ FiT ที่ภาครัฐกำหนด คือ •          ขนาดเล็กสำหรับที่พักอาศัย ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ราคารับซื้อ 6.96บาทต่อหน่วย •          ขนาดกลาง มากกว่า 10 กิโลวัตต์ และไม่เกิน 250 กิโลวัตต์ ราคารับซื้อ 6.55 บาทต่อหน่วย •          ขนาดมากกว่า 250 กิโลวัตต์ และไม่เกิน 1,000 กิโลวัตต์ ราคารับซื้อ 6.16 บาทต่อหน่วย ข้อดีของการผลิตไฟฟ้า ณ ที่มีการใช้แบบนี้คือ จะช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้าในระบบจำหน่ายได้ และเป็นการทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่มีความสะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษ   ตัวอย่างการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย ในปัจจุบันการใช้พลังงานทดแทนของไทยเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เฉพาะที่ภาคอีสาน พบว่า มีศักยภาพสูง  ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม น้ำ รวมทั้งการที่ชาวบ้านสามารถมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาพลังงาน ตัวอย่าง ที่ยโสธร มีการนำพลังงานลม ที่ได้จากกังหันลมมาช่วยลดต้นทุนการผลิต และสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร จนการทำไร่ทำนาสามารถทำได้ทุกฤดูกาลไม่ต้องรอฟ้ารอฝน รวมทั้งที่สุรินทร์  นำน้ำเสียจากโรงงานขนมจีน หรือมูลสัตว์ มาผลิตแก๊สชีวภาพในชุมชน เป็นต้น     โซล่าร์เซลล์ช่วยเราประหยัดอย่างไร ข้อมูลการเปรียบเทียบให้เห็นการลงทุน+การคุ้มทุน+การประหยัดพลังงาน ฯลฯ ตาราง  GZTH-PV Price Guide for FIT Program 13-09-13 เครดิต คุณสุทัศนา กำเนิดทอง บ.เกร็นโซน(ประเทศไทย) จำกัด   SOLAR PV PRICE GUIDE FOR THAI FIT PROGRAM 13th September, 2013 ขนาดของระบบ พื้นที่ติดตั้ง(ตรม.) PERFORMANCE MULTIPLIER FIT Rate ( บาท ) กำลังการผลิตเฉลี่ยต่อปี(kwh) รายได้เฉลี่ยต่อปีจาก FIT (บาท) ค่าติดตั้ง(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จุดคุ้มทุน(ปี) 2 20 3.9 6.96 2,847 19,815 168,000 8.48 3 30 3.9 4,271 29,723 246,000 8.28 5 50 3.9 7,118 49,538 405,000 8.18 10 100 3.9 14,235 99,076 800,000 8.07 20 200 3.9 6.55 28,470 186,479 1,560,000 8.37 50 500 3.9 71,175 466,196 3,850,000 8.26 75 750 3.9 106,763 699,294 5,550,000 7.94 100 1000 3.9 142,350 932,393 7,000,000 7.51 150 1500 3.9 213,525 1,398,589 10,200,000 7.29 200 2000 3.9 284,700 1,864,785 13,200,000 7.08 250 2500 3.9 6.16 355,875 2,192,190 16,000,000 7.30 500 5000 3.9 711,750 4,384,380 30,000,000 6.84 1000 10000 3.9 1,423,500 8,768,760 55,000,000 6.27 สรุปจากตาราง .....จะพบว่า บ้านที่ติดตั้งระบบโซล่าร์ รู๊ฟ ในพื้นที่ขนาด  30 ตร.ม. ขนาด 3 กิโลวัตต์ เงินลงทุน 246,000 บาท ได้ไฟ 4,271 หน่วย/ปี ขายไฟฟ้าได้ประมาณ 29,723 บาท/ปี เพราะฉะนั้นคืนทุนใน 8.28 ปี   โปรแกรมการคำนวณอย่างง่ายสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ โปรแกรมการคำนวณอย่างง่ายสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ คือ โปรแกรมที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน  พัฒนาขึ้นสำหรับผู้สนใจเรื่องการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ บ้านพักอาศัย, อาคารธุรกิจขนาดเล็ก และ อาคารธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ หรือโรงงาน ขนาดตามที่ระบุไว้ข้างต้น ที่ขายไฟฟ้าได้ตามมาตรการ FiT ของภาครัฐ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกตั้งต้นการคำนวณได้ทั้งจากพื้นที่ในการติดตั้งที่มีอยู่ หรือกำลังการติดตั้งที่ต้องการ และเลือกชนิดของแผงเซลล์และราคาระบบที่สามารถจัดซื้อได้ต่อ 1 กิโลวัตต์ และกดคำว่าคำนวณ ผลจากการคำนวณจะได้ทราบข้อมูลดังนี้ •          เงินลงทุนระบบเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมดที่ต้องจ่าย •          พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่อปี •          จำนวนเงินที่ขายไฟฟ้าได้ต่อปี •          จำนวนปีที่คืนทุน เพื่อให้รู้ว่าท่านจะคุ้มทุนในกี่ปี สามารถดาวน์โหลดได้ที่http://www.ces.kmutt.ac.th/pvroof/index.php สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ สำนักพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ โทร 02 223-0021 ต่อ 1246 คุณกุลวรีย์ บูรณสัจจะวราพร.   การรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา กระทรวงพลังงาน ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาหรือโซลาร์รูฟท็อป ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 คณะรัฐมนตรี (ครม.)  ได้มีมติรับทราบมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Rooftop PV System) โดยมีปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งของแผงโฟโตโวลเทอิก (Photovoltaic Panel) รวม 200  MWp จำแนกเป็น 100 MWp สำหรับอาคารประเภทบ้านอยู่อาศัย และอีก 100 MWp สำหรับอาคารประเภทธุรกิจและโรงงาน ทั้งนี้ ให้มีการเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าภายในปี 2556 ด้วยอัตราการรับซื้อแบบ Feed-in Tariff ระยะเวลาการสนับสนุน 25 ปี โดยมีช่วงระยะเวลาการยื่นคำขอขายไฟฟ้าตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2556 ถึง วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2556 ยกเว้นวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดทำการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (รวม 15 วันทำการ) ระหว่างเวลา 9.00 น. – 15.00 น. อนึ่ง ผู้ที่ประสงค์จะจำหน่ายไฟฟ้าประเภทอาคารบ้านอยู่อาศัยสามารถยื่นคำขอในแต่ละครั้งได้ไม่เกิน 10 คำขอ และประเภทอาคารธุรกิจ/โรงงานสามารถยื่นคำขอในแต่ละครั้งได้เพียง 1 คำขอ โดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะพิจารณาแบบคำขอและประกาศผลการตอบรับซื้อไฟฟ้าบน Website ของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป ข้อสังเกต ระเบียบการยื่นคำร้องมีรายละเอียดปรากฏที่เว็ปไซต์ของกระทรวงพลังงาน มีข้อสังเกตว่า ใบสมัครมีความซับซ้อน เข้าถึงยาก แม้คนที่จบทางด้านวิศวกรรมมายังใช้เวลานานในการกรอกข้อมูล นอกจากนี้หากผู้บริโภคทำเรื่องขออนุญาตด้วยตนเองจะยากและใช้เวลามากกว่าการขอผ่าน บริษัทตัวแทนจำหน่ายโซล่าร์เซลล์  เช่น การขอใบรับรอง รง.4 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น     ความจริง เรื่องขายไฟฟ้าของประชาชนกับการรับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด นักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ตัวอย่างในต่างประเทศที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างเยอรมัน เดนมาร์กก็ทำปกติ คือใช้แผงของตัวเองเลยถ้าเหลือก็ขายได้แต่เน้นเอามาใช้ในครัวเรือนก่อน หรือบางทีเขาเรียกเป็นมิเตอร์ 2 ทาง คือขายไปกับเข้ามาแต่ว่าหักลบกันก่อนแล้วค่อยไปคิดเงินกัน ของบ้านเรานั้นมิเตอร์ 2 ตัวไม่ใช่มิเตอร์ 2 ทางที่เรียกมิเตอร์ 2 ตัวคือตัวหนึ่งขาย ตัวหนึ่งซื้อ ประเทศเพื่อนบ้านเราที่ทำที่ใกล้ที่สุดก็ญี่ปุ่น ส่วนประเทศอื่นไม่ค่อยเยอะนักประเทศเราก็ทำได้ดีแล้วแต่ว่าเสียดายที่มันมาติดเรื่องเวลา คือถ้าเราคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรยังพอว่าแต่นี่คิดออกแล้วดันมาล็อคเรื่องเวลาซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าล็อคทำไม ล็อคแล้วมันกลายเป็นผลประโยชน์ของฝ่ายธุรกิจมากกว่า แต่เป็นผลประโยชน์ระยะสั้นนะ ผลระยะยาวจะขายใครได้อีก ลึกๆ แล้วอยากให้มันแน่นอนนะ เหมือนรถปีที่แล้ววุ่นกันพอสต๊อกไว้แล้วก็ค้างบาน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กันว่าสิ่งที่มันดูเหมือนช่วยเอาเข้าจริงมันอาจไม่ได้ช่วย   ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เยอรมัน เดนมาร์ก เขาเอาไปทำต่อเนื่องมันก็เลยประสบความสำเร็จไปในระยะยาว แผง Solar cell ของเขาก็กลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กรณีของไทยเหมือนทำอย่างเขา แต่เราไม่รู้รัฐบาลจะเปิดรอบไหน อย่างเราขายแผง Solar cell เองนั้นก็ไม่รู้เราจะไปลงทุนผลิตเองดีไหมในเมื่อมันยังไม่ชัวร์ เพราะฉะนั้นเมื่อมันไม่ชัวร์เราก็รับมาจากต่างประเทศละกันอันไหนถูกกว่าหน่วยงานเราก็หากันเฉพาะหน้าไป เพราะฉะนั้นต่างประเทศที่เขาทำระยะยาวมันจึงประสบความสำเร็จในการสนับสนุน เริ่มตั้งแต่คนติดตั้งเยอะขึ้น คนลงทุนเยอะขึ้นจนกลายเป็นธุรกิจ Solar cell อย่างครบวงจรได้ มันต้องการความชัดเจนในระยะยาว ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี อีกโมเดลหนึ่งคือ ผมคิดว่าประเทศไทยเราไม่มีเลย คือการลงทุนสนับสนุนสำหรับชุมชนหรือบ้านเรือนที่ใช้ในแนวของพลังงานอย่างยั่งยืน เรื่องการสร้างความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อมเราไม่มีเลย วิธีการคิดของรัฐบาลคือติดตรงไหนก็เอาไปขายเข้าระบบอย่างเดียวแต่ของต่างประเทศเขามีคนมาร่วมกันเป็นสหกรณ์ เป็นบริษัทก็ได้ ถ้าทำมาเป็นโครงการลักษณะแบบที่จะมีการประหยัดการใช้พลังงาน ซึ่งมันไม่ได้มีแต่ Solar cell อย่างเดียว ยังมีอื่นๆ อีกที่ทำได้ เช่นสิ่งปฏิกูลจากห้องน้ำ สมมติว่าเราสร้างบ้าน 20 หลังแล้วเราทำท่อที่สิ่งปฏิกูลมาทำไบโอแก็สได้ ไบโอแก็สก็จ่ายคืนกลับไปสู่การใช้ LPG อันนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพราะฉะนั้นในต่างประเทศการสนับสนุนเขาจะให้แต่ละที่คิดเองว่าจะทำอะไรได้บ้าง บางที่ก็ Solar cell อย่างเดียว บางที่ก็ Solar cell บวกกังหันลม บางที่ก็ Solar cell บวกไบโอแก็ส บางที่ก็ Solar cell บวกไบโอแมส อย่างเช่นกิ่งไม้ หมู่บ้านจัดสรรกิ่งไม้เยอะมาก เสร็จแล้วก็ไม่รู้ทำอย่างไรจริงแล้วเอามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เพราะฉะนั้นการให้สนับสนุนในโครงการลักษณะแบบนี้มันจำเป็นที่จะต้องมี เพราะในที่สุดแล้วมันคือการลดการใช้ไฟฟ้าแต่ปัจจุบันการให้ความสนับสนุนของรัฐฯ นั้นให้ก็ต่อเมื่อมีการขายไฟฟ้า ซึ่งบางคนเขาไม่ได้ขายแต่ว่าเราทำเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าลงอันนี้มันก็เป็นการสนับสนุนของรัฐบาลไทย มันเหมือนกับขาเดียวไม่ได้ทำ 2 ขา คือใครขายก็ขาย ใครที่ใช้อยู่ก็ต้องใช้ให้มันน้อยลง   นโยบายของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรมนอกจากเรื่องรับซื้อแล้วยังมีอะไรอีกเรื่องการส่งเสริมพลังงานโซล่าร์เซลล์ ไม่มีเลย ที่เหลือก็จะเป็นโครงการ มันไม่ได้เป็นกลไกนะโครงการมันเป็นกลไกที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ การรับซื้อที่มันเป็นกลไกมันก็ไม่ค่อยสมบูรณ์เพราะมันดันมาล็อคเรื่องเวลา เพราะฉะนั้นบ้านเรามันขาดกลไกจริงๆ เหมือนเราอุดหนุน LPG รัฐบาลออก LPG แต่คนทำไบโอแก็สเยอะเลย ชาวบ้านทำไบโอแก็สไม่ช่วยเขาเลย เขาทำไบโอแก็สแก้ปัญหาให้คุณไม่มีการอุดหนุนเลย คนทำไบโอแก็สก็ทำกันไปเรื่อยๆทั้งที่จริงการอุดหนุนไบโอแก็สนั้นง่ายมาก อุดหนุนผ่านวัสดุเลยถ้าคุณซื้ออันนี้เพื่อเอาไปทำไบโอแก็สคุณได้ส่วนลด ก็เหมือนกับรถคันแรกไปซื้อเสร็จคุณก็ไปขอส่วนลดใช่ไหม แต่นี่ไม่ได้ลดเป็นแสน ลดเป็นหลักพันหลักร้อยเองแล้วคุณก็ขึ้นบัญชีคนซื้อ LPGคุณได้ ใครซื้อไฟต่ำกว่าเท่านี้ก็ไปขออัตราลดLPGคุณทำได้เลย ชาวบ้านที่ทำไบโอแก็สจำนวนก็น้อยกว่า ความตั้งใจก็เยอะกว่า ประโยชน์ก็เยอะกว่า คุณก็ไม่ช่วย ผมคิดว่ารัฐบาลมองอะไรที่มันแบบผิวเผิน   สาเหตุที่รัฐบาลไม่ส่งเสริมอย่างจริงจัง เขาเน้นเป้า คือหมายถึงว่าอยากให้ได้ Solar cell กี่เมกะวัต คิดหาวิธีที่มันง่ายที่สุด เขียนนโยบายมาว่าจะต้องได้เท่านี้ สมมติว่าเขาได้ในระยะเวลาที่เขากำหนด เขาก็คิดว่ามันจบเลยต่อจากนี้ไม่ต้องยุ่งอีกต่อไป วิธีคิดเขาเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่ได้มองว่าในความเป็นจริงคนค่อยเรียนรู้มันจะเกิดการพัฒนาต่อเนื่อง เขาไม่ได้มองเรื่องอนุรักษ์พลังงาน จริงๆผมว่าเขาไม่เคยมองเรื่องคนเลยมากกว่า คือทุกเรื่องสุดท้ายเราต้องการคนที่เปลี่ยนไป เขามองแค่การลงทุน ผมนี่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยถ้าผมคิดว่าเงิน2แสนมันคุ้มค่า ผมก็โทรสั่งมาติด จบ ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไร เขาสนใจแค่ได้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ อันนี้ทำให้เขาได้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ง่ายที่สุดก็จบแล้วสำหรับเขา   ทางออกสำหรับคนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงาน ทางออกสำหรับคนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงาน แต่ยังไม่ต้องการขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐ ทำได้ โดยการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บางจุดของบ้าน  เช่น ทดแทนไฟฟ้าแสงสว่างในครัวเรือน หรือติดตั้งระบบโซล่าร์เซลล์บริเวณเครื่องสูบน้ำ เป็นต้น   เยอรมัน อังกฤษ เดนมาร์ก และจีน เป็นประเทศที่มีนโยบายพลังงานหมุนเวียนที่มีความน่าสนใจ โดยประเทศเยอรมันมีความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนมากที่สุดในโลก ส่วนประเทศอังกฤษที่เดิมมีพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักมีการใช้พลังงานกระแสหลัก เช่น ถ่านหิน น้ำมันเป็นหลักเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ประกาศใช้นโยบาย RPS  ประเทศเดนมาร์ก ที่มีเป้าหมายการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าเป็นเจ้าของการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบสหกรณ์    และประเทศจีนที่กำลังการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนมากที่สุด ปัจจุบันเดนมาร์กมีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าและระบบทำความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 30,000 แห่ง โดยมีเครื่องมือประมาณ 35,000 เครื่องสำหรับใช้ในระบบทำความร้อน และที่เกาะ Aeroe   ในเดนมาร์กเป็นที่ตั้งของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ 19,000 ตรม. โดยพลังงานที่ได้ใช้สำหรับผลิตระบบความร้อนภายในเกาะพลังงานของระบบความร้อน 1 ใน 3 ของที่ใช้ในเดนมาร์กได้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสามารถกักเก็บพลังงานที่ผลิตได้สำรองไว้ใช้ในฤดูใบไม้ร่วง และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้   7,500 MWh โดยมีการลงทุนเพื่อผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ไปแล้วจำนวน 49 ล้านโครนเดนมาร์ก ซึ่งเงินจำนวน19 ล้านโครนเดนมาร์กจากจำนวนนี้มาจากการสนับสนุนของสหภาพยุโรปลำดับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 168 สร้างไฟล์งานด้วยสมาร์ทโฟน

