ฉบับที่ 272 รู้ก่อนตัดสินใจ “สักคิ้ว”

        “การสักคิ้ว” เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความสวยความงามของไทย ก็อย่างว่าคิ้วคือมงกุฎของหน้า สาเหตุที่คนนิยมกัน ก็เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาบริเวณส่วนคิ้ว เช่น บางคนต้องการสักคิ้วเพื่อแก้ปัญหาคิ้วบางจนเกินไป ไม่มีความมั่นใจหรือบางคนแค่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วให้ดูสวยขึ้น เป๊ะปังอยู่ตลอดเวลานั้นเอง การสักคิ้วสมัยนี้ก็มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้ง 3 มิติ 6 มิติ แบบการฝังสีคิ้วสไตล์เกาหลี เพิ่มโหงวเฮ้งของใบหน้าก็มีหาได้ทั่วไป          อย่างไรก็ตาม หากต้องการสักคิ้วจริงๆ อยากให้ผู้บริโภคศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจสักหน่อย เพราะหากสักพลาดไปแล้วแน่นอนแก้ยากกว่าที่คิด หลายคนคงจะเห็นได้จากข่าวที่มีคนพลาดไปสักคิ้วแล้วได้คิ้วทรงแปลกๆ ให้เห็นกันอยู่บ่อย ฉลาดซื้อ จึงอยากแนะนำ ดังนี้          1. ตรวจสอบร้านสักคิ้วที่เราต้องการใช้บริการ ช่างมีใบรับรองวิชาชีพหรือไม่ ก่อนลงมือสักมีการใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย         2. สถานที่ใช้บริการต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ (ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ซึ่งใบประกอบดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี นอกจากนี้ ภายในร้านต้องสะอาด ถูกอนามัย อยู่ในพื้นที่เปิดเผยเป็นหลักแหล่ง อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ควรใช้ซ้ำ         3. อ่านรีวิวก่อนเข้าใช้บริการทุกครั้ง เพื่อศึกษาความน่าเชื่อถือของร้าน และให้แน่ใจว่าการใช้บริการจะปลอดภัย ตรงนี้แนะนำให้เช็กดีๆ         4. สำหรับคนที่แพ้ยาชาไม่ควรสักคิ้ว เนื่องจากการสักคิ้วก่อนลงเข็มจะต้องมีการลงยาชาเพื่อลดอาการเจ็บก่อน         5. ก่อนลงมือสักคิ้ว ควรแจ้งรายละเอียดทรงคิ้วที่อยากได้ให้ชัดเจน ให้ช่างร่างทรงคิ้วให้ดูก่อนยิ่งดีอย่าตามใจช่างเพราะอาจได้ทรงคิ้วที่ไม่ถูกใจ เมื่อสักไปแล้วการแก้ไขภายหลังก็ยากมากขึ้น         6. สำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนทรงคิ้วตามกระแสบ่อยๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์     ความเสี่ยงในการสักคิ้ว         -  ไม่ได้ทรงคิ้วตามที่ต้องการอาจจะหนาเกินไป เหมือนที่คนทั่วไปเรียกว่า “คิ้วปลิง” นั้นเอง         -  การแก้ไขในภายหลังกรณีที่ทำการสักคิ้วไปแล้ว เช่น การสักคิ้วแบบถาวร ซึ่งอาจจะต้องแก้ด้วยการเลเซอร์ลบรอยสักเท่านั้น มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องทำอีกหลายครั้งจนกว่าสีจะจางเป็นปกติ แถมยังอาจมีแผลเป็นตามมาอีกด้วย         -  การเลือกร้านสักที่ไม่ถูกสุขอนามัย ไม่มีมาตรฐาน ทำให้อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด         -  มีอาการแพ้สีที่ใช้สัก หรือยาชาโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน ทำให้เกิดการอักเสบ คัน หรืออื่นๆ แนะนำว่าอย่าปล่อยทิ้งไว้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที         -  ค่าใช้จ่ายในการสักคิ้ว ราคาสูงไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดความผิดพลาด                    นอกจากนี้  การสักคิ้วไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ข้อดีก็มี เช่น ช่วยเสริมโหวงเฮ้ง ลดเวลาการเขียนคิ้วแต่งหน้า แก้ปัญหาสำหรับสาวคิ้วบางได้ตามที่กล่าวไปข้างบน แต่สำหรับใครที่ขี้เบื่อหรือชอบเปลี่ยนทรงคิ้ว แต่ยังอยากสักคิ้วจริงๆ  อาจเลือกการสักคิ้วแบบฝังสีฝุ่น ซึ่งเป็นการฝั่งสีคิ้วไปบริเวณบนหนังกำพร้า อยู่ได้ 3-6 เดือนหรือมากกว่านั้นและจะเริ่มจางหายไปเองตามธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วอยู่เรื่อย แต่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบคิ้วสไตล์เกาหลีเท่านั้น          ทั้งนี้ “สำหรับคนที่ได้ไปสักคิ้วมาแล้ว ก็อยากให้ดูแลโดยการหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนน้ำ ทำตามคำแนะนำของช่าง เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อและอักเสบด้วยนะคะ”           ข้อมูลจาก : สักคิ้ว ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ - พบแพทย์ (pobpad.com)สักคิ้ว ข้อควรรู้ ขั้นตอน และแนวทางการดูแลตัวเองหลังสัก - พบแพทย์ (pobpad.com)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 269 ถูกหลอกเสียเงินหลักแสนว่าจะให้ของฟรีที่ไม่มีจริง!!

        การถูกล่อลวงให้ซื้อเครื่องสำอางหรือคอร์สเสริมความงามจนประชาชนต้องสูญเสียเงินมหาศาลนั้น ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาแม้กับคนที่ไม่ชอบใช้เครื่องสำอางเลย เช่น คุณดาว ที่แค่เพียงเดินผ่านหน้าร้าน ก็ถูกชักจูงให้รับของฟรีให้เอาไปทดลองใช้ พอคุณดาวเผลอหลวมตัวเข้าไปนั่งภายในร้าน จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ถูกหลอกซื้อเครื่องสำอางเสียเงินไปกว่าแสนบาท          เรื่องราวนี้เริ่มเพียงแค่ตอนแรกคุณดาวถูกใจและตกลงซื้อเครื่องสำอางที่จัดโปรโมชั่นลดราคาเหลือ  1,900 บาท จึงยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานไปรูดเป็นค่าสินค้า แต่ในระหว่างที่พนักงานร้านถือบัตรเครดิตไว้แล้ว พนักงานอีก 2 คน ก็เข้ามาเสนอคอร์สทรีตเมนท์หน้าฟรีให้อีก ‘พี่รู้มั้ย มาสก์ครั้งเดียวก็ 60,000 บาทแล้ว’ คุณดาวปฏิเสธไปหลายครั้งเพราะจะรีบไปรับลูกที่โรงเรียนแต่พนักงานงานกลับช่วยกันประคองพาคุณดาวเข้าในห้องเล็กๆ เพื่อทำทรีตเม้นท์หน้าต่อ และเพียงล้มตัวนอน ฝรั่งเจ้าของบริษัทก็ปรากฏตัวขึ้นและบอกว่า ถูกใจคุณดาวมากจนอยากให้เป็นพรีเซนเตอร์ และให้พนักงานนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของบริษัทมาวางให้คุณดาวที่ข้างเตียงมากมาย จนถึงตอนนี้ คุณดาวก็รู้สึกว่าคุ้มมากๆ เพียงเข้ามาซื้อเครื่องสำอางราคา 1,900 บาทกลับได้ทรีตเมนท์หน้าฟรี ยังจะได้เป็นพรีเซ็นเตอร์และยังได้เครื่องสำอางกลับไปใช้อีกเป็นจำนวนมากด้วย         จนเมื่อพนักงานเสนอกับคุณดาวว่า “ค่าคอร์สทำหน้า ราคา 96,000 บาท ทำหน้าได้ 12 ครั้งซึ่งตอนนี้บอสถูกใจให้ทำคอด้วยอีก 12 ครั้ง  แล้วเครื่องสำอางที่นำมาวางให้กว่า 9 รอบทั้งหมดคือให้ฟรี ใช้แล้วจะเต่งตึงอยู่ได้ 5 ปี ไม่ต้องไปใช้ตัวอื่นอีกเลย” คุณดาวจึงเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากแล้วเพราะราคาสูงลิ่ว และอยากออกจากร้านแล้ว แต่เพราะพนักงานยังไม่ล้างทรีตเม้นท์บนหน้าให้ ในระหว่างนี้ยังนำเครื่องสำอางมาวางให้ฟรีเรื่อยๆ ไม่หยุด จนคุณดาวต้องปฏิเสธบอกว่า เธอเป็นป่วยโรคมะเร็งและไม่อยากเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ พนักงานก็รับประกันว่า ‘ไม่ต้องห่วง ปลอดภัยต่อผู้ป่วยมะเร็งแน่นอน และทั้งหมดนี้มีมูลค่าสูงเกือบล้านบาทแต่วันนี้ลดราคาเหลือ 96,000 บาท’ เท่านั้น  ด้วยเพราะเป็นห่วงลูกที่รอให้ไปรับที่โรงเรียนและด้วยความรำคาญจึงตอบตกลงซื้อคอร์สทรีตเมนท์ใบหน้า เพราะคิดว่าอย่างน้อยระยะเวลาให้เข้ามาใช้บริการก็ยาวนานถึง 5 ปี และยังรับประกันว่าปลอดภัย มีประสิทธิภาพไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์อื่นอีก         จนเมื่อกลับถึงบ้านและเห็นใบเสร็จอย่างชัดเจนว่ายอดบัตรเครดิตทั้งหมดที่พนักงานบอกว่า เป็นค่าเครื่องสำอางที่บอกว่าให้ฟรีทั้งหมดนั้นไม่ฟรีจริง ส่วนคอร์สทรีตเมนท์หน้าไม่มีรายละเอียดใดๆ ให้กลับไปใช้บริการได้เลยอีกด้วย (สัญญา 5 ปีคืออะไร)  ในท้ายใบเสร็จยังระบุว่า ‘ไม่สามารถเปลี่ยนสินค้าคืนได้’  วันรุ่งขึ้นคุณดาวจึงกลับไปที่ร้านอีกแต่ไม่พบพนักงานที่ขายของให้เลยและยังไม่สามารถติดต่อพนักงานคนใดให้รับผิดชอบได้เลยด้วย คุณดาวและสามีจึงช่วยกันสืบหาข้อมูลของบริษัทและพบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกทำให้เข้าใจผิด ถูกยัดเยียดขายให้แบบคุณดาวจำนวนกว่า 10 ราย บางคนเป็นแพทย์ มีรายได้สูงก็ถูกหลอกขายและกดบัตรเครดิตเสียเงินไปถึงกว่า 4 แสนบาท จึงมาปรึกษาว่าตนเองและผู้ร้องรายอื่นจะสามารถทำอะไรเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ได้บ้าง แนวทางการแก้ไขปัญหา         เรื่องนี้คุณดาวเองได้เดินเรื่องร้องเรียนไว้กับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ด้วย เธอฝากบอกถึงผู้เสียหายรายอื่นๆ ว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้นให้เก็บหลักฐานการซื้อขายทุกอย่าง เก็บรักษาผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้อยู่ในสภาพคงเดิมและเข้าร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยกับบริษัท ณ ปัจจุบันคุณดาวได้ไกล่เกลี่ยกับบริษัทแล้ว แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ เพราะบริษัทไม่รับผิดชอบตามข้อเรียกร้องคุณดาวจึงร่วมกับผู้เสียหายรายอื่นๆ แต่งตั้งทนายความเพื่อสู้คดีแล้ว         “หากเดินผ่านร้านแบบนี้  ไม่อยากให้แวะเลย แม้ว่าเขาจะสร้างภาพหรูหราหรือตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตแล้วเราคิดว่าจะปลอดภัยไม่ใช่ มีทุกรูปแบบ  ไม่อยากให้รับของฟรี หรือ  gift voucher ฟรีใดๆ ปฏิเสธแล้วรีบเดินออกมาเลยดีที่สุด”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 268 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนศัลยกรรมเพิ่มความสวย

        ปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเปิดใหม่มากมาย แถมราคาในการผ่าตัดบางคลินิกก็ถูกแสนถูก ล่อตาล่อใจผู้บริโภคกันสุดๆ  แต่ว่าราคาถูกที่ว่านั้น..ถ้าเจอที่ดีก็ถือว่าโชคดีไป เจอไม่ดีก็อาจจะได้หมอเถื่อนมาทำหน้าเราแทน จากหน้าสวยก็จะกลายเป็นหน้าพัง  อย่างกระแสข่าวเรื่องจับหมอปลอมตามคลินิกเสริมความงามก็มีมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เต็มโลกออนไลน์         แม้ว่า ฉลาดซื้อ จะรู้อยู่ว่าหลายคนที่ต้องการศัลยกรรมใบหน้าคงรู้กันอยู่แล้วว่าการทำหัตถการประเภทนี้ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าความเสี่ยงที่เราเอาไปแลก มันคือความผิดพลาดจากทางคลินิกที่มักง่าย ไม่ได้มาตรฐานมันก็คงไม่คุ้มเสี่ยงใช่ไหม ดังนั้น ฉลาดซื้อ ก็อยากให้ทุกคนที่กำลังตัดสินใจจะไปทำศัลยกรรม ลองมาพิจารณาข้อมูลที่ควรเช็กกันก่อนเข้าใช้บริการคลินิกเสริมความงาม เช็กก่อนศัลยกรรมเพื่อความปลอดภัย        ·     อย่างแรกที่ต้องเช็คเลย คือ การตรวจเช็กใบอนุญาตสถานพยาบาล 11 หลัก อันนี้สำหรับตรวจสอบว่าคลินิกที่ให้บริการเป็นคลินิกเถื่อนหรือไม่ ซึ่งก่อนเข้ารับบริการควรสังเกตว่ามีติดไว้หน้าคลินิกเพื่อให้ผู้ที่เข้ารับบริการนั้น สามารถตรวจเช็กได้อย่างสะดวก เช็กได้ที่ https://hosp.hss.moph.go.th/ หรือ http://privatehospital.hss.moph.go.th         ·     ตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ โดยต้องมีติดอยู่หน้าที่เข้าบริการอย่างชัดเจน  ต้องมีภาพถ่ายของแพทย์ ชื่อ-นามสกุล  สาขาและเลขที่ใบอนุญาตของผู้ให้บริการ และสามารถ                นำไปเช็กได้ที่ https://checkmd.tmc.or.th/ หรือโทรสอบถามแพทย์สภาโดยตรง        ·     ทำการเช็กภาพถ่ายที่ติดอยู่หน้าห้องกับผู้ที่ทำหัตถการให้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ หากไม่ใช่ ให้หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำหัตถการด้วย ไม่ต้องเกรงใจคลินิกเพราะเราต้องปลอดภัยไว้ก่อน        ·     เวลาเข้าคลินิกเพื่อทำศัลยกรรมต่างๆ อีกเรื่องที่ต้องระวัง คือ อุปกรณ์ ยา ซิลิโคน ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ ซึ่งต้องมี อย. รับรอง ยกตัวอย่าง คลินิกถูกกฎหมายส่วนมาก เมื่อทำหัตถการจะเปิดตัวยาให้เราดูอย่างชัดเจนก่อนเริ่มฉีด เมื่อเสร็จก็จะให้กล่องตัวยากลับบ้าน ซึ่งเราควรจะเลือกคลินิกที่เมื่อเราเข้ารับบริการนั้น ทางคลินิกสามารถเปิดข้อมูลตัวยาที่จะฉีดให้เราดูได้อย่างชัดเจน ไม่ปกปิดข้อมูล        ·     หากทำหัตถการที่จะต้องวางยาสลบ  คลินิกควรต้องมีวิสัญญีแพทย์อันนี้สำคัญ เผื่อกรณีคนไข้มีอาการแพ้ยาสลบ หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ทั้งนี้ ควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์รองรับในกรณีฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัย        ·     การรับผิดชอบของคลินิกกรณีหากเราเกิดความเสียหายต่อการรักษาของแพทย์ในคลินิก จะมีแนวทางในการชดเชยเยียวยาอย่างไร        ·     คลินิกสะอาดมีสุขอนามัยอนามัยหรือไม่  และก่อนเข้าบริการควรไปสำรวจที่ตั้งของคลินิกที่ต้องการเข้ารับบริการก่อนว่ามีอยู่จริง         ทั้งนี้  เราควรที่จะต้องสอบถามแพทย์เพื่อให้ตรวจเช็กความพร้อมของร่างกายเราด้วย และตัวเราเองควรบอกข้อมูลกับแพทย์ให้ครบถ้วน เช่น แพ้ยาอะไร มีโรคประจำตัวอะไร พร้อมกับสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน พยายามอย่าเชื่อรีวิวโฆษณาในโลกออนไลน์หรือโปรโมชันราคาถูกจนเกินไป         อีกเรื่องที่ต้องเตือนคือ หมอกระเป๋า แน่นอนว่าไม่มีความปลอดภัย ผู้บริโภคบางคนอาจจะคิดว่าฟิลเลอร์แท้ โบท๊อกซ์แท้ฉีดยังไงก็คงไม่เป็นไร แต่จริงๆ มีความเสี่ยงมาก เพราะใบหน้าของเรามีทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทมากมาย  ดังนั้นการทำหัตถการควรต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น        นอกจากนี้ หากผู้บริโภคพบเจอสถานประกอบพยาบาลเถื่อนเบื้องต้นสามารถร้องเรียนได้ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สายด่วน 1426 หรือ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ โทรศัพท์ 02 5918844  ข้อมูลจาก  https://www.hfocus.org/content/2021/10/23328https://ffcthailand.org/case/65https://www.springnews.co.th/blogs/spring-life/819276

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 264 คลินิกเสริมความงามแอบรูดบัตรเครดิตเกินราคา

        คลินิกเสริมความงามหลายแห่งมักจัดโปรโมชันพิเศษราคาถูก เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในร้านให้ได้ก่อน หลังจากนั้นพนักงานขายจะพยายามโน้มน้าวชักชวนให้ลูกค้าซื้อคอร์สต่อเนื่องในราคาที่แพงกว่าหลายเท่า ผู้บริโภคจึงต้องดูเงื่อนไขและราคาให้รอบคอบจะได้ไม่เจอปัญหาเหมือนอย่างคุณนารี         วันหนึ่งขณะที่คุณนารีนั่งเล่นเฟซบุ๊กอยู่ ก็มีโฆษณาของคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง เด้งขึ้นมานำเสนอคอร์สกำจัดขนใต้รักแร้ในราคาโปรโมชั่นพิเศษ เธอจึงสนใจและตัดสินใจเดินทางไปที่คลินิกที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่แถวลาดพร้าว หลังจากโอนเงิน 1,990 บาท ชำระตามเงื่อนไขโปรโมชั่นแล้วก็นั่งรอคิวรับบริการ ระหว่างนั้นมีพนักงานขาย 2 คนเข้ามาแนะนำว่าโปรโมชั่นนี้ไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา และเสนอขายคอร์สที่ราคาสูงกว่าคือ 23,000 บาท ลดเหลือ 15,000 บาท (ทั้งหมด 12 ครั้ง ไม่มีวันหมดอายุ แถมคอร์ส Cooling Cell ฟรี 1 ครั้ง) แต่เธอปฏิเสธไป         หลังจากนั้น ขณะที่พนักงานกำลังเลเซอร์ขนใต้รักแร้ให้คุณนารีอยู่ พนักงานขายคนเดิมก็เข้ามาขายคอร์สอีกรอบ และจงใจให้พนักงานหยุดให้บริการจนกว่าเธอจะตอบตกลง โดยเสนอคอร์สเดิมในราคาใหม่ที่ 10,000 บาท เธอคำนวณดูแล้วก็คิดว่าคุ้ม จึงตอบตกลง แล้วหยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงานขายไป เพื่อชำระเงินส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 8,010 บาท (ก็ตอนนั้นกำลังทำเลเซอร์อยู่) เมื่อรับบริการเสร็จแล้ว วันนั้นเธอก็กลับบ้านพร้อมกับใบเสร็จรับเงิน 10,000 บาท โดยไม่ได้เอะใจอะไร         ผ่านไป 2 วัน คุณนารีเพิ่งมาเช็คยอดเงินที่จ่ายไป ถึงได้รู้ว่าพนักงานรูดเงินไป 10,000 บาท ซึ่งเกินราคาที่ตกลงซื้อไว้ เธอจึงได้ติดต่อขอเงินส่วนที่จ่ายเกินไป 1,990 บาทคืน แต่ทางคลินิกปฏิเสธในครั้งแรก และแจ้งภายหลังว่าขอพิจารณาโดยไม่ได้กำหนดวันที่แน่ชัด ทำให้เธอไม่อยากจะใช้บริการคลินิกนี้อีกแล้ว จึงยืนยันขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน 10,000 บาท แต่ทางบริษัทไม่ยอมคืนเงินให้ โดยอ้างว่าได้ไลน์ไปแล้ว แต่เธอไม่ได้ทักท้วงในตอนนั้นจึงถือว่ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น คุณนารีเห็นว่าข้ออ้างของทางคลินิกไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค จึงโทรศัพท์มาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำปรึกษา แนวทางการแก้ไขปัญหา         ในกรณีนี้ คุณนารีสามารถขอยกเลิกบริการได้ภายในระยะเวลา 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับบริการ โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้         1.นำเรื่องไปบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานทีตำรวจในท้องที่         2.ทำหนังสือบอกยกเลิกสัญญาและขอคืนเงิน (ส่งภายใน 45 วันนับตั้งแต่ทำสัญญา) โดยทำเป็นไปรษณีย์ตอบรับ สำเนาถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค         3.ทำจดหมายถึงธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตเพื่อปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้ทำเป็นแบบไปรษณีย์ตอบรับเช่นเดียวกัน และสำเนาถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค         4.ถ้ามีข้อความกำหนดไว้ว่า ไม่สามารถยกเลิกได้ ถือว่าข้อความในสัญญานั้นไม่เป็นธรรม        5. ถ้าทางคลินิกไม่ยกเลิกให้ตามที่ผู้ร้องทำหนังสือไป ผู้ร้องสามารถฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคได้ โดยไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาลหรือค่าขึ้นศาลแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 248 สาวหลงซื้อคอร์สความงาม เกือบสูญเงินแสน

