ฉบับที่ 245 อย่างนี้ก็ได้เหรอ เมื่อต้องเจอโควิด (2)

2. ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกร ก่อนตัดสินใจนำมาใช้        2.1 กินฟ้าทะลายโจร ป้องกันรักษาโควิด 19        ตามที่มีข่าวว่าฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด 19 ได้ ทำให้ประชาชนหลายคน แห่ไปซื้อยาฟ้าทะลายโจรเพื่อมารับประทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโควิด 19  หรือหากตัวเองติดเชื้อแล้วก็จะสามารถหายได้โดยไม่ต้องไปรักษาที่ไหน ในแง่วิชาการ ฟ้าทะลายโจรมีสารสำคัญคือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่งการทดลองในหลอดทดลอง พบว่ามีฤทธิ์ต้านไวรัสได้ แต่ปีที่ผ่านมาทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการทดลองเพิ่มเติมพบว่า เมื่อมาอยู่ในเซลล์ร่างกายจะป้องกันโคโรนาไวรัสได้หรือไม่ ปรากฏว่ายังไม่สามารถป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้         อย่างไรก็ตามสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรนั้น ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางตัวได้และฟ้าทะลายโจรยังเป็นยาลดไข้ที่ดี จึงมีการกำหนดในบัญชียาหลักในสรรพคุณที่ ลดไข้ได้ และเนื่องจากในผู้ป่วยโควิด19 จะมีภาวะการอักเสบ ซึ่งฟ้าทะลายโจรสามารถลดการอักเสบและส่งเสริมภูมิคุ้มกันได้ดี ซึ่งในการศึกษาวิจัยใน 9 รพ. (มีผู้ป่วยจำนวน 304 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยอาการน้อย) เมื่อให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรในขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง อาจมีเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือถ่ายเหลว แต่ไม่มาก จึงน่าจะเป็นทางเลือกในการใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง และมีแนวโน้มที่ดีในการจะนำมาใช้ประโยชน์ในผู้ป่วยโควิด 19 ได้ ซึ่งหากมีความก้าวหน้ามากขึ้นจะนำมาเผยแพร่ต่อไป         แต่ฟ้าทะลายโจรเองก็มี ข้อห้ามในการใช้ เช่นกัน เช่น ผู้ป่วยรายใดมีประวัติเคยแพ้ฟ้าทะลายโจร หากรับประทานครั้งแรกมีผื่นคันขึ้นต้องหยุดใช้ หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตรก็ไม่ควรใช้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคตับ โรคไตก็ต้องหลีกเลี่ยงและผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและรับประทานยาประจำ โดยเฉพาะยาลดการแข็งตัว อย่างยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ซึ่งเป็นยาที่จ่ายให้กับผู้ป่วยอัมพฤตอัมพาต หรือเส้นเลือดหัวใจตีบต้องระวัง และผู้ป่วยที่รับประทานยาลดความดันโลหิตก็ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกัน”         การใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน สามารถเป็นข้อแนะนำได้ในเบื้องต้น แต่ต้องรับประทานฟ้าทะลายโจรประมาณ 20 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน หยุด 2 วัน ต่อเนื่องไม่เกิน 3 เดือน         2.2 กิน กระชาย ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ป้องกันรักษาโควิด 19         ตามที่มีคลิปผู้ป่วยโควิด19 ใช้สมุนไพรพวก กระชาย ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มาต้มแล้วดื่ม ปรากฏว่าอาการป่วยดีขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ป่วยอื่นๆ ทำตามดูบ้าง         ในแง่วิชากการ สมุนไพรเหล่านี้ยังไม่สามารถฆ่าเชื้อโควิด 19 ได้ แต่อาจมีประโยชน์ตรงที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง การป่วยจึงฟื้นตัวจนหายได้เร็วขึ้น แม้ในการศึกษาจะพบว่า กระชายได้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกับฟ้าทะลายโจรในการต้านไวรัส แต่ก็ต้องใช้ปริมาณมากจนเป็นไปยากเพราะต้องใช้กระชายถึงครั้งละ ครึ่งกิโลกรัม         ดังนั้นหากเราจะเลือกสมุนไพรเหล่านี้มาบริโภค ก็อย่าคาดหวังผลในการรักษาโควิด 19 แต่ให้หวังผลในแง่สุขภาพที่อาจจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย และไม่ควรไปซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ราคาแพงๆ ที่วางขาย เพราะจะไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไปในยามที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 แชมพูสมุนไพรแท้ๆ แบบไม่มีสารชำระล้าง

               เล่มที่แล้วเล่าถึงแชมพูสมุนไพร ที่ไม่ได้ห้ามการใส่สารชำระล้างหรือเรียกง่ายๆ ว่าหัวแชมพู ดังนั้นหลายคนเจอสารชำระล้างแรงๆ เข้าผมก็ฟูฟ่อง สากกระด้างได้ คราวนี้จะนำเสนอแชมพูสมุนไพรสูตรไร้สารชำระล้าง แบบทำเองได้ง่ายๆ สำหรับใช้กันในครอบครัว ซึ่งควรทำคราวละน้อยๆ เพราะสูตรแชมพูแบบไร้สารนั้น ตัวพฤกษเคมีจะไม่ค่อยคงตัว เก็บไว้นานประโยชน์จะน้อยลง ขณะเดียวกันอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทย โอกาสบูดเสียเกิดได้ง่าย การทำแชมพูสมุนไพรแชมพูสมุนไพรจากมะกรูดช่วยให้ผมสะอาด แก้คันศีรษะ         สูตรที่ 1 วัตถุดิบมะกรูด 1 กิโลกรัม น้ำสะอาด 1 ลิตร         วิธีทำ ล้างมะกรูดให้สะอาด ผ่าเอาเมล็ดออกและฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำด้วยไฟอ่อนสัก 1 ชั่วโมง ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นให้ละเอียดกรองเอาแต่น้ำ นำไปเคี่ยวไฟซ้ำจนเดือด เมื่อเย็นแล้วบรรจุลงในขวดที่มีฝาปิดสนิท ใช้ได้นานประมาณสองสัปดาห์         สูตรที่ 2 มะกรูด 3-4 ลูก ย่างด้วยเตาถ่านจนมีน้ำมันออกมาที่เปลือก จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และปั่นด้วยเครื่องปั่น กรองเอาแต่น้ำนำมาสระผม ทำครั้งต่อครั้ง แชมพูสมุนไพรจากมะกรูด อัญชัน ขิงช่วยแก้ปัญหาผมร่วง         วัตถุดิบยังคงใช้มะกรูดเป็นหลัก เพิ่มด้วยอัญชันและขิง ในสัดส่วน 3:1:1 ต้มกับน้ำสะอาดจนเปื่อยยุ่ย(ประมาณ 3 ชั่วโมง) จากนั้นทิ้งให้เย็น กรองด้วยผ้าขาวบางหรือตะแกรง และกรอกแชมพูลงในขวดปิดสนิท เก็บรักษาได้ประมาณ 2 สัปดาห์         สูตรนี้สามารถปรับจากอัญชัน ขิง เป็นขมิ้นชันแทนได้ ในสัดส่วน มะกรูด 5 ขมิ้นชัน 1 และถ้าต้องการเก็บรักษาให้นานขึ้น ในขั้นตอนที่ต้มกับน้ำ เติมเกลือเข้าไปด้วยจะช่วยให้เก็บได้นานขึ้นประมาณ 2-3 เดือน เคล็ดลับในการทำแชมพูสมุนไพร        1.ไม่ใช้ไฟแรง ควรค่อยๆ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน        2.วัตถุดิบต้องล้างให้สะอาด        3.หาขวดที่เป็นหัวปั๊มมาใส่แชมพูจะช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น        4.ในตอนที่จะสระผม บางคนมีเคล็ดลับ นำแชมพูสมุนไพรผสมกับเบคกิ้งโซดาประมาณ 1 ช้อนชา ช่วยให้สระผมได้ง่ายขึ้น บางคนก็หมักแชมพูกับผมประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งการปรับใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน และผลที่ได้ส่วนใหญ่น่าพอใจ เว้นแต่ระยะแรกอาจไม่ค่อยชินเพราะแชมพูสมุนไพรแบบนี้จะไม่มีฟอง และเวลาล้างออกต้องล้างออกให้หมดไม่เหลือพวกกากสมุนไพรทิ้งไว้        5.