ฉบับที่ 270 เตือนภัยยาสูตรเข้มข้น อันตรายก็เข้มขึ้น

        ในช่วงหน้าทำนายาอันตรายที่กำลังฮิตในกลุ่มพี่น้องเกษตรกรทางอิสานคงหนีไม่พ้นยาแก้ปวดเมื่อย ช่วงนี้มียาฮิตตัวใหม่มีการนำมาเร่ขายตามบ้าน รู้กันในชื่อ สูตรเข้มข้นx2 Extra และมีการบอกต่อๆกันจนขายดิบขายดี ทั้งๆ ที่ราคาก็ไม่ธรรมดา ราคาต่อขวดมากกว่าหนึ่งพันบาท         นอกจากชื่อที่บอกเข้มข้นแล้ว อันตรายมันก็เข้มขึ้นไม่แพ้กัน ผู้ที่นำไปรับประทานหวังแก้อาการปวดเมื่อย หลายรายเกิดอาการไม่พึงประสงค์แถมมาด้วย ส่วนใหญ่จะเกิดอาการบวมที่เท้า ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่มักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีการใช้ยาที่มีการปลอมปนสารสเตียรอยด์ สำหรับเภสัชกรโรงพยาบาลชุมชน เมื่อทราบข้อมูลจึงได้ขอยาจากชาวบ้านมาทดสอบและก็แม่นยิ่งกว่าถูกหวยเสียอีก เป็นไปตามคาดเพราะเมื่อทดสอบด้วยชุดทดสอบสารสเตียรอยด์เบื้องต้น ผลปรากฏว่าให้ผลบวก หมายถึงพบการปลอมปนสารสเตียรอยด์อยู่ในผลิตภัณฑ์นี้จริงๆ         ไหนๆ ก็เล่ามาแล้ว ขอย้ำเตือน อันตรายจากสเตียรอยด์ที่เราพอจะสังเกตเองได้เอง เผื่อจะได้ช่วยกันสอดส่องคนใกล้ตัวว่า หลงไปใช้ยาที่มีการปลอมปนสารสเตียรอยด์โดยไม่รู้ตัวหรือไม่  อาการที่จะพบได้บ่อยๆ คืออาการที่เรียกว่า “คุชชิ่ง ซินโดรม (Cushing Syndrome)” คือ ใบหน้ากลมคล้ายพระจันทร์ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ด้านหลังเป็นหนอก ผิวหนังบาง มีรอยแตกสีม่วงแดงตามผิวหนังที่หน้าท้องและต้นขา        อันตรายที่น่ากลัวยังมีมากกว่านี้ การได้รับสเตียรอยด์ในขนาดสูงเป็นเวลานานมันจะไปกดภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลงลดลง ผู้ที่ใช้ยาที่มีการปลอมปนสารสเตียรอยด์จึงติดเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เยื่อบุในกระเพาะอาหารบางลงและยังไปยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารใหม่ อาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุหรือเลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยไม่มีอาการปวดท้องมาก่อนด้วยซ้ำ  และอีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือทำให้กระดูกพรุน           ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ ยิ่งอันตราย ผู้ป่วยเบาหวานจะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในช่วงปกติได้ ผู้ป่วยความดันโลหิตจะไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในช่วงปกติได้เช่นกัน มักจะมีระดับความดันโลหิตสูงแต่ไม่มีอาการเตือน จึงเปรียบเสมือนภัยเงียบที่อาจทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตก เสี่ยงเป็นอัมพฤต-อัมพาตได้ และที่ต้องย้ำคือ ถ้าพบว่ายาที่ใช้มีการปลอมปนสารสเตียรอยด์ อย่าหยุดใช้เองโดยทันที เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารสเตียรอยด์เป็นเวลานาน  ร่างกายจะหยุดสร้างสเตียรอยด์ตามธรรมชาติที่ร่างกายเคยสร้างเองได้  เมื่อผู้ป่วยหยุดใช้อย่างกะทันหันจะทำให้ร่างกายขาดสเตียรอยด์อย่างฉับพลัน อาจเกิดภาวะช็อกหมดสติและเสียชีวิตได้หากนำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน หากมีปัญหาเนื่องจากการใช้ยาที่ปนเปื้อนสารสเตียรอยด์แล้ว ขอให้รีบมาพบแพทย์เพื่อรักษาที่ถูกต้องจะปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 261 ปลอมยา (จีน) โผล่ชายแดน ก่อนวกมา (ไทย)

        ด้วยความจำเป็นในชีวิตทำให้หญิงคนหนึ่งต้องทนตรากตรำทำงาน หาเงินส่งลูกชายคนเดียวของเธอเรียนหนังสือ จากคำแนะนำของเพื่อนทำให้เธอต้องหลุดเข้ามาสู่วังวนการใช้สเตียรอยด์ นานติดต่อกันถึง 6 ปี         เรื่องมีอยู่ว่า เธอซื้อสเตียรอยด์แบบเม็ดบรรจุในกระปุกสีขาวมีฉลากภาษาจีนมาจากพ่อค้าขายเครื่องเทศชาวเขาในตลาดนัดใกล้บ้าน เพียงกินวันละ 2 เม็ด มันก็ทำให้เธอมีเรี่ยวแรงรู้สึกกระชุ่มกระชวย จนสามารถทำงานได้ทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นานวันเข้าคนรอบข้างเริ่มสังเกตเห็นว่า ร่างกายเธอเริ่มบวมขึ้น ผิวหนังบางจนเห็นเส้นเลือด จึงพยายามเตือนให้หยุดกิน แต่เธอก็ไม่เชื่อเพราะมันทำให้เธอมีแรงทำงานได้ทุกวัน เธอคิดว่ามันคุ้มกว่าการไปหาหมอหรือกินยาอย่างอื่นๆ ที่ได้ผลเพียงชั่วคราว แต่มีอีกเหตุผลที่เธอแอบเล่าให้ฟังคือ “เธอยอมรับว่าติดมันแล้ว หากหยุดก็กลัวว่าร่างกายจะทรุดลงและกลัวจะถูกชาวบ้านสมน้ำหน้าที่เตือนแล้วไม่ฟังอีกด้วย”         ผลจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้เธอไม่สามารถเข้าถึงสเตียรอยด์จากพ่อค้าได้เหมือนเดิม เพราะตลาดนัดถูกสั่งปิด ทำให้เธอเริ่มมีการอาการผิดปกติจากอาการถอนสเตียรอยด์  เริ่มเมื่อยล้า ปวดข้อ มีไข้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพาน และถูกส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายฯ รวมเวลาที่เธอต้องนอนในโรงพยาบาลทั้งหมด 24 วัน โดยต้องเข้าไปอยู่ในห้อง ICU ถึง 7 วัน โชคดีที่เธอรอดชีวิตมาได้ แต่สเตียรอยด์ก็ทำลายชีวิตเธอไปไม่น้อยเช่นกัน เสียทั้งเวลาและเงินที่เก็บไว้ไปในการรักษาตัว และเพราะเหตุที่เธอใช้สเตียรอยด์นานติดต่อกันจนเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตสเตียรอยด์ธรรมชาติในร่างกายได้เอง แพทย์ผู้ทำการรักษาจึงจำเป็นต้องให้เธอต้องกินสเตียรอยด์ขนาดต่ำไปตลอดชีวิตเพื่อชดเชย  สุดท้ายเธอบอกว่าสเตียรอยด์ส่งผลต่อชีวิตเธออย่างมาก “เป็นตายเท่ากัน แทบจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก จะไม่ขอกลับไปใช้มันอีกแล้ว”         จากข้อมูลย้อนหลังผู้ป่วยโรคไตที่มารับบริการที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในปี 2563 พบว่า มีผู้ป่วยจำนวน 24 ราย ที่มีภาวะบกพร่องของต่อมหมวกไตที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน โดยพบในพื้นที่อำเภอพานมากที่สุด สอดคล้องกับข้อมูลจากรายงานยาปลอมโดยเครือข่ายผู้บริโภคภาคเหนือในหลายจังหวัด พบยาปลอมมี่มีลักษณะคล้ายกัน คือเป็นยาเม็ดในกระปุกสีขาวฉลากภาษาจีน ขายคู่กัน 2 กระปุก กระปุกหนึ่งเป็นยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อีกกระปุกคือสเตียรอยด์ชนิดเด็กซาเม็ททาโซน โดยซื้อขายกันผ่านตลาดนัด มีเครือข่ายพ่อค้าบางกลุ่มนำเข้ามา         น่าแปลกใจว่าสารตั้งต้นในกระบวนการผลิตยาที่มีการปลอมปนสเตียรอยด์นั้นมาจากไหน เพราะตามกฎหมายแล้วสารเหล่านี้จะต้องถูกควบคุมและจำกัดให้อยู่เฉพาะในบริษัทยาที่ได้รับอนุญาตผลิตตามกฎหมายเท่านั้น! การวนเวียนของสารตั้งต้นจากในประเทศออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านและวกกลับเข้ามาในไทยเพื่อผลิตยาปลอมนั้นกลับเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ภาคเหนือ ปัญหายาอันตรายตามชายแดนที่ค่อยๆ กัดกินชีวิตคนไปทีละน้อยแบบเงียบๆ นี้ควรจะต้องถูกยกเป็นปัญหาระดับชาติเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องหันมาให้ความสนใจ ก่อนที่จะมีคนพื้นที่สูญเสียด้านสุขภาพไปมากกว่านี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉลาดซื้อตรวจเวย์โปรตีน พบบางยี่ห้อมีโปรตีนไม่ตรงตามที่แจ้งบนฉลาก

        ฉลาดซื้อ เผยผลทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเวย์โปรตีน ไม่พบสเตียรอยด์ แต่ทดสอบพบ 2 ตัวอย่างมีปริมาณโปรตีนไม่ตรงตามที่แจ้งบนฉลาก แนะผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการทานเวย์โปรตีนที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์มากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ          นิตยสารฉลาดซื้อและโครงการสนับสนุนระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ดำเนินการทดสอบนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคให้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน เพียงพอ และได้รับความปลอดภัยจากสินค้าหรือบริการ ตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค โดยได้สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเวย์โปรตีน จำนวน 9 ตัวอย่าง จากร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ ในช่วงเดือนมกราคม 2564 เพื่อทดสอบสารอนาบอลิกสเตียรอยด์ (Anabolic-Androgenic Steroids) ซึ่งเป็นยาที่นิยมกันในหมู่นักกีฬาเพาะกาย และทดสอบหาปริมาณโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ว่าเป็นไปตามการกล่าวอ้างบนฉลากหรือไม่          ผลสำรวจพบว่า ไม่พบสารอนาบอลิกสเตียรอยด์ (Anabolic-Androgenic Steroids) แต่พบโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ไม่ตรงตามฉลาก คือ น้อยกว่าร้อยละ 30 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเวย์โปรตีนไอโซเลท กลิ่นมอคค่า ยูไทม์ ทดสอบพบโปรตีนที่ 38.8 จากการกล่าวอ้างบนฉลากที่ 83.33 และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตราไดเอโดะ รสช็อกโกแลต ทดสอบพบโปรตีนที่ 26 จากการกล่าวอ้างบนฉลากที่ 62.5         จากผลสำรวจอาหารเสริมเวย์โปรตีนไม่ตรงตามการกล่าวอ้างบนฉลาก เข้าลักษณะอาหารปลอม กล่าวคือ อาหารที่มีฉลากเพื่อลวงหรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์หรือลักษณะพิเศษอย่างอื่น หรือในเรื่องสถานที่และประเทศที่ผลิต ตามมาตรา 27 (4) และอาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศ กําหนดตามมาตรา 6 (2) หรือ (3) ถึงขนาดจากผลวิเคราะห์ปรากฏว่า ส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหาร ขาดหรือเกินร้อยละ 30 จากเกณฑ์ต่ำสุดหรือสูงสุด หรือแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทําให้เกิดโทษหรืออันตราย ตามมาตรา 27 (5) ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 – 100,000 บาท ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 อ่านผลการทดสอบเพิ่มเติมได้ที่ https://www.chaladsue.com/article/3716 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 242 ผลทดสอบ อนาบอลิกสเตียรอยด์ ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเวย์โปรตีน

        ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในกลุ่มตลาดฟิตเนสนั้นกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสรักสุขภาพ เมื่อมองที่สถานบริการฟิตเนสก็จะพบว่ามีการเปิดสถานบริการกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นกระจายไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งผู้ใช้บริการมีหลากหลายกลุ่มอายุตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงวัย ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งวิตามิน เกลือแร่ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมสร้างร่างกาย(เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ) อย่าง “เวย์โปรตีน” ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นด้วย จากเดิมผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนที่เคยมีแต่สินค้านำเข้าและจำหน่ายเป็นถังหรือบรรจุภัณฑ์ใหญ่ๆ  ได้มีผู้ผลิตในประเทศหลายรายให้ความสนใจเข้ามาร่วมแข่งขันในผลิตภัณฑ์นี้มากขึ้น บรรจุภัณฑ์มีขนาดเล็กลง ช่องทางจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น และการเติบโตทางการตลาดที่สูงขึ้นทุกปี         จากผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้นและช่องทางจำหน่ายที่เปิดกว้างมากขึ้น ทั้งในร้านค้า ร้านค้าออนไลน์ หรือแม้แต่ในสถานบริการฟิตเนส อาจทำให้ผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนบางส่วนไม่มีมาตรฐานหรือมีการปลอมปนผลิตภัณฑ์ยาเพื่อหวังผลในการเร่งสรรพคุณผลิตภัณฑ์ ซึ่งจากงานวิจัยของกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภูและเครือข่าย คบส.เขต 8 ได้ศึกษาไว้เมื่อปี 2563 นั้น พบว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเวย์โปรตีนจำนวน 20 ตัวอย่าง ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ร้อยละ 25 (จำนวน 5 ตัวอย่าง) มีการปลอมปนอนาบอลิกสเตียรอยด์ ทั้งในผลิตภัณฑ์ที่มีเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) และไม่มีเลขสารบบอาหาร         ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สินค้าเสริมอาหารเวย์โปรตีน ทั้งในเรื่องมาตรฐาน การอวดอ้างคำโฆษณาหรืออาจมีการปลอมปนยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์ นิตยสารฉลาดซื้อและโครงการสนับสนุนระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จึงได้เก็บตัวอย่างเวย์โปรตีน จำนวน 9 ยี่ห้อ จากร้านค้าทั่วไปและทางออนไลน์ ในเดือนมกราคม 2564 เพื่อทดสอบหาสารอนาบอลิกสเตียรอยด์ (Anabolic-Androgenic Steroids) ซึ่งเป็นยาที่นิยมกันในหมู่นักกีฬาเพาะกาย และทดสอบหาปริมาณโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ว่าเป็นไปตามการกล่าวอ้างบนฉลากหรือไม่         สรุปผลทดสอบ        · การปลอมปน อนาบอลิกสเตียรอยด์  ผลทดสอบไม่พบทั้ง 9 ตัวอย่าง        · ทดสอบหาปริมาณโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ผลทดสอบพบว่า มี 2 ตัวอย่าง ที่มีโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ไม่ตรงตามที่แจ้งไว้บนฉลาก คือ น้อยกว่าร้อยละ 30 ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เวย์โปรตีนไอโซเลท กลิ่นมอคค่า ยูไทม์ ทดสอบพบโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ที่ 38.8 จากการกล่าวอ้างบนฉลากที่ 83.33 และ (2) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตราไดเอโดะ รสช็อกโกแลต ทดสอบพบโปรตีน (ร้อยละของน้ำหนัก) ที่ 26 จากการกล่าวอ้างบนฉลากที่ 62.5         พ.ร.บ.อาหาร 2510 มาตรา 27 (4) อาหารที่มีฉลากเพื่อลวงหรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์หรือลักษณะพิเศษอย่างอื่น หรือในเรื่องสถานที่และประเทศที่ผลิต  หากไม่เป็นไปตามนี้ ให้ถือว่า เป็นอาหารปลอม         มาตรา 27 (5) อาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศ กําหนดตามมาตรา 6(2) หรือ (3) ถึงขนาดจากผลวิเคราะห์ปรากฏว่า ส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหาร ขาดหรือเกินร้อยละสามสิบจากเกณฑ์ต่ําสุดหรือสูงสุด หรือแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จน ทําให้เกิดโทษหรืออันตรายตารางผลทดสอบอนาบอลิกสเตียรอยด์และโปรตีนในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเวย์โปรตีนเก็บตัวอย่างช่วงเดือน มกราคม 2564 ผลวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 222 ขายของหลอกลวง ล้วงคองูเห่า