        หลายปีมานี้ มีคำเตือนสำหรับคุณผู้หญิงที่ใจอ่อนและขี้เกรงใจว่า อย่าเดินห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง ระวังอาจหลงคารมโน้มน้าวของพนักงานจากสถานเสริมความงามต่างๆ ที่มักแข่งกันงัดกลเม็ดเด็ดพรายมาละลายใจให้คุณๆ ยอมเซ็นสัญญาจ่ายซื้อคอร์สเสริมความงามราคาแพงลิ่ว         เช่นเดียวกับคุณเอมมี่ ที่วันหนึ่งขณะเดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้าย่านบางกะปิเพลินๆ ก็มีหญิงสาวหน้าใสในชุดยูนิฟอร์มของคลินิกเสริมความงามมีชื่อแห่งหนึ่งเดินมาดักหน้า พร้อมเผยยิ้มกว้างและเอ่ยเสียงหวานไพเราะ          “ขอโทษนะคะ ขอรวบกวนเวลาแป๊บนึง วันนี้คลินิกเรามีบริการคอร์สทดลอง เชิญเลยนะคะ” คุณเอมมี่เคยได้ยินชื่อเสียงของคลินิกแห่งนี้ก็เลยเผลอคิดว่า ทดลองใช้ดูก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจึงตามพนักงานไปทดลองคอร์สดังกล่าว         หลังจากคุณเอมมี่ใช้บริการทดลองในร้านแล้ว พนักงานก็กุลีกุจอเข้ามาแนะนำให้เธอซื้อคอร์ส VIP ในราคา 100,000 บาท ซึ่งมีข้อเสนอเด็ดคือสามารถแบ่งจ่ายได้ เริ่มต้นเป็นเงินสด 35,000 บาท และจ่ายผ่านบัตรเครดิต 65,000 บาท ยังไม่ทันได้คิดละเอียดอะไรเพราะพนักงานพูดเก่งมาก และมีการขอดูบัตรเครดิตของเธอเพื่อจะดูว่าเธอจะได้สิทธิพิเศษอะไรอีกบ้างเพราะทางคลินิกทำโปรโมชั่นไว้กับหลายธนาคาร จนเมื่อเธอหยิบบัตรเครดิตส่งให้ พนักงานก็คว้าหมับไป และหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมคืนบัตรเครดิตให้เธอ         พอถูกรุกหนักเข้า คุณเอมมี่เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในระหว่างนั้นก็มีพนักงานชายพยายามมาทำให้เธอรู้สึกถูกคุกคามทางเพศด้วย จึงยิ่งไม่พอใจอย่างมาก  ต่อมาภายหลังเมื่ออ่านรายละเอียดในสัญญาก็พบว่าเงื่อนไขในนั้นไม่เป็นไปตามที่เสนอขายไว้เลย เธอจึงอยากจะยกเลิกสัญญา  เพราะยังไม่ได้ใช้บริการ  จึงร้องเรียนมาทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอให้ช่วยเหลือ แนวทางการแก้ไขปัญหา         เมื่อทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขอทราบรายละเอียดทราบว่า คุณเอมมี่เองกำลังเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยกเลิกสัญญาและขอเงินคืนจากคลินิกเสริมความงามคู่กรณีอยู่ ซึ่งภายหลังคุณเอมมี่แจ้งว่าทางคลินิกยอมยกเลิกสัญญาและจ่ายเงินค่าสมัครคืนให้ทั้งหมดแล้ว เรื่องนี้ก็จบแบบไม่เสียแรงเกินไป         อย่างไรก็ตาม มีหลายเคสในลักษณะคล้ายกันนี้ที่ไม่ได้จบง่าย บางรายต้องเสียเงินฟรี บางรายเสียเวลาไปฟ้องร้อง แต่ที่แน่ๆ คือทุกคนต่างเสียความรู้สึก ดังนั้นการป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์เช่นนี้ คือ หากพบการเสนอขายแบบคะยั้นคะยอให้คล้อยตาม ผู้บริโภคต้องใจแข็ง พิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนการตัดสินใจทำสัญญา และอย่ายื่นบัตรเครดิตให้พนักงานไปง่ายๆ จนกว่าจะตัดสินใจดีแล้ว สอบถามรายละเอียดพร้อมอ่านสัญญาให้รอบคอบ พิจารณาว่าสัญญาครอบคลุมทั้งเรื่องการขอยกเลิกหากไม่พอใจหรือไม่ เหตุแห่งการยกเลิกมีอะไรบ้าง ตลอดจนแนวทางปฏิบัติหากเกิดความเสียหายจากการเข้ารับบริการ  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า การทำสัญญานี้จะไม่ผิดพลาดจนต้องมายุ่งยากในภายหลัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 237 ไหนบอก.. ดูดไขมัน ทำแล้วไม่เจ็บ

        บ่ายวันหนึ่งระหว่างที่คุณสุปราณีเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้ามีพนักงานสาวสวยหน้าคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งตรงดิ่งเข้ามาหา พร้อมกับเสนอโปรโมชันพิเศษคอร์สเสริมความงาม ดูดไขมัน ลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน แบบที่คุณสุปราณีก็ไม่ทันตั้งตัว เมื่อคุณสุปราณีได้ฟังข้อมูลจากพนักงานขายก็เริ่มเกิดความสนใจ และได้เข้าไปพูดคุยสอบถามรายละเอียดขั้นตอนและราคากับทางคลินิก         หลังจากพูดคุยตกลงความต้องการกันเสร็จเรียบร้อย ทางคลินิกได้แจ้งกับคุณสุปราณีว่า จะให้บริการดูดไขมันในครั้งแรกทั้งหมด 7 จุด ที่บริเวณหน้าท้องและใต้คอ รวมค่าใช้จ่าย 100,000 บาท และยังได้ให้คำแนะนำคุณสุปราณีว่า การดูดไขมันนั้นไม่เจ็บมาก โดยจะทำการฉีดยาชาให้ก่อน และรูที่ดูดไขมันนั้นก็เล็กเท่าปลายปากกา         เมื่อถึงวันนัดเข้ารับบริการครั้งแรก คุณสุปราณีไปคลินิกด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่เคยเข้าคอร์สดูดไขมันมาก่อนในชีวิต โดยหลังจากคลินิกได้ทำการดูดไขมันให้ คุณสุปราณีรู้สึกว่าเจ็บมาก ไม่ใช่เจ็บนิดเดียวอย่างที่คลินิกบอก และทางคลินิกก็ทำการดูดไขมันบริเวณหน้าท้องไม่ครบทุกจุดตามที่ตกลงกันไว้ และรูที่ดูดก็ไม่ได้เล็กเท่าปลายปากกา แต่ใหญ่กว่ามาก หลังจากที่กลับมาสำรวจรูปร่างของตัวเองก็พบว่าหน้าท้องไม่ได้ยุบลงจากเดิมเลยคุณสุปราณีรู้สึกผิดหวังกับทางคลินิกที่ให้บริการไม่ตรงกับที่บอกไว้ จึงอยากขอเงินอีกครึ่งหนึ่งคืน และไม่ต้องการกลับไปใช้บริการคอร์สดูดไขมันอีกแล้วเพราะรู้สึกเจ็บมาก แนวทางการแก้ไขปัญหา         คุณสุปราณีสามารถบอกเลิกสัญญากับทางคลินิกได้ เพราะคลินิกไม่ได้ให้บริการดูดไขมันให้ครบทุกจุดตามที่ตกลงกันไว้ ถือว่าผิดสัญญา  และยังชี้ชวนว่า การดูดไขมันไม่เจ็บ ถือเป็นการชวนเชื่อให้เข้าใจผิด คุณสุปราณีต้องแจ้งต่อคลินิก เป็นลายลักษณ์อักษร โดยส่งเป็นจดหมายลงทะเบียนแบบตอบรับไว้เป็นหลักฐาน หากคลินิกไม่ยอมคืนเงิน คุณสุปราณีก็สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้         ทั้งนี้ การใช้บริการคอร์สเสริมความงามเช่นการดูดไขมันนี้ อาจทำให้ร่างกายเกิดบาดเจ็บหรือได้รับอันตรายได้หากผู้ให้บริการขาดความเชี่ยวชาญ ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจใช้บริการ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 คลินิกเสริมสวยเปิดใหม่เซลล์ขายแหลกแต่ทำไม่ได้จริง

        ได้ชื่อว่าเซลล์ตำแหน่งนี้วัดกันที่การขาย ใครหาลูกค้าได้มากรายได้ก็มากตามขึ้นไป ผู้บริโภคหลายคนจึงถูกเซลล์ปั่นจนหวั่นไหว เสียเงินไปแบบคิดไม่ทันจนเจ็บใจมาก็เยอะ ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง         คุณพบรัก เผอิญไปพบเจอเซลล์หรือพนักงานขายของคลินิกเสริมความงามแห่งใหม่เข้าอย่างจังในระหว่างเดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พนักงานหญิงสองคนประกบหน้าหลัง ชักชวนให้ตรวจหน้าแบบฟรีๆ เพื่อดูสภาพผิวว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุณพบรักไม่ทันคิดอะไรนัก คิดว่าฟรีก็ดีเหมือนกันไม่ได้ตรวจสภาพผิวหน้าตัวเองนานแล้ว ลองดูสักหน่อยไม่เสียหาย         โอ้ สุขภาพผิวคุณดีจังเลย ไม่ใช่คำตอบที่คุณพบรักได้รับแต่เป็นผลตรงกันข้าม พนักงานแจ้งว่า สุขภาพผิวหน้าแย่มากๆ ทางคลินิกของเราขอรับอาสามาเป็นผู้ดูแลปัญหานี้ให้ พอถามไปว่าต้องทำอย่างไร พนักงานก็ขอบัตรเครดิตพร้อมแนะนำคอร์สหนึ่งให้ในราคา 7,000 บาท จากนั้นก็รูดบัตรเสร็จสิ้นกระบวนการ คุณพบรักได้สลิปบัตรมาพร้อมใบเสร็จชั่วคราวอย่างงงๆ พร้อมคำสัญญาของพนักงานว่า ระหว่างนี้คลินิกยังไม่พร้อมให้บริการ คุณพบรักต้องรอ 3 เดือนจึงจะไปใช้บริการได้         ผ่านมาเกือบสามเดือนพนักงานที่ขายคอร์สให้ได้โทรมานัดให้ไปที่คลินิกเพื่อตรวจสภาพผิวอีกครั้ง แต่พอใกล้วันจริง “นางบอกว่า อย่าเพิ่งมาดีกว่าเพราะกลิ่นสียังไม่ทันจาง และทางหน่วยงานรัฐยังเข้ามาตรวจสอบไม่เสร็จ ไว้เป็นสัปดาห์หน้านะคะ” คุณพบรักจึงได้แต่รอต่อไป         ในวันนัดจริงเมื่อคุณพบรักมาถึงคลินิกก็พบเรื่องน่ารำคาญใจหลายเรื่อง ตั้งแต่มีการนัดคนมาใช้บริการในวันดังกล่าวจำนวนมาก คุณพบรักต้องรอถึง 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงคิวของตัวเอง พอกำลังจะเริ่มรับบริการ ก็ยังต้องรอเครื่องมือจากห้องอื่น แม้จะเห็นว่ามันไม่ค่อยถูกต้องเพราะเครื่องมืออาจติดเชื้ออะไรก็ได้จากคนที่ใช้บริการก่อนหน้าตนเอง แต่นอนบนเตียงไปแล้วจะร้องเรียนอะไรก็ทำไม่ได้ จึงต้องปล่อยเลยตามเลย แถมระหว่างนวดหน้าอยู่ เซลล์ยังโทรเข้ามาขอโทษที่ให้ลูกค้ารอนาน “มันใช่เวลาไหม” คุณพบรักหงุดหงิดอยู่ในใจ        เมื่อใช้บริการนวดหน้าเสร็จ พนักงานแจ้งให้ไปรออีกห้องหนึ่งก่อน เมื่อมาที่ห้องนี้ก็กลายเป็นห้องสำหรับการขายโปรโมชั่น(อีกแล้ว) คุณพบรักมีความขยาดอยู่จึงไม่สนใจโปรที่พนักงานเสนอ จนพนักงานงัดทีเด็ดบอกว่า โปรนี้พิเศษมากๆ ลูกค้าจ่ายเพียง 23,000 บาท รวมกับของเดิม 7,000 บาท เท่ากับ 30,000 บาท แต่จะได้รับบริการในระดับเดียวกับการจ่ายคอร์ส 90,000 บาท และจะมอบบริการพิเศษให้คุณพบรักสามารถผ่อนบัตรเครดิต 0% ได้อีกด้วย โอ้ คุ้มมากคุณพบรักคิดจึงตอบตกลงไป พร้อมรูดเงินไป 13,000 บาท เนื่องจากวงเงินวันนั้นไม่พอ จึงค้างไว้ก่อน 10,000 บาท         อย่างไรก็ตาม การผ่อนชำระ 0% นั้น พนักงานแจ้งภายหลังว่า ไม่สามารถทำได้ ขั้นต่ำคือคุณพบรักต้องผ่อนกับบัตรเครดิตที่ดอกเบี้ย 0.89%         คุณพบรักตอนนี้เริ่มพบว่า ไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว พนักงานขายทำไม่ได้จริงสักอย่างที่สัญญาไว้ จึงทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาไปที่คลินิกและทำหนังสือปฏิเสธการจ่ายเงินกับธนาคารเจ้าของบัตร ทางธนาคารแจ้งว่าอย่างไรก็ตามจะต้องให้ทางคลินิกยกเลิกสัญญาก่อนจึงจะปิดหนี้บัตรเครดิตให้ คุณพบรักจึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ และดำเนินการติดต่อกับคลินิกเพื่อขอยกเลิกสัญญาพร้อมขอเงินคืน แนวทางแก้ไขปัญหา         คุณพบรักดำเนินการแจ้งร้องเรียนไปที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพร้อมๆ กัน ต่อมา ทางคุณพบรักแจ้งกับทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่า  ได้ไปเจรจากับทางคลินิกที่ สคบ.แล้ว บริษัทฯ จะคืนเงินให้ 70% ในส่วนของ 13,000 บาท คือ 9,100 บาท ส่วนที่เหลือ คือ 7,000 บาทแรกนั้น เนื่องจากมีการรับบริการไปแล้ว 1 ครั้ง จึงขอให้คุณพบรักไปใช้บริการต่อในส่วนนั้น บริษัทฯ อ้างว่า ส่วนที่หัก 30% คือค่าดำเนินการที่จะขยายคอร์สจาก 30,000 เป็น 90,000 บาท ส่วน 7,000 ก่อนหน้าตามเงื่อนไขของบริษัทฯ หากมีการใช้บริการไปแล้วจะไม่คืนเงินส่วนที่เหลือต้องใช้บริการไปจนจบคอร์สนั้นๆ         คุณพบรักไม่อยากยุ่งยากจึงรับข้อเสนอดังกล่าว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 คอร์สลดหน้าท้อง ไม่พอใจก็ยกเลิกสัญญาได้

        คุณผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอัดนั้น เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้า สองในสามรายคงต้องเคยถูกชักชวนให้ใช้บริการลดน้ำหนัก ลดหุ่น จากสถาบันความงามต่างๆ ที่มีเซลล์มาตั้งโต๊ะเปิดขายบริการ และถ้าหากวันนั้นเผลอไผลใจอ่อน นั่งฟังเซลล์ไปเรื่อยๆ ต้องมีได้จ่ายเงินรูดบัตรเครดิตซื้อบริการแน่ๆ อาจมารู้ตัวอีกทีว่าไม่คุ้มหรือไม่ชอบใจบริการในภายหลัง ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้นะคะ แต่ก็อาจยุ่งสักหน่อยเพราะฉะนั้นก่อนจะตัดสินใจควรคิดให้รอบคอบก่อน         คุณแนนเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้คำชักชวนจากพนักงานขายของบริษัทสปาแห่งหนึ่ง บอกว่าได้รับบัตรกำนัลส่วนลดราคาพิเศษ 10,000 บาท และเนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำโฆษณาผ่านสื่อบ่อย คุณแนนเลยมีความสนใจพิเศษ จึงยินดีให้พนักงานทำทดสอบที่เรียกว่า “ฃั่งน้ำหนักวัดไขมัน” โดยผลที่ออกมานั้น พนักงานระบุว่า คุณแนนมีไขมันหน้าท้องที่เป็นส่วนเกินถึง 11 กิโลกรัม ซึ่งหากจะต้องออกกำลังกายเพื่อลดไขมันตรงบริเวณนี้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวัน        “แต่ถ้าใช้เครื่องมือของทางบริษัท คุณจะไม่ต้องเหนื่อยเลย และเห็นผลอย่างชัดเจน สามารถลดได้ทั้งหน้าท้องและลดน้ำหนักทั้งตัว อีกทั้งยังเพิ่มอัตราการเผาผลาญระยะยาวได้...”  พนักงานบรรยายสรรพคุณจนตอนนั้นคุณแนนฟังเพลินทีเดียว อีกทั้งคอร์สดังกล่าวที่พนักงานนำเสนอก็ราคาเพียง 31,000 บาท ใช้ได้ถึง 4 ครั้ง และยังได้ส่วนลดอีก 10,000 บาทด้วย “แต่ตอนนั้นยังใจแข็งค่ะ บอกว่ายังไม่ค่อยสนใจนัก น้องพนักงานเลยบอกจะให้ราคาพรีเซนเตอร์เหลือ 16,500 บาท “ราคานี้แทบไม่ได้อะไรเลยนะคะ ลดราคาให้เยอะมาก อยากให้คุณมีสุขภาพดีจริงๆ ผ่อนได้อีกด้วยนะคะ ถึง 10 เดือน เพราะฉะนั้นจ่ายแค่เดือนละ 1,650 บาทเท่านั้นเอง”         หลังจากราคาคอร์สลดลงมากขนาดนี้ อีกทั้งมีความสนใจอยู่บ้าง คุณแนนจึงตัดสินใจซื้อคอร์สดังกล่าว แต่เมื่อได้ไปใช้บริการในครั้งแรก กลับไม่รู้สึกว่าเป็นไปตามที่พนักงานขายกล่าวอ้าง “น้ำหนักก่อนหลังใช้บริการไม่ได้แตกต่างกัน” จึงคิดว่าเป็นบริการที่โฆษณาเกินจริงไปมาก จึงขอยกเลิกคอร์สที่เหลือและประสงค์ที่จะได้เงินในส่วนที่เหลือคืน จึงปรึกษามาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าควรทำอย่างไรดี    แนวทางการแก้ไขปัญหา        เรื่องนี้แก้ไขได้ตามแนวทางประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 ข้อ 3(8) (ข)        ...สัญญาของบัตรเครดิตจะต้องไม่ตัดสิทธิของผู้บริโภคที่จะขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือรับบริการภายในระยะเวลา 45 วันนับแต่วันที่สั่งซื้อสินค้าหรือรับบริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วันนับแต่วันถึงกำหนดส่งมอบสินค้าหรือบริการ...         สิ่งที่ผู้บริโภคต้องทำคือ 1.ทำหนังสือบอกเลิกสัญญากับทางบริษัทสปา พร้อมแจ้งขอเงินคืน และ 2.ทำหนังสือถึงทางบริษัทบัตรเครดิต จากนั้นก็รอการตัดสินใจจากบริษัทและเปิดเจรจา ต่อมาได้รับแจ้งว่า ทางบริษัทยินดีคืนเงินให้แก่ผู้ร้อง เรื่องจึงยุติเรื่อง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 215 เมื่อบอร์ดวุฒิศักดิ์คลินิกประชุมแก้ปัญหาลูกค้ากว่า 6 เดือน

            ปีที่ผ่านมามีข่าวการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและการปิดตัวหลายสาขาของคลินิกเสริมความงาม เจ้าของสโลแกน “เพราะความสวยรอไม่ได้” วุฒิศักดิ์คลินิก ทำให้ผู้บริโภคที่เสียเงินซื้อคอร์สเสริมความงามได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ซึ่งคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบนี้ก็คือ คุณปราง ที่ต้องรอวุฒิศักด์คลินิกแก้ปัญหากว่าครึ่งปี          เพราะชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของวุฒิศักดิ์คลินิกและจำนวนสาขาที่มีมากมาย ทำให้คุณปรางไว้ใจและซื้อคอร์สเสริมความงาม ที่เรียกว่า เลเซอร์และอัลตราดีฟ ในราคา 24,000 บาท เมื่อเดือนมีนาคม 2561 ณ สาขาเซ็นทรัลขอนแก่น แต่พอเดือนถัดมาคลินิกสาขานี้ก็ปิดตัวลง แจ้งเพียงว่าให้ลูกค้าไปใช้บริการต่อที่คลินิกสาขาบิ๊กซี ขอนแก่น ซึ่งคุณปรางเล่าว่า “ใช้บริการไม่ได้เลย ไปทีไรคิวเต็มบ้าง ไม่มีพนักงานบ้าง ยาหมด หมอไม่อยู่...” ทำให้คุณปรางต้องขับรถไปใช้บริการถึงเดอะมอลล์ โคราช และที่เหนื่อยใจที่สุดก็คือคุณปรางไม่สามารถติดต่อกับคอลเซนเตอร์ของวุฒิศักดิ์คลินิกได้เลย จึงต้องมาขอคำปรึกษาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหา         ศูนย์พิทักษ์ฯ ได้รับการร้องเรียนเดือนพฤษภาคมจึงติดต่อไปยังคอลเซนเตอร์ของวุฒิศักดิ์คลินิก ซึ่งเป็นไปตามที่คุณปรางระบุคือ ไม่สามารถติดต่อได้ จึงใช้อีเมล์ติดต่อไปตามที่ได้รับแจ้งข้อมูลไว้ และติดต่อไปยังเบอร์ของสำนักงานหลัก จึงได้คุยกับพนักงาน ทางพนักงานแจ้งว่า ขอให้ผู้ร้องคือคุณปรางส่งเอกสารร้องเรียนไปที่สำนักงานหลักที่กรุงเทพฯ และทางสำนักงานจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมพิจารณาเพื่อคืนเงินให้ ซึ่งคุณปรางก็ปฏิบัติตามที่ได้รับคำแนะนำ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ศูนย์พิทักษ์ฯ ได้ติดตามข้อมูลกรณีร้องเรียนของคุณปรางกับทางสำนักงานหลัก ได้รับแจ้งว่าเรื่องการพิจารณาเพื่อคืนเงินยังไม่คิวของคุณปราง ขณะนี้(เดือนกรกฎาคม) ยังเป็นคิวของผู้ร้องขอคืนเงินที่ยื่นเรื่องในเดือนกุมภาพันธ์อยู่          ทางศูนย์พิทักษ์ฯ พยายามติดตามเรื่องให้คุณปรางโดยตลอดพบว่า เรื่องของคุณปรางยังอยู่ในระหว่างพิจารณา จนวันที่ 21 ธันวาคม 2561 เมื่อติดต่อไปจึงได้รับแจ้งจากพนักงานว่า ยังไม่มีการประชุมบอร์ดในขณะนี้และไม่ทราบว่าจะประชุมเมื่อใดเพราะผู้บริหารไปต่างประเทศ อีกอย่างหนึ่งยอดเงินของคุณปรางเหลือที่ต้องคืนอยู่เพียง 936 บาท จึงแนะนำว่าให้กลับไปใช้บริการต่อที่สาขาบิ๊กซีขอนแก่นหรือเปลี่ยนเป็นสินค้าแทน เมื่อทางศูนย์ฯ นำเรื่องแจ้งต่อคุณปรางตามที่ได้รับคำตอบมา คุณปรางก็ขอยุติเรื่อง เพราะไม่สะดวกและเบื่อการรอคอยคำตอบจากวุฒิศักดิ์คลินิกแล้ว “มันนานเกินไป” 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 ขายคอร์สความงาม บอกจ่ายก่อนเดี๋ยวคืนเงินให้

