ฉบับที่ 142 ตะเกียงรักษาโรค ทำอับโชคจนอาจหมดตัว

“ตะเกียงผีบ้า  ผีบอ อะไรจะมารักษาคนได้ พวกนี้หากินบนความทุกข์ของชาวบ้าน ไม่นานมันก็ฉิบหาย  เงินทองที่เสียไปไม่ได้เสียดงเสียดายมันหรอก ขอแค่ได้ลูกสาวกลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมก็พอใจแล้ว” เสียงก่นด่าอย่างโกรธแค้นของของคุณลุงท่านหนึ่งในอำเภอโคกเจริญ ถูกถ่ายทอดผ่านมาทาง เภสัชกรภูริทัต ทองเพ็ชร เภสัชกรประจำโรงพยาบาลโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี “ลุกสาวลุงแกไปทำงานย่านนวนคร ระหว่างนั้นได้หลงไปเข้าไปอบรมที่บริษัทย่านพระรามเก้าเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายขายตะเกียงบำบัดโรค หลังจากอบรมไม่นาน ก็กลับมาคะยั้นคะยอให้พ่อแม่เข้ารับการอบรมด้วย แต่เมื่อไม่สำเร็จ เธอกับเพื่อนก็พากันมาหาแกที่บ้าน พร้อมทั้งนำตะเกียงบำบัดโรคมาจุดให้แกและภรรยาทดลองดมควัน” “ตะเกียงนี้สามารถรักษาได้สารพัดโรค ทั้งมะเร็ง  เบาหวาน  ความดัน  โรคที่หมอโรงพยาบาลรักษาไม่หาย  ตะเกียงนี้เอาอยู่ เพื่อนลูกสาวบรรยายสรรพคุณ แต่หลังจากสูดดมควันไปชั่วครู่  ภรรยาของแกกลับเกิดอาการเวียนหัว และ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง  แกจึงรีบโทรติดต่อหลานชายซึ่งเป็นตำรวจในพื้นที่ให้มาดูว่าการกระทำแบบนี้เข้าข่ายหลอกลวงผิดกฎหมายหรือไม่ ทำให้เพื่อนของลูกสาววิ่งหลบหนีไป ส่วนลูกสาวแกยังยืนยันที่จะเอาเงิน 2 แสนบาทจากแกเพื่อไปซื้อตะเกียงบำบัดโรค และยังจะหาสมาชิกรายอื่นมาซื้ออีก” “ลุงแกเล่าว่า ลูกสาวบอกว่าหากหาสมาชิกใหม่มาซื้อตะเกียงบำบัดโรคราคา 2 แสนบาทนี้ได้สำเร็จ  จะได้เงินส่วนแบ่งจากบริษัท  46,000 บาท  สุดท้ายแกจะได้มีรถคันใหญ่ๆ  มีบ้านหลังใหญ่ๆ  ให้พ่อแม่ ได้อยู่อย่างสบาย” “สุดท้ายลูกสาวแกก็แอบขโมยโฉนดที่ดิน 1 ไร่ ไปขายและจำนอง ได้เงินมาประมาณ 2 แสนกว่าบาทและได้ให้บริษัทไปทั้งหมด แต่ผลที่ได้กลับได้ความสูญเสียตอบแทนกลับมา  ต้องคอยวิ่งหลอกผู้คนให้ซื้อตะเกียงบำบัดโรค  ไม่มีแม้เงินที่จะกินข้าว  ลูกสาวแกทนอยู่ในวังวนแชร์ตะเกียง อยู่ 6 เดือน ในที่สุดจึงตัดสินใจออกจากวังวนที่เลวร้ายนี้ และหมดหนทางที่จะเอาที่ดินกลับคืนมา นี่ยังมีคนในหมู่บ้านอีกประมาณ 10 กว่าราย ที่ถูกหลอกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้อย่างไม่มีวันถอนตัวได้  จนกว่าทรัพย์สมบัติจะหมด  ” “ยังมีอีกหลายรายนะครับ ที่อำเภอพิมาย โคราช ก็มีคนหลงเป็นเหยื่อแชร์ตะเกียงแบบนี้ เท่าที่ทราบเสียที่นา หมดเนื้อหมดตัว ไปตามๆ กัน” เภสัชกรภูริทัต เล่าเรื่องราวอย่างอ่อนใจ   บทเรียนแสนแพงของแชร์ตะเกียงบำบัดโรค คงไม่ใช่แค่การหลอกลวงขายผลิตภัณฑ์สุขภาพเท่านั้น มันเข้าข่ายการต้มตุ๋นคนซื่อๆ ให้หลงเป็นเหยื่ออย่างน่ากลัว ใครพบเห็นรีบแจ้งตำรวจจัดการได้เลยครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 133 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว : ความรู้กับอำนาจ (แบบผู้หญิงๆ)

