ฉบับที่ 272 รู้ก่อนตัดสินใจ “สักคิ้ว”

        “การสักคิ้ว” เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความสวยความงามของไทย ก็อย่างว่าคิ้วคือมงกุฎของหน้า สาเหตุที่คนนิยมกัน ก็เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาบริเวณส่วนคิ้ว เช่น บางคนต้องการสักคิ้วเพื่อแก้ปัญหาคิ้วบางจนเกินไป ไม่มีความมั่นใจหรือบางคนแค่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วให้ดูสวยขึ้น เป๊ะปังอยู่ตลอดเวลานั้นเอง การสักคิ้วสมัยนี้ก็มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้ง 3 มิติ 6 มิติ แบบการฝังสีคิ้วสไตล์เกาหลี เพิ่มโหงวเฮ้งของใบหน้าก็มีหาได้ทั่วไป          อย่างไรก็ตาม หากต้องการสักคิ้วจริงๆ อยากให้ผู้บริโภคศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจสักหน่อย เพราะหากสักพลาดไปแล้วแน่นอนแก้ยากกว่าที่คิด หลายคนคงจะเห็นได้จากข่าวที่มีคนพลาดไปสักคิ้วแล้วได้คิ้วทรงแปลกๆ ให้เห็นกันอยู่บ่อย ฉลาดซื้อ จึงอยากแนะนำ ดังนี้          1. ตรวจสอบร้านสักคิ้วที่เราต้องการใช้บริการ ช่างมีใบรับรองวิชาชีพหรือไม่ ก่อนลงมือสักมีการใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย         2. สถานที่ใช้บริการต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ (ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ซึ่งใบประกอบดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี นอกจากนี้ ภายในร้านต้องสะอาด ถูกอนามัย อยู่ในพื้นที่เปิดเผยเป็นหลักแหล่ง อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ควรใช้ซ้ำ         3. อ่านรีวิวก่อนเข้าใช้บริการทุกครั้ง เพื่อศึกษาความน่าเชื่อถือของร้าน และให้แน่ใจว่าการใช้บริการจะปลอดภัย ตรงนี้แนะนำให้เช็กดีๆ         4. สำหรับคนที่แพ้ยาชาไม่ควรสักคิ้ว เนื่องจากการสักคิ้วก่อนลงเข็มจะต้องมีการลงยาชาเพื่อลดอาการเจ็บก่อน         5. ก่อนลงมือสักคิ้ว ควรแจ้งรายละเอียดทรงคิ้วที่อยากได้ให้ชัดเจน ให้ช่างร่างทรงคิ้วให้ดูก่อนยิ่งดีอย่าตามใจช่างเพราะอาจได้ทรงคิ้วที่ไม่ถูกใจ เมื่อสักไปแล้วการแก้ไขภายหลังก็ยากมากขึ้น         6. สำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนทรงคิ้วตามกระแสบ่อยๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์     ความเสี่ยงในการสักคิ้ว         -  ไม่ได้ทรงคิ้วตามที่ต้องการอาจจะหนาเกินไป เหมือนที่คนทั่วไปเรียกว่า “คิ้วปลิง” นั้นเอง         -  การแก้ไขในภายหลังกรณีที่ทำการสักคิ้วไปแล้ว เช่น การสักคิ้วแบบถาวร ซึ่งอาจจะต้องแก้ด้วยการเลเซอร์ลบรอยสักเท่านั้น มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องทำอีกหลายครั้งจนกว่าสีจะจางเป็นปกติ แถมยังอาจมีแผลเป็นตามมาอีกด้วย         -  การเลือกร้านสักที่ไม่ถูกสุขอนามัย ไม่มีมาตรฐาน ทำให้อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด         -  มีอาการแพ้สีที่ใช้สัก หรือยาชาโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน ทำให้เกิดการอักเสบ คัน หรืออื่นๆ แนะนำว่าอย่าปล่อยทิ้งไว้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที         -  ค่าใช้จ่ายในการสักคิ้ว ราคาสูงไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดความผิดพลาด                    นอกจากนี้  การสักคิ้วไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ข้อดีก็มี