ฉบับที่ 249 “ผู้ประกันตนกับบำนาญชราภาพ”

        องค์กรผู้บริโภคเสนอประกันสังคม จ่ายบำนาญชราภาพแบบเดิมและอาจเตรียมเกษียณอายุ 60 ปี สำหรับผู้ประกันตนรายใหม่การริเริ่มของประกันสังคมที่จะยกเลิกการจ่ายบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปี โดยเลื่อนการจ่าบำนาญชราภาพเมื่ออายุ 60 ปีแทนกลุ่มผู้บริโภคมองว่าเรื่องนี้เมื่อสำนักงานประกันสังคมมีสัญญาที่ตกลงไว้กับผู้ประกันตนว่าจะ        สามารถเกษียณอายุได้ที่อายุ 55 ปีและหากส่งเงินสมทบประกันสังคมไม่น้อยกว่า 180 เดือนหรือ 15 ปีจะได้รับบำนาญชราภาพประมาณ 3,750บาทต่อเดือน หรือหากส่งเงินสมทบในฐานะผู้ประกันตน 20 ปีก็จะได้รับเงินอยู่ที่ประมาณ 4,125 บาท         สิ่งที่สำนักงานประกันสังคมควรจะดำเนินการซึ่งทุกฝ่ายเห็นด้วยก็คือ การขยายเพดานวงเงินสูงสุดของผู้ประกันตนที่สมทบจาก 15,000 บาทเป็น 20,000 บาท แต่หากเปรียบเทียบกับเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าสัญญาเดิมที่ทำไว้กับผู้ประกันตนก็ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเป็นผู้มีสิทธิในการเลือกว่าจะรับบำนาญที่อายุ 55 ปี หรือ 60 ปี ซึ่งควรเป็นการตัดสินใจของผู้ประกันตนที่จะเลือกสิทธิของผู้ประกันตนนั้นด้วยตัวเอง แต่หากประกันสังคมจะปรับให้จ่ายคืนบำนาญที่อายุ 60 ปีก็ควรดำเนินการกับผู้ประกันตนใหม่หรืออาจจะดำเนินการอย่างเป็นระบบสอบถามความสมัครใจในการที่จะเลือกสำหรับผู้ประกันตนรายเดิมส่วนรายใหม่ก็จัดการปรับแก้กฎหมายให้ชัดเจน ให้จ่ายเงินบำนาญชราภาพที่ 60 ปี ซึ่งอาจจะส่งผลดีก็คือทำให้บริษัทเอกชนทั้งหลายอาจจะต้องยืดระยะเวลาการจ้างงานจาก 55 ปีเป็น 60 ปีแทนที่ในปัจจุบันบริษัทเอกชนใช้วิธียุติการจ้างเมื่อครบอายุ 55 ปี แล้วให้ลูกจ้างไปรับเงินประกันสังคมแล้วอาจจะทำสัญญาจ้างใหม่อีกรอบซึ่งทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิต่างๆอีกหลายอย่าง         แต่ไม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรสำนักงานประกันสังคม ควรจะสอบถามผู้ประกันตนอย่างเป็นระบบเพราะผู้ประกันควรมีสิทธิเลือกและช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ         สิ่งสำคัญในการปฏิรูปประกันสังคมอีกส่วน คือ การปรับลดสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เรื่องการรักษาพยาบาล เพราะในปัจจุบันรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ เช่น งบประมาณในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคสำนักงานประกันสังคมควรเร่งพัฒนาเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์และลดการจ่ายเงินในส่วนบริการสุขภาพหรือยุติการจ่ายเงินในส่วนสุขภาพในที่สุดเพราะรัฐบาลควรรับผิดชอบผู้ประกันตนเช่นเดียวกับผู้ป่วยในระบบบัตรทองหรอระบบสวัสดิการข้าราชการซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนมีโอกาสได้รับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 244 เวย์โปรตีนกับสตรีและคนชรา

        หลายคนเชื่อมโยง “เวย์โปรตีน” เข้ากับภาพชายหนุ่มกล้ามแขนเป็นมัดๆ หรือนักกีฬาเพาะกาย แล้วถ้าสาวๆ ที่รักการออกกำลังกายอยากมีกล้ามเล็กๆ บ้าง รับประทานเวย์โปรตีนจำเป็นไหม คำถามเดียวกันแล้วสำหรับคนสูงวัย เวย์โปรตีนช่วยได้แค่ไหน เพราะเริ่มเห็นโฆษณากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ให้ สว.ทั้งหลายรักษามวลกล้ามเนื้อด้วยเวย์โปรตีน         ทำความเข้าใจกันก่อน เวย์โปรตีน คือนมวัวนี่แหละ แต่แยกส่วนของไขมันออกไป (ส่วนนั้นกลายไปเป็นเนย) ส่วนเป็นน้ำแยกออกมาเรียกว่าเวย์ (Whey) ต่อมาก็ทำให้เป็นผง ซึ่งจะมีโปรตีนอยู่ประมาณ 30-80% (whey concentrate) ที่เหลือเป็นน้ำตาลแลคโต้สและไขมัน จากขั้นตอนนี้ถ้าสกัดเอาน้ำตาลและไขมันออกไปอีก เหลือเปอร์เซ็นต์โปรตีนให้มากสุดจะเรียกกันว่าเวย์โปรตีนชนิด whey isolate ซึ่งจะมีโปรตีนสูงระดับ 90% ขึ้นไป         ดังนั้นเวย์คือโปรตีนชนิดหนึ่ง รับประทานได้ไม่อันตราย แต่จำเป็นไหมเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา สารอาหารที่เรียกว่า "โปรตีน" นั้นมีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เพราะเป็นสารอาหารที่จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการเจริญเติบโต ทั้งยังมีส่วนช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด เนื้อเยื่อ และเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย พร้อมกับให้พลังงานในกรณีที่ร่างกายขาดพลังงานด้วย แต่พิจารณาจากรูปแบบการบริโภคของคนไทยแล้ว แทบจะไม่ค่อยขาดสารอาหารชนิดนี้ ยิ่งปัจจุบันยิ่งนิยมรับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มนมกันมาก การพิจารณาว่า เวย์โปรตีนจำเป็นไหม ก็อาจมองได้ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล         สำหรับบางคนเวย์ อาจตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสำหรับคนไม่มีเวลาหรือในบางสถานการณ์ที่ไม่สามารถรับประทานโปรตีนจากอาหารหลักได้ อาจจะใช้เวย์โปรตีนเพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีกรดอะมิโนครบถ้วนเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ถ้ารับประทานอาหารปกติทั่วไปที่มีแหล่งโปรตีนเองได้ เช่น ไข่ นม นมจากถั่วชนิดต่างๆ เนื้อสัตว์ ปลา เวย์ก็ไม่จำเป็น         ผู้หญิงรับประทานได้ไหม แล้วจะอ้วนไหม มีคำแนะนำว่า ต้องดูก่อนว่าคุณอยากเพิ่มน้ำหนักหรืออยากเพิ่มกล้ามเนื้อ ถ้าอยากเพิ่มน้ำหนักรับประทานเวย์ชนิด  concentrate ซึ่งมีน้ำตาลและไขมันเหลืออยู่มากจะช่วยเพิ่มน้ำหนัก แต่ถ้าอยากสวยแบบลีนและมีกล้ามเนื้อเพิ่ม whey isolate ก็เหมาะกับคุณ (อย่างไรก็ตามต้องควบคู่กับการออกกำลังกายที่ถูกวิธีด้วย)          ผู้สูงวัย  จริงๆ แล้วทุกวัยต้องการโปรตีน ดังนั้นเวย์ก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามสำหรับผู้สูงวัย แต่ด้วยหลักการเดียวกัน คือ จำเป็นหรือไม่ ถ้าผู้สูงอายุกินโปรตีนจากแหล่งอาหารอื่นๆ ได้ เวย์ก็ไม่จำเป็น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 พัชราภา เวลเคอร์ “หมอลืมของไว้ในแก้มฉัน”

คุณพัชราภา เวลเคอร์ เข้ารับการผ่าตัดกรามจากคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยสาเหตุที่เธอเลือกใช้บริการคลินิกแห่งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียง ได้รับการรีวิวจากผู้ใช้ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินจากประเทศเยอรมันกลับบ้านเกิด เพื่อมาทำศัลยกรรมดังกล่าว หลังผ่าตัดเสร็จและมาพักฟื้นที่กรุงเทพฯ เธอพบว่าแผลที่ผ่าตัดเป็นหนองอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้จะมีอาการดีขึ้น แต่เธอยังปวดแผลจึงต้องย้อนกลับไปที่คลินิกเดิม เพื่อให้แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้ตรวจรักษา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และเมื่อเธอจำต้องเดินทางกลับประเทศเยอรมนี ก็พบว่าอาการยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แพทย์ที่เยอรมนี บอกกับเธอหลังการเอ็กซ์เรย์ว่า มีเศษกระดูกชิ้นเล็กติดค้างอยู่ตรงบริเวณที่แผลอักเสบ และเมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวออก ก็ยังพบผ้าก๊อซถูกทิ้งไว้ที่บริเวณแผลผ่าตัดอีกด้วย!ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้กับคุณ คุณจะทำอย่างไรฉลาดซื้อนัดพบกับคุณพัชราภา ซึ่งได้เล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตอนนั้นที่ไปทำเป็นเคส(คนไข้) สุดท้ายของวันนั้น เนื่องเพราะลูกค้าเขาเยอะมาก เราไปกับลูกสาวเพราะเขาก็อยากไปเหลาคางด้วยเช่นกัน กรณีของเรา คุณหมอที่คลินิกนั้นก็แนะนำให้เสริมคางด้วยเพื่อจะได้ดูสวยขึ้นอีก ซึ่งเราก็ตกลง แต่เราให้คิวลูกสาวทำก่อนเผื่อลูกเจ็บปวดแผลเราจะได้ดูแลได้ เราสองคนจึงเป็นลูกค้าสองคนสุดท้ายของวันนั้น ลูกสาวเข้าไปเวลาประมาณ 2 หรือ 3 ทุ่มไม่แน่ใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ออกมาบอกว่าของลูกสาวเราเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ทันได้เห็นว่าลูกเป็นอย่างไรเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราเข้าไปในห้องผ่าตัด ตอนนั้นจึงเห็นว่า ห้องผ่าขนาดมันเล็กนิดเดียว ตามความเข้าใจของเราเอง เราเข้าใจว่าเขาต้องให้เราเอ็กซเรย์หรือพิจารณารูปหน้าอะไรของเราก่อน แต่เขาไม่ได้เอ็กซเรย์แต่ให้ยาน่าจะเป็นยาสลบฉีดเข้าไปแล้วเราก็หลับไปเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนโดนทุบที่หน้าฝั่งซ้ายแรงมากประมาณ 5 ครั้งแล้วเหมือนยาสลบมันจะหมดฤทธิ์แล้วเราก็รู้สึกปวดขึ้นมาถึงหูเลย แล้วเขาก็บอกว่าเสร็จหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปนอนที่ห้องพักฟื้น ตอนนั้นก็มาสังเกตว่าทำไมถึงมีสำลีอยู่ในจมูก จังหวะเดียวกับมีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า “หมอต่อปลายจมูกให้หน่อยหนึ่ง” จมูกจะได้โด่งสวย ซึ่งอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง สักพักลูกสาวจึงเดินมาหาบอกว่า ตอนแม่อยู่ในห้องผ่าตัดมีคุณหมอเดินมาบอกว่าต่อปลายจมูกให้แม่นิดหนึ่งนะ เราเลยได้ปลายจมูกนี้มาโดยที่ไม่ได้ตกลงว่าให้ทำให้ กรณีของลูกสาวตอนก่อนทำเธอยังอายุไม่ครบ 20 ปี เราต้องเซ็นยินยอมให้ทำ แต่ต่อปลายจมูกให้เราทำไมแค่ไปบอกลูกสาวให้รับทราบ ไม่บอกเรา สุดท้ายคืนนั้นก็นอนพักฟื้นที่นั่น 1 คืน นอนยาวไปตั้งแต่ 4 ทุ่มคืนนั้นจนออกจากคลินิกตอนเย็นของอีกวัน ซึ่งก็ไม่ได้เจอคุณหมออีกเลยหลังจากผ่าเสร็จ ในตอนเย็นเราได้เจ้าของคลินิกขับรถมาส่งที่สนามบินเพราะตรงนั้นเรียกรถลำบากมันเข้าไปในซอยเป็นสวน พอเรากลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกปวดแผล ปวดมาก แล้วที่ครอบหน้าที่เขาให้มามันจะมีลักษณะเหมือนสเตย์เราก็ใช้ไม่ได้เลยเพราะปวดมาก บวมตลอด เราก็รู้สึกว่าข้างนี้(ข้างซ้าย) มันไม่มีหนอง แต่อีกข้างมันอักเสบ มันมีหนอง ปวดมากจนครบ 6 วันทนไม่ไหวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ที่พักในกรุงเทพฯ หมอที่นั่นเขาก็กดหนองออกให้แล้วก็ฉีดยาฆ่าเชื้อตลอดทุก 4 – 6 ชั่วโมง ก็อยู่ได้ 1 วัน 1 คืน อาการทุเลาลงแต่เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชนมันก็แพง เราก็โทรไปหาที่คลินิกที่เชียงรายบอกว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ ต้องนอนโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเยอะ เขาก็ทนเรารบเร้าไม่ไหวก็บอกว่าจะให้เราไปนอนที่เชียงรายให้คุณหมอดูอาการไหม เราก็รีบเลยพอเขายอมให้เราไปนอน ซึ่งเราก็โทรติดต่อเขาตลอดเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวก็หาย หนองหมดก็หายแล้วเขาก็ไม่ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ให้เราเลย หมดไปประมาณ 2 กว่าหมื่นบาท พอเรากลับไปหาหมอที่คลินิกที่ผ่าตัดศัลยกรรมให้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะดูแลเราเลย คือ คลินิกเปิดวันอาทิตย์แต่เราไปวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ไม่แน่ใจก็ต้องไปนอนรอจนถึงวันอาทิตย์ พอถึงวันอาทิตย์คลินิกเปิด 9 โมงเขาก็ยังไม่เรียกเราไปทำแผล ผู้ช่วยคุณหมอเดินมาบอกว่าวันนั้นมีผ่าตัด 30 เคสกว่าจะเรียกไปกดหนองก็บ่าย 3 โมงแล้ว เราต้องกลับมานอนต่อที่บ้านพักแล้วเขาถึงมาเรียกไปอีกทีตอนตี 4 เพื่อเจาะเอาหนองออกพร้อมกับบอกว่าหนองหมดก็หายแล้ว เราก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านในวันถัดไป ซึ่งตอนนั้นพอกดหนองออกไปมันก็หายปวดจริง แต่พอกลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีหนองมาอีกจนเราจำเป็นต้องเดินทางกลับไปเยอรมนี ไปได้แค่ 2 วัน มีหนองออกมาทุกชั่วโมงเลยจากรูที่เขาเจาะเอาหนองออกให้ เรากดหนองออกเองได้ทุกชั่วโมง ผ้ารัดหน้าหรือสเตย์ก็ยังใส่ไม่ได้เพราะแผลอักเสบตลอด จนต้องไปโรงพยาบาลที่เมืองที่เราอยู่ ซึ่งเขาเอาใจใส่เราดี ครั้งแรกที่ไปเอ็กซเรย์ไม่เจออะไรเลยเจอแต่รอยตัดกระดูก ซึ่งเขาบอกว่าตัดเยอะไป เขาก็พยายามหาสาเหตุให้รู้ให้ได้ว่าที่มันอักเสบเป็นเพราะอะไร ก็ต้องเข้าเครื่องสแกนแบบพิเศษ จึงเจอว่ามีเศษกระดูกชิ้นขนาดเท่าเมล็ดฟักทองได้ค้างอยู่ ขนาดแผลอักเสบที่วัดได้ประมาณ 13 ซม. หมอที่นั่นบอกว่า ต้องเอาเนื้อตรงนี้ออก ส่วนที่อักเสบต้องขูดเนื้อเน่าออกให้หมด เราก็ต้องให้แฟนเซ็นยินยอมให้ผ่าตัด ซึ่งที่นี่เขาก็เห็นว่ากระดูกข้างซ้ายมันหักเหมือนตรงมุมมันร้าวแล้วตรงช่วงระหว่างแก้มมันหัก เขาก็เลยให้ล็อคฟันไว้โดยใช้ลวดมัดล็อคไว้ทั้งบนและล่าง เป็นผลให้กินอะไรไม่ได้เลยต้องให้อาหารผ่านสายยางตลอด ต้องให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อทุก 4 ชั่วโมง นอนอยู่ถึง 3 คืนเพื่อรอให้อาการคงที่ พอได้ผ่าตัดเขาก็ตัดลวดออก แต่พอเสร็จก็โดนล็อคใหม่อีก ตอนนั้นผ่าเสร็จไปได้ 1 วันคุณหมอก็ถือกระป๋อง 1 ใบมาให้แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่เอาออกมา เป็นเศษกระดูกประมาณ 3 – 4 ชิ้นแล้วก็ผ้าก็อซ ที่มันอักเสบไม่หายก็เพราะว่า ผ้าก็อซที่มันปนอยู่กับกระดูกทำให้กดหนองเท่าไรก็ไม่หมดเพราะผ้ามันซับอยู่ คุณหมอที่รักษาบอกว่าจริงๆ แล้วไม่อยากให้เห็น แต่นี่เป็นสิ่งผิดพลาดที่เราได้รับมาเขาถึงอยากให้เห็นว่ามันคืออะไร ความรู้สึกตอนนั้น คือไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้นี่มันค้างอยู่ในหน้าเราเป็นเดือน ตั้งแต่ทำมา 7 กันยายน 2558 จนไปผ่าตัดที่เยอรมัน 23 ตุลาคม ระยะเวลาเป็นเดือน เราต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เยอรมันอีกเป็นอาทิตย์ถึงได้กลับบ้าน แต่ต้องใส่อุปกรณ์ที่ล็อคปากต่อไปอีก 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดไปดูเรื่อยๆ ตอนนั้นหน้าเราเริ่มยุบไม่อักเสบแล้ว แต่ความรู้สึกมันเหมือนเราไม่มีริมฝีปาก มันรู้สึกชาตลอด แล้วเวลาพูดเยอะหรือต้องขยับปากมากๆ ปากมันจะเบี้ยว เวลากินอะไรก็จะมีอาหารไหลย้อยลงมา เวลาพูดเยอะก็เหมือนบังคับไม่ได้เพราะมันไม่รู้สึก สังเกตได้ว่าหน้าตรงที่ผ่าตัดนั้นมันยุบไป เพราะเราโดนขูดเนื้อเสียออกไป พอเย็บแผลตรงนั้นมันก็ไม่มีเนื้อหน้าเลยดูเบี้ยว ก็รอมาเป็นปีเนื้อมันก็ไม่ขึ้นมา”นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับเธอเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2558 เมื่อฉลาดซื้อได้รับข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์สิทธิ ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเธอมาขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือ เราขอสัมภาษณ์เธอ เธอบอกยินดีที่จะเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมเราถามเธอต่อเรื่องอาการบาดเจ็บและผลจากรูปหน้าที่เสียหายว่ามีทางรักษาไหม เธอบอกว่า“เคยปรึกษาคุณหมอที่เยอรมันแค่เรื่องหน้าชาๆ เพราะเขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ได้มากเพราะปากเราชาอยู่แล้วเดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ และริมฝีปากกับคางส่วนนี้เส้นประสาทมันเยอะ ถ้าจะรักษาแผลเป็นตรงนั้นก็ต้องผ่าแถวๆ นั้นซึ่งมันก็เสี่ยง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้หน้าด้านซ้าย เวลาที่เอานิ้วกดลงไปมันยังรู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นไปถึงหูเลย เราก็คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ช่วงนั้นเขาต่อกระดูกให้คือเขาล็อคเพื่อให้กระดูกมันสมานกัน ซึ่งกระดูกมันสมานกันจริง แต่มันไม่ได้เข้ากับรูปหน้าเดิมเพราะอีกข้างที่มีผ้าก็อซค้างอยู่ ก็โดนตัดเหมือนกันแต่ว่าไม่เป็นอะไร ตอนนี้กลายเป็นว่าหน้าเรายุบข้างหนึ่ง ป่องข้างหนึ่ง และริมฝีปากก็ไม่มีความรู้สึกทุกวันนี้อาการยังเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นเลย เวลากินอาหารรสเผ็ด หวาน เค็มหรืออะไรก็ตาม มันก็จะชาอยู่แบบนี้แต่ว่าเราได้รสชาติอาหารจากลิ้นแต่ความเผ็ดจนแสบปากนั้นไม่มีความรู้สึก อาการเหมือนโดนหนังยางมารัดปากไว้ตลอดเวลา เวลากินอาหารแฟนก็ต้องคอยบอกเวลามีอะไรติดอยู่ที่ปากเพราะเราไม่รู้สึกว่ามันติดปากอยู่ ทำให้ตอนนี้ถ้ากินข้าวนอกบ้านเวลาตักอาหารเข้าปาก 1 คำก็เช็ดปาก 1 ครั้ง เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เสียความรู้สึกเพราะว่าผลข้างเคียงเยอะ เราเชื่อว่า เกิดจากหมอที่ผ่าตัดให้เรา รับเคสมากเกินไป เหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเราเป็นเคสสุดท้าย เป็นไปได้ว่า หมออาจจะอยากรีบกลับบ้านเลยไม่ได้ดูให้รอบคอบมันถึงมีผลข้างเคียงถึงขนาดนี้”การเรียกร้องสิทธิเธอได้พยายามหาทางที่จะให้คลินิกรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ผิดพลาด จึงได้ประสานไปที่เจ้าของคลินิก “ตอนแรกก็โทรไปคุยกับหลานของเจ้าของคลินิกว่า เราเป็นแบบนี้ๆ นะต้องเข้ารักษาใน รพ. นี้ๆ ค่าใช้จ่ายก็เยอะแล้วผ่ามาเจอแบบนี้ๆ นะ เราก็เล่าให้เขาฟังไปและบอกว่าอยากให้ทางคุณหมอรับผิดชอบ หลานเจ้าของคลินิกบอกว่าเขาตัดสินใจให้ไม่ได้ เราก็งงว่า ทำไมคุณไม่ไปถามกับหมอล่ะ ว่าจะรับผิดชอบอะไรเราไหม ตั้งแต่นั้นพอถามไปทีไรก็เงียบ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยมาพึ่งมูลนิธิฯ ว่าพอมีกฎหมายอะไรช่วยเราได้บ้าง” หลังจากผ่านการเจรจากับตัวแทนของคลินิกไปหนึ่งครั้ง ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “ตัวแทนเขาบอกว่า ช่วยค่ารักษาพยาบาลได้แค่ค่ารักษาตัวที่เยอรมัน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่นี่จิปาถะทั้งหลายเขาไม่พูดถึง และบอกว่ามารักษากับเขา เขาจะทำหน้าให้สวยที่สุด ทำให้ดีที่สุดแล้วแถมทำให้เพิ่มอีก 1 คนพาเพื่อนมาทำได้เลยแถมให้ 1 หน้าจะพาใครไปทำก็ได้ แล้วเราจะกล้าทำไหมในเมื่อปากเรายังชาอยู่เลยยังแก้ไขไม่ได้เลย คุณแก้ตรงนี้ให้เราได้ไหม” พอฉลาดซื้อถามถึงเรื่องแพทย์ที่ผ่าตัดให้ว่าเคยได้พูดคุยกันไหม คุณพัชราภาตอบว่า ไม่เจอเลย ทราบแต่ว่าปัจจุบันหมอคนนี้ก็ยังผ่าตัดอยู่เหมือนเดิม สำหรับการเจรจาครั้งที่สอง กำหนดไว้เป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ก็ขอเอาใจช่วยคุณพัชราภาให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 ยาต้านความชรามีจริงหรือ

สวยอย่างฉลาด ฉบับที่ 93รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com ริ้วรอยบนหน้าผาก รอบดวงตา ร่องแก้ม และถุงใต้ตาบนใบหน้าคือสัญลักษณ์ของคนมีอายุ นอกจากนั้นยังพบริ้วรอยตามผิวหนังลำตัว มือ แขน ขา และตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด ความร้อน อากาศทั้งที่แห้งและร้อนชื้น ยาต้านความชรา เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกหา ในต่างประเทศ มีการวิจัยพบว่าร่างกายของคนเรา ตอนที่เป็นเด็กจะมีฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตซึ่งเรียกว่า โกรทฮอร์โมน (Human Growth Hormone) เมื่ออายุเราสูงวัยขึ้นเป็นอายุ 60 ฮอร์โมนชนิดนี้จะลดลงเหลือเพียง 20% ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนยาน กล้ามเนื้อเหลว ไขมันลงพุง ความสดใสหรือกระปรี้กระเปร่าหดหาย ความเครียดความกังวลเข้าแทนที่ ผิวหนังซีด กระดูกบาง นอนไม่หลับ ฯลฯ ทางการแพทย์มีการฉีดฮอร์โมนชนิดนี้แก่คนไข้ที่มีปัญหาโกรทฮอร์โมนบกพร่อง ผลก็คือร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่น ผิวหนังเต่งตึง อารมณ์แจ่มใส เฉกเช่นหนุ่มสาว อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะนำโกรทฮอร์โมนมาเป็นยาต้านความชราในคนที่ร่างกายไม่เป็นโรคนั้น มีโทษมากกว่าคุณ เพราะจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย เช่น ทำให้เกิดโรคเบาหวาน มะเร็งลำไส้ ฯลฯ ยาชนิดนี้ในปัจจุบันจะมีการผลิตออกมาเป็นเม็ด สะดวกสำหรับการกิน จะพบโฆษณาตามอินเตอร์เนท ยาชนิดนี้ถูกจัดประเภทเป็นยาควบคุม ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับเป็นยาต้านความชรา แม้แต่คลินิกแพทย์ที่จ่ายยาชนิดนี้ให้คนไข้ด้วยวัตถุประสงค์ของการชะลอวัย ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ถึงแม้ไม่ได้รับยานี้โดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าหากเราต้องการให้ร่างกายได้รับโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ให้ร่างกายและจิตใจเป็นหนุ่มเป็นสาว เราสามารถช่วยตัวเราเองได้โดยการจัดโปรแกรมสำหรับกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอง คือ ต้องเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ เช่น 1.ให้เวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อนที่มากเพียงพอทุกวันอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 2. เลิกกินอาหารจานด่วน อาหารขยะที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ไขมันและแป้ง รวมทั้งให้เลิกพฤติกรรมการชอบซื้อและกินอาหารกล่องสำเร็จรูป อาหารถุง หรืออาหารแช่แข็งจากซูเปอร์มาร์เก็ต 3. ออกกำลังกายให้มากเพียงพอ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงเพื่อตามแฟชั่น4. เลิกเหล้าหรือแอลกอฮอล และบุหรี่ 5. พยายามเลิกกินยาสารพัดชนิดมากมายโดยไม่มีเหตุอันจำเป็น เพราะยาเหล่านั้นคือเคมีทั้งหลายที่จะทำลายตับไตและตับอ่อนเราได้ 6. ลดความเครียดจากภาระงานในแต่ละวันด้วยวิธีต่างๆ ตามแต่ความชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ พบว่าผู้ที่สามารถควบคุมตนเองให้เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถบังคับตนเองให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะเห็นผลชัดเจนเพียงไม่กี่เดือนว่า ผิวพรรณเต่งตึง สภาพจิตใจสดใส ไม่หดหู่ ระบบขับถ่ายดี สุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโกรทฮอร์โมนเองโดยไม่ต้องกินยาหรือฉีดยาเข้าสู่กระแสเลือด ไม่ต้องพึ่งเข็มฉีดยา และไม่มีความเสี่ยงกับการเอาสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย คนเราไม่สามารถที่จะเพียงแต่คิดอยากสาวและไม่อยากแก่ด้วยการไปพบแพทย์ที่คลินิก ให้แพทย์จ่ายยา ฉีดยา ลอกหน้าให้ใส หรือดึงหน้าให้ตึงหรืออื่นๆ เพราะถ้าสภาพจิตใจไม่ได้ดีขึ้นด้วย ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายและจิตใจไม่สมดุล นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า คนที่สุขภาพแข็งแรง คือผู้ที่อยู่ในโปรแกรมของการชะลอวัย โดยอัตโนมัติ หรือมีวิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติที่ช่วยทำให้มีอายุยืนยาวอยู่แล้ว ผิดจากชาวตะวันตกในประเทศที่เจริญมากๆ เช่น อเมริกา จะพบว่าชาวอเมริกันทุกวันนี้จะเรียกได้ว่าอยู่ในโปรแกรม “เร่งความชราภาพ” ไม่ใช่ชะลอความชราภาพ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงหรือผัดผ่อนการออกกำลังกาย กินอาหารจานด่วนและอาหารขยะเป็นประจำ กินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลปริมาณมาก บางคนอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่ทำงานมากเกินพอดี มีเวลาพักผ่อนน้อยเกินไป เกิดความเครียด แต่พยายามดูแลตนเองด้วยการกินวิตามินและอาหารเสริมเป็นกำมือเพราะคิดว่าจะช่วยชะลอวัยได้ ความจริงพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการดำเนินชีวิตที่อยู่ในโปรแกรม ‘เร่งความชราภาพ’ โดยไม่รู้ตัว ทุกท่านลองพิจารณาตนเองดูว่า ท่านอยู่ในโปรแกรมแบบไหน เร่งให้ตัวเองแก่เร็ว หรือไม่? แต่ยังพยายามถามหาและเรียกร้องเทคโนโลยีของการชะลอความแก่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 168 ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(ใครจะทำไม)

“ในโลกนี้ไม่มีใครอยากแก่ จะเป็นอย่างไรถ้าเราได้ค้นพบวิธี หยุดความแก่ชราได้จริง คำตอบ คือ สเต็มเซลล์” ข้อความโปรยหัวโฆษณาที่กระหน่ำส่งมาทางอีเมล์หลายอีเมล์ในช่วงเวลาไล่เรียงกันนี้ คงกระตุ้นต่อมกลัวแก่ของใครหลายต่อหลายคนได้บ้าง ยิ่งมันไม่ได้ส่งแค่ข้อความเดียวตามลำพัง แต่มันยังส่งอาวุธลับกระแทกต่อมกลัวแก่ซ้ำเข้าไปอีก ด้วยรูปใบหน้าที่เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังที่เหี่ยวย่นตามวัยกับผิวหนังที่ดูราบเรียบขึ้นมาอย่าน่าอัศจรรย์(อันที่จริงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำแบบนี้ได้นะครับ..ฮา) ยังไม่พอครับ เจ้าโฆษณานี้มันคงกลัวคนที่กลัวแก่จะไม่ใจอ่อน มันเลยงัดเอาไม้ตายที่เด็ดเสร็จทุกรายมากระทืบซ้ำ โดยการอ้างข้อมูลที่พยายามดูน่าเชื่อถือมากขึ้น “สเต็มเซลล์ เป็นสิ่งที่สามารถซ่อมแซมร่างกาย และสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ ในขณะที่เราอายุมากขึ้นเซลล์จะเสื่อมสภาพลง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเซลล์ใหม่เข้าไปทดแทน และสิ่งที่จะเข้าไปทดแทนได้นั่นก็คือ สเต็มเซลล์ (ขึ้นต้นเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่ทำไปทำมาเหมือนทำท่าจะขายของ ลองอ่านต่อไปอีก) ดังนั้น เราจึงได้คิดค้นและพัฒนา Growth Factor Complex Technology (เอาละเหวย ใช้ศัพท์หรู ดูดีมีความขลังเข้าไว้ มันน่าเชื่อถือดี) ซึ่งจะเข้าไปฟื้นฟูและชะลอกระบวนการแก่ชรา โดย ค้นหาสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะพบได้ในชั้นไขมันของมนุษย์ ด้วยการใช้ไซรินจ์พิเศษ ในภาวะปลอดเชื้อ (มันเป็นยังไงเนี๊ย ไอ้ไซรินจ์หรือเข็มฉีดยาชนิดพิเศษเนี่ย) ดึงเอาเนื้อเยื่อไขมันและสเต็มเซลล์กลุ่มที่มีความแข็งแรงออกมา (อย่ากังวลครับว่ามันคืออะไร เพราะยิ่งสงสัย ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือกับเทคโนโลยีนี้ที่พิเศษมากขึ้นไปอีก) จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์อีกครั้ง ด้วยการปั่นแยกโดยเครื่องระบบหมุนเหวี่ยงจากศูนย์กลาง จากนั้นนำสเต็มเซลล์มาเพาะเลี้ยง และให้สารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต ในขณะที่เซลล์กำลังเติบโต เซลล์จะแบ่งตัวมากขึ้น แบบทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อเติมเต็มให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ที่มีอยู่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการที่ร่างกายใช้รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง” เป็นไงครับ ถ้าชาวบ้านทั่วๆ ไปอ่านแล้วคงทึ่งกับขั้นตอนอันแสนมหัศจรรย์ของเขา ที่สามารถไปแสวงหาและดึงเอาเจ้าสเต็มเซลล์สุดเจ๋งออกมาจนได้ แล้วก็เอามาทนุถนอมเลี้ยงและเร่งให้แพร่พันธุ์แบ่งตัวเยอะๆเพื่อมาซ่อมแซมร่างกาย แต่หากใครพอมีความรู้ร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็คงได้แต่กุมขมับไปว่า อะไรมันจะมหัศจรรย์ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะเท่าที่ทราบมายังไม่มีเครื่องสำอางใดที่ได้รับอนุญาตเรื่องสรรพคุณของสเต็มเซลล์แบบที่โฆษณานี้เลยนี่นา แล้วไอ้ที่มาป่าวประกาศปาวๆ นี้มันโอเวอร์หลอกลวงเกินจริงไปหรือเปล่า คิดให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจคร่ำครวญเพลง “ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(สตางค์) จากกระเป๋า” นะเออ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 114 กระแสต่างแดน

      คนบ้านเดียวกันประเทศมั่งคั่งอย่างแคนาดาก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารกับเขาเหมือนกันหรือนี่   สมาพันธ์การเกษตรแห่งแคว้นโนวา สโกเชีย บอกว่าในทุกๆ 1 เหรียญที่คนแคนาดาใช้จ่ายกับการซื้ออาหารนั้น มีเพียง 13 เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นรายได้ให้กับเกษตรกรในท้องถิ่น งานวิจัยที่ติดตามเรื่องนี้มาเป็นเวลากว่า 3 ปี พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว อาหารที่ประชากรของแคว้นนี้รับประทานกันอยู่นั้น ต้องเดินทางรอนแรมมาไม่ต่ำกว่า 4,000 กิโลเมตร โดยปกติแล้วครัวเรือนในแคนาดานั้นใช้จ่ายกับเรื่องอาหารค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว  เมื่อเทียบกับประชากรในอเมริกา หรือออสเตรเลีย   แต่งานวิจัยเรื่องนี้ระบุว่าปรากฏการณ์ห้างค้าปลีกเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรในแคว้นนี้ต้องปิดกิจการกันไปเป็นจำนวนมาก เช่นปัจจุบันแคว้นนี้มีฟาร์มหมูเหลืออยู่เพียง 4 ฟาร์มเท่านั้น จากที่เคยมีถึง 90 ฟาร์มเมื่อ 10 ปีก่อน อย่างที่รู้ๆ กัน ซูเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ สามารถนำเข้าสินค้าเกษตรในปริมาณมากและในราคาที่ค่อนข้างต่ำทำให้สามารถขายให้กับผู้บริโภคในราคาที่ถูกกว่าผลผลิตในท้องถิ่นได้ เกษตรกรในพื้นที่จึงต้องหันไปทำอย่างอื่นแทน  พูดง่ายๆ แคว้นนี้กำลังสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเองในเรื่องอาหารนั่นเอง เพราะคนรุ่นใหม่ก็ไม่สนใจที่จะสานต่อกิจการของเกษตรกรรุ่นปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีอายุเฉลี่ย 55 ปีแล้วด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถึงกับหมดหวัง รายงานดังกล่าวประเมินว่าถ้าผู้คนในแคว้นโนวา สโกเชียหันมาอุดหนุนเนื้อวัวที่ผลิตในท้องถิ่น จะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 65.5 ล้านเหรียญ และสร้างงานได้ถึง 1,300 ตำแหน่งทีเดียว นั่นไง ฮีโร่ตัวจริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ นี่เอง   นักศึกษาก็ผู้บริโภค ปัจจุบันมีเรื่องร้องเรียนจากนักศึกษาในอังกฤษและเวลส์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยตัวเอง มากขึ้นร้อยละ 50 รายงานของสำนักงานตุลาการอิสระระบุว่า สาขาวิชาที่มีนักศึกษาร้องเรียนมากที่สุดได้แก่ บริหารธุรกิจ กฎหมาย และแพทย์ศาสตร์ และส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาหรือนักศึกษาต่างชาติ รายงานดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า การร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่านักศึกษาเริ่มมองเห็นตนเองในฐานะ “ผู้บริโภค”มากขึ้น และเริ่มรับ “การศึกษาที่ไม่ได้มาตรฐาน” ไม่ได้ เพราะนักศึกษาทุกวันนี้เริ่มมีหนี้สินมากขึ้น จึงทำให้มีความเครียด และความคาดหวังมากขึ้น   (แม้จะเป็นพียงแค่ร้อยละ 0.05 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นเพราะการร้องเรียนนั้นมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก)   ปีที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 1,007 เรื่อง และ 1 ใน 5 ของเรื่องร้องเรียนเหล่านี้   "เป็นเรื่องที่ฟังขึ้น" ข้อร้องเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการที่มหาวิทยาลัยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการของตัวเองตามที่ได้แจ้งนักศึกษาไว้  ทั้งนี้สำนักงานตุลาการอิสระสามารถตรวจสอบว่ามหาวิทยาลัยได้ให้สิ่งที่สัญญาไว้กับผู้เรียนหรือไม่ แต่ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องของการให้คะแนน การตัดเกรด หรือคุณภาพการสอนได้ในปี พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยเหล่านี้ต้องจ่ายค่าชดเชยไปเป็นจำนวนทั้งสิ้น 163,000 ปอนด์  (ประมาณ 8 ล้านกว่าบาท) ซึ่งเป็นการจ่ายให้กับ การสูญเสียโอกาสในการได้งานทำ โอกาสในการก้าวหน้าทางการงานหรือความเครียด เป็นต้น   นักศึกษาคนหนึ่งได้รับเงินชดเชย 750 ปอนด์ (37,800 บาท) กับการที่ไม่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเพราะมีคุณสมบัติไม่ครบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เขาร้องเรียนว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้แจ้งคุณสมบัตินั้นไว้ให้ชัดเจน อีกรายหนึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ได้ค่าชดเชยไป 45,000 ปอนด์ (2 ล้าน 2 แสนบาท) จากการที่เขาต้องเสียเวลาไปกับกระบวนการตรวจสอบทางวินัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปถึง 3 ปีเต็ม -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   รถ ICE ที่ไม่เย็น คลื่นความร้อนที่เล่นงานประเทศต่างๆในยุโรป นั้นลุกลามเข้าไปถึงห้องโดยสารติดแอร์ของรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งระหว่างเมืองของเยอรมนี Inter City Express (ที่เรียกย่อๆ ว่า ICE) กับเขาด้วยดอยท์ชบาห์น หรือการรถไฟเยอรมนี จึงต้องรับผิดชอบด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้โดยสารที่ต้องพบแพทย์เพราะอาการเจ็บป่วยอันสืบเนื่องมาจากความร้อนที่ว่า คนละ 500 ยูโร (20,000 บาท) พร้อมกับคืนเงินค่าตั๋วให้ด้วย ขณะนี้มีคนมารับเงินชดเชยไปแล้วถึง 2,200 คน   สื่อเยอรมันรายงานว่าอุณหภูมิในห้องโดยสารนั้นสูงกว่า 50 องศาเซลเซียส ในขณะที่ระบบเครื่องปรับอากาศของตู้โดยสารนั้นสามารถรับมือกับอุณหภูมิได้สูงสุดแค่ 32 องศาเท่านั้น รูดิเกอร์ กรูบ ซีอีโอ ของการรถไฟเยอรมันตั้งคำถามกับประสิทธิภาพของรถไฟที่บริษัทใช้วิ่งอยู่ แต่นายกสมาคมอุตสาหกรรมรถไฟเยอรมนี ปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าว โดยยืนยันว่าบริษัทผู้ผลิตไม่มีทางทำรถไฟไก่กาที่ระบบแย่ๆ ออกมาแน่นอน ปัญหาน่าจะเป็นเพราะการดูแลรักษาที่ไม่ดีพอมากกว่า   อย่างไรก็ตามข่าวเขาบอกมาว่า ด้วยอากาศที่เปลี่ยนไป รถไฟรุ่นหน้าที่จะเข้าประจำการปีหน้านั้นจะทำมาให้สามารถรับมืออุณหภูมิได้ถึง 40 องศาเซลเซียสกันไปเลย@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@   เบียดเบียนคนแก่ สถานีโทรทัศน์ Nos ของเนเธอร์แลนด์ ออกมาแฉว่าเดี๋ยวนี้บรรดาบ้านพักฟื้นหรือบ้านพักคนชราจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้บริการมากขึ้น ด้วยการเรียกเก็บค่าบริการเล็กๆ น้อยๆ ประปราย เช่น ค่าผลไม้ ค่ากระดาษทิชชู ค่าพาไปเดินออกกำลัง เป็นต้น ที่ต้องแฉก็เพราะว่าบรรดาบริการเหล่านี้ถือเป็นบริการที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของระบบประกันสุขภาพอยู่แล้วนั่นเอง   Nos TV บอกว่า ผู้ป่วยหรือคนชราที่พักอยู่ในสถานบริการเหล่านั้น ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ากาแฟ น้ำอัดลมหรือขนมขบเคี้ยว บางคนถูกเรียกเก็บค่าต่อสัญญาณโทรทัศน์หรือการอาบน้ำเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง มีรายหนึ่งที่ต้องจ่ายค่าถุงมือและน้ำยาฆ่าเชื้อที่พยาบาลใช้ด้วย  สำนักงานประกันสุขภาพของเนเธอร์แลนด์บอกว่าได้รับเรื่องร้องเรียนมากขึ้นเกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับใบเรียกเก็บเงินของสถานบริการเหล่านี้ และได้ประกาศให้บรรดาศูนย์บริการเหล่านั้นรีบแก้ไข ไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายค่าปรับ แต่ยืนยันว่ายังไม่มีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคถูกเก็บเงินเพิ่มเข้ามาเลย  ปัจจุบันในเนเธอร์แลนด์ มีคนที่ใช้บริการบ้านพักเหล่านี้อยู่ประมาณ 260,000 คน ประชาชนชาวดัทช์ทุกคนจะต้องทำประกันสุขภาพที่เรียกว่า AWBZ ที่ตนเองต้องจ่ายเบี้ยประกันในอัตราร้อยละ 12 ของเงินเดือน ซึ่งครอบคลุมการใช้บริการสถานพักฟื้นและบ้านพักคนชราด้วย ขณะนี้มีคน 600,000 คนภายใต้การดูแลของระบบประกันที่ว่านี้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 22,000 ล้านยูโร (ประมาณ 920,000 ล้านบาท) ต่อปี@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@   สวยต้องเสี่ยงลิปสติกสีแดงนั้นท่านว่ามักมีการปนเปื้อนของสารตะกั่ว สาวปากแดงโปรดระวัง องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ทดสอบหาปริมาณสารตะกั่วในลิปสติกสีแดงทั้งหมด 22 ยี่ห้อ และ พบว่า ลิปสติกยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ลและลอรีอัล นั้นมีตะกั่วปนเปื้อนในปริมาณสูงที่สุด องค์กรผู้บริโภคของนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ลิปสติกสองยี่ห้อที่ว่ามานั้น ได้รับความนิยมในระดับต้นๆ บอกว่า องค์กรนี้กำลังเรียกร้องให้มีกฎหมายที่บังคับให้มีการแสดงส่วนประกอบรอง (เช่นตะกั่ว) ในเครื่องสำอางไว้บนฉลากด้วย(กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้มีการแสดงเฉพาะส่วนผสมหลักเท่านั้น) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารตะกั่วด้วย ผู้อำนวยการสมาคมน้ำหอมและเครื่องสำอาง การ์ธ วิลลี่ บอกว่าการทำลิปสติกสีแดงให้ปราศจากตะกั่วนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และปริมาณสารตะกั่วที่เกิดขึ้นในแต่ละล็อตแตกต่างกันไป บางล็อตอาจไม่มีเลย ในขณะที่บางล็อตก็แทบจะสูงเกินมาตรฐานที่กำหนด   ด้านโฆษกพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล ผู้ผลิตลิปสติกยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ลบอกว่าไม่ได้ใช้สารตะกั่วในการผลิต แต่ที่ตรวจพบนั้นเป็นตะกั่วที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ปริมาณที่จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทางลอรีอัล ก็ยืนยันว่ามีตะกั่วในลิปสติกในปริมาณต่ำมากเช่นกัน นักพิษวิทยา ดร.ไมเคิล บีสลีย์ บอกว่าการจะระบุว่าปริมาณเท่าใดจึงจะเป็นอันตรายนั้นค่อนข้างยาก เพราะการเป็นพิษนั้นมีปัจจัยในเรื่องของการสะสมด้วย แต่ทั้งนี้ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ได้ประกาศห้ามใช้สารตะกั่วในลิปสติกทุกชนิดแล้ว อ้าว ... เรื่องสวยก็มีสองมาตรฐานกับเขาเหมือนกันหรือนี่

อ่านเพิ่มเติม >