ฉบับที่ 123 ฝันร้ายก่อน 2012

  มีนาคม 2554 ที่ผ่านไปแล้วนั้น กลุ่มคนที่ฝันร้ายที่สุดในโลกคงไม่เกินชาวญี่ปุ่น ที่ประสบปัญหาอุบัติภัยในการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติที่น่าวิตกครั้งหนึ่งของมนุษย์ชาติ ส่งผลให้อนาคตของการใช้พลังงานปรมาณูในการผลิตไฟฟ้าในหลาย ๆ ประเทศไม่แน่นอนไปเลย  การเกิดปัญหาเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะคนญี่ปุ่นมีปูมหลังที่หวาดกลัวสารรังสีมาตั้งแต่สมัยโดนทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ จนเวลาผ่านมาราว 66 ปี และคนในยุคนั้นเหลือน้อยเต็มที่ ความหวาดกลัวได้หายไปเกือบหมด ดูได้จากก่อนเกิดปัญหาที่ฟูกูชิมา หลายจังหวัดของญี่ปุ่นที่ไม่มีโรงไฟฟ้าปรมาณูได้ดำริจะขอจัดตั้งบ้าง เนื่องจากเห็นประโยชน์ของโรงไฟฟ้าชนิดนี้ว่า เป็นพลังงาน (เหมือน) สะอาด และราคา (เหมือน) ถูก ทั้งนี้เพราะชาวญี่ปุ่นปัจจุบันเป็นกลุ่มชนที่ฟุ่มเฟือย ใช้พลังงานมากที่สุดในโลกก็ว่าได้  จะถือว่าเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้ายก็ตาม ที่โรงไฟฟ้าพลังงานปรมาณูที่ฟูกูชิมาเกิดมีปัญหาเนื่องจากแผ่นดินไหวและเกิดสึนามิขึ้นมา โครงการสร้างโรงไฟฟ้าปรมาณูทั่วโลกจึงหัวทิ่มไปหมด ถึงขนาดที่ประเทศเยอรมันที่กำลังจะต่ออายุโรงไฟฟ้าที่เตรียมยกเลิกแล้วต้องยกเลิกจริงไปเลย เพราะเป็นโรงไฟฟ้ารุ่นเก่า  จึงมีคำถามว่า แล้วคนไทยจะรนหาที่ไปทำไมในเรื่องโรงไฟฟ้าปรมาณู หรือมันตอบสนองความต้องการของใครกันแน่  ถามใหม่ว่า ถ้าประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าปรมาณู ถึงมันจะเป็นเจ็นเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งปลอดภัยสุด ๆ ตามที่เขาบอกแล้วก็ตาม โอกาสจะเกิดปัญหาแบบฟูกูชิมามีได้หรือไม่ คำตอบแบบใช้ไขสันหลังแบบเน้น ๆ คือ มีแน่นอน และเมื่อได้คำตอบนี้แล้ว คนไทยจะทำอย่างไรถ้าเกิดอุบัติภัยเช่นนี้  ผู้เขียนตอบตนเองต่อคำถามดังกล่าวว่า ไม่รู้แฮะ เพราะไม่เคยคิด เหมือนเราไม่เคยคิดเรื่องสึนามิมาก่อน ดังนั้นผู้เขียนจึงลองสร้างสถานการณ์ว่า ถ้าเมืองไทยมีโรงไฟฟ้าปรมาณูตั้งอยู่ที่ ศาลายา นครปฐม สิ่งแรกที่ผู้เขียนจะทำคือ ขายบ้านซึ่งอยู่ถนนพุทธมณฑลสาย 2 ทิ้ง ย้ายไปอยู่ที่ใดก็ได้ที่มีภูเขาที่สามารถบังกระแสลมจากศาลายา ทั้งนี้เพราะเป็นที่ทราบดีว่า ถ้าไม่สามารถควบคุมการทำงานของแกนกลางที่ให้พลังงานของโรงไฟฟ้าปรมาณูได้ สารรังสีที่สามารถลอยไปกับลมสองชนิดหลักคือ ไอโอดีน 131 และซีเซียม 137 มีการกระจายแน่ในเริ่มแรก ภูเขาจึงอาจช่วยได้บ้าง   แล้วเราควรเตรียมร่างกายอย่างไรถ้ามีการตอกเสาเข็มสร้างโรงไฟฟ้าปรมาณู แต่ย้ายบ้านไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง มีระบบภูมิต้านทานดี เพราะอันตรายของสารรังสีที่สำคัญคือ การก่อมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งน่ากลัวเนื่องจากเม็ดเลือดขาวนั้นเป็นระบบที่คอยกำจัดเซลล์มะเร็ง แล้วเมื่อกลายเป็นมะเร็งเสียเอง ทุกอย่างก็จบกัน