ฉบับที่ 208 โซเดียมในเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแตงโมและเมล็ดฟักทองอบ

เมื่อสี่สิบปีก่อนอาจไม่มีใครทราบว่าเมล็ดทานตะวันอบแห้งนั้นสามารถทานได้ เมล็ดอบแห้งที่นิยมสมัยก่อนนั้นจะเป็นเมล็ดแตงโมหรือที่เรียกว่า เม็ดก๋วยจี๊ มากกว่า เมล็ดฟักทองก็มีบ้าง ต่อมาเมื่อมีการเพาะปลูกต้นทานตะวันมากขึ้น เพราะเป็นพืชที่สร้างรายได้ที่ดี ด้วยสามารถนำทุกส่วนมาทำประโยชน์ได้เกือบทั้งหมด  โดยเฉพาะการสร้างตลาดเรื่องการบริโภคเมล็ดทานตะวันในลักษณะของอาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งน้ำมันสกัด ยอดอ่อนทานตะวัน และเมล็ดอบแห้ง  ปัจจุบันเมล็ดทานตะวันอบแห้ง จึงกลายเป็นของว่างที่ได้รับความนิยมแซงหน้าเมล็ดแตงโมไปเรียบร้อย  เมล็ดทานตะวันอบแห้ง ตามนิยามของมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.739/2548) หมายถึง  ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเมล็ดทานตะวันดิบที่คัดเมล็ดเสียและลีบออกมาต้มในน้ำเกลือแล้วทำให้แห้ง อาจนำมากะเทาะเปลือกแล้วคัดแยกเมล็ดออกจากเปลือก มาตรฐานทั่วไป คือต้องสะอาด ปราศจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ สิ่งสกปรก ขนาดของเมล็ดที่บรรจุในซองหรือบรรจุภัณฑ์ควรมีขนาดใกล้เคียงกันและเป็นเมล็ดสมบูรณ์ เมื่อมองไปบนชั้นวางสินค้าประเภทเมล็ดอบแห้ง เราจะพบเมล็ดทานตะวันอบแห้งหลายยี่ห้อ มีทั้งที่ไม่แกะเปลือกและกะเทาะเปลือกแล้ว ซึ่งฉลาดซื้อได้เก็บตัวอย่างเมล็ดทานตะวันอบแห้งมาจำนวน 12 ผลิตภัณฑ์ และเก็บตัวอย่างเมล็ดแตงโมและเมล็ดฟักทองอีก 7 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 19 ตัวอย่าง ส่งไปทดสอบเพื่อหาสิ่งแปลกปลอม เช่น เส้นผม ดิน ทราย กรวด ชิ้นส่วนหรือสิ่งปฏิกูลจากสัตว์ ว่า มีหรือไม่ (ผลทดสอบจะนำเสนอในฉบับถัดไป) และเปรียบเทียบฉลากจากทุกผลิตภัณฑ์ โดยเลือกที่โซเดียมเป็นหลัก เพราะของว่างชนิดนี้จะได้รสอร่อยกลมกล่อมต้องมีเกลือเป็นตัวชูรส ซึ่งหากกินเล่นกินเพลินไปก็อาจได้รับโซเดียมเพิ่มขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นก่อนอร่อยเพลินครั้งต่อไป โปรดดูตารางที่ฉลาดซื้อนำเสนอผลการเปรียบเทียบฉลาก ผลิตภัณฑ์เมล็ดอบแห้งที่มีโซเดียมสูง ได้แก่• เมล็ดทานตะวันอบ ตรา ปาป้าฮัท (ไม่แกะเปลือก)  ปริมาณโซเดียม 250 มก./หน่วยบริโภค 25 กรัม (1000 มก./100 กรัม)• เมล็ดทานตะวัน ตรา ซันสแนคดั๊งค์ (กะเทาะเปลือก) ปริมาณโซเดียม 150 มก./หน่วยบริโภค 25 กรัม(600 มก./100 กรัม)• เมล็ดฟักทอง ตราทองการ์เด้น (กะเทาะเปลือก) ปริมาณโซเดียม 190 มก./หน่วยบริโภค 33 กรัม(575.7 มก./100 กรัม) • เมล็ดแตงโม ตรา M16 (ไม่แกะเปลือก) ปริมาณโซเดียม 105 มก./หน่วยบริโภค 20 กรัม(525 มก./100 