ฉบับที่ 147 การลอกผิวหน้าด้วยสารเคมี ให้กระจ่างใส เนียน ไร้ริ้วรอย และ จุดด่างดำ

โดยทั่วไป เซลล์ผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์ผิวเป็นวงจรทุก 28 วันโดยธรรมชาติ เห็นได้จากขี้ไคลที่เราขัดออกเวลาอาบน้ำ แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้น วงจรการผลัดเซลล์ผิวจะใช้เวลานานขึ้นเนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตลดลงในทุกระบบของร่างกาย ทำให้เซลล์เก่าบนผิวหนังสะสม ไม่หลุดลอกออกตามที่ควรเป็น ผิวหน้าหรือผิวกายจึงไม่สดใส เกิดริ้วรอย แลดูหยาบกร้าน และหมองคล้ำได้เนื่องจากการอุดตันตามรูขุมขน เกิดเป็นสิวเสี้ยน และรอยด่างดำ นอกจากนี้ ฝ้า หรือ กระ บนผิวหนัง รวมทั้งรอยแผลจากสิว ทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และวงการแพทย์อันเกี่ยวเนื่องกับความสวยความงาม จึงมีการคิดค้นสินค้าและบริการทางการแพทย์เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส โดยการลอกเซลล์ผิวหน้าที่มีปัญหาออก วิธีการลอกเซลล์ผิวหน้าในปัจจุบัน มี 2 วิธี คือ วิธีการทางกายภาพ (Physical Peel) โดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การกรอผิวหน้าด้วยแสงเลเซอร์ ฯลฯ วิธีนี้จะสามารถเจาะลึกลงสู่ผิวหนังชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ ซึ่งต้องทำหัตถการโดยแพทย์ผู้ชำนาญในคลินิกเท่านั้น วิธีการทางเคมี (Chemical Peel) โดยใช้สารเคมีเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดร้อน อักเสบ พอง และหลุดลอกออก วิธีนี้ ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี ความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ เทคนิคการใช้สารเคมี (Chemical peel) ในการลอกเซลล์ผิวหน้า เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำนั้น มีมาช้านานนับแต่ยุคอียิปต์โบราณ คนในยุคนั้นใช้น้ำนมในการอาบน้ำขัดผิวกาย โดยหารู้ไม่ว่าเซลล์ผิวจะถูกขัดลอกออกให้เนียนนุ่ม โดยมีกรดแลคติคในน้ำนม ซึ่งเป็นกรดอ่อนในการช่วยขจัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวที่อาบน้ำนมเนียนนุ่ม และการใช้ผลองุ่นขัดและทาถูที่ผิวหนังก็เช่นกัน ผลองุ่นมีกรดผลไม้คือ กรดทาร์ทาริค เช่นเดียวกับกรดอ่อนที่พบในมะขาม ด้วยกลไกที่มีฤทธิ์กรดอ่อน กรดจะระคายเคืองผิวหนัง ทำให้ผิวหนังร้อน พุพองเล็กน้อย และทำให้เซลล์ผิวชั้นบนๆหลุดลอกออก เผยให้เห็นผิวใหม่ที่สดใสและเนียนนุ่ม ริ้วรอยเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งจุดด่างดำ และสิวเสี้ยนที่ตำแหน่งผิวหนังตื้นๆจะหลุดลอกออกไปด้วย   สารเคมีที่ใช้ลอกเซลล์ผิวหน้า -  จากธรรมชาติ ได้แก่ กรดผลไม้ชนิดต่างๆ (AHA, alpha-hydroxy acid) เช่น กรดไกลโคลิค จากน้ำอ้อย กรดแลคติคจากนมเปรี้ยว กรดซิทริคจากส้มและมะนาว กรดผลไม้เหล่านี้มีพบเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทั่วไป ไม่ได้เป็นสารห้ามใช้ตามประกาศ พรบ.เครื่องสำอาง - จากการสังเคราะห์ สารเคมีสังเคราะห์ที่นิยมใช้มากในคลินิกปัจจุบัน ได้แก่ ทีซีเอ (TCA, trichloroacetic acid) กลไกการทำงาน กรดอ่อนเหล่านี้ จะมีผลทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ผิวลดลง ทำให้หลุดลอกออกง่าย นอกจากนี้การที่เซลล์ผิวหลุดลอกออกเร็วก่อนเวลา จะเป็นการกระตุ้นการเร่งสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นแทนที่เซลล์เก่าที่หลุดลอกออก พร้อมทั้งกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเนียน เรียบ กระจ่างใส ผิวหน้าที่มีสิว หัวสิวจะนุ่มลง และหลุดออกง่าย ฝ้า และกระที่อยู่ตื้นๆ หรือไม่ลึกเกินไปจะสามารถหลุดลอกออกได้ ทั้งนี้ประสิทธิผลการรักษา จะขึ้นอยู่กับความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ ข้อควรระวังและอาการข้างเคียง 1. วิธีการใช้สารเคมีเพื่อลอกผิวหน้าให้ขาวใส จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเป็นการลอกเซลล์ผิวดำคล้ำ ออกชั่วคราวเท่านั้น สีผิวที่ดำสามารถกลับมาใหม่ได้อีกเมื่อผิวหน้าถูกกระตุ้นด้วยรังสีดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ผิวหน้าที่บางลงเนื่องจากเซลล์ผิวชั้นบนถูกลอกออกไป จะทำให้ผิวหน้าอ่อนไหวง่ายเมื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะ อาจติดเชื้อแทรกซ้อนหลังการทำหัตถการ 2. ไม่ควรซื้อมาทำเองที่บ้าน ควรอยู่ภายใต้การดูแลรักษาโดยแพทย์ผิวหนังผู้ชำนาญการเท่านั้น เพราะอาจทำให้ผิวหน้าไหม้ พุพอง และเป็นอันตรายได้ 3. ไม่ควรทำซ้ำบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางลง     เอกสารอ้างอิง http://www.medicinenet.com/chemical_peel/article.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 เติมความรู้เรื่อง สารลบริ้วรอย

  กลายเป็นเรื่องค่อนข้างปกติแล้วสำหรับการเห็นดารานักร้องและบุคคลสำคัญที่ปรากฏในจอทีวีล้วนแต่มีใบหน้าเต่งตึง ไม่พบริ้วรอยแม้เพียงน้อยนิด คนอายุร่วม 60 กลับดูเหมือนเพียง 30 ปลาย ดารา นักร้องวัยรุ่นที่ไม่มีดั้ง คางสั้น กลับกลายเป็นมีดั้ง จมูกโด่ง คางแหลม คิ้วโก่ง ส่วนดาราสูงวัยกลับดูเด็กลงอย่างมากมาย ด้วยใบหน้าเรียบตึงปราศจากริ้วรอยตีนกาหรือร่องแก้มลึก  ภาพความสวยความสาวราวปั้นแต่งนี้ ย่อมยั่วยวนให้ผู้หญิงทั้งหลาย อยากเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงามทั้งหลายเพื่อเสริมแต่งใบหน้าให้ได้รูปตามที่ปรารถนา บทความนี้จึงอยากแนะนำข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามจากแพทย์  สารเติมเต็มคืออะไรสารเติมเต็ม ถูกจัดหมวดหมู่ให้เป็น ‘อุปกรณ์การแพทย์’ ชนิดหนึ่ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองและอนุญาตให้ใช้เพื่อฉีดเข้าใต้ผิวหน้า ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างจมูกและรอบริมฝีปาก เติมเต็มวงลึกใต้ตา ใช้ฉีดเข้าหางตาเพื่อยกหางตาและหางคิ้วไม่ให้ตก นอกจากนี้ยังนิยมใช้ฉีดเข้าปลายจมูกให้มีติ่งเป็นหยดน้ำ หรือฉีดเข้าปลายคางให้แหลม หรือฉีดเพื่อเสริมดั้งจมูกให้โด่งขึ้น บางคนฉีดเพื่อให้ริมฝีปากนูน เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เหล่านี้ ช่วยทำให้หญิงชายในยุคปัจจุบันสวยได้ทันใจ โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อดึงหน้าหรือยกกระชับเหมือนสมัยก่อน   วัสดุวิทยาศาสตร์ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ ชนิดให้ผลถาวร และชนิดให้ผลชั่วคราว   ชนิดถาวร ได้แก่  โพลีเมทธิลเมทาไคลเลต (Polymethylmethacrylate, PMMA) มีลักษณะเป็นเม็ดบีดส์หรือลูกบอลขนาดละเอียดและเรียบ สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเราได้ดีและไม่ถูกดูดซับหรือดูดซึมโดยร่างกาย นิยมใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้มรอบปากและข้างจมูก ข้อเสียคือเมื่อฉีดแล้ว หากไม่พอใจต้องให้แพทย์ผ่าเอาออก ชนิดชั่วคราว จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะสลายไป ตัวอย่างของสารเติมเต็มที่ใช้ทั่วไป มี 4 ชนิดที่นิยม คือ 1. คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะสกัดจากวัวหรือเซลล์ของคน ให้ผลระยะสั้นเพียง 3-4 เดือน 2. ไฮยารูโลนิค แอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘เรสไตเลน’ (Restylane) จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ในเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เช่น กระดูกอ่อน และผิวหนัง วัสดุชนิดนี้สามารถรวมกับน้ำหรือความชื้นได้ดีและบวมน้ำกลายเป็นเจลนุ่มๆ เมื่อนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกข้างจมูก ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นเลือนหายไปทันตา ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบขึ้น ร่องลึกจะถูกลบเลือนจนหมดหรือเกือบหมดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วัสดุชนิดนี้มักจะถูกสกัดและเตรียมขึ้นจากไบโอเทคโนโลยีหรือใช้เชื้อแบคทีเรียเป็นสารตั้งต้นในการเตรียม ในปัจจุบันมีการดัดแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารกลุ่มนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถมีอายุได้นานขึ้นใต้ผิวหนังประมาณ 6-12 เดือน 3. แคลเซียม ไฮดรอกซี่อปาไทด์ (Calcium hydroxylapatite) จัดเป็นวัสดุแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่พบทั่วไปในฟันและกระดูก การใช้เป็นสารเติมเต็ม สารชนิดนี้จะถูกเตรียมโดยแขวนกระจายในน้ำยาคล้ายเจล และนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ระยะเวลาที่ให้ผลประมาณ 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง  4. โพลี แอล แลคติด แอซิด (Poly-L-lactic acid, PLLA) จัดเป็นวัสดุโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายเองได้ในร่างกาย นับเป็นวัสดุวิทยาศาสตร์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้เข้ากับร่างกายคนเราได้ดี ใช้มากในการช่วยละลายไหมเย็บแผลและสกรูกระดูกในศัลยกรรมกระดูก สารเติมเต็มชนิดนี้นิยมใช้กันมากในยุโรปและอเมริกา กลไกการทำงานของวัสดุชนิดนี้คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ เพื่อเติมเต็มล่องลึกและริ้วรอยเหี่ยวย่น มีอายุประมาณ 2 ปี  ความเสี่ยงของการฉีดสารเติมเต็มอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และมักจะเลือนหายไปเองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ในบางกรณีอาจมีอาการข้างเคียงประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือเป็นปีได้ สารเติมเต็มทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ในระยะยาว หรืออาการข้างเคียงถาวร หรือทั้งสองชนิดได้ อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น บวม แดง เป็นผื่น คัน เจ็บ ฟกช้ำ ส่วนอาการข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ผิวหนังมีลักษณะเป็นเนื้อนูน ซึ่งต้องให้แพทย์ผ่าตัดออก ความเสี่ยงในการติดเชื้อ มีแผลเปิด มีอาการแพ้ หรือเกิดเนื้อตายบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏพบอาการข้างเคียงที่มีรายงาน เช่น การเคลื่อนที่ของสารเติมเต็มจากตำแหน่งเดิม การรั่วไหลของสารเติมเต็มออกสู่ผิวหนังชั้นบน ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดจากการอักเสบจากการติดเชื้อหรือเกิดจากปฏิกิริยาของสารเติมเต็มต่อผิวหนังบริเวณที่ฉีด หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือมีสายตาพร่าฟาง ก่อนเข้ารับบริการควรตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะข้อจำกัดและร่างกายแต่ละคนมีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนต่อสารเคมีหรือวัสดุวิทยาศาสตร์ไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่แพ้ ฉีดหลายๆ ครั้งก็ไม่เป็นไร แต่บางคนฉีดเพียงเล็กน้อยก็อาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้   สวยอย่างฉลาด - รับบริการจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังโดยตรง- ควรจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แพทย์เลือกฉีดให้คืออะไร ชื่ออะไร และมีอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างไร- ควรจะข้อดูฉลากที่ขวดยาว่า เป็นชนิดที่ผ่านการรับรองจากอย.หรือไม่- ควรจะปรึกษาแพทย์ที่ให้บริการถึงผลคาดหวังที่จะได้รับ ว่าเราคาดหวังอย่างไร และแพทย์ผู้ให้บริการคาดหวังอย่างไร ตรงกันหรือไม่ เช่น ร่องแก้มที่ลึกมาก ควรฉีดสารมากน้อยเท่าไหร่ หรือให้ผลนานกี่เดือน รวมถึงราคาที่ตกลงกันในปริมาณของสารเติมเต็มที่ฉีด- ควรรู้ว่า สารเติมเต็มที่อย.รับรองให้ใช้นี้ เป็นผลที่ได้จากการศึกษาทดลองจากการศึกษาทางคลินิกบนผิวหน้า ส่วนการฉีดซ้ำหลายๆ ครั้งหรือบ่อยๆ ทุกๆ ระยะเวลาเมื่อสารเสื่อมสภาพนั้น ยังไม่ได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการใช้สารเติมเต็มจะไม่ได้อยู่ครอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขของการประกันสุขภาพ- ความปลอดภัยที่จะใช้ในคนท้องหรือหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร และผู้รับบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ยังไม่มีข้อมูล   เอกสารอ้างอิง1. http://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/CosmeticDevices/WrinkleFillers/default.htm2. http://www.wisegeek.com/what-is-a-wrinkle-filller.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 โบทอกซ์กับการลบเลือนริ้วรอย

  ศาสตร์และศิลป์ถูกนำมาใช้เพื่อชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังบนใบหน้ามานานนับพันปี ใน 10 ปีที่ผ่านไป โบทอกซ์และสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ทั้งหลายได้รับความนิยมในธุรกิจความงามอย่างชนิดก้าวกระโดดเพื่อให้ผิวหน้าแลดูอ่อนวัย ลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้าออกไปได้ทันใจเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง   รู้จักกับโบทอกซ์โบทอกซ์ (Botox) เป็นยาที่ผลิตจากโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียมาทำให้บริสุทธิ์  มีฤทธิ์ยับยั้งการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ริ้วรอยย่นของผิวหนังจึงลดลง ทางการแพทย์มีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคในปี 1989 และใช้สำหรับลบริ้วรอยบนใบหน้าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 โดยบริษัท Allergan Inc สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อผลิตออกมาจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศจีนซึ่งมีราคาถูก   ตัวยาจะอยู่ในรูปผงแห้ง บรรจุอยู่ในขวดสุญญากาศปราศจากเชื้อ เวลาใช้ แพทย์จะต้องละลายด้วยน้ำเกลือ 0.9%ก่อนฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ขนาดของยาจะถูกกำหนดตามความเหมาะสมของจำนวนริ้วรอยโดยแพทย์ที่ทำการรักษา แน่นอนจะต้องเจ็บเมื่อโดนเข็มฉีดยา โดยทั่วไปแพทย์จะทำการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนฉีด สามารถกลับบ้านได้ทันทีภายหลังจากพักเพียง 30 ถึง 60 นาที ผู้ที่ผิวบอบบาง อาจเห็นจ้ำเขียวของเข็มฉีดยาได้บ้างแต่มักหายไปในไม่ช้า ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับฝีมือแพทย์   ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลของการลดเลือนริ้วรอย ประมาณ 2-7 วัน และฤทธิ์ยามักจะอยู่ได้ประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลที่ชอบแสดงออกทางสีหน้า ริ้วรอยบนหน้าผาก รอยตีนการอบดวงตาและหัวคิ้ว มักจะเป็นผิวหนังบริเวณที่แพทย์มักจะฉีดให้มากที่สุด ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ หมดไปเอง และเมื่อต้องการก็ไปให้แพทย์ฉีดซ้ำ ซึ่งพบว่าผู้บริโภคที่เคยฉีดโบทอกซ์มักจะนิยมฉีดซ้ำ เพราะกลัวริ้วรอยแห่งวัย กลายเป็นเสพติดอย่างหนึ่งของสังคมไฮโซของทั้งหญิงและชาย   ราคาประมาณ 5000 ถึง 10000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของยาที่ต้องใช้ฉีด  อาการข้างเคียงและอันตราย ไม่มีอันตรายถึงชีวิต  เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก  กลืนอาหารลำบาก  หน้าไม่สมมาตร  หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด  ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง   สารเติมเต็ม หรือ “ฟิลเลอร์  คืออะไร อายุที่มากขึ้นทุกปี ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลง กล้ามเนื้อขาดความหนาแน่นรวมถึงสภาพชั้นไขมันใต้ผิวหนังเปลี่ยนไป ริ้วรอยจากรอยตื้นๆ กลายเป็นร่องหรือถุง เช่น แก้มหย่อนคล้อยหรือแก้มตก ร่องลึกใต้ขอบตาล่าง รอยบริเวณเหนือริมฝีปากและช่วงล่าง จมูกไม่ได้สัดส่วนตามที่เจ้าของต้องการ ร่องรอยที่กล่าวไปนั้นแพทย์สามารถช่วยโดยการฉีดสารที่เรียกกันทั่วไปว่า สารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนร่องรอยแห่งวัยให้เบาบางลง สารเติมเต็มได้เริ่มต้นพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 โดยใช้คอลลาเจนสกัดจากวัว ต่อมามีการพัฒนาโดยใช้คอลลาเจนสกัดจากคนและจากหมูเพื่อลดปัญหาภูมิแพ้จากวัว ปัจจุบัน 85% ของสารเติมเต็มในท้องตลาดจะพัฒนาโดยใช้สาร ไฮยาลูโรนิคแอซิด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไฮยาลูโรแนน มีทั้งพัฒนาจากเนื้อเยื่อของสัตว์และจากสารสังเคราะห์ มีคุณสมบัติที่คงตัว ไม่ทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ผิวหนัง มีอายุยาว และมีประสิทธิภาพเต็มเติมได้ดี ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่ใช้ฉีดมีมากมาย แตกต่างกันที่เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้น ขนาดอนุภาคและน้ำหนักโมเลกุลของสาร หากฉีดที่ความเข้มข้นสูง อนุภาคใหญ่ จะเติมเต็มร่องลึกได้ดี สามารถต้านการย่อยสลายได้ดี ทำให้อยู่ทนนานขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่า สารเติมเต็มที่มีประสิทธิภาพอยู่ได้นานหรือชนิดถาวร  มักจะก่อให้เกิดปัญหาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย สารเติมเต็มใต้ผิวหนังชนิดถาวรมักจะปรากฏเป็นก้อนนูนให้เห็นชัดคล้ายเนื้อนูนแข็งๆ ไม่น่าดูยิ่งนัก หลายคนอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อผ่าออก   ระยะเวลาการออกฤทธิ์  คอลลาเจนจากวัว หมู หรือจากคน จะมีฤทธิ์ 2-6 เดือน ไฮยาลูโรแนน ที่มีอนุภาคเล็ก มักจะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ส่วนอนุภาคใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้นเป็น 18-24 เดือน ราคาประมาณ 10000 ถึง 30000 บาทขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่เลือกใช้   ข้อควรรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ในการเข้ารับบริการ1. ผู้ให้บริการ ขั้นต่ำต้องเป็นแพทย์ (Medical Doctor) และควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง หรือ อาจเรียกสั้นๆ ว่าแพทย์ผิวหนัง 2. เครื่องมือ วิธีการ หรือสารที่ใช้ร่วมกับหัตถการ ผ่านมาตรฐานทางวิชาการและความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากกระทรวงสาธารณสุข3. ผู้รับบริการ ควรศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวแพทย์ผู้ทำหัตถการและเครื่องมือหรือสารที่จะฉีดดังกล่าวว่ามีผลข้างเคียงมากน้อยเพียงไร รับคำปรึกษาและแนะนำก่อนเข้ารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นขณะรักษาและหลังรักษาได้4. ควรทำการถ่ายรูปใบหน้าก่อนทำการรักษาและภายหลังจากที่ได้ให้แพทย์ฉีดสารแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานในการรักษา เอกสารอ้างอิง Zachary J. Berbos and William J. Lipham. Update on botulinum toxin and dermal fillers. Current Opinion in Opgthalmology 2010, 21: 387-395.  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 112-113 ลดริ้วรอยอย่างทันใจด้วยสาร ‘ไฮยาลูโรนิคแอซิด’ ?

ลดริ้วรอยอย่างทันใจด้วยสาร ‘ไฮยาลูโรนิคแอซิด’ ?รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล ริ้วรอยแห่งวัยบนหน้าผาก ตีนการอบดวงตา ร่องลึกข้างแก้ม เหล่านี้บ่งบอกถึงวัยที่ล่วงเลย แม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อยากให้เกิดขึ้น หรือพยายามหาหนทางแก้ไขเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ปัจจุบันวิทยาการทางแพทย์ผิวหนังมีบริการมากมาย ส่วนใหญ่เอาใจคนใจร้อนต้องการสวยทันทีทันใจ ที่นิยมกันมากคือ การฉีดโบทอกส์เข้าไปตามผิวหนังที่มีริ้วรอยเพื่อเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า สารชนิดนี้ทำหน้าที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน ทำให้ร่องลึกหรือริ้วรอยลึกๆ จางลงชั่วคราว แต่ต้องฉีดหลายเข็มเข้าบริเวณที่ต้องการและจะมีผลเพียง 4-6 เดือน ก็ต้องกลับไปให้แพทย์ฉีดใหม่   โอกาสแพ้และเกิดอาการข้างเคียงก็มีอยู่ ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งก็สูงมาก สารอื่น เช่น คอลลาเจนหรือซิลิโคน ก็มีการนำมาเป็นสารเติมเต็มผิวหนังเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย แต่มักจะให้ผลเสียในระยะยาว ทำให้เกิดเป็นไตแข็ง หรือเนื้อนูนบริเวณที่ฉีด เนื่องจากการสะสมของสารเหล่านี้ที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง ปัจจุบันจึงไม่นิยมฉีดสารดังกล่าวเข้าใต้ผิวหนัง ไฮยาลูโรแนน หรือ ไฮยาลูโรนิคแอซิดสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัว กลัวเข็มฉีดยาและมีเงินน้อย ก็สามารถสวยรวดเร็วทันใจได้อย่างปลอดภัยด้วยเครื่องสำอางที่มีองค์ประกอบของ ‘ไฮยารูโรนิคแอซิด’ สารชนิดนี้มีอยู่ในร่างกายของเราโดยธรรมชาติ กระจายอยู่ทั่วไปในทุกเนื้อเยื่อ เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกอ่อนตามข้อต่อทั่วร่างกาย ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นไม่ให้กระดูกเสียดสีกัน นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่าสารชนิดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับพัฒนาการของสมอง เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหนัง มีปริมาณมากในเนื้อเยื่อภายนอกเซลล์ใต้ผิวหนัง มีหน้าที่สำคัญมากมายต่อผิวหนัง ทำหน้าที่โอบอุ้มเซลล์ผิวหนังให้ชุ่มชื้น สนับสนุนการแบ่งเซลล์และการกระจายของเซลล์ผิวหนังเพื่อแทนที่เซลล์ผิวที่ถูกขจัดทิ้งโดยการหลุดลอกออกทุกวัน ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในชั้นผิวหนัง ไฮยาลูโรนิคแอซิดยังเกี่ยวข้องกับขบวนการซ่อมแซมผิวหนังและการสมานแผลอีกด้วย โดยพบว่าเมื่อผิวหนังคนเราได้รับบาดเจ็บหรืออักเสบ เนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บจะมีการสะสมของสารชนิดนี้สูงเพื่อเร่งอัตราการขจัดเซลล์ผิวที่มีปัญหาออกและเร่งการสร้างเซลล์ใหม่เข้าแทนที่ เนื่องจากสารไฮยาลูโรนิคแอซิด มีน้ำหนักโมเลกุลสูงมากเป็นล้าน ทำให้มีประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำได้มากและรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและเต่งตึง เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ปริมาณไฮยาลูโรนิคแอซิดลดน้อยลงทำให้ผิวหนังเริ่มแห้งเหี่ยว เนื่องจากคุณสมบัติมากมายตามที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้คิดค้นการเติมเต็มชั้นใต้ผิวหนังด้วยสารไฮยาลูโรนิคแอซิด เพื่อทดแทนปริมาณที่ลดน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น สารที่นำมาใช้ในวงการเครื่องสำอาง สังเคราะห์มาจากขบวนการไบโอเทคโนโลยีจากแบคทีเรีย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ยอมรับให้มีการใช้สารชนิดนี้เป็นสารเติมเต็มใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียเงินมากและไม่ต้องการเจ็บตัวด้วยเข็มฉีดยา สารชนิดนี้ได้ถูกนำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในเครื่องสำอางทาผิวหนังทั่วไป จะพบว่าเพียงทาผิวหนังด้วยครีมที่มีสารไฮยาลูโรแนน ผิวหนังจะชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจเพียงไม่กี่นาที