         เล่าเรื่องถูกชักจูงให้ซื้อคอร์สความงามจากพนักงานขายที่ประจำอยู่ตามห้างสรรพสินค้ามาก็หลายรอบ คราวนี้ไม่ต้องเดินห้างหรอกนะจ๊ะ อยู่บ้านสวยๆ ก็มีพนักงานมาเสิร์ฟคอร์สขายผ่านโทรศัพท์แบบไม่ทันตั้งตัว         วันหนึ่งคุณเนตรดาวกำลังเพลินๆ กับกิจกรรมยามว่างที่บ้านพัก พลันก็มีโทรศัพท์แจ้งว่า ชื่อนางสาวเอ้ เป็นพนักงานขายของบริษัท B (บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับความงาม) โดยแนะนำตนเองว่าเป็นพนักงานขายสินค้าและให้บริการแนะนำทางการตลาด ขออนุญาตแนะนำแพคเกจเกี่ยวกับความงามของทางบริษัท B เพื่อให้คุณเนตรดาวสามารถเข้าใช้บริการได้อย่างสะดวกสบายในราคาสบายกระเป๋า เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิกในโครงการ เดอะเฟส...ของคลินิกแห่งหนึ่ง ซึ่งคอร์สนี้มีบริการถึง 22 รายการ มูลค่า 182,500 บาท แต่ถ้าสมัครทันทีตอนนี้ลดเหลือเพียง 15,999 บาท ซึ่งทำได้ง่ายเพียงแค่ชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคาร xxx         ตอนแรกๆ คุณเนตรดาวก็ปฏิเสธเพราะฟังแค่ทางโทรศัพท์ก็ยังรู้สึกว่า ไม่น่าสนใจนัก จนพนักงานใช้กลยุทธ์สุดท้าย คือ การขอยอด โดยบอกว่าช่วยเธอหน่อย แค่โอนเงินมาก่อนเพื่อทำยอด แล้วภายในเวลาไม่เกิน 20 วัน เธอจะคืนเงินกลับให้คุณเนตรดาว ด้วยความเป็นคนโอบอ้อมอารี คิดว่าจะช่วยนางสาวเอ้ คุณเนตรดาวจึงช่วยสมัครคอร์สดังกล่าว          พอถึงวันที่กำหนดว่า นางสาวเอ้จะคืนเงินให้ ปรากฏว่า ไม่ได้คืน หรือได้รับการติดต่อใดๆ คุณเนตรดาวจึงโทรศัพท์ไปที่นางสาวเอ้ เธอบ่ายเบี่ยงและผัดผ่อนการชำระเงินคืนให้คุณเนตรอยู่หลายครั้ง จนคุณเนตรดาวแน่ใจแล้วว่า โดนหลอกลวงแน่ๆ จึงไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจ และขอยกเลิกรายการบัตรเครดิตกับทางธนาคาร ตลอดจนส่งหนังสือแจ้งให้ทางบริษัทที่นางสาวเอ้ทำงานอยู่ดำเนินการคืนเงินให้เธอ พร้อมสำเนาหนังสือถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางการแก้ไขปัญหา         เมื่อสอบถามเบื้องต้นพบว่า ยอดเงินที่ชำระทางบัตรเครดิตได้ถูกทางธนาคารจ่ายให้แก่บริษัทไปแล้ว และได้รับคำตอบจากบริษัทว่า อยู่ระหว่างรอการพิจารณา เมื่อทางมูลนิธิฯ โดยศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ติดต่อประสานงานอีกครั้งเพื่อให้มีการเจรจา  ต่อมาจึงได้รับการแจ้งจากคุณเนตรดาวว่า ทางบริษัทชำระเงินดังกล่าวคือให้แล้ว จึงเป็นอันยุติเรื่อง            ต่อไปหากผู้บริโภคเจอคำหยอดของพนักงานขายแบบนี้ ประเภทจ่ายมาก่อน ช่วยหน่อยนะคะ อย่าวางใจ เงินไปแล้วกลับมายากจริงๆ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 212 รับมือไม่ไหวโดนรุมให้เซ็นสัญญาซื้อคอร์สเสริมความงาม

เมื่อคุณปิ๊กปฏิเสธ พนักงานขายอีกสองสามคนก็เข้ามารุมให้ข้อมูล เกลี้ยกล่อม “พูดล่อลวงให้หลงเชื่อและเปลี่ยนใจซื้อบริการ...มีการขอบัตรเครดิต พอบอกว่าขอกลับไปคิดก่อน ก็อ้างว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ปิดบูท โปรโมชั่นนี้จริงๆ ไม่มีแล้วแต่มอบให้คุณปิ๊กเป็นกรณีพิเศษ...” อยู่ในวงล้อมนี้ราวหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายคุณปิ๊กก็ต้านทานไม่ไหว รูดบัตรเครดิตจ่ายค่าคอร์สไปแบบงงๆ              รับมือไม่ไหวโดนรุมให้เซ็นสัญญาซื้อคอร์สเสริมความงาม    เคยไหมเวลาเดินเล่นเพลินๆ ให้ห้างสรรพสินค้า แล้วถูกเซลล์ของบรรดาคลินิกหรือสถานเสริมความสวยงาม สถานบริการลดน้ำหนัก พุ่งเป้าเล็งคุณด้วยการเชิญชวนที่ยากจะปฏิเสธ กว่าจะรู้ตัวก็เซ็นสัญญารูดบัตรเครดิตไปเรียบร้อย ถ้าพลาดไปแล้วจะทำอย่างไร ลองดูกรณีตัวอย่างนี้     ขณะคุณปิ๊กกำลังเพลิดเพลินเดินห้างอย่างสบายอารมณ์ พนักงานขายของคลินิกบริการด้านความงาม (ขอเรียกว่า คลินิก T) “พยายามเรียกดิฉันให้เข้าไปในบูท บอกว่าแค่เขียนชื่อเพื่อที่ตัวน้องเขาจะได้ยอด” ด้วยความใจดี คุณปิ๊กจึงช่วยเขียนชื่อให้เพราะไม่คิดว่าต้องเสียอะไร      แต่คุณปิ๊กคงคาดไม่ถึงว่าตนเองต้องผจญกับการเสนอโปรโมชั่นต่างๆ ทั้งลด แจก แถม ที่พนักงานขายพยายามเสนอให้อย่างสุดความสามารถ เมื่อคุณปิ๊กปฏิเสธ พนักงานขายอีกสองสามคนก็เข้ามารุมให้ข้อมูล เกลี้ยกล่อม “พูดล่อลวงให้หลงเชื่อและเปลี่ยนใจซื้อบริการ...มีการขอบัตรเครดิต พอบอกว่าขอกลับไปคิดก่อน ก็อ้างว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ปิดบูท โปรโมชั่นนี้จริงๆ ไม่มีแล้วแต่มอบให้คุณปิ๊กเป็นกรณีพิเศษ...” อยู่ในวงล้อมนี้ราวหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายคุณปิ๊กก็ต้านทานไม่ไหว รูดบัตรเครดิตจ่ายค่าคอร์สไปแบบงงๆ     เมื่อกลับมาบ้านจึงมีเวลาได้ทบทวนและตรวจสอบราคาค่าบริการ คุณปิ๊กพบว่าราคาค่าบริการของคลินิก T แพงกว่าราคาตลาดประมาณ 5-10 เท่า แม้แต่ราคาโปรโมชั่นที่ได้ซื้อไปก็แพงกว่า 2 เท่า จึงโทรศัพท์ปรึกษาศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร แนวทางแก้ไขปัญหา     เนื่องจากยังไม่ได้เข้าไปใช้บริการ ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงแนะนำเบื้องต้นให้ทำหนังสือ (จดหมาย) “บอกเลิกการใช้บริการและขอเงินคืนทั้งหมด” ถึงคลินิก T และทำหนังสือ “ขอระงับการจ่ายเงิน” ถึงผู้ให้บริการบัตรเครดิต (ธนาคาร) แล้วสำเนาส่งมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อจะได้ดำเนินการต่อเนื่อง     ผลการดำเนินการ ทางคลินิกแจ้งเป็นหนังสือว่าจะจ่ายเงินค่าคอร์สคืนให้แก่ผู้ร้องคือคุณปิ๊ก จำนวน 19,500 บาท จากจำนวนเต็ม 30,000 บาท โดยขอหักไว้ 35% (10,500 บาท) อ้างว่า เป็นค่าธรรมเนียม กรณีนี้ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิเห็นว่าผู้ร้องควรใช้สิทธิดำเนินการทางศาลหรือฟ้องเรียกเงินคืนจะดีกว่าวิธีที่ผู้ร้องคิด คือจะขอไปใช้บริการในส่วน 10,500 บาทและรับเงินคืน 19,500 ซึ่งวิธีนั้นทางคลินิกไม่ยินยอมและยืนยันการคืนเงินตามหนังสือที่แจ้งมา ถ้าผู้ร้องฟ้องคดีอาจได้รับเงินในส่วนที่ถูกหักไว้ 35% คืนกลับมา เพราะค่าธรรมเนียมที่ทางคลินิกเรียกถึง 35% นั้นสูงเกินไป ซึ่งคุณปิ๊กเห็นด้วย เรื่องนี้จึงอยู่ในกระบวนการฟ้องคดี และจะนำมารายงานต่อเมื่อคดีสิ้นสุด                               ใจแข็งไว้นะคะเวลาเผชิญหน้ากับเซลล์ ไม่ว่าจะสินค้าใดก็ตาม ผู้บริโภคควรมีเวลาสำหรับการหาข้อมูลให้แจ้งชัดและมีเวลาสำหรับการตัดสินใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ศาลยกฟ้องคดีบัตรเครดิต เหตุเอาเปรียบผู้บริโภค เตือนอย่ายอมจ่ายหนี้ หากเลิกสัญญาแล้ว