ดังนั้นที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้ระบบเม็ดเลือดขาวแข็งแรงสามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเนื่องจากสารกัมมันตภาพรังสีได้  สารกัมมันตภาพรังสีนั้น ไม่ว่าชนิดใดก็ไม่ควรให้ปนในอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เพราะการแผ่รังสีภายในร่างกายนั้นสามารถทำให้เซลล์ของระบบต่าง ๆ กลายเป็นมะเร็งได้ทุกระบบ แต่ที่เสี่ยงที่สุดคือ ระบบที่มีความพร้อมในการแบ่งตัวตลอดเวลา คือ ระบบเม็ดเลือดขาว อย่างไรก็ดี แม้เม็ดเลือดขาวจะเสี่ยงต่อการเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง เม็ดเลือดขาวเองก็มีระบบซ่อมแซมหน่วยพันธุกรรมของตัวเองเหมือนเซลล์อื่น ๆ เพียงแต่ต้องกินสารอาหารที่มีประโยชน์ครบ  เคยมีงานวิจัยที่พบว่า คนที่รอดตายจากการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมานั้น ถ้าใครมีพฤติกรรมการบริโภคผักและผลไม้สูงจะมีชีวิตที่ยืนยาวและลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่ชอบผักและผลไม้  การศึกษาในหนูทดลองที่ถูกฉายรังสีแกมม่า (ซึ่งสามารถได้รับจากไอโอดีน 131 และสารกัมมันตภาพรังสีอีกหลายชนิด) นั้น ถ้าสัตว์ได้รับวิตามินเอ (หรืออาจเป็นเบต้าแคโรตีนก็ได้) วิตามินอี และวิตามินซี ก่อนการทดลอง การแตกหักของเซลล์เม็ดเลือดขาว (ซึ่งเป็นดัชนีชีวัดอันตรายจากรังสี) จะลดลง ดังนั้นการที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง และได้รับสารกลุ่มต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ จึงสำคัญมากๆ เพราะอันตรายที่รังสีเช่น แกมม่า ก่อให้เกิดในร่างกายเรานั้น ประเด็นหลักคือ การก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งถ้ากินอาหารมีผักผลไม้สีสดแล้วเราย่อมได้สารต้านอนุมูลอิสระมากพอ แต่ที่สำคัญอย่าไปหลงเชื่อกินสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นเม็ดๆ เพราะท่านอาจได้รับชนิดของสารต้านอนุมูลอิสระไม่ครบเท่าจากการกินอาหารทั่วไป   หลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานั้นได้มีการเตรียมตัวรับสถานการณ์กันค่อนข้างดี เพราะหลายรัฐมีโรงไฟฟ้าประเภทนี้และในอดีตหลายรัฐก็มีปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย ประชาชนจึงมักได้รับการอธิบายและอาจมีการฝึกรับมือเมื่อเกิดปัญหาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ในเอกสารเรื่อง Radioactive contamination of food: A primer for consumers (ซึ่งสามารถค้นหาได้จาก google แล้ว download มาอ่านนั้น) ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนว่าควรปฏิบัติอย่างไร โดยอาศัยพื้นฐานจากข้อปฏิบัติของรัฐเวอร์มอนต์  โดยทั่วไปแล้วเมื่อเกิดปัญหาแบบที่ฟูกูชิมา ประชาชนจะได้รับคำแนะนำให้ตามข่าวอยู่แต่ในบ้าน หรืออาจต้องอพยพตามความรุนแรงของสถานการณ์ (โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีขโมยออกปฏิบัติการเหมือนในบางประเทศที่น้ำท่วมแล้วชาวบ้านยอมตายคาบ้าน) ผักผลไม้หรือพืชที่ปลูกไว้อื่นๆ ถ้าสามารถคลุมด้วยผ้าใบกันน้ำได้ จะช่วยให้มีอาหารกินได้นานขึ้น  อาหารประเภทที่มีความปลอดภัยในสถานการณ์ดังกล่าวคือ อาหารกระป๋อง สำหรับนมที่จะให้เด็กนั้นต้องมาจากวัวที่ได้รับการดูแลไม่ให้สัมผัสสารรังสีคือ อยู่ในโรงเลี้ยงและกินอาหารที่ได้รับการตรวจสอบ (หรือไม่ก็ดูฉลากว่ามาจากประเทศที่ไม่มีปัญหาการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี) เหตุที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะ เด็กและวัยรุ่นที่กำลังเติบโตนั้นมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงสุด ส่วนประเภทแก่เฒ่าเขี้ยวลากดินแล้วนั้น เซลล์มันไม่ค่อยแบ่งแล้ว ความเสี่ยงก็ต่ำลง  อาหารประเภทผักผลไม้ ไม่ว่าปลูกเองหรือซื้อมาควรล้างให้มากเป็นพิเศษ หรือถ้าปอกเปลือกได้ก็ต้องปอกเปลือก แต่ในกรณีสารรังสีซึมเข้าไปอยู่ในเนื้ออาหารแล้ว ก็ตัวใครตัวมันครับ อย่างไรก็ตามในหลักการแล้ว อย. จะต้องดูแลเรื่องนี้  เนื้อสัตว์ต่างๆ ควรมาจากฟาร์มที่เลี้ยงสัตว์แบบปกปิดมิดชิด ซึ่งก็คือฟาร์มขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันบ้านเราก็มีหลายแห่ง อาหารเนื้อสัตว์จากฟาร์มเล็กจะค่อนข้างมีปัญหาจึงควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงยากให้ลดความเสี่ยงโดยอาศัยหลักการที่ว่า ปรกติแล้วสารรังสีที่ให้รังสีแกมมาเช่น ไอโอดีน 131 นั้นมีอายุค่อนข้างสั้น กล่าวคือ เวลาผ่านไป 8 วัน ปริมาณจะลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นอาหารที่ปนเปื้อนสารรังสีไอโอดีน 131 จึงมักจะมีความเสี่ยงลดลงถ้าเก็บไว้ในที่ปลอดภัยสักระยะหนึ่งจึงนำมาบริโภค (หมายความว่าเมื่อไม่มีอย่างอื่นกินแล้ว) ส่วนปลาหน้าดินที่เลี้ยงในบ่อที่อยู่ในบริเวณมีสารรังสีปนเปื้อนนั้น จะมีการปนเปื้อนมากกว่าปลาที่หากินผิวน้ำ ดังนั้นเราอาจต้องลืมผัดเผ็ดปลาดุกสักพักหนึ่งถ้าโรงไฟฟ้าปรมาณูในบ้านเรา(ถ้ามี) เกิดปัญหา สุดท้ายแล้วสิ่งที่ควรพิจารณามากที่สุดคือ ทำไมเราต้องมีโรงไฟฟ้าปรมาณู ทำไมเราไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือ การใช้ไฟเปลืองเกินจำเป็น หรือถ้ามันต้องใช้ไฟฟ้ามาก ทำไมไม่มองพลังงานที่สะอาดจริง ๆ เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือแม้แต่พลังงานน้ำที่ทำในขนาดเล็กพอเพียงใช้ในชุมชน ไม่ใช่ทำเขื่อนกั้นน้ำเบ้อเริ่มบนรอยแยกของเปลือกโลกแล้วทำให้คนท้ายน้ำใส่ชูชีพนอนตลอดเวลา คนไทยเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางจริยธรรมสูงมาก แค่น้ำมันปาล์มขาดตลาดก็แย่งกันกักตุนแล้ว เมื่อใดที่ข้าวสารขาดตลาดจะเกิดภาวะวุ่นวายเพียงใด และถ้าเกิดอุบัติภัยขนาดใหญ่เช่นที่ฟูกูชิมาคนไทยจะต่างคนต่างหาทางเอาตัวรอดเพียงใด ดังนั้นเมื่อใดที่รัฐบาลสามารถทำให้คนไทยมีความเป็นระเบียบ หัดเข้าคิวทำกิจกรรมในสถานการณ์ปรกติได้ ค่อยคิดเรื่องมีโรงไฟฟ้าปรมาณูดีกว่ามั้ง  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point