กรัม)-------------------------------------------------------------------------คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดทานตะวันอบแห้ง ต่อ 100 กรัม• พลังงาน 584 กิโลแคลอรี 29%• คาร์โบไฮเดรต 20 กรัม 15%• โปรตีน 20.78 กรัม 37%• ไขมัน 51.46 กรัม 172%• ใยอาหาร 8.6 กรัม 23%• วิตามินเอ 50 หน่วยสากล 1.6%• วิตามินบี 1 1.480 มิลลิกรัม 123%• วิตามินบี 2 0.355 มิลลิกรัม 27%• วิตามินบี 3 8.335 มิลลิกรัม 52%• วิตามินบี 5 1.130 มิลลิกรัม 22%• วิตามินบี 6 1.345 มิลลิกรัม 103%• วิตามินบี 9 227 ไมโครกรัม 57%• วิตามินซี 1.4 มิลลิกรัม 2%• วิตามินอี 35.17 มิลลิกรัม 234%• ธาตุแคลเซียม 78 มิลลิกรัม 8%• ธาตุเหล็ก 5.25 มิลลิกรัม 63%• ธาตุแมกนีเซียม 325 มิลลิกรัม 81%• ธาตุแมงกานีส 1.950 มิลลิกรัม 85%• ธาตุฟอสฟอรัส 660 มิลลิกรัม 94%• ธาตุโพแทสเซียม 645 มิลลิกรัม 14%• ธาตุโซเดียม 9 มิลลิกรัม 1%• ธาตุสังกะสี 5.00 มิลลิกรัม 45%• ธาตุทองแดง 1.800 มิลลิกรัม 200%• ธาตุซีลีเนียม 53 ไมโครกรัม 96%% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 106 รับปีใหม่แบบฟักทอง

รับปีใหม่ฉบับนี้ ขอเสนอขนมจากฟักทอง…ค่ะ ไม่ใช่เค้กและไม่ใช่เค้กฟักทอง แต่เป็นขนมฟักทองพื้นบ้านของเรานี่แหละ ที่เอามาตกแต่งหน้าตาเสียใหม่ให้อินเทรนด์   ฟักทองหรือบักอึ ในภาษาถิ่นอีสาน คืออาหารชั้นดีที่นิยมกินทั้งในและนอกประเทศ นอกจากที่จะถูกนางซินเอาไปทำเป็นรถตอนไปเต้นรำก่อนเที่ยงคืนกับเจ้าชาย และเด็กๆ ในยุโรปอเมริกาเอามาทำหน้ากากผีสัญลักษณ์วันปล่อยผี ฮาโลวีน ในสิ้นเดือนตุลาคม ฟักทองเนื้อมันๆ สีเหลืองอร่ามตายังช่วยบำรุงสายตา รักษาอาการตาฝ้าฟาง รวมทั้งอาการตาบอดกลางคืนด้วย เพราะว่ามีเบต้าแคโรทีนกับวิตามินเอสูงมาก เมล็ดฟักทองที่นิยมนำมาขบเคี้ยวเพลินๆ นั้น มีผลการวิจัยว่าป้องกันการเกิดนิ่วเพราะเมล็ดฟักทองมีสารฟอสฟอรัสสูง ช่วยยับยั้งการเกิดผลึกนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ อีกทั้งยังช่วยการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยในกระบวนการย่อยสลายอาหารในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อประสาท รักษาสมดุลของกรด-เบสในร่างกาย ถ้าร่างกายขาดเจ้าสารตัวนี้แล้ว กระดูกจะเปราะแตกง่าย อ่อนเพลียง่าย ในเมล็ดฟักทองยังมีธาตุสังกะสีสูง ซึ่งแร่ธาตุนี้ช่วยป้องกันรักษาโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโต และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นปกติ รวมถึงพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์ให้ทำหน้าที่อย่างเหมาะสม และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ขับออกจากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ ป้องกันการผิดปกติของต่อมลูกหมาก อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นหมันและเป็นมะเร็ง ส่วนน้ำมันในเมล็ดฟักทองเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว เป็นน้ำมันคุณภาพดีที่ช่วยลดการอุดตันไขมันในเส้นเลือดได้ คำแนะนำของผู้รู้บอกว่าให้รับประทานเนื้อฟักทองทุกวัน วันละ 2 ชิ้นนอกจากจะช่วยป้องกันโรคริดสีดวงและโรคผนังลำไส้โป่งพอง เพราะฟักทองมีใยอาหารสูง กินฟักทองแบบง่ายและอร่อยที่สุดคือ เอาไปนึ่งให้สุกกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือกินเป็นขนมของว่าง ซึ่งใครชอบหวานก็จิ้มน้ำตาล หรือพิถีพิถันมากอีกหน่อยก็ขูดมะพร้าวทึนทึกคลุกเกลือคลุกน้ำตาลโรยหน้าเวลาจะกิน ฟักทองยังคู่กับครัวไทยด้วย เพราะปลูกง่าย ลูกแก่จัดเก็บเป็นลูกไว้ได้นานเป็นเดือน เราจึงมีเมนูฟักทองมากมาย ตั้งแต่แกงคั่ว แกงเผ็ด แกงกะทิ ผัดฟักทองใบโหระพากับกระเทียมเจียวหอมๆ ทั้งแบบใส่ไข่ และไม่ใส่ไข่ รวมไปถึงเสนอหน้าอยู่ในแกงเลียง และอีกสารพันเมนู ขนมฟักทองคราวนี้ได้ทดลองทำขนมฟักทองแทนเค้กดู โดยดัดแปลงสูตรมาจากการทำขนมกล้วยอีกที ซึ่งแม้ขั้นตอนการทำจะกล้วยๆ แต่มีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจกันพอสมควร เครื่องปรุง ฟักทอง 1 กก. , หัวกะทิ ? ถ้วย , แป้งข้าวเจ้า 1/3 – ? ถ้วย , เกลือ 1 ช้อนชา , มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น 1 ลูก น้ำตาล 1/3 ถ้วย (ถ้าไม่ชอบไม่ต้องใส่) วิธีทำ 1. เริ่มที่นึ่งฟักทองให้พอสุกแล้วยกลง จากนั้นเอาฟักทองมายีในภาชนะอบเค้กให้เป็นเนื้อละเอียด 2. เตรียมหัวกะทิกับน้ำกะทิไว้สัก 4 – 5 ช้อน เพื่อไว้ใช้โรยตกแต่งหน้า เอาส่วนที่เหลือละลายเกลือและน้ำตาล 2. เติมน้ำกะทิที่เตรียมไว้ลงไปภาชนะ คนให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมแป้งข้าวเจ้าลงไป คนให้เข้ากันดี คอยสังเกตดูเนื้อไม่ควรเละหรือแข็งเกินไป 4.เกลี่ยเนื้อฟักทองรวมเครื่องให้เรียบเสมอหน้า จากนั้นใช่กะทิที่เหลือ 4 – 5 ช้อน มาผสมกับเกลือนิดหน่อย และแป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันดีแล้วราดหน้าเนื้อฟักทอง ตกแต่งด้วยชิ้นฟักทองหั่นเส้นให้สวยงาม แล้วเอาไปนึ่งประมาณ 25 – 30 นาที สังเกตว่าจะสุกหรือยังให้ลองใช้ส้อมจิ้มตรงกลางดูว่าไม่มีเนื้อแฉะๆ ติดอยู่ จานเด็ดนี้ ได้แป้งมันเป็นตัวช่วยจับก้อนเนื้อฟักทอง หากมากเกินไปเนื้อขนมจะแข็ง แต่ถ้าน้อยไปก็จะเละนิ่ม ขอให้ท่านผู้อ่านอิ่มฟักทองในรูปแบบที่แต่ละท่านชอบก็แล้วกัน ส่วนอิฉันเห็นว่า แค่มีตำลึง ฟักทอง มะรุม และผักอีกสารพัดบานตะไทไว้ใกล้ตัว ยังไงๆ ก็ไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมหรือแม้กระทั่งข้าวสีทองจีเอ็มโอที่คุยเขื่องคำโม้ว่าจะรักษาโรคตา(ไม่)ได้จริง

อ่านเพิ่มเติม >