ตั้งแต่เข้าปีแพะมา บอกตรงๆ เลยค่ะ ว่างานยุ่งมาก ทำงานไม่ทัน อันโน้นยังไม่เสร็จ อันนี้ยังไม่เสร็จ พระอาทิตย์ก็ตกดินไปซะแล้ว จนทำให้รู้สึกเวลาในแต่ละวันช่างเดินเร็วเสียจริง...อ๊ะ!! ผู้อ่านหลายคนอาจจะคิดว่าปีชงหรือเปล่า  ไม่ใช่จริงๆ ค่ะ ทุกอย่างเป็นเพราะงานล้นมือล้วนๆ เลย ขอบอก พอมีงานมากมายก่ายกอง ซึ่งก็ทำให้ทำไม่ทันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม  แถมบ่อยครั้งต้องออกเดินทางไปประชุมด้านนอกทั้งแบบนัดหมายไว้ล่วงหน้าหรือแบบกะทันหัน  งานก็เลยต้องพักไว้ แต่บางครั้งก็ยังมีงานเข้ามาให้ปวดหัว ต้องพิมพ์โน้นนี่นั่นแบบเร่งด่วน ทั้งที่ตัวยังต้องเข้านั่งประชุมอยู่ และไม่สามารถใช้โน๊คบุ๊คได้ ทีนี้ก็งานเข้าทุกทิศทุกทางเลยค่ะ ชั่วขณะนั้นก็ทำให้นึกถึงสมาร์ทโฟนในมือของตนเองว่าน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง เลยเข้ากูเกิ้ล (google) ค้นหาผู้ช่วยมือที่สามทันที และแล้วแอพพลิเคชั่น  Docs ToGo  ก็มาช่วยแบ่งเบางานได้บ้างเมื่อต้องเดินทางออกนอกสถานที่ แอพพลิเคชั่นมีทั้งเวอร์ชั่นฟรี และเสียเงิน  โดยในเวอร์ชั่นฟรี สามารถใช้โปรแกรมสกุล docx  ซึ่งก็คือโปรแกรม word และโปรแกรมสกุล xlsx ก็คือโปรแกรม excel   ส่วนเวอร์ชั่นเสียเงินจะเพิ่มโปรแกรม PDF มาให้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานบอกสมาร์ทโฟน ในแอพพลิเคชั่นนี้ สามารถใช้งานได้ง่ายมาก  พอกดเข้าแอพพลิเคชั่นด้านหน้าจอสมาร์ทโฟน  จะปรากฏหน้ารวมไฟล์ทุกสกุล ไม่ว่าจะเป็น  docx, xlsx, pdf  โดยจะแจ้งเป็นชื่อไฟล์ตามที่เจ้าของงานได้ตั้งไว้ และสามารถกดเลือกให้โชว์ไฟล์เฉพาะสกุลนั้นๆ ก็ได้ เป็นการเพิ่มความสะดวกให้อีกทาง เมื่อต้องการจะใช้โปรแกรมให้กดเครื่องหมายบวกมุมบนขวา จากนั้นแอพพลิเคชั่น จะให้เลือกว่าต้องการใช้โปรแกรม word หรือ excel ถ้าเป็นโปรแกรม word จะเปิดหน้าว่างสีขาวมาให้ โดยสามารถพิมพ์ข้อความได้ตามปกติเหมือนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลูกเล่นในการเลือกให้ข้อความเป็นตัวหนา ตัวเอียงหรือขีดเส้นใต้ได้ และมีเมนูทำให้ข้อความอยู่กึ่งกลาง ตั้งชิดหน้า ชิดหลัง รวมทั้งการกั้นหน้าหลังในแต่ละบรรทัดด้วย สำหรับโปรแกรม excel เมื่อกดแล้วจะปรากฏหน้าเป็นตารางเหมือนกันในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งวิธีใช้เหมือนกันทุกอย่าง โดยในแอพพลิเคชั่นจะสามารถจัดรูปแบบ font ได้ทันที และสามารถลากแถบช่องตารางที่ต้องการเลือกได้เหมือนกับใช้ mouse ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยสร้างไฟล์ในเบื้องต้นให้กับเรา หลังจากนั้นให้ save ไฟล์ ซึ่งแอพพลิเคชั่นจะให้ตั้งชื่อเอง และผู้ใช้สามารถส่งไปยังเมลต่างๆ ที่ต้องการได้ทันที ขั้นตอนในการส่งนั้น เพียงแค่เลือกไฟล์ที่ต้องการ และกดรูปซองจดหมาย หลังจากนั้นแอพพลิเคชั่นจะไปลิ้งกับเมล เพื่อให้กรอกที่อยู่เมลที่ต้องการส่งทันที ต้องยอมรับว่าในยุคสมัยการใช้อินเตอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องที่ง่ายจริงๆ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วก็สามารถช่วยคุณได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 Taxi Reporter รายงานพฤติกรรมที่ไม่พึงพอใจ

หลังจากที่แนะนำให้ผู้อ่านตรวจจับความเร็วกับแอพพลิเคชั่น Traffy bSafe เพื่อร้องเรียนความไม่พึงพอใจกับการบริการของรถบริการสาธารณะและพนักงานขับรถบริการสาธารณะบนท้องถนนไปฉบับก่อนหน้านี้ ฉบับนี้ผู้เขียนจึงขอแนะนำแอพพลิเคชั่นสำหรับร้องเรียนรถบริการสาธารณะประเภทแท็กซี่กันบ้าง พอพูดถึงรถแท็กซี่ ผู้อ่านหลายคนคงส่ายหน้ากับการเลือกรับผู้โดยสาร โดยมีเหตุผลรองรับต่างๆ นานา อย่างเช่น “ไปส่งรถไม่ทัน” “จะไปเติมแก๊ส” “แถวนั้นรถติด” เป็นต้น แค่นี้ก็ทำให้เอือมระอากับการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ไปแล้ว ส่วนผู้โดยสารที่โชคดีได้รถแท็กซี่ตกลงไปส่งจุดหมายปลายทางที่ต้องการ แต่ก็อาจเจอกับความโมโห ฉุนเฉียว พูดจาไม่สุภาพของคนขับรถแท็กซี่ เสมือนไม่พอใจที่จะไปจุดหมายปลายทางนั้น หรือไม่ก็ขับขี่ด้วยความไม่ระมัดระวัง จนทำให้รู้สึกเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดอะไรของผู้โดยสารเลย แอพพลิเคชั่น Taxi Reporter ถูกพัฒนาขึ้นโดย บริษัท Siam Squared Technologies เป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้การร้องเรียนถึงพฤติกรรมของคนขับรถแท็กซี่ที่ผู้โดยสารไม่พึงพอใจและเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับการใช้บริการ ซึ่งข้อมูลที่ร้องเรียนจะถูกส่งไปยังบริษัทเพื่อรวบรวมและส่งข้อมูลต่อไปยังกรมขนส่งทางบกอีกครั้ง   ขั้นตอนในการส่งเรื่องร้องเรียน ขั้นตอนแรกจะให้กรอกหมายเลขทะเบียนรถแท็กซี่เจ้าปัญหา โดยผู้โดยสารจะสังเกตหมายเลขทะเบียนรถได้จากบริเวณประตูด้านหลังทั้งสองข้าง ขั้นตอนที่สองจะให้เลือกเรื่องที่ต้องการร้องเรียน โดยในแอพพลิเคชั่นจะมีให้เลือก ดังนี้ ไม่รับผู้โดยสาร ฝ่าฝืนกฎจราจร มีพฤติกรรมหยาบคาย และโกงค่าโดยสาร ในขั้นตอนนี้ผู้อ่านสามารถเลือกได้หลายตัวเลือก ขั้นตอนที่สาม ผู้อ่านสามารถพิมพ์ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่ต้องการร้องเรียนได้ พร้อมทั้งทางแอพพลิเคชั่นจะปักหมุดบนแผนที่ตรงบริเวณที่ผู้อ่านร้องเรียน เพื่อให้รู้ว่ารถแท็กซี่คันนั้นวิ่งในบริเวณใด เมื่อเติมข้อมูลทุกอย่างเสร็จสิ้น ให้คลิกเมื่อส่งข้อมูล สำหรับผู้อ่านที่เล่นเฟสบุ๊กสามารถโพสต์ข้อความการร้องเรียนได้ทันที โดยในหน้าต่างถัดไป แอพพลิเคชั่นจะสอบถามการแชร์ข้อมูลเรื่องร้องเรียนผ่านเฟสบุ๊ก เพียงคลิกตามขั้นตอน ข้อความเหล่านั้นก็จะไปปรากฏบนเฟสบุ๊กให้ทันที แต่ข้อจำกัดของแอพพลิเคชั่นนี้ก็มีเช่นกัน เพราะยังไม่สามารถรองรับอุปกรณ์ไปทั้งหมด ซึ่งจะรองรับเฉพาะอุปกรณ์ตระกูล iOS เท่านั้น อาทิ iPhone, iPad เป็นต้น โดยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Taxi Reporter ฟรีได้ที่ http://itunes.apple.com/th/app/taxi-reporter/id501278589?mt=8 เอาเป็นว่าช่วยกันรายงานพฤติกรรมที่เกิดขึ้นผ่านทางแอพพลิเคชั่น Taxi Reporter ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นช่องทางหนึ่งที่อาจช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มความใส่ใจในเรื่องการบริการ และความปลอดภัยบนท้องถนนให้กับผู้โดยสารมากขึ้นกว่าเดิม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 151 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนสิงหาคม 2556 ตรวจสุขภาพ...อาจทำร้ายสุขภาพ โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) รายงานว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นการตรวจที่ไม่เหมาะสม เป็นการตรวจสุขภาพโดยการสุ่มตรวจหรือการตรวจแบบ “เหวี่ยงแห” นอกจากจะสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะอื่น นำไปสู่การรักษาที่ไม่จำเป็น นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) กล่าวว่า การตรวจสุขภาพหรือการคัดกรองสุขภาพ(ไม่รวมการตรวจสุขภาพที่เกี่ยวกับการยืนยันโรค หรือเพื่อรักษาโรคนั้น) ควรหลีกเลี่ยงการคัดกรองแบบเหวี่ยงแห ที่เป็นการตรวจแบบไร้จุดเป้าหมาย เพราะมีโทษมากกว่าประโยชน์ และสามารถก่ออันตรายต่ออวัยวะอื่น เช่น การเอกซเรย์ การตรวจการทำงานของตับ ไต หรือการใช้เครื่องซีทีสแกน ซึ่งมีรังสีมากกว่าการเอกซเรย์ 100 เท่า เป็นต้น โดยทาง HITAP ได้ทำวิจัยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและราชวิทยาลัยต่างๆ จัดเป็นโปรแกรมการตรวจคัดกรอง 12 เรื่อง เตรียมเสนอให้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง 12 เรื่องที่อยู่ในโปรแกรมการตรวจมีอย่างเช่น การตรวจโลหิตจาง ภาวะทุพโภชนาการ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง ตรวจสายตา ฯลฯ พร้อมกับกำหนดช่วงวัยที่เหมาะสมและจำนวนการตรวจ ซึ่งประชาชนควรได้รับทราบข้อดี ข้อเสียของการตรวจสุขภาพ ก่อนเข้ารับการตรวจ     ตู้น้ำดื่มตกมาตรฐาน ปัจจุบันมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่เลือกบริโภคน้ำจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ แต่หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่าบรรดาตู้น้ำดื่มทั้งหลายที่ตั้งให้บริการอยู่นั้น ยังไม่มีหน่วยงานใดที่รับหน้าที่ดูตรวจสอบความปลอดภัยที่ชัดเจน แถมล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สุมตรวจความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ พบว่าเกินครึ่งตกมาตรฐาน อย. ได้เปิดเผยข้อมูลการสุ่มตรวจตัวอย่างคุณภาพน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในเขต กทม.จำนวน 300 ตัวอย่าง พบผ่านมาตรฐาน 129 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 43 ตกมาตรฐาน 171 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 57 โดยรายการที่ไม่ผ่านมาตรฐานมากที่สุด คือ ค่าความเป็นกรดด่าง ซึ่งอาจมาจากระบบการกรองของตู้ (Reverse Osmosis) ซึ่งไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนด ซึ่ง อย. ออกมาเปิดเผยว่าไม่ได้นิ่งเฉยกับปัญหานี้ โดยขณะนี้ได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง น้ำบริโภคจากตู้น้ำหยอดเหรียญอัตโนมัติ เพื่อกำหนดคุณภาพของน้ำบริโภคที่ผลิตจากเครื่องอัตโนมัติโดยตรง ขณะนี้เหลือเพียงรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมบังคับใช้ในปี 2557 ซึ่งเมื่อมีผลตามกฎหมายหากพบตู้น้ำหยอดเหรียญอัตโนมัติของผู้ประกอบการรายใดไม่ได้มาตรฐานจะมีโทษทันที   อย.มั่นใจนมผงไทยไม่มีเชื้อแบคทีเรีย หลังจากมีข่าวที่ชวนให้ตกใจ เรื่องการพบเชื้อแบคทีเรียในเวย์โปรตีนชนิดเข้มข้นที่ผลิตจากบริษัท ฟอนเทียร่า ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเวย์โปรตีนชนิดเข้มข้นนี้ถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์นมต่างๆ โดยเฉพาะนมผง โดยเชื้อแบคทีเรียที่พบการปนเปื้อนมีอันตรายหากมีการบริโภคเข้าสู่ร่างกาย ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกมาตรวจสอบปัญหาดังกล่าวเพื่อคลายความกังวลของผู้บริโภคในประเทศไทย ทั้งการตรวจเข้มการนำเข้า เก็บตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ เชิญผู้ประกอบการมาชี้แจงหามาตรการเฝ้าระวังความปลอดภัย สำหรับกรณีที่ บริษัท ดูเม็กซ์ ประเทศไทย ที่มีบางผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบจากบริษัท ฟอนเทียร่า บริษัท ดูเม็กซ์ ประเทศไทย จึงได้มีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์บางตัว ประกอบด้วย 1.ดูโปร สูตร 2 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2556 ถึง 28 มิถุนายน 2556 หมดอายุในระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2557 ถึง 28 ธันวาคม 2557, 2. ไฮคิว สูตร 1 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 09 พฤษภาคม 2556 ถึง 15 กรกฎาคม 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 09 พฤศจิกายน 2557 ถึง 15 มกราคม 2558, 3. ไฮคิว สูตร 2 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2556 ถึง 25 มิถุนายน 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2557 ถึง 25 ธันวาคม 2558, 4. ไฮคิว ซูเปอร์โกลด์ สูตร 1 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 ถึง 14 มิถุนายน 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ถึง 14 ธันวาคม 2557 และ 5. ไฮคิว ซูเปอร์โกลด์ สูตร 2 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 ถึง 28 มิถุนายน 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ถึง 28 ธันวาคม 2557 ส่วนผลิตภัณฑ์นมดัดแปลงและอาหารทารกสำหรับเด็กเล็กจากบริษัทผู้ผลิตและนำเข้าอื่นๆ รวม 73 รายการ ที่แจ้งกับทาง อย. ทาง อย. ยืนยันว่าไม่มีบริษัทใดนำเข้าหรือใช้เวย์โปรตีนล็อตที่เป็นปัญหาเป็นวัตถุดิบแต่อย่างใด   เตรียมปรับฉลากอาหาร ปริมาณ “น้ำตาล – เกลือ” ต้องอ่านง่าย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการจัดทำฉลากอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและเกลือใหม่ จากเดิมที่ระบุปริมาณเป็นมิลลิกรัม ซึ่งอ่านเข้าใจยาก โดยเฉพาะในฉลากขนมที่มีน้ำตาลและเกลือสูง หวังช่วยให้เด็กๆ มี่ซื้อรับประทานอ่านฉลากมากขึ้น โดยฉลากแบบใหม่ต้องปรับให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย อาจใช้รูปสัญลักษณ์ในการบอกค่า เช่น รูปช้อน แทนปริมาณน้ำตาล 1ช้อน หรือ 2 ช้อน พร้อมกับระบุวิธีการเผาผลาญออกจากร่างกาย และผลกระทบ ผลเสีย หรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายด้วย เช่น น้ำตาล 2 ช้อน การเผาผลาญต้องวิ่งเป็นเวลา 20 นาที หรือ เกลือ หากได้รับปริมาณมากเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยอาจจะทำเป็นสติกเกอร์ติดที่ซองอาหารเพิ่มเติมจากฉลากเดิมที่มีอยู่แล้ว ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คนไทยเราเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ มากขึ้น โดยในปี 2554 ข้อมูลจากการตรวจคัดกรองประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 22.2 ล้านคน พบผู้ป่วยเบาหวาน 1,581,857 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน 277,020 ราย โดยมีภาวะแทรกซ้อนทางไตมากที่สุด เช่น ไตวาย ร้อยละ 25 รองลงมาคือแทรกซ้อนทางตา เช่น ตาต้อกระจก ต้อหินร้อยละ 23 คาดการณ์ว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า ไทยจะพบผู้ป่วยถึง 4.7 ล้านราย เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 52,800 ราย แนวโน้มพบในเด็กมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้เด็กไทยเผชิญความอ้วนมากขึ้น   พลังคนไทยทวงคืนพลังงานชาติ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา ภาคประชาชนได้รวมตัวกันเพื่อร่วมแสดงพลังเรียกร้องความเป็นธรรม หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อชุมนุมคัดค้านการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี พร้อมทั้งล่ารายชื่อ 5 หมื่นชื่อ ยื่นถอดถอนรัฐมนตรีว่าการและข้าราชการกระทรวงพลังงานทั้งสิ้น 5 คน เนื่องจากนโยบายการปรับขึ้นราคาแอลพีจีที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ประชาชนทั่วประเทศเดือดร้อน ซึ่งการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อรวมคัดค้านนั้น จะกระจายไปทุกจังหวัด โดยตั้งเป้าให้ได้จังหวัดละ 1 พันรายชื่อ เพื่อแสดงพลังของประชาชนที่คัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีและจะนำรายชื่อไป ยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป ก๊าซแอลพีจี หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคครัวเรือน เริ่มปรับขึ้นราคาเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยปรับราคาขึ้นกิโลกรัมละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่อเดือนต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน รวมแล้วขึ้นราคาเป็น 6 บาท จากเดิมที่ราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24.82 บาทต่อกิโลกรัมใครที่อยากร่วมลงชื่อถอดถอนรัฐมนตรีว่าการและข้าราชการกระทรวงพลังงาน สามารถเข้าไปโหลดเอกสารลงรายชื่อได้ที่ลิงค์ http://www.gasthai.com/pengout.pdf และติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมและข้อมูลต่างๆ เรื่องความไม่เป็นธรรมของธุรกิจพลังงานในไทยได้ที่เฟซบุ๊ค Goosoogong   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 106 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤศจิกายน 2552 22 พ.ย. 52โพลชี้ชัด! ผู้บริโภคไม่อยากดูโฆษณาแฝงนางอัญญาอร พานิชพึ่งรัถ ประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยข้อมูลผลสำรวจ “ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อโฆษณาแฝง” พบว่ากว่าร้อยละ 72 ไม่เห็นด้วยกับร่างแนวทางที่ สคบ. กำลังพิจารณาว่าการปรากฏให้เห็นของสินค้าในรายการโทรทัศน์ไม่ถือว่าเป็นการโฆษณาแฝง ทำให้มีโฆษณาแฝงเกิน 12.30 นาทีต่อชั่วโมงตามที่กฎหมายระบุไว้ จากการสำรวจส่วนใหญ่เห็นว่าโฆษณาแฝงในรายการโทรทัศน์รุกล้ำสิทธิของผู้บริโภค และคิดว่าควรมีการเปิดเผยข้อมูลรายได้จากโฆษณาแฝงและให้มีการตรวจสอบระบบการเสียภาษีให้กับรัฐให้ถูกต้อง นางอัญญาอร กล่าวว่า “ร่างฯ นี้ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา แต่กลับจะยิ่งทำให้โฆษณาแฝงมีความถูกต้องชอบธรรมตามกฎหมาย เพราะร่างแนวทางระบุให้การปรากฏของสินค้าในรายการโทรทัศน์ไม่ถือว่าเป็นการโฆษณา ซึ่งจะยิ่งทำให้มีโฆษณาแฝงในรายการทีวีเพิ่มมากขึ้น” 26 พ.ย. 52องค์กรผู้บริโภคจี้ ก.อุตสาหกรรมเลิกใช้ “แร่ใยหิน” เหตุเป็นสารก่อมะเร็งแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดเวทีปฏิบัติการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคการประชุมผู้แทนองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ครั้งที่ 2 เรื่อง “ให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก” โดยมีผู้แทนองค์กรผู้บริโภคจากทั่วประเทศ เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอ เพื่อส่งต่อไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินหรือสารแอสเบสตอส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด โดยพบได้ในผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นหลังคาบ้าน กระเบื้องปูพื้น ผ้าเบรก หรือแม้กระทั่งในเครื่องสำอาง องค์กรผู้บริโภคมีข้อเสนอ 10 ข้อยื่นต่อกระทรวงอุตสาหกรรมโดยมีประเด็นสำคัญคือ ให้กำหนดมาตรการยกเลิกการนำเข้าภายใน 3 เดือน และยกเลิกการผลิต การจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินที่สามารถใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ภายใน 1 ปี พร้อมทั้งยกเลิกภาษีวัตถุดิบที่ไม่เป็นอันตรายที่สามารถใช้ทดแทนแร่ใยหิน และควรมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและชนิดของสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน 27 พ.ย. 52อย. ออกคำสั่ง! ห้ามใช้ยาแอสไพรินกับเด็กสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีคำสั่งให้ผู้ผลิตยาแอสไพรินแก้ไขทะเบียนตำรับยา ไม่ให้ใช้ แก้ปวด ลดไข้ ในเด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการรายย์ ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงเนื่องจากตับถูกทำลาย ทำให้สมองบวม ชัก หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการ อย. เปิดเผยว่า มียาแอสไพรินที่ขึ้นทะเบียนโดยเป็นยาสำหรับเด็กเท่านั้น จำนวน 29 ตำรับ และตำรับที่มีข้อบ่งใช้ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ 55 ตำรับ ซึ่งผู้รับอนุญาตจะต้องมีหน้าที่แก้ไขฉลากและเอกสารกำกับยา โดยให้ตัดข้อความที่แสดงสรรพคุณที่ใช้สำหรับเด็กออกไป ซึ่งคำสั่งนี้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2552 หากไม่ปฏิบัติตามประกาศจะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย 29 พ.ย 2552“นมหวาน” ทำร้ายเด็ก ทันตแพทย์หญิงจันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ระบุว่ายังมีผู้ปกครองซื้อนมหวานให้เด็กบริโภคเป็นประจำถึงปีละ 9,924 พันตัน ผลเสียทางสุขภาพที่จะเกิดขึ้นทันทีจากการดื่มนมรสหวานโดยใช้ขวดนม คือเด็กจะฟันผุตั้งแต่ฟันน้ำนมยังขึ้นไม่เต็มปาก ส่งผลให้เด็กเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ปวดฟัน นอนหลับไม่สนิท การกินนมรสหวาน จะนำไปสู่พฤติกรรมติดหวานและทำให้เด็กอ้วน จึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นเบาหวานในอนาคต “แม้เครือข่ายด้านสุขภาพร่วมกับ อย. ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ 286 ระบุไม่ให้มีการเติมน้ำตาลซูโครสลงในนมผงสูตรต่อเนื่องสำหรับเด็ก ตั้งแต่เดือนเมษายน 2549 ทำให้แนวโน้มการใช้นมรสหวานเลี้ยงเด็กทารกลดลงอย่างมาก ปีละประมาณ 1,000 ตัน แต่ประกาศดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงนมผงครบส่วนสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป จึงทำให้ยังมีทั้งนมผงรสหวานและรสจืดวางขายในท้องตลาดอีกจำนวนมาก  ร้องนายก ให้ กฟผ. คืนเงินคนใช้ไฟฟ้ามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม เครือข่ายติดตามผลกระทบจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา และกลุ่มพลังงานทางเลือก ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ เพื่อขอให้ยุติการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า และนำเงินที่เรียกเก็บโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายส่งคืนให้แก่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า เพราะการจัดตั้งกองทุนเพื่อเรียกเก็บเงินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายถือเป็นการเอาเปรียบประชาชน ทั้งนี้ กฟผ. ได้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 โดยเรียกเก็บเงินจากค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) ซึ่งเป็นการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ เครือข่ายประชาชนยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ให้ กฟผ. ยุติการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากค่าเอฟทีโดยทันที 2.ให้นำเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนฯ ไปแล้วทั้งหมดส่งคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยเร็ว 3.ให้หามาตรการที่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อการเรียกเก็บเงินสำหรับดำเนินการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งหมดโดยตรง ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการตามที่ได้เรียกร้องจะถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด กลุ่มองค์กรและเครือข่ายประชาชนก็จะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลเพื่อดำเนินการต่อไป เร่ง คลัง – พลังงาน ทวงเงินชาติคืนจากปตท.เครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายประชาชน ยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน เพื่อขอให้บังคับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คืนทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินกลับคืนให้กับประเทศ หลังจากศาลพิพากษาให้ ปตท. ต้องทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้เสร็จสิ้นก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ซึ่งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง รับไปดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและสิทธิตามหลักการดังกล่าว โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง แต่จากรายงานสรุปการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2551 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้โอนทรัพย์สินเพียงเฉพาะที่ดินเวนคืนมูลค่า 1.45 ล้านบาท สิทธิการใช้ที่ดินมูลค่า 1,125.11 ล้านบาท และระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่อยู่บนที่ดินเวนคืนและที่ดินรอนสิทธิเพียง 3 โครงการ (โครงการท่าบางปะกง-วังน้อย โครงการท่อจากชายแดนไทยและพม่า-ราชบุรี และโครงการท่าราชบุรี-วังน้อย) รวมเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่แบ่งแยกกลับไปเป็นของรัฐทั้งสิ้นเพียง 16,176.22 ล้านบาท โดยไม่มีการตรวจสอบและรับรองความถูกต้องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ขณะที่ตามรายงานของผู้สอบบัญชีต่อมูลค่าทรัพย์สินที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงานว่า ทรัพย์สินที่จะต้องดำเนินการคืนให้กระทรวงการคลัง มีมูลค่าทางบัญชีสุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2544 จำนวน 52,393,498,180.37 ล้านบาท นอกจากนี้ จากการตรวจสอบทรัพย์สินโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายประชาชน พบว่ายังมีทรัพย์สินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาเพิ่มเติมหลังการแปลงสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย รวมมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องแบ่งแยกและคืนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกจำนวนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 205,891 ล้านบาทมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายจึงต้องการเรียกร้องให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน ให้ ปตท. คืนทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ครบถ้วนโดยเร็วที่สุด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 ดื่มเพื่อตาย