กลไกสำคัญอยู่ที่สารดังกล่าวจะทำหน้าที่แทรกเข้าสู่ช่องว่างของผิวหนัง ทำหน้าที่อุ้มน้ำได้มากมายกลายเป็นไฮโดรเจลในชั้นผิวหนัง ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นกลับคืนมา จึงทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นสารเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง เป็นผลทำให้ร่องลึกและริ้วรอยบนใบหน้าลดเลือนลง ปัจจุบันมีการสังเคราะห์สารไฮยาลูโรนิคแอซิดออกมาให้มีขนาดของโมเลกุลที่เล็กลง คือ โซเดียมไฮยาลูโรเนท (Sodium Hyaluronate) เพื่อให้แทรกซึมเข้าชั้นใต้ผิวหนังได้มากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องสำอางเห็นผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ประโยชน์ในทางเครื่องสำอางแม้ว่าจะเป็นการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นอย่างรวดเร็วและลดเลือนริ้วรอยร่องลึกเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ทาได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญการที่ผิวหนังมีความชุ่มชื้นเต่งตึง จะช่วยป้องกันผิวหนังจากสิ่งแวดล้อมที่เสียหายได้อีกด้วย และไม่ต้องอาศัยมือแพทย์ในการฉีดด้วยเข็มฉีดยา ไม่เจ็บตัวและไม่ต้องเสียเงินมากแม้ว่าเครื่องสำอางประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าครีมบำรุงผิวทั่วไปก็ตาม อาการข้างเคียงเนื่องจากเป็นสารที่มีอยู่ทั่วร่างกาย จึงมีโอกาสพบอาการข้างเคียงน้อยมากยกเว้นในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้ผู้บริโภคทดลองทาผิวหนังบริเวณคอเพียงเล็กน้อย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเพื่อดูว่าเกิดอาการแพ้หรือไม่ ถ้าไม่มีอาการผื่นแดงหรือคัน แสดงว่าไม่แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้ ควรหยุดใช้เพราะอาจแพ้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางได้ เช่น สารกันเสีย และน้ำหอม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 อมิโน เปปไทด์ คืออะไร ลดริ้วรอยได้จริงหรือ?

สวยอย่างฉลาดรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล : คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com เครื่องสำอางหรือเวชสำอาง ถูกออกแบบมาเพื่อบำรุงและปกปิดข้อบกพร่องของผิวหนังโดยกลไกต่างๆ สินค้าเครื่องสำอางไม่ได้ถูกทดสอบและรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สินค้าส่วนใหญ่ได้รับการวิจัยและพัฒนาขึ้นจากหลักการทางทฤษฏีของสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ต่อผิวหนัง การศึกษาวิจัยมักจะทำในหลอดทดลอง อะมิโน แอซิด เปปไทด์ ที่กำลังฮือฮากันก็เช่นเดียวกัน นับเป็นสารใหม่ล่าสุดในวงการเครื่องสำอาง ที่เป็นความหวังใหม่ในการช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าโดยไม่ต้องอาศัยการฉีดยาหรือการทำศัลยกรรม อมิโน เปปไทด์ คืออะไรเปปไทด์ คือโมเลกุลของโปรตีนอะมิโน แอซิด หลายๆ โมเลกุลมาเกาะกันเป็นสายโซ่สั้นๆ มีการนำมาผสมผสานลงในสูตรตำรับของเครื่องสำอาง เช่น ครีมรอบดวงตา ครีมบำรุงผิวหน้าและลำคอ เป็นต้น เนื่องจากมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยว่า เปปไทด์เหล่านี้สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นที่ลึกลงไปได้ ช่วยกระตุ้นการสมานแผล ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรายงานผลของเปปไทด์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนพร้อมๆ กับการยับยั้งการทำลายคอลลาเจนอีกด้วย ผลการศึกษาเหล่านี้ทำให้เชื่อได้ว่า อะมิโน เปปไทด์ จะให้ประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย ทำให้ร่องลึกของริ้วรอยรอบใบหน้าน้อยลงหรือจางลงพร้อมๆ กับการป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ ผิวหนังเต่งตึงขึ้นจากการสร้างคอลลาเจนใหม่อีกด้วย ผลการลดริ้วรอยได้ผลประมาณ 16-27% หากใช้อย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีความหวังว่า อะมิโน เปปไทด์ น่าจะนำมาใช้ทดแทนการทำศัลยกรรม เลเซอร์ หรือการฉีดสารโบทอกส์หรือสารคอลลาเจนเข้าใต้ผิวหนังโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อวัตถุประสงค์ของการลดริ้วรอย สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการหรือกลัวเข็มฉีดยา ลดริ้วรอยได้จริงหรือ?เปปไทด์ ในเครื่องสำอางนับเป็นของใหม่ล่าสุดในวงการเครื่องสำอางสำหรับชะลอริ้วรอยแห่งวัย การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในหลอดทดลอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าผลการศึกษาที่ได้จากหลอดทดลอง อาจจะไม่ได้ผลในการวิจัยในสัตว์ทดลอง และอาจใช้ไม่ได้ผลในคน เนื่องจากสารสำคัญที่ออกฤทธิ์จำเป็นต้องถูกนำส่งไปยังเป้าหมายคือผิวหนังชั้นล่าง อะมิโน เปปไทด์ ก็เช่นกัน การจะให้ประสิทธิผลเนื้อครีมที่ผสมสารอะมิโน เปปไทด์ ต้องมีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยสารอะมิโน เปปไทด์ ออกจากเนื้อครีม และนำส่งไปยังเป้าหมายที่ออกฤทธิ์คือ ผิวหนังชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ ดังนั้นประโยชน์ของ อะมิโน เปปไทด์ จึงยังเป็นที่สงสัย เพราะสารที่จะเดินทางลึกลงไปยังผิวหนังชั้นล่างได้จะต้องอยู่ในสภาพที่มีความคงตัว จะต้องไม่ถูกย่อยสลายระหว่างการเดินทาง ความปลอดภัยผลการศึกษาในระยะสั้นยังไม่พบอาการข้างเคียงแต่อย่างไร แต่การใช้สะสมในระยะยาว มีผลข้างเคียงอย่างไรยังไม่มีรายงาน มีเพียงข้อบ่งชี้ว่าไม่ควรใช้ในความเข้มข้นสูงเกิน 10 % เพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังย่นเป็นถุงได้ ข้อแนะนำการใช้เครื่องสำอางให้ได้ผลผู้บริโภคยังไม่ควรตื่นเต้นกับสินค้าใหม่เหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาสินค้าเครื่องสำอางเปรียบเสมือนแฟชั่น ที่ผู้ผลิตพยายามค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคเท่านั้น 1.ควรทำความสะอาดผิวหน้า และบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวทุกครั้งเพื่อปกป้องผิวหน้าไม่ให้ผิวแห้ง นี่คือเคล็ดลับสำคัญของการป้องกันการเกิดริ้วรอย (ควรป้องกันง่ายกว่าเป็นแล้วมาแก้ไข)2.ในเวลากลางวันอาจจำเป็นต้องทาครีมกันแสงแดดทับ เพื่อไม่ให้รังสียูวีทำลายเซลล์ผิว3.ในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะนอนในห้องปรับอากาศหรือโชยพัดลม ก็ควรทาครีมบำรุงผิวหน้าก่อนนอนเช่นกัน โดยวัตถุประสงค์คือป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้ง เพราะถ้าผิวหนังแห้ง จะตามมาด้วยความเหี่ยวย่น เฉกเช่นใบไม้ต้นไม้ที่ขาดน้ำขาดปุ๋ยนั่นเอง4.ครีมบำรุงผิว อาจจะผสมสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินอี วิตามินซี อะโรเวร่า กรดผลไม้ หรือ อะมิโน เปปไทด์ ก็สามารถทดลองดูได้ด้วยตนเอง แต่ที่สำคัญการบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอจะเห็นผลดีแม้ว่าจะเป็นเพียงครีมบำรุงผิวผสมวิตามินธรรมดาที่คุ้นเคยตั้งแต่อดีตก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 ครีมลดริ้วรอย ของใครนะเวิร์กสุด

