ฉบับที่ 259 เมื่อโลกเผชิญวิกฤติอาหาร

        องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติร่วมกับ World Food Program องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารกับผู้ที่ขาดแคลน คาดการณ์ว่าในช่วงกลางปี 2022 มีผู้คนไม่ต่ำกว่า 222 ล้านคนใน 53 ประเทศ ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ในจำนวนนี้มีถึง 45 ล้านคน ใน 37 ประเทศที่ “ใกล้อดตาย” โดยหกประเทศที่น่าเป็นห่วงที่สุดได้แก่ อัฟกานิสถาน เยเมน โซมาเลีย เอธิโอเปีย ซูดานใต้ และไนจีเรีย ในโซนเอเชียแปซิฟิกยังมีศรีลังกาและปากีสถานที่น่ากังวลเช่นกัน         การขาดแคลนอาหารหรือภาวะอดอยากหิวโหยในประเทศเหล่านี้เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ หรือการขาดเสถียรภาพทางการเมือง แต่ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อน การระบาดของโควิด19 รวมถึงสงครามยืดเยื้อระหว่างสองประเทศผู้ส่งออกอาหารและปัจจัยการผลิตรายใหญ่ของโลกอย่างรัสเซียและยูเครน กำลังทำให้ประเทศอื่นๆ ต้องเตรียมรับมือกับ “ความไม่มั่นคงทางอาหาร” เช่นกัน         ประเทศจีนเตรียมรับมือกับวิกฤติอาหารตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาดหรือสงครามด้วยซ้ำ ความมั่นคงทางอาหารเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงย้ำเรื่องนี้ออกทีวีอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ขอให้เลิกกินทิ้งกินขว้าง ประกาศว่า “อาหารของคนจีน ต้องผลิตโดยคนจีนและเป็นเจ้าของโดยคนจีน” และมอบหมายให้ทุกคนในประเทศ (ประมาณ 1,400 ล้านคน) ร่วมกันสร้างความมั่นคงทางอาหาร          แต่จีนก็จะยังต้องพบกับความท้าทายอีกมากในช่วงสิบปีข้างหน้า ทั้งจากภัยแล้งรุนแรงที่ทำให้ผลผลิตตามฤดูกาลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในขณะที่ประชากรที่มีรายได้มากขึ้น ก็มีความต้องการบริโภคมากขึ้นด้วย มีการคาดการณ์กว่าในอีกแปดปีข้างหน้า ความสามารถในการผลิตอาหารของจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 58.8 ของความต้องการในประเทศเท่านั้น         ที่ผ่านมาจีนได้ปฏิรูปสิทธิในที่ดินทำกิน ยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร ลงทุนในเทคโนโลยีประหยัดน้ำ และเทคโนโลยีการผลิตอาหาร รวมถึงเพิ่มการผลิตเมล็ดพันธุ์ กระทรวงเกษตรและการชนบทของจีนระบุว่าได้เปิดกิจการเมล็ดพันธุ์เพิ่มอีก 116 แห่ง (จากที่เคยมีอยู่ 100 แห่ง) นอกจากนี้ทั้งรัฐบาลและเอกชนของจีนยังออกไปกว้านซื้อที่ดินและกิจการผลิตอาหารในต่างประเทศด้วย         มาดูที่อินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลกกันบ้าง รัฐบาลกังวลว่าจะมีข้าวไม่พอต่อความต้องการของประชากร 1,380 ล้านคนในประเทศ เพราะปีนี้ผลผลิตข้าวลดลงไปประมาณ 10 – 12 ล้านตัน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อินเดียประกาศห้ามส่งออก “ปลายข้าว” ซึ่งเป็นข้าวที่มีราคาถูกกว่าและเป็นทางเลือกให้กับคนรายได้น้อย (ที่ผ่านมาปลายข้าวจะมีผู้รับซื้อจากต่างประเทศเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์) นอกจากนี้ยังเรียกเก็บภาษีร้อยละ 20 จากข้าวบางชนิดที่ส่งออกด้วย เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อ “ลูกค้า” ของอินเดีย (ปัจจุบันมี 133 ประเทศ) กลุ่มที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่คาดหวังว่าจะซื้อข้าวได้ในราคาถูกด้วย         มาตรการลักษณะนี้อาจกลายเป็น “นิวนอร์มอล” เพราะภาวะอากาศสุดขั้วและฝนฟ้าที่คาดเดาไม่ได้ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรของอินเดียไม่มีเหลือเฟือเหมือนที่เคย สองวันหลังประกาศว่าจะส่งออกข้าวสาลีให้ได้ 10 ล้านตันในปีนี้ อินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีอันดับสามของโลกรองจากรัสเซียและยูเครน ก็กลับลำ ประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลีโดยให้มีผลทันที (ยกเว้นในบางประเทศ) และอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับสองของโลกยังประกาศจำกัดการส่งออก เพื่อให้มีน้ำตาลเพียงพอต่อความต้องการในประเทศด้วย         ด้านยุโรปก็เตรียมรับมือกับภาวะขาดแคลนอาหารในช่วงฤดูหนาวเช่นกัน สืบเนื่องจากมาตรการแก้เผ็ดกลุ่มประเทศตะวันตกด้วยการปิดท่อส่งก๊าซของรัสเซีย         สหภาพเกษตรกร Copa-Cocega บอกว่าผลิตภัณฑ์เบเกอรีและผลิตภัณฑ์จากนมวัวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะขั้นตอนการพาสเจอไรส์และการทำนมผงต้องใช้พลังงานมหาศาล ราคาเนยจึงแพงขึ้นร้อยละ 80 ในขณะที่นมผงก็แพงขึ้นร้อยละ 55         ขณะที่เนเธอแลนด์ ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ ก็ประกาศหยุด/ลด การปลูกผัก ผลไม้ และดอกไม้ ในโรงเรือน เนื่องจากต้นทุนพลังงานในฤดูหนาวปีนี้แพงเกินไป เช่นเดียวกับ Nordic Greens Trelleborg ผู้ปลูกมะเขือเทศรายใหญ่สุดของสวีเดน ที่ยอมรับว่าหน้าหนาวปีนี้จะไม่มีผลผลิตมะเขือเทศออกสู่ตลาดเพราะ “สู้ค่าไฟไม่ไหว”           สถานการณ์นี้อาจทำให้ยุโรปกลับไปใช้แผนดั้งเดิม นั่นคือยุโรปเหนือจะไม่ผลิตพืชผักนอกฤดูกาล แต่จะยกให้เป็นหน้าที่ของแหล่งผลิตในยุโรปใต้ เช่นสเปน ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาฮีทเตอร์ เพราะอากาศอบอุ่นอยู่แล้ว         แล้วประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารไปเลี้ยงชาวโลกเป็นอันดับต้นๆ พอจะวางใจเรื่องนี้ได้ไหม ทีมวิจัยจาก Economist Impact จัดอันดับให้ไทยมีความมั่นคงทางอาหารเป็นลำดับที่ 64 จาก 113 ประเทศที่เขาสำรวจ ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งพึ่งพาอาหารนำเข้าเป็นหลักได้คะแนนเป็นอันดับที่ 28        เมื่อดูในรายละเอียดจะพบว่าจุดแข็งของเราคือ “ราคา/ความสามารถในการซื้อหาอาหาร” (83.7 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100) แต่ในหมวดที่เหลือเราทำได้ไม่ดีนัก เช่น “ความสามารถในการผลิตอาหาร” เราได้ 52.9 คะแนน ด้าน “ความยั่งยืนและการปรับตัวรับความเสี่ยง” เราได้เพียง 51.6 คะแนน และเราสอบตกในเรื่อง “คุณภาพ (ความหลากหลายและคุณค่าทางอาหาร) และความปลอดภัย” ที่เราได้เพียง 45.3 คะแนน------ เอกสารอ้างอิง    https://www.fao.org/3/cc2134en/cc2134en.pdfhttps://asia.nikkei.com/Spotlight/The-Big-Story/Farming-out-China-s-overseas-food-security-questhttps://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/India-clamps-down-on-rice-exports-as-global-food-worries-growhttps://www.dw.com/en/how-can-india-protect-its-food-security-under-extreme-weather-conditions/a-62011438https://www.businessinsider.com/food-energy-gas-crisis-europe-farmers-shut-operations-reduce-production-2022-9https://impact.economist.com/sustainability/project/food-security-index