เช่น ช่วยเสริมโหวงเฮ้ง ลดเวลาการเขียนคิ้วแต่งหน้า แก้ปัญหาสำหรับสาวคิ้วบางได้ตามที่กล่าวไปข้างบน แต่สำหรับใครที่ขี้เบื่อหรือชอบเปลี่ยนทรงคิ้ว แต่ยังอยากสักคิ้วจริงๆ  อาจเลือกการสักคิ้วแบบฝังสีฝุ่น ซึ่งเป็นการฝั่งสีคิ้วไปบริเวณบนหนังกำพร้า อยู่ได้ 3-6 เดือนหรือมากกว่านั้นและจะเริ่มจางหายไปเองตามธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วอยู่เรื่อย แต่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบคิ้วสไตล์เกาหลีเท่านั้น          ทั้งนี้ “สำหรับคนที่ได้ไปสักคิ้วมาแล้ว ก็อยากให้ดูแลโดยการหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนน้ำ ทำตามคำแนะนำของช่าง เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อและอักเสบด้วยนะคะ”           ข้อมูลจาก : สักคิ้ว ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ - พบแพทย์ (pobpad.com)สักคิ้ว ข้อควรรู้ ขั้นตอน และแนวทางการดูแลตัวเองหลังสัก - พบแพทย์ (pobpad.com)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 แค่สระไดร์ ทำไมแพงจัง

สมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคท่านหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงนำมาเสนอฝากเป็นเรื่องเตือนใจถึงผู้บริโภคท่านอื่น ดังนี้         คุณศรีสมรไปประชุม ณ โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ช่วงเย็นหลังเลิกงานประชุมแล้ว คุณศรีสมรแวะเข้าไปใช้บริการสระไดร์จากร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งที่เปิดบริการอยู่ใกล้ๆ โรงแรม เท่าที่สังเกตคือ ร้านเสริมสวยดังกล่าวไม่ได้ติดป้ายแสดงราคาค่าบริการเอาไว้ ส่วนคุณศรีสมรเองตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรมาก จึงไม่ได้สอบถามค่าบริการก่อนแต่แรก คิดว่าแค่สระไดร์คงไม่เกิน 150 บาท เพราะเคยทำในราคานี้         หลังจากรับบริการเสริมสวยเป็นที่เรียบร้อย คุณศรีสมรก็ต้องตกใจ เมื่อเจ้าของร้านเรียกเก็บค่าบริการเป็นเงินจำนวน 340 บาท ซึ่งผิดจากที่คาดการณ์ไว้มาก คุณศรีสมรจึงสอบถามเจ้าของร้านไปว่า ทำไมค่าบริการถึงแพงจัง ?  ซึ่งเจ้าของร้านได้ตอบกลับมาว่า “ ผมสั้น 200 บาท ผมยาว 340 บาท ค่ะ ”         คุณศรีสมรนำเรื่องมาปรึกษากับสมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น ถึงปัญหาการคิดค่าบริการสระไดร์ของร้านเสริมสวยดังกล่าวว่าแพงเกินไปหรือไม่ ทางสมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น ได้แจ้งกับคุณศรีสมรไปว่า การที่ทางร้านไม่ติดป้ายแสดงราคานั้นถือว่าผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 40 ผู้ใดไม่แสดงราคาหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ดังนั้นทางสมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น จะทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป แนวทางการแก้ไขปัญหา        1. หากผู้บริโภคเจอปัญหาเช่นนี้ ให้ถ่ายภาพสถานที่ร้านเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยอาจถ่ายภาพจากระยะห่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโต้เถียงกัน        2. ร้องเรียนไปยัง กรมการค้าภายใน สายด่วน 1569 เพื่อขอให้หน่วยงานเข้าไปตรวจสอบ ข้อแนะนำสำหรับผู้บริโภค        - ควรเลือกใช้บริการร้านค้าที่ติดป้ายแสดงราคาสินค้า/บริการที่ชัดเจน  หากเลี่ยงไม่ได้ ให้สอบถามและตกลงค่าบริการกันก่อนใช้บริการ         สำหรับผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สามารถขอคำแนะนำหรือร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องผู้บริโภคได้ที่ สมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น  เลขที่ 686/5 ซอยวุฒาราม ถนนหน้าเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000  โทร.065 052 5005  หรือ อีเมล cakk2551@gmail.com หรือเฟสบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/Cakk2551

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 118 ซวยจากการเสริมสวย

ซวย จากการเสริมสวย  ในฉลาดซื้อฉบับนี้ผู้เขียนจะขอเล่าเรื่องเกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพซึ่งกินไม่ได้ เพราะเป็นเครื่องสำอาง เนื่องจากผู้เขียนได้พบพาดหัวข่าวในอินเตอร์เน็ตว่า โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนเป็นเอเย่นจัดส่งรกเด็กขาย เพื่อนำไปใช้ปรุงยาบำรุง แก้ปัญหาเซ็กซ์เสื่อม โรคหัวใจ และวัณโรค ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจีนได้ออกกฎห้ามซื้อขายรกเด็กตั้งแต่เดือนเมษายน 2548 แล้วโดยระบุว่า รกเด็กเป็นสมบัติของผู้เป็นมารดา ห้ามสถาบันหรือบุคคลใดซื้อขาย อย่างไรก็ดีเมื่อมีลูกค้าบางส่วนเต็มใจจ่ายเงินซื้อก็มีผู้บริการนำรกเด็กที่มาจากการแท้งลูกมาขาย   มีรายงานในหนังสือพิมพ์ของจีนกล่าวว่า หลายโรงพยาบาลพัวพันกับการจำหน่ายรกเด็กซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะโรงพยาบาลเป็นแหล่งที่รกจะหลุดออกมาจากมดลูกสาวๆ แต่ในเมืองไทยอาจพบว่าแหล่งจำหน่ายเพิ่มเติมคือ คลินิกที่ติดป้ายประมาณว่าให้คำปรึกษาในการคุมกำเนิด(แต่ไม่คุมกำหนัด)   ในทางการแพทย์แผนจีนถือว่ารกเด็กเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกาย และแก้ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชาย จึงทำให้ความต้องการรกเด็กมีสูงมาก ลูกจ้างบางรายในโรงพยาบาลอาจคบคิดกับคนข้างนอกนำรกเด็กไปจำหน่ายเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า   ในการลักลอบ(แบบเปิดเผยเพราะทำกันที่โรงพยาบาล) ซื้อขายรกนี้ นักข่าวของหนังสือพิมพ์อีสต์เอเชียอีโคโนมิกแอนด์เทรดนิวส์ได้รายงานข้อความในเว็บไซต์ว่า โรงพยาบาลสูตินารีเวชจี๋หลินของมณฑลจี๋หลิน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นผู้จำหน่ายรกเด็กรายใหญ่ ราคารกเด็กนั้นแพงไม่เบาเลยครับท่านผู้อ่าน มีข้อมูลว่ารกเด็กที่อยู่ในรูปแบบผงจำหน่ายอยู่ที่ราคา 200 หยวน (ราว 1,000 บาท) โรงพยาบาลไม่กล้าขายมันอย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็นที่รู้กันว่า ถ้าติดต่อคนภายในแล้วไม่ผิดหวัง จัดให้ โดยเฉพาะถ้าได้รกจากแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง และเด็กที่คลอดออกมาเป็นลูกชายท้องแรกด้วยแล้ว ราคาของรกจะแพงเป็นพิเศษ คำถามก็คือ มันเป็นข้อมูลจริงแค่ไหน หลอกลวงผู้บริโภค (โง่ๆ เหล่านี้) หรือเปล่า เพราะผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่มีทางออกใบรับประกันให้แน่   มีรายงานแบบหาหลักฐานยืนยันในเน็ตไม่ได้ว่าคุณแม่ส่วนหนึ่งที่เพิ่งคลอดบุตรและนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลกล่าวว่า ต้องการนำรกเด็กออกจากโรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลมักแจ้งล่วงหน้าว่า หากจะเอารกกลับไปเราจะต้องจ่ายเงินซื้อ ในขณะที่ทางโรงพยาบาลมักประกาศว่าไม่เคยได้ยินใครในโรงพยาบาลพูดถึงการขายรกเด็กและทางโรงพยาบาลก็อนุญาตให้ครอบครัวของเด็กนำรกกลับไปได้   ผู้เขียนพบข้อมูลจากบางเว็บกล่าวว่า แม้รกเด็กจะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ แต่หากรับประทานเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น เชื้อ HIV หรือโรคอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้เป็นแม่ ซึ่งถ้าแจ๊คพ็อตแตกเจอแม่เป็นเอดส์ด้วย ก็งามไส้แบบที่ตลกคาเฟ่ชอบพูด ชิมินอกจากนี้แม้ว่ารกเด็กนั้นจะสมบูรณ์ แต่ก็อาจกลายเป็นพิษได้หากในช่วงการส่งมอบหรือการเก็บรักษาไม่ได้กระทำอย่างสะอาดและอุณหภูมิเย็นไม่พอที่จะป้องกันไม่ให้รกเน่า เนื่องจากรกนั้นเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดสุดยอดของแบคทีเรีย ปัจจุบันในประเทศไทยมีการนำทั้งรกแกะเข้ามาจำหน่ายอยู่บ้าง โดยเรียกว่า เซลล์สด และมีบางส่วนที่เป็นรกปลอม และก็มีบางส่วนในรูปเครื่องสำอาง ส่วนกรณีของรกคนนั้น ผู้เขียนจำได้ว่า เมื่อ 25 ปีมาแล้วตอนที่ภรรยาผู้เขียนจะคลอดบุตรทางโรงพยาบาลได้ให้ผู้เขียนลงนามยกรกให้โรงพยาบาล นัยว่ามีบริษัทผลิตเครื่องสำอางได้ติดต่อซื้อไว้เพื่อนำไปสกัดสารทำเครื่องสำอางประเภทบำรุงผิวหน้า เพื่อลบร่องรอยแห่งกาลเวลา ส่วนเงินจากการจำหน่ายนั้นคงเข้าโรงพยาบาลอย่างถูกต้อง เพราะเรื่องนี้ทำกันเปิดเผยมีแบบฟอร์มมาตรฐานให้กรอก   ในเรื่องของเครื่องสำอางที่มีรกเป็นส่วนผสมนั้น ผู้เขียนไม่เคยใช้  ส่วนภรรยาก็ไม่กล้าใช้เพราะไม่จำเป็น และไม่เชื่อว่าเครื่องสำอางประเภทใดจะชะลอความแก่ได้ดังที่โฆษณา เครื่องสำอางประเภทนี้มักมีราคาแพง ถ้าไม่แพงก็มักปลอม   แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีผู้หวังดีไปเที่ยวออสเตรเลียแล้วซื้อครีมทาหน้าชนิดที่อวดว่าทาแล้วหน้าจะเด้งเป็นหนุ่มสาวขึ้น หรืออย่างน้อยก็ชะลอความแก่ไว้ให้ช้าลง โดยครีมกระปุกนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง รวมทั้งรก ซึ่งไม่ได้บอกว่ามาจากสัตว์ประเภทใด แต่เข้าใจว่าเป็นแกะ เพราะออสเตรเลียมีแกะเยอะ   เครื่องสำอางกระปุกนี้ผู้เขียนก็ไม่กล้าใช้ ภรรยาก็ไม่ยอมใช้ จะยกให้ลูกสาว เธอก็ถามว่ามันปลอดภัยหรือที่จะใช้ เพราะทั้งพ่อและแม่ยังไม่ใช้ สุดท้ายเลยต้องบริจาคให้ผู้ประสงค์จะใช้ด้วยความยินดี เพราะเธอผู้นั้นใช้เป็นประจำ ผู้เขียนก็ได้แต่สวดมนต์ให้เธอผู้นั้นมีผิวหน้าเป็นปรกติตลอดไปเพราะ.......   ปัญหา (ที่อาจเกิด) จากสารสกัดรกคือ มันคงมีสารชีวเคมีในกลุ่มที่เราเรียกว่า Growth factor ซึ่งเป็นองค์ประกอบในเซลล์สัตว์ชั้นสูงที่กระตุ้นการแบ่งเซลล์ โดยมีหลักการว่า ตราบใดที่เซลล์ยังสามารถแบ่งตัวได้อีก ตราบนั้นก็แสดงว่า ยังไม่แก่ หรือ อาจกำลังเป็นมะเร็ง ทั้งนี้เพราะในเซลล์มะเร็งนั้นจะมีสารชีวเคมีที่กระตุ้นให้เซลล์เข้าสู่กระบวนการแบ่งใหม่ตลอดเวลา   ในวงจรชีวิตเซลล์ของสัตว์ชั้นสูงนั้น ในช่วงที่ชีวิตยังเพิ่งเริ่มต้นจากเซลล์ที่ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่นั้น การเพิ่มปริมาณเซลล์จากหนึ่งเซลล์เป็นประมาณสามพันล้านเซลล์ของทารกก่อนคลอดนั้น ต้องมีสารชีวเคมีพิเศษที่มีการสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เซลล์แบ่งอย่างรวดเร็วในลักษณะคล้ายการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง แต่ที่ต่างคือ เซลล์มะเร็งนั้นแบ่งแล้วไม่หยุด ในขณะที่ในทารกนั้นเมื่อแบ่งไปถึงจุดหนึ่งเซลล์จะหยุดแบ่งแล้วมีการพัฒนาเซลล์กลายเป็นเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ   ในกรณีที่เซลล์ของมนุษย์ที่โตแล้วมักไม่มีการแบ่งเซลล์อีก ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือดต่าง ๆ เซลล์ผิวหนังทั้งภายนอกและภายในทางเดินอาหาร ตลอดจนเซลล์สเปิร์มในอัณฑะของเพศชาย ซึ่งเซลล์เหล่านี้หลังแบ่งแล้วต้องพัฒนาให้ทำงานได้ ต่างกับการแบ่งของเซลล์มะเร็งที่ไม่มีการพัฒนา เอาแต่แบ่งอย่างเดียว   ดังนั้นโดยหลักการแล้ว ในรกของสัตว์เลือดอุ่นจึงควรมีสารที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการแบ่งเซลล์อยู่แน่ ๆ ถ้าเก็บไว้อย่างถูกหลักวิชาการ และเมื่อนำมาสกัดสารซึ่งเป็นพวกโปรตีน (มีชื่อเรียกหลายขนิดเช่น อัลฟาฟีโตโปรตีน เป็นต้น) ไปผสมกับส่วนผสมของครีมทางผิวแล้ว ก็ตั้งความหวังว่าให้สารพวกนี้ไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังที่แก่แล้วกลับเข้าสู่วงจรการแบ่งเซลล์อีก การที่เซลล์ของอวัยวะของสัตว์ชั้นสูงกลับเข้าสู่วงจรการแบ่งนั้นมีตัวอย่างบ้าง  ในกรณีของเซลล์ตับที่เกิดการตัดตับปรกติออกไป จะมีการแบ่งเซลล์ตับส่วนที่เหลือใหม่เพื่อให้เจริญงอกออกมาจนเท่าเดิม (เรื่องนี้มีจริงแต่เป็นการทดลองในหนูเท่านั้น..ผู้เขียน) แต่ในอีกกรณีคือ การที่เซลล์ตับกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งกรณีหลังนี้เซลล์ตับจะแบ่งแบบไม่มีการหยุดเลยจนเจ้าของตับตายไป ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมีความกังวลในใจว่า ในการกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวใหม่นั้น จริงแล้วเป็นการซึมของสารลงไปกระตุ้นเซลล์ในชั้นเดอร์มิส ซึ่งเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นก็จะไม่แบ่งเช่นกัน ทั้งที่ยังพอมีชีวิตอยู่ (ซึ่งต่างกับเซลล์ผิวหนังชั้นบนที่เรียกว่า เอฟปิเดอร์มิส ซึ่งตายหรือเกือบตายแล้วนั้น) กลับฟื้นขึ้นมาแบ่งใหม่ซึ่งอาจจะมีการแบ่งแบบไม่ปรกติได้ ในกระบวนการแบ่งเซลล์ตามปรกตินั้นต้องมีการควบคุมหลายขั้นตอนและใช้สารชีวเคมีมากมายสุดจะบรรยายได้ ในกรณีเซลล์ยังไม่แก่กระบวนการแบ่งเซลล์คงยังควบคุมไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่ถ้าเป็นเซลล์แก่ๆ การควบคุมการแบ่งเซลล์นั้นคงไม่เหมือนเซลล์หนุ่มสาวแน่   ดังนั้นการที่จะหวังให้เซลล์ที่ผิวแก้มที่ตายหรือใกล้ตายฟื้นขึ้นมากระดี๊กระด๊าเหมือนเมื่อสาวๆ นั้น คงจะไร้ความหวังพอควร แต่ถ้าต้องการให้เป็นไปได้จริง อาจต้องผ่าตัดในลักษณะที่เรียกว่า ปลูกถ่ายผิวหนังใหม่แทนบนใบหน้า โดยการใช้ผิวของแก้มก้นเราเอง(เพื่อป้องกันการต่อต้านด้วยระบบภูมิต้านทาน) มาปลูกถ่ายบนผิวแก้มของใบหน้า   แก้มก้นของเราเป็นส่วนที่ควรมีเซลล์ที่มีสุขภาพดีที่สุด เพราะมักถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้า ยกเว้นคนที่ชอบใส่บิกินีเปิดโอกาสให้ผิวแก้มก้นต้องสัมผัสแดด กลุ่มคนประเภทหลังนี้เมื่ออายุมาก เซลล์ที่แก้มบนหน้าและแก้มก้นอาจแก่ใกล้เคียงกัน ถ้านำมาปลูกถ่ายคงไม่มีประโยชน์ จึงอาจต้องมีการลงแจ้งความขอซื้อผิวแก้มก้นจากผู้ประสงค์จะขายก็ได้ เมื่อนั้นในอนาคตเวลาเราหอมแก้มกัน ผู้หอมก็อาจไม่แน่ใจว่า กำลังหอมเซลล์แก้มส่วนไหนของร่างกายกันแน่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point