        ยุคนี้ผู้คนตื่นตัวกับผลิตภัณฑ์สินค้าที่ไม่ปลอดภัยมากขึ้น ระบบการเฝ้าระวังก็เริ่มมีมากขึ้นตามไปด้วย แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจเกินไป เพราะผู้ขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยหลายราย ก็เริ่มมีพัฒนาการวิธีการขายให้รอดพ้นจากการตรวจจับด้วยเช่นกัน บางรายเลือกใช้แหล่งที่เราอาจมองข้ามหรือคาดไม่ถึง บางรายก็เลือกใช้วิธีที่สร้างความน่าเชื่อถือแบบแปลกๆ                สีเปลี่ยนไป นั่นไงคือการล้างพิษ         เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายหนึ่งที่ทำงานใกล้ชิดกับวัดเล่าให้ฟังว่า มีคนนำเครื่องดื่มที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดหนึ่งมาแนะนำให้หลวงพ่อบริโภค บอกว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถล้างพิษที่สะสมในร่างกายของหลวงพ่อได้ ไม่เพียงแนะนำด้วยวาจา ผู้ขายยังมีวิธีนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนอย่างคาดไม่ถึง โดยนำน้ำเปล่ามาแก้วหนึ่ง แล้วเทน้ำยาใส่แผลเบต้าดีนลงไปในแก้ว คนจนน้ำในแก้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ หลังจากนั้นผู้ขายก็จะเทเครื่องดื่มชนิดนี้ลงไปในแก้ว คนน้ำในแก้วให้ทั่ว สักครู่หนึ่งน้ำในแก้วจะกลับมาใส ผู้ขายก็จะบอกว่า เห็นมั้ย เครื่องดื่มชนิดนี้จะล้างพิษในร่างกาย เหมือนสลายน้ำยาที่อยู่ในน้ำจนน้ำกลับมาใสได้ (ใช้เทคนิคสร้างความน่าเชื่อถือจากสีที่เปลี่ยนไป)         นัดเจอกัน แต่ไม่ให้เจอหน้าตา        เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอีกรายเล่าให้ฟังว่า ตนเห็นคุณแม่นำยาลูกกลอนมารับประทาน เมื่อนำยามาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจึงพบว่ามีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ตนกับไปคาดคั้นสอบถามคุณแม่ได้ความว่า คุณแม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับยานี้มาจากไลน์กลุ่มเพื่อนผู้สูงอายุ หลังจากนั้นจึงโทรศัพท์ไปสั่งยาจากผู้ขาย แต่ผู้ขายบอกว่าจะไม่ส่งยาทางไปรษณีย์ ผู้ซื้อจะต้องไปหาตามจุดที่นัดไว้ โทรแจ้งแล้ว ผู้ขายจะให้คนอื่นนำยามาส่งมอบ โดยผู้ซื้อจะไม่เห็นหน้าผู้ขาย จะเห็นแต่หน้าคนที่เอายามาส่งเท่านั้น (พยายามไม่ให้มีหลักฐานมาถึงตัวเอง)         ขายกันตรงที่คนคาดไม่ถึง        ผมได้รับข้อมูลจากผู้บริโภคเล่าว่า ตนเห็นยาลูกกลอนของญาติที่นำมารับประทาน คล้ายกับยาที่เจ้าหน้าที่เคยแจ้งว่าตรวจพบสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ จึงสอบถามว่าซื้อมาจากไหน ญาติจึงเล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่ไปตรวจที่โรงพยาบาล ระหว่างที่นั่งรอรับยาจะมีคนมานั่งข้างๆ และแนะนำยาชนิดนี้ให้กับกลุ่มผู้ป่วยที่นั่งรอรับยา เห็นผู้ป่วยหลายคนซื้อ ตนเลยซื้อมาบ้าง         ฝากหลวงพ่อแนะนำ        รายนี้ผู้ขายจะเป็นลูกศิษย์ที่มาวัดบ่อยๆ เห็นหลวงพ่อปวดเมื่อย ก็จะนำยามาถวาย โดยบอกว่าเป็นยาที่ตนใช้อยู่แต่แบ่งมาให้หลวงพ่อลองใช้ดูบ้าง พอหลวงพ่ออาการดีขึ้น ก็จะรับอาสาไปซื้อมาให้คราวละมากๆ ทำไปทำมาหลวงพ่อก็เลยกลายเป็นทั้งผู้บริโภคและผู้แนะนำสินค้าแก่ญาติโยมอื่นๆ ไปโดยปริยาย กว่าจะตรวจพบว่ามีสารสเตียรอยด์ญาติยามก็รับประทานไปหลายรายแล้ว         เฝ้าระวังและเตือนภัยเร่งด่วน        รูปแบบการขายที่หลากหลายแบบนี้ ลำพังเจ้าหน้าที่คงไม่สามารถไปเฝ้าระวังได้ตลอดเวลา แต่ถ้าหากผู้บริโภคคอยสอดส่องดูแล หากพบอะไรผิดปกติขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบโดยด่วน ก็จะสามารถช่วยกันสกัดปัญหาได้ทันทีและยังช่วยไม่ให้ผู้บริโภครายอื่นต้องตกเป็นเหยื่อและเสี่ยงกับอันตรายอีกด้วย ช่วยๆ กันนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 215 ยาทาฝ้าจากอินเดียสั่งออนไลน์ได้นะจ๊ะนายจ๋า

ผมมีโอกาสไปสอนหนังสือนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในหัวข้อ เกี่ยวกับการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค และได้มอบหมายให้นักศึกษาไปตรวจสอบการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อต่างๆ และให้ดำเนินการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค นักศึกษารายหนึ่งตรวจพบการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทางออนไลน์ของเว็บขายสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง          นักศึกษาเล่าว่า เมื่อตนเข้าไปที่เว็บขายสินค้านี้  พบผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่า เป็นยาทาลบรอยฝ้า รอยจุดด่างดำ เห็นผลจริง เป็นของดีจากอินเดีย มีการบรรยายสรรพคุณว่าผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับการรักษาผิวใต้วงแขนที่หยาบกร้าน แผลพุพอง รอยดำของบิกินี่ รอยบวมเล็กๆ บนผิวหนัง ช่วยลดรอยฝ้า กระอ่อน รอยแห่งวัย จุดด่างดำ หน้าท้องลายจากการตั้งครรภ์ และอื่นๆ มีวิธีใช้ง่ายๆ คือ ทาบางๆ บริเวณที่เป็นฝ้า ทุกวันหลังล้างหน้าตอนเย็น  แนะนำให้ทาติดต่อกันไม่เกิน 1 เดือน โดยมีคำเตือนว่า สตรีมีครรภ์ และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่ควรใช้          ผลิตภัณฑ์นี้ระบุส่วนประกอบ ได้แก่  Hydroquinone, Mometasone Furoate และ Tretinoin ซึ่งทั้งสามตัวมีสรรพคุณเป็นยา และเป็นยาที่ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ และต้องระมัดระวังในการใช้ เพราะมีผลข้างเคียงสูง เช่น Hydroquinone หากใช้ติดต่อกันนานเกิน 6 เดือน แทนที่หน้าจะขาวผ่อง กลับจะยิ่งทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรขึ้นได้ รวมทั้งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย          ส่วน Mometasone Furoate เป็นครีมสเตียรอยด์ ที่ทางการแพทย์นำมาใช้รักษาผื่นคัน หรือการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ การใช้ยาที่มีความแรงสูงๆ หรือใช้เป็นเวลานานๆ อาจทำให้ ผิวหนังแดง แห้ง แสบร้อน คัน สีผิวจางลง หรืออาจมีผื่นคล้ายสิว และยาอาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังได้ อาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงมากได้ เช่น กดไขกระดูก หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เป็นต้น          ส่วนตัวสุดท้าย tretinoin เป็นสารในกลุ่มวิตามินเอ ทางการแพทย์จะใช้เป็นยารักษาสิว แต่มีข้อควรระวังที่น่ากลัวคือ ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะตัวยาอาจดูดซึมเข้าสู่ทารก จนร่างกายทารกอาจพิการได้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จึงเป็นยา ซึ่งผู้นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จะต้องนำมาขอขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อน จึงจะสามารถจำหน่ายได้ และต้องจำหน่ายในร้านขายยาเท่านั้น แต่ยานี้กลับจำหน่ายทางออนไลน์ให้สั่งซื้อได้อย่างง่ายๆ เมื่อนักศึกษาได้ลองสั่งซื้อ ก็ได้รับสินค้ามาอย่างรวดเร็ว นักศึกษาได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และแจ้งไปที่เว็บจำหน่ายสินค้าดังกล่าวด้วย          ปรากฏว่าทั้งสองแห่งต่างก็ตอบว่าได้รับเรื่องแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนผมลองเข้าไปดูก็ยัง พบการโฆษณาในเว็บอยู่ เพียงแต่ขึ้นข้อความว่าสินค้าหมด ใครนิยมสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ก็ระวังด้วยนะครับ การจำหน่ายยาทางนี้ นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังทำให้เราเสี่ยงต่ออันตรายอีกด้วย ถ้าใครเจอ ช่วยๆ กันเตือนและช่วยๆ กันร้องทุกข์ด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 ขาวจากขาลามขึ้นมาถึงหน้า

หลายปีก่อนมีปรากฏการณ์เด็กวัยรุ่นสาวในจังหวัดเพชรบุรี “ขาลาย” กันหลายคน จากการติดตามลงพื้นที่เพื่อค้นหาปัญหาของเภสัชกร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ทำให้ทราบข้อมูลว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ซื้อวัตถุดิบในการทำเครื่องสำอางมากวนเป็นครีมทาขาใช้กันเอง และยังนำครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์มาผสมเพิ่มลงไปในครีมที่กวนด้วย ครีมสเตียรอยด์ที่เด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้นำมาผสมคือ โคลเบตาซอล (clobetasol) ซึ่งเป็นสเตีอรอยด์ที่มีความแรงสูงสุด ใช้ไปทีแรกขาก็ขาวขึ้นแต่เมื่อใช้ไปนานๆ ขาที่ขาวกับมีลายริ้วเป็นเส้น จนเป็นข่าวครึกโครมออกสื่อโทรทัศน์ไปทั่วผ่านมาสามถึงสี่ปีแล้ว ไม่รู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวหายไปหรือยัง แต่ที่น่าตกใจคือพบพฤติกรรมใหม่อีก คือมีครีมหน้าขาวระบาดในหมู่คนที่อยากหน้าขาวหลายราย และลามไปหลายกลุ่มวัยด้วย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยโรย มีการระบาดตั้งแต่ภาคเหนือลงไปถึงภาคใต้ ผลิตภัณฑ์ที่ขายมีทั้งชนิดที่ผสมในตลับที่ไม่มีฉลาก(ผู้ซื้อไม่รู้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง) เมื่อตรวจวิเคราะห์ก็พบสารสเตียรอยด์ตัวเดิม คือโคลเบตาซอล (clobetasol) หรือบางทีก็มีการนำครีมที่ไม่มีฉลากมาขายเป็นชุด โดยขายรวมกับครีมโคลเบตาซอล ผลปรากฏว่ามีการแอบซื้อแอบขายกันอย่างแพร่หลายไปตามๆ กัน แต่ที่แพร่หลายไปด้วยก็คืออาการผิวหน้าเริ่มมีสิวขึ้น ผิวบางลง จนบางครั้งอาจเกิดเป็นริ้วลายเส้นๆ ตามใบหน้าในแง่วิชาการนั้น หากจัดลำดับความแรงของสารสเตียรอยด์ พบว่า