ฉบับที่ 222 รับมือกับแผลน้ำร้อนลวก

        โอกาสโดนน้ำร้อนลวกหรือน้ำมันร้อนกระเด็นใส่นั้น ทุกคนมีความเสี่ยงพบเจอได้ ยิ่งเป็นคนที่ชอบทำอาหารโดนกันประจำ การจะดูแลปฐมพยาบาลแผลน้ำร้อนลวกนั้น ต้องประเมินจากขนาดของแผลและบริเวณที่สัมผัสความร้อน เพื่อที่จะประเมินได้ว่า ต้องจัดการอย่างไร ที่แน่ๆ พอโดนลวกแล้วปวดแสบปวดร้อนจนสุดทน จนบางคนต้องหาของที่เอ่ยอ้างต่อๆ กันมากันว่าบรรเทาได้ อย่างยาสีฟัน น้ำปลา น้ำแข็ง มาทา ประคบ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผสมความเข้าใจผิด และอาจทำให้แผลยิ่งอักเสบจนกลายเป็นแผลติดเชื้อได้ คราวนี้จึงจะนำวิธีการรับมือแบบถูกต้องมาฝากกัน ประเมินบาดแผลและการรักษา         1. แผลระดับแรก เป็นแผลกินบริเวณไม่กว้าง ความร้อนทำลายแค่ผิวหนังกำพร้าชั้นนอกเท่านั้น โดยแผลนั้นจะไม่มีตุ่มพองใส แต่จะแค่ผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงกว่าปกติ มีความรู้สึกว่าปวดแสบและร้อนแบบพอทนได้ ซึ่งจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เมื่อหายปวด โดยทั่วไปแผลระดับแรกนี้จะหายไปในระยะเวลา 7 วัน วิธีการรักษา แค่ใช้น้ำอุณหภูมิปกติไหลผ่านแผล แล้วจึงใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบไว้สักครู่หนึ่ง อาการปวดก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือถ้าใครมีคูลฟีเวอร์ ( แปะหน้าผากลดไข้เด็ก ) ก็สามารถนำมาแปะที่แผลไว้ นอกจากนี้การใช้สมุนไพรบางตัว อย่าง ว่านหางจระเข้ ใบบัวบก หรือบัวหิมะ พอกทาที่แผล ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้ดี พออาการปวดดีขึ้นก็ให้ทายารักษาอาการ ยาทานั้นมีขายทั่วไปตามร้านขายยา สอบถามได้จากเภสัชกรในร้าน         2. แผลระดับสอง คือแผลที่โดนลึกขึ้น และกินบริเวณกว้างกว่าแผลในระดับแรก เข้าไปถึงชั้นหนังกำพร้า แล้วลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังหลงเหลือเซลล์ที่สามารถเจริญเติบโตมาทดแทนชั้นหนังที่ตายแล้วได้อยู่ แผลนั้นจะมี 2 แบบ คือทั้งแบบเป็นตุ่มพองมีน้ำใสๆ ข้างใน พอแกะน้ำออกมาผิวบริเวณนั้นจะมีสีชมพู และมีน้ำเหลืองไหลออกมาเล็กน้อย แผลระดับนี้จะเริ่มมีอาการปวดแสบมากขึ้น เพราะเส้นประสาทถูกทำลายไปด้วย แต่ไม่เยอะมากนักและแผลจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์ และจะไม่เกิดแผลเป็น ส่วนอีกแบบนึงจะเป็นแผลที่ไม่มีตุ่มพองแผลจะแห้ง มีสีเหลืองขาวและไม่ค่อยปวด แต่จะทำให้เกิดแผลเป็นได้วิธีการรักษา ใช้วิธีการเดียวกับแผลระดับแรก เพียงแต่อาการแสบร้อนอาจมีมากกว่ากินระยะเวลาการรักษานานกว่า หากมีอาการตุ่มพองน้ำใส อย่าแกะหรือสะกิดให้น้ำออก น้ำด้านในจะค่อยๆ แห้งลงเอง แต่ถ้าแผลเปิดออก ต้องทายาเพื่อรักษาและป้องกันการติดเชื้อ และบางครั้งอาจต้องมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการติดเชื้อ            3. แผลระดับสาม แผลลึก รุนแรงกินลึกลงไปถึง หนังแท้ รูขุมขน ต่อมเหงื่อ และเซลล์ประสาทจนหมด ซึ่งแผลระดับนี้ถือว่ารุนแรงมาก เพราะอาจกินลึกไปถึงชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก แต่จะไม่มีอาการปวดจากแผล เพราะเซลล์ประสาทโดนทำลายไปทั้งหมด ทำให้ไม่รับรู้ถึงอาการปวด ระดับนี้รักษาเองไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น สมุนไพร ที่ช่วยในการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บรรเทาอาการแสบร้อน        1. ว่านหางจระเข้ วุ้นของว่านหางจระเข้นั้นมีสาร ไกลโคโปรตีน มีสรรพคุณในการลดการอักเสบของผิวหนัง ฆ่าเชื้อในแผลและห้ามเลือด เหมาะกับการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้เป็นอย่างดี