  คุณยายทาฮิร่ามาอีกแล้วจ้า... มาแต่ละครั้งคุณยายก็มักจะนำพาทั้งความสนุกสนาน เวทมนตร์วิเศษ และเจ้าแมวชิกเก้นสมุนคู่ใจแนบพกติดตัวมาด้วยเสมอ จาก “สาวน้อยในตะเกียงแก้ว” มาจนถึงเวอร์ชั่นล่าสุด “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” คุณยายทาฮิร่าก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กันอย่างสนุกสนานเช่นเคย คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า แล้วทำไม “แม่มด” อย่างคุณยายทาฮิร่าจึงถูกสร้างให้เป็นภาพของผู้หญิงที่มีมนต์วิเศษและมีอำนาจที่จะเสกโน่นเสกนี่ได้มากมายมหาศาลเช่นนั้น คำตอบแบบนี้คงต้องย้อนกลับไปในโลกอารยธรรมตะวันตกเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงราวศตวรรษที่ 14-15 ในยุโรป ที่นักประวัติศาสตร์หลายๆ คนจะเรียกขานยุคสมัยดังกล่าวว่าเป็นยุคมืดหรือยุค “Dark Age” ที่เรียกกันว่า “ยุคมืด” เช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าว คริสตจักรกำลังเรืองอำนาจในยุโรป เพราะฉะนั้น สัจจะและความรู้ใด ๆ ก็ตามที่เวียนว่ายอยู่ในสังคมตะวันตก จึงเป็นความรู้ที่ผลิตผ่านแหล่งอำนาจของศาสนจักรเพียงสถานเดียว ในขณะเดียวกัน หากผู้ใดก็ตามที่ริหาญกล้าจะต่อกรหรือตั้งคำถามกับสัจจะและความรู้ในพระคัมภีร์แล้วล่ะก็ ผู้นั้นก็จะถูกนิยามว่าเป็นพวกนอกรีตที่ต้องขจัดออกไป  และในท่ามกลางกลุ่มนอกรีตดังกล่าว ก็มีการรวมตัวกันของบรรดาผู้หญิงจำนวนมาก ที่ตั้งลัทธิต่อต้านคริสตจักรและผลิตความรู้ที่แหกกฎออกไปจากสัจจะดั้งเดิม ผู้หญิงกลุ่มนี้เองที่ถูกตีความว่าเป็นพวกแม่มด อันเป็นบ่อเกิดของขบวนการ “witch hunt” หรือขบวนการล่าแม่มด ที่จะตามล่าพวกเธอมาลงโทษและเผาไฟให้ตายไปทั้งเป็น ความรู้ของขบวนการแม่มดแบบนี้ ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์และต้องรื้อถอนเสียให้สิ้นซากไปจากโลกตะวันตกในยุคอดีตกาล อย่างไรก็ดี แม้บรรดาแม่มดจะได้ถูกกวาดล้างกันขนานใหญ่ไปแล้วตั้งแต่ยุคมืด แต่ก็มิได้แปลว่า ในปัจจุบัน อำนาจและอิทธิฤทธิ์ของคุณๆ แม่มดเหล่านี้จะได้สูญสลายหายไปหมด เพราะอย่างน้อย การกลับมาอาละวาดเป็นครั้งเป็นคราวของคุณยายทาฮิร่าและแม่มดร่วมก๊วน ก็บอกผู้ชมเป็นนัยๆ ว่า ความรู้และอำนาจของแม่มดนั้น ยังมีให้เห็นอยู่ เพียงแต่หลบเร้นและรอคอยจังหวะจะสำแดงพลังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมากับเวอร์ชั่นของ “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” ด้วยแล้ว คุณยายทาฮิร่าไม่ได้โผล่มาคนเดียว เธอได้พกพาเอาคุณยายแม่มดบาบาร่า (คู่ปรับเก่า) กับบรรดาคุณหลานๆ ในเจนเนอเรชั่นรุ่นหลังอย่างแนนนี่และดารกามาร่วมวงไพบูลย์เสวนาประชาคม สลับกับโยกย้ายส่ายสะโพกร่ายมนตราคาถากันไป เมื่อคุณยายเธอส่งคุณหลานๆ มาใช้ชีวิตยังโลกมนุษย์ เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า แนนนี่หรือดารกา ใครคนใดคนหนึ่งอาจจะเป็นอสูรร้ายที่เกิดมาเพื่อกวาดล้างทำลายดินแดนแม่มด คุณหลานทั้งสองคนนั้นก็ต้องเริ่มเข้ารีตเรียนรู้วิถีชีวิตแบบที่มนุษย์ทั่วๆ ไปเขาทำกัน และที่ขาดเสียมิได้ก็คือ เนื่องจากความรู้และอำนาจแบบแม่มดได้ถูกตีตราไว้ตั้งแต่หลายศตวรรษก่อนว่า เป็นอำนาจด้านมืดที่ไม่ชอบธรรม ดังนั้น ทั้งแนนนี่และดารกาจึงต้องมีภารกิจแบบตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟันและออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย เพื่อซึมซับเอาความรู้ตามตำราทางโลกแบบที่มนุษย์คนอื่นๆ เขาเรียนกัน รวมทั้งแนนนี่เองก็ต้องทำพันธะสัญญากับคุณหมอภวัตพระเอกหนุ่มว่า เธอจะต้องไม่ไปเที่ยวใช้ความรู้และอำนาจแบบแม่มดไปทำร้ายใครต่อใคร หรือแม้แต่ใช้อำนาจดังกล่าวแบบไม่มีที่มาที่ไปโดยไม่จำเป็น แล้วทำไมคุณหมอภวัตจึงต้องจับน้องแนนนี่มาทำพันธะสัญญากันเช่นนี้ด้วย??? คำตอบที่ละครให้ไว้ก็คือ เพราะความรู้แบบแม่มด ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือความรู้แบบผู้หญิงๆ นั้นมีความพิเศษหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นความรู้ที่ทำให้ผู้หญิงมีอำนาจเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของสังคมโลก เริ่มตั้งแต่แม่มดผู้หญิงเหล่านี้สามารถหายตัว ปรากฏตัว ขี่ไม้กวาดเหาะเหินเดินอากาศได้ เสกให้บรรดาน้องแมวน้องเสือพูดภาษามนุษย์อย่างเราๆ ได้ หรือเสกสิ่งของต่างๆ ให้เป็นโน่นเป็นนี่ได้หมด อิทธิฤทธิ์และความรู้ของแม่มดแบบนี้เอง ที่ทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้มีอำนาจที่ไม่แตกต่างไปจากอำนาจของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างโลกและมวลสรรพชีวิต และเมื่อมีอำนาจที่ท้าทายความเชื่อสูงสุดอย่างพระเจ้าได้เช่นนั้น ความรู้ของแม่มดจึงต้องถูกจัดวินัย หรือแม้แต่กักขังไว้ใน “ตะเกียงแก้ว” เพราะเป็นความรู้ “ด้านมืด” ที่ยากแก่การควบคุมเป็นอย่างยิ่ง ผิดกับความรู้แบบคุณหมอภวัตที่เป็นองค์ความรู้ “ด้านสว่าง” ที่มีเหตุผลและจริยธรรมทางวิชาชีพ รวมทั้งมีเป้าหมายในการใช้บำบัดรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ กระนั้นก็ตาม แม้อำนาจแบบแม่มดจะถูกตีตราไว้ว่าเป็นความรู้ด้านมืด แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ปัญหาของความรู้นั้นๆ จะเป็นแบบ “มืด” หรือ “สว่าง” อย่างใด กลับไม่ได้ผิดหรือถูกที่ตัวขององค์ความรู้นั้นเองหรอก ตรงกันข้ามอำนาจของความรู้จะ “มืด” หรือ “สว่าง” ได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ใช้ และใช้ความรู้นั้นด้วยวิธีการใดมากกว่า แน่นอนว่า ด้านหนึ่งเราก็ได้เห็นการสาธิตพลังอำนาจแห่งอวิชชาที่เหนือการควบคุม แบบเดียวกับที่ดารกาได้สำแดงฤทธิ์เดชของอสูรสาวเที่ยวไล่เข่นฆ่าใครต่อใครในท้องเรื่อง แต่กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ทั้งคุณยายทาฮิร่าและหลานแนนนี่กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า ความรู้ด้าน “มืด” ของแม่มดที่หากมีคุณธรรมพ่วงเข้ามา ก็สามารถกลายเป็นความรู้ที่สร้างสรรค์และกอบกู้โลกมนุษย์จากอสูรร้ายได้เช่นกัน จะเป็นความรู้ในระบบหรือนอกระบบ หรือจะเป็นความรู้แบบศาสนาดั้งเดิม แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หรือแบบคุณยายแม่มดทาฮิร่า ความรู้เหล่านี้จะเปล่งรัศมีได้ก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้ใช้มากกว่า หากเป็นพวกอวิชชามหานิยมแล้วล่ะก็ จับใส่ “ตะเกียงแก้ว” ขังไว้ ก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านจนปั่นป่วนทั้งบ้านทั้งเมืองนั่นแล

อ่านเพิ่มเติม >