โคลเบตาซอล จัดเป็นสเตอรอยด์ที่มีความแรงสูงสุดด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อใช้ประจำอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย เช่น หน้าจะกลับมามัน สิวจะเริ่มขึ้นตามบริเวณที่ทา ผิวส่วนที่ทาครีมจะบางลง จนเห็นเส้นเลือดฝอย บางคนเกิดอาการอักเสบ เมื่อใช้ไปนานๆ อาจมีขนดกขึ้นในบริเวณที่ทา จึงไม่ควรนำมาใช้กับใบหน้าในแง่กฎหมาย ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจะไม่อนุญาตให้มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ทุกชนิด เพราะกฎหมายกำหนดให้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาเท่านั้น ดังนั้นการผลิตเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้หากมีการขายเครื่องสำอางโดยจัดเป็นชุด ขายคู่กับยาครีมสเตียรอยด์ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะมีเจตนาให้นำไปใช้อย่างผิดวิธี และหากสถานที่จำหน่ายไม่ใช่ร้านขายยาก็ถือว่าผิดกฎหมายด้วย แต่ถ้าหากขายในร้านขายยาโดยมีการขายพร่ำเพรื่อไม่เหมาะสมถูกต้องตามหลักวิชาการ ก็ถือว่าเภสัชกรร้านยา กระทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเช่นกันใครพบเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ แจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดโดยด่วน และอย่าลืมรีบเตือนผู้ที่กำลังหลงเป็นเหยื่อนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปใช้โดยด่วนที่สุด ก่อนที่หน้าจะพังแหล่งข้อมูล : Facebook.com/ Rational Drug Use , กพย และ Sompong Apiromuck

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 134 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมีนาคม 2555 เจ็บป่วย ฉุกเฉิน รักษาได้ทุกที่ไม่มีแบ่งสิทธิ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารักษาได้ทันทีทุกโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือของเอกชน ใกล้ที่ไหนไปที่นั้น ไม่มีการแบ่งสิทธิ ทุกกองทุนสุขภาพให้บริการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งทั้ง 3 กองทุนสุขภาพของไทย ประกอบด้วย กองทุนสวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ จับมือร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบการรักษาพยาบาลของบ้านเราให้เป็นไปอย่าง เท่าเทียม รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ แถมยังเป็นก้าวสำคัญที่อาจเป็นความหวังเล็กๆ ที่นำไปสู่การสร้างระบบประกันสุขภาพมาตรฐานเดียวกันให้กับคนไทยทั้งประเทศ สำหรับนิยามของผู้ป่วยฉุกเฉินที่คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินได้กำหนดเอาไว้หมายถึง ผู้ป่วยด้วยโรค ได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการบ่งชี้ว่าจะเป็นอาการที่คุกคามต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ทางเดินหายใจ ต้องดูแลติดตามใกล้ชิด เพราะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน   หากต้องการความช่วยกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) โทร. 1669 แต่หากมีข้อสงสัยเรื่องสิทธิหรือสอบถามรายชื่อ รพ. ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ โทร. 1330 -------------------------------------------     คนไทยป่วยมากขึ้น เพราะกินผักน้อยลง ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจเมื่อมีผลการวิจัยออกมาว่า คนไทยกินผัก – ผลไม้น้อยลง ซึ่งส่งผลทำให้คนไทยเราป่วยด้วยโรคร้ายแรงอย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง กันมากขึ้น โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยด้วยโรคที่กล่าวมาเฉลี่ยปีละ 97,900 คน มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งกว่า 6 หมื่นคนเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี ชี้ให้เห็นว่าคนไทยเราอายุสั้นลง แถมคนไทยเรายังกินยากันมากถึงปีละ 4.7 หมื่นล้านเม็ด หรือเฉลี่ยวันละ 128 ล้านเม็ด สาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยป่วยเพิ่มขึ้น มาจากการขาดการดูแลสุขภาพที่ดี ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ที่สำคัญคือการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม กินแต่ของหวาน ของเค็ม ของมัน แต่กลับกินผัก – ผลไม้น้อยเกินไป ซึ่งจากข้อมูลของกรมอนามัยพบว่าในปี 2554 ที่ผ่านมา คนไทยกินผักกันค่อนข้างน้อยเฉลี่ยแค่คนละ 1.8 กรัมหรือไม่ถึง 2 ขีดเท่านั้น ทั้งที่ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ให้กินผักให้ได้อย่างน้อยวันละ 4 ขีด จึงจะผลในทางบวกต่อสุขภาพ เพราะฉะนั้นในฐานะที่บ้านเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ควรหันมาให้ความสำคัญกับการกินผัก – ผลไม้กันให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง -----------------------------------------------     ตรวจจับความเร็วรถตู้โดยสาร...