วันหนึ่งของเดือนมีนาคม 2558 ผู้เขียนได้มีโอกาสชมข่าว Midday delivery ของช่อง 3 แฟมิลี ซึ่งมีรูปแบบการเล่าข่าวที่น่าสนใจ เพราะพิธีกรมีความคล่องตัวในการพูดและสอดแทรกความรู้ด้านภาษาอังกฤษและจีนตลอดเวลา ตอนหนึ่งของข่าวได้กล่าวถึงผู้เคราะห์ร้ายในต่างประเทศที่ดื่มเครื่องดื่มให้พลังงาน (Energy drink) ซึ่งมีเหล้าผสมอยู่แล้วมีอาการหัวใจวายจนเกือบตาย ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์กับคาเฟอีนในกาแฟโบราณใส่น้ำแข็ง ซึ่งมีผู้หวังดีซื้อให้ดื่มระหว่างการเล่นแบดมินตัน โดยที่ผู้เขียนลืมไปว่ากาแฟโบราณที่ขายส่วนใหญ่นั้น ใช้ผงกาแฟชงน้ำร้อนในลักษณะที่ได้กาแฟที่มีความเข้มข้นสูง คาเฟอีนจึงมีมาก ดังนั้นเมื่อดื่มกาแฟขณะเล่นแบดมินตัน ซึ่งต้องใช้พลังงานสูง หมายความว่าหัวใจต้องสูบฉีดโลหิตอย่างแรง คาเฟอีนที่ได้จากการดื่มกาแฟจึงไปเสริมการเต้นของหัวใจของผู้เขียนให้สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็น จนรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากทรวงอก สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ นั่งพักเลิกเล่นแบดในวันนั้นไปเลย เพราะมิเช่นคงไม่ได้มานั่งเขียนบทความนี้แน่นอน เรื่องของเครื่องดื่มให้พลังงานนั้นเป็นประเด็นลำดับต้น ๆ ที่องค์กรเอกชนบางองค์กรสนใจในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคเมื่อราว 30 ปีก่อน กาลเวลาผ่านไปปัญหาไม่ได้ถูกแก้สักเท่าไร แต่เรื่องราวนั้นค่อนข้างเงียบไป เพราะประเด็นที่องค์กรเอกชนต่อต้านคือ การใช้ฝาจุกชิงโชคมาเป็นการโฆษณานั้นดูจางไป เพราะผู้ประกอบการหันไปหารับประทานจนร่ำรวยจากการขายในต่างประเทศที่ไม่มีการต่อต้านการดื่มสินค้านี้ อย่างไรก็ดีกรรมกรที่ทำงานในบ้านเรานั้น ต่างก็กระดกเครื่องดื่มให้พลังงานทุกเช้าก่อนเริ่มงาน โดยให้เหตุผลว่าทำให้มีแรงและกระชุ่มกระชวยทำงานได้ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร จึงลองซื้อมาดื่มดู ก็พบว่ากินโอวเลี้ยงดูจะต้องจริตของผู้เขียนมากกว่า จึงได้แต่คิดว่า กรรมใครกรรมมัน เพราะกรรมกรบางคน ถึงจะดื่มไม่เกินวันละสองขวดตามคำแนะนำก็ตาม แต่ก็ดื่มหลายยี่ห้อในวันเดียวกัน เลยได้เกินสองขวดโดยไม่เจตนา ครั้นมาพบข่าวที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มให้พลังงานผสมเหล้าในต่างประเทศเข้า จึงลองเข้าไปดูใน YouTube ว่ามีคลิปเรื่องประมาณนี้ด้วยหรือ ปรากฏว่าเพียบเลย โดยส่วนใหญ่เป็นคลิปห้ามปรามการดื่มเครื่องดื่มแบบที่ว่ากับเหล้า หรือดื่มเครื่องดื่มแบบที่มีการผสมเหล้าเข้าไปในกระป๋องเลย เนื่องจากก่ออันตรายต่อหัวใจ   คลิปแรกเป็นข่าวจากสหรัฐอเมริกาชื่อ Dangers of Alcoholic Energy Drinks ซึ่งมีเนื้อข่าวย่อ ๆ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ของ อย. เริ่มกังวลการวางขายเครื่องดื่มให้พลังงาน(energy drink) ชนิดที่มีการผสมเหล้า(ซึ่งบางยี่ห้อเลวร้ายมากเพราะมีแอลกอฮอล์ถึงร้อยละ 12) ปะปนไปกับเครื่องดื่มให้พลังงานแบบเดิม จึงทำให้นักเรียนและนักศึกษามีโอกาสได้จิบแอลกอฮอล์ขณะนั่งเรียนหนังสือ นักข่าวได้เสนอว่าควรแยกการวางขายบนชั้นในร้านสะดวกซื้อให้ชัดเจน คลิปที่น่าสนใจซึ่งขอแนะนำให้เข้าชมเพราะเป็นต้นเรื่องของข่าวใน Midday delivery เผื่อมีใครจะสามารถจะสื่อสารข้อมูลนี้แก่คนไทยที่อาจมีการดื่มในลักษณะนี้แล้วคือ The Hidden Dangers Of Energy Drinks ซึ่งเอาขึ้น YouTube เมื่อ 29 ตุลาคม 2014 มีใจความย่อๆ ว่า ซาร่าและสเตฟานีได้เฉลิมฉลองการสอบเสร็จโดยไม่ได้คิดว่า เครื่องดื่มที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของ อย. ออสเตรเลีย (ซึ่งในคลิปบอกว่าเป็น premixed alcoholic energy drink) ที่พวกเขากำลังดื่มจะฆ่าพวกเขา เพราะไม่นานหลังจากที่ดื่มไปไม่กี่กระป๋อง (แต่คงเกิน 2 กระป๋องตามที่ฉลากระบุว่าไม่ควรเกิน) ซาร่าก็ตายอย่างน่าอนาถ ในขณะที่สเตฟานีโชคดีไม่เป็นไร นักข่าวของคลิปนี้ได้พาไปดูกระบวนการขายสินค้าชนิดนี้และสำรวจสิ่งที่เป็นส่วนผสม พร้อมการไปสัมภาษณ์นักวิชาการและแพทย์ถึงปัญหาที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มนี้เกินที่กำหนด ซึ่งมีสมมุติฐานหนึ่งที่น่าสนใจคือ องค์ประกอบของเครื่องดื่มประเภทนี้อาจไปเพิ่มเกล็ดเลือดทำให้เลือดข้นขึ้น จนเกิดการอุดตันในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ นักข่าวได้ลองทำการศึกษาเล็ก ๆ โดยให้มีการเจาะเลือดอาสาสมัครที่ดื่มเครื่องดื่มนี้แล้ววัดความหนืดของเลือดที่เจาะออกมาก็พบแนวโน้มว่าน่าจะสนับสนุนสมมุติฐาน คลิปต่อไปคือ Energy Drinks and Alcohol ซึ่งเป็นการเตือนผู้บริโภค (โดยเฉพาะวัยรุ่น) จากหน่วยงานราชการของอังกฤษมีใจความว่า การผสมเครื่องดื่มให้พลังงานกับเหล้านั้นอาจทำให้บางคนคิดว่าจะเมาน้อยลง แต่อัลกอฮอล์ยังออกฤทธิ์และก่อให้เกิดอุบัติเหตุในการขับขี่รถยนต์ จึงไม่ควรผสมเครื่องดื่มสองชนิดเข้าด้วยกัน (มีเครื่องดื่มในไทยบางชนิดที่ผสมสารชีวเคมีเช่น กลูตาไทโอน แล้วโฆษณาว่าทำให้ตื่นเช้าไม่เมาค้าง ซึ่งปัจจุบันทราบกันดีว่า กลูตาไทโอนถูกย่อยหมดในทางเดินอาหาร ไม่สามารถไปถึงตับเพื่อช่วยในการทำลายแอลกอฮอล์ได้....ผู้เขียน) คลิปที่น่าสนใจมากเพราะกล่าวตรง ๆ ว่า premixed alcoholic energy drink ควรถูกยกเลิกคือ  Why Mixing Alcohol And Caffeine Is So Bad  ในคลิปนี้กล่าวถึงการขายเครื่องดื่มให้พลังงานในบาร์เหล้า ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องผสมเหล้าในเครื่องดื่มนี้แน่ แม้ว่ามันจะวางขายแยกกัน โดยผู้ดื่มมักคิดว่า การทำเช่นนี้ทำให้ได้พลังงานพร้อมจะเมาได้จนสุดฤทธิ์สุดเดช ในคลิปยังกล่าวว่า มีรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการพบว่า การดื่มเครื่องดื่มแบบนี้ทำให้โอกาสเกิดอาการใจสั่นไม่เป็นจังหวะถึง 6 เท่าและมือไม้สั่น หงุดหงิดฉุนเฉียว นอนไม่หลับ ถึง 4 เท่า ของคนปรกติที่ดวดเหล้าอย่างเดียว จากการสัมภาษณ์คนโง่เหล่านี้พบว่า เขาคิดว่าตนเองควรเมาน้อยลงจึงเทน้ำทองแดงลงคอมากขึ้น ที่สำคัญคาเฟอีนนั้นได้ทำให้ผู้ดื่มเมาฟุบช้ากว่าปรกติ จึงหยุดดื่มช้ากว่าเดิม ทำให้สามารถเพิ่มความเข้มข้นแอลกอฮอล์ในเลือดได้สูงขึ้น ส่วนคลิปสุดท้ายที่จะแนะนำให้ดูนั้น เหมาะสำหรับคนที่กินเงินเดือนที่ได้จากภาษีของคนไทยหลายกลุ่มช่วยกันดู เผื่อว่าจะมีอะไรสะกิดสมองให้คิดทำประโยชน์แก่ผู้จ่ายภาษีบ้าง คลิปนั้นชื่อ 16x9 - A Dangerous Mix: Energy drinks and booze ซึ่งเอาขึ้น YouTube เมื่อ 30 เมษายน 2012 และมีความยาวถึง 23.54 นาที คลิปนี้มีลักษณะที่เรียกว่าเป็น all in one คือ ดูคลิปนี้แล้วได้ทุกอย่างที่เป็นปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดจากการดื่มเครื่องผสมดังกล่าว ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลจากการสัมภาษณ์ เหยื่อผู้รอดตายจากการดื่มเครื่องดื่มผสมนี้ แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่จาก อย. ของแคนาดา สิ่งที่น่ากระทำเป็นอย่างยิ่งคือ น่าจะให้บริษัทรับพากษ์หนังที่เรารู้จักกันดีจากหนังแผ่นต่างๆ ช่วยพากษ์คลิปนี้ (เพราะมี subtitle ซึ่งถึงแม้จะไม่ค่อยตรงนักก็ตามให้ดู) แล้วหน่วยงานที่เอาภาษีบาปไปใช้ในการคงอยู่ของหน่วยงานทำการเผยแพร่ในรูปซีดีแจกฟรีแก่โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อใช้ในการให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนในยามที่เรากำลังปฏิรูปการศึกษาใหม่ เพื่อให้เด็กได้รู้ในสิ่งที่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ได้แต่... อะไรก็ไม่รู้.....ที่ไร้ประโยชน์จนเด็กบางคนเอาตัวไม่รอดดังเช่นทุกวันนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 123 ฝันร้ายก่อน 2012