ถ้าเก็บไว้ได้ระยะหนึ่งแล้วพบว่า แชมพูมีการเปลี่ยนแปลงของสี กลิ่นก็ไม่ควรใช้แชมพูผสมสมุนไพร หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นของเหลวประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิวใช้กับเส้นผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากเส้นผมและหนังศีรษะผสมสารสกัดจากสมุนไพรหรือชิ้นส่วนสมุนไพร เช่น ดอกอัญชัน มะคำดีควาย ว่านหางจระเข้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 โดนสวมรอยรูดบัตรเครดิต

ผู้ที่ถือบัตรเครดิตทุกคน อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในการบอกข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่นทราบ เพราะไม่แน่ว่าเราอาจโดนมิจฉาชีพสวมรอย แอบอ้างเป็นผู้ถือบัตรและไปรูดซื้อสินค้า ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้ได้คุณโชนถูกชักชวนทางโทรศัพท์ให้ทำประกันคุ้มครองรถยนต์ โดยเซลล์ที่อ้างว่ามาจากศูนย์บริการใหญ่ แจ้งว่าจะส่งรายละเอียดของกรมธรรม์มาให้เขาตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ที่บ้าน และหากเขาตกลงก็จะขอนัดมาพบที่บ้านเพื่อถ่ายรูปรถยนต์และชำระค่าใช้จ่าย ซึ่งคุณโชนได้สอบถามกลับไปว่าสามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้หรือไม่ เนื่องจากเขาสนใจประกันภัยดังกล่าวอยู่แล้ว ทำให้เซลล์ตอบกลับมาว่าสามารถทำได้ พร้อมขอเลขบัตรเครดิต 12 หลักและวันหมดอายุของบัตรเขาไว้ด้วย คุณโชนเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงให้ข้อมูลบัตรตามที่เซลล์ขอไป อย่างไรก็ตามเหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อภายหลังมีข้อความแจ้งเตือนจากบัตรเครดิตมาว่าได้มีการตัดยอดประกันไปแล้ว ทำให้เขาตกใจมาก เพราะทราบอยู่แล้วว่าบัตรดังกล่าวยอดวงเงินเต็มคุณโชนจึงโทรศัพท์ไปสอบถามที่ Call Center ของบัตรเครดิต ซึ่งแจ้งว่าก่อนหน้านี้เขาได้โทรศัพท์เข้ามาเพื่อขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวและรูดชำระค่าประกันไป เขาจึงแจ้งว่าตนเองไม่เคยโทรศัพท์เข้ามาขอเพิ่มวงเงินใดๆ และสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเซลล์ขายประกันคนดังกล่าว มาแอบอ้างเป็นเขาและรูดบัตรไปโดยวิสาสะ ทำให้เขาโทรศัพท์ไปที่บริษัทประกันรถ เพื่อขอยกเลิกการชำระเงินดังกล่าว แต่ไม่สามารถทำได้ จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำให้ผู้ร้องเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำใบแจ้งความ ไปขอเทปบันทึกการสนทนาระหว่างพนักงานบัตรเครดิต กับเซลล์ขายประกันที่แอบอ้างเป็นเขา มาขอเพิ่มวงเงินและรูดชำระค่าประกันไป นอกจากนี้แนะนำให้ผู้ร้องทำจดหมายปฏิเสธการชำระเงิน โดยทำเป็นไปรษณีย์ตอบรับ ส่งไปยังธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอปฏิเสธการชำระเงิน เนื่องจากผู้ร้องไม่ได้เป็นคนกดเงินดังกล่าวไป และให้ธนาคารตรวจสอบดูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในกรณีนี้หากพิสูจน์ได้ว่า ผู้ร้องไม่ได้กดเงินดังกล่าวด้วยตัวเองไปจริง ก็สามารถเรียกร้องเงินคืนได้ อย่างไรก็ตามเรื่องราวจะคืบหน้าต่ออย่างไร ยังคงต้องติดตาม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 โดนขโมยบัตรเดบิตไปรูด ธนาคารพิสูจน์ไม่ได้ ต้องคืนเงิน !!!

