ฉบับที่ 114 ทำอย่างไร ไม่เผลอไปทำร้ายผิว

ทำอย่างไร ไม่เผลอไปทำร้ายผิวรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล เราไม่สามารถสร้างบ้านโดยปราศจากเสาหลักที่แข็งแรง เราไม่สามารถสร้างทหารกล้าโดยไม่ผ่านสนามฝึก และเราก็คงไม่สามารถรักษาผิวพรรณให้แข็งแรงโดยใช้เครื่องสำอางที่ดีที่สุดแต่ปราศจากพื้นฐานการดูแลผิวที่ถูกต้อง  หากเราปฏิเสธหรือไม่สนใจพื้นฐานที่ถูกต้องของการดูแลผิวหนัง ก็รับรองได้เลยว่าโปรแกรมต่างๆ หรือเครื่องสำอางแพงๆ ที่เราพยายามหาซื้อมาเพื่อชะลอริ้วรอยผิวหน้าหรือยกกระชับผิวหน้าจะไม่ประสพความสำเร็จ บทความนี้จะครอบคลุมหลักการและพื้นฐานสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพผิวหนังและป้องกันหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย “จำไว้ว่าการดูแลผิวที่ฉลาดที่สุดคือ การไม่ทำร้ายผิวให้บาดเจ็บแม้แต่ระคายเคืองก็ตาม” เราคงแปลกใจที่รู้ว่าส่วนใหญ่ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้ามักจะเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าการชราภาพโดยธรรมชาติ ดังนั้นราคาที่ถูกที่สุดและขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเริ่มต้นดูแลผิวคือ ลดและหลีกเลี่ยงปัจจัยภายนอกที่จะมาทำร้ายผิวหนังของเรา วิธีนี้นับเป็นพื้นฐานสำคัญของการชะลอริ้วรอยแห่งวัย ชีววิทยาของผิวหนังและร่างกายเป็นสิ่งที่ซับซ้อน บ่อยครั้งเมื่อผิวหนังบาดเจ็บหรือถูกทำร้าย อาจไม่มีอาการเจ็บปวดแม้แต่ระคายเคืองให้สัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่จะเป็นการสะสมทีละน้อยทุกเวลาที่ผ่านไปอย่างที่เราไม่ทันสังเกต สาเหตุหลักที่เป็นปัจจัยทำร้ายผิวหนัง เช่น 1. รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ คนส่วนใหญ่คงทราบดีว่ารังสียูวีจากดวงอาทิตย์เป็นปัจจัยทำร้ายผิวหนังและทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และยังก่อให้เกิดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังอีกด้วย ครีมกันแดดมากมายที่อาจไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปกป้องผิวหนังเราจากการเกิดริ้วรอย และการหลบแดดในที่ร่มก็เป็นเพียงการป้องกันแดดได้บางส่วนเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่ากันแดดหรือ ‘เอสพีเอฟ’ ที่เหมาะสมกับสภาวะจริง และควรศึกษาข้อแนะนำการใช้ครีมกันแดดให้ได้ผล เช่น ควรทาทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีก่อนออกแดด และควรเลือกครีมที่กันน้ำได้ถ้ามีกิจกรรมมากๆ เช่น เล่นกีฬาที่มีเหงื่อออกมาก และควรทาบ่อยๆเป็นระยะทุก 2-4 ชั่วโมง เพราะสารกันแดดบางชนิดอาจสลายตัวเมื่อได้รับความร้อนนานๆ   2. สารทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดทั้งหลาย น้ำยาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดระคายเคืองต่อผิวหนังเมื่อใช้เป็นประจำ ทั้งนี้เนื่องจากสารทำความสะอาดเหล่านี้เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า อนุภาคเหล่านี้จึงสามารถเกาะติดและสะสมบนผิวหนัง ล้างออกยาก ผู้ที่ต้องทำหน้าที่ล้างถ้วยชามหรือซักผ้าเป็นประจำ จะพบว่าผิวหนังที่มือจะเหี่ยวย่นและระคายเคืองถึงขั้นอักเสบรุนแรงได้ ทั้งนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอาบน้ำสระผม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนละมุน ไม่จำเป็นต้องให้ฟองมากๆ 3. คลอรีนและน้ำอุ่น