วิธีการใช้ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ว่านหางจระเข้ ทั้งแบบครีมและเจลเพื่อให้ใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือถ้าไม่อยากซื้อใช้ ก็แค่เพียงนำว่านหางจระเข้สดๆ ล้างน้ำเอายางออกปอกเปลือกให้หมด แล้วจึงขูดเอาเนื้อวุ้นมาปิดที่บริเวณแผล ระยะแรกอาจต้องเปลี่ยนบ่อยเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนจนอาการดีขึ้น จากนั้นพอกทาวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น จนกว่าแผลจะหาย         2. ใบบัวบก มีสรรพคุณในรักษาแผลอักเสบ และสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว ลดอาการปวดแสบร้อนได้ดีเช่นกัน วิธีการใช้ ให้นำใบบัวบกสดล้างให้สะอาด แล้วนำไปตำจนละเอียด กรองเอาน้ำแต่ติดกากใบมาด้วยเล็กน้อย แล้วเอามาชโลมที่แผลเรื่อยๆ จนกว่าอาการปวดจะดีขึ้น หรือใช้ครีมบัวบกซึ่งพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้บรรเทาอาการแสบร้อนและสมานแผลน้ำร้อนลวก         3. นมสด หรือโยเกิร์ตแช่เย็น ทั้ง 2 อย่างนี้ มีปริมาณไขมันและโปรตีน ที่ช่วยในการสมานแผล และลดอาการปวดแสบร้อนได้ดี วิธีการใช้ แช่แผลลงในนมสดหรือโยเกิร์ต ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก วิธีนี้นอกจากจะลดอาการปวดได้แล้ว ยังทำให้ไม่เป็นแผลเป็นอีกด้วย         4. เกลือ มีสรรพคุณในการสมานแผล และลดอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดี อย่างไม่น่าเชื่อ วิธีการใช้ เมื่อเกิดแผลให้รีบนำเกลือป่นมาพอกไว้ที่บริเวณแผล  แล้วหยดน้ำลงไปเล็กน้อย จะทำให้แผลที่ปวดแสบปวดร้อนดีขึ้น        5. บัวหิมะ สมุนไพรจากจีนที่ค่อนข้างหาซื้อยาก แต่มีสรรพคุณแก้พิษจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการอักเสบปวดแสบร้อนอย่างรุนแรงได้ดี เพราะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น แล้วยังทำให้ผิวบริเวณที่โดนลวกหรือไหม้นั้นไม่เป็นแผลเป็นอีกด้วย วิธีการใช้ ปัจจุบันมีการนำมาทำในรูปแบบของ ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อใช้ได้ง่ายขึ้น แต่อาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง บรรเทาอาการและช่วยสมานแผล 1. น้ำส้มสายชู ด้วยกรดอะซีตริกที่อยู่ในน้ำส้ม ช่วยบรรเทาอาการ อักเสบ ปวด และการคันจากการโดนของร้อน และการเผาไหม้ นอกจากนี้ยังช่วยฆ่าเชื้อและป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้ออีกด้วย วิธีการใช้ ล้างแผลให้สะอาด แล้วใช้สำลีจุ่มลงไปในน้ำส้มสายชู บีบน้ำออกเล็กน้อยแล้วนำมาวางโปะไว้บนแผลสักครู่ รอจนแผลหายปวดแล้วจึงเอาออก สามารถทำได้ทุกวันจนกว่าแผลจะหาย2. น้ำมันมะพร้าว สามารถป้องกันแผลจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ที่มาของการอักเสบ และเกิดรอยแผลเป็นได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินอีและกรดไขมัน เหมาะสำหรับแผลที่หายแล้ว วิธีการใช้ นำน้ำมันมะพร้าวมาชโลม แล้วนวดตรงบริเวณที่เป็นแผลเป็น จนผิวและแผลบริเวณนนั้นนุ่มและอ่อนลง สามารถทาได้ทุกวัน 3. น้ำผึ้งจากธรรมชาติ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคและลดอาการเจ็บปวดของแผลได้เป็นอย่างดี วิธีการใช้ ล้างแผลให้สะอาดแล้วนำน้ำผึ้งมาหยด จากนั้นนวดตรงบริเวณแผล สามารถทำได้เรื่อยๆ จนกว่าแผลจะหายปวด ข้อมูลจาก  https://www.honestdocs.co/burn-wound-treatment