ศาลยกฟ้องคดีธนาคารฟ้องผู้บริโภค ไม่ชำระค่าบัตรเครดิต เหตุใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ด้านศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ แนะอย่ายอมจ่ายหนี้บัตรฯ หากขอยกเลิกสัญญาในเวลากำหนดกรณีที่มีผู้บริโภคถูกธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ฟ้องคดี จากการค้างชำระค่าบัตรเครดิต หลังจากรูดซื้อบริการคอร์สเสริมความงาม และภายหลังได้ทำเรื่องขอยกเลิกการใช้บริการคอร์สเสริมความงามแล้วนั้นนางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ผู้บริโภคร้องเรียนมายังมูลนิธิฯ กรณีใช้บัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ ซื้อคอร์สบริการเสริมความงามจากสถานเสริมความ ซึ่งเป็นคอร์สทำหน้าจำนวน ๑๐ ครั้ง ในราคา ๕๐,๐๐๐ บาทโดยผู้ร้องได้ทดลองทำหน้า ๑ ครั้ง และครั้งแรกเป็นการทดลองทำให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ขณะที่ทำก็เกิดอาการแพ้ คันที่ใบหน้าและรอบดวงตา หลังจากนั้นก็ไปรักษาอาการแพ้ที่โรงพยาบาล ต่อมาจึงได้แจ้งสถานเสริมความงามเพื่อขอยกเลิกสัญญาในการใช้บริการ และแจ้งธนาคารฯ ให้ระงับการชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิตนางนฤมล เล่าต่อไปว่า ต่อมาทางธนาคารฯ ยื่นเรื่องฟ้องผู้บริโภครายนี้ต่อศาล จากการค้างชำระค่าบริการคอร์สเสริมความงาม ทั้งที่ผู้บริโภคส่งเรื่องไปให้ธนาคารฯ ระงับการจ่ายเงินแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ศาลพิพากษาว่า ธนาคารฯ กระทำโดยเอาเปรียบผู้บริโภค และเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงให้ผู้ร้องไม่ต้องชำระค่าบริการของสถานเสริมความงาม และให้ยกฟ้อง“ผู้บริโภคมักถูกฟ้องคดี เวลาเอาบัตรเครดิตไปรูดซื้อสินค้าหรือบริการ แล้วผู้ประกอบการผิดสัญญา พอบอกเลิกสัญญาไปแล้ว ก็ไม่ได้แจ้งกับธนาคารเจ้าของบัตรฯ หรือแจ้งไปแล้วก็ไม่ดำเนินการให้ ทั้งที่ธนาคารฯ ควรจัดการปัญหานี้ให้กับผู้บริโภคด้วย”  นางนฤมล กล่าวต่อว่า การที่ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ ไม่ได้แปลว่าผู้บริโภคต้องยินยอมใช้หนี้ที่เกิดขึ้น ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ปี พ.ศ.๒๕๔๒ ข้อ ๓ (๗) (ข) ระบุว่า ถ้าผู้บริโภคไม่ได้รับสินค้า หรือบริการเป็นไปตามที่ตกลงไว้ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ภายใน ๓๐ - ๔๕ วันแล้วแต่กรณีหัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ แนะนำต่อไปว่า เมื่อเลิกสัญญากับผู้ประกอบการแล้ว ผู้บริโภคต้องแจ้งให้ธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตระงับการจ่ายเงินให้กับคู่กรณีด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องทำทุกอย่างให้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเป็นหลักฐาน หากมีการฟ้องคดีเกิดขึ้น“อย่างกรณีนี้ ผู้บริโภคใช้บริการแล้วแพ้ ใช้บริการไม่ได้ หรือใช้บริการแล้วไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ สามารถยกเลิกสัญญาได้ตามสิทธิของผู้บริโภค และเมื่อผู้ร้องได้แจ้งกับธนาคารเจ้าของบัตรฯ แล้ว แต่ธนาคารฯ ยังจ่ายค่าบริการให้สถานเสริมความงามไป ทั้งที่ยกเลิกสัญญาแล้ว ดังนั้น ธนาคารฯ จะมาเรียกเก็บเงินกับผู้บริโภคไม่ได้” หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ กล่าวทั้งนี้ ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ข้อ ๓ (๗) (ข) ระบุว่า ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้บริโภคที่จะขอยกเลิกการซื้อสินค้า หรือรับบริการภายในระยะเวลา ๔๕ วัน นับแต่วันที่สั่งซื้อหรือขอรับบริการ หรือภายในระยะเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันถึงกำหนดมอบสินค้า หรือบริการ ถ้าผู้บริโภคพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้รับสินค้า หรือบริการ หรือได้รับแต่ไม่ตรงตามกำหนด ไม่ครบถ้วน ชำรุดบกพร่องดาวน์โหลดตัวอย่างจดหมายบอกเลิกสัญญา คลิก!ข้อมูลนี้เป็นกรณีตัวอย่างจากศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ผู้เขียนมีความตั้งใจกระตุ้นเตือนและให้ผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิของตนที่พึ่งทำได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามก่อนการตัดสินใจซื้อบริการใดๆ ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจซื้อ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 สถานบริการเสริมความงามไม่สะอาด

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเลือกใช้บริการสถานบริการเสริมความงาม หนีไม่พ้นเรื่องความสะอาดของสถานที่ เพราะจัดว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของสถานที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากเราบังเอิญเข้ารับบริการแล้วเผอิญพบว่า สถานที่ดังกล่าวไม่มีการรักษาความสะอาดเท่าที่ควร จะสามารถแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง ลองไปดูกันคุณสมปองเข้าใช้บริการร้อยไหมแก้มที่สถานบริการเสริมความงามแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้เข้าไปพักในห้องพักของสถานบริการดังกล่าว เธอพบว่าห้องพักมีการนำเตียง 3 – 4 เตียงมาวางเรียงกัน โดยมีเพียงผ้าม่านโปร่งกั้นไว้ แต่ในวันที่คุณสมปองเข้าไปใช้บริการกลับไม่มีการกั้นม่านแต่อย่างใด อีกทั้งเตียงด้านข้างของคุณสมปองก็เป็นลูกค้าผู้ชาย ซึ่งในขณะนอนพักนั้นคุณสมปองมีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับปิดช่วงหน้าอกเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อลูกค้าได้รับบริการเสร็จเรียบร้อยและลุกออกจากเตียง พนักงานก็จะทำความสะอาดเตียงด้วยการสะบัดและพับผ้าให้เข้าที่โดยไม่มีการเปลี่ยนผืนใหม่ และสิ่งที่เธอรู้สึกรับไม่ได้มากที่สุดคือ พยาบาลไม่ใส่ถุงมือ ใช้เพียงมือเปล่าหยิบเครื่องมือแพทย์ หรือหยิบยาที่ส่งให้กับลูกค้ารับประทาน ทำให้คุณสมปองส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงานของสถานบริการเสริมความงามดังกล่าวแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ได้ส่งหนังสือส่งถึง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานสถานพยาบาลดังกล่าว ด้วยเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง และได้รับหนังสือตอบกลับมาดังนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้เข้าตรวจสอบสถานบริการเสริมความงามดังกล่าวแล้ว ซึ่งพบว่าเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับการจดแจ้งถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน  พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และเมื่อเจ้าหน้าที่ของกรมสนับสนุนฯ ได้เข้าไปตรวจสอบสถานบริการดังกล่าวก็พบว่า มีลักษณะเป็นจริงตามที่มีการร้องเรียนมา ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการเพื่อปรับปรุงแก้ไข ดังนี้1. กรณีห้องพักของสถานพยาบาล (ห้อง Treatment) สามารถจัดรวมให้มีได้ 4 เตียง ตามมาตรฐานทางการแพทย์ และเปลี่ยนม่านกั้นเป็นแบบทึบแสง กั้นระหว่างเตียง เพื่อให้เป็นสัดส่วน มิดชิดและมีความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ นอกจากนี้ให้เปลี่ยนผ้าปูเตียง และผ้าอื่นๆ ที่ใช้แล้วทุกครั้ง เพื่อความอนามัยและป้องกันการติดเชื้อ2. ให้ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์อย่างเหมาะสม โดยทำตามคู่มือการทำความสะอาดเพื่อให้เครื่องมือปราศจากเชื้อ นอกจากนี้ให้พนักงานสวมถุงมือทุกครั้งที่ทำหัตถการ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 ยิ้มเห็นเหงือกมากไป แก้ไขอย่างไรดี

หนึ่งในปัญหาความงามของสาวๆ คือ การยิ้มเห็นเหงือกมากเกินไป ซึ่งสามารถทำให้ขาดความมั่นใจเวลายิ้มได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันเราสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ด้วยหลากหลายวิธีการ ซึ่งจะมีอะไรบ้างและมีข้อแตกต่างอย่างไร ลองไปดูกันเลยรู้จักภาวะยิ้มเห็นเหงือกกันก่อน ภาวะยิ้มเห็นเหงือกมากเกินไป (Gummy Smile) มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกริมฝีปากบนและมุมปากทำงานเกินพอดี หรือเหงือกเจริญลงมาคลุมคอฟันมากเกินไป ทำให้เวลายิ้มแล้วเห็นเหงือกมากกว่าปกติ วิธีการแก้ไขภาวะยิ้มเห็นเหงือก วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สามารถทำได้หลากหลายและมีข้อแตกต่างกัน ดังนี้ - การศัลยกรรมตกแต่งเหงือก (Gingivectomy) คือ การตัดแต่งเฉพาะเหงือกส่วนเกินออก ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์ ซึ่งจะทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็ก และสามารถหายสนิทภายใน 1-2 เดือน ข้อดีคือให้ผลการรักษาเป็นแบบถาวร เหงือกจะไม่กลับมางอกซ้ำอีก และราคาไม่สูงมากนัก โดยอัตราค่าบริการมักขึ้นอยู่กับความยากง่ายและจำนวนที่แก้ไข อย่างไรก็ตามการศัลยกรรมดังกล่าวต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนว่า สามารถทำได้หรือไม่ เนื่องจากในบางราย การนูนของเหงือก อาจเกิดจากระดูกหุ้มฟัน ซึ่งต้องกรอแต่งกระดูกดังกล่าวก่อนตัดแต่งเหงือก นอกจากนี้บางคนอาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดที่กระดูกขากรรไกรแทน ซึ่งการผ่าตัดชนิดนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่ หลังผ่าตัดต้องมีการพักฟื้นนาน มีการใช้เหล็ก หรือสกรูดามไว้ ทำให้หลังการรักษาอาจจะทำให้การรับประทานอาหารและพูดได้ลำบากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  - การฉีดโบท็อกซ์ วิธีการนี้ใช้แก้ปัญหากรณีกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกริมฝีปากบนและยกมุมปากทำงานเกินพอดี ซึ่งโบท็อกซ์จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวทำงานน้อยลง และเกิดอาการตึงบริเวณริมฝีปาก ทำให้ฉีกยิ้มได้น้อยลงและเห็นเหงือกน้อยลงนั่นเอง ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวมีอัตราค่าบริการสูงและให้ผลการรักษาชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ 4-6 เดือน อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น เพราะหากมีการฉีดผิดจุด อาจทำให้เราขยับปากไม่ได้หรือปากเบี้ยวไปเลย - การอุดเติมเนื้อฟันหรือทำครอบฟัน วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันมีขนาดเล็กหรือสั้นผิดปกติ โดยใช้วัสดุอุดเสมือนฟันช่วยเติมซี่ฟันให้ดูยาวขึ้น หรือใช้การครอบฟันร่วมกับการตัดเหงือก ข้อเสียคือราคาสูง โดยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นที่ซี่ละ 3,500 บาท - การจัดฟัน ช่วยแก้ไขในกรณีที่ตำแหน่งฟันผิดปกติ ยื่นออกมามาก หรือฟันห่าง โดยจะใช้การจัดฟันทำให้ฟันชิดและไม่ยื่นได้ หรืออาจใช้การปักหมุดช่วยดึงฟันลงมาเพื่อให้ระดับฟันสูงขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง - การผ่าตัดตกแต่งบริเวณริมฝีปากบน หากใครที่เคยทำปากกระจับแล้วทำให้ริมฝีปากบนบางเกินไปจนทำให้เกิดภาวะยิ้มเห็นเหงือก สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเสริมริมฝีปากบนให้หนาขึ้น ซึ่งมีข้อเสียคือค่าใช้จ่ายสูงและอาจต้องรักษาหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือสามารถแก้ไขด้วยการฉีดสารเติมเต็ม (Filler) แต่ผลการรักษาจะอยู่ชั่วคราว และต้องฉีดใหม่ทุกๆ 6 เดือนทั้งนี้ไม่ว่าเราจะเลือกวิธีการใดเพื่อแก้ไขภาวะยิ้มเห็นเหงือก ควรคำนึงถึงการเลือกทันตแพทย์ที่มีความชำนาญ เครื่องมือสะอาด ปลอดภัยหรือแจ้งโรคประจำตัว อาการแพ้ยาต่างๆ ก่อนทำ และควรดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด ด้วยการรับประทานยาแก้อักเสบ ทำความสะอาดช่องปากตามที่ทันตแพทย์แนะนำ และหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง ร้อนจัด หรือรสจัด เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองแผล รวมทั้งหมั่นพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 6 เดือน/ครั้ง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 173 ความงามของผู้ชาย