การอาบน้ำอุ่นทำให้เรารู้สึกสบายกาย แต่ผิวหนังเราอาจคัดค้านและไม่เห็นด้วย คลอรีนจากน้ำประปาจัดเป็นสารก่ออนุมูลอิสสระและมีผลทำร้ายผิวหนังให้ระคายเคืองไม่มากก็น้อย สังเกตได้จากคนที่ชอบว่ายน้ำเป็นประจำ เส้นผมจะแห้งแตกปลายและผิวหนังจะแห้งกร้านไปด้วย น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นที่ใช้อาบน้ำก็เช่นกัน ส่งผลทำร้ายผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแห้ง ยิ่งอุณหภูมิน้ำสูงก็จะยิ่งทำร้ายผิวหนังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบการแช่น้ำอุ่นหรือสปาน้ำอุ่นที่อุณหภูมิสูง ควรจำกัดความถี่การแช่น้ำรวมทั้งการลดระยะเวลาการแช่น้ำร้อนในแต่ละครั้งและการลดอุณหภูมิของน้ำลง 4. สารก่อความระคายเคืองให้ผิวหนัง สารเหล่านี้อาจระคายเคืองผิวหนังได้สองทาง ทางตรงคือทำร้ายเซลล์ผิว และทางอ้อมคือทำให้ผิวหนังอักเสบหรือทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้ ผู้ที่มีผิวหนังอ่อนไหวต่อสารต่างๆ ได้ง่าย ควรระวังและหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำยาชนิดต่างๆ และอาจป้องกันโดยการล้างมือบ่อยๆ ภายหลังจากการสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัว 5. การแสดงออกของสีหน้า ทำให้เกิดริ้วรอยของการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น รอยตีนกาจากการหัวเราะหรือรอยย่นบนหน้าผากจากการขมวดคิ้ว เรามักจะทำโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว แก้ไขได้โดยการฝึกระวังตัว และพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นนิสัยรวมทั้งการฝึกตนให้ผ่อนคลายจากภาวะความเครียดต่างๆ รอบตัว เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยจากการแสดงออกของสีหน้า 6. การแต่งหน้ามากเกินไป ผลิตภัณฑ์สำหรับแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า แน่นอนมักประกอบไปด้วยสารเคมีที่อาจระคายเคืองผิวหน้าได้ การรักษาสุขภาพผิวหนังในระยะยาว ควรลดการแต่งแต้มผิวหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ผลิตภัณฑ์ประเภทติดทนนานและกันน้ำ ยิ่งมีผลรุนแรงต่อผิวหน้า และยังต้องใช้น้ำยาที่แรงหรือเข้มข้นล้างออกอีกด้วย 7. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากเกินไป ผลิตภัณฑ์ที่ดีประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อผิวหนัง แต่หากใช้มากเกินไป หรือใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เช่นกัน ควรอ่านฉลากและวิธีใช้ให้ชัดเจน 8. การล้างหน้าและขัดผิวบ่อยเกินไป ผลิตภัณฑ์บางชนิดหากใช้บ่อยเกินไปและใช้ผิดวิธีอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ การล้างหน้าและขัดผิวหน้าบ่อยเกินไปก็เช่นกัน ทำให้ผิวหน้าแห้งกร้านและระคายเคืองได้ ควรหลีกเลี่ยงการเช็ดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ประเภทโทนเนอร์สำหรับเช็ดหน้าหรือเช็ดเครื่องสำอางออก แอลกอฮอล์จะทำให้ผิวหน้าแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 ไม่ให้ไม่ว่า…ขอแค่อย่าทำร้าย