เมื่อเดือนมกราคม 2554 เจฟฟรี จี เอเลน หนุ่มใหญ่ชาวออสเตรเลีย พร้อมภรรยา ได้เข้ามาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่า ถูกขโมยรหัสบัตรเดบิตไปใช้ซื้อสินค้าที่สหรัฐอเมริกา ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นผู้ใช้ เมื่อติดต่อไปที่ธนาคาร ธนาคารก็ไม่รับผิดชอบ อยากขอให้มูลนิธิฯ ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ สอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ความว่า เจฟฟรี ได้ย้ายมาอาศัยอยู่กินกับอาจารย์ทิพย์รัตน์ ภรรยาชาวไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยได้เปิดบัญชีออมทรัพย์กับธนาคารกรุงไทย สาขาแม่สะเรียง ตั้งแต่วันที่ 13  ตุลาคม 2548 เพื่อฝากเงินที่ได้รับจากสวัสดิการผู้สูงอายุประเทศออสเตรีย และสมัครเป็นผู้ถือบัตรเดบิตและทำสัญญาเป็นผู้ใช้บัตรเดบิต เพื่อนำไปใช้ชำระค่าซื้อสินค้าและบริการต่างๆ แทนเงินสด และในการเบิกถอนเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ หรือ เอทีเอ็มต่อมาประมาณวันที่ 27 กันยายน 2554 เจฟฟรีพบความผิดปกติของจำนวนเงินในบัญชีที่ลดลงจำนวนมาก จึงติดต่อไปธนาคารกรุงไทยสาขาแม่สะเรียง เพื่อขอให้ตรวจสอบความผิดปกตินี้ เจ้าหน้าที่ธนาคารตรวจสอบแล้วแจ้งว่า มีรายการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2554  ถึงวันที่ 5 กันยายน 2554 รวมเป็นเงิน 120,599.35 บาท ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว เจฟฟรี และภรรยา ยืนยันว่าทั้งคู่อยู่ในประเทศไทย ไมได้เดินทางออกนอกประเทศไปที่ไหน และไม่เคยให้บัตรหรือรหัสกับผู้ใดไปใช้แน่นอน เจฟฟรีพยายามทักท้วงและให้เหตุผลกับธนาคารเพื่อให้คืนเงินกลับเข้าบัญชี แต่ธนาคารแจ้งว่าไม่พบความผิดปกติ คือธนาคารไม่เชื่อว่าเจฟฟรีไม่ได้ใช้นั่นเอง ธนาคารจึงไม่คืนเงินให้  แนวทางแก้ไขปัญหาทางศูนย์ฯ ได้แนะนำให้ เจฟฟรี เตรียมพยานหลักฐานที่สำคัญเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของธนาคารคือ หนังสือเดินทาง ที่ยืนยันว่าในช่วงเวลาดังกล่าว เจฟฟรีอยู่ในประเทศไทย  และให้ทำหนังสือถึงธนาคารเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นผู้ใช้และไม่ได้มอบบัตรให้บุคคลใดไปใช้ และขอให้ธนาคารแก้ไขคืนเงินในบัญชีโดยทันที เพื่อเป็นหลักฐานการร้องเรียนเสียก่อนต่อมาธนาคารปฏิเสธการคืนเงินให้กับเจฟฟรี โดยให้เหตุผลน่าเชื่อว่า เจฟฟรีเป็นผู้ใช้บัตรเอง จึงไม่คืนเงินเมื่อตกลงกันไม่ได้ เจฟฟรี จึงจำเป็นต้องฟ้องธนาคารกรุงไทย เป็นคดีผู้บริโภค ต่อศาลแขวงพระนครใต้ เรียกค่าเสียหาย 125,357.11 บาทในชั้นพิจารณาคดี เจฟฟรีและภรรยา เป็นพยานเบิกความว่า ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2554 