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมีนาคม 255316 มีนาคม 2553 “กำจัดปลวก” ต้องเลือกดีๆ อย. เผยข้อมูลว่าปัจจุบันมีบริษัทรับจ้างกำจัดปลวกตามบ้านและสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนอยู่หลายบริษัท ซึ่งตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 กำหนดให้ การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน โดยผลิตภัณฑ์กำจัดปลวกถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวัตถุอันตราย นอกจากนี้เจ้าของบริษัทกำจัดปลวกที่ได้รับอนุญาตต้องจัดให้มีผู้ควบคุมการใช้วัตถุอันตรายโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีประสบการณ์หรือผ่านการอบรมและทดสอบความรู้ตามที่ อย.กำหนด สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการกำจัดปลวก ควรตรวจสอบเอกสารการได้รับอนุญาตจาก อย.เอกสารรายละเอียดสารเคมีอันตรายที่ใช้ เช่น คำเตือน อาการเกิดพิษ วิธีแก้พิษ และเอกสารแนะนำความปลอดภัย รวมทั้งตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่บริษัทใช้ โดยฉลากผลิตภัณฑ์จะต้องมีข้อความแสดงรายละเอียดที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อทางเคมี อัตราส่วนที่ใช้ และเลขทะเบียนวัตถุอันตรายที่ใช้ในทางสาธารณสุข ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   23 มีนาคม 2553 ต่ออายุมาตรการภาษีเพื่อคนซื้อบ้านอีก 2 เดือนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ขยายเวลาการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งครบกำหนดลงในวันที่ 28 มีนาคม 2553 ออกไปอีก 2 เดือน เพราะห่วงจะเกิดผลกระทบกับประชาชนที่จองซื้อบ้านไม่สามารถโอนได้ทันกำหนด ซึ่งพบว่ามีผู้บริโภคกว่า 1 หมื่นรายได้รับความเสียหายหากประกาศยกเลิกมาตรการนี้ “อสังหาริมทรัพย์จะยังเติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งหากไม่มีการขยายเวลามาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้ภาษีธุรกิจเฉพาะกลับไปสู่อัตราเดิมที่ 3.3% จาก 0.11% และค่าโอนเป็น 2% จาก 0.01%” +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   26 มีนาคม 2553 สมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” โฆษณาเกินจริงอย.จัดการลงดาบกับยาสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” หลังมีการตรวจสอบและร้องเรียนจากผู้บริโภคว่าซื้อไปทานแล้วไม่สามารถรักษาโรคได้ตามที่อวดอ้าง ซึ่งมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย พร้อมทั้งถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับยา อย.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมากว่าให้ช่วยตรวจสอบผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” หลังจากซื้อรับประทานเพราะเชื่อในสรรพคุณที่อวดอ้างว่ารักษาโรคได้สารพัด ทั้ง ฟื้นฟูตับไต รักษาเบาหวาน ความดัน โรคเกาต์ รูมาตอยด์ ต่อมลูกหมากอักเสบ บำรุงเลือด รวมทั้งเสริมสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ทั้งทาง เคเบิ้ลทีวี เว็บไซต์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะในเคเบิลทีวีได้มีการนำตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้ทานสินค้าดังกล่าวแล้วอาการดีขึ้นมาพูดในเชิงอวดอ้างสรรพคุณสินค้า ซึ่งทางอย.ได้ชี้แจงว่า ยาสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” ได้ขึ้นทะเบียนกับทางอย.