เป็นที่รับรู้กันว่า ประชาธิปไตยบ้านเรา เป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็สนุกดีแบบไทยๆ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไทยก็ยังเป็นไทยอยู่วันยังค่ำ(จริงไหม?)เสร็จจากการประท้วง สุดฤทธิ์สุดเดช กันไปตามอัธยาศัยแล้ว ถึงการเมืองบ้านเราจะยังมีกรุ่นๆ กันอยู่บ้างแต่ก็ทำให้เราๆ ท่านๆ หายใจได้ทั่วปอดขึ้นใช่ไหมล่ะ เมื่อการเมืองเบาบางลง ก็ตามมาด้วยเสียงเพรียกร้องหาความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ ที่ดังขึ้นมาแทรกแทนเสียงโหยหวน.. ของเหล่านักการเมือง ทั้งกลุ่มหนี้สินชาวนา กลุ่มหนี้สินอื่นๆ และเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่ต้องเรียกร้องกันทุกปี เพราะไม่ว่าพรรคการเมืองพรรคไหนขึ้นมาบริหารประเทศ ก็ไม่มีการวางแผนแก้ไขปัญหาเรื่องราคาสินค้าทางการเกษตรแบบระยะยาวเลยสักพรรคเดียว มีเพียงการแก้ไข แบบขอไปที น้อง-พี่-ลุง-ป้า จึงต้องออกมาร้องขอความช่วยเหลือกันทุกปีจะว่า น้อง-พี่-ลุง-ป้า เหล่านี้คือเหยื่ออันโอชะของนักการเมืองก็ไม่น่าจะผิด เพราะการแก้ไขแต่ละครั้ง ใช้งบมหาศาลและก็รั่วไหลทุกครั้งที่มีโครงการช่วยเหลือ(ก็อดคิดเสียไม่ได้ว่าเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้เหล่านักการเมืองจึงไม่คิดแก้ไขแบบจริงๆ จังๆ กันเสียที) แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกมาส่งเสียงมาสู่รัฐ เขาเหล่านั้นไม่เคยร้องขอให้รัฐไปช่วยเหลืออะไร ขอเพียงขอให้เขาได้อยู่กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ที่เขาคุ้นชินเท่านั้น เขาเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่ออกมาคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และโรงงานขนาดใหญ่ ที่พวกเขากลัวว่าการก่อสร้างเหล่านั้นจะส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม อาชีพ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ของพวกเขา แก่นแท้ของการร้องขอนั้น เขาไม่เคยขอให้รัฐช่วยอะไร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ หรืออื่นๆ เขาขอเพียงรัฐยอมปล่อยให้เขาได้อยู่ในสิ่งที่เขาเคยอยู่เท่านั้นจนได้อ่านข่าวที่ กกต. ชี้ออกมาว่า ท่าน สส.ผู้ทรงเกียรติ หลายท่านน่าจะพ้นสภาพการเป็น สส.เพราะตนเองหรือภรรยาเข้าไปถือหุ้น ในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ ทั้งหุ้น ปตท. หุ้นไฟฟ้า และหุ้นอื่นๆ อ้อ..เพราะอย่างนี้นี่เองนักการเมืองทั้งหลายถึงไม่ใยดีและเพิกเฉยต่อคำเรียกร้อง ของกลุ่มผู้คัดค้านเพื่อสิ่งแวดล้อม ก็ท่านทั้งหลายที่กล่าวถึงมามีผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่มากมายนี่เอง อ่านข่าวแล้วรู้สึกสะใจจริงๆ เพราะไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหน ที่สามารถล้างบางนัก การเมืองขี้ฉ้อได้เท่ารัฐธรรมนูญปี 50 นี้เลย(สะใจเจงๆๆ) เพราะการเขียนไว้ว่าห้ามนักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นถูกต้องแล้ว เพราะนักการเมืองเป็นผู้มีอำนาจการตัดสินใจในการบริหารจัดการในทุกด้าน และนักการเมืองก็เป็นมนุษย์มันก็หนีไม่พ้นที่จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ความเป็นธรรมจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้ถ้าไม่สามารถกำจัดผลประโยชน์ทับซ้อนออกไปได้(ถึงแม้ออกไม่หมดแต่ก็ดีกว่าไม่ออกเลย) เอาเป็นว่าผู้เขียนชูจั๊ก-กะ-แร้ เชียร์เพื่อนพ้องน้องพี่ พลังบริสุทธิ์ที่ก้าวข้ามผลประโยชน์ส่วนตัว ออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมไว้ให้เป็นของขวัญสำหรับลูกหลานรุ่นต่อๆ ไป และช่วยยืนยันสโลแกนที่ว่า “ไม่ให้ไม่ว่าขอแค่อย่าทำร้าย” ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนและขอให้ไอ้พวกขี้ฉ้อสูญพันธุ์จากประเทศไทยไปสักที

อ่านเพิ่มเติม >