หลายคนคงมีร้านค้าที่สั่งซื้อของกันอยู่เป็นประจำ จนเกิดความไว้เนื้อเชื้อใจ พาให้ชะล่าใจและวางใจว่าของที่ส่งมาให้คงจะตรงปก ไม่จกตา สมราคา อย่างที่เคยเป็นมา แต่ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ อาจจะด้วยเจตนาหรือความพลั้งเผลอก็ตาม ผู้บริโภคควรตรวจสอบสินค้าทุกครั้งที่มาส่งว่าตรงตามที่สั่งไปหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาจต้องมาเสียรู้เพราะความไว้ใจอย่างคุณป้างก็เป็นได้ เรื่องของเรื่องคือ คุณป้างเพิ่งเริ่มทําธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า แล้วสั่งผลิตผ้าจากโรงงานสกรีนเสื้อที่เคยสั่งประจำ ครั้งนี้เขาสั่งผ้า Cotton Comb เบอร์ 32 ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายคุณภาพดีที่สุดที่นิยมใช้สำหรับคนเริ่มต้นสร้างแบรนด์เสื้อผ้า เมื่อผ้ามาส่ง เขาก็ใช้ผ้าบางส่วนในการขึ้นตัวอย่างเสื้อตามปกติ จนผ่านไป 5 เดือน วันหนึ่งขณะที่เขานําผ้าออกมาจากถุงเพื่อจะแบ่งผ้าให้เพื่อน เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองได้ผ้าผิดสเปกมา เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นข้อมูลหน้าถุงที่เก็บผ้านั้นไว้ระบุว่าเป็น Cotton Semi เบอร์ 40 ที่เป็นผ้าฝ้ายเกรดปานกลาง คุณป้างจึงโทร.ไปคุยกับทางโรงงาน แต่ทางนั้นกลับบอกว่าผ้าตามสเปกที่เขาสั่งนั้นไม่สามารถผลิตได้และอาจจะแจ้งรายละเอียดผิดไป ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้ทางโรงงานสกรีนไม่เคยแจ้งรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนสเปกผ้าลอตนี้เลย แล้วเขายังจ่ายเงินที่ได้สรุปราคากันตามสเปกผ้าที่เขาต้องการไปครบแล้วด้วย เขาจึงได้ขอเคลม แต่ทางโรงงานปฏิเสธว่าทำไม่ได้เพราะผ่านมานานแล้ว เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะจ่ายเงินไปแล้ว แต่กลับได้ผ้าผิดสเปกมา แถมโรงงานยังปัดความรับผิดชอบอีก คุณป้างจึงส่งอีเมลมาถึง มพบ.เพื่อขอคำปรึกษา แนวทางการแก้ไขปัญหา มพบ.แนะนําให้คุณป้างทําหนังสือถึงผู้รับจ้างผลิต เสนอข้อเรียกร้องของตนว่าต้องการให้อีกฝ่ายแก้ไขอย่างไร และสำเนาถึง มพบ. แต่ทางคุณป้างเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ยังต้องสั่งผลิตผ้าจากโรงงานนี้อยู่เป็นประจำ จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ ต่อ ในกรณีนี้เข้าข่ายเป็นการส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญารวมกับทรัพย์สินอื่นที่ไม่เป็นไปตามสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 465(3) กำหนดให้ผู้ซื้อจะรับเอาไว้เฉพาะที่สั่ง หรือปฏิเสธไม่รับทั้งหมดได้ โดยมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ส่งมอบ
อ่านเพิ่มเติม >