อะไรเอ่ย ... มาช้าไม่ว่า ไม่มาเลยยิ่งดี? แต่ถ้ามันมาแล้วก็ถึงเวลาที่ ฉลาดซื้อ จะพาสมาชิกไปพิสูจน์ประสิทธิภาพครีมบำรุงผิวที่อ้างว่าสามารถลบเลือนลายเส้นที่แวะมาฝังตัวบนใบหน้าของเราได้ ว่ามันสามารถทำได้อย่างที่อ้างหรือไม่ และถ้าจะลงมือควักกระเป๋า เราควรเลือกยี่ห้อไหน … ครีมลดริ้วรอยในการทดสอบครั้งนี้เป็นครีมที่ติดอันดับขายดีในยุโรปและเอเชีย (ซึ่งมีฮ่องกง และเกาหลีใต้ส่งตัวอย่างเข้าร่วมทดสอบด้วย) ทั้งยี่ห้อที่ซื้อผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยาทั่วไป วิธีการทดสอบ ทดสอบโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research& Testing) ครั้งนี้มีอาสาสมัครเข้าร่วมทดสอบทั้งหมด 995 คน ทั้งหมดเป็นผู้หญิงเชื้อสายคอเคเซียนที่อายุระหว่าง 31 – 70 ปี (อายุเฉลี่ยของอาสาสมัคร คือ 53 ปี) แต่ละผลิตภัณฑ์จะมีผู้ทดลองใช้ 30 – 31 คน หลังจากอาสาสมัครใช้ผลิตภัณฑ์วันละ 2 ครั้ง (เช้า-ค่ำ) เป็นเวลา 1 เดือน (ที่ไม่โดนแสงแดดเลย) ทีมวิจัยได้วัดความยาวและความลึกของริ้วรอย เพื่อเปรียบเทียบกับค่าก่อนการใช้ นอกจากนี้ยังตรวจวัดความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยวิธี corneometry สอบถามความพึงพอใจของอาสาสมัครที่ใช้ผลิตภัณฑ์ และการพิจารณาความถูกต้องของฉลากด้วย สัดส่วนการให้คะแนน (คะแนนเต็ม 100) ริ้วรอยลดลง       ร้อยละ 50 ผิวนุ่มชุ่มชื้น       ร้อยละ 25 ผู้ใช้พึงพอใจ*      ร้อยละ 15 ฉลากถูกต้อง**   ร้อยละ 10 *ลักษณะเนื้อครีม ความเหนียว ความมัน การซึมลงสู่ผิว กลิ่น **มีชื่อ/ที่อยู่ผู้ผลิต วันผลิต/วันหมดอายุ ปริมาตร ส่วนประกอบ ข้อควรระวัง ฯ จากการทดสอบครั้งนี้ เราพบว่ายังไม่มีครีมยี่ห้อไหนได้คะแนนในระดับ 5 ดาว ครีมที่ดีที่สุดในการทดสอบครั้งนี้คือ EUCERIN Hyaluron-filler ที่ได้คะแนนในระดับ 4 ดาว ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ได้คะแนนในระดับ 3 ดาวเท่านั้น และที่น่าสนใจคือ มีผลิตภัณฑ์ที่ให้อาสาสมัครทดสอบ 2 ตัวที่เป็นครีมบำรุงผิวธรรมดาที่ไม่ได้อ้างสรรพคุณลดริ้วรอย แต่ได้คะแนนจากการทดสอบค่อนข้างดีคือ NIVEA Pure natural soin de jour hydratant* และ VICHY Aqualia thermal* ดีกว่าครีมราคาแพงอีกหลายยี่ห้อด้วย     //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 เปรียบเทียบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา

มาแล้วคุณสาวๆ ที่ไม่อยากแก่ เราจัดให้อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานสำหรับผลทดสอบครีมบำรุงผิว คราวนี้ ฉลาดซื้อ ขอนำเสนอเน้นๆ เฉพาะครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา ให้สมาชิกที่ตั้งตารออยู่ได้รู้กันไปว่า “อายครีม” ยี่ห้อไหน มีประสิทธิภาพในการกำจัดริ้วรอยสูงกว่ากัน คราวนี้เราดูกันเส้นต่อเส้น และใช้วิธีตัดสินกันด้วยภาพถ่ายเลยทีเดียว   และเช่นเคย การทดสอบครั้งนี้ทำโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research & Testing) ที่ฉลาดซื้อเราเป็นสมาชิกอยู่ คราวนี้มี “อายครีม” ที่อ้างว่าสามารถลดริ้วรอยและรอยย่นรอบดวงตาได้ เข้าลงแข่งถึง 18 ยี่ห้อด้วยกัน มีทั้งผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศส (5 ยี่ห้อ) อังกฤษ (4 ยี่ห้อ) และอเมริกา (9 ยี่ห้อ) ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดเป็นหญิงและชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 107 คน ที่มีอายุระหว่าง 35 – 65 ปี แต่ละคนจะใช้ 2 ผลิตภัณฑ์ (คนละซีกหน้า) ทุกเช้า/เย็น เป็นเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีผู้ทดลองใช้ระหว่าง 9 - 11 คน   --------------------------------------------------------------------------------------------------------  โฆษณาแฝง อุอุ ฉลาดซื้อ เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบ ICRT จึงมีผลทดสอบสินค้าและผลิตภัณฑ์มาฝากผู้อ่านได้อย่างสม่ำเสมอแม้จะไม่มีทุนมากพอที่จะส่งผลิตภัณฑ์ไปร่วมทดสอบเอง (ขอเมาท์ให้รู้โดยทั่วกันว่า การทดสอบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายถึง 3,500 ยูโร หรือประมาณ 140,000 บาท ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์) ความฝันอันสูงสุดของกองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ คือการมีสมาชิกมากพอที่จะทำให้เรามีทุนเพียงพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในบ้านเราไปร่วมทดสอบด้วย --------------------------------------------------------------------------------------------------------  เราทดสอบอะไร • ประสิทธิภาพในการลดความลึกและความยาวของริ้วรอย กรรมการจะดูจากภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ (โดยกล้อง Canon EOS-ID Mark III ความละเอียด 21.1 megapixel) เพื่อเปรียบเทียบ ระหว่างสภาพผิวก่อนใช้ สภาพผิวหลังใช้หนึ่งชั่วโมง และสภาพผิวหลังการใช้ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้กรรมการไม่ทราบว่าภาพแต่ละภาพนั้นถ่ายในช่วงเวลาใด • ประสิทธิภาพในการลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา อาสาสมัครที่ทดลองใช้ตอบแบบสำรวจความพึงพอใจ ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถ้ามีผู้ใช้อย่างน้อย 9 คนเห็นด้วยว่ารอยคล้ำได้ตาดูจางลง หรือถุงใต้ตาดูลดลงผลิตภัณฑ์นั้นจะได้คะแนนในข้อนี้ไป   ผลทดสอบในภาพรวม • ต้องทำใจนะ ยังไม่มีครีมลดริ้วรอยรอบดวงตายี่ห้อไหนสามารถกำจัดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ของเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาที่ได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้ สามารถลดริ้วรอยได้ประมาณ 60% • สิ่งที่ครีมเหล่านี้ทำได้ดีคือการลดความลึกของริ้วรอย แต่ยังทำได้ไม่ดีนักในเรื่องของการลดความยาวของริ้วรอย (ประสิทธิภาพในการลดความลึกของริ้วรอยตั้งแต่ 17% ถึง 61% ในขณะที่ประสิทธิภาพในการลดความยาวของรอยย่นตั้งแต่ 9.5% ถึง 46% เท่านั้น) • การทดสอบครั้งนี้ได้มีการทดสอบครีมบำรุงผิวด้วย 2 ยี่ห้อซึ่งปรากฏว่า หนึ่งในนั้นประสิทธิภาพติดหนึ่งในห้าอันดับต้น (Accantia Simple Kind to Skin Replenishing Rich Moisturizer) ในขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งอยู่ในอันดับที่สามจากท้าย (Neutrogena Oil Free Moisture For Sensitive Skin)   เคล็ดลับผิวสวย อ่อนเยาว์จากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง   1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อหน้าตาที่สดชื่นอิ่มเอิบ 2. ลดความเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน เพราะความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังด้วย ลองเลือกวิธีการที่คุณชอบ เช่น ฟังดนตรี ดูภาพยนตร์อ่านหนังสือ พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ฟังธรรมะ นั่งสมาธิ ฯลฯ 3. หลังทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง ควรบำรุงผิวด้วยครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว เพราะหลังล้างหน้า สารทำความสะอาดจากผลิตภัณฑ์จะชะเอาความชุ่มชื้นและน้ำมันธรรมชาติจากผิวหนังออกไป ทำให้ผิวหน้าตึงซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหย่อนยานได้ 4. หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวชนิดสำหรับกลางคืน “Night cream” ซึ่งจะมีส่วนผสมของเนื้อครีมที่เข้มข้นด้วยสารอาหารสำหรับผิวหน้า เช่น วิตามินอี วิตามินเอ คอลลาเจน อีลาสตินและสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ โดยส่วนประกอบของน้ำมันมักจะหนักกว่าครีมสำหรับทาตอนกลางวัน เพื่อปกป้องผิวหน้าจากอากาศเย็นและแห้งในห้องแอร์ 5. ถ้ามีเวลาว่างในช่วงวันหยุดยาว ภายหลังการทำความสะอาดผิวหน้าแล้วอาจพอกหน้าด้วยแตงกวาสดหรือว่านหางจระเข้ โดยล้างให้สะอาด ตัดเป็นแว่นและวางบนผิวหน้า สารอาหารและความชุ่มชื้นจากแตงกวาหรือว่านหางจระเข้จะแทรกซึมเข้าฟื้นฟูและซ่อมบำรุงผิว 6. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลา 8 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลททั้งยูวีเอและยูวีบี ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง ผิวหนังหนา หยาบกร้านและดำคล้ำ แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดได้ ควรปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อแขนยาวหรือกางร่ม และทาผิวด้วยครีมกันแดดที่มีองค์ประกอบของสารที่สามารถกรองรังสีทั้งสองชนิดและมีค่า “เอสพีเอฟ” (SPF) อย่างน้อย 15 (จาก หนังสือ “สวยอย่างฉลาด” โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 76 ทดสอบครีมลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

ในบรรดาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่ใช้ ๆ กันอยู่ นอกจากครีมเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่งซึ่งเป็นที่นิยมมาพักใหญ่ ๆ แล้ว  ผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านและลดริ้วรอยบนใบหน้าก็เป็นเครื่องสำอางอีกชนิดหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ และหนุ่ม ๆ หลายคนทราบกันดีว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูง ยิ่งยี่ห้อที่มีเคาน์เตอร์ในห้างเป็นของตัวเองก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก  แต่จากการที่คนบางคนไม่อยากให้ตัวเองดูแก่กว่าวัย ซ้ำยังอยากให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ ปราศจากริ้วรอย เหมือนกับพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณา หลาย ๆ คนจึงยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้ผิวประเภท “โกงอายุ” มาประดับใบหน้ากัน ผลก็คือ ทำให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านและลดริ้วรอยเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสถิติมูลค่าการตลาดของครีมบำรุงผิวซึ่งอยู่ที่ 6,000 ล้านบาทนั้น พบว่าเป็นมูลค่าการตลาดของครีมต้านริ้วรอยถึงร้อยละ 40 โดยเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 60 เลยทีเดียว   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในบรรดาผลิตภัณฑ์ครีมลดริ้วรอยที่วางขายกันอยู่ ยังไม่มีใครทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานที่แท้จริงของมันเลย และต่อไปนี้คือผลการทดสอบที่ทำโดยองค์การทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research and Testing) โดยผลการทดสอบชิ้นเดียวกันนี้ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ใน นิตยสารคอนซูเมอร์ รีพอร์ท (Consumer Reports) ของสหรัฐอเมริกา และ นิตยสารเคอ ชัวร์ซี (Que Choisir) ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมส่งตัวอย่างเข้าทดสอบ ในฉบับเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งจะช่วยไขปริศนาว่าครีมลบริ้วรอยหลาย ๆ ยี่ห้อที่เราพบเห็นทั่วไป หรือที่บางคนอาจกำลังใช้อยู่ทุกเช้าเย็นนั้น มีประสิทธิภาพเหมือนที่ได้โฆษณาไว้จริงแท้แน่นอนแค่ไหน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ผลที่ได้จากการทดสอบ 1.ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดจัดเป็นครีมลดริ้วรอยที่ดีที่สุดได้ จากคะแนนรวม 100 คะแนนโดยวัดผลจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย , ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว และการไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ พบว่าจาก 13 ผลิตภัณฑ์มีเพียง 4 ผลิตภัณฑ์เท่านั้นที่ได้รับคะแนนเกินครึ่ง ซึ่ง Diadermine Expert rides เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับคะแนนสูงสุด แต่ก็ได้เพียง 62 คะแนน เท่านั้น อันดับสองคือ Oil of Olay Olay Regenerist 61 คะแนน , อันดับสามคือ Lancôme Renergie 56 คะแนน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยในขั้นดีแต่ไม่ถึงกับดีมาก แต่มีประสิทธิภาพในการบำรุงในขั้นดีมากและไม่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้แก่ผู้ทดสอบ  และอันดับสี่คือ Roc Retin-OX 54 คะแนน มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยและประสิทธิภาพในการบำรุงอยู่ในขั้นดี แต่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้มากโดยมีผู้ทดสอบหยุดใช้ถึง 5 คนจากจำนวน 20 คน2.ราคาหรือยี่ห้อ หรือคำโฆษณา ไม่ใช่ตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ แท้จริงแล้ว “ผลิตภัณฑ์ควบคุม” ในการทดสอบครั้งนี้ คือ ครีมบำรุงผิว Oil of Olay สูตรดั้งเดิม ซึ่งมีคะแนนทดสอบ 33 คะแนนอยู่อันดับที่ 11 ราคาเพียง 253 บาทซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่นำมาทดสอบ แต่ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์อย่าง La Prairie Cellular  ซึ่งมีราคาถึง 6 พันกว่าบาทนั้น กลับมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันมาก โดยได้คะแนนทดสอบ 34 คะแนนอยู่อันดับที่ 10 นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าช่วยลบเลือนริ้วรอยบนผิวหน้าได้ก็ยังได้คะแนนทดสอบต่ำติดท้ายตารางเสียด้วยซ้ำ คือ Roc Retinol Correxion Deep Wrinkle 31 คะแนน อยู่อันดับที่ 12  และ Nivéa visage Q10 Advanced Wrinkle Reducer 27 คะแนน อันดับที่ 13และเมื่อดูคะแนนโดยรวมทั้ง 13 ผลิตภัณฑ์แล้ว ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยไม่ได้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนัก หน้าที่หลัก ๆ ของครีมเหล่านี้ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิว รักษาความชุ่มชื้นเสียมากกว่า 3. ความพึงพอใจของผู้ใช้กับการโฆษณาส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับดี ถึงดีมาก แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกของผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งมักจะถูกมาใช้ประโยชน์เพื่อการโฆษณาของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ดังกรณีตัวอย่างของครีม Klein-Becker USA ความจริงแล้วสิ่งที่ผู้บริโภคควรเข้าใจคือ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านั้น เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างรังสีดวงอาทิตย์ และปัจจัยภายใน คืออายุที่มากขึ้น หรือความเครียดของเรานั่นเอง และเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ไม่มีเครื่องสำอางใด ๆ ที่จะสามารถลบเลือนได้ง่าย ๆ เราจึงควรหันมาป้องกันที่สาเหตุ ด้วยการใช้ครีมกันแดด และใช้ชีวิตให้มีความเครียด หรือความกังวล น้อยที่สุด การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยได้มากKlein-Becker USA Strivectin-SD Intensive Concentrate for Existing Stretch Marks  เป็นครีมสัญชาติอเมริกัน ที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นครีมลดรอยแตกลายของผิวหนัง ครีมยี่ห้อนี้โด่งดังมากในฝรั่งเศส และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นครีมที่ลบริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาแล้ว จากการสำรวจความเห็นของสาวฝรั่งเศส 264 คน เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา !! แต่เมื่อดูจากผลทดสอบแล้ว กลับพบว่าประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยอยู่แค่ระดับปานกลางเท่านั้นเอง อยู่ลำดับที่ 8 จาก 13 ผลิตภัณฑ์ แต่ราคาขายคิดเป็นเงินไทย 3,450 บาทจัดว่าแพงทีเดียวเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของมันหน้าที่ของสารชื่อดังในเครื่องสำอาง1.    เรตินอล เป็นญาติห่าง ๆ กับกรดวิตามินเอ ซึ่งสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ เรตินอลสามารถใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ เพราะทำให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่า ในขณะที่กรดวิตามินเอนั้นมีการทำงานเข้มข้น (และมีผลข้างเคียงคืออาการระคายเคือง ในคนที่ผิวแห้ง) จัดเป็นยาและต้องมีการควบคุมความเข้มข้นในการใช้  เป็นสารที่ไวต่อแสงมาก อาจทำให้ผิวหน้าแดง คัน หรือแสบได้ จึงเหมาะกับการใช้ทาในเวลากลางคืนเท่านั้น 2.    คิวเท็น (Q 10) เป็นสารที่ผิวของคนเรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ให้พลังงานกับเซลล์ และเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ เพียงแต่เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือได้รับแสงแดดมาก ๆ สารตัวนี้จะลดลง ผู้ผลิตนิยมใช้สารตัวนี้ในครีมสำหรับผิวที่แพ้ง่าย เพราะไม่ทำให้เกิดอาการระคายผิวเหมือนสารในตระกูลวิตามินเอ นั่นเอง3.    คอลลาเจนและอิลาสติน เป็นโปรตีนเรามีอยู่แล้วใต้ชั้นผิวหนัง ทำหน้าที่ควบคุมความยืดหยุ่นและความสามารถในการอุ้มน้ำของผิวหนัง แต่คุณภาพของโปรตีนเหล่านี้จะเสื่อมสภาพลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น 4.    กรด AHA (Alpha Hydroxy Acids) และ BHA (Beta Hydroxy Acids) เป็นกรดที่สกัดได้จากผลไม้ สามารถทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหนังชั้นบนหลุดออก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและใสขึ้น 5.    วิตามินอี นิยมใช้กันมากในครีมบำรุงผิว เพราะพบว่านอกจากจะเป็นสารบำรุงทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตแล้ว ยังสามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดริ้วรอยได้ด้วย วิตามินอีสามารถละลายในไขมันผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดี 6.    วิตามินซี เป็นอีกหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ผลิตนิยมใช้เป็นส่วนผสมทั้งในครีมสำหรับกลางวันและกลางคืน เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยาต่อแสงแดด วิตามินซีนั้นดีตรงที่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และมีคุณสมบัติในการให้ผิวขาวใสขึ้น แต่คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อผิวน้อยมาก เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำ จึงไม่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ ประสิทธิภาพการลดริ้วรอยของเครื่องสำอางต่างกันแค่ไหน โดยทั่วไปแล้วส่วนผสมน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของครีมลบริ้วรอย แต่ถ้าดูจากผลการทดสอบครั้งนี้ จะเห็นว่า ส่วนผสมของครีมกับประสิทธิภาพโดยรวมของครีม มีความสัมพันธ์กันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนสูงที่สุด และคะแนนต่ำที่สุดต่างก็มี เรตินอล เป็นส่วนผสมทั้งคู่  ------------------------------------------------------------------------------------------------ •    ในแต่ละปี คนอเมริกันใช้เงินกว่า 1 พันล้านเหรียญ (สามหมื่นหกพันล้านบาท) เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย •    โดยเฉลี่ยแล้ว คนฝรั่งเศสหนึ่งคนจะใช้จ่ายเงินในการซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม คนละ 100 ยูโร (ประมาณ 4,700 บาท) ต่อปี •    ร้อยละ 70 ของผู้หญิงฝรั่งเศส ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และร้อยละ  38 ของผลิตภัณฑ์ที่ซื้อนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ------------------------------------------------------------------------------------------------ ผิวหนังเกิดริ้วรอยมีสาเหตุจากอะไร สาเหตุของการเกิดริ้วรอยบนผิวหนัง นั้นเกิดจากการที่ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังเสียความชุ่มชื้นมีสองประการได้แก่ 1.    รังสีจากดวงอาทิตย์  และ2.    การลดลงของฮอร์โมนเพศ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังของขาดความยืดหยุ่น ความสามารถในการอุ้มน้ำลดลง และความเครียด ที่เป็นตัวการทำให้เซลล์ผิวเสื่อมเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น กระบวนการทดสอบ   ระยะเวลาทดสอบ 12 สัปดาห์  (13 มีนาคม – 16 มิถุนายน 2549) สถาบันทดสอบ Institut Dr. Schrader Creachem GmbH ประเทศเยอรมนี ผู้เข้าร่วมการทดสอบ เพศหญิง อายุระหว่าง 30 ถึง 70 ปี  มีสุขภาพผิวดี ไม่เคยได้รับการฉีดโบทอกซ์ หรือคอลลาเจน และไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อสภาพผิวหนัง ในช่วงสามสัปดาห์ก่อนการทดสอบ (ไม่ว่าจะเป็นโดยการรับประทาน หรือการใช้ภายนอก) ผลิตภัณฑ์ที่ทดสอบ 13 ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ที่ติดอันดับขายดีที่สุดในผรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา (11 ผลิตภัณฑ์ เป็นครีมที่แยกใช้เฉพาะกลางวันและกลางคืน ที่เหลืออีก 2 ผลิตภัณฑ์ เป็นครีมประเภทที่ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน) จะใช้ผู้ทดสอบ 20 คนต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ วิธีทดสอบ ผู้ร่วมการทดสอบในแต่ละผลิตภัณฑ์ จะได้รับครีม 2 ตัวอย่าง เพื่อใช้ทาบนใบหน้าทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ทราบว่าทั้ง 2 ตัวอย่างเป็นผลิตภัณฑ์ใด ครีมตัวอย่างที่หนึ่ง เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมที่ผู้ทดสอบจะได้รับเหมือนกันทุกคน ใช้ทาบนใบหน้าด้านหนึ่ง (ในการทดสอบครั้งนี้ ครีมควบคุมได้แก่ ครีมบำรุงผิวธรรมดา ที่ไม่ได้มีส่วนผสมเพื่อการลดริ้วรอย) ครีมตัวอย่างที่สอง เป็นผลิตภัณฑ์ทดสอบ ซึ่งผู้ทดสอบ จะใช้ทาลงบนใบหน้าอีกด้านหนึ่ง ผู้ร่วมการทดสอบทุกคนจะทำความสะอาดผิวหน้าด้วยวิธีเดียวกัน ได้แก่การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดเดียวกัน ในตอนเย็น และล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า (ที่อุณหภูมิห้อง) ในตอนเช้า คำอธิบายตาราง(1) ราคา เป็นราคารวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับกลางวัน และกลางคืนของต่างประเทศ แปลงค่าเป็นเงินบาท  (2) คะแนนโดยรวม เต็ม 100 คะแนน โดยวัดผลจาก 3 ปัจจัย คือ 80 คะแนน จากประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย10 คะแนน จากประสิทธิภาพในการบำรุงผิว10 คะแนน จากการที่ครีมไม่ทำให้เกิดอาการแพ้(3) ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย ประเมินจาก1. ความเปลี่ยนแปลงของจำนวนรอยย่น  รวมถึงความยาว ความลึก และความหยาบกร้านของผิว หลังการใช้เป็นเวลา 12 สัปดาห์2. ภาพถ่ายรอยย่นบริเวณหางตาของผู้ทดสอบ ก่อน ระหว่าง และหลังการใช้เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก(4) ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ประเมินจากปริมาณน้ำที่วัดได้ในผิวหนัง หลังจากการใช้เป็นเวลา 12 สัปดาห์ เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก(5) การทำให้เกิดอาการแพ้ วัดจากจำนวนผู้เข้าทดสอบที่ต้องเลิกใช้เพราะเกิดอาการแพ้ เกณฑ์ให้คะแนนแบ่งเป็น ไม่พบ หมายถึงไม่มีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ผลิตภัณฑ์พบ หมายถึงมีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ ไม่เกิน 2 คนพบมาก หมายถึงมีผู้ทดสอบที่หยุดใช้ มากกว่า 2 คน(6) ความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการลดริ้วรอย ผู้ทดสอบตอบแบบสอบถามด้านความพึงพอใจ ในสัปดาห์ที่ 4 และ 12 เกี่ยวกับ ความชุ่มชื้น ความเรียบลื่น และความยืดหยุ่นของผิวหนัง และการจางหายไปของริ้วรอย ที่ผู้ทดสอบรู้สึกได้(7) ความพึงพอใจต่อตัวเนื้อครีม เช่น ลักษณะของเนื้อครีม กลิ่น ความสม่ำเสมอในการกระจายตัวเนื้อครีม การซึมลงสู่ผิวหนัง และลักษณะของผิวหน้าหลังทาครีม เกณฑ์ให้คะแนนความพึงพอใจ แบ่งเป็น  