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 วิกฤตที่ขาดโอกาสของคนไทย

  บทความฉบับนี้เกิดขึ้นอย่างทุลักทุเลที่สุดในชีวิตของผู้เขียน เพราะต้องกลายเป็นผู้ประสบอุทกภัยที่เป็นฝันร้ายสุดๆ ในชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า คำประกาศของหน่วยงานที่รัฐจัดตั้งขึ้นจะทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนต้องเปลี่ยนแปลงไปแบบคาดไม่ถึง เพราะประชาชนส่วนมากเชื่อว่า น้ำคงท่วมไม่มาก แค่ตาตุ่ม หรือหัวเข่า ซึ่งถ้าเป็นจริงมันก็แค่ชิล ๆ แต่ปรากฏว่า ก็แค่ตาตุ่มหรือหัวเข่าจริงเพียงแต่ว่ามันแค่ตาตุ่มหรือหัวเข่าเมื่อคนให้ข่าวเอามือเดินต่างเท้าเท่านั้น เพราะเมื่อวัดระดับน้ำท่วมจริงมันดันกลายเป็นเมตรครึ่งไปได้อย่างไร สุดท้ายผู้เขียนเลยต้องอพยพไปอยู่หัวหินแบบเตรียมตัวเกือบไม่ทัน เพราะรอน้องน้ำตั้งนานก็ไม่มา แต่พอหล่อนมาก็เหมือนปลาวาฬไปเลยคือ เร็วมาก เพราะหล่อนข้ามคันกั้นน้ำคลองมหาสวัสดิ์พรวดเดียวถึงถนนศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ จนวันนี้เป็นเช้าวันที่สิบเอ็ดซึ่งตรงกับวันลอยกระทงแล้ว เมื่อตรวจสอบข่าวน้ำท่วมที่บ้านผู้เขียนก็พบว่า ยังไม่เห็นแนวโน้มการลดลงของระดับน้ำเลย มีแต่จะเพิ่มเพราะน้ำทะเลหนุนในวันลอยกระทงวันนี้ มีแพทย์ท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ทางทีวีช่อง TNN ที่รับสัญญาณผ่านจานดาวเทียมทำนายว่า การระบายน้ำที่ท่วมบ้านประชาชนนั้นจะทำได้ดีทันทีที่ลอยกระทงผ่านไป เพราะน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีนจะลดต่ำกว่าตลิ่งเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งจะทำให้การระบายน้ำทำได้วันละหลายร้อยล้านลูกบาศ์กเมตร นี่เป็นข่าวที่ให้ความหวังเดียวในเรื่องน้ำลด ตั้งแต่ผู้เขียนมาอยู่หัวหิน ว่าไปช่วงวิบัติภัยที่เกิดขึ้นกับคนไทยนี้เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้เขียนได้ทำอะไรๆ ที่ไม่เคยทำเป็นครั้งแรก เช่น การเขียนบทความนี้ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดวางตัก (lab top) ซึ่งแต่แรกผู้เขียนรู้สึกว่า มันน่าจะยากเพราะลักษณะการใช้งานมันไม่คล่องนิ้วเหมือนชนิดวางโต๊ะ (desk top) แต่พอใช้ๆ ไป มันก็แก้ขัดได้ไม่เลวนัก สิ่งใหม่ประการที่สองที่ได้ทำคือ การดูทีวีผ่านจานรับสัญญาณดาวเทียมแบนจานใหญ่เท่ากระทะเจียวไข่ ซึ่งให้สัญญาณราวห้าสิบช่อง ทำให้สามารถตามข่าวน้ำท่วมได้ทั้งทางฟรีทีวี และทีวีข่าวอย่าง สปริงนิวส์ ทีเอ็นเอ็น หรือ เนชั่น ได้ทั้งวันเสียที การดูทีวีผ่านดาวเทียมนั้น ความจริงผู้เขียนก็ทำใจอยู่แล้วว่า นอกจากจะได้ดูข่าวที่ไวกว่าฟรีทีวีแล้วอาจต้องดูขยะที่เป็นการขายสินค้าหลอกลวงผู้บริโภค แต่ก็ไม่เคยนึกว่า การหลอกลวงนั้นมันจะโจ่งครึ่มแบบที่ได้เห็น ยกตัวอย่างรายการขายสินค้าที่เป็นสารสกัดจากผักผลไม้ ซึ่งท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า ผู้ขายสินค้านั้นต้องเรียกว่า น้ำเอนไซม์ ซึ่งเป็นการขายสินค้าโดยมีพิธีกรผู้หญิงสัมภาษณ์ลูกจ้างของบริษัทขายสินค้านั้นโดยเรียกเขาผู้นั้นว่า อาจารย์ ซึ่งผู้เขียนขอแปลงเป็น อาชาม แล้วกัน เพราะข้อมูลเกี่ยวกับเอนไซม์ที่เขาผู้นั้นกล่าว เป็นเรื่องมั่วที่สุดทางชีวเคมีที่เคยได้ยินมา ข้อมูลมั่ว ๆ ที่เคยได้ยินผ่านมา และที่มาได้ยินในวันนั้นทางทีวีดาวเทียมก็มีหลายประการเช่น การบอกว่าในน้ำสกัดผักที่บรรจุขวดขายนั้นมี เอนไซม์บริสุทธิ์ บรรจุอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วของเหลวที่อยู่ในขวดนั้นเป็นเพียงสารสกัดน้ำชนิดหยาบ (crude water extract) จากผักผลไม้เท่านั้น ที่สำคัญก็คือ เอนไซม์หลายชนิดของสิ่งมีชีวิต เมื่อถูกสกัดออกมาจากเซลล์ ไม่ว่าจากพืชหรือสัตว์แล้ว มักไม่ค่อยอยู่ตัวในสภาวะที่เป็นอุณหภูมิห้อง ดังจะเห็นได้จากการเรียนวิชาปฏิบัติการทางชีวเคมีในระดับมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับเอนไซม์นั้น ส่วนใหญ่จะต้องทำให้สภาวะแวดล้อมเย็นโดยการแช่สารละลายที่สกัดได้ในอ่างควบคุมอุณหภูมิไม่เกินสี่องศาเซลเซียส มีเอนไซม์เพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถทนอุณหภูมิห้องได้ เมื่อถูกสกัดออกมาเป็นสารละลาย ยกตัวอย่างให้เห็นได้คือ ยางมะละกอ หรือน้ำสับปะรด ซึ่งมีเอนไซม์กลุ่มที่สามารถช่วยย่อยโปรตีนของเนื้อสัตว์ให้เกิดอาการยุ่ยเคี้ยวได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง และมีเอนไซม์บางชนิดที่สกัดได้จากตับอ่อนสัตว์ที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งเอนไซม์นั้นจะถูกนำไปทำให้เป็นผงด้วยกรรมวิธีค่อนข้างพิเศษหน่อยที่ไม่มีความร้อนเข้าไปเกี่ยวข้อง จากนั้นจึงนำมาผสมกับส่วนผสมปั้นเป็นเม็ด นำมาขายเป็นยาช่วยย่อยแก่ผู้มีปัญหาการย่อยอาหารไม่ค่อยดี ซึ่งมักมีอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ดังนั้นของเหลวในขวดที่มีสัญลักษณ์ผ่านการขึ้นทะเบียนของ อย แล้วนั้น จึงไม่น่าเชื่อว่ามีเอนไซม์จริง โดยประเด็นการผ่านการจดทะเบียนจาก อย นั้นเป็นเรื่องเก่าแล้วว่า ทำไม อย ถึงยอมให้ขึ้นทะเบียน เพราะคำตอบที่เคยได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ อย คือ สินค้านั้นขึ้นทะเบียนเป็น เครื่องดื่มธรรมดา แต่เวลามาโฆษณาขายทางทีวีนั้นผู้ขายก็ได้ยกระดับสินค้าจนดูกลายเป็นสินค้าที่มีผลต่อสุขภาพ อีกทั้งการโฆษณาผ่านทีวีในลักษณะนี้ไม่ได้มีการขออนุณาตทาง อย แน่นอน เพราะไม่มีสัญลักษณ์การผ่านการขออนุญาตตลอดการแพร่ภาพทางทีวี (ฆอ.) กลับมาที่อาชามที่มาขายเอนไซม์ในขวดดีกว่าว่า คนเหล่านี้จะมีลักษณะเหมือนๆ กันคือ อาจเคยเรียนวิชาชีวเคมีมาจากสถานศึกษาที่สอนวิชานี้แบบไม่จริงจัง คือ สักแต่สอนให้ได้ชื่อว่ามีวิชานี้ในหลักสูตร เหตุที่ผู้เขียนกล้ากล่าวเช่นนี้เพราะ เวลาผู้เขียนออกข้อสอบคัดเลือกนักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาโทที่ผู้เขียนรับผิดชอบนั้น ความรู้ทางชีวเคมีเป็นความรู้หลักที่ต้องตรวจสอบ ซึ่งนักศึกษาที่มาจากมหาวิทยาลัยที่มีคนสอนวิชาชีวเคมีไม่ดีนั้นจะตอบไม่ได้เลยในเรื่องเกี่ยวกับเอนไซม์ เรื่องแบบนี้ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อก็ลองถามลูกหลานที่เคยเรียนวิชาชีวเคมีในระดับปริญญาตรีว่า เอนไซม์ คืออะไร มีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรในชีวิตประจำวัน แล้วท่านผู้อ่านจะได้เห็นตัวอย่างของความสูญเปล่าทางการศึกษาที่แท้จริงว่า นักศึกษาร้อยละกว่าเก้าสิบห้าขึ้นไป เรียนวิชาชีวเคมีในระดับปริญญาตรีเพียงเพื่อผ่าน ทั้งที่ชีวเคมีเป็นวิชาที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวันของมนุษย์วิชาหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกานั้น วิชาชีวเคมีมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลเร็วมาก และเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพทุกสาขาและวิทยาศาสตร์กายภาพบางสาขาต้องเรียน และเมื่อเรียนแล้วเวลาผ่านไปประมาณห้าปี แล้วนักศึกษาผู้นั้นยังไม่จบการศึกษา หลายมหาวิทยาลัยมีข้อบังคับว่า นักศึกษาผู้นั้นต้องกลับไปเรียนวิชาชีวเคมีพื้นฐานระดับบัณฑิตศึกษาใหม่ ในขณะที่เมืองไทย แค่ผ่านก็พอ จากนั้นความรู้ที่อาจได้บ้างก็คืนอาจารย์ไป ดังนั้นเมื่อดูทีวีผ่านดาวเทียมมีอาชามมาอธิบายว่า เอนไซม์ในขวดที่บรรจุน้ำสกัดผักผลไม้นั้นสามารถทะลุทะลวงให้เส้นเลือดในสมองที่บีบตัวขณะเกิดอาการไมเกรนเนื่องจากมีขยะในเส้นเลือดหายไป ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนดีขึ้น ผู้เขียนก็ได้แต่ปลงอนิจจังว่า การหลอกลวงแบบที่เอาคนที่ไม่มีความรู้มาอธิบายขายสินค้าเฮงซวยนี้ มันคงแก้ไขอะไรไม่ได้แน่ เพราะแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ช่วงเวลาที่แม่บ้านดูทีวีหลังทำงานบ้านเสร็จในตอนสายๆ หรือบ่ายๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นไม่ต่างกับในไทย ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ถ้าเป็นคนช่างสังเกตหน่อยจะเห็นว่า ข้อมูลการหลอกลวงในการขายสินค้าเกี่ยวกับอาหารส่วนใหญ่นั้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาชีวเคมีแทบทั้งนั้น เพราะสารชีวเคมีนั้นมีความเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ และเรื่องราวเกี่ยวกับชีวเคมีนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างลึกซึ้ง ซึ่งหาคนสอนให้เด็กไทยเข้าใจได้ค่อนข้างยาก จริงอยู่เรามีนักวิทยาศาสตร์สาขาชีวเคมีในระดับพอคุยได้ว่าตัดแต่งพันธุกรรมได้ แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้มักจะเข้าใจในวิชาชีวเคมีก็ต่อเมื่อไปเรียนวิชานี้อีกครั้งในต่างประเทศ ซึ่งน่าจะแสดงว่าการเรียนการสอนวิชาชีวเคมีในประเทศไทยนั้น ยังมีปัญหา ประเด็นปัญหาที่สำคัญในการสอนชีวเคมีในประเทศไทย คือ ทำอย่างไรจึงจะให้นักศึกษาที่ผ่านวิชานี้เข้าใจในความรู้ที่สามารถใช้ป้องกันการถูกอาชามต่างๆ มาหลอกลวงขายสินค้าเฮงซวยที่เกี่ยวข้องกับชีวเคมีได้ ท่านผู้อ่านอาจนึกไม่ถึงว่า แค่การซักผ้านั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวเคมีในชีวิตประจำวันที่เราควรเข้าใจให้ดี ทั้งนี้เพราะมีการหลอกลวงหรือพูดผิดๆ ถูกๆ ในการโฆษณาขายผงซักฟอกเป็นประจำทางจอทีวีโดยที่ไม่มีนักชีวเคมีระดับตัดแต่งพันธุกรรมได้มาช่วยให้ประชาชนเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ผงซักฟอกที่ดีนั้นควรดูจากอะไร