ว่ามีสรรพคุณบำรุงร่างกายเท่านั้น ส่วนคำโฆษณาโอ้อวดเรื่องการรักษาโรคต่างๆ นั้นยังมีการศึกษาหรือข้อมูลใดๆ รับรองได้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   31 มีนาคม 2553 "บาร์โค้ดอัจฉริยะ" กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ร่วมกับบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการนำร่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร จากรหัสมาตรฐานสากลเพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภค ผู้ส่งออก และเกษตรกรไทย โดยจะทำให้ “บาร์โค้ด” ที่ติดอยู่บนสินค้าเกษตรและอาหารบอกได้มากกว่าราคาสินค้า แต่สามารถบอกรายละเอียดลงไปได้ลึกถึงแหล่งผลิต "นิวัติ สุธีมีชัยกุล" ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช) กล่าวถึงโครงการนี้ว่า บาร์โค้ดแบบใหม่นี้จะไม่แสดงเพียงแค่ราคาสินค้าเท่านั้น แต่จะแสดงข้อมูลผู้ผลิตสินค้า ซึ่งจะปรากฏบนหน้าจอของเครื่องอ่านบาร์โค้ด ผู้บริโภคก็สามารถรู้ได้ว่าผักถุงนี้ใครปลูก ปลูกในแปลงไหน เก็บเกี่ยวอย่างไร คาดว่าไม่เกิน 1 ก.พ. 2554 ก็จะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บาร์โค้ดตามโครงการนี้วางจำหน่ายในท้องตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งความนิยมในสินค้าเกษตรอินทรีย์ ผักปลอดสารพิษ ถือเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกษตรกรเห็นว่าการยินดีเปิดเผยถึงการใช้สารเคมีหรือวิธีการผลิตช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของตัวเอง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ผู้บริโภคค้าน พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ เหตุยุติบทบาท สบท.มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคกว่า 30 จังหวัด และสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ยื่นจดหมายคัดค้าน(ร่าง) พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ...... ให้แก่นายสมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพราะเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือของบริษัทที่ต้องการยุบสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ในปัจจุบัน คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.)  ได้มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองผู้บิโภคในกิจการโทรคมนาคม(สบท.) มีวัตถุประสงค์ในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคและให้มีสำนักงานของตนเองบริหารงานเป็นอิสระในการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กทช.มีสำนักผู้บริการดำเนินกรคุ้มครองผู้บริโภคภายใต้สำนักงานของ กทช. อยู่แล้ว  หากกฎหมายฉบับนี้เขียนให้มีเพียงอนุกรรมการ นั่นย่อมเป็นเครื่องมือในการยุบสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคฯไปโดยปริยาย ซึ่งจากการดำเนินงานของ สบท. ในช่วงเวลาเพียง 2 ปีที่ผ่านมา มีส่วนช่วยทำให้มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่ออกประกาศโดย กทช. ถูกบังคับใช้และเกิดผลในการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น กรณี 107 บาท ในการเรียกเก็บเงินต่อสัญญาณการให้บริการของบริษัทโทรคมนาคม การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากเสาสัญญาณโทรคมนาคม รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รับรู้สิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมมากขึ้น -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ยื่นหมื่นรายชื่อ เสนอร่างพ.ร.บ.สินไหมฯ เข้าสภาเครือข่ายนักวิชาการ และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้เข้ายื่นร่าง พ.ร.บ.กองทุนสินไหมทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ...... โดยรวบรวมรายชื่อประชาชน 10,803 รายชื่อ เสนอต่อ พันเอกอภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง นางสาวกชนุช แสงแถลง ผู้ประสานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค  กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยพบว่า พ.