ต่ำ , พอใช้ , ดี , ดีมาก   ผลการทดสอบเครื่องสำอางที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยบนใบหน้า   ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากประเทศ ราคา(1) (บาท)   คำโฆษณาบนบรรจุภัณฑ์   คะแนนรวม(2) ประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย(3) ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว(4) การทำให้เกิดอาการแพ้(5) ความพึงพอใจของผู้ใช้ ความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการลดริ้วรอย(6) ความพึงพอใจต่อตัวเนื้อครีม(7) 1 Diadermine Expert rides ฝรั่งเศส 529 เสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ริ้วรอยตื้นขึ้น   62 ดี ดีมาก ไม่พบ ดี ดีมาก 2 Oil of Olay Olay Regenerist อเมริกา       721 เผยผิวใหม่ ทีละเซลล์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม 61 ดี ดีมาก ไม่พบ ดีมาก ดีมาก 3 Lancôme Renergie ฝรั่งเศส  อเมริกา   3,154 ซ่อมแซมผิว เพิ่มความกระชับ ต่อต้านริ้วรอย 56 ดี ดีมาก ไม่พบ ดี ดี 4 Roc Retin-OX   ฝรั่งเศส   851 บำรุงผิว รักษาริ้วรอย อย่างเข้มข้น 54 ดี ดี พบมาก ดีมาก ดี 5 Neutrogena Neutrogena Visibly Firm   อเมริกา 613 สูตรปรับปรุงใหม่ เพื่อผิวที่กระชับ เต่งตึงขึ้น 47 ปานกลาง ดี พบ ดี ดี 6 Avon Anew Alternative         ฝรั่งเศส  อเมริกา 1,748 ดูแลริ้วรอยที่เกิดจากวัยอย่างเข้มข้น 44 ปานกลาง ดีมาก พบ ดีมาก ดี 7 L'Oreal Paris Dermo Expertise Wrinkle De-Crease with Boswelox ฝรั่งเศส  อเมริกา   592 ปรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น 42 ปานกลาง ดีมาก พบ ดี ดี 8 Klein-Becker USA Strivectin-SD Intensive Concentrate for Existing Stretch Marks ฝรั่งเศส  อเมริกา 3,450 ทำให้ผิวดูเรียบ กระชับขึ้น รอยแตกลายดูจางลง พิสูจน์แล้วว่าได้ผล โดยร้อยละ 93 ของผู้ทดลองใช้ 40 ปานกลาง ดี ไม่พบ ดี พอใช้ 9 L'Oreal Paris Dermo Expertise RevitaLift Anti-Wrinkle & Firming Cream ฝรั่งเศส  อเมริกา   494 ประสิทธิภาพ การทำงานล้ำลึก 38 ปานกลาง ดีมาก ไม่พบ ดี ดีมาก 10 La Prairie Cellular ฝรั่งเศส  อเมริกา 6,042 เสริมสร้างเนื้อเยื่อ 34 ต่ำ ดี พบ ดี ดี 11 Oil of Olay Active hydrating cream – original   อเมริกา     253 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว 33 ต่ำ ดีมาก พบ ดี พอใช้ 12 Roc Retinol Correxion Deep Wrinkle อเมริกา 721 ลบเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ และริ้วรอยลึก 31 ต่ำ ดีมาก พบ ดีมาก ดี 13 Nivéa visage Q10 Advanced Wrinkle Reducer ฝรั่งเศส  อเมริกา     484 ลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ ปรับสภาพผิวอย่างเข้มข้น 27 ต่ำ ดีมาก ไม่พบ ดี พอใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 ปรอทในครีมหน้าขาว

นาทีนี้การมีผิวหน้าสะอาด ชุ่มชื้น เพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอเสียแล้ว เรายังรู้สึกเหมือนเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีผิวอ่อนเยาว์ ไร้ริ้วรอย และที่สำคัญต้องขาวใสไร้จุดด่างดำอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าวจึงมีออกมาให้เลือกกันมากมายหลายสูตร จนเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว   มูลนิธิบูรณนิเวศ และนิตยสารฉลาดซื้อได้ร่วมกันเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมที่อ้างสรรพคุณว่าทำให้ผิวหน้ามีสีจางลงหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าครีมหน้าขาว มาตรวจหาสารปรอท ซึ่งกฎหมายประกาศห้ามใช้ งานนี้เรายังได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคจังหวัด พะเยา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ สมุทรปราการ สงขลา สุราษฎร์ธานี ในการสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากพื้นที่เข้ามาให้ด้วย   ครั้งนี้เราตรวจหาสารปรอทใน 47 ผลิตภัณฑ์ ที่เราเก็บตัวอย่างครีมจากซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างค้าปลีก ร้านสินค้าสุขภาพ รวมถึงแผงขายเครื่องสำอางในตลาดนัด ระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2555 มีตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากกรุงเทพมหานคร 15 ตัวอย่าง และตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากพื้นที่ต่างจังหวัด ได้แก่ นนทบุรี สุราษฎร์ธานี พะเยา สงขลา สมุทรปราการ กาฬสินธุ์ และขอนแก่น อีก 32 ตัวอย่าง   ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาวทั้งหมดถูกส่งไปวิเคราะห์หาปริมาณสารปรอททั้งหมด ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของบริษัท อินเตอร์เทค เทสติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยวิธีตามมาตรฐานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   เราบอกคุณไม่ได้ว่าทาครีมยี่ห้อไหนแล้วจะขาวกว่ากัน แต่เรารู้แน่ว่ามีถึง 10 ผลิตภัณฑ์ (จากทั้งหมด 47 ผลิตภัณฑ์) ที่มีสารปรอทปนเปื้อน โดย “ครีมน้ำนมข้าว” ที่เก็บตัวอย่างจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีคว้าแชมป์ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปรอทมากที่สุด มากถึง 99,070 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามด้วย “ครีมไวท์โรส” จากสงขลา ที่มีปริมาณปรอทปนเปื้อน 51,600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนที่เหลืออีก 8 ผลิตภัณฑ์นั้นดูได้จากรายละเอียดในหน้าถัดไป   ซื้อแพงไว้ก่อนดีหรือไม่? นี่เป็นอีกครั้งที่เราพบว่าราคาที่แพงกว่า ไม่ได้รับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะปราศจากสารอันตรายเสมอไป เช่น ผลิตภัณฑ์ “ไบโอคอลลาเจน” ที่มีราคาถึง 28 บาท ต่อกรัม มีสารปรอทถึง 47,960 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือครีม “มาดาม” ที่ราคากรัมละ 30 บาท ก็มีสารปรอทถึง 3,435 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ “เภสัช” ซึ่งเราตรวจพบปริมาณสารปรอทต่ำกว่า 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นั้นมีราคาต่อหน่วยเท่ากับ 0.4 บาทเท่านั้น                ที่มา : องค์การอนามัยโลก, 2011 ---   ยุทธศาสตร์ไซคัม ยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีระหว่างประเทศ หรือยุทธศาสตร์ไซคัม (Strategic Approach to International Organization on Chemicals Management หรือ SAICM) มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ส่งเสริมให้เกิดการจัดการสารเคมีอย่างเหมาะสมตลอดวงจรชีวิตของสารเคมีนั้น ๆ ภายในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 การผลิตและการใช้สารเคมีจะต้องให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะปกป้องสังคมโลกให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย   ความเคลื่อนไหวที่สำคัญภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ไซคัมที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แก่ การพัฒนาข้อตกลงสากลว่าด้วยเรื่องสารปรอท (Mercury Treaty) นั่นเอง   หลักการพื้นฐาน 5 ข้อของยุทธศาสตร์ไซคัม 1) ลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย 2) ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและการส่งเสริมองค์ความรู้ต่างๆ 3) สร้างธรรมาภิบาล 4) เสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือทางเทคโนโลยี และ 5) ห้ามการขนส่งของเสียอันตรายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย

อ่านเพิ่มเติม >