สารพันปัญหาที่อาจจะมาจากสภาพแวดล้อม  เช่น แดดร้อนจนส่งผลให้หน้าไหม้ผิวคล้ำเสีย  หรือจากการทำงานหนักจนเกิดความเครียดที่นำไปสู่การมีริ้วรอยก่อนวัย  หรือจากวิถีชีวิตประจำวันเช่น  การดื่มน้ำน้อยจนทำให้ผิวแห้งแตก  ล้วนแก้ไขได้ด้วยการดูแลตัวเองให้มากขึ้น  แน่นอนเราควรดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์  หรือการออกกำลังกาย  อย่างไรก็ตามการดูแลตัวเองจากภายนอกสู่ภายในก็ใช่ว่าจะมีความสำคัญน้อยกว่า บรรดาผู้หญิงทั้งหลายจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้าบำรุงผิวด้วยเครื่องสำอางต่างๆ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นการดูแลตัวเองจากมลภาวะต่างๆ อีกทางหนึ่ง แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ  จะสามารถใช้เครื่องสำอางเพื่อดูแลรักษาภาพลักษณ์ภายนอกบ้างได้หรือไม่ ผู้ชายเริ่มใช้เครื่องสำอางผู้ชายบางส่วนได้ตอบคำถามนี้แล้วด้วยการปลุกกระแส   Men’s grooming  ขึ้นมา  เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า  Metrosexual  ที่ทำให้นึกถึงภาพผู้ชายเจ้าสำอางชอบแต่งตัวเนี้ยบ  แต่สำหรับ  Men’s grooming  นั้นต่างออกไป  โดยหากแปลตามพจนานุกรมแล้วการ  Grooming  คือ  แต่งตัว  ดูแล  ตกแต่ง  ทำให้สะอาด ซึ่งเมื่อนำมารวมกันก็จะหมายถึงผู้ชายที่ดูแลตัวเองและทำให้ตัวเองดูดี  โดยไม่จำเป็นต้องเนี้ยบเท่ากับกลุ่มแรก  ดังนั้นเราก็ไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นหนุ่มๆ  พากันลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง  เพราะยุคสมัยนี้ความงามกับผู้ชายได้กลายเป็นของคู่กันไปแล้ว จากกระแส  Men’s grooming  ทำให้มีผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ชายออกวางจำหน่ายมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นครีมล้างหน้าพร้อมบำรุงครบสูตรในขั้นตอนเดียว  โรลออนระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชายที่มักจะมีเหงื่อใต้วงแขนมากกว่าผู้หญิง  น้ำหอมกลิ่นเฉพาะสำหรับผู้ชายที่มักแสดงถึงความสุขุมและมาดแมน  หรือสำหรับผู้ชายที่รักการออกกำลังกายก็ยังมีผลิตภัณฑ์เพื่อสลายไขมันสร้างกล้ามหน้าท้อง  หรือแม้แต่ครีมบำรุงอกให้เนื้อแน่น  ซึ่งจุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ชายมักเน้นความรวดเร็ว  ไม่ต้องใช้เวลามากนักในการทาครีมแต่ตอบความต้องการได้ครบทุกอย่าง  แท้จริงหญิงชายไม่ต่างกันแม้โครงสร้างผิวผู้ชายกับผู้หญิงจะมีความแตกต่างกัน ในรายละเอียดอันเนื่องมาจากพันธุกรรมทางเพศและฮอร์โมนเพศ  แต่โครงสร้างหลักของผิวหนังมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะไม่แตกต่างกันจนถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางแบ่งแยกชายหญิง  องค์ประกอบในเครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดผิว แชมพูสระผม ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ครีมลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งผสมสารคอลลาเจน วิตามินอี และอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในหลักการเดียวกัน เพื่อบำรุง ซ่อมแซม และปกป้องผิวหนัง ครีมโฟมล้างหน้าไม่ว่าจะสำหรับผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ต้องประกอบด้วยสารทำความสะอาด ดังนั้นหลักการตลาดในการประชา สัมพันธ์เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายจึงมักเน้นหนักที่ภาพลักษณ์สินค้าความเป็น ผู้ชาย เช่น กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ภาชนะบรรจุสีหนักแน่น และตรอกย้ำคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่ ‘การแก้ไขจุดบกพร่อง’ (Corrective cosmetics) มากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป เพื่อเป็นการดึงจุดขายของสินค้าแยกจากเครื่องสำอางผู้หญิง แต่ตามข้อเท็จจริงในสูตรตำรับและในหลักวิชาการแล้วไม่มีความแตกต่างสำหรับเครื่องสำอางโดยสรุปแล้ว “ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่ควรจะมีเพศ ควรจะใช้ได้ทั้งชายและหญิง ให้คุณประโยชน์เท่ากันในชายและหญิง ผู้ชายที่ดูแลผิวพรรณให้สะอาดตั้งแต่ผิวหน้าจรดปลายเท้าได้ รวมถึงเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ย่อมจะดูดีแน่นนอนเมื่อเทียบกับผู้ชายที่ผิวหนังแลดูหยาบกร้าน ขาดการบำรุงหรือขาดการดูแล เป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำไปที่ผู้ชายในยุคปัจจุบันจะหันมาเอาใจใส่ผิวพรรณร่าง กายตนเองมากขึ้นกว่าในอดีต”  (รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)-----------------------------------------------------------------เทคนิคเล็กน้อยในการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัย1. ควรซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ 2. มีเลขที่ จดแจ้งผลิตภัณฑ์  10  หลัก ตามกฎหมายเครื่องสำอาง3.มีฉลากภาษาไทยกำกับ ซึ่งอย่างน้อยควรระบุข้อความ เช่น ชื่อเครื่องสำอางหรือชื่อทางการค้า ส่วนผสมในการผลิต วิธีการใช้ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ปริมาณสุทธิ หรือเลขที่แสดงครั้งที่ผลิต 4. ควรซื้อเครื่องสำอางบรรจุอยู่ในภาชนะหรือหีบห่อที่สภาพดี รวมทั้งมีการเก็บรักษาอย่างดี 5. อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 172 นอนเพื่อความงาม

มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้น ที่ระบุว่า การพักผ่อนด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้น มีส่วนช่วยในเรื่องความอ่อนเยาว์ของใบหน้าจริงๆ เราทุกคนก็คงรู้ตัวดีอยู่แล้วว่า ถ้าคืนไหนที่เรานอนไม่พอ หรือนอนแบบหลับๆ ตื่นๆ  เช้ามาแทบไม่อยากมองหน้าใคร  เพราะหน้าตาจะดูทรุดโทรมมาก แต่ถ้าได้นอนหลับสนิทผลที่ได้จะเป็นเรื่องตรงกันข้าม ความสดชื่นจะมาเยือนทั้งใบหน้าและร่างกายวิทยาศาสตร์การนอน    การนอนหลับโดยทั่วไป หมายถึงสภาวะที่ไม่รับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม โดยปกติจะไม่เคลื่อนที่ ยกเว้นสัตว์บางชนิด เช่น ปลาโลมา จะนอนหลับไปพร้อมๆ กับการว่ายน้ำได้ ในการนอนหลับสมองจะไม่ได้หยุดทำงาน แต่ในการนอนจะมีลักษณะการหลับสองแบบ คือ ช่วงที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งสามารถพบได้ในสัตว์ทุกชนิด สลับกับช่วง non REM ซึ่งจะเป็นการนอนหลับแบบที่เรียกว่า หลับสนิท หลับลึก    จากการศึกษาการนอนหลับในสิ่งมีชีวิต พบว่า สัตว์ขนาดเล็กใช้เวลานอนมากกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ ในธรรมชาติสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจะมีกระบวนการเผาผลาญพลังงานที่สูงกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งในกระบวนการเผาผลาญแต่ละครั้งจะมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นจำนวนมาก สารอนุมูลอิสระจะทำลายเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย  เจ้าสัตว์ตัวน้อยจึงต้องใช้เวลานอนให้มากเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้ปกติ คนเราก็เช่นเดียวกัน ธรรมชาติในการนอนอยู่ที่ระยะ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่นอนหลับ  แต่จะเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับสนิท หรือ non REM เท่านั้น  สำหรับการหลับในช่วง  REM จะไม่เกิดขึ้น*     ดังนั้นการนอนให้เพียงพอและมีช่วงการนอนหลับสนิทที่ยาวนาน จะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ผิวหนังด้วย เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการนอน•    การนอนหลับที่ดีจะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง•    ผู้ที่นอนในห้องที่มีแสงสว่างมากมีแนวโน้ม ที่จะมีน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ•    การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด •    การนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำหน้านานๆ ทําให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคาง ที่เรียกว่า sleep line•    หนุนหมอนใบเล็กรองใต้คอ(ในท่านอนหงาย) แทนการหนุนหมอนสูง ช่วยแก้อาการปวดกระดูกคอ•    การนอนหลับระยะสั้นๆ ในระหว่างวันมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้มากขึ้น•    สถิติของการเกิดอุบัติเหตุจำนวนมาก มีสาเหตุมาจากขาดการนอนหลับและความเมื่อยล้า สูงกว่าการเกิดอุบัติเหตุจากการเมาสุรา* วิทยาศาสตร์การนอนหลับ ข้อมูลจาก  http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=40529

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 งามตามเน็ต

เพราะเป็นยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้น ใครๆ ก็สื่อสารสาธารณะได้ และช่องทางการรับสื่อก็มากมายความจำเป็นจึงไม่ได้อยู่ที่เราจะหาข้อมูลได้ไหม แต่กลายเป็นว่าเราจะเลือกรับข้อมูลเป็นหรือไม่มากกว่า เรื่องสวยๆ งามๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ติดอันดับต้นๆ ในหัวข้อค้นหาจากเว็บท่าต่างๆ ทั้งกูเกิล ยาฮู ฯลฯ ซึ่งถ้าเลือกใช้ข้อมูลไม่เป็นก็อาจกลายเป็นเหยื่อจากการขายสินค้าอันตรายได้ หรือทดลองปฏิบัติในเรื่องที่อันตรายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครั้งนี้ขอยกตัวอย่าง งามตามเน็ต เรื่องการล้างหน้าที่มีการแชร์ต่อๆ กันมากๆ ซึ่งเข้าข่าย อันตรายโดยไม่รู้ตัว พอกหน้าด้วยแอสไพริน เอาล่ะสิ เรารู้กันดีว่า แอสไพริน เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ได้ผลดี และยังใช้ในการลดความเสี่ยงเรื่องเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้อีกด้วย แต่ใครกันนะ นึกไปได้ว่า แอสไพริน เอามามาร์กหน้าจะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ เรื่องมีอยู่ว่า แอสไพริน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า salicylic acid ที่ไปตรงกับชื่อยาที่อยู่หลังขวดยารักษาสิวพอดี งั้นเอามาพอกหน้าทาหน้าก็ได้ผลเหมือนกันสิ ซึ่งความจริงก็ต้องบอกว่า ได้ผล นะคะ แต่...คุณไม่ใช่นักเคมี ไม่ใช่เภสัชกร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าปริมาณเท่าไหร่ จึงจะได้ผลดีและไม่เกิดผลข้างเคียง           ในกลุ่มยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบของสิว ผู้ที่ปรุงยาต้องมีการกำหนดขนาดการใช้สารเคมีที่จะมีผลออกฤทธิ์โดยให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด และต้องผ่านการขึ้นทะเบียนยา เรียกว่ามีหลายขั้นตอนกว่าจะเป็นยาออกมาได้ การนำยาเม็ดแอสไพรินไปบดเป็นผงๆ แล้วมาทาหน้าเอง ผลที่ได้อาจไม่ใช่การรักษาสิว แต่กลายเป็นว่า หน้าจะพังเอา ดังนั้นนักเคมีสมัครเล่นทั้งหลายไม่ควรเสี่ยงจะดีกว่า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขาทำออกมาโดยผ่านการทดสอบผลข้างเคียงแล้วจะดีกว่า   ล้างหน้าด้วยซันไลต์ ใช่แล้ว ซันไลต์ ที่เป็นชื่อของน้ำยาล้างจานนั่นแหละ ในยูทูปซึ่งใครๆ ก็ใช่เป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้เฉพาะตัวตนนั้น เกิดมีน้องนางคนหนึ่งมารีวิวการใช้น้ำยาซันไลต์ ล้างหน้าเข้าให้ โดยบอกว่าได้ผลดีมาก หน้าไม่มันเลย(น้องคะ หน้านะคะ ไม่ใช่จาน) คืออันนี้ผู้ที่มีวิจารณญาณก็คงพอคิดกันได้ว่า มันเกินไป แต่ถ้าเกิดมีใครอุตริทำตามจะแย่เอา เพราะน้ำยานี้เขาออกแบบมาเพื่อขจัดความมันบนพื้นผิววัสดุที่ทนทานอย่างจาน ช้อน หม้อ ซึ่งเป็นพลาสติก อะลูมิเนียม สแตนเลส แต่กับใบหน้าของเราซึ่งแสนบอบบาง จะทำให้ผิวหน้าเยินแทนที่จะสวยได้ ล้างหน้าด้วยเบกกิ้งโซดา ตามสื่อออนไลน์ แนะนำให้มีการใช้เบกกิ้งโซดาหรือผงฟูมาล้างหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน เอิ่ม...รูขุมขนมันแค่เรื่องจิ๊บๆ บนผิวหน้า และวิธีเดียวที่ช่วยให้มันกระชับคือ การทำเลเซอร์เพื่อเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของผิวหนัง แค่เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถทำอะไรกับรูขุมขนได้เลย อาจทำให้รู้สึกเหมือนผิวนุ่มขึ้นนิดหน่อย (ร้านอาหารดังๆ เขาก็ใช้เบกกิ้งโซดาหมักหมู หมักเนื้อให้นุ่มอร่อย)   แต่เบกกิ้งโซดามีสมบัติเป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งจะกัดผิวหน้าให้บางลง โดยเข้าไปทำลายเซลล์ผิวชั้นนอก จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้หน้าเกิดอาการแพ้ โดยจะเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงอักเสบคัน และเกิดเป็นรอยดำตามมา แทนที่หน้าจะสวยกลับจะได้หน้าเสียไปแทน สรุปว่า ใบหน้าของเราท่านนั้นแสนจะบอบบาง อย่าได้ริเอาวัตถุเคมีที่มีการออกฤทธิ์รุนแรงมาใช้กับผิวเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยมาแล้ว เพราะขนาดผ่านมาตรฐานมาแล้ว บางผลิตภัณฑ์ยังก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน จะใช้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ต้องระมัดระวัง อย่าเสี่ยงหน้าพังโดยไม่จำเป็น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 ยัดอาหาร หยอดยา อย่าอ้วน !