ร.บ.คุ้มครอบผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล เนื่องจากปัจจุบันทุกคนมีหลักประกันสุขภาพ ผู้ประสบภัยไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังพบว่าในการเจรจากับบริษัทประกันภัยเอกชนทำให้ผู้ประสบภัยเสียเปรียบ เนื่องจากฝ่ายบริษัทประกันภัยประวิงเวลาในการจ่ายเงินค่าชดเชยจากบริษัท ประกันภัย ทำให้ผู้ประสบภัยต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น และทำให้เสียเปรียบในการใช้สิทธิ ดังนั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายนักวิชาการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชน จึงได้จัดทำ (ร่าง) พ.ร.บ.กองทุนสินไหมทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ..... เพื่อให้แก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น พร้อมทั้งได้รวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่น รายชื่อเพื่อร้องขอให้ประธานรัฐสภานำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 โดนน้ำร้อนลวกบนแอร์เอเซีย

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2552 คุณปาริจฉัตร์ ได้เดินทางไปฮ่องกงกับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์แห่งหนึ่ง โดยได้ใช้บริการไป-กลับ กับสายการบินไทยแอร์เอเซีย ขาไปเหตุการณ์ปกติ แต่ในขากลับ วันที่ 6 พ.ย. 2552 ออกจากฮ่องกงเวลา 20.50 น. และถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น.นั้น นับเป็นช่วงเวลาการเดินทางที่คุณปาริจฉัตร์ต้องจดจำไปอีกนานคุณปาริจฉัตร์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ในขณะที่มีการเสิร์ฟอาหารบนเครื่อง เมื่อถึงที่นั่งแถวเธอ พนักงานต้อนรับบนเครื่องแจ้งว่า อาหารไม่มีให้เลือกแล้ว เหลือแต่สปาเก็ตตี้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอเลยสั่งบะหมี่ถ้วยปกติและพี่ที่นั่งติดกันสั่งเป็นบะหมี่เกาหลีถ้วยใหญ่“หลังจากได้รับอาหารแล้วดิฉันก็รับประทานตามปกติ โดยวางกระเป๋าบนขาแล้วเอาถาดที่ใช้วางอาหารลงมา แต่ถ้วยบะหมี่ของพี่ที่นั่งข้างๆ นั้น น้ำที่ใส่ให้ในถ้วยเป็นแค่อุ่นน้อยๆ เอามือสัมผัสที่ถ้วยแล้วแทบจะไม่มีความร้อนเลยทำให้บะหมี่ไม่สุก เส้นแข็ง ไม่สามารถรับประทานได้ ดิฉันจึงได้เรียกพนักงานให้นำอาหารไปอุ่นให้”ไม่นานพนักงานก็เดินถือบะหมี่ถ้วยใหญ่มาเสิร์ฟ เมื่อเดินมาถึงทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลัง พนักงานแจ้งว่า “ได้แล้วค่ะ” แต่ทันใดนั้นบะหมี่ที่มีน้ำร้อนอยู่เต็มถ้วยได้หกรดใส่ตัวคุณปาริจฉัตร์อย่างไม่ทันตั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณต้นขาขวา“ตอนนั้นตกใจมากทั้งแสบทั้งร้อน ร้องออกมาเสียงดังมากด้วยความเจ็บปวดสะดุ้งสุดตัวจนลุกขึ้นยืนแต่ยืนไม่ได้เพราะติดเบลท์(belt) ที่คาดไว้” คุณปาริจฉัตร์ได้เล่าต่อว่า พนักงานได้กล่าวคำขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ในจังหวะนั้นคุณปาริจฉัตร์รีบปลดเบลท์ ปัดทุกอย่างออกจากตัวแล้ววิ่งไปทางด้านหลังเครื่องโดยมีพนักงานที่ก่อเหตุวิ่งตามมาด้วย และได้ร้องขอน้ำเปล่า น้ำเย็น น้ำแข็ง จากพนักงานแล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในห้องน้ำ และต้องนั่งอยู่ในนั้นตลอดการเดินทางเพราะต้องถอดเสื้อผ้าออกเกือบทั้งหมดเพื่อทำการปฐมพยาบาล และเมื่อมาถึงสนามบินเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันจึงได้พาคุณปาริจฉัตร์ไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที และได้มีการร้องเรียนผ่านทางศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดชลบุรีและส่งต่อมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลืออีกทีแนวทางแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ครั้งนี้มีรายละเอียดอีกเยอะที่คุณปาริจฉัตร์ได้เล่ามา แต่ต้องขอตัดทอนเอาเฉพาะที่สำคัญ ซึ่งโดยสรุปคือเป็นเรื่องที่พนักงานของสายการบินประมาทขาดความระมัดระวังทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่หนักหนาสาหัสแต่ก็มีความเสียหายทุกข์ทรมานไม่น้อยที่ต้องโดนน้ำร้อนลวกจนเกือบจะถูกจุดสำคัญเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงแนะนำให้ผู้ร้องรายนี้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และในวันที่ 27 พ.ย.2552 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายคือคุณปาริจฉัตร์และตัวแทนของบริษัทไทยแอร์เอเซียคือคุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ขึ้น โดยในวันดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าผู้บริโภคจะไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป โดยไทยแอร์เอเซียได้เสนอเยียวยาความเสียหายดังนี้1. ชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง จำนวน 2,160.80 บาท2. ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินคือ กระเป๋าและเสื้อผ้าที่ถูกบะหมี่หกราด จำนวน 5,000 บาท3. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ของสายการบินแอร์เอเซีย จำนวน 6 ที่นั่ง(ไม่ระบุวันเดินทางไป-กลับ)4. ให้บริษัทไทยแอร์เอเซียฯ ออกจดหมายขอโทษผู้บริโภคอย่างเป็นทางการต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม 2552 คุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท ไทยแอร์เอเซีย ได้ดำเนินการเยียวยาความเสียหายตามที่ได้ตกลงกันไว้ พร้อมกับจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการถึงคุณปาริจฉัตร์ โดยมีสาระที่น่าสนใจดังนี้ทางสายการบินฯ และพนักงานทุกคนขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับท่าน และขอเรียนให้ทราบว่าหลังจากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมและหารือถึงสาเหตุและมาตรการต่างๆ ซึ่งทางหลักปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น พนักงานต้อนรับจะต้องรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ชุดอุปกรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยาน และจะต้องทำการแจ้งกับผู้ควบคุมการบินประจำเที่ยวบินนั้นโดยทันทีผู้ควบคุมการบินจะทำการติดต่อหอบังคับการ และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเพื่อดำเนินการเตรียมอุปกรณ์เพื่อพร้อมรับผู้โดยสารไปยังโรงพยาบาลทันที ณ เครื่องบินลงจอด ซึ่งสายการบินฯ ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับหนึ่ง พนักงานทุกภาคส่วนได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยานมาโดยตลอดอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวมิได้มีการแจ้งไปยังหน่วยงาน ผู้เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติแต่อย่างใด ยังผลให้ท่านผู้โดยสารไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อันเป็นเหตุมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนดของพนักงานต้อนรับท่านดังกล่าว ทั้งนี้สายการบินฯ ได้มีการเรียกประชุมแผนกพนักงานต้อนรับเพื่อให้มีการรับทราบ และเพื่อให้พนักงานทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป....

อ่านเพิ่มเติม >