มาตรการเพื่อความปลอดภัย ช่วงที่ผ่านมามีข่าวรถตู้โดยสารสาธารณะประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้งจนน่าตกใจ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือจำนวนทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการที่มีแต่มากขึ้น ในสภาพการจราจรที่แสนจะแออัดวุ่นวายของกทม. แม้จะหวั่นใจเรื่องอุบัติเหตุแต่รถตู้โดยสารก็เป็นทางเลือกที่หลายคนต้องการ เพราะสะดวกกว่าและประหยัดเวลา แต่เรื่องความปลอดภัยยังไงก็เรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง กรมขนส่งทางบกจึงออกมาตรการให้รถตู้โดยสารสาธารณะทุกคันต้องติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วที่มีชื่อว่า RFID (Radio Frequency Identification) ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่ตรวจจับความเร็วของรถตู้โดยสารสาธารณะขณะวิ่งบนทางด่วน โดยความเร็วที่กำหนดไว้คือไม่เกิน 90 กม./ชั่วโมง รถตู้ที่ฝ่าฝืนขับเร็วเกินกว่าที่กำหนดจะต้องเสียค่าปรับ 5,000 บาท ถ้าทำผิดซ้ำจะถูกปรับเพิ่มเป็น 10,000 บาท โดยขณะนี้ยังมีการใช้ระบบตรวจจับความเร็วรถตู้โดยสารเฉพาะในกทม.เท่านั้น แต่ในอนาคตข้างหน้ากรมขนส่งทางบกตั้งใจจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับการเลือกใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องสังเกตแผ่นป้ายทะเบียนที่ต้องเป็นพื้นสีเหลือง ตัวเลขและตัวอักษรเป็นสีดำ แสดงชื่อเส้นทางทีวิ่ง ด้านข้างรถมีเครื่องหมายแสดงการเข้าร่วมกับ ขสมก. และ บขส. -------------     “สเตียรอยด์” ตัวร้าย...อันตรายที่แฝงมากับยาแผนโบราณ เพราะบ้านเรายังมีความเชื่อผิดๆ เรื่องการใช้ยากันอยู่อีกมาก อย่างความเชื่อที่ว่าการใช้ยาสมุนไพรหรือยาแผนโบราณปลอดภัยกว่ายาแผนปัจจุบัน ซึ่งความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากยังพบว่ามีการใส่สารสเตียรอยด์ลงในยาแผนโบราณที่วางจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมาก แผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) จึงได้งานเสวนาเรื่อง “สภาพปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์” เพื่อเป็นสร้างความเข้าใจและกระตุ้นเตือนอันตรายของสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนอยู่ในยาแผนโบราณ จากการเก็บตัวอย่างยาแผนโบราณที่วางขายทั่วไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ยังพบการปลอมปนสารสเตียรอยด์ ทั้งในยาที่ได้และไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน พบทั้งในแบบที่เป็นยาลูกกลอน ยาชุด ยาน้ำสมุนไพร รวมถึงเดี๋ยวนี้ถูกนำมาไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมด้วย ซึ่งอันตรายของสารสเตียรอยด์มีตั้งแต่ไปกัดกระเพาะอาหาร ทำให้กระดูกพรุน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจรุนแรงถึงขั้นไตวาย ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลา ยิ่งกินต่อเนื่องเป็นเวลานานยิ่งอันตรายมาก คนที่เสี่ยงกับสารสเตียรอยด์ส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ตามต่างจังหวัด เพราะเวลาที่เจ็บป่วยไม่นิยมไปสถานพยาบาล อาจจะด้วยเพราะเดินทางลำบากหรือคิดว่าไปหาหมอต้องเสียเงินมาก จึงเลือกวิธีซื้อยามากินเอง ซึ่งยาที่ซื้อก็มักเป็นยาสมุนไพรยาแผนโบราณที่ขายตามร้านขายของชำทั่วไปบ้าง รถเร่ที่ประกาศขายยาต่างๆ บ้าง เป็นเพราะหลงเชื่อในคำโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ แม้เดี๋ยวนี้จะการควบคุมเรื่องการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เข้มงวดขึ้น แต่รูปแบบของการหลอกขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็มีเพิ่มขึ้นหลายช่องทาง ทั้ง อินเตอร์เน็ต ทีวีเคเบิ้ล วิทยุชุมชน การขายตรง ภาครัฐต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการกินยาที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค และควบคุมดูแลการผลิตยาที่ปลอดภัย อย่าให้มีการลักลอบใช้สารสเตียรอยด์ พร้อมทั้งป้องกันการผลิตและจำหน่ายยาที่ผิดกฎหมาย ที่สำคัญคือผู้ป่วยต้องรู้เท่าทันเลือกกินยาที่ปลอดภัยได้รับการรับรองจากเภสัชกร อย่ากินเพราะคำโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง --------------------------------------------     วันสิทธิผู้บริโภคสากล ถึงเวลาตื่นตัวปัญหาผู้บริโภค เครือข่ายผู้บริโภค ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ต้อนรับ “วันสิทธิผู้บริโภคสากล” เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา โดยได้มีการแปลอักษรคำว่า “World Consumer Rights Day” รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภคและชักชวนให้ผู้บริโภคหันมาตระหนัก และสนใจในสิทธิรอบตัว เช่น การโดยสารรถสาธารณะอย่างไรให้ปลอดภัย ราคาดอกเบี้ยที่เป็นธรรม เป็นต้น โดยมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก โดยในปีนี้ประเด็นที่องค์กรผู้บริโภคทั่วโลกรณรงค์ร่วมกันคือ ปัญหาเรื่องการเงินการธนาคาร ซึ่งองค์กรผู้บริโภคประเทศไทยของเรามีประเด็นปัญหาการเงินการธนาคารที่อยากให้ภาครัฐจัดการแก้ไข ได้แก่ 1.ปัญหาการคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป 2.ปัญหาการทวงหนี้ไม่เป็นธรรม และ 3.ตั้งคณะทำงานทบทวนมาตรการการกำหนดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันนโยบายหรือมาตรการที่ออกมาเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการแทบทั้งสิ้น เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝาก การเก็บค่าธรรมเนียมการการโอนเงิน การฝากเงิน การเก็บเงินจากการใช้บริการตู้เอทีเอ็ม ผู้บริโภคต้องรับภาระส่วนนี้โดยไม่เป็นธรรม พร้อมกันนี้เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคยังส่งเสียงถึงรัฐบาล เรียกร้องให้เร่งออกกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (มาตรา 61) ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ซึ่งกฎหมายนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากให้กับผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 สเตียรอยด์ในยาสมุนไพร “เยอะ”

  ในระหว่างปี 2548 – 2552 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ได้ตรวจวิเคราะห์ยาแผนโบราณ เพื่อเฝ้าระวังการปลอมปนสารสเตียรอยด์ พบว่ายาแผนโบราณจำนวน 626 ตัวอย่าง มีสเตียรอยด์ปลอมปนอยู่ถึง 136 ตัวอย่าง และเมื่อได้นำยาที่เหลือมากพอมาทดสอบหา “ปริมาณ” สารสเตียรอยด์ที่ปลอมปน ปรากฏว่าพบข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนอยู่นั้น มีปริมาณที่ค่อนข้างสูงมาก จนอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่น่าทึ่งคือ บางชนิดแม้เป็นยี่ห้อเดียวกัน แต่กลับพบปริมาณสารสเตียรอยด์ปนอยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากันหรือพบการผสมสเตียรอยด์ต่างชนิดกัน  ดังข้อมูลในตัวอย่างต่อไปนี้   ยาผงสีน้ำตาลเหลือง ไม่ระบุชื่อ  จำนวน 3 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone (สารสเตียรอยด์) ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ 1 เม็ดครึ่ง ถึง 5 เม็ด และบางตัวอย่างยังพบ สเตียรอยด์ผสมถึง 2 ชนิด  คือผสมทั้ง Dexamethasone และ Prednisolone  ดังนั้นหากคิดง่ายๆ ว่า รับประทานยานี้วันละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 มื้อ เราจะมีโอกาสได้รับ Dexamethasone  ถึง 15 เม็ดต่อวัน   ยาผงสีน้ำตาล ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรไทย” จำนวน 8 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone  ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ ครึ่งเม็ด ถึง  3 เม็ด บางตัวอย่างยังพบว่ามี Prednisolone ผสมอยู่ด้วย โดยพบในปริมาณเทียบเท่ากับยาเม็ด  Prednisolone จำนวนครึ่งเม็ด  และบางตัวอย่างพบการผสมสเตียรอยด์ร่วมกันทั้ง  2 ชนิด   ยาเม็ดสีน้ำตาลแดง ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรตามแนวทางโครงการพระราชดำริ” ซึ่งฉลากระบุ ให้รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหาร ตรวจพบว่ายาชนิดนี้ 1 เม็ด มีปริมาณ Prednisolone ผสมอยู่ เทียบเท่ากับยาเม็ด Prednisolone 4 เม็ด   ดังนั้นหากเรารับประทานยานี้หลังอาหาร 3 มื้อ จะมีโอกาสได้รับ Prednisolone ถึง 12 เม็ดต่อวัน ยาจากสมุนไพร ฉลากระบุชื่อ “ยากษัยเส้นตราเทียนทองคู่” ระบุ รับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ตรวจพบว่า ในยา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณ Dexamethasone  ผสมอยู่ เทียบเท่ายาเม็ด จำนวนครึ่งเม็ด ถึง 1 เม็ด และหากรับประทานวันละ 3 ครั้งตามที่ระบุบนฉลาก  เราจะได้รับ Dexamethasone ถึง 6 เม็ดต่อวัน (ยา Dexamethasone ชนิดเม็ดเท่ากับ 0.5 mg , ยา Prednisoloneชนิดเม็ดเท่ากับ 5 mg) จากการสอบถามผู้บริโภค ส่วนใหญ่ผู้ที่บริโภคยาเหล่านี้ มักจะรับประทานยาดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน หมายความว่า ร่างกายจะได้รับสารสเตียรอยด์ติดต่อกันในปริมาณสูงจนอาจเป็นอันตรายได้  ขอแนะนำว่าหากเราเจอยาแผนโบราณ ที่ไม่มีทะเบียนยา ไม่มีรายละเอียดบนฉลาก หรือเป็นยาที่รับประทานแล้วอาการป่วยหายอย่างรวดเร็วจนผิดสังเกต ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบโดยด่วน เพื่อป้องกันอันตรายนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >