ฉบับที่ 128 แก้ปัญหาเท้าเหม็น ส้นเท้าแตก อย่างถูกวิธี

  เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกเพศทุกวัยในคนที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้น ทำให้อับชื้นเพราะอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้สะดวก น้ำเหงื่อที่คายออกมาจากผิวหนังจะส่งกลิ่นเหม็นได้อย่างรวดเร็วเมื่อระเหยออกไม่ได้ กลิ่นเหม็นนี้แน่นอนเกิดจากการหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ฝ่าเท้าและรองเท้าหรือถุงเท้าที่อับชื้นทั้งวัน สาเหตุหนึ่งที่พบคือการเลือกใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่หนาแน่นเกินไป ไม่สามารถระบายความชื้นได้ เช่น รองเท้าที่ทำด้วยพลาสติกหรือใยสังเคราะห์ไนล่อนที่ไม่มีรูระบายอากาศ หรือวัสดุที่ไม่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้ ทำให้ฝ่าเท้าชื้นตลอดเวลา รวมทั้งการสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าคับและแน่นเกินไป   การจัดการกับถุงเท้า 1 ถุงเท้า ควรเลือกซื้อถุงเท้าที่ดูดซับความชื้นได้ดี และระบายอากาศได้ดี 2 เลือกถุงเท้าที่ไม่คับจนเกินไป 3 เปลี่ยนถุงเท้าที่สะอาดทุกวัน เวลาซักต้องตากให้แห้งสนิท และถ้าซักด้วยน้ำร้อนได้ยิ่งดีเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค 4 ควรพิจารณาใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ โรยผิวเท้าและฝ่าเท้าก่อนสวมใส่ถุงเท้าเป็นครั้งคราวเมื่อพบกลิ่นเหม็น แป้งฝุ่นจะช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ในขณะเดียวกันยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่บริเวณฝ่าเท้าและถุงเท้าได้ อย่างไรก็ตามการใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะไม่ได้ผลหากไม่ยอมรักษาความสะอาดของเท้าและถุงเท้า   การจัดการกับรองเท้า 1 ตรวจสอบผ้าซับที่บุอยู่ภายในรองเท้า รองเท้าหนังมักจะมีผ้าใยสังเคราะห์เป็นไนล่อนบุภายในรองเท้า ซึ่งจะทำให้เท้าอับชื้นได้ง่าย ควรเลือกรองเท้าที่บุภายในด้วยหนังล้วน ซึ่งจะช่วยคายความชื้นได้ดีกว่า 2 เลือกรองเท้าชนิดที่สามารถซักล้าง/ทำความสะอาดได้ และควรทำความสะอาดทุกวัน วางรองเท้าไว้ในที่อากาศถ่ายเท ไม่ความเก็บในตู้รองเท้าที่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นการบ่มเพาะเชื้อโรคได้รวดเร็ว 3 ทุก 2-3 สัปดาห์ ควรทำความสะอาดภายในรองเท้าด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์หมาดๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรค 4 ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน ควรเปลี่ยนทุก 2 วัน เพื่อให้รองเท้าได้พักและระบายความอับชื้น   การจัดการกับเท้า 1 ตรวจสอบส้นเท้าว่าแห้งและแตกเป็นขุยหรือไม่ หนังหนาๆ ที่แห้งแตกเป็นขุยจะเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้ง่ายที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชื้นแฉะ หากพบว่าส้นเท้าแห้งเป็นขุย อาจใช้ตะไบหรือหินสำหรับขัดส้นเท้าเพื่อขจัดหนังหนาๆ ให้บางลง หรืออาจใช้ครีมผสมตัวยาซาลิไซลิค แอซิด จากร้านขายยา ทาทุกวันเพื่อลอกหนังที่หนาและแตกออก 2 ล้างเท้าและแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นครั้งละ 10-15 นาที หลังจากซับให้แห้งสนิท หากมีน้ำมันไพลหรือครีมผสมน้ำมันไพล ให้ทาบางๆ ให้ทั่วฝ่าเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามซอกนิ้วเท้า น้ำมันไพลมีสรรพคุณฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ดี นอกจากนั้นยังเป็นน้ำมันหล่อลื่นธรรมชาติ ช่วยให้ฝ่าเท้าไม่แห้งแตกอีกด้วย 3 หากพบอาการผิดปกติ เช่น คัน/แดง อาจใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทสเปรย์เท้า ซึ่งมีส่วนผสมของยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งมีขายตามร้านขายยา สเปรย์ให้ทั่วตามซอกนิ้วเท้าหรือบริเวณที่มีปัญหา ควรใช้ยาต่อเนื่องจนกว่าอาการจะหายสนิท หากไม่ดีขึ้นหรือพบการติดเชื้อรุนแรง ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง 4 สำหรับผู้ที่เท้ามีเหงื่อออกมาก ชื้นและแฉะ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทระงับเหงื่อ ซึ่งมีส่วนผสมของเกลืออลูมิเนียมคลอไรด์ ทาบริเวณฝ่าเท้าและซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาดและซับให้แห้งสนิทก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ ควรใช้ตอนกลางคืนก่อนนอนและล้างออกตอนเช้า ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 วัน และทุกสองสัปดาห์ แต่หากพบว่าฝ่าเท้ามีอาการอักเสบ คาดว่าน่าจะมีการติดเชื้อ ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อชนิดนี้ แต่ควรไปปรึกษาแพทย์แทน 5 ครีมบำรุงผิวเท้า คนที่ผิวเท้าแห้งและแตก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วจากข้อแนะนำข้างต้น ควรจะบำรุงผิวเท้าด้วยครีมบำรุงผิวเท้าอย่างสม่ำเสมอ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่ข้นและเหนียว ไม่ต้องกลัวครีมเหนียวเหนอะหนะ เพราะครีมที่ยิ่งข้นและยิ่งเหนียวเหนอะหนะ จะให้ความชุ่มชื้นได้มากและปกป้องผิวได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าเท้าที่ทั้งแห้งและแตกเป็นขุย หากบำรุงเป็นประจำ ฝ่าเท้าจะไม่กลับมาแห้งแตกอีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point