หรือทำอย่างไรจึงจะให้เด็กไทยที่ต้องจบการศึกษาภาคบังคับมีความรู้ด้านชีวเคมีในชีวิตประจำวันเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกหลอกลวงได้ ผู้เขียนมักออกข้อสอบถามนักศึกษาว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการซักผ้าที่เปื้อนเหงื่อจากการออกกำลังกายโดยไม่ใช้ผงซักฟอกหรือสบู่ในการซักผ้าชิ้นนั้น คำตอบซึ่งมักถูกคือ ผ้าชิ้นนั้นมีกลิ่นเหม็น แต่พอถามต่อว่า แล้วทำไมเมื่อใช้ผงซักฟอก(โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น ซิลเวอร์นาโน) แล้วทำไมผ้าชิ้นนั้นจึงไม่เหม็น ทั้งที่อาจตากให้แห้งในตอนกลางคืน คำตอบที่ได้มักอยู่ในระดับที่ต้องให้คะแนนเท่ากับ ศูนย์ ตัวอย่างความไม่รู้ในเรื่องการซักผ้าให้สะอาดนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีว่า เด็กที่ผ่านการศึกษาภาคบังคับนั้น ขาดตกบกพร่องในเรื่องความรู้เกี่ยวกับชีวเคมีที่ควรรู้ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่สินค้าที่มีกลูตาไทโอน โคเอนไซม์คิวเท็น คอลลาเจน น้ำมันปลาจากทะเลลึก จึงยังขายได้เป็นล่ำเป็นสัน โดยที่ประชาชนมิได้รู้ตัวเลยว่า สิ่งที่กินเข้าไปนั้นมันของเสียเปล่า กินหรือไม่กินค่าก็เท่ากัน คุณภาพของประชาชนขึ้นกับคุณภาพของการศึกษาที่ประชาชนได้รับนั้น เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้แล้วในยุคสมัยที่มีคนโพสต์ในเน็ตว่า ความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมนั้นเกิดจากการที่เราเลือกผู้บริหารประเทศได้ในระดับที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งเป็นยุคที่เด็กเน็ตเขาเรียกว่า ยุคเอาปัญญาชนไปกรอกถุงทราย เอาปัญญาควายไป…

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 กระแสต่างแดน

แดดไม่แจ่ม เราจ่าย บริษัททัวร์หัวใสในประเทศฝรั่งเศสมีโปรโมชั่นใหม่มาเอาใจลูกค้าที่นิยมสายลมแสงแดด คือถ้าคุณซื้อทัวร์ของบริษัท Pierre et Vacances หรือ FranceLoc ไป แล้วต้องขาดโอกาสในการอาบแดดเพราะไปติดฝนอยู่ไม่ต่ำกว่า 4 วันต่อหนึ่งสัปดาห์ บริษัทจะรับผิดชอบด้วยการจ่ายเงินคืนให้ด้วยวงเงินประกันสูงสุด 400 ยูโร (ประมาณ 20,000 บาท) คุณอาจสงสัยว่าแล้วจะพิสูจน์กันยังไง ถ่ายรูปตัวเองตอนเปียกปอนเพราะสายฝนแล้วส่งไปให้บริษัทดูอย่างนั้นหรือ ข่าวบอกว่านักท่องเที่ยวไม่ต้องทำอะไร บริษัทจะเป็นฝ่ายส่งอีเมล์หรือเอสเอ็มเอสไปหาเองถ้าเขาตรวจสอบข้อมูลกับรูปถ่ายจากดาวเทียมของกรมอุตุของฝรั่งเศสแล้วว่ามีฝนตกจริงๆ ในสถานที่ที่ลูกค้าซื้อทัวร์ไป จากนั้นก็จะส่งเช็คมาให้ภายใน 3 วันหลังจากลูกค้ากลับถึงบ้าน เงินที่จะคืนให้กับลูกค้าแต่ละรายนั้นเขาจะดูตามปริมาณฝนที่ต้องเผชิญด้วย (สงสัยว่าคนที่จะได้ 400 ยูโรเต็มๆ นี่คงจะเป็นพวกที่ต้องหลบฝนอยู่ในโรงแรมทั้ง 7 วันเลยแน่ๆ) ไอเดียนี้ ททท. สนใจจะนำมาใช้โปรโมทการชวนคนไทยเที่ยวไทยบ้างก็น่าจะดี ว่าแต่จะประกันเรื่องอะไรดี เราก็ไม่ใช่ชนชาติที่นิยมแสงแดดเหมือนเขาเสียด้วย คิวบา ประกาศรัดเข็มขัด ประธานาธิบดี ราอูล คาร์ลอส ของคิวบาบอกกับประชาชนว่า ขณะนี้ประเทศกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติขั้นรุนแรง