  มีนาคม 2554 ที่ผ่านไปแล้วนั้น กลุ่มคนที่ฝันร้ายที่สุดในโลกคงไม่เกินชาวญี่ปุ่น ที่ประสบปัญหาอุบัติภัยในการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติที่น่าวิตกครั้งหนึ่งของมนุษย์ชาติ ส่งผลให้อนาคตของการใช้พลังงานปรมาณูในการผลิตไฟฟ้าในหลาย ๆ ประเทศไม่แน่นอนไปเลย  การเกิดปัญหาเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะคนญี่ปุ่นมีปูมหลังที่หวาดกลัวสารรังสีมาตั้งแต่สมัยโดนทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ จนเวลาผ่านมาราว 66 ปี และคนในยุคนั้นเหลือน้อยเต็มที่ ความหวาดกลัวได้หายไปเกือบหมด ดูได้จากก่อนเกิดปัญหาที่ฟูกูชิมา หลายจังหวัดของญี่ปุ่นที่ไม่มีโรงไฟฟ้าปรมาณูได้ดำริจะขอจัดตั้งบ้าง เนื่องจากเห็นประโยชน์ของโรงไฟฟ้าชนิดนี้ว่า เป็นพลังงาน (เหมือน) สะอาด และราคา (เหมือน) ถูก ทั้งนี้เพราะชาวญี่ปุ่นปัจจุบันเป็นกลุ่มชนที่ฟุ่มเฟือย ใช้พลังงานมากที่สุดในโลกก็ว่าได้  จะถือว่าเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้ายก็ตาม ที่โรงไฟฟ้าพลังงานปรมาณูที่ฟูกูชิมาเกิดมีปัญหาเนื่องจากแผ่นดินไหวและเกิดสึนามิขึ้นมา โครงการสร้างโรงไฟฟ้าปรมาณูทั่วโลกจึงหัวทิ่มไปหมด ถึงขนาดที่ประเทศเยอรมันที่กำลังจะต่ออายุโรงไฟฟ้าที่เตรียมยกเลิกแล้วต้องยกเลิกจริงไปเลย เพราะเป็นโรงไฟฟ้ารุ่นเก่า  จึงมีคำถามว่า แล้วคนไทยจะรนหาที่ไปทำไมในเรื่องโรงไฟฟ้าปรมาณู หรือมันตอบสนองความต้องการของใครกันแน่  ถามใหม่ว่า ถ้าประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าปรมาณู ถึงมันจะเป็นเจ็นเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งปลอดภัยสุด ๆ ตามที่เขาบอกแล้วก็ตาม โอกาสจะเกิดปัญหาแบบฟูกูชิมามีได้หรือไม่ คำตอบแบบใช้ไขสันหลังแบบเน้น ๆ คือ มีแน่นอน และเมื่อได้คำตอบนี้แล้ว คนไทยจะทำอย่างไรถ้าเกิดอุบัติภัยเช่นนี้  ผู้เขียนตอบตนเองต่อคำถามดังกล่าวว่า ไม่รู้แฮะ เพราะไม่เคยคิด เหมือนเราไม่เคยคิดเรื่องสึนามิมาก่อน ดังนั้นผู้เขียนจึงลองสร้างสถานการณ์ว่า ถ้าเมืองไทยมีโรงไฟฟ้าปรมาณูตั้งอยู่ที่ ศาลายา นครปฐม สิ่งแรกที่ผู้เขียนจะทำคือ ขายบ้านซึ่งอยู่ถนนพุทธมณฑลสาย 2 ทิ้ง ย้ายไปอยู่ที่ใดก็ได้ที่มีภูเขาที่สามารถบังกระแสลมจากศาลายา ทั้งนี้เพราะเป็นที่ทราบดีว่า ถ้าไม่สามารถควบคุมการทำงานของแกนกลางที่ให้พลังงานของโรงไฟฟ้าปรมาณูได้ สารรังสีที่สามารถลอยไปกับลมสองชนิดหลักคือ ไอโอดีน 131 และซีเซียม 137 มีการกระจายแน่ในเริ่มแรก ภูเขาจึงอาจช่วยได้บ้าง   แล้วเราควรเตรียมร่างกายอย่างไรถ้ามีการตอกเสาเข็มสร้างโรงไฟฟ้าปรมาณู แต่ย้ายบ้านไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง มีระบบภูมิต้านทานดี เพราะอันตรายของสารรังสีที่สำคัญคือ การก่อมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งน่ากลัวเนื่องจากเม็ดเลือดขาวนั้นเป็นระบบที่คอยกำจัดเซลล์มะเร็ง แล้วเมื่อกลายเป็นมะเร็งเสียเอง ทุกอย่างก็จบกัน ดังนั้นที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้ระบบเม็ดเลือดขาวแข็งแรงสามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเนื่องจากสารกัมมันตภาพรังสีได้  สารกัมมันตภาพรังสีนั้น ไม่ว่าชนิดใดก็ไม่ควรให้ปนในอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เพราะการแผ่รังสีภายในร่างกายนั้นสามารถทำให้เซลล์ของระบบต่าง ๆ กลายเป็นมะเร็งได้ทุกระบบ แต่ที่เสี่ยงที่สุดคือ ระบบที่มีความพร้อมในการแบ่งตัวตลอดเวลา คือ ระบบเม็ดเลือดขาว อย่างไรก็ดี แม้เม็ดเลือดขาวจะเสี่ยงต่อการเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง เม็ดเลือดขาวเองก็มีระบบซ่อมแซมหน่วยพันธุกรรมของตัวเองเหมือนเซลล์อื่น ๆ เพียงแต่ต้องกินสารอาหารที่มีประโยชน์ครบ  เคยมีงานวิจัยที่พบว่า คนที่รอดตายจากการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมานั้น ถ้าใครมีพฤติกรรมการบริโภคผักและผลไม้สูงจะมีชีวิตที่ยืนยาวและลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่ชอบผักและผลไม้  การศึกษาในหนูทดลองที่ถูกฉายรังสีแกมม่า (ซึ่งสามารถได้รับจากไอโอดีน 131 และสารกัมมันตภาพรังสีอีกหลายชนิด) นั้น ถ้าสัตว์ได้รับวิตามินเอ (หรืออาจเป็นเบต้าแคโรตีนก็ได้) วิตามินอี และวิตามินซี ก่อนการทดลอง การแตกหักของเซลล์เม็ดเลือดขาว (ซึ่งเป็นดัชนีชีวัดอันตรายจากรังสี) จะลดลง ดังนั้นการที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง และได้รับสารกลุ่มต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ จึงสำคัญมากๆ เพราะอันตรายที่รังสีเช่น แกมม่า ก่อให้เกิดในร่างกายเรานั้น ประเด็นหลักคือ การก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งถ้ากินอาหารมีผักผลไม้สีสดแล้วเราย่อมได้สารต้านอนุมูลอิสระมากพอ แต่ที่สำคัญอย่าไปหลงเชื่อกินสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นเม็ดๆ เพราะท่านอาจได้รับชนิดของสารต้านอนุมูลอิสระไม่ครบเท่าจากการกินอาหารทั่วไป   หลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานั้นได้มีการเตรียมตัวรับสถานการณ์กันค่อนข้างดี เพราะหลายรัฐมีโรงไฟฟ้าประเภทนี้และในอดีตหลายรัฐก็มีปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย ประชาชนจึงมักได้รับการอธิบายและอาจมีการฝึกรับมือเมื่อเกิดปัญหาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ในเอกสารเรื่อง Radioactive contamination of food: A primer for consumers (ซึ่งสามารถค้นหาได้จาก google แล้ว download มาอ่านนั้น) ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนว่าควรปฏิบัติอย่างไร โดยอาศัยพื้นฐานจากข้อปฏิบัติของรัฐเวอร์มอนต์  โดยทั่วไปแล้วเมื่อเกิดปัญหาแบบที่ฟูกูชิมา ประชาชนจะได้รับคำแนะนำให้ตามข่าวอยู่แต่ในบ้าน หรืออาจต้องอพยพตามความรุนแรงของสถานการณ์ (โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีขโมยออกปฏิบัติการเหมือนในบางประเทศที่น้ำท่วมแล้วชาวบ้านยอมตายคาบ้าน) ผักผลไม้หรือพืชที่ปลูกไว้อื่นๆ ถ้าสามารถคลุมด้วยผ้าใบกันน้ำได้ จะช่วยให้มีอาหารกินได้นานขึ้น  อาหารประเภทที่มีความปลอดภัยในสถานการณ์ดังกล่าวคือ อาหารกระป๋อง สำหรับนมที่จะให้เด็กนั้นต้องมาจากวัวที่ได้รับการดูแลไม่ให้สัมผัสสารรังสีคือ อยู่ในโรงเลี้ยงและกินอาหารที่ได้รับการตรวจสอบ (หรือไม่ก็ดูฉลากว่ามาจากประเทศที่ไม่มีปัญหาการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี) เหตุที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะ เด็กและวัยรุ่นที่กำลังเติบโตนั้นมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงสุด ส่วนประเภทแก่เฒ่าเขี้ยวลากดินแล้วนั้น เซลล์มันไม่ค่อยแบ่งแล้ว ความเสี่ยงก็ต่ำลง  อาหารประเภทผักผลไม้ ไม่ว่าปลูกเองหรือซื้อมาควรล้างให้มากเป็นพิเศษ หรือถ้าปอกเปลือกได้ก็ต้องปอกเปลือก แต่ในกรณีสารรังสีซึมเข้าไปอยู่ในเนื้ออาหารแล้ว ก็ตัวใครตัวมันครับ อย่างไรก็ตามในหลักการแล้ว อย. จะต้องดูแลเรื่องนี้  เนื้อสัตว์ต่างๆ ควรมาจากฟาร์มที่เลี้ยงสัตว์แบบปกปิดมิดชิด ซึ่งก็คือฟาร์มขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันบ้านเราก็มีหลายแห่ง อาหารเนื้อสัตว์จากฟาร์มเล็กจะค่อนข้างมีปัญหาจึงควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงยากให้ลดความเสี่ยงโดยอาศัยหลักการที่ว่า ปรกติแล้วสารรังสีที่ให้รังสีแกมมาเช่น ไอโอดีน 131 นั้นมีอายุค่อนข้างสั้น กล่าวคือ เวลาผ่านไป 8 วัน ปริมาณจะลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นอาหารที่ปนเปื้อนสารรังสีไอโอดีน 131 จึงมักจะมีความเสี่ยงลดลงถ้าเก็บไว้ในที่ปลอดภัยสักระยะหนึ่งจึงนำมาบริโภค (หมายความว่าเมื่อไม่มีอย่างอื่นกินแล้ว) ส่วนปลาหน้าดินที่เลี้ยงในบ่อที่อยู่ในบริเวณมีสารรังสีปนเปื้อนนั้น จะมีการปนเปื้อนมากกว่าปลาที่หากินผิวน้ำ ดังนั้นเราอาจต้องลืมผัดเผ็ดปลาดุกสักพักหนึ่งถ้าโรงไฟฟ้าปรมาณูในบ้านเรา(ถ้ามี) เกิดปัญหา สุดท้ายแล้วสิ่งที่ควรพิจารณามากที่สุดคือ ทำไมเราต้องมีโรงไฟฟ้าปรมาณู ทำไมเราไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือ การใช้ไฟเปลืองเกินจำเป็น หรือถ้ามันต้องใช้ไฟฟ้ามาก ทำไมไม่มองพลังงานที่สะอาดจริง ๆ เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือแม้แต่พลังงานน้ำที่ทำในขนาดเล็กพอเพียงใช้ในชุมชน ไม่ใช่ทำเขื่อนกั้นน้ำเบ้อเริ่มบนรอยแยกของเปลือกโลกแล้วทำให้คนท้ายน้ำใส่ชูชีพนอนตลอดเวลา คนไทยเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางจริยธรรมสูงมาก แค่น้ำมันปาล์มขาดตลาดก็แย่งกันกักตุนแล้ว เมื่อใดที่ข้าวสารขาดตลาดจะเกิดภาวะวุ่นวายเพียงใด และถ้าเกิดอุบัติภัยขนาดใหญ่เช่นที่ฟูกูชิมาคนไทยจะต่างคนต่างหาทางเอาตัวรอดเพียงใด ดังนั้นเมื่อใดที่รัฐบาลสามารถทำให้คนไทยมีความเป็นระเบียบ หัดเข้าคิวทำกิจกรรมในสถานการณ์ปรกติได้ ค่อยคิดเรื่องมีโรงไฟฟ้าปรมาณูดีกว่ามั้ง  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 110 ข้าว – ถั่ว – งา มากับกุยช่าย

เมนูอันใหม่นี้มีที่มาจากเหตุอันน่ายินดีของเพื่อนพ้องน้องพี่ต่างองค์กร เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์กับหลานสาวคนใหม่เอี่ยม น้องลูกน้ำ - ลูกของศจินทร์ เจ้าของคอลัมน์ connecting ในฉลาดซื้ออาหารตำรับคุณแม่หลังคลอดที่เราคุ้นเห็นจะเป็นแกงส้มกับแกงเลียง แกงอย่างแรกช่วยเรื่องการระบายส่วนอย่างหลังช่วยเพิ่มน้ำนมเพื่อการเลี้ยงลูก นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบอีกหลายชนิดที่ปรุงให้แม่ลูกอ่อนกินเรียกน้ำนม เช่น หัวปลี แมงลัก พริกไทยอ่อน เมล็ดขนุน และกุยช่ายกุยช่าย หมอยาร้านสมุนไพรบุญเหลือที่ตลาดบางบัวทองเคยแนะเพื่อนแม่ลูกอ่อนของฉันให้นำมาต้มกับเนื้อปลา ใส่กระเทียมสด เป็นอีกเมนูที่เพิ่มมาจากผัดกุยช่ายกับตับและขนมกุยช่ายช่วงให้นมลูกซึ่งควรมีระยะเวลายาวนานไม่ต่ำกว่า 6 เดือนเป็นอย่างน้อย ฉันเลยทดลองเมนูใหม่จากวัตถุดิบอินทรีย์ที่มี ทดลองทำมาได้ 2 เมนู คือ ขนมกุยช่ายสุขภาพ กับโจ๊กบำรุงแม่ลูกอ่อน ขนมกุยช่ายสุขภาพเริ่มด้วยการตระเตรียม ข้าวกล้องหอมมะลิ 1 แก้ว ถั่วเขียวอินทรีย์ 1 แก้ว งา 3 สี (ขาว-ดำ-น้ำตาล) อย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา กุยช่ายปลูกเอง 1 กำมือ (หั่นเป็นท่อน 1 ซม.) และน้ำ 3 แก้ว ข้าวกล้อง ถั่วและงา ทั้ง 3 อย่างนี้ แยกถ้วยเอาไปซาวน้ำแล้วสงให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นค่อยๆ นำทีละอย่างไปปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้าให้ละเอียด จากนั้นนำส่วนผสมทั้ง 3 อย่างเทลงภาชนะทนไฟ หรือพิมพ์ขนมเค้กก็ได้ เติมน้ำ คนให้เข้ากันดีแล้วเติมเกลือกับใบกุยช่ายลงไป จากนั้นนำไปนึ่ง โดยนำพิมพ์เค้กใส่ลงในหม้อนึ่งหรือซึ้ง หาฝาปิดพิมพ์เค้กไว้เพื่อป้องกันไอน้ำหยดลงไปทำให้หน้าขนมแฉะ นึ่งไฟกลางประมาณ 30 นาที จะได้ขนมกุยช่ายที่เคี้ยวมันๆ มีสารอาหารจากข้าวกล้อง ถั่ว งา พร้อมกากใยที่แม่ลูกอ่อนต้องการอย่างมาก แต่เนื้อขนมไม่เหนียวเหมือนขนมกุยฉ่ายทั่วไปที่ใส่แป้งข้าวเจ้ากับข้าวเหนียว หลังนึ่งใหม่ๆ กินกับน้ำจิ้มที่ทำจากซีอิ๊วดำ ผสมกับน้ำส้มสายชูหมัก น้ำตาลโตนด เคี่ยวบนเตาไฟสัก 10 นาทีแล้วหั่นพริกสดใส่ลงไป ตอนทดลองชิมนี่ไม่มีใครมาชิมด้วย ขนมจึงถูกแช่เก็บไว้ เมื่อจะกินอีกที เอาชิ้นขนมขนาดที่ต้องการมาอังบนกระทะเคลือบ ใช้น้ำมันมะพร้าวเทลงกระทะเล็กน้อย อุ่นให้เหลืองหอม ก็ได้รสชาติแปลกจากตอนเริ่มทำไปอีกแบบ   อีกสูตรที่แปลงจากขนมกุยช่ายสุขภาพ คือ โจ๊กบำรุงแม่ลูกอ่อน เมนูนี้ต้องเตรียมเครื่องปรุงเพิ่มอีก ดังนี้ค่ะ น้ำซุปผัก ผักกะหล่ำปลีอินทรีย์ เห็ดหอม กุ้งแห้งวิธีทำน้ำซุป น้ำซุปผัก เตรียมจากหอมแดง กระเทียม และใบหม่อน และน้ำสะอาด ตั้งไฟอ่อน ใส่กุ้งแห้งกับเกลือไปตั้งแต่ตอนเริ่มต้ม เมื่อเดือดใส่ผักกะหล่ำ จนกะหล่ำนิ่มกำลังกิน เห็ดหอมที่แช่น้ำแล้วหั่นเป็นชิ้น จากนั้นใส่ขนมกุยช่ายที่เราทำไว้ลงไป คนให้เข้ากันก็จะได้เป็นโจ๊กร้อนๆ เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ความหอมของเครื่องปรุงที่เข้ากันอย่างกลมกล่อมกุ้งแห้งตัวใหญ่คัดพิเศษ ผลิตแบบคนทำรับประกันความสะอาดทุกขั้นตอนได้มาตอนที่ฉันเริ่มทดลองพอดีคนรับประกันไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่บุญยืน คอลัมน์นิสต์ฉลาดซื้อของเราอีกคน ที่กำลังแบกภาระหนักในการผลิตกุ้งแห้งอินทรีย์ปลอดสารเคมีมาจำหน่ายให้พวกเรากินแบบไฟท์บังคับ ดูท่าว่าลูกค้าจะกึ่งบังคับกึ่งขอร้องกันไปอีกยาวนาน เพราะหลังจากที่เครือข่ายผู้บริโภคออกเก็บตัวอย่างกุ้งแห้งทั่วตลาดส่งให้ฉลาดซื้อไปตรวจแล้วเจอสีปนอยู่ในกุ้งแห้งทุกตัวอย่าง มีข่าวดีฝากไว้ก่อนจาก ตอนไปฟังการบรรยายวันเปิดตลาดสีเขียวในโรงพยาบาลต้นแบบปทุมธานีเมื่อต้นมีนาคม วิทยากรอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและแพนดูลั่ม ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “ต้มข้าวกับถั่วเขียวกินอย่างละเท่าๆ กัน ใช้ล้างพิษโลหะในตัวได้” ดีและง่ายจนน่าปลื้มใจและสนุกสนานไปกับการทดลองดูนะคะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 173 ความงามของผู้ชาย

สารพันปัญหาที่อาจจะมาจากสภาพแวดล้อม  เช่น แดดร้อนจนส่งผลให้หน้าไหม้ผิวคล้ำเสีย  หรือจากการทำงานหนักจนเกิดความเครียดที่นำไปสู่การมีริ้วรอยก่อนวัย  หรือจากวิถีชีวิตประจำวันเช่น  การดื่มน้ำน้อยจนทำให้ผิวแห้งแตก  ล้วนแก้ไขได้ด้วยการดูแลตัวเองให้มากขึ้น  แน่นอนเราควรดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์  หรือการออกกำลังกาย  อย่างไรก็ตามการดูแลตัวเองจากภายนอกสู่ภายในก็ใช่ว่าจะมีความสำคัญน้อยกว่า บรรดาผู้หญิงทั้งหลายจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้าบำรุงผิวด้วยเครื่องสำอางต่างๆ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นการดูแลตัวเองจากมลภาวะต่างๆ อีกทางหนึ่ง แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ  จะสามารถใช้เครื่องสำอางเพื่อดูแลรักษาภาพลักษณ์ภายนอกบ้างได้หรือไม่ ผู้ชายเริ่มใช้เครื่องสำอางผู้ชายบางส่วนได้ตอบคำถามนี้แล้วด้วยการปลุกกระแส   Men’s grooming  ขึ้นมา  เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า  Metrosexual  ที่ทำให้นึกถึงภาพผู้ชายเจ้าสำอางชอบแต่งตัวเนี้ยบ  แต่สำหรับ  Men’s grooming  นั้นต่างออกไป  โดยหากแปลตามพจนานุกรมแล้วการ  Grooming  คือ  แต่งตัว  ดูแล  ตกแต่ง  ทำให้สะอาด ซึ่งเมื่อนำมารวมกันก็จะหมายถึงผู้ชายที่ดูแลตัวเองและทำให้ตัวเองดูดี  โดยไม่จำเป็นต้องเนี้ยบเท่ากับกลุ่มแรก  ดังนั้นเราก็ไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นหนุ่มๆ  พากันลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง  เพราะยุคสมัยนี้ความงามกับผู้ชายได้กลายเป็นของคู่กันไปแล้ว จากกระแส  Men’s grooming  ทำให้มีผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ชายออกวางจำหน่ายมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นครีมล้างหน้าพร้อมบำรุงครบสูตรในขั้นตอนเดียว  โรลออนระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชายที่มักจะมีเหงื่อใต้วงแขนมากกว่าผู้หญิง  น้ำหอมกลิ่นเฉพาะสำหรับผู้ชายที่มักแสดงถึงความสุขุมและมาดแมน  หรือสำหรับผู้ชายที่รักการออกกำลังกายก็ยังมีผลิตภัณฑ์เพื่อสลายไขมันสร้างกล้ามหน้าท้อง  หรือแม้แต่ครีมบำรุงอกให้เนื้อแน่น  ซึ่งจุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ชายมักเน้นความรวดเร็ว  ไม่ต้องใช้เวลามากนักในการทาครีมแต่ตอบความต้องการได้ครบทุกอย่าง  แท้จริงหญิงชายไม่ต่างกันแม้โครงสร้างผิวผู้ชายกับผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน ในรายละเอียดอันเนื่องมาจากพันธุกรรมทางเพศและฮอร์โมนเพศ  แต่โครงสร้างหลักของผิวหนังมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะไม่แตกต่างกันจนถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางแบ่งแยกชายหญิง  องค์ประกอบในเครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดผิว แชมพูสระผม ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ครีมลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งผสมสารคอลลาเจน วิตามินอี และอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในหลักการเดียวกัน เพื่อบำรุง ซ่อมแซม และปกป้องผิวหนัง ครีมโฟมล้างหน้าไม่ว่าจะสำหรับผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ต้องประกอบด้วยสารทำความสะอาด ดังนั้นหลักการตลาดในการประชา สัมพันธ์เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายจึงมักเน้นหนักที่ภาพลักษณ์สินค้าความเป็น ผู้ชาย เช่น กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ภาชนะบรรจุสีหนักแน่น และตรอกย้ำคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่ ‘การแก้ไขจุดบกพร่อง’ (Corrective cosmetics) มากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป เพื่อเป็นการดึงจุดขายของสินค้าแยกจากเครื่องสำอางผู้หญิง แต่ตามข้อเท็จจริงในสูตรตำรับและในหลักวิชาการแล้วไม่มีความแตกต่างสำหรับเครื่องสำอางโดยสรุปแล้ว “ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่ควรจะมีเพศ ควรจะใช้ได้ทั้งชายและหญิง ให้คุณประโยชน์เท่ากันในชายและหญิง ผู้ชายที่ดูแลผิวพรรณให้สะอาดตั้งแต่ผิวหน้าจรดปลายเท้าได้ รวมถึงเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ย่อมจะดูดีแน่นนอนเมื่อเทียบกับผู้ชายที่ผิวหนังแลดูหยาบกร้าน ขาดการบำรุงหรือขาดการดูแล เป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำไปที่ผู้ชายในยุคปัจจุบันจะหันมาเอาใจใส่ผิวพรรณร่าง กายตนเองมากขึ้นกว่าในอดีต”  (รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)-----------------------------------------------------------------เทคนิคเล็กน้อยในการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย1. ควรซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ 2. มีเลขที่ จดแจ้งผลิตภัณฑ์  10  หลัก ตามกฎหมายเครื่องสำอาง3.มีฉลากภาษาไทยกำกับ ซึ่งอย่างน้อยควรระบุข้อความ เช่น ชื่อเครื่องสำอางหรือชื่อทางการค้า ส่วนผสมในการผลิต วิธีการใช้ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ปริมาณสุทธิ หรือเลขที่แสดงครั้งที่ผลิต 4. ควรซื้อเครื่องสำอางบรรจุอยู่ในภาชนะหรือหีบห่อที่สภาพดี รวมทั้งมีการเก็บรักษาอย่างดี 5. อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 172 นอนเพื่อความงาม

มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้น ที่ระบุว่า การพักผ่อนด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้น มีส่วนช่วยในเรื่องความอ่อนเยาว์ของใบหน้าจริงๆ เราทุกคนก็คงรู้ตัวดีอยู่แล้วว่า ถ้าคืนไหนที่เรานอนไม่พอ หรือนอนแบบหลับๆ ตื่นๆ  เช้ามาแทบไม่อยากมองหน้าใคร  เพราะหน้าตาจะดูทรุดโทรมมาก แต่ถ้าได้นอนหลับสนิทผลที่ได้จะเป็นเรื่องตรงกันข้าม ความสดชื่นจะมาเยือนทั้งใบหน้าและร่างกายวิทยาศาสตร์การนอน    การนอนหลับโดยทั่วไป หมายถึงสภาวะที่ไม่รับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม โดยปกติจะไม่เคลื่อนที่ ยกเว้นสัตว์บางชนิด เช่น ปลาโลมา จะนอนหลับไปพร้อมๆ กับการว่ายน้ำได้ ในการนอนหลับสมองจะไม่ได้หยุดทำงาน แต่ในการนอนจะมีลักษณะการหลับสองแบบ คือ ช่วงที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งสามารถพบได้ในสัตว์ทุกชนิด สลับกับช่วง non REM ซึ่งจะเป็นการนอนหลับแบบที่เรียกว่า หลับสนิท หลับลึก    จากการศึกษาการนอนหลับในสิ่งมีชีวิต พบว่า สัตว์ขนาดเล็กใช้เวลานอนมากกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจะมีกระบวนการเผาผลาญพลังงานที่สูงกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งในกระบวนการเผาผลาญแต่ละครั้งจะมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นจำนวนมาก สารอนุมูลอิสระจะทำลายเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย  เจ้าสัตว์ตัวน้อยจึงต้องใช้เวลานอนให้มากเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้ปกติ คนเราก็เช่นเดียวกัน ธรรมชาติในการนอนอยู่ที่ระยะ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่นอนหลับ  แต่จะเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับสนิท หรือ non REM เท่านั้น  สำหรับการหลับในช่วง  REM จะไม่เกิดขึ้น*     ดังนั้นการนอนให้เพียงพอและมีช่วงการนอนหลับสนิทที่ยาวนาน จะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ผิวหนังด้วย เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการนอน•    การนอนหลับที่ดีจะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง•    ผู้ที่นอนในห้องที่มีแสงสว่างมากมีแนวโน้ม ที่จะมีน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ•    การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด •    การนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำหน้านานๆ ทําให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคาง ที่เรียกว่า sleep line•    หนุนหมอนใบเล็กรองใต้คอ(ในท่านอนหงาย) แทนการหนุนหมอนสูง ช่วยแก้อาการปวดกระดูกคอ•    การนอนหลับระยะสั้นๆ ในระหว่างวันมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้มากขึ้น•    สถิติของการเกิดอุบัติเหตุจำนวนมาก มีสาเหตุมาจากขาดการนอนหลับและความเมื่อยล้า สูงกว่าการเกิดอุบัติเหตุจากการเมาสุรา* วิทยาศาสตร์การนอนหลับ ข้อมูลจาก  http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=40529

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 งามตามเน็ต

เพราะเป็นยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้น ใครๆ ก็สื่อสารสาธารณะได้ และช่องทางการรับสื่อก็มากมายความจำเป็นจึงไม่ได้อยู่ที่เราจะหาข้อมูลได้ไหม แต่กลายเป็นว่าเราจะเลือกรับข้อมูลเป็นหรือไม่มากกว่า เรื่องสวยๆ งามๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ติดอันดับต้นๆ ในหัวข้อค้นหาจากเว็บท่าต่างๆ ทั้งกูเกิล ยาฮู ฯลฯ ซึ่งถ้าเลือกใช้ข้อมูลไม่เป็นก็อาจกลายเป็นเหยื่อจากการขายสินค้าอันตรายได้ หรือทดลองปฏิบัติในเรื่องที่อันตรายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครั้งนี้ขอยกตัวอย่าง งามตามเน็ต เรื่องการล้างหน้าที่มีการแชร์ต่อๆ กันมากๆ ซึ่งเข้าข่าย อันตรายโดยไม่รู้ตัว พอกหน้าด้วยแอสไพริน เอาล่ะสิ เรารู้กันดีว่า แอสไพริน เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ได้ผลดี และยังใช้ในการลดความเสี่ยงเรื่องเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้อีกด้วย แต่ใครกันนะ นึกไปได้ว่า แอสไพริน เอามามาร์กหน้าจะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ เรื่องมีอยู่ว่า แอสไพริน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า salicylic acid ที่ไปตรงกับชื่อยาที่อยู่หลังขวดยารักษาสิวพอดี งั้นเอามาพอกหน้าทาหน้าก็ได้ผลเหมือนกันสิ ซึ่งความจริงก็ต้องบอกว่า ได้ผล นะคะ แต่...คุณไม่ใช่นักเคมี ไม่ใช่เภสัชกร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าปริมาณเท่าไหร่ จึงจะได้ผลดีและไม่เกิดผลข้างเคียง           ในกลุ่มยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบของสิว ผู้ที่ปรุงยาต้องมีการกำหนดขนาดการใช้สารเคมีที่จะมีผลออกฤทธิ์โดยให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด และต้องผ่านการขึ้นทะเบียนยา เรียกว่ามีหลายขั้นตอนกว่าจะเป็นยาออกมาได้ การนำยาเม็ดแอสไพรินไปบดเป็นผงๆ แล้วมาทาหน้าเอง ผลที่ได้อาจไม่ใช่การรักษาสิว แต่กลายเป็นว่า หน้าจะพังเอา ดังนั้นนักเคมีสมัครเล่นทั้งหลายไม่ควรเสี่ยงจะดีกว่า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขาทำออกมาโดยผ่านการทดสอบผลข้างเคียงแล้วจะดีกว่า   ล้างหน้าด้วยซันไลต์ ใช่แล้ว ซันไลต์ ที่เป็นชื่อของน้ำยาล้างจานนั่นแหละ ในยูทูปซึ่งใครๆ ก็ใช่เป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้เฉพาะตัวตนนั้น เกิดมีน้องนางคนหนึ่งมารีวิวการใช้น้ำยาซันไลต์ ล้างหน้าเข้าให้ โดยบอกว่าได้ผลดีมาก หน้าไม่มันเลย(น้องคะ หน้านะคะ ไม่ใช่จาน) คืออันนี้ผู้ที่มีวิจารณญาณก็คงพอคิดกันได้ว่า มันเกินไป แต่ถ้าเกิดมีใครอุตริทำตามจะแย่เอา เพราะน้ำยานี้เขาออกแบบมาเพื่อขจัดความมันบนพื้นผิววัสดุที่ทนทานอย่างจาน ช้อน หม้อ ซึ่งเป็นพลาสติก อะลูมิเนียม สแตนเลส แต่กับใบหน้าของเราซึ่งแสนบอบบาง จะทำให้ผิวหน้าเยินแทนที่จะสวยได้ ล้างหน้าด้วยเบกกิ้งโซดา ตามสื่อออนไลน์ แนะนำให้มีการใช้เบกกิ้งโซดาหรือผงฟูมาล้างหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน เอิ่ม...รูขุมขนมันแค่เรื่องจิ๊บๆ บนผิวหน้า และวิธีเดียวที่ช่วยให้มันกระชับคือ การทำเลเซอร์เพื่อเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของผิวหนัง แค่เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถทำอะไรกับรูขุมขนได้เลย อาจทำให้รู้สึกเหมือนผิวนุ่มขึ้นนิดหน่อย (ร้านอาหารดังๆ เขาก็ใช้เบกกิ้งโซดาหมักหมู หมักเนื้อให้นุ่มอร่อย)   แต่เบกกิ้งโซดามีสมบัติเป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งจะกัดผิวหน้าให้บางลง โดยเข้าไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอก จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้หน้าเกิดอาการแพ้ โดยจะเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงอักเสบคัน และเกิดเป็นรอยดำตามมา แทนที่หน้าจะสวยกลับจะได้หน้าเสียไปแทน สรุปว่า ใบหน้าของเราท่านนั้นแสนจะบอบบาง อย่าได้ริเอาวัตถุเคมีที่มีการออกฤทธิ์รุนแรงมาใช้กับผิวเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยมาแล้ว เพราะขนาดผ่านมาตรฐานมาแล้ว บางผลิตภัณฑ์ยังก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน จะใช้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ต้องระมัดระวัง อย่าเสี่ยงหน้าพังโดยไม่จำเป็น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 ยัดอาหาร หยอดยา อย่าอ้วน !

ในยุคที่สังคมกำหนดมาตรฐานความสวยความงามให้เหลือไม่กี่อย่าง ผู้หญิงคนไหนจะสวย จะต้องขาว ต้องผอม ดังนั้นความอ้วนจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนตระหนกตกใจ และพยายามหาวิธีการต่างๆ มายับยั้งไม่ให้ตนเองอ้วน หลายๆ คนอาจเริ่มจากการลดการรับประทานอาหาร ขนมนมเนย ที่ตนเองชอบ แต่อย่างว่าล่ะ! การหักห้ามกิเลสตนเอง ไม่ให้เผลอไปอ้าปากรับประทานอาหารที่ล่อตาล่อใจ จึงไม่ใช่สิ่งง่าย เมื่อเป็นดังนี้ กลุ่มผู้หากินกับผู้บริโภคที่รู้ไม่เท่าทัน(ขอตั้งชื่อกลุ่มให้เลย) จึงขอนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับสาวๆ ที่อยากลดความอ้วนแต่ไม่อยากหุบปากรับประทานอาหาร ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อ้างตัวว่ามันคือ HCG (Human Chorionic Gonadotropin) นำเสนอว่าสามารถนำไปใช้ลดไขมันและลดความอ้วน โดยมีวิธีใช้ 2 วิธี คือ การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ(วิธีนี้อ้างว่า ได้ผลดีที่สุด ง่าย รวดเร็ว เห็นผลทันตา แต่ต้องผสมยาเอง และต้องยอมเจ็บตัวฉีดมันเข้าไป) ส่วนอีกวิธีคือ การหยอดใต้ลิ้น(โฆษณาว่า เป็นวิธีที่นิยมที่สุด สามารถเลือกทำได้ 2 แบบ จะใช้แบบที่ผสมมาแล้ว (homeopathic drops) หรือแบบผสมเองก็ได้) แต่ที่ผู้ขายมักจะแนะนำคือการซื้อไปผสมเองตามใจชอบ โดยโน้มน้าวให้สาวๆ ที่อยากผอมซื้อชุดผลิตภัณฑ์ไปผสมเองตามความชอบใจ มีทั้งขนาดทดลอง ขนาดมาตรฐาน หรือขนาดสุดยอด ราคามีตั้งแต่ พันกว่าบาทถึงเกือบๆ สี่พันบาท และอ้างว่าจะลดน้ำหนักได้ถึง 4-10 กิโลกรัมใน 3 สัปดาห์ เห็นผลใน 4 วัน   แต่สาวๆ ที่อยากผอม อย่าเพิ่งระทดระทวยรีบซื้อนะครับ ลองมาทำความรู้จักกับเจ้า HCG ก่อนนะครับว่ามันคืออะไร เจ้า HCG ที่ว่านี้ คือฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่พบในหญิงที่ตั้งครรภ์ ทางการแพทย์ได้นำมาใช้สำหรับหญิงที่มีลูกยาก หรือใช้กับผู้ชายที่มีฮอร์โมนบางอย่างบกพร่อง มันก็อยู่ของมันดีๆ แต่จู่ๆ ก็มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสเอามาขายเป็นยาลดความอ้วน บางที่ใช้ตัวย่อว่า HCG หรือ hCG หรือ hcg ผลิตภัณฑ์นี้ เคยมีข้อมูลจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เตือนว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนยาสำหรับการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังเตือนอีกว่า ยังไม่เคยมีการวัดประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้สำหรับการลดน้ำหนักอย่างเป็นทางการ และที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือ เคยมีรายงานความผิดปกติอย่างรุนแรงจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้มาแล้ว เช่น เกิดลิ่มเลือดอุดตันในปอด ซึมเศร้า ระบบหลอดเลือดสมองผิดปกติ หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตมาแล้ว ทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว สาวๆ ที่อยากผอมจะเสี่ยงนำมาใช้หรือเปล่าครับ แต่ที่แน่ๆ ผลิตภัณฑ์ที่นำมาโฆษณาขายแบบนี้ ผิดกฎหมายนะครับ เพราะไม่มีการขึ้นทะเบียนที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในประเทศไทยครับ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 125 ปัจฉิมกถา งาน ๑๐๐ ปีชาตกาล

  ท่านทั้งหลายได้รับฟังถ้อยคำที่ยกย่องเชิดชูท่านอาจารย์หมอเสม พริ้งพวงแก้วมาแล้วกว่าครึ่งวัน ทั้งจากกวี นักวิชาการ ศิษยานุศิษย์ จะขาดคนสำคัญไปก็เพียงคนเดียว คืออดีตนายกรัฐมนตรี ที่จำต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ   แท้ที่จริง ถือได้ว่า ท่านอาจารย์หมอเสมเป็นปูชนียบุคคลร่วมสมัยที่สำคัญยิ่งของเรา แม้คนในสังคมส่วนใหญ่จะไม่แลเห็นคุณค่าของท่านเท่าที่ควรก็ตาม แต่อย่างน้อยในวงการของพวกเราซึ่งรวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเนื่องในชาตกาลครบศตวรรษของท่านในวันนี้ ก็มีมากและหลากหลายพอ และแต่ละหน่วยงานนั้นๆ ยังประกอบไปด้วยผู้คนที่ยืนหยัดอยู่ข้างคุณงามความดี ทั้งบางคนยังมีความกล้าหาญจากจริยธรรม ถึงกับไม่กลัวกับการเสี่ยงชีวิต เพื่อท้าทายอำนาจอันเป็นธรรม นอกเหนือไปจากหลายท่าน ที่ดำรงชีวิตอย่างสมถะเช่นท่านอาจารย์หมอเสม โดยช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมทางด้านความดีความงามและความจริง อย่างไม่หวังชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ ทั้งหมดนี้พวกเราล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจากท่านอาจารย์หมอเสมด้วยกันแทบทั้งนั้น แม้เราจะดำเนินชีวิตและบำเพ็ญกรณียกิจต่างๆ ได้ไม่ถึงส่วนเสี้ยวของท่านแต่คุณูปการที่ท่านมอบให้เรามา ทั้งทางตรงและทางอ้อม นับเป็นพลานุภาพที่สำคัญยิ่งนัก ท่านได้ฟังถ้อยคำ มาจากหลายท่านแล้ว แล้วจะมีอะไรให้ข้าพเจ้ากล่าวปิดท้ายอีกเล่า ทั้งท่านอาจารย์หมอเสมยังขอร้องข้าพเจ้าไว้ด้วยว่า ถ้าข้าพเจ้าจะพูด ขออย่าได้พูดปากเปล่า ให้เขียนมาอ่านให้ฟังกัน เพราะท่านเกรงโอษฐภัยของข้าพเจ้า ซึ่งอาจต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าอีกก็เป็นได้ และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องคดีดังกล่าว หรือเผชิญกับโลกธรรมในทางลบ ท่านจะกรุณาหาทางช่วยเยียวยาแก้ไขให้ข้าพเจ้าเสมอๆ มา ไม่แต่ในทางการแพทย์ หากรวมถึงในทางจิตวิทยาและในทางสังคมการเมืองอีกด้วย ดังเชื่อว่าคนอื่นๆ ที่ได้รับอุปการคุณจากท่านยิ่งกว่าข้าพเจ้าย่อมมีอีกมิใช่น้อย   ปาฐกเอย กวีเอย และนักอภิปรายเอย ล้วนพูดถึงท่านอาจารย์เสมกันมามากแล้ว และเชื่อว่าจะบรรยายถึงคุณความดีของท่านอีกต่อไปเท่าไรๆ ก็ได้ หากในที่นี้ ข้าพเจ้าขอสรุปสาระสำคัญของท่านอาจารย์หมอเสมในแง่มุมของข้าพเจ้า กล่าวคือท่านเป็นพุทธศาสนิกก่อนอื่นใด ทั้งๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่มักอ้างว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่พุทธศาสนาสำหรับชาวพุทธไทยส่วนใหญ่นั้นคือพิธีกรรม ดังงาน ๑๐๐ ปีชาตกาลท่านอาจารย์เสมคราวนี้ ก็มีพิธีกรรมทางฝ่ายพระพุทธแต่ตอนเช้า ทั้งๆ ที่พิธีกรรมดังกล่าวเกือบสื่อสาระมายังชาวพุทธไทยร่วมสมัยไม่ได้เอาเลย อาจมีคุณประโยชน์ก็ตรงที่พอพระฉันภัตตาหารแล้ว เราก็ได้รับประทานอาหารร่วมกัน   แต่ถ้าเราจับสาระแห่งพุทธพิธีได้ เราน่าจะตราไว้ว่า ประการแรกคือการรับไตรสรณคม ซึ่งหมายความว่าเราถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐสุดสำหรับเรา ว่าเป็นที่พึ่งอันสำคัญยิ่งสำหรับเรา โดยเราอาจเข้าถึงการตื่นอย่างพระพุทธะก็ได้ เราอาจเข้าไปแนบสนิทกับคุณงามความดีอันสูงสุดอย่างพระธรรมก็ได้ โดยเราอาจดำเนินชีวิตอย่างเป็นชุมชนที่ถือเอาความเสมอภาคเป็นเนื้อหา มีภารดรภาพเป็นแกนกลาง เพื่อให้เราเข้าถึงเสรีภาพจากความโลภ โกรธ หลง อย่างพระอริยสงฆ์ก็ได้   ถ้าเราเข้าถึงสาระของการรับไตรสรณคมได้ ชีวิตเราจะมีความหมายยิ่งนัก ชีวิตเราย่อมจักไม่เป็นไปเพียงทรัพย์ศฤงคาร หรือยศศักดิ์อัครฐาน หรือการแก่งแย่งแข่งดีกัน ดังที่มักเป็นไปอยู่ในสังคมกระแสหลัก อย่างน่าสมเพทเวทนายิ่งนัก   อาจารย์หมอเสม ท่านถือเอาพระรัตนตรัยเป็นนิรัตศัยบุญเขต อย่างยากที่คนทั่วๆ ไปจะเข้าได้ถึง ท่านจึงเต็มไปด้วยการให้ ยิ่งกว่าการรับ ท่านเต็มไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ แทนความโกรธเกลียด และท่านเต็มไปด้วยปัญญาที่รับรู้อะไรๆ อย่างเป็นองค์รวม อย่างไม่แยกเป็นเสี่ยงๆ ดังวิทยาการกระแสหลักในโลกสมัยใหม่ อาจารย์หมอเสม ดำเนินรอยตามพระบาทพระบรมศาสดา ซึ่งทรงเป็นทั้งครูและเป็นทั้งแพทย์ ทางนิกายวัชรยาน เขามีพระพุทธรูปปางพระไภษัชคุรุไว้กราบไหว้บูชา เพื่อเตือนพุทธศาสนิกว่า พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงเป็นทั้งแพทย์และเป็นทั้งครู คือครูที่เรียนจากตนเองด้วย เรียนจากผู้อื่นด้วย และเรียนจากธรรมชาติด้วย ผู้ที่ถึงพร้อมในการเรียนรู้ ย่อมอยู่ในสถานะที่พร้อมจักเป็นผู้สอน หากจักไม่สอนเกินความรู้หรือประสบการณ์ของตน โดยที่ความรู้หรือวิชานั้นย่อมควบคู่ไปกับจรณะ หรือความประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นคุณประโยชน์ด้วยเสมอไป การสอนตามตำราดังการศึกษากระแสหลัก หรือสอนอย่างแล้วทำอีกอย่าง ย่อมให้โทษยิ่งกว่าให้คุณ และถ้าครูปราศจากองค์คุณของความเป็นคนที่พร้อมจะให้ พร้อมจะเรียนรู้ พร้อมที่จะอ่อนน้อมถ่อมตัวแล้วไซร้ ครูพวกนี้มีโทษยิ่งกว่ามีคุณ   แพทย์ก็เช่นกัน คำๆ นี้เป็นไวพจน์กับวิทยะ คือความรู้ที่แท้ ซึ่งทางภาษาบาลีใช้คำว่า วิชชา อันตรงกันข้ามกับ อวิชชา ความหลง ความยึดถืออย่างผิดๆ หรืออย่างเป็นเสี่ยงๆ โดยอ้าขาผวาปีกว่าตนเรียนรู้มาดีกว่าคนอื่น สูงส่งกว่าคนอื่น ยิ่งได้ไปชุบตัวในต่างประเทศมาด้วยแล้ว ยิ่งมักจะกำเริบเสิบสานกันยิ่งนัก และยิ่งแพทย์ที่มีอติมานะเช่นนี้ บวกไปกับอวิชชา ซึ่งยึดมั่นถือมั่นว่าจำเพาะความรู้ในแวดวงของตนเท่านั้น คือคำตอบ นั่นคือเหตุแห่งความหายนะ โดยไม่จำต้องเอ่ยถึงเอาเลยก็ว่าได้ แพทยศาสตร์ สยบอยู่กับลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยมมากเพียงใด โดยมิใยต้องเอ่ยว่า บรรษัทยาและบริษัทที่ควบคุมเครื่องยนต์กลไก ในสิ่งซึ่งอ้างถึงความทันสมัยต่างๆ ในทางการแพทย์สมัยใหม่นั้น นับว่าเป็นอันตรายในวงการแพทย์อย่างมหันต์   เมื่อใดแพทย์ แลเห็นว่าวิชาชีพของตนเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของความรู้ ซึ่งมักถูกผนวกเอาไว้กับอวิชชาแล้วไซร้ นั่นแหละเขาอาจจะเกิดมนสิการขึ้นได้ว่า ความเป็นมนุษย์ของเขา สูงส่งมากกว่าความเป็นแพทย์ โดยเขาน่าจะต้องตราจ่อไปด้วยว่า อวิชชาหรือโมหจริตนั้น มักโยงไปถึงโลภจริต ที่ทำให้หมอมักร่ำรวยเกินคนธรรมดาสามัญเกินไป โดยไม่ต้องเอ่ยถึงก็ได้ว่าการแพทย์สมัยใหม่โยงไปถึงโทสจริตด้วย ดังคงจะสังเกตได้ว่านายแพทย์มักเข้าไปมีบทบาทในการบริหารงานต่างๆ กันมิใช่น้อย เช่น พากันไปเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น โดยที่รู้กันไหมว่า การบริหารจัดการนั้นๆ ทำให้เขาตกอยู่ใต้โทสจริต ซึ่งโยงไปถึงโลภจริตและโมหจริตพร้อมๆ กันไป ยังนายแพทย์ชั้นนำเป็นจำนวนมากไม่น้อย ก็เข้าไปข้องแวะกับนักการเมือง นักการทหาร อย่างรู้ตัวทั่วพร้อมเพียงใด ตระหนักกันบ้างไหม หาไม่นายแพทย์บางคนก็เตรียมให้ทายาทได้ไต่เต้าไปเอาดีทางการเมืองเอาเลย โดยเขาแลเห็นไหมว่านั่นคือผลพลอยได้จากอกุศลมูลทั้งสาม ดังที่กล่าวมาแล้วมากกว่าอะไรอื่น   การกล่าวปิดงานนั้น ควรมีบทสรุป แต่ข้าพเจ้าต้องการเปิดประเด็นไว้ให้ท่านทั้งหลายนำไปคิดนึกตรึกตรอง เพื่อหาสาระจากชีวิตสำหรับตัวท่านเอง และถ้าพิจารณาวิถีชีวิตอาจารย์หมอเสมได้ชัด ก็ย่อมถือได้ว่าท่านเป็นแบบอย่างในทางที่ท่านเป็นทั้งครูและเป็นทั้งแพทย์ โดยที่ท่านเป็นมนุษย์ที่พยายามสนิทแนบแน่นกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาแทบตลอดชีวิตของท่านอันยืนยาวจนครบศตวรรษในวันนี้   ส.ศิวรักษ์ กล่าวปิดในงาน ๑๐๐ ปี ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ววันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   นพ. เสม พริ้งพวงแก้ว สิ้นลมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 ด้วยโรคชราหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 ทั้งนี้นายแพทย์เสมเพิ่งมีอายุครบ100ปีไปเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 162 รศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ

ฉลาดซื้อฉบับที่ผ่านมา เราพาไปรู้จักกับบุคลากรด้านสาธารณสุขในหลายวิชาชีพ ในฉบับนี้จึงขอส่งท้ายอีกสักเล่ม เพราะหลายๆ ครั้งที่ชาวฉลาดซื้อไปออกบูธตามงานหนังสือ มักมีสมาชิกจำนวนไม่น้อยเลยที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพสายตา ยิ่งเดี๋ยวนี้มีข่าวอันตรายจากบิ๊กอายส์ เลนส์สี หรือบางคนก็ใส่คอนแทคเลนส์แบบไม่ถูกวิธี วันนี้จึงขอพาไปพูดคุยกับคุณหมอ รศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ รองหัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา ฝ่ายบัณฑิตศึกษา  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณหมอท่านเป็นจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขากระจกตา  ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า ที่เลือกเรียนในสาขานี้ เพราะเป็นความสนใจส่วนตัว  เนื่องจากคนเราต้องรับรู้เกือบทุกอย่างผ่าน หู ตา คอ จมูก แต่คุณหมอพบว่าตามันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก เลยรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ และเทคโนโลยีเรื่องการรักษาตามันไปไกลมากเมื่อเทียบกับด้านอื่นๆ ก็เลยรู้สึกสนุกและติดตามด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เรื่องตามันช่วยบ่งบอกเรื่องสุขภาพในด้านอื่นๆ ด้วยไหม โรคบางอย่างของร่างกายมันโชว์ที่ตานะ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือการได้รับยาบางอย่าง โรคเนื้องอกที่แพร่กระจายบางอย่างเราสามารถหาหลักฐานทางตาเอาไปช่วยสนับสนุนได้ อย่างเช่น เราเห็นว่ามีไขมันฝังอยู่ในตาของเด็กที่อายุน้อยเกินไป เพราะปกติอาการแบบนี้จะพบในคนอายุประมาณ 35 – 40 ปีขึ้นไป ถ้าตรวจเจอในอายุน้อยกว่านั้นเรารู้แล้วว่าคนนั้นมีภาวะไขมันในเลือดสูง หรือบางคนตาแห้ง ตาพอง ก็ส่งไปตรวจว่าเป็นไทรอยด์หรือเปล่า สถานการณ์เด่นๆ ของการเจ็บป่วยเกี่ยวกับดวงตา ในระยะ 2 – 3 ปีที่ผ่านมามีอะไรบ้าง ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาเรื่องที่จะเจอบ่อยๆ มีอยู่ 2 เรื่อง คือการใช้คอนแทคเลนส์ การใช้ Mobile Device หรือที่มีการเล่นไลน์กัน  2 ส่วนนี้ทำให้มีคนไข้มาหาเราเยอะมาก ในส่วนแรกเรื่องของคอนแทคเลนส์นั้น จริงๆ การใส่คอนแทคเลนส์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้วส่วนใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการมองเห็น  แต่เนื่องจากว่ามีเรื่องของแฟชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น หรือการเลียนแบบดาราต่างประเทศ ทำให้หลายคนคิดว่าต้องมีตาดำที่โต ตาดำที่แหวกแนวแบบพวกดาราเหล่านั้น เพราะฉะนั้นคอนแทคเลนส์ก็เลยมีแบบสวยงามเพื่อใส่ตอนกลางวันทำงานออกมา แล้วก็มีแบบปาร์ตี้ แล้วการใช้คอนแทคเลนส์นั้น  เลนส์ยิ่งใหญ่มันจะทำให้ไปบดบังออกซิเจนไม่ให้เข้าตา ซึ่งลูกตาก็จะขาดออกซิเจนได้ แล้วก็จะทำให้เส้นเลือดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตาแดงได้ คนไข้ก็มาเพราะไม่สบายตา อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป   แต่สิ่งที่สำคัญที่ลงหนังสือพิมพ์ในช่วง 1 – 2 ปีนี้คือ ตัวคอนแทคเลนส์นั้นกลับมาถูกเด็กเล็กในอายุสิบกว่าๆ ซึ่งอายุเท่านี้เป็นวัยที่สมัยก่อนต้องให้พ่อแม่พามาซื้อ แต่เดี๋ยวนี้มีขายเกลื่อนในท้องตลาดซึ่งทำให้ซื้อหาง่าย พอซื้อหาง่ายดูในทีวีสวยก็ซื้อมาใส่ แต่ด้วยปัจจัยของเด็กที่มีไม่ได้เยอะ ทำให้มีการเอามาแลกกันใส่โดยไม่ได้คำนึงถึงการที่มันพอดีกับสายตาของตนเอง เพราะลูกตาคนเราไม่เท่ากัน ไม่มีการเคิร์ฟของลูกตาดำว่าเท่าไร แล้วพอซื้อตามร้านก็ซื้ออะไรก็ไม่รู้ ทำให้เกิดความไม่คงที่ ทำให้ปวดตาได้ หรือความที่ไม่รู้ทำให้มาแลกกันใช้ ไม่มีการให้ความรู้ในเรื่องความสะอาด ปกติคอนแทคเลนส์ต้องล้างทุกวัน ด้วยล้างน้ำยา แต่เด็กพวกนี้ไม่ได้ทำเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเกิดการติดเชื้อที่ดุมาก คือเชื้อนี้เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อกระจกตา ทำให้กระจกตาทะลุ และอาจทำให้ตาบอดได้ เป็นอันตรายที่คิดว่าต้องหาทางป้องกัน การป้องกันต้องป้องกันในสองลักษณะคือ หนึ่ง เกิดจากเด็กที่ไม่มีความรู้ และสอง คือมีขายเกลื่อนตามท้องตลาด มันเข้าถึงง่ายเกินไป  ซึ่งอาจจะเป็นของที่ไม่ได้มาตรฐานด้วยซ้ำ การที่เด็กใช้คอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี เพราะฉะนั้นเวลาติดเชื้อขึ้นมา การรักษาเนื่องจากเด็กเคืองตาแล้วปล่อยทิ้งไว้  ไม่ได้มาหาหมอทันที การรักษาก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง แล้วเรื่องที่เกี่ยวกับแสงจากโทรศัพท์มือถือ คนไข้ที่มาหาที่ห้องผู้ป่วยนอกมีเยอะมากเลย คือ เคืองตา ไม่สบายตา แสบตา ซักถามไปมาก็คือมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในปัจจุบันเพราะเราทุกคนต้องใช้ เด็กก็ใช้ คุณครูก็ใช้สั่งงานผ่านทาง Facebook แล้ว และเวลาเด็กเข้าไปทำงานเขาก็ไม่ได้เข้าผ่านจอคอมพิวเตอร์แล้วเขาใช้ผ่านมือถือ เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ที่สหรัฐอเมริกา เขาทำการศึกษาเลยว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ ไอแพด รวมทั้งคอมพิวเตอร์นั้น มีกี่เปอร์เซ็นต์ใช้เกิน 10 ชั่วโมง กี่เปอร์เซ็นต์ใช้เกิน 6 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นการใช้ของพวกนี้พบเลยว่า แสงจากหน้าจอทำให้แสบตา อันที่ 2 คือหน้าจอเครื่องพวกนี้มันมีความ Bright มาก คือ เวลาเราดูภาพอะไรเล็กๆ เราจะจ้องเขม็งไม่ได้กะพริบตา เคยมีการศึกษาโดยเอาเครื่องมือมาจับการกะพริบตาพบว่า การกะพริบตาของคนเราลดลงได้ 2 – 10 เท่าเลยทีเดียวในขณะจ้องอยู่หน้าจอพวกนี้ ยิ่งเวลาเล่นเกมยิ่งไม่กะพริบตาเลย กะพริบก็กะพริบเร็วๆ ไม่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อตาอยู่อย่างนั้นน้ำตาก็ระเหย ตาก็จะแห้ง แล้วก็แสบตา การจ้องนานๆ กล้ามเนื้อทำงานเยอะนอกจากแสบตาและตาแห้งแล้ว การจ้องนานๆ กล้ามเนื้อไม่คลายทำให้ปวดตาและเห็นเป็นภาพซ้อน มองภาพแล้วเบลอ และถ้าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เราต้องให้ความรู้ในการที่จะใช้เครื่องมือพวกนี้ ต้องให้ทุกคตระหนักว่าการใช้เครื่องมือพวกนี้ทำอย่างไร มันก็มีเทคนิคการใช้เครื่องมือพวกนี้เหมือนกัน เวลาที่ใช้คอมพิวเตอร์เราไม่ควรใช้ติดต่อกันอย่างยาวนาน เพราะพบว่าการใช้ติดต่อกันยาวๆ นั้นก่อโรคแน่นอนเรียกว่า คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม(Computer vision syndrome) ซึ่งโรคพวกนี้เป็นกันอยู่แล้วคนทำงานออฟฟิศ นักเรียนหรือคนที่ทำงานต้องใช้คอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลา จริงๆ เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์วันละ 6 ชั่วโมง ได้ถ้าเราใช้ถูกต้อง ถูกต้องคือ เริ่มจากเลือกคอมพิวเตอร์ เลือกเก้าอี้ มือต้องวางระนาบ ตัวต้องสูงขึ้นมา ตาต้องหลุบมองแนวต่ำถ้าตาเบิกขึ้นไปน้ำตาจะระเหย คอมพิวเตอร์ต้องอยู่ต่ำกว่าสายตานิดหน่อย แล้วประมาณ 20 – 30 นาทีให้เบรกหรือพัก เบรกหมายถึง เบรกจากการมองคอมพิวเตอร์หรือการมองที่ใกล้ๆ ให้มองไปที่ไกลๆ เป็นระยะอนันต์เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวประมาณ 5 – 10 นาที เช่นพักไปห้องน้ำ ไปชงกาแฟดื่ม อย่างนั้นจะทำงาน 6 หรือ 8 ชั่วโมง ก็ทำได้ และระหว่างนั้นแสงสว่างในห้องต้องดีด้วย ไม่อยู่ในที่มืดเวลาทำงาน หรือดูหนังในห้องแล้วปิดไฟ สำหรับตำแหน่งที่ตั้งของไฟไม่ตั้งให้ส่องไปที่คอมพิวเตอร์เพราะจะทำให้แสงสะท้อน ตั้งคอมพิวเตอร์ไว้ใกล้หน้าต่างแสงก็สะท้อนเข้ามาเหมือนกัน เรื่องความสว่าง(Bright) นี่ก็สำคัญ Resolution ความคม ตัวหนังสือ  Font เป็นอย่างไร แนะนำคือ ต้อง 3 เท่าของตัวหนังสือที่เล็กที่สุดที่เราพอมองเห็นได้ ระหว่างทำตำแหน่งเก้าอี้เราต้องพอดีกับตัวคีย์บอร์ด นิสัยของการใช้คอมพิวเตอร์ที่ดีคือ ต้องพยายามเบรกให้ได้ และกะพริบตาบ่อยๆ หมอต้องบังคับให้คนไข้กะพริบตาบ่อยๆ กะพริบตาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังไงก็ยังมีอาการตาแห้งมาหาเรื่อยๆ  สิ่งที่หมอช่วยได้ ก็คือเติมน้ำตาเทียมเข้าไปเวลาที่รู้สึกล้าที่ดวงตา ไม่สบายตา เบรก เติมน้ำตาเทียม กะพริบตาบ่อยๆ ก็จะช่วยได้ ซึ่งการให้ความรู้พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ปัญหาแบบเด็กสายตาสั้นก่อนวัยอันควรมีบ้างไหมคะ คนไข้ส่วนใหญ่ที่หมอพบ จะพบว่าคนมาหาเนื่องจากเคืองตา ไม่สบายตา ค่อนข้างเยอะ ทำให้สูญเสียเงินในการที่จะดูแล ต้องใช้ยา ส่วนปัญหาในเด็กที่พบคือ วุ้นตาเสื่อม ซึ่งอาการแบบนี้สมัยก่อนต้องอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ถึงจะพบวุ้นตาเสื่อม ปัจจุบันในอายุ 20 – 30 ปีก็พบว่าเริ่มมีวุ้นตาเสื่อม แต่ยังไม่สามารถตอบได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะไม่ได้ทำการศึกษาเป็นตัวเลขไว้ แต่จากประสบการณ์คือมันเยอะกว่าในทฤษฎีที่เคยเรียนมา เป็นปรากฏการณ์ที่พบในปัจจุบัน มีข้อแนะนำสำหรับผู้บริโภคที่จะทำอย่างไรให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องสายตา ต้องบอกว่าถ้าเราจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เราก็ต้องไล่ตามว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ให้รู้เท่าทัน เพราะมันมีทั้งคุณ และโทษ เราต้องรู้ว่า อะไรบ้างที่อาจจะเป็นปัญหากับสุขภาพเรา เช่น คอมพิวเตอร์ดีมากเลยเราจำเป็นต้องใช้ แต่เราต้องรู้ว่ามันจะส่งผลเสียกับตานะ ทำให้เกิดคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมได้นะ และยังมีผลกับร่างกายได้ด้วย เช่น ถ้าเราตั้งมือขึ้นมาพิมพ์คีย์บอร์ดเราก็จะปวดข้อมือ เพราะฉะนั้นมือเราต้องอยู่ในระดับระนาบ บางทีคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมมันทำให้เรารู้สึกเมื่อย เพลีย เหมือนเป็นคนป่วยเลยนะ เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ร่างกายเราอยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพในการใช้เครื่องมือพวกนี้เป็นอย่างไร ได้มาตรฐานไหม เพราะฉะนั้นเวลาจะซื้อมาใช้ก็ต้องคิดเหมือนกันว่า รุ่นนี้เมื่อก่อนจอคอมพิวเตอร์เป็นจอนูน ซึ่งมันปล่อยรังสีได้ แต่เดี๋ยวนี้เป็นจอแอลซีดีไม่มีใครใช้จอนูนแล้ว เรื่องของรังสีก็ปลอดภัยในระดับหนึ่ง   เรื่องแสงจ้านี้พวกฟิล์มกรองแสงช่วยได้บ้างไหม มันจะช่วยให้สบายตา ก็จะมีแว่นที่ช่วยกรองแสงจากคอมพิวเตอร์สำหรับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็มีแว่นที่ช่วยป้องกันไม่ให้มัน Brightness เกินไป อาจจะเป็นสีเทา กรองแสงสีฟ้าไปด้วยในตัว ก็จะมีแว่นเฉพาะเพิ่มความสบายตาให้คนไข้ เพราะฉะนั้นผู้บริโภคที่ต้องใช้ของพวกนี้ก็ต้องไปสืบหาว่าใช้คอมพิวเตอร์วิธีที่ถูกต้องคืออะไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็หาอ่านได้ทั่วๆ ไปทั้งในอินเตอร์เน็ตและหนังสือ ปัญหาเกี่ยวกับตาที่พูดมาจะนำไปสู่ปัญหาเรื่องตาอื่นๆ หรือไม่ เช่น พวกต้อหิน ต้อกระจก ไม่เกี่ยวกับต้อหิน แต่จะเกี่ยวกับกระจกตา ผิวตา คือปัญหาเรื่องตาแห้ง ตาออกแดงๆ ตลอดเวลา ต้องเติมน้ำตาเทียมตลอดเวลา ความไม่สบายตา ผิวตานั้นถ้าเป็นมากผิวตาจะร่อน และโอกาสที่จะติดเชื้อก็เพิ่มมากกว่าปกติ ในผู้สูงอายุปัญหาด้านสายตาที่มาจากเทคโนโลยีมีบ้างไหมคะ ก็มีคนไข้ที่อายุมากแล้วเหมือนกัน คือเขาทำงานประเภทเล่นหุ้นไง จ้องกันทั้งวัน ตาก็แดงก่ำ พอใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งคอนแทคเลนส์มันทำให้ตาแห้งได้ง่ายอยู่แล้ว แล้วใช้คอมพิวเตอร์ด้วยอันนี้เลยเหมือน 2 เด้ง และพวกผู้สูงอายุที่ใช้ไอแพด ซึ่งจริงๆ มันก็ช่วยพัฒนาสมองส่วนหนึ่งนะ แต่ด้วยการใช้ที่ไม่ถูกต้องก็เกิดปัญหาได้ มันจึงต้องทำให้ความรู้ตรงนี้มากขึ้น   การบริจาคดวงตา ยังมีความสำคัญไหม สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง การบริจาคตามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่กระจกตาพิการ กระจกตาเป็นส่วนใสๆ ที่อยู่ชั้นนอกสุดที่หักเหของแสง เป็นส่วนที่สำคัญมากเปรียบเทียบเหมือนเป็นจอทีวีเลย เมื่อแสงผ่านกระจกที่ไม่ใสเข้าไปได้คนไข้ตาก็มัว มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นเราแก้ด้วยการเปลี่ยนกระจกใสๆ ก็สามารถช่วยได้ แต่ประเด็นคือทำไมถึงมีโรคพวกนี้เยอะ เพราะเป็นตั้งแต่เด็ก ทั้งเกิดอุบัติเหตุ และเมืองไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ชาวนา ชาวไร่โดนใบไม้ ใบหญ้าบาดเยอะมาก พอกระจกตาเสียไปจะกลายเป็นฝ้า แสงก็จะผ่านไม่ได้ พอแสงผ่านไม่ได้ภาพจะเบลอ แล้วการเปลี่ยนกระจกตานั้น มีคิวประมาณเจ็ดพันถ้าหมอจำไม่ผิด แล้วปีหนึ่งเราก็ผ่าตาได้ไม่เยอะ ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็มีการรับบริจาคกับสภากาชาดไทย แต่ว่าประเทศไทยก็มีการยึดติดเรื่องการบริจาคตาว่าถ้าตายไปแล้วจะกลับบ้านไม่ถูก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง หรือถ้าแม่จะบริจาคแต่ลูกไม่ให้ก็ไม่มีสิทธิ ต้องบอกว่าปัจจุบันดวงตา 1 ดวงนั้นทำประโยชน์ให้กับคนไข้ได้หลายคนเลย กระจกตาชั้นนอกทำอย่าง ชั้นในทำอย่าง ตาขาวใช้ได้อีก แต่ก็ขาดแคลนอีกเยอะเลย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 179 Course เสริมความงาม ที่ไม่ได้อยากสมัคร

สาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่มักจะถูกหว่านล้อม ตามติดประชิดตัว เมื่อเดินผ่านหน้าบูธขายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งก็มีบางส่วนที่รอดตัวกลับบ้านสตางค์อยู่ครบ แต่อีกบางส่วนก็กลายเป็นสมาชิกไปแบบงงๆ ก็มี ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องหลายคนที่มาร้องเรียนกับศูนย์พิทักษ์สิทธิกรณีที่หนึ่ง สมัครเพราะเกรงใจ สำหรับประเด็นนี้มีผู้ร้องหลายคนที่พบปัญหา เช่น คุณ ก ตกลงสมัครรับบริการเสริมความงามของ บริษัท A โดยชำระเงินด้วยบัตรเครดิตไปจำนวน 25,000 บาท เมื่อกลับบ้านก็คิดได้ว่า พลาดที่เกรงใจสมัครไป จึงต้องการยกเลิก เมื่อโทรศัพท์กลับไปแจ้งที่สถานบริการดังกล่าว พนักงานก็ตอบกลับว่า ไม่สามารถยกเลิกและคืนเงินได้แล้ว หรือ คุณ ข ที่ถูกพนักงานชักชวนให้ใช้บริการเสริมความงาม ของบริษัท S พูดคุยกันไปได้สักพัก ผู้ร้องก็ได้ตกลงเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต จำนวน 30,000 บาท อย่างไรก็ตามเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ฉุกคิดได้ว่าไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าว และทางครอบครัวก็ไม่สนับสนุน จึงต้องการเงินคืน ซึ่งกรณีนี้ผู้ร้องอ้างว่า เป็นการสมัครเข้าร่วมแบบไม่ได้ตั้งใจแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากที่ผู้ร้องเข้ามาร้องเรียน ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงชี้แจงถึงกรณีที่จะบอกเลิกสัญญาได้ คือ เราต้องมีเหตุผลในการยกเลิก เช่น ทำให้เราได้รับความเสียหาย หรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่ทำไว้ในสัญญา แต่หากผู้ร้องต้องการยกเลิกจากเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการเล่นต่อแล้ว หรือไม่ต้องการใช้บริการต่อแล้ว เพราะ ครอบครัวไม่ต้องการ หรือหลงเข้าไปทำเพราะคำพูดของผู้ขาย ก็ไม่สามารถที่จะยกเลิกได้เนื่องจาก ผู้ขายยังไม่ได้ทำผิดสัญญา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เราเสียเงิน ไปกับสิ่งที่ไม่ได้ต้องการแบบฟรีๆ ก็ต้องเลิกเกรงใจคนอื่น แล้วกล้าที่จะพูดปฏิเสธ กรณีที่สอง เผลอให้เอกสารสำคัญของตนเอง เช่น บัตรเครดิต บัตรประชาชน สำหรับกรณีนี้ผู้ร้องรายหนึ่ง ถูกพนักงานขายชักชวนให้ตรวจสภาพหน้าฟรี ของสถาบันเสริมความงาม S และได้ขอดูบัตรเครดิตจำนวน 3 ใบ เพื่อนำไปแลกของรางวัล (Gift voucher) ซึ่งหลังจากตรวจสภาพผิวหน้าเสร็จ ก็ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น การลดน้ำหนัก การยกกระชับสัดส่วน โดยเสนอราคาพิเศษให้อยู่ที่ 30,000 บาท โดยภายหลังได้มีการนำเอกสารต่างๆ มาให้เธอเซ็น ซึ่งไม่ได้แจ้งว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร ด้านผู้ร้องที่ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารก่อน ก็หลงเชื่อตกลงเซ็นชื่อเรียบร้อย และมารู้อีกว่า ตัวเองได้ตกลงเข้าโปรแกรมเสริมความงามราคา 30,000 บาท ของสถาบันดังกล่าวไปแล้วเรียบร้อย แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำให้ผู้ร้อง ส่งหนังสือยกเลิกสัญญาถึงสำนักงานใหญ่ของบริษัทดังกล่าว ซึ่งผู้ร้องได้ระบุเหตุผลที่ขอยกเลิกว่า ไม่สามารถเข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าวได้ เพราะต้องไปต่างประเทศ พนักงานจึงตอบกลับด้วยการ ขยายเวลาการรับบริการให้อีก 1 ปี หรือ เสนอให้เธอเปลี่ยนเป็นสินค้าตามจำนวนเงิน ซึ่งผู้ร้องไม่ต้องการข้อเสนอดังกล่าว ทำให้มีการนัดเจรจาที่มูลนิธิ ทั้งนี้ภายหลังการเจรจาดังกล่าว บริษัทฯ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้อีกครั้ง คือ 1. ปรับเปลี่ยนคอร์สเป็นผลิตภัณฑ์ จำนวน 30,000 บาท 2. โอนคอร์สดังกล่าวให้ผู้อื่น 3. ขยายเวลาการรับบริการ หรือ 4. ปรับเปลี่ยนเป็นรับผลิตภัณฑ์ 15,000 บาท และคืนเงินอีก 15,000 บาท ด้านผู้ร้องก็ยินดีรับข้อเสนอสุดท้าย เหตุการณ์จึงยุติลง อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าปัญหาเกิดจากเอกสารสำคัญของเราตกอยู่ในมือของผู้อื่น ซึ่งหากเราไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนเซ็นชื่อยืนยันเอกสารเหล่านั้น ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 135 เสียท่าเซลล์ขายบริการเสริมความงาม

บ่ายวันหนึ่งของเดือนธันวาคม 2554 คุณศรินภรณ์มาปรากฏตัวที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ตั้งใจจะไปดูโปรโมชั่นไอโฟน 4 ซึ่งจัดแสดงที่ชั้น 3 ของห้างหรูแห่งนี้คุณศรินภรณ์พาตัวเองขึ้นบันไดเลื่อนสู่ชั้นสาม แต่บุญสะสมคงไม่พอที่จะได้ยลโฉมสัมผัสไอโฟน  4 เพราะพอบันไดเลื่อนพาขึ้นมาถึงชั้นสอง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าได้เข้าสู่คิลลิ่งโซนพื้นที่สังหาร(ทางการขาย)ของเซลล์สถานบริการเสริมความงามกลุ่มหนึ่ง ที่มาตั้งบูธดักเหยื่อบริเวณริมทางเดินบันไดเลื่อนชั้นสองพอดี“คุณคะขอเวลา 1 นาทีค่ะ” หญิงสาวบุคลิกดี เดินเข้ามาทักตอนแรกเธอว่าจะไม่หยุด แต่คำต่อมาที่บอกว่า “คุณเป็นคนสวยมากเลยค่ะ แต่ถ้าได้ลดส่วนเกินตรงหน้าท้องออกไปอีกนิด เชื่อว่าคุณจะสวยมากกว่านี้แน่ค่ะ”เหมือนต้องมนต์ “แค่ 1 นาที คงไม่เสียหายอะไร” เธอคิดในใจด้วยความอยากรู้ คุณศรินภรณ์จึงยอมให้เซลล์สาวพาไปชั่งน้ำหนัก วัดค่าของไขมัน รวมทั้งวัดน้ำหนักกล้ามเนื้อส่วนเกินว่ามีมากน้อยแค่ไหน เมื่อวัดเสร็จแล้วจึงให้เธอมานั่งรอเพื่อฟังผลการตรวจ“รอผลประมาณ 5 นาทีค่ะ” เซลล์สาวบอก“ห้านาทีก็ห้านาที(วะ)” เธอคิดในใจไหนๆ ก็ตรวจแล้วนี่อยากรู้ผลเหมือนกันระหว่างนั่งรอ...เซลล์สาวนักขายเกือบทั้งกลุ่มก็เริ่มกระบวนการมะรุมมะตุ้มตั้งคำถามกับเธอ“พี่ต้องการจะลดส่วนไหนเป็นพิเศษคะ” “เออ...ไม่ค่ะ ไม่อยากทำวันนี้เสียเงินมามากแล้วค่ะ”“คุณพี่ควรจะเปิดใจให้เราสักครั้งนะคะ นอกจากนี้เรายังมีบริการหลังการขายด้วย”“ขอบคุณค่ะ...แต่ไม่อยากทำหรอกค่ะ”“เถอะน่าทำเถอะค่ะ เราเชื่อว่า บริการของเราจะทำให้พี่ดูดีขึ้นอีกมาก เดี๋ยวจะลดราคาให้เป็นกรณีพิเศษ” ไม่พูดเปล่าเซลล์สาวยกตารางเปรียบเทียบราคาใช้บริการมาให้ดู“นี้เป็นคอร์สในราคา 1 แสนบาทค่ะทั้งปี แต่ถ้ามีบัตรเครดิตจะมีส่วนลดพิเศษให้  ขอดูบัตรเครดิตหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะช่วยตรวจสอบให้ เพราะบัตรเครดิตของแต่ละที่จะมีส่วนลดแตกต่างกัน” เซลล์สาวอธิบายเหตุผลคุณศรินภรณ์จึงเปิดกระเป๋าและหยิบบัตรเครดิตให้ดูเซลล์สาวรับบัตรไปดู เห็นแบรนด์ธนาคารปั๊บก็ทำตาโต“โห...บัตรของคุณพี่ลดได้ถึง 50% เชียวนะคะ จากแสนหนึ่งก็เหลือแค่ห้าหมื่นบาท ผ่อน 10 เดือน”“ไม่หรอกค่ะ ยังไม่อยากเสียตังค์” คุณศรินภรณ์ปฏิเสธ พร้อมกับขอบัตรเครดิตคืนเซลล์สาวแกล้งทำเฉย ไม่ยอมคืนบัตรเครดิตพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอด ถ้าคุณศรินภรณ์ฟังเสียงในใจของเซลล์สาวได้คงจะได้ยินเสียงนี้“หนืดนักนะ...เอาวะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น วันนี้ต้องจัดการนังนี่ให้ได้ เพื่อค่าคอมฯ สู้โว้ย...!”“คุณพี่ลองพิจารณาดูนะคะ หนูจะเพิ่มคอร์สที่สนใจเพิ่มเติมให้อีก พี่เลือกดูได้ค่ะ” เซลล์สาวออดอ้อน“ไม่ดีกว่าค่ะ พี่ไม่อยากเสียตังค์จริงๆ นะคะ ช่วงนี้ก็มีภาระเรื่องค่าใช้จ่ายมากพออยู่แล้ว” คุณศรินภรณ์ ใจอยากจะไปดูไอโฟน 4 ที่เพียงขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นเดียวก็จะถึงแล้ว จึงแปลงร่างเป็นกระต่ายขาเดียวปฏิเสธไป“โถคุณพี่คะ บริการของเรามีประโยชน์กับพี่มากนะคะ เวลาพี่เครียดก็มาทำได้ ทำแล้วสบายใจ ถ้าห้าหมื่นไม่ไหวหนูลดให้เหลือสี่หมื่นห้า นะคะพี่”“ไม่หรอกค่ะ” ยืนกระต่ายขาเดียวเหมือนเดิม“อ๊ะ...สี่หมื่นห้าไม่ได้ หนูลดให้เลยค่ะจากแสนเหลือสี่หมื่นถ้วน ราคานี้สำหรับพี่คนเดียวเลยนะคะ อย่าไปบอกใคร”คุณศรินภรณ์ ก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ จาก 1 นาทีที่เซลล์ขอตรงทางขึ้นบันไดเลื่อน และอีก 5 นาทีที่เข้ามานั่งรอข้อมูลค่าไขมัน และกล้ามเนื้อส่วนเกิน แต่ตอนนี้เธอนั่งอยู่กับเซลล์หน้าสวยกลุ่มนี้ร่วมชั่วโมงแล้ว ไม่เห็นวี่แววว่าการพูดคุยจะจบเสียที เซลล์ทุกคนดูจะมีความสุขกับการใช้ปากใช้ลิ้นเชิญชวนลูกค้าไม่มีเหนื่อย ส่วนไอโฟน 4 คงไม่ได้ดูแล้ว เพราะต้องรีบไปประชุมอีก“ฉันจะจบเรื่องนี้ยังไงดี” คุณศรินภรณ์คิดในใจ“เออน้องคะ เดี๋ยวต้องรีบไปประชุมแล้ว ขอบัตรเครดิตคืนด้วยค่ะ” คุณศรินภรณ์ขอปิดการคุยเอาดื้อๆ“เดี๋ยวก่อนสิคะ คุณพี่แป๊บหนึ่งค่ะ หนูไม่อยากให้พี่เสียโอกาสราคาลดขนาดนี้ หาไม่ได้อีกแล้วนะคะ”“เซ็นต์สัญญาก่อนแล้วค่อยไปยกเลิกทีหลังก็ได้ ไม่งั้นไม่ได้ไปซะที” คุณศรินภรณ์คิดในใจ“งั้นก็รีบเอาเอกสารมา เดี๋ยวจะเซ็นต์ชื่อให้ค่ะ” เธอบอกกับเซลล์เมื่อได้ลายเซ็นต์สัญญาใช้บริการของเหยื่อรายล่าสุดแล้ว เซลล์สาวรีบนำบัตรเครดิตของลูกค้าไปรูดเงินทันที ก่อนที่จะคืนให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“พอเราเซ็นต์เสร็จ เขาก็เอาบัตรเครดิตเราไปรูด หลังจากนั้นเขาไม่คุยกับเราอีกเลยค่ะ แทบจะดันก้นให้เราออกจากร้านทันที” คุณศรินภรณ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟัง“พอเราได้บัตรเครดิตคืนก็รีบไปประชุม ขณะที่เดินออกมาก็กดโทรศัพท์ไปที่ธนาคารเลยค่ะเพื่อขอให้ระงับการหักเงินในบัตรเครดิต ธนาคารก็บอกว่าให้เราติดต่อยกเลิกสัญญากับสถานความงามก่อน ถ้าทางนั้นยินยอมธนาคารจึงจะยกเลิกให้ได้”“เราก็ต้องโทรกลับไปที่บริษัทสถานเสริมความงาม ทางนั้นบอกว่าพรุ่งนี้ให้เข้ามาทำ พอโทรกลับไปที่ธนาคารอีกครั้ง ธนาคารบอกว่ามีการหักบัญชีไปเรียบร้อยแล้ว จะทำยังไงดีคะ” คุณศรินภรณ์ขอความช่วยเหลือ แนวทางแก้ไขปัญหาสัญญาที่คุณศรินภรณ์ไปทำกับสถานเสริมความงามแห่งหนึ่งนั้น เป็นสัญญาผูกพันระยะเวลา 10 เดือน โดยจะถูกหักเงินจากรายการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเดือนละ 4,000 บาท หากจ่ายครบตามสัญญาจะรวมเป็นเงินมากถึง 40,000 บาทการแก้ไขปัญหาการถูกหักเงินจากบัตรเครดิตเพื่อไปจ่ายค่าซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่เราไม่ได้ต้องการนั้น เราต้องเริ่มปลดล็อคตัวเองด้วยการบอกเลิกสัญญาซื้อใช้สินค้าหรือบริการนั้นเสียก่อน ด้วยการทำหนังสือไปบอกเลิกสัญญา ย้ำว่าต้องเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นจึงจะมีผล ทั้งนี้ เนื้อหาในการบอกเลิกสัญญาจะต้องมีเหตุผลที่เกิดจากความบกพร่องของเจ้าของสินค้าหรือบริการนั้น เช่น ไม่จัดให้มีการบริการที่สำคัญให้ตามสัญญา หรือซื้อบริการไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่จัดให้มีบริการนั้น แม้จะให้มีบริการอื่นมาทดแทน ก็สามารถใช้เป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้เมื่อทำหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วให้ถ่ายสำเนาเก็บไว้สองชุด ชุดหนึ่งเก็บไว้เป็นหลักฐานกับตัวเอง อีกชุดให้ส่งไปที่ธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต และจดหมายตัวจริงก็ส่งไปที่ผู้ประกอบการสินค้าหรือบริการที่ได้ไปซื้อสินค้าหรือบริการมา การส่งจดหมายเพื่อบอกเลิกสัญญาการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ดีที่สุดอย่าให้เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อสินค้าหรือรับบริการ และควรส่งเป็นไปรษณีย์ตอบรับเพื่อจะได้มีหลักฐานยืนยันการรับจดหมายของเราตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2542 ได้ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้าไปทำสัญญาการซื้อใช้สินค้าหรือบริการผ่านทางบัตรเครดิต โดยกำหนดให้สัญญาของบัตรเครดิต จะต้องไม่ตัดสิทธิผู้บริโภคที่จะขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือรับบริการภายในระยะเวลา 45 วัน นับแต่วันที่สั่งซื้อสินค้าหรือรับบริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วันนับแต่วันถึงกำหนดการส่งมอบสินค้าหรือบริการ โดยผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค หรือในกรณีที่เรียกเก็บเงินไปแล้ว ถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการภายในประเทศ จะคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ผู้บริโภคแจ้ง ถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ จะคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายใน 60 วันนับแต่วันที่ผู้บริโภคแจ้งเช่นกันหลังจากที่คุณศรินภรณ์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไป ทางสถานบริการเสริมความงามก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทางสำนักงานใหญ่ได้ประสานไปยังร้านสาขาเพื่อให้ทำการยกเลิกสัญญา และประสานไปยังธนาคารให้ทราบถึงการยกเลิกสัญญา และให้ระงับการเรียกเก็บเงินกับผู้บริโภคทั้งหมด“ใช้เวลาในการดำเนินการทั้งหมด 17 วัน ดิฉันไม่ต้องเสียค่าอะไรเลย เนื่องจากยังไม่ได้ใช้บริการ และทางร้านก็ยังไม่ได้เปิดบริการ”“ขอขอบคุณมูลนิธิฯ ที่ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และคอยสอบถามเรื่องราวต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ขอให้ผู้ร่วมงานในศูนย์ฯ(ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค)ทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีความอดทนและเข้มแข็ง เสียสละอย่างมาก เพื่อเป็นเกราะกำบังให้ผู้บริโภคที่ประสบกับความอยุติธรรมในสังคมนี้ที่นับวันจะมีแต่เล่ห์เหลี่ยม หลอกลวงผู้บริโภคเพื่อเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ขอขอบคุณฝ่ายตรวจสอบของ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย และฝ่ายบัญชีของสำนักงานใหญ่ของ Slimming Plus Institution ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จและพบกับสิ่งดีๆ ในชีวิต”เอ้า...สา....ธุ   พร้อมกันดาวโหลดจดหมายตัวอย่างยกเลิกสัญญา <<< คลิก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 ทำงานเป็นทีม “กินรวบพลังงานไฟฟ้า”

บรรยากาศที่แสนร้อนของปีนี้ ผ่อนคลายลงได้ เมื่อหลายคนได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน และได้สัมผัสความชุ่มเย็นของน้ำที่สาดใส่กัน ณ เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา   ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาของความสุขสนุกสนาน ซึ่งหลายคนอยากเก็บช่วงเวลานั้นไว้นานๆ   แต่เมื่อเทศกาลจบลง  ชีวิตก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง   ณ ช่วงเวลาที่แสนร้อนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ไฟฟ้า และการขึ้นราคาค่า Ft นั่นเองหากย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม ก็จะได้เห็นข่าว ผู้บริหารกระทรวงพลังงานออกมาให้ข่าว  เรื่องการใช้ไฟฟ้า ว่ามีการใช้ไฟฟ้ามากทำลายสถิติของปีที่ผ่านถึง 2  ครั้ง ในเดือนมีนาคม  และก็มีข่าวมาจาก กฟผ. ออกมาว่าไฟฟ้าอาจจะไม่พอใช้  เพราะมีโรงไฟฟ้าหลายโรงปิดซ่อมบำรุง ในระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน   จากนั้นก็มีการออกมาให้ข่าวเพิ่มเติมว่า  เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าอาจขาดแคลนเพราะ พม่าจะปิดหลุมก๊าซ เพื่อซ่อมบำรุงช่วงนี้เช่นกัน  คณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.)ก็ออกมารับลูกทันที โดยให้ข่าวว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อาจต้องทบทวนการขึ้นราคาค่า Ft  โอ้โห...เห็นไหมว่าสถานการณ์ไฟฟ้าที่มีการปล่อยข่าวออกมาเป็นระยะๆ มันช่างน่ากลัวจริงๆ   กลุ่มที่คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เกือบจะตกเป็นจำเลยสังคมกันไปตามๆ กันนั่นเป็นข้อมูลที่ฝ่ายพลังงานออกมาให้ข่าวฝ่ายเดียวผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมเวทีเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดทำแผน  PDP 2010  ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ จัดขึ้น โดยมีการเชิญ รมต.ว่าการกระทรวงพลังงาน  ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และกกพ. มาชี้แจงข้อร้องเรียน ซึ่งทุกองค์กรส่งตัวแทนมา(ตัวจริงไม่มีใครมา) ทำให้ความจริงเปิดเผยในหลายเรื่อง เช่น ช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน  เป็นช่วงที่ใช้ไฟฟ้ามากทำไมจึงมาปิดซ่อมบำรุงช่วงนี้  ทำไมไม่ไปซ่อมบำรุงในช่วงที่ใช้ไฟฟ้าปกติ ไม่มีคำตอบ และที่ว่าพม่าปิดหลุมก๊าซเพื่อซ่อมบำรุง เป็นไปได้อย่างไร  ในเมื่อหลุมก๊าซนั้น ปตท.ได้สัมปทานการขุดเจาะจากพม่า(เหมือนบริษัทเชฟล่อนมาเจาะก๊าซ+น้ำมันในบ้านเรา) ดังนั้นการจะปิดซ่อมหรือไม่ซ่อม สิทธิอยู่ที่ ปตท. ไม่ใช่ประเทศพม่า เหมือนที่มีข่าวออกมา ไม่มีคำตอบเช่นกัน ที่น่าแปลกคือหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็รู้ข้อมูลนี้  แต่ไม่มีหน่วยงานใดออกมาให้ข้อมูลจริง  แต่กลับปล่อยให้มีการปล่อยข่าว โยนขี้ให้พม่า โดยที่ ปตท.ซึ่งเป็นตัวการปิดซ่อมในช่วงเวลาคับขัน ลอยนวล  เมื่อถามถึงการปรับปรุงแผนพลังงานไฟฟ้า (PDP 2012) ว่า มีการปรับปรุงอย่างไร ขบวนการเอื้อเรื่องการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนหรือไม่ ก็ไม่ได้คำตอบอะไรที่ชัดเจน (เหมือนเดิม) แต่กระบวนการปั่นข่าวจากฝ่ายบริหารพลังงานก็ยังดำเนินต่อไป  และสุดท้ายวันที่ 25 เมษายน 2555 กกพ.ก็มีมติให้ขึ้นราคาค่าไฟฟ้า(Ft) อีกหน่วยละ 40 สต. โดยที่คนใช้ไฟฟ้าอย่างเราๆ มีหน้าที่ต้องจ่ายอย่างเดียว   โดยที่ไม่รู้ข้อมูลจริงว่าที่ต้องขึ้นราคาไฟฟ้าเพราะเหตุอันใดส่วนฝ่ายการเมืองก็พึ่งไม่ได้  เพราะไม่มีพรรคไหน  หือ....อือ...กับเรื่องนี้   มัวแต่อุตลุดอยู่กับการแก้-ไม่แก้รัฐธรรมนูญ    ผู้เขียนที่พอรู้ข้อมูลบ้างก็รู้สึกอึดอัดคับข้องไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร(คงต้องพึ่งกันเอง)  ก็ได้แต่เขียนระบายเพื่อเล่าสู่กันฟัง  แต่ขอบอกไว้ว่าเราจะไม่นิ่งเฉย  และจะเดินหน้าแฉ...ขบวนการเอาเปรียบผู้บริโภคให้สังคมได้รับรู้ให้มากที่สุดเท่าที่ศักยภาพจะทำได้  ซึ่งเครือข่ายประชาชนกำลังร่วมกันจัดทำแผน PDP2012 ภาคประชาชน   ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบกับแผนของกฟผ.เพื่อป้องปรามมิให้  กฟผ.กินรวบพลังงานไฟฟ้าอย่างเช่นที่ผ่านมา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 นางงามประเภทสอง หวิดบอดเพราะฉีดฟิลเลอร์

น้องต๊อกแต๊ก เป็นสาวประเภทสอง มีรายได้จากการเดินสายแข่งขันประกวดความงามบนเวทีทั่วราชอาณาจักร ความงามบนใบหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอหรือเขา...คนนี้“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะฉีด” ภาษิตใหม่ของน้องต๊อกแต๊ก เธอบอกว่ามันช้าและอาจไม่สวยเด่นหากจะให้งามเพราะแต่งอย่างเดียว มันต้องมีฉีดด้วย และที่ได้รู้จัก ได้ยินมาคือการฉีดสารฟิลเลอร์ ดูจะสะดวกรวดเร็วในเว็บไซต์หนึ่งให้ข้อมูลว่า  Filler (HA) ถูกนำมาฉีดเพื่อช่วยในการปรับแก้ไขรูปหน้า  เช่น เสริมจมูก เสริมคาง หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า ลดริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือแม้กระทั่งบริเวณผิวหน้าอก และเมื่อสาร Filler นั้นเป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าไปในชั้นผิวหนังจึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายไปเองได้ตามกระบวนการทำงานของร่างกายพอเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลที่พูดถึง การฉีดปรับแก้ไขรูปหน้าหรือฉีดแบบเฉพาะจุด ยิ่งน่าสนใจ บอกว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับแก้ไขเฉพาะส่วน เช่น ฉีดเพื่อเสริมจมูก เสริมคาง เติมแก้มที่ตอบ เติมร่องใต้ตา โดยผลลัพธ์การรักษาจะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือนต๊อกแต๊ก อยากเสริมหน้าผากให้โหนกนูนเต็มอิ่มขึ้นมาอีกนิด จึงติดต่อเข้าใช้บริการฉีดฟิลเลอร์ที่คลินิกความงามแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกก่อนเกิดเหตุ การฉีดฟิลเลอร์เข้าหน้าผากต๊อกแต๊กทำมาก่อนแล้ว 2 ครั้ง เว้นระยะห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์ ฉีด 2 ครั้งแรก ไม่มีอะไรผิดปกติ เสียเงินรวมไป 7,000 บาท ในราคาที่แพทย์แจ้งว่าเป็นราคาทุนเพราะเห็นใจว่าเป็นนักศึกษาต้องทำงานกลางคืนเพื่อหารายได้พิเศษ จนถึงการฉีดครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการฉีดในบริเวณเหนือคิ้วซ้ายใกล้ดวงตา จึงเป็นเรื่อง... แพทย์ผู้ฉีดให้ข้อมูลหลังเกิดเหตุว่า โดยปกติจะฉีดฟิลเลอร์ให้คนไข้ครั้งละประมาณ 2-3 มิลลิลิตร ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะผิวหนังอักเสบ ติดเชื้ออย่างรุนแรง หากคนไข้ต้องการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มาก จึงจะนัดให้มาฉีดเพิ่มในภายหลังครั้งละประมาณ 1-2 มิลลิลิตร ในการฉีดครั้งที่ 3 หลังจากฉีดเสร็จ เธอมีอาการปวดหัวอย่างแรงบริเวณเหนือคิ้วซ้ายที่ได้ฉีดสารเข้าไปทันที มีอาการตาพร่ามัวและมีอาเจียนร่วมด้วยแพทย์ที่คลินิกได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้ปวดให้ หลังจากนั้นอาการยังไม่ดีขึ้น ตาซ้ายมองไม่เห็นมีอาการบวมแดงแพทย์จึงทำการเจาะเอาสารฟิลเลอร์ออก และนำคนไข้ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมาหลังจากวันนั้นน้องต๊อกแต๊กก็มีอาการปวดหัวเป็นพักๆ ส่วนตานั้นมีอาการพร่ามัวมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ที่สำคัญคือ มันทำให้เธอหมดโอกาสเฉิดฉายบนเวทีประกวดความงามและไม่สามารถทำงานหารายได้ได้เหมือนเดิม ต๊อกแต๊กจึงต้องร้องเรียนและขอให้แพทย์รับผิดชอบในค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แนวทางแก้ไขปัญหากรณีแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ว่า การรักษาเป็นไปโดยมีคุณภาพมาตรฐานหรือไม่  มีความระมัดระวังเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเมื่อถามฝั่งแพทย์ผู้ทำการรักษาได้รับคำตอบว่า การรักษาเป็นไปตามมาตรฐานที่ดี มีความระมัดระวังทุกขั้นตอน แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็พร้อมจะรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเราจึงแนะนำให้น้องต๊อกแต๊กใช้วิธีเจรจาเรียกค่าเสียหายกับคลินิกที่ทำการรักษาก่อน และแนะนำให้ประเมินค่าเสียหายที่เป็นค่ารักษาพยาบาลที่จะตามมาอย่างถูกต้องเหมาะสมเป็นจริง การเรียกค่าเสียหายในด้านความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย การขาดโอกาสในการทำมาหารายได้ก็ให้เรียกอย่างเหมาะสม ไม่สูงสุดโต่งจนเลยจุดที่จะทำให้ไม่สามารถเจรจากันได้ท้ายที่สุด แพทย์ผู้ทำการรักษาได้แสดงน้ำใจให้ความช่วยเหลือน้องต๊อกแต๊กเป็นเงินรวม 100,000 บาท ขอแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ละ 50,000 บาท น้องต๊อกแต๊กพึงพอใจในค่าเสียหายที่ได้รับ ยอมยุติเรื่อง และหันมาตั้งหน้าตั้งตารักษาตัวที่จวนใกล้จะหาย เพื่อก้าวขึ้นสู่เวทีประกวดอีกครั้งเชื่อว่า...ทุกเวทียังมีมงกุฎให้เธอไขว่คว้าอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 พลังงานไฟฟ้าผลิตมาเพื่อความสุขของใคร

 พอดีผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมเวทีเสวนากับ อ.เดชรัตน์  สุขกำเนิด  อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ในหัวข้อเรื่อง พลังงานในประเทศไทย  มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่มีข้อมูลชุดหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือการเปรียบเทียบสัดส่วนการใช้ไฟฟ้า  ระหว่างธุรกิจและประชาชนในหลายจังหวัดข้อมูลการใช้ไฟฟ้าปี 2549 ของ 3  ห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ  เช่น ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ใช้ไฟฟ้า 123  ล้านหน่วย  ห้างสรรพสินค้ามาบุญครองใช้ไฟฟ้า 81  ล้านหน่วย ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ใช้ไฟฟ้า 75 ล้านหน่วย  รวม 3 ห้างใช้ไฟฟ้าไป 278 ล้านหน่วย(ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวงปี 2549) หากเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าของคนต่างจังหวัด เช่น  จังหวัดแม่ฮ่องสอนทั้งจังหวัดใน 1 ปี ใช้ไฟฟ้าเพียง 65 ล้านหน่วย จังหวัดมุกดาหาร 128 ล้านหน่วย  จังหวัดหนองบัวลำพูใช้ไฟฟ้า 148 ล้านหน่วย  จังหวัดนราธิวาสและจังหวัดระนองใช้ไฟฟ้าเท่ากันคือปีละ 278 ล้านหน่วย (ข้อมูลจาก พพ.รายงานการใช้ไฟฟ้าประจำปี 2549)เห็นข้อมูลเหล่านี้แล้วผู้เขียนตกใจมาก  เพราะสามารถชี้ให้เห็นการบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม  ภาคธุรกิจใช้ไฟฟ้ามากมาย  โดยไม่ต้องคำนึงเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ไม่ต้องรับผลกระทบอะไรเลย  แต่คนที่รับภาระกลับเป็นพี่น้องเราในหลายจังหวัดที่เป็นเป้าหมายของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่จังหวัดราชบุรี ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว 8  โรง มีกำลังการผลิต 5,800  เมกะวัตต์  จังหวัดราชบุรีใช้เพียง 400 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นภาคครัวเรือน 100  ภาคอุตสาหกรรม 300    ที่หน้าตกใจคือยังมีนโยบายจะก่อสร้างอีกหลายโรงในราชบุรี(น่าจะตั้งชื่อว่าจังหวัดไฟฟ้ามหานครแทนราชบุรีนะเนี่ย...)คนราชบุรีถามผู้เขียนว่า เขาผิดอะไรทำไมเขาต้องมารับกรรม เรื่องมลภาวะด้านสุขภาพและการประกอบอาชีพเกษตรกรรม   ในขณะที่คนเมืองใช้ไฟฟ้ามาก ทำไมไม่สร้างโรงไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ  แต่พอพวกเขารวมตัวกันเรียกร้องสิทธิกับถูกภาครัฐมองว่าเป็นพวกถ่วงความเจริญ  ทั้งที่ความเจริญที่ว่านั้นเป็นพิษภัยต่อพื้นที่ ที่ไม่ว่าโรงไฟฟ้านั้นจะใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินหรือก๊าซ หลายพื้นแค่เขารวมตัวกันคัดค้านด้วยเป้าหมายแค่ขอให้เขาได้อยู่อย่างที่เขาเคยอยู่ ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากรัฐเพิ่มเลย  สิ่งที่ตอบแทนบางพื้นที่คือต้องมีคนเสียชีวิต เช่น คุณเจริญ  วัดอักษร  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เสียชีวิตจากการคัดค้านโรงไฟฟ้า  คุณทองนาก จังหวัดสมุทรสาคร คัดค้านการขนถ่ายถ่านหินที่เขียนเรื่องนี้ผู้เขียนแค่อยากจะบอกว่า ผู้บริโภคอย่างเราๆ มีอีกหลายเรื่องที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(ทั้งเอกชน/รัฐ)เช่น แผน PDP 2011 ของกฟผ. ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ 3 โรง และโรงไฟฟ้า ถ่านหินและก๊าซอีก 9 โรงใน 10 ปี  ซึ่ง อ.เดชรัตน์ ให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่าหากมีการบริหารจัดการเรื่องการอนุรักษ์พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถลดการผลิตไฟฟ้าได้ 10,000  เมกะวัตต์ นั้นก็คือสามารยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ 3 โรง และโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซอีก 9 โรง ภายใน10 ปีสรุปคือหากมีการบริหารจัดการไฟฟ้าที่ดี อีก 10 ปีประเทศไทยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเลย  นี่เป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงระหว่าง กฟผ.กับนักวิชาการ   ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้  เพราะไม่มีหน่วยงานใดมาเป็นเจ้าภาพในการหาข้อสรุปในปัญหาเหล่านี้  ทั้งที่เรามี กกพ.(สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน) ที่มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้  แต่ยังแบะๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่เลย   ผู้บริโภคอย่างเราก็ไม่รู้จะพึ่งใครดี  

อ่านเพิ่มเติม >