ถึง วันที่ 5 กันยายน 2554 เจฟฟรีอยู่กับภรรยา ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนและที่จังหวัดเชียงใหม่ เจฟฟรีไม่เคยมอบบัตรเดบิตให้ผู้อื่นนำไปใช้และมิได้เป็นผู้ใช้หรือยินยอมให้ใครนำไปใช้แต่อย่างใดส่วนจำเลยมีนายอรรนพ ชื่นบุญ พนักงานจำเลยเบิกความพบว่า ในช่วงวันที่ 8 สิงหาคม 2554 ถึง วันที่ 5 กันยายน 2554 บัตรเดบิตของโจทก์ถูกนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการต่างๆ แบบซื้อสินค้าทั่วไปตามปกติ เช่น อาหาร หรือ ร้านสะดวกซื้อ ไม่ใช่ลักษณะของพวกมิจฉาชีพ และยืนยันว่ารายการดังกล่าวเป็นการใช้บัตรของโจทก์เองหรือตัวแทน โจทก์จึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะถือว่าความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ เนื่องจากโจทก์มีหน้าที่เก็บรักษาบัตรและรหัสไว้เอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้คืนโจทก์ตามที่ฟ้องแต่พยานจำเลยเองก็ได้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ในการนำบัตรเดบิตไปซื้อสินค้าและบริการต่างๆ จะต้องมีเซลส์สลิปและลายมือชื่อของลูกค้าทุกครั้ง ซึ่งพยานจำเลยอ้างว่า ได้ทำเรื่องไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อขอหลักฐานแล้วแต่ไม่ได้อ้างศาลและจากประสบการณ์การทำงานของพยานจำเลยที่ทำงานมานาน สันนิษฐานได้ว่าบัตรเดบิตของโจทก์ถูกขโมยไปใช้ที่สหรัฐอเมริกาศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้นำบัตรเดบิตไปใช้ด้วยตนเองหรือยินยอมให้บุคคลอื่นนำไปใช้ แต่กลับไปนำความจากทางนำสืบของจำเลยว่าบัตรเดบิตของโจทก์น่าจะถูกขโมยไปใช้ โดยไม่ปรากฎว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าบัตรเดบิตของโจทก์ถูกขโมยไปใช้ที่สหรัฐอเมริกา กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้ใช้บัตรเองหรือยินยอมให้บุคคลอื่นนำไปใช้ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรายการการซื้อสินค้าและใช้บริการดังกล่าวมาหักเงินจากบัญชีของโจทก์ได้ จึงพิพากษาให้ จำเลยต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์“ส่วนตัวตอนแรกไม่คิดว่าจะต้องฟ้องเป็นคดีความต่อศาล เพราะคิดว่าธนาคารจะคืนเงินให้กับตน เพราะตนไม่ได้เป็นผู้ใช้ แต่เมื่อธนาคารไม่สนใจจะแก้ไขปัญหานี้ก็ต้องฟ้องคดี ซึ่งผลคดีที่ออกมา ตนรู้สึกพอใจกับคำพิพากษา ที่ท่านให้ความเป็นธรรมกับผู้บริโภค ตนเชื่อว่านอกจากตนแล้ว น่าจะมีผู้บริโภครายอื่นที่เจอปัญหาแบบนี้ ก็อยากฝากให้คนที่เจอปัญหาแบบตนลุกขึ้นมาใช้สิทธิร้องเรียนให้ถึงที่สุด ตนเชื่อว่าทุกคนจะรับความเป็นธรรมอย่างแน่นอน” คุณเจฟฟรีกล่าวทิ้งท้ายไว้ //

อ่านเพิ่มเติม >