ขอให้ทุกคนขยันกันให้มากขึ้น และเตรียมพร้อมกับการรัดเข็มขัดระดับชาติกันได้แล้ว ฤดูร้อนปีที่ผ่านมา คิวบาก็เผชิญกับพายุเฮอริเคนถึงสามครั้ง เป็นความเสียหายทั้งหมดกว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และจนถึงวันนี้ก็ยังซ่อมบ้านของประชาชนไปได้เพียงร้อยละ 43 ของบ้านที่เสียหายทั้งหมดจำนวน 260,000 หลัง ที่สำคัญคิวบาสูญเสียเสบียงอาหารและสินค้าเกษตรที่รัฐบาลเก็บตุนไว้เพื่อประกันราคาด้วย เมื่อต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คิวบาซึ่งประชากรแทบทุกคนเป็นลูกจ้างของรัฐ ด้วยเงินเดือนเฉลี่ยต่อหัวประมาณ 20 เหรียญ (ประมาณ 700 บาท) ได้ประกาศยกเลิกอาหารกลางวันเอื้ออาทรที่เคยมีไว้บริการพนักงานในโรงงานแล้ว และตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นมา คิวบา (ซึ่งผลิตน้ำมันเองได้ และยังได้ใช้น้ำมันฟรีจากเวเนซูเอล่า) ก็ประกาศนโยบายประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดรายจ่ายของประเทศลงให้ได้ร้อยละ 6 ด้วย เดี๋ยวนี้รัฐประกาศให้ข้าราชการมาทำงานแค่ 8 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็นเท่านั้น บางแห่งให้มาทำอาทิตย์ละ 2 วัน ที่สำคัญที่ทำการรัฐหลายๆ แห่งก็ห้ามเปิดเครื่องปรับอากาศด้วย ข่าวบอกว่าโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายลดการใช้พลังงานไปแล้วได้แก่ โรงงานผลิตยางรถยนต์ และโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารจากนมวัว ช่วงนี้ยางรถยนต์ที่คิวบาขาดตลาด ในขณะที่โยเกิร์ตในเมืองหลวงฮาวาน่านั้น กลายเป็นของหายากและราคาแพงลิบลิ่ว มีขายเฉพาะในห้างหรูๆ หรือแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น คนคิวบาตาดำๆ ไม่สามารถซื้อหามากินได้ แบนร้านฟาสต์ฟู้ด อีกไม่นานนิวยอร์คอาจมีประกาศห้ามเปิดร้านฟาส์ตฟู้ดในระยะ 1.6 กิโลเมตรจากที่ตั้งของโรงเรียนรัฐกระแสการตื่นตัวเรื่องโรคอ้วนในเด็กกับอาหารฟาสต์ฟู้ด ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารฟาส์ต์ฟู้ดรายใหญ่ได้ไม่น้อยทีเดียว เช่น แมคโดนัลด์ หรือเบอร์เกอร์ คิง และบริษัทฟาสต์ฟู้ดในอเมริกาอีก 13 ราย (ในกลุ่มนี้ไม่มี เคเอฟซี พิซซ่าฮัท เอแอนด์ดับบลิว และทาโก้ เบลล์) ได้ทำข้อตกลงร่วมกันว่า จะต้องมีข้อความที่พูดถึงอาหารที่ดีต่อร่างกายอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในโฆษณาที่มีเป้าหมายเป็นเด็ก ลดการใช้ตัวการ์ตูนที่เด็กๆ รู้จัก และไม่ทำการโฆษณาในเขตโรงเรียน อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังเป็นห่วงว่า มาตรการต่างๆ นั้นอาจไม่เป็นผลเมื่อบริษัทเหล่านี้ก็จะยังคงเปิดสาขาเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าเด็กๆ ในบริเวณที่ใกล้กับสถานศึกษา เพิ่มขึ้นทุกวัน จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระบุว่า เด็กแคลิฟอร์เนียที่เรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีร้านเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายส์ อยู่ใกล้ๆ นั้นมีอัตราการเป็นโรคอ้วนสูงกว่าเด็กจากที่อื่นๆ ร้อยละ 5.2 เจนนิเฟอร์ แฮริส นักวิชาการด้านโรคอ้วนและนโยบายด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยเยล บอกว่าความพยายามของผู้ประกอบการนั้นยังไม่อาจนับเป็นอะไรได้ สิ่งที่ควรจะมีขึ้นคือการใช้กฎหมายเพื่อจำกัดการเข้าถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดไปเลย เหมือนอย่างที่ทำกับสินค้าอย่างบุหรี่หรือเหล้านั่นเอง ว่าแล้ว เอริค โจยา สมาชิกสภาเมืองนิวยอร์ค ก็เตรียมยื่นร่างกฎหมายที่ห้ามเปิดกิจการร้านฟาสต์ฟู้ดในระยะ 1.6 กิโลเมตรจากโรงเรียนไปเสียเลย เขาบอกว่าถึงบรรดาพ่อแม่จะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการเลือกรับประทานอาหารของลูก แต่รัฐเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยให้พ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีขึ้นด้วยเช่นกัน รถมือสอง ... เรื่องร้องเรียนอันดับหนึ่งของคนอังกฤษ คอนซูเมอร์ ไดเร็ค หน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคของประเทศอังกฤษ ออกมาแถลงสถิติจำนวนเรื่องร้องเรียนว่าปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามามากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2552 ได้แก่ ปัญหาจากการซื้อรถมือสองนั่นเอง โดยมีกรณีร้องเรียนทั้งหมด 24,672 กรณี จากทั้งหมด 414,000 กรณีส่วนอันดับสองได้แก่ สัญญาการใช้โทรศัพท์มือถือ อันดับสามคือโทรทัศน์ และตามด้วยโทรศัพท์มือถือ (หมายถึงตัวเครื่อง) โดยรวมแล้วปีนี้มีคนร้องเรียนน้อยลงร้อยละ 3 โดยถ้าแยกแยะเป็นประเด็นแล้วหนึ่งในสามของเรื่องร้องเรียนเหล่านั้น เป็นเรื่องของสินค้าชำรุด บกพร่อง ในขณะที่หนึ่งในสี่เป็นการได้รับบริการที่ไม่ดีจากร้านหรือจากพนักงานขาย อังกฤษมีการใช้ พรบ.การขายสินค้า ค.ศ. 1979 ที่ระบุว่า ถ้าของที่เราซื้อมามีความบกพร่อง ทางร้านจะต้องรับผิดชอบด้วยการคืนเงินหรือซ่อมหรือเปลี่ยนสินค้าชิ้นใหม่ให้ แต่ถ้าความบกพร่องดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการใช้งานโดยผู้บริโภคแล้ว ถ้ายังอยู่ในช่วงหกเดือนแรกหลังการซื้อ ทางร้านจะต้องรับภาระการพิสูจน์ข้อบกพร่องดังกล่าว แต่ถ้าหกเดือนผ่านไปภาระการพิสูจน์จะเป็นของผู้บริโภค จองได้ ไม่ต้องจ่ายเพิ่งรู้เหมือนกันว่าที่ประเทศจีนนั้นจะพบแพทย์กันครั้งหนึ่งเราต้องไปเข้าคิวขอนัดหมอ และการเข้าคิวอย่างเดียวก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงแล้ว ที่เพิ่งจะรู้อีกอย่างหนึ่งคือคนจีนที่เบื่อรอ เขานิยม (หรือจำเป็นก็ไม่แน่ใจ) ไปเสียเงินใช้บริการของตัวแทนรับจองนัดพบแพทย์อย่าง www.91985.com เป็นต้น ข่าวไม่ได้บอกว่าค่าบริการครั้งละเท่าไร แต่คงไม่สำคัญแล้วเพราะกระทรวงสาธารณสุขของจีนซึ่งอยู่ในระหว่างการปฎิรูปบริการสาธารณสุขมีแผนจะห้ามโรงพยาบาลใช้บริการจากตัวแทนดังกล่าว แล้วบังคับให้โรงพยาบาลเหล่านั้นให้บริการรับนัดฟรีให้กับประชาชนด้วยตนเอง ขณะนี้แผนการดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาและมีการเปิดให้ประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นได้ในเว็บไซต์ของกระทรวงฯ โรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างโรงพยาบาลรุยจินและโรงพยาบาลหัวซานได้ประกาศยกเลิกการรับนัดผ่านตัวแทน www.91985.com ไปแล้ว และทางตัวแทนดังกล่าวก็บอกว่าจะเปลี่ยนไปทำธุรกิจขายข้อมูลด้านสุขภาพแทน

อ่านเพิ่มเติม >