ในยุคที่สังคมกำหนดมาตรฐานความสวยความงามให้เหลือไม่กี่อย่าง ผู้หญิงคนไหนจะสวย จะต้องขาว ต้องผอม ดังนั้นความอ้วนจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนตระหนกตกใจ และพยายามหาวิธีการต่างๆ มายับยั้งไม่ให้ตนเองอ้วน หลายๆ คนอาจเริ่มจากการลดการรับประทานอาหาร ขนมนมเนย ที่ตนเองชอบ แต่อย่างว่าล่ะ! การหักห้ามกิเลสตนเอง ไม่ให้เผลอไปอ้าปากรับประทานอาหารที่ล่อตาล่อใจ จึงไม่ใช่สิ่งง่าย เมื่อเป็นดังนี้ กลุ่มผู้หากินกับผู้บริโภคที่รู้ไม่เท่าทัน(ขอตั้งชื่อกลุ่มให้เลย) จึงขอนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับสาวๆ ที่อยากลดความอ้วนแต่ไม่อยากหุบปากรับประทานอาหาร ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อ้างตัวว่ามันคือ HCG (Human Chorionic Gonadotropin) นำเสนอว่าสามารถนำไปใช้ลดไขมันและลดความอ้วน โดยมีวิธีใช้ 2 วิธี คือ การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ(วิธีนี้อ้างว่า ได้ผลดีที่สุด ง่าย รวดเร็ว เห็นผลทันตา แต่ต้องผสมยาเอง และต้องยอมเจ็บตัวฉีดมันเข้าไป) ส่วนอีกวิธีคือ การหยอดใต้ลิ้น(โฆษณาว่า เป็นวิธีที่นิยมที่สุด สามารถเลือกทำได้ 2 แบบ จะใช้แบบที่ผสมมาแล้ว (homeopathic drops) หรือแบบผสมเองก็ได้) แต่ที่ผู้ขายมักจะแนะนำคือการซื้อไปผสมเองตามใจชอบ โดยโน้มน้าวให้สาวๆ ที่อยากผอมซื้อชุดผลิตภัณฑ์ไปผสมเองตามความชอบใจ มีทั้งขนาดทดลอง ขนาดมาตรฐาน หรือขนาดสุดยอด ราคามีตั้งแต่ พันกว่าบาทถึงเกือบๆ สี่พันบาท และอ้างว่าจะลดน้ำหนักได้ถึง 4-10 กิโลกรัมใน 3 สัปดาห์ เห็นผลใน 4 วัน   แต่สาวๆ ที่อยากผอม อย่าเพิ่งระทดระทวยรีบซื้อนะครับ ลองมาทำความรู้จักกับเจ้า HCG ก่อนนะครับว่ามันคืออะไร เจ้า HCG ที่ว่านี้ คือฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่พบในหญิงที่ตั้งครรภ์ ทางการแพทย์ได้นำมาใช้สำหรับหญิงที่มีลูกยาก หรือใช้กับผู้ชายที่มีฮอร์โมนบางอย่างบกพร่อง มันก็อยู่ของมันดีๆ แต่จู่ๆ ก็มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสเอามาขายเป็นยาลดความอ้วน บางที่ใช้ตัวย่อว่า HCG หรือ hCG หรือ hcg ผลิตภัณฑ์นี้ เคยมีข้อมูลจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เตือนว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนยาสำหรับการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังเตือนอีกว่า ยังไม่เคยมีการวัดประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้สำหรับการลดน้ำหนักอย่างเป็นทางการ และที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือ เคยมีรายงานความผิดปกติอย่างรุนแรงจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้มาแล้ว เช่น เกิดลิ่มเลือดอุดตันในปอด ซึมเศร้า ระบบหลอดเลือดสมองผิดปกติ หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตมาแล้ว ทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว สาวๆ ที่อยากผอมจะเสี่ยงนำมาใช้หรือเปล่าครับ แต่ที่แน่ๆ ผลิตภัณฑ์ที่นำมาโฆษณาขายแบบนี้ ผิดกฎหมายนะครับ เพราะไม่มีการขึ้นทะเบียนที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในประเทศไทยครับ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 179 Course เสริมความงาม ที่ไม่ได้อยากสมัคร

สาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่มักจะถูกหว่านล้อม ตามติดประชิดตัว เมื่อเดินผ่านหน้าบูธขายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งก็มีบางส่วนที่รอดตัวกลับบ้านสตางค์อยู่ครบ แต่อีกบางส่วนก็กลายเป็นสมาชิกไปแบบงงๆ ก็มี ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องหลายคนที่มาร้องเรียนกับศูนย์พิทักษ์สิทธิกรณีที่หนึ่ง สมัครเพราะเกรงใจ สำหรับประเด็นนี้มีผู้ร้องหลายคนที่พบปัญหา เช่น คุณ ก ตกลงสมัครรับบริการเสริมความงามของ บริษัท A โดยชำระเงินด้วยบัตรเครดิตไปจำนวน 25,000 บาท เมื่อกลับบ้านก็คิดได้ว่า พลาดที่เกรงใจสมัครไป จึงต้องการยกเลิก เมื่อโทรศัพท์กลับไปแจ้งที่สถานบริการดังกล่าว พนักงานก็ตอบกลับว่า ไม่สามารถยกเลิกและคืนเงินได้แล้ว หรือ คุณ ข ที่ถูกพนักงานชักชวนให้ใช้บริการเสริมความงาม ของบริษัท S พูดคุยกันไปได้สักพัก ผู้ร้องก็ได้ตกลงเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต จำนวน 30,000 บาท อย่างไรก็ตามเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ฉุกคิดได้ว่าไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าว และทางครอบครัวก็ไม่สนับสนุน จึงต้องการเงินคืน ซึ่งกรณีนี้ผู้ร้องอ้างว่า เป็นการสมัครเข้าร่วมแบบไม่ได้ตั้งใจแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากที่ผู้ร้องเข้ามาร้องเรียน ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงชี้แจงถึงกรณีที่จะบอกเลิกสัญญาได้ คือ เราต้องมีเหตุผลในการยกเลิก เช่น ทำให้เราได้รับความเสียหาย หรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่ทำไว้ในสัญญา แต่หากผู้ร้องต้องการยกเลิกจากเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการเล่นต่อแล้ว หรือไม่ต้องการใช้บริการต่อแล้ว เพราะ ครอบครัวไม่ต้องการ หรือหลงเข้าไปทำเพราะคำพูดของผู้ขาย ก็ไม่สามารถที่จะยกเลิกได้เนื่องจาก ผู้ขายยังไม่ได้ทำผิดสัญญา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เราเสียเงิน ไปกับสิ่งที่ไม่ได้ต้องการแบบฟรีๆ ก็ต้องเลิกเกรงใจคนอื่น แล้วกล้าที่จะพูดปฏิเสธ กรณีที่สอง เผลอให้เอกสารสำคัญของตนเอง เช่น บัตรเครดิต บัตรประชาชน สำหรับกรณีนี้ผู้ร้องรายหนึ่ง ถูกพนักงานขายชักชวนให้ตรวจสภาพหน้าฟรี ของสถาบันเสริมความงาม S และได้ขอดูบัตรเครดิตจำนวน 3 ใบ เพื่อนำไปแลกของรางวัล (Gift voucher) ซึ่งหลังจากตรวจสภาพผิวหน้าเสร็จ ก็ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น การลดน้ำหนัก การยกกระชับสัดส่วน โดยเสนอราคาพิเศษให้อยู่ที่ 30,000 บาท โดยภายหลังได้มีการนำเอกสารต่างๆ มาให้เธอเซ็น ซึ่งไม่ได้แจ้งว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร ด้านผู้ร้องที่ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารก่อน ก็หลงเชื่อตกลงเซ็นชื่อเรียบร้อย และมารู้อีกว่า ตัวเองได้ตกลงเข้าโปรแกรมเสริมความงามราคา 30,000 บาท ของสถาบันดังกล่าวไปแล้วเรียบร้อย แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำให้ผู้ร้อง ส่งหนังสือยกเลิกสัญญาถึงสำนักงานใหญ่ของบริษัทดังกล่าว ซึ่งผู้ร้องได้ระบุเหตุผลที่ขอยกเลิกว่า ไม่สามารถเข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าวได้ เพราะต้องไปต่างประเทศ พนักงานจึงตอบกลับด้วยการ ขยายเวลาการรับบริการให้อีก 1 ปี หรือ เสนอให้เธอเปลี่ยนเป็นสินค้าตามจำนวนเงิน ซึ่งผู้ร้องไม่ต้องการข้อเสนอดังกล่าว ทำให้มีการนัดเจรจาที่มูลนิธิ ทั้งนี้ภายหลังการเจรจาดังกล่าว บริษัทฯ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้อีกครั้ง คือ 1. ปรับเปลี่ยนคอร์สเป็นผลิตภัณฑ์ จำนวน 30,000 บาท 2. โอนคอร์สดังกล่าวให้ผู้อื่น 3. ขยายเวลาการรับบริการ หรือ 4. ปรับเปลี่ยนเป็นรับผลิตภัณฑ์ 15,000 บาท และคืนเงินอีก 15,000 บาท ด้านผู้ร้องก็ยินดีรับข้อเสนอสุดท้าย เหตุการณ์จึงยุติลง อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าปัญหาเกิดจากเอกสารสำคัญของเราตกอยู่ในมือของผู้อื่น ซึ่งหากเราไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนเซ็นชื่อยืนยันเอกสารเหล่